WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, June 28, 2008

‘อัยการ'งัดข้อ‘คตส.'อายัดทรัพย์ ‘ทักษิณ'

อัยการเสียงแตกกรณีพิจารณาคดีอายัดทรัพย์ฯ ของอดีตนายกฯทักษิณกว่า 7 หมื่นล้านบาท โดยฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรสอบสวนเพิ่ม

วันนี้ (27 มิ.ย.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สนามหลวง นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติส่งหนังสือถึง นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส.ให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างอัยการกับ คตส.เพื่อสอบสวนเพิ่มเติมคดีแพ่งที่ คตส.ส่งสำนวนให้ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุดขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอายัดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำนวน 76,671,603 ,061บาท เนื่องจากมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ

นายวัยวุฒิ กล่าวว่า คณะทำงานอัยการพิจารณาคดีอายัดทรัพย์ฯ ร่วมกันแล้วมีความเห็นแตกเป็น 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรสอบสวนเพิ่มเติมเพราะมีข้อไม่สมบูรณ์จากการที่ คตส.ไม่ได้แยกจำนวนทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีมาก่อนถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติมีเท่าไร และหลังการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ป มีทรัพย์สินเป็นจำนวนเท่าไร เพราะหากยื่นอายัดทรัพย์สินทั้งหมด 76,671,603,061 บาท อาจจะไม่เป็นธรรมและทำให้ผู้ถูกกล่าวหาโต้แย้งในชั้นศาลได้ จึงเสนอให้ คตส.สอบสวนเพิ่มเติม ส่วนอัยการอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรยื่นฟ้องต่อศาลเพราะจะครบกำหนด 30 วันที่อัยการสูงสุดต้องมีคำสั่งคดีในวันที่ 29 มิ.ย.

"คดีนี้มีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย ผมเป็นหัวหน้าคณะทำงานไม่สามารถชี้ขาดได้ จึงทำความเห็นเสนอ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ รองอัยการสูงสุดซึ่งรักษาการตำแหน่งอัยการสูงสุดเพื่อให้ชี้ขาดว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องภายในวันที่ 27 มิ.ย.เพราะวันที่ 29 มิ.ย.ครบกำหนด 30 วันตรงกับวันหยุด เมื่อนายจุลสิงห์พิจารณาแล้วเห็นด้วยกับอัยการฝ่ายที่พบข้อไม่สมบูรณ์ที่ต้องให้มีการแยกทรัพย์สินก่อนและหลังกระทำผิดจึงสั่งให้ผมทำหนังสือถึงประธาน คตส.ขอตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมาพิจารณา" นายวัยวุฒิ กล่าว

thai-grassroots

จาก thai-grassroots

5 พันธมาร จะล้มล้างการปกครอง

คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

การปฏิวัติระบบการเมืองของประเทศ โดยมีความพยายามอธิบายว่า จะให้ ส.ส. มีที่มาจากการสรรหา 70% เลือกตั้ง 30% เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามรากฐานของระบอบประชาธิปไตย และถูกต้องตามตัวบทกฎหมายของชาติหรือไม่ เป็นเรื่องที่หลายคนตั้งข้อสงสัย

เรื่องดังกล่าวกำลังจะเป็นประเด็นที่ลุกลามใหญ่โต เนื่องจากการสร้างกระแส ปลุกปั่น ยุยง ให้คนไทยในชาติเข้าใจไขว้เขว ในหลักการของ “ประชาธิปไตยระบบตัวแทน” ซึ่ง คนไทยทุกคน จะมีสิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ อย่างเท่าเทียมกัน คนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร มีที่มาจากไหน 1 คน 1 สิทธิ 1 เสียง 63 ล้านคน เท่าเทียมกันทั่วประเทศ ในการเลือกตัวแทนของตัวเองเข้ามาทำหน้าที่ในฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ใน ระบบรัฐสภาแบบตัวแทน และ ผู้บริหารประเทศ

รากฐานของประชาธิปไตย คือ ทุกคนควรจะมีสิทธิเสรีภาพในการปกครองบ้านเมืองร่วมกันด้วยตัวของตัวเอง แต่ในโลกนี้ ไม่มีชาติใดจะหาสถานที่ประชุมใหญ่โตเพียงพอให้คน 63 ล้านคน เข้ามาหารือร่วมกัน ได้พร้อมเพรียง ในการสร้างกติกาของชาติ ในการบริหารชาติ จึงต้อง ใช้ระบบตัวแทนเข้ามาทำหน้าที่

การที่มีแนวคิดว่า จะให้มีตัวแทนประชาชนมาจากการสรรหา มันจึง เป็นเรื่องน่าตลกขบขัน ในความคิดอันเลวทรามต่ำช้า เพราะ เท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ ของพี่น้องประชาชนคนไทย 63 ล้านคน เป็นการให้สิทธิกับบุคคลกลุ่มหนึ่งคณะหนึ่ง ได้นำสิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ ของประชาชน 63 ล้านคน ไปใช้อย่างไม่ถูกต้องตามหลักการของประชาธิปไตย เป็นการขโมยประชาธิปไตยไปจากประชาชนคนไทย

แนวทางเรื่อง “ปฏิวัติระบบการเมือง” จึงเป็นแนวทางที่ไม่น่าจะถูกต้อง และส่อว่าจะขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองไทย

ตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร มาตรา 116 กำหนดไว้ว่า ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต

(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ระบุเอาไว้ชัดเจนในมาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การเสนอเรื่อง “ปฏิวัติระบบการเมือง” ซึ่งข้อเสนอและเนื้อหาไม่ได้เป็นไปซึ่งเจตนาแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อย่างชัดแจ้ง โดยต้องการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนไทย 63 ล้านคน ผิดเจตนารมณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 จึงเป็นเรื่องที่น่าจะเข้าข่ายในการดำเนินการตามกฎหมายหรือไม่?

ใคร หน่วยงานใด ที่จะต้องดำเนินการแล้วไม่รีบดำเนินการ ขอให้ระวัง จะเสียใจกันในภายภาคหน้า จะหาว่าไม่เตือน!



ได้ “ค้าน” กันยาว...ก็คราวนี้

คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

ช่างเป็น “ตัว” และ “เงา” ที่ทาบสนิทแนบแน่น ดูรักกันแน่นแฟ้นเสียจริง...

เปล่า...ไม่ได้หมายถึงฝ่ายค้าน ที่ประกาศตัวเป็น “รัฐบาลเงา” ตามติด “รัฐบาลหมัก”

แต่ดันเป็น “พันธมิตรฯ” กับ “ประชาธิปัตย์” ที่เหมือนกันจนไม่รู้ว่าตกลงใครเป็นตัว ใครเป็นเงากันแน่

ไม่ใช่แค่เพราะมี ส.ส. อดีต ส.ส. ผู้สมัคร ส.ส. (สอบตก) ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ที่เรียงหน้าไปทำผลุบโผล่ เปิดเผย กันอยู่ในม็อบพันธมิตรฯ หากแต่ “ประเด็น” ที่นำมาโจมตีรัฐบาล ก็เหมือนถอดกันมาเป๊ะๆ จะมีก็แต่ “โมเดลการเมืองใหม่” แนวคิดล่าสุดของพันธมิตรฯ ที่รังเกียจการเลือกตั้งนี่ล่ะมั้ง ที่อาจทำให้ประชาธิปัตย์กลืนไม่ลงอยู่สักหน่อย

แต่นอกนั้น...ก็ “สำเนาถูกต้อง” ทั้งสิ้น

และที่สุดของที่สุดเวลานี้ ต้องเรื่อง “เขาพระวิหาร” แบ่งงานยั่วยุมวลชนด้วยกระแส “คลั่งชาติ” กันทั้งนอกและในสภา

ออกจากปากพันธมิตรฯ มายังไม่ค่อยเท่าไร เพราะขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องเล่นสกปรกน่ารังเกียจ แต่นี่ดันมีผู้ทรงเกียรติอย่าง “ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” ผสมโรงกับเขาด้วย...จะไปกันใหญ่

ตั้งแต่ปี 2505 ที่ศาลโลกตัดสินให้เขาพระวิหารเป็นพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชา ก็ปามากว่า 46 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ประชาธิปัตย์ก็เคยได้เป็นรัฐบาลมาแล้วหลายหน แต่คนอะไรความรู้สึกช้า จึงเพิ่งมาเต้นเอาตอนนี้

และเพราะเพิ่งมาสำแดงความหวงแหนกันตอนนี้ ใครต่อใครเขาจึงมองว่า นี่เป็นแค่ “เกมการเมือง” มากกว่าเรื่องอื่นที่อ้างมา

และเพราะมัวแต่หวังผลทางการเมืองจนหน้ามืด จึงสร้างประเด็น “ชาตินิยม” ที่จะกลายเป็นความ “คลั่งชาติ” ที่มีแต่ความรุนแรงเลวร้าย เล่นการเมืองภายในจนไม่คำนึงสักนิดว่าจะถูกขยายเป็นรอยร้าวระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ซึ่งถ้าถึงเวลานั้น ความเสียหายจะมากเกินกว่าที่ฝ่ายค้านหรือพันธมิตรฯ หน้าไหน จะแสดงรับผิดชอบต่อประเทศชาติได้

มวลชนบางกลุ่มก็ช่างกระไร ไม่ลืมหูลืมตาว่านี่เขากำลัง “เล่นการเมือง” กันอยู่ เพียงถูกเป่าหูเบาๆ ว่า รัฐบาลขายชาติ ก็บ้าจี้ลุกขึ้นมาใส่ฟืนใส่ไฟกันยกใหญ่ ทั้งที่ความรู้ความเข้าใจในการเมืองมีแค่หางอึ่ง

แห่กันไปประท้วงถึงที่ จนกัมพูชาต้องสั่งปิด พ่อค้าแม่ค้าทั้งเราและเขาขาดแคลนรายได้ หวุดหวิดจะตีหัวกันก็คราวนั้น

มวลชนใครจัดตั้งมาก็รับผิดชอบกันให้ดีด้วย

แต่อย่าลืมว่า ถึงที่สุดคนที่จะ “ซวย” คือคนที่ยืนอยู่ในที่แจ้งอย่าง “ฝ่ายค้าน” ยิ่งประกาศปาวๆ ว่าจะทวงคืนเขาพระวิหาร...ป่านนี้กัมพูชาเขาจำชื่อจำหน้าไปกี่คนแล้วไม่รู้

จำไปเผื่อว่าต่อไปไอ้ฝ่ายค้านพรรคนี้ได้จัดตั้งเป็นรัฐบาล จะได้เตรียมรับมือในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูก และถ้าประชาธิปัตย์จับพลัดจับผลูได้เป็นรัฐบาลสมใจจริง ก็คงต้องเคลียร์กับเขายาวล่ะคราวนั้น...

เว้นแต่ทางเดียวที่ไม่ต้องปวดหัวเรื่องการดำเนินนโยบายความสัมพันธ์ อีกทั้งยังเรียกร้องทวงคืนได้เรื่อยๆ โดยไม่กระทบกระเทือนมิตรประเทศ

นั่นคือ ประชาธิปัตย์ก็ต้องเป็นฝ่ายค้านไปเลยตลอดกาล

ท่าจะดี...



รุมกระหน่ำฝ่ายค้านอภิปรายไร้แก่นสาร

คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของพรรคฝ่ายค้าน ระหว่างวันที่ 24-26 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความไม่หนักแน่นของข้อมูล ไม่สมราคาที่มีการโอ้อวดไว้ก่อนหน้านั้น โดยส่วนใหญ่เป็นเพียงการกล่าวถึงเรื่องเก่า พยายามหาเรื่องพาดพิงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่เห็นว่ารัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ที่บริหารราชการแผ่นดินมา 4 เดือน มีข้อผิดพลาดบกพร่องอย่างไรแน่

โดยนอกเหนือจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน นักวิชาการ และผู้สนใจติดตามการอภิปรายโดยทั่วไปแล้ว ชาวเว็บทั้งหลายก็มีการโพสต์ข้อความกันอย่างคึกคัก

ที่ www.pantip.com ห้องราชดำเนิน ของคอการเมือง มีการโพสต์ข้อความไว้หลากหลาย อาทิ

คุณ electrica “นี่เขาอภิปรายกันแบบไม่กำหนดเวลาผู้อภิปรายเลยหรือครับ ใจกว้างอย่างนี้ ปชป. ก็ยิ้มสิครับ พูดถ่วงเวลาไปเรื่อย กวนอารมณ์ ส.ส. รัฐบาลเล่น ทำไมไม่ให้ฝ่ายค้านพูด 1ชั่วโมง/คน รมต. ตอบ 15 นาที ตอนจบ 1 ชั่วโมง เดี๋ยว ปชป. ก็หาเรื่องถ่วงไปอีกวันหรอก"

คุณ homeshop “ยิ่งเขาพูดช้าเท่าไรก็ยิ่งอภิปรายรัฐมนตรีได้น้อยคนเท่านั้นแหละครับ ผมว่ามันจะเป็นการถ่วงเวลาพวกเดียวกันเองมากกว่า”

คุณ electrica “ผมไม่ห่วงการตอบของ รมต. เลยรู้สึกว่าตอบได้ดีทุกคนแต่ผู้ทำหน้าที่ประท้วง-จับประเด็นไม่แม่น น่าจะให้เพื่อน ส.ส. ช่วยจับประเด็นให้แล้วพูด ฝ่ายค้านพูดอะไรต้องจดไว้เป๊ะๆ ไม่งั้นเข้าทางฝ่ายค้านหมด ต้องยืดเวลาให้เขาวันหนึ่งแล้ว”

คุณ manophat “ดู ปชป. แล้วสมเพช ไม่รู้ว่าช้าไปหรือเปล่า แต่เมื่อได้ดูหมอผู้หญิงท่านหนึ่ง ได้อภิปรายถึงลุงสมัครในสภาแล้วเห็นผู้หญิงคนนี้แล้วอดสมเพชไม่ได้ที่เห็นเธอนั่งหัวเราะ ขณะที่ลุงสมัครชี้แจง พวก ปชป. รักประเทศจริงหรือเปล่า จิตใจทำด้วยอะไร ที่ประชาชนเลือกเข้ามาแล้วมาทำเช่นนี้แทนที่จะร่วมมือแก้ไขกู้สถานการณ์แต่กลับสร้างสถานการณ์เอาเอง ยิ่งเห็นหมอผู้หญิงคนดังกล่าวแล้วอดสมเพชไม่ได้ที่มีน้ำยาแค่นี้ในการบริหารประเทศ ขอให้ ปชป. โดน...เสียทีเถิดรวมถึงพวกพันธมิตรฯ ที่แอบอ้างสถาบัน และหลอกลวงคนให้กู้ชาติ ชาติเราพังแน่ถ้าให้พวก ปชป. กับพันธมตรฯ กู้"

คุณสุขชัย “สงสารเหมือนกัน แต่หญิงวัยนี้ถ้าฮอร์โมนผิดปกติ ก็จะแสดงออกลักษณะนี้ สงสารเธอและญาติมิตรของเธอ”

คุณ sangoop “หลังจากพันธมิตรเพื่อประชาธิปัตย์ประกาศจะเพิ่มมาตรการการกดดัน คราวนี้คงเตรียมโจมตีศาสนาอื่นแน่ หลังจากดำเนินการอ้างพระมหากษัตริย์ และชาติ มาเป็นที่เรียบร้อย ก็คงเหลือเรื่องศาสนาแล้วแหละ ดูซิจะเอาเรื่องอะไรมาอีก

คุณ manophat “เขาก็บอกว่าผมว่าขว้างงูไม่พ้นคอนะ เพราะที่ร่วมอยู่ด้วย สันติอโศกน่ะก็เป็นการทำลายศาสนาทางอ้อมเช่นกัน ไอ้พธม.มันมาจากนรกมันน่ะแหละที่เหยียบย่ำศาสนาพุทธ”

คุณ Country Club “ถ้ามาร์คเป็นนายกฯ ประชาธิปัตย์จะต้องกตัญญูพวกพันธมิตรฯ ยังไง มาร์คบอกว่า นายกฯ สมัครกตัญญูต่อนายกฯ ทักษิณ เลยอยากรู้ว่า ถ้ามาร์คเป็นนายกฯ ก็ต้องกตัญญูต่อแก๊งพันธมิตรฯ ข้างถนนพวกนั้นด้วยนะสิ แหม...เสียดายจริงๆ นายกฯ สมัครน่าจะโต้มาร์คออกไปแบบนี้ คุณๆ คิดว่ามาร์คและประชาธิปัตย์จะกตัญญูกันแบบไหนเอ่ย”

คุณนักเลงโบราณ “เชื่อได้ว่ามาร์คจะเนรคุณพันธมิตรฯ แน่นอน...เพราะที่เห็นตอนนี้ ก็ออกมาปฏิเสธความร่วมมือกันต่อสาธารณะแล้ว คนพรรคนี้เคยกตัญญูใครบ้างครับ?”

คุณวัวน้อยคอยรัก “พรรคฝ่ายค้านอยู่ในภาวะโดนผีทักษิณหลอกหลอน ไม่รู้ว่า อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ สมัคร หรือนายกฯ ทักษิณ กันแน่ พยายามจะเอาเรื่องไม่เกี่ยว มาเกี่ยวให้ได้ คงจะเก็บกดมากเกินไป ที่ไม่สามารถอภิปรายในสมัยนายกฯทักษิณได้ เอาเรื่องหยุมหยิมมาเล่นลุงหมัก ก็เลยโดนลุงหมักตอกหน้าหงายไปหลายคน หมัดเด็ดที่ผู้นำฝ่ายค้านบอก จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็น เห็นแต่หมัด เห็บ หมัดเนรคุณ หมัดขนมเค้ก หมัดน้ำแดง หมัดอายครับ ฯลฯ ไร้สาระจริงๆ คงต้องปล่อยให้เป็นฝ่ายค้านไปอีกหลายสมัย เพราะผมคิดว่า ฝ่ายค้านสอบตก ขนาดเป็นฝ่ายค้านยังสอบตก แล้วจะไปเป็นรัฐบาลไหวหรือ มุกแป้ก กิ๊วๆ”

คุณเฒ่าวัย 56 “ปชป. ตั้งใจอภิปรายรัฐบาลเก่าๆ ครับ เช่น จอมพลสฤษดิ์ และ พ.ต.ท. ทักษิณ อ้อ แล้วก็เอาหมอเข้ามาดูอาการของท่านสมัคร-ตรวจโรคและวินิจฉัยโรคโดยการดูว่ากินน้ำแดงกับเค้ก”

คุณสุขชัย “เห็นด้วย...รัฐบาลนี้ไม่อภิปราย ไปอภิปรายรัฐบาลถนอม ทักษิณโน่น ยังมึนไม่หายหรือไง สมควรแล้วแหละที่ประชาชนไม่เลือกมาบริหารประเทศ"

คุณแมงง้องแง้ง (woraphan) “ไม่รู้จะเล่นอะไร งัดเอาหนังสือลุงหมักที่เขียนเมื่อ 30 ปีที่เเล้วมาโจมตี ขี้เดียดมันจริงๆ เลย”

ในขณะที่ www.prachatai.com ก็มีคนเข้าไปโพสต์กันหลากหลายความคิดเห็นเช่นกัน

คุณคนไทยคนที่ 2 “ต้องบอกว่า ดีใจ ที่ประชาไทเอามาลง สาธุชนที่ได้ฟังมาร์ค ม.7 พูดแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ศรีธนญชัยไหม มีแต่น้ำท่วมทุ่ง และบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะดันพูดแมวๆ ออกมาได้ว่า ศาลโลกตัดสินให้เขมรได้ตัวปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ได้ตัดสินเรื่องที่ไอ้การพูดที่เน่าๆ หลอกลวงประชาชน ยุยงประชาชนเช่นนี้มันรายำไหมสาธุชน มันมีด้วยหรือที่ดันผ่าตัดสินให้แต่ตัวสิ่งก่อสร้างแต่ที่ดินไม่ให้ ถามว่ากฎหมายบ้านไหนหรือที่ศรีธนญชัยแบบนี้

ตัวปราสาทเขาพระวิหารมันลอยกลางอากาศหรือ เหมือนกับพูด...ๆ อย่างเพลงที่ไวพจน์ร้องในเพลงแบ่งสมบัติ ว่าให้ยกที่นาเอาไปได้ แต่ต้องให้ต้นข้าวตั้งไว้ ซึ่งมันเป็นไปได้หรือ ศาลโลก เขาตัดสินชัดเจนว่าให้ไทยต้องคืนเขาพระวิหารให้กับเขมร นั่นย่อมหมายถึงที่ตั้งของตัวปราสาทด้วย

ส่วนบริเวณที่ทับซ้อนกันอยู่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิเหนือนั้น (ซึ่งมีอยู่ราว 4.6 ตารางกิโลเมตร) ศาลโลกไม่ได้ตัดสิน เพราะต้องการให้ไทยเขมรไปตกลงกันให้ได้เสียก่อน พูดง่ายๆ ศาลโลกยังอุตส่าห์ไม่หาญน้ำใจประเทศไทย แต่จากผลนี้เองมันเลยมีลูกติดพันมาจนถึงยุคนี้ที่พวกชั่วเอาเรื่องเขาพระวิหารมาเล่นกันทางการเมือง

หากเกิดสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา มาร์ค ม.7 และพรรคแมลงสาบเน่าประชาวิบัติต้องรับผิดชอบ จะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ ไอ้เรื่อง ปตท. และน้ำมันนี่ก็เหมือนกัน มาร์ค ม.7 …พูดอย่างกับว่าฉลาดเสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่...ไบซันดีๆ นี่เอง ไม่กล้าด่าแขกโอเปกที่เป็นตัวการตัวจริง แต่หันมาด่ารัฐบาล มาด่า ปตท. ว่าทำไมถึงกำไรมากจัดเป็นแสนล้านบาท แล้วทำไมไม่เอากำไรมาลดราคาน้ำมันให้กับประชาชน

ไอ้พวก...แมลงสาบเน่าประชาวิบัติ นี่แกล้งทำความจำสั้น ไม่ใช่พวก...ดอกหรือ ที่ออกมาก่นด่ารัฐบาลว่าทำไมรัฐบาลไม่ปล่อยให้น้ำมันลอยตัว ประชาชนจะได้รู้จักประหยัด พอรัฐบาลปล่อยราคาน้ำมันลอยตัว น้ำมันมันก็แพงขึ้นตามราคาโหดที่แขกโอเปกขาย ไอ้พรรคแมลงสาบเน่าประชาวิบัติ หันไปด่ารัฐบาลว่าทำไมไม่คุมราคาน้ำมัน ต้องบอกว่า...บิดามารดา...เขาไม่ทำตามก็ด่า พอทำตามที่บอกก็ด่า ไอ้แบบนี้มันเลว.....ขี้เรื้อนไหม ปตท. ไม่ใช่มีแค่รัฐบาลถือหุ้น ประชาชนคนทั่วไปก็ถือหุ้นกันเยอะ พอหุ้นราคาร่วงลงพื้นแบบสมัยชวนชั่ว 2 แห่งพรรคแมลงสาบเน่าประชาวิบัติที่คนเจ๊งหุ้นจนหมดตูด

ไอ้...พรรคแมลงสาบเน่าประชาวิบัติออกมารับผิดชอบไหม ไม่รับผิดชอบ ปล่อยให้คนที่ลงทุนไปฆ่าตัวตาย ฆ่าล้างครอบครัว ส่วนพวกมันลอยตัวหนีปัญหา ทำไม่รู้ไม่เห็น ไอ้อย่างนี้ เลวไหมสาธุชน ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เลว แต่เป็นไอ้ชั่วเลยทีเดียว ไอ้...แมลงสาบเน่าประชาวิบัติ มันไม่รู้หรอกว่า การทำงานของบริษัท เขาต้องแข่งขันกันอย่างไร เขาจะมาคอร์รัปชั่น มันคงไม่ได้ ภาษีก็ต้องเสียหนัก แถมวันร้ายคืนร้ายพวกเอ็นจีโอเน่าก็มาก่อม็อบทำลายบริษัทเสียทีหนึ่ง

มันไม่เหมือนรัฐวิสาหกิจ ที่รัฐวิสาหกิจเจ๊ง แต่คนที่ทำงานในรัฐวิสาหกิจรวย แล้วประชาชนต้องไปใช้หนี้ให้แทน แถมวันร้ายคืนร้ายก็ก่อม็อบเดินขบวนจับประชาชนไปเป็นตัวประกัน

ทำไม มาร์ค ม.7 ไม่ยกตัวอย่าง ขสมก. บ้างเล่า ที่ทิ้งหนี้เอาไว้เกือบจะถึงแสนล้านบาทแล้ว หรืออย่างรัฐวิสาหกิจรถไฟ ที่ก็ซึ่งเจ๊งมันชนิดอมตะนิรันดร์กาล แถมยังรับบริจาคเลือดคนโดยสารเป็นของชำร่วย ทำไม มาร์ค ม.7 ไม่อ้างบ้างเล่า ไอ้การพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่นนี่...ที่เน่าๆ อย่างนี้เมื่อไรมันจะหมดไปจากพรรคแมลงสาบเน่าประชาวิบัติเสียที

คุณปรับปรุงด่วน “ผมดูการอภิปรายอยู่ถึงจะไม่ตลอด บอกได้ว่าฝ่ายค้านสอบตก ข้อมูลที่มีส่วนใหญ่เอามาจากสื่อมวลชนหรือไม่ก็หนังสือพิมพ์ ผมว่าถ้าฝ่ายค้านทำได้แค่นี้ สู้เอาสื่อมวลชนมาทำหน้าที่แทน ส.ส.ฝ่ายค้านดีกว่า อีกอย่างถ้ายังเล่นการเมืองแบบเก่าไม่พัฒนาแบบนี้ อย่างหวังเป็นรัฐบาลเลยครับ แค่เป็นฝ่ายค้านก็ไม่รู้จะมีประสิทธิภาพหรือเปล่า

ส่วน คุณคนใต้ บอกว่า "ปชป. คุยไว้มากว่ามีทีเด็ด เอาเข้าจริงแล้วสอบไม่ผ่านครับ ชื่นชมคนที่อภิปรายดีที่สุดเป็นแบบอย่างที่ดีคือ ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ห่วย....ไม่.... คือ เทพไท เสนพงศ์ นิพิฐ อินทรสมบัติ"

คุณเหน่ง “คนหลักๆ ของรัฐบาลที่ทำงานบริหารประเทศมีอยู่ไม่กี่คนก็จริง แต่เขาทำงานหนักมาก ไม่โอ้อวดด้วย สุภาพด้วย (เสียดาย 111) เมื่อวานฟัง ปชป. แล้วหงุดหงิดสุดๆ บิดเบือนมันทุกเรื่อง โวหารคารมงี้ ฟังแล้วเกือบซาบซึ้ง นายพิเชษฐ์พูดได้ไพเราะมาก สมแล้วที่ ปชป. เลี้ยงไว้กัด แต่ข้อมูลไม่มีอะไร ส่วนนายกรณ์พูดแต่ด้านที่พอจะอัดหมอเลี้ยบได้ พูดข้อมูลแบบกั๊กๆ ไม่บอกให้หมด คุณกรณ์พูดจาเหน็บไม่เกรงใจหมอเลี้ยบแบบนี้ ผมเกลียดมาก

นิสัย ปชป. เลยบอกว่างานของหมอเลี้ยบมีแต่ช่วยคนรวย ไม่มีช่วยคนจน แล้วที่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนี่ ทำไมไม่พูด (พูดแต่ขึ้นเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อย) ส่วนการที่ช่วยเรื่องลดหย่อนภาษี SME น่ะ เป็นการช่วยเจ้าของกิจการก็จริง ดูผิวเผินเหมือนแป็นการช่วยคนมีอันจะกิน แต่ความจริงคือแรงงานจำนวนมากที่สุด

ทำอยู่กับ SME ไม่ใช่บริษัทใหญ่ๆ ฉะนั้นถ้า SME ไปรอด คนว่างงานจะน้อยลง และส่งผลด้านสังคมด้วยคือ อาชญากรรมน้อยลง ทำไมกรณ์ไม่พูด กลัวเขาจะได้ดีเหรอ ส่วนตัวเลข GDP น่ะ สาระไม่มี แค่การจ้องจับผิดคำพูดของหมอเลี้ยบ การจับผิดแค่นี้ก็เอามาโจมตีท่านแล้วว่า ไม่รู้จักโครงสร้างเศรษฐกิจผมพยายามตรวจสอบข้อมูล (ที่ค่อนข้างวัดได้ เป็นสากล)

โดยเอาข้อมูลจากต่างประเทศ มาประมาณคร่าวๆ (แน่นอนอาจไม่ 100% แต่ค่อนข้างตรง) และเป็นกลาง ผมว่าหมอเลี้ยบไม่ได้พูดผิดอะไรเรื่อง GDP นอกจากนายกรณ์ผู้ซึ่งไม่ค่อยเข้าใจอะไร ไปเปิดตำราบางเล่มและอาศัยจับแพะชนแกะ และบันทึกการทำงานของรัฐบาลทุกฝีก้าว เขาก็พูดโพล่งออกมาเรื่อง GDP เรื่องเดียวก็สรุปได้แล้วว่าหมอเลี้ยบไม่เหมาะสมที่จะเป็น รมว.คลังอีกต่อไป

สุดยอดเลย นายกล้ามาก ผมไม่รู้เรื่อง GDP นะ แต่บอกได้เลยมันไม่สลักสำคัญอะไร และก็ไม่สร้างสรรค์ด้วย ปีที่แล้ว GDP ประเทศไทยประมาณ 206,000 USD แบ่งเป็น sector การส่งออกซะ 123,500 USD หรือ 60% (หมอเลี้ยบเคยบอกมากกว่า 70% นายกรณ์บอกว่าแค่ 10%) ไม่รู้ใครโกหกกันแน่"

ทางด้านเว็บ MThai

คุณยาย “ขอบคุณการทำงานของฝ่ายค้าน ได้ฟังการประชุมรัฐสภา 2 วัน ฝ่ายค้านทำหน้าที่ขุดคุ้ยได้ดีและรัฐบาลก็ตอบได้กระจ่างและเข้าใจ โดยเฉพาะคุณนพดล จึงคิดว่าฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้ดี จึงขอขอบคุณทุกฝ่ายโดยเฉพาะ การทำงานของฝ่ายค้าน และขอบคุณคน กทม. ที่เลือก ปชป. เป็นฝ่ายค้านซึ่งเหมาะสมที่จะเป็นฝ่ายค้านและรัฐบาลเงาอย่างแท้จริง สมัยหน้าเราจะเลือกให้ท่านกลับมาเป็นฝ่ายค้านเพื่อทำงานตรวจสอบรัฐบาลซึ่งเหมาะสมกับพรรคท่าน และทำได้ดี”

คุณ dv “ปชป. เก่งแต่ตอนเป็นฝ่ายค้านแหละ อะไรๆก็รู้ดีไปหมด แต่ตอนเป็นรัฐบาล 60 กว่าปี ไม่เคยฉลาดอะไรเลย ทำอะไรก็เจ๊งหมด ขาดทุนหมด เหมือนเป็นมือสมัครเล่น IMF คืออะไรยังไม่เข้าใจเลย"

คุณ dd “ปชป. กับพันธมิตรฯ รู้ดีไปหมด ทำไมไม่ไปฝ้องศาลโลก ทำไมมา...เฉยๆ ต้องโทษ ปชป. ปชป. เก็บคนละ 1 บาทเข้ากระเป๋าใครไม่รู้ทำให้เสียเขาพระวิหาร

คุณ -*- “เมื่อปี 2504 ที่คนไทยทั้งประเทศบริจาคเงินคนละ 1 บาท เพื่อเป็นทุน ใช้จ่ายเพื่อสู้คดีเขาพระวิหาร นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ทนายเขาพระวิหารไม่ได้รับเงินสักบาท พูดอย่างนี้จริงๆ ส.ส. ที่มีหนวดพลังประชาชนว่า ผมเนี่ยก็เป็นคนบริจาคเงิน 1 บาทในสมัยนั้น ตอนนั้นผมยังเด็ก ผมยังจำได้เลยว่า เอาเงิน 1 บาทบริจาคไปสู้คดีเขาพระวิหาร อภิสิทธิ์หน้าซีดเลย แล้วก็กลับกลอกไปมา...สุดยอดจริงๆ คนคนนี้

ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความรู้สึกของคนบางกลุ่ม และเพียงบางส่วนของสังคมไทยที่มีโอกาสได้ฟังการอภิปรายของฝ่ายค้าน ที่ต่างก็ตั้งความหวังว่าการร้อนรนเปิดอภิปรายรัฐบาลทั้งๆ ที่ทำงานได้เพียง 4 เดือน จะต้องมีเรื่องราวที่เป็นหมัดเด็ด แต่ก็ต้องอกหักผิดหวังกันเป็นแถว

คงเหมือนหนึ่งความเห็นบนเว็บไซต์...ว่า แม้แต่ทำหน้าที่ฝ่ายค้านก็ยังสอบตก แล้วจะมาคิดอ่านอยากจะเป็นรัฐบาลได้อย่างไรกัน

“นักกิจกรรม-นักสหภาพแรงงาน-นักศึกษา” ประณามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป

กลุ่มนักกิจกรรม-นักสหภาพแรงงาน-นักศึกษา ที่เป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งทำงานเพื่อสังคม ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และข้อเสนอที่ถอยหลังเข้าคลองของพันธมิตรฯ รวมทั้งกำลังดำเนินการเผยแพร่เพื่อให้ผู้ที่เห็นด้วยลงลายมือชื่อสนับสนุนแถลงการณ์ด้วย ความดังนี้

“ผู้มีรายชื่อแนบท้าย ขอประณามแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการสร้างความขัดแย้งให้เพิ่มขึ้นในสังคม และไม่ดำเนินการไปตามครรลองของประชาธิปไตย

ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีการจัดชุมนุมขึ้นที่สะพานมัฆวานฯ และปัจจุบันชุมนุมที่หน้าตึกทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช ลาออก แม้ว่าผู้ลงนามตอนท้ายจะสนับสนุนสิทธิในการที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะสามารถชุมนุมภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศทางด้านสิทธิมนุษยชน แต่ผู้ลงนามมีข้อสังเกตดังนี้

1.พันธมิตรฯ ได้มีการสร้างกระแสความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะต่อกรณีเขาพระวิหาร และการใช้วาทกรรม “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นวาทกรรมชาตินิยม ที่ได้มีการใช้ในช่วงการเข่นฆ่าผู้นำ นักศึกษา ประชาชน ในช่วงปลายทศวรรษ 2510 และในการฆาตกรรมหมู่นักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ก็แอบอ้าง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

การนำเสนอให้มีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มาจากการแต่งตั้งร้อยละ 70 และเลือกตั้งร้อยละ 30 โดย นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นข้อเสนอที่ “ถอยหลังเข้าคลอง” ขัดกับหลักการประชาธิปไตยแบบตัวแทน และเป็นการเปิดทางให้กับคณะรัฐประหาร และฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้ง

ดังนั้น ผู้ลงนามข้างใต้ขอแสดงจุดยืนดังนี้

1.เราขอประณามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะ นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นตัวแทนของภาคประชาชน เราขอแสดงทรรศนะว่า การกระทำที่ผ่านมาของบุคคล 4 คนนี้ ได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านี้มิได้มีจุดยืนเพื่อประชาชนอีกแล้ว

2.เราขอเรียกร้องให้มีการหยุดการปลุกปั่นการสร้างลัทธิชาตินิยม การใช้วาทกรรมชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้าม

3.พันธมิตรฯ ต้องยุติการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดโดยไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการพาดพิงบุคคลบนเวทีพันธมิตรฯ รวมถึงการใช้คำหยาบ อารมณ์ เพื่อการสร้างความเกลียดแค้นบนเวที

4.พันธมิตรฯ ต้องยุติการเสนอแนวความคิดให้มีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การสร้างความชอบธรรมที่นำไปสู่การรัฐประหารทุกรูปแบบ เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

ขวัญระวี วังอุดม นักกิจกรรมทางด้านสิทธิมนุษยชน
ปกป้อง เลาวัณย์ศิริ ชมรมนักกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง
รศ.ใจ อึ๊งภากรณ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นุ่มนวล ยัพราช โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย
ศุษม อรรถวิภาคไพศาลย์ พนักงานบริษัทการบินไทย
ภาณินี บุญเลิศ นักศึกษาปริญญาโท University of Southern California
สุรดา จุนทะสุต นักศึกษาปริญญาโท University of Southern California
สมพจน์ ศุพุทธมงคล นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ศิริภาส ยมจินดา นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
โสฬสสา มีสมปลื้ม นักศึกษาปริญญาโท สตรีศึกษา ม.ธรรมศาสตร์
เอกฤทธิ์ พนเจริญสวัสดิ์ นักศึกษาปริญญาเอก Tulsa University
พรพิมล สันทัดอนุวัตร สถาบันต้นกล้า
พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์ นักแปลอิสระ
ศรายุธ ตั้งประเสริฐ นักกิจกรรมทางสังคม
นีรนุช เนียมทรัพย์ นักกิจกรรมทางสังคม
พิชิต พิทักษ์ นักกิจกรรมทางสังคม
กิติภูมิ จุฑาสมิต นักกิจกรรมทางสังคม
อุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
สมบัติ บุญงามอนงค์ มูลนิธิกระจกเงา
พงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
ภูมิวัฒน์ นุกิจ นักธุรกิจและนักลงทุนเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ฯลฯ



ศาลแพ่งนัดชี้ขาด 30 มิ.ย.นี้ กรรีนร.ราชวินิตฯจี้พันธมารยุติชุมนุม เปิดถนน!

สุดทน!พฤติกรรมม็อบพันธมาร หยาบคาย เสียงดัง คณะอาจารย์ นักเรียน ผู้ปกครองโรงเรียนราชวินิตมัธยม ร่วมกันเข้าชื่อร้องศาลแพ่งให้คุ้มครองชั่วคราว จี้ 5 แกนนำม็อบพันธมาร ย้ายที่ชุมนุม หยุดสร้างความเดือดร้อน

จากกรณีที่กลุ่มอาจารย์นักเรียน และผู้ปกครองโรงเรียนราชวินิตมัธยม ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ต่อพลตรีจำลอง ศรีเมือง กับพวกรวม 6 คน กรณีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดถนนพระราม 5 บริเวณแยกเบญจมบพิตร ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกนางเลิ้งจนถึงแยกพาณิชยการ

โดยนายธนชาติ ธรรมโชติ หนึ่งในผู้ปกครอง บอกว่า บุตรชายตนเองที่เรียนอยู่โรงเรียนราชวินิตมัธยม ได้รับผลกระทบเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งจากการจราจรที่ติดขัด เสียงดังจากการปราศรัย และถ้อยคำหยาบคาย และรวมถึงกลิ่นเหม็นจากขยะที่มีการทิ้งกันเป็นจำนวนมาก จึงขอให้ทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ย้ายสถานที่ชุมนุม โดยคิดถึงเยาวชนของชาติเป็นหลัก ยืนยันว่าไม่มีพรรคการเมืองใดอยู่เบื้องหลังการยื่นคำร้องต่อศาลครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีการนัดพร้อมคู่ความในวันที่ 18 กันยายน เวลา 13.00 น.

ทั้งนี้ กลุ่มคณะอาจารย์โรงเรียนราชวินิจ ยังได้ขอให้ทางศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อให้ออกคำสั่งหรือออกหมายในทันที ให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดพื้นที่การจราจรบนถนนพระราม 5 และถนนพิษณุโลก ที่เป็นถนนสาธารณะ ให้รถยนต์ทั่วไปโดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะ สามารถผ่านเข้า-ออกได้ งดใช้เครื่องกระจายเสียงในช่วงเวลา 07.30 -16.30 น. ของวันจันทร์ถึงวันศุกร์ พร้อมกันนี้ห้ามใช้คำปราศรัยที่หยาบคาย ให้จัดการกับขยะ และสิ่งปฏิกูลอย่างมีระบบและระเบียบ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและสมควร

ล่าสุด ศาลพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งให้เปิดห้องพิจารณาคดีที่ 417 เพื่อทำการไต่สวนฉุกเฉิน โดยนายเมธี ใจสมุทร ทนายความ นำ น.ส.วรรัตน์ ศศิติรัตน์ อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนราชวินิตมัธยม นางลำจวน บูรประทีป อายุ 77 ปี ผู้ปกครองของนักเรียน และ นางวรรธนันท์ พรวนต้นไทร อายุ 57 ปี อาจารย์ประจำชั้น ม.1 ขึ้นเบิกความเป็นพยาน โดยพยานทั้งสามปากเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดถนน เพื่อทำการปราศรัย ของกลุ่มพันธมิตร ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.51 ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปโรงเรียนได้ตามปกติ ต้องใช้การเดินเท้าระยะทางไกล เพื่อไปขึ้นรถประจำทาง รวมถึงได้รับผลกระทบจากการปราศรัยในขณะทำการเรียนการสอน จนไม่สามารถเรียนได้ตามปกติ โดยถ้อยคำที่หยาบคาย จนเด็กนักเรียนมีพฤติกรรมเลียนแบบ นำผ้าโผกหัวสีเหลืองที่เขียนอักษรว่า “กู้ชาติ” มาเล่นในโรงเรียน พร้อมพูดด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย เลียนแบบกลุ่มพันธมิตร โดยกลุ่มที่มีร่วมชุมนุมจะนอนระเกะระกะ ไม่สวมเสื้อผ้า มีขยะมูลฝอย และกลิ่นปัสสาวะ พยานทั้งสามไม่ขัดขวางที่จะมีการชุมนุม แต่ไม่อยากให้รบกวนสิทธิของผู้อื่น โดยพยานขอให้ศาลมีคำสั่งให้กลุ่มพันธมิตร เปิดพื้นที่การจราจรให้ใช้การได้ตามปกติ บริเวณถนนพิษณุโลก และถนนพะราม 5 ขอให้ย้ายการชุมนุมไปยังที่อื่น และขอไม่ให้ใช้เครื่องขยายเสียงในช่วงระหว่างที่มีการเรียนการสอน ตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเย็น ศาลเบิกทึกคำเบิกความไว้ ก่อนนัดสั่งคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินในวันที่ 30 มิ.ย. 51 เวลา 13.30 น.



“หมัก” ชี้ ตั้งเป้า 2 พันล้านหนุนเศรษฐกิจโลก ยันนั่งแท่นครบ 4 ปี

นายกฯ แจงกรอบงบประมาณประจำปี 2552 ตั้งเป้า เกือบ 2 พันล้าน พร้อมหนุนโครงการสำคัญของชาติ และกระจายอำนาจสู่รากหญ้า ด้าน “เลี๊ยบ” เผยรัฐบาลต้องทำงานครบ 4 ปี

การประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2552 นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงกรอบงบประมาณประจำปีว่า รัฐบาลจะคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน สำหรับกรอบสำคัญ รัฐบาลยังคงจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่าง ๆ

ขณะเดียวกัน จะเร่งรัดให้มีการใช้จ่ายงบประมาณ อีกทั้งสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ และจะสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นควบคู่กันไปด้วย งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ตั้งไว้ 1,835 ล้านล้านบาท

ขณะเดียวกันนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ 7 รัฐมนตรี วันนี้ว่า การอภิปรายตลอด 3 วันที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลต้องเร่งทำงานอย่างต่อเนื่อง และจะอยู่ทำงานให้ครบ 4 ปี นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มีความมั่นใจ และมีกำลังใจที่จะทำงานต่อไป

นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการชี้แจงของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกคน จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศได้อย่างดี รัฐบาลจะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนทีมงานด้านเศรษฐกิจ เพราะปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นก่อนรัฐบาล เมื่อรัฐบาลเข้ามาทำงาน ก็สามารถแก้ไขไปได้หลายปัญหา ขณะที่จะยังไม่มีการหารือเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี เพราะเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนยังทำงานได้ดี คงเหลือเพียงตำแหน่งที่ว่างอยู่เท่านั้น ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภาฯ นั้นตนเชื่อว่า จะไม่เกิดเหตุรุนแรง ถ้าทุกคนดำเนินการตามกติกาของประชาธิปไตย และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูแลความเรียบร้อยได้

“บรรหาร” ชี้ ปล่อยเขมรขึ้นทะเบียนเขาวิพระวิหาร หวั่นเกิดปัญหา

หัวหน้าพรรคชาติไทย ร่วมฟังอภิปราย พร้อมชี้รัฐมนตรีบางกระทรวงชี้แจงไม่ชัดเจน และยังมั่นใจว่ามีการปรับคณะรัฐมนตรีแน่นอน วอนรัฐบาลแก้ปัญหากรณีปราสาทเขาพระวิหารให้ชัดเจนหวั่นเกิดปัญหาบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่มีปัญหากันอยู่

นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวภายหลังการหารือกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ รัฐมนตรีบางกระทรวงยังชี้แจงไม่ชัดเจน และเหตุผลในการอภิปรายยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อว่าจะไม่สวนกระแสสังคมอย่างแน่นอน พร้อมขอให้รัฐบาลทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องปากท้อง

นายบรรหาร กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีการชี้แจงของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงกรณีปราสาทเขาพระวิหารนั้น พรรคร่วมรัฐบาลรู้สึกกังวล เกรงว่าหากปล่อยให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ในอนาคตอาจเกิดปัญหาบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่พิพาทกันอยู่ แต่ทั้งนี้ได้ขอให้นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนจากคำว่า map เป็น area chart ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับปากที่จะแก้ไขแล้ว โดยมอบหมายให้นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ประสานงานให้



CNN ตีข่าว นายกฯไทย ผ่านมติไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน


สำนักข่าว CNN รายงานข่าว นายกรัฐมนตรีของไทย ผ่านมติไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านแล้ว ด้าน ประธานสภาอุตฯ ชี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลไม่กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่กังวลต่อการชุมนุมของพันธมิตรฯ หากยืดเยื้อฉุดเศรษฐกิจชะลอตัว

ช่วงเช้าวันนี้ ( 27 มิ.ย.) สำนักข่าว CNN รายงานว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีของไทย สามารถผ่านพ้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ (no-confidence vote) ของฝ่ายค้านมาได้แล้ว โดยผลการลงคะแนนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของไทยจำนวน 470 คน ปรากฏว่า นายสมัคร ได้คะแนนเสียงไว้วางใจ 280 ต่อ 162 คะแนน เช่นเดียวกันกับรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขาอีก 7 คน อ

อย่างไรก็ตาม ผลการลงมติในครั้งนี้ ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เนื่องจาก รัฐบาลผสม 6 พรรคของนายสมัคร ซึ่งมีพรรคพลังประชาชน (People's Power Party : PPP) เป็นแกนนำเป็นฝ่ายที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรของไทยถึง 2 ใน 3 และถึงแม้ว่ารัฐบาลจะสามารถรอดพ้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาได้ แต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคทางการเมืองต่อไป ซึ่งรวมทั้งการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(People's Alliance for Democracy : PAD) ที่ปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลมานานนับเดือน เนื่องจากกลุ่ม PADเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นตัวแทนของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย

ด้าน นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่า จะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่มีความกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หากยืดเยื้อและเกิดเหตุการณ์รุนแรง อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ


“วันชัย” จี้ 'นาม'ถอนตัวจาก ปธ.อนุฯ ไต่สวนรถดับเพลิง

“วันชัย” บุกยื่นหนังสือต่อประธาน คตส.เรียกร้องให้ลาออกจากประธานไต่สอนคดีจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง ชี้ เลือกปฏิบัติไม่เอาผิด อภิรักษ์

นายวันชัย จงจรูญหิรัณย์ ประธานกลุ่มติดตามการปฏิรูปการเมืองและต่อต้านการคอร์รัปชั่น พร้อมเครือข่ายรวม 3 คน เข้ายื่นหนังสือถึงนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อให้นายนาม ลาออกจากการเป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร

เนื่องจากทางกลุ่มฯ เห็นว่ามีการเลือกปฏิบัติและมีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างเห็นได้ชัดว่ามีแนวโน้มจะไม่เอาผิดกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา ตามที่เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนไว้ก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวว่าได้มีการเอื้อประโยชน์ระหว่างผู้ถูกสอบสวนกับผู้กล่าวหา กรณีโยกย้ายบุตรชายของนายนาม ข้าราชการในสังกัดกรุงเทพมหานคร ไปดำรงตำแหน่งในฝ่ายเทศกิจ จึงเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยในการวินิจฉัยไต่สวน จึงขอให้ถอนตัวจากการเป็นคณะอนุกรรมการไต่สวนการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง เพื่อความบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ หรืองดออกเสียงลงมติ ไม่เช่นนั้นสังคมจะเป็นผู้ตัดสินเอง อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ทางกลุ่มติดตามการปฏิรูปการเมืองและต่อต้านการคอร์รัปชั่นเข้ายื่นหนังสือ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าสังเกตการณ์และเตรียมพร้อมดูแลรักษาความเรียบร้อยเกือบ 10 นาย



"หมอเลี้ยบ" ชี้ต่างชาติเชื่อมั่นไทยหลังรัฐบาลสอบผ่านศึกซักฟอก

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ลงมติให้ความไว้วางใจ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้ง 7 คน ด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ทำให้ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งเจ็ดสามารถบริหารราชการต่อไปได้ ด้าน รมว.คลัง เชื่อมั่นต่างชาติกลับมาลงทุน

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง มั่นใจว่าความเชื่อมั่นจากต่างชาติจะกลับคืนมา หลังจากที่ได้ผ่านพ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านไปแล้ว ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีทั้ง 7 คน ต่างได้รับความไว้วางใจจากเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎรให้ปฏิบัติหน้าที่บริหารประเทศต่อไป "เมื่อต่างชาติได้เห็นการแสดงออกที่สภาฯ ซึ่งเป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตย จะทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น และทีมเศรษฐกิจจะร่วมทำงานกันต่อไป" นพ.สุรพงษ์ กล่าว

นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้จะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนทีมงานเศรษฐกิจของตน เพราะได้มีการประสานงานกันอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญในขณะนี้คือเร่งแก้ไขปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่ พร้อมเชื่อว่าจะไม่มีเหตุความรุนแรงจากการเมืองนอกสภาฯ เพราะตำรวจได้ดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น ยังไม่ได้มีการหารือกัน เพราะเห็นว่ารัฐมนตรีแต่ละคนต่างทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว ส่วนตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องหามาแทนนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ลาออกไปนั้น จะได้มีการพิจารณากันต่อไป

อย่างไรก็ดี หลังการอภิปรายวันนี้ทำให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีแต่ละคนต่างมีความมั่นใจและมีกำลังใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

ขณะที่ การประชุมสภาฯ เพื่อลงมติในญัตติ ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล 7 คน เริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ( 27 มิ.ย.) หลังจากพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)ซึ่งเป็นฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียว ใช้เวลาอภิปรายญัตติดังกล่าว ตั้งแต่บ่ายวันที่ 24 มิ.ย.จนถึงเวลา 23.59 น.ของวันที่ 26 มิ.ย.

โดยผลการลงคะแนนเสียง เป็นดังนี้ นายสมัคร ได้รับความไว้วางใจ 280 เสียง ต่อ 162 เสียง ไม่ใช้สิทธิลงคะแนน 1 เสียง , นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้รับความไว้วางใจ 279 เสียง ต่อ 161 เสียง และ งดออกเสียง 1 เสียง

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ได้รับความไว้วางใจ 279 เสียงต่อ 161 เสียง และ งดออกเสียง 1 เสียง , ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ได้รับความไว้วางใจ 279 เสียง ต่อ 162 เสียง

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม ได้รับความไว้วางใจ 280 เสียง ต่อ 162 เสียง, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ได้รับความไว้วางใจ 279 เสียง ต่อ 162 เสียง

นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม ได้รับความไว้วางใจ 280 เสียง ต่อ 162 เสียง และนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ได้รับความไว้วางใจ 278 เสียงต่อ 162 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง

สำหรับการลงมติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) รวมทั้งสิ้น 470 คน แบ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล 306 คน และ ส.ส.ฝ่ายค้าน 164 คน



Friday, June 27, 2008

ประชาชนตื่นแล้ว ต่อให้ใช้ตุลาการวิวัฒน์ ก็ไปไม่รอด


บทความ โดย ลูกชาวนาไทย

ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ รู้สึกว่าคนไทยจะเจ็บปวดกับคำว่า ตุลาการวิวัฒน์ไม่น้อย หลักของตุลาการวิวัฒน์ คือ การตัดสินคดีความต่างๆ ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักของนิติธรรม แต่ตัดสินต่างๆ ตามธงที่ได้ตั้งไว้แล้ว ดังนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับว่าธงที่ตั้งไว้นั้น เป็นอย่างไร

มีตัวอย่างที่คนสงสัยการตัดสินของตุลาการหลายคดี เช่น การจำคุก กกต. การยุบพรรคพลังประชาชน และคดีความที่เกี่ยวของกับ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรทั้งหลาย ซึ่งสองสามวันมานี้มีคดีดังคดีหนึ่งคือ กรณีสินบน 2 ล้านบาท ที่ตัดสินออกมาแล้วทำให้คนเคลือบแคลงและเกิดคำถามค่อนข้างมาก แม้โดยกฎหมาย ประชาชนจะยอมรับการตัดสินของศาลก็ตาม แต่การยอมรับไม่ได้หมายถึงว่า ประชาชนจะวิพาร์กวิจารณ์หรือเคลือบแคลงสงสัยไม่ได้ เพราะมันมีข้อสงสัยหลายประการเช่น มีคนสงสัยที่ผมยกเอามาจากเว็บบอร์ดเช่น

----------

- เงินของกลาง ที่สามารถตรวจสอบลายนิ้วได้ กลับไม่มี
- ทีวีวงจรปิด ที่หน่วยงานทั่วไป ถ้ามีเขาก็เปิดไว้ 24 ชม. แต่ที่นี้ดันไม่ได้เปิดในวันเกิดเหตุ

- คนระดับเป็นทนาย จะไม่รู้เหรอว่า ทำแบบนี้ จะไม่โดน
- อาจรู้กันกับ อีกฝ่าย ก็ได้

- อาจเพราะรู้แล้วว่า ไม่ได้ สาหัส อะไร 6 เดือน แลกกับเงิน หาที่ไหนก็ได้ 2 ล้าน
- การตัดสิน เร็วยังว่าสายฟ้าฟาด
- อาจมีเกม อะไร ถูกวางไว้
- อาจถูกกล่าวหาว่าถูกใส่ร้าย ทักษิณ ในภายหลังก็ได้
- สาเหตุ แลผลที่ปรากฏ คนระดับพวกนี้ ถ้าโง่ ในเรื่องเด็กๆแบบนี้ หาไม่ได้
- ลักษณะแบบนี้ พยามให้เห็นว่า ทักษิณ ใช้อำนาจเงินฟาด อะไรก็ได้ ในนี้
- จะบอกว่า ทักษิณ คิดและทำเลว แบบนี้ได้ ทุกเรื่อง ให้ภาพการยุบพรรคไทยรักไทยให้เป็นแบ็กกราว ว่าผิดอย่างไร ก็ยอมผิดแบบนั้น

----------


คือ คนยุคนี้ไม่ไว้ใจกระบวนการตุลาการวิวัฒน์ทั้งหลาย เพราะการกระทำต่างๆ มันมีพิรุธให้คนคิดได้มากมาย แม้จะปิดปากประชาชนอย่างไร แต่ไม่สามารถปิดใจคนไม่ให้คิดและมองอย่างเคลือบแคลงได้

และการที่ศาลรีบรับนาย สุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษกลับ กรณีมีเรื่องหมายจับ ทั้งๆ ที่นายสุนัย ได้เข้ามาอยู่ฝ่ายบริหารแล้ว และมีความขัดแย้งกับฝ่ายการเมือง เมื่อกลับเข้าไปเป็นผู้พิพากษา และต้องตัดสินคดีทางการเมืองเหล่านี้ จะเชื่อได้อย่างไรว่าดำรงตนเป็นกลาง และรักษาความยุติธรรมได้

ผมคิดว่าขณะนี้ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วจะรั้งกลับมันก็ไม่มีทางเหมือนเดิม ประชาชนเขาตื่นแล้ว จะทำให้หลับใหล โดยการโฆษณาชวนเชื่อนั้นอย่าหวังเลยครับ

ดังนั้น การที่จะใช้ตุลาการวิวัฒน์ ต่อต้านอำนาจประชาชน สุดท้ายก็เสื่อมทั้งคนสั่ง และตุลาการทั้งหลาย

ผมไม่ได้กังวลเลยว่า พวกอำมาตย์จะใช้กลยุทธ์อะไรอีก เพราะหากมีเลือกตั้งใหม่ ผมก็เลือกพรรคที่อยู่ตรงข้ามกับพวกอำมาตย์ และพวกพอเพียงทั้งหลาย ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งพันตัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

ผมอยากรู้นักว่า จะดิ้นไปได้อีกนานสักเท่าใด

เมื่อศรัทธามันหายไป ต่อให้มีเลห์เพทุบายอย่างไร ก็ยิ่งนำไปสู่ความเสื่อมมากยิ่งขึ้น

แต่หากทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ความศรัทธาก็จะกลับมาอีก แต่การจะให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เศรษฐกิจต้องเติบโต ต้องเปิดประเทศ ต้องพัฒนาอุตสาหกรรม ค้าขายกับทั่วโลก ต้องใช้ "ระบอบทักษิโณมิกส์เท่านั้น จึงจะทำอย่างนี้ได้ เพราะระบอบทักษิณมันคือ ระบอบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ที่เป็นกระแสหลักของสังคมโลกในศตวรรษที่ 21

จะมาโฆษณาให้ประชาชนทำไร่นาสวนผสมอยู่ คงเหลือคนเชื่อน้อยเต็มที

ดังนั้น ระบอบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์มีแต่คนอย่างทักษิณ เท่านั้นที่ทำได้ดี พวกอำมาตย์นั้นไม่สามารถทำอย่างที่ทักษิณเคยทำให้กับประชาชนแน่นอน

แรงบีบจากคนชั้นล่างหรือคนชั้นรากหญ้านั้น เขาก็จะเลือกพรรคที่ทำให้เขากินดีอยู่ดี เท่านั้น ไม่เลือกพรรคที่ให้เขาจนอย่างไรก็จนอยู่อย่างนั้นอย่างแน่นอน

จะใช้ตุลาการวิวัฒน์ ต่อสู้กับกระแสการเปลี่ยนแปลง สวนกระแสโลกไปได้นานสักเท่าใด ถึงอย่างมันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในทางใดทางหนึ่งอย่างแน่นอน และสุดท้ายมันก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกระแสโลก ดังนั้นผมจึงไม่ได้ใจร้อน หรือทุรนทุรายแต่อย่างใด ผมทนรอดูได้อย่างใจเย็นได้ ทนดูลิเกโรงนี้ว่าจะไปได้นานสักเท่าใด

ชีวิตย่อมมีหนทางของมัน

Life has its way.

ผมไม่ได้มองการเมืองว่าเป็นเรื่องของ "อุดมการณ์" แต่เพียงอย่างเดียว แต่การเมือง เป็นเรื่องของ ผลประโยชน์ของผู้เลือกตั้ง"

ดังนั้น คำกล่าวของผมที่ว่า ประชาชนตื่นแล้ว ผมหมายถึงเขาตื่นขึ้นเพราะรับรู้อำนาจของพวกเขา ว่ามีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ดังนั้น พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชน จึงเปลี่ยนแปลงไป คือ ประชาชนจะเลือกแบบเหมารวมเป็นพรรค และเลือกพรรคที่ "เสนอนโยบายเป็นประโยชน์แก่พวกเขา" สุดท้าย พรรคที่จะชนะเลือกตั้งคือ พรรคที่เสนอนโยบาย "เศรษฐกิจนิยม เศรษฐกิจก้าวหน้า รายได้ประชาชาติโตขึ้น รายได้คนดีขึ้น

พรรคที่มีนโยบายแบบนี้คือ พรรคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์คือ พรรคระบอบทักษิณครับ

สำหรับพรรคที่เสนอแต่นามธรรม ปฏิบัติไม่ได้ ไม่ทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ประชาชนก็จะไม่เลือก

เมื่อแนวโน้มเป็นอย่างนี้ ต่อให้พวกนิยมประชาธิปไตยแตกกัน มันก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด เพราะคนรากหญ้า 70% มีพฤติกรรมการเลือกตั้งแบบนี้ คนรากหญ้าตลาดการเมืองขนาดใหญ่ เป็นตลาดที่ซื้อแบบ "เหมาโหล" พรรคที่มีนโยบายถูกใจ ปฏิบัติได้ จะได้คะแนนเสียงประชาชน 70% นี้ ทั้งหมด

หาก ปชป. ปรับนโยบายมาแบบนี้ และมีคนมีฝีมือเท่าทักษิณ ปชป. ก็จะชนะเลือกตั้ง แต่นั้นมันก็คือ "วิญญาณพรรคไทยรักไทย" เข้าสิงนั่นเอง หากเป็นแบบนั้นผมก็ไม่ว่าอะไร แต่หมายถึง ปชป. ต้อง Reengineering พรรคแบบถอนรากถอนโคนทีเดียว

ผมจึงไม่กลัวฝ่ายประชาธิปไตยเสียงแตก เพราะมันคือ Mega trend หรือแนวโน้มใหญ่ครับ ถึงอย่างไรทิศทางและกระแสของผู้เลือกตั้งก็จะไปในทิศทาง

ต่อให้ "ผู้มีบารมี มีบารมีมากเท่าใด ก็ทานกระแสไม่ไหว ยิ่งทานกระแสก็จะยิ่งแตกหักมากยิ่งขึ้น และประชาชนจะไม่มีทางแพ้แน่นอน เพราะประชาชนคือเจ้าของประเทศตัวจริง ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของประเทศ

การเปลี่ยนแปลงของประชาชนในระดับรากหญ้า มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ Paradigm Shift คือ โลกทรรศ์ของประชาชนเปลี่ยนไป เมื่อโลกทรรศ์ เปลี่ยนพฤติกรรมคนก็เปลี่ยนตามโลกทรรศ์แบบใหม่ ตามทฤษฎีของ Paradigm Shift ของ Thomas Kuhn นั้น เมื่อ Paradigm ใหม่มาแทนที่ Paradigm เก่า มันจะแทนที่อย่างช้าๆ คนรุ่นเก่าจะรับไม่ได้ แต่คนรุ่นใหม่จะเปลี่ยนไปรับแนวคิดใหม่ โลกทรรศ์ใหม่

คนบางคนอยู่นานเกินไป อุปมาอุปไมยเหมือน เขาเกิดในยุคที่คนเชื่อว่า "โลกแบน" แต่ในบั้นปลายชีวิต ดันมีคนเสนอว่าโลกกลม พวกเขาย่อมรับไม่ได้ การต่อสู้ดิ้นรนย่อมมี แต่สุดท้าย Paradigm เก่า ความเชื่อเก่า ๆ ก็จะตายไปพร้อมกับพวกเขา

------------

มีคนกล่าวว่า

ทำอย่างไรเราจะได้พบความชั่ว ร้ายกาจ กับไอ้ที่ร้ายยิ่งขึ้นไปกว่า เพื่อจะได้กล่าวว่า นี่คือกฎหมาย องสู้ความขี้ฉ้อด้วยความคดโกงที่เหนือกว่า แล้วประกาศออกมาว่า นี่ละคือศีลธรรม ทำไฉนเราจะได้ผ่านพบอาชญากรรม ด้วยอาชญากรที่ร้ายกาจกว่า แล้วเรียกมันว่า นี่สิคือ ความยุติธรรม

(บางส่วนจากความยุติธรรมอยู่ที่ไหน)
...................................................
คำเตือน ความยุติธรรมข้างต้น คือคำประกาศสงครามกลางเมือง

จาก thaifreenews

บทนี้ได้ใจลูกน้องเต็มๆ

ให้รู้กันไปเลยว่า เซียนตัวจริง

กับลีลาของ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้จังหวะจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” แนะสูตรผสมข้าวเก่ากับข้าวใหม่หุงให้นุ่มอร่อยขึ้นหม้อ

โชว์ความเป็นเจ้าตำรับข้าวถุงยี่ห้อประชากรไทย

ลงลึกถึงแก่นว่าด้วยปัญหาราคาข้าวที่ฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ เปิดฉากถล่มนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ในคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจวันสุดท้าย

พูดกันแบบเปิดอก เอาข้อมูลลึกออกมาแฉ

ประเภทไปตกลงกับผู้นำอาเซียน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จะขายข้าวให้ในฐานะเพื่อนบ้าน แต่ถึงเวลาจริงโดนเล่ห์เหลี่ยมพ่อค้าหักหน้า โก่งราคาทำกำไร ไม่รักษาเครดิตผู้นำประเทศ หรือกับคิวข้าวถุงธงฟ้าที่ต้องสั่งยกเลิกเพราะฟังข้อมูลจากข้าราชการประจำมากเกินไป

บ่นไป ก็ตำหนิพวกเดียวกันเองไป

“ลุงหมัก” พูดตรงๆ รมว.พาณิชย์ ดำเนินการผิดอยู่บ้าง เพราะฟังข้าราชการประจำมากเกินไป รวมทั้งยอมรับว่า การดำเนินการขายข้าวถุงธงฟ้า ทำให้ราคาข้าวตกจริง จึงได้สั่งหยุดขายข้าวถุงธงฟ้าที่ 300,000 ถุง

เจอมุกนี้เข้าไป ประชาธิปัตย์ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ

ไม่ใช่แค่ชกฉาบฉวย “ลุงหมัก” พูดแบบคนทำการบ้านมาดี

เอาเป็นว่า เรื่องข้าวเป็นประเด็นที่ชาวไร่ชาวนา ชาวบ้านร้านตลาดสนใจมากกว่าเรื่องไหน ในคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเป็นอะไรที่ใกล้ตัวที่สุด

ฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆเลย

“ลุงหมัก” ออกหมัดได้แต้มก็แล้วกัน

และยังได้ใจกันไปเต็มๆ โดยเฉพาะคิวนายมิ่งขวัญ คนที่ถูกจับตากันว่าจะได้คะแนนโหวตไว้วางใจน้อยที่สุด เพราะไม่มี ส.ส.หางเครื่องอยู่ในสังกัด แถมยังมีเรื่องหักดิบกับนายกฯสมัครหลุดเป็นข่าวออกมา

ห่วงว่า “มือใหม่” จะคว่ำกลางสภา

ปรากฏถึงเวลา “ลุงหมัก” เล่นบทลูกพี่ใหญ่ลุกขึ้นกางปีกป้อง รมว.พาณิชย์ ย้ำแล้วย้ำอีก 3-4 รอบ “รัฐมนตรีมิ่งขวัญเป็นพวกผม”

แต่ไปหลงเชื่อข้าราชการประจำมากไป

ไม่ใช่แค่นายมิ่งขวัญ “ลุงหมัก” ยังถือโอกาสประกาศเลยว่า รัฐมนตรีทั้ง 35 คน เป็นพวกเดียวกัน ถึงจะขัดขากันบ้าง แต่สุดท้ายก็คุยกันรู้เรื่อง

โชว์ความเป็นปึกแผ่นใน ครม.

แต่คนที่ตัวลอยก็คือ “เสี่ยตือ” นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรและสหกรณ์ ลูกน้องสายตรงของ “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่ “ลุงหมัก” เอ่ยปากชมดังๆกลางสภา ยอให้เป็นกุนซือเรื่องข้าวประจำรัฐบาล

ทำผลงานได้เข้าตานายกฯ

“ลุงหมัก” ยังยกให้ฝั˜งตรงข้ามอย่าง “สามสี ภูเขาทอง” นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อภิปรายได้โดนใจที่สุด และมีแนวทางตรงกับรัฐบาลในการรับไปดำเนินการ

ปกป้องลูกน้องในสังกัด ยกก้นคนของพรรคร่วมรัฐบาล ยอวาทีฝ่ายตรงข้าม

สรุปคิวนี้ “ลุงหมัก” ได้ไปทั้งแต้ม ได้ทั้งใจ

แต่ที่รู้ว่าคงไม่ได้ดั่งหวัง “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่า เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะมีการปรับเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะรัฐมนตรีทั้ง 7 คน ถือเป็นสายตรงของนายใหญ่

อย่างไรก็ตาม ถ้านายกฯตัดสินใจปรับเปลี่ยน ก็เชื่อว่าจะช่วยยืดอายุการทำงานของรัฐบาลออกไปได้อีกระยะหนึ่ง

แต่ก็เหมือนจะรับมุกกันทันควัน

ล่าสุด “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย สั่งเรียกประชุมลูกพรรคในเวลา 08.00 น. วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน ก่อนลงมติที่รัฐสภา โดยพูดเป็นนัยๆ

“คิดว่ามีความจำเป็นต้องปรับ ครม. เพราะมีหลายอย่างที่ควรปรับปรุงแก้ไข ส่วนจะปรับกี่ตำแหน่งนั้นคงบอกไม่ได้ แต่ต้องดูว่าการอภิปรายครั้งนี้มีผลกระทบอะไรบ้าง อีกทั้งขณะนี้ก็มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง คือ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี”

ส่งซิกบี้เกลี่ยโควตากันใหม่แล้ว.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน




มีมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย 7 รัฐมนตรี

รัฐสภา 27 มิ.ย.- ในที่สุดเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย 7 รัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้คะแนนน้อยที่สุด

ติดตามรายงานจากรัฐสภา. สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-06-27 11:21:36







ประชาธิปัตย์คือใคร?

แต่สิ่งที่ไม่ตลกคือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านถูกกระทบอย่างแรงไปแล้วจากปากของคนประชาธิปัตย์ ซึ่งถ่ายน้ำลายมาจากเวทีพันธมิตรฯอีกต่อหนึ่ง ยังไม่รู้จะทำอย่างไรกันต่อไป

ใครจะว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลรอบนี้จืดชืดหรือขาดความเร้าใจอย่างไรก็ตาม ผมกลับเห็นว่ามีประโยชน์ยิ่งต่อการปฏิรูปการเมืองในระยะยาว เพราะทำให้คนทั่วไปตาสว่างและได้รู้กันทั่วสักทีว่าพรรคประชาธิปัตย์คือใคร

ก็เนื้อหาและประเด็นที่หยิบมาอภิปรายนั่นล่ะครับเป็นตัวบอก

บอกว่าเป็นฝ่ายค้านของรัฐบาลที่นำโดยพรรคพลังประชาชน หรือเป็นฝ่ายที่คอยคัดค้านระบอบประชาธิปไตยของบ้านเมืองกันแน่

ตรายี่ห้อเก่าๆว่าเป็นพรรคที่ต่อสู้กับเผด็จการเพื่อประชาธิปไตยนั้น อย่ายกขึ้นมาอีกเลยครับ จะอายเขาเสียเปล่าๆ

เพราะมันจบสนิทไปตั้งแต่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกตัดสินใจไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ และประกาศต่อสาธารณชนว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ ของรัฐธรรมนูญของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๐ นั่นแล้วล่ะครับ

จำได้ไหมว่าเรื่องหลังนี้จบอย่างไร

รบกวนเบื้องพระยุคลบาทถึงขนาดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงมีพระราชดำรัสว่าอย่าขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ ขึ้นมา เพราะจะทำให้คนเขาค่อนได้ว่าพระเจ้าอยู่หัว "ไม่เป็นประชาธิปไตย"

ครับ แนวคิดของคุณอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มันถึงขนาดนั้นทีเดียว

คนที่มียางอายแม้แต่เพียงบางๆ เขาคงจะกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้านฯ และคงหลบหน้าผู้คนไปเสียนานแล้ว

แต่อย่างที่เขาว่าล่ะครับ...สมัยนี้เก่งไม่กลัว กลัวหน้าด้าน

การอภิปรายของฝ่ายค้านที่ผ่านมา คงจะอ้างได้ยากว่าเป็นการทำงานเพื่อระบอบประชาธิปไตยเพราะเหตุที่เตือนความจำมานี้ แถมยังต้องไม่ลืมว่าระหว่างที่บ้านเมืองยังอยู่ใต้ท็อปบู๊ตทหารหลัง ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ นั้น พรรคการเมืองที่ได้รับโอกาสให้ขึ้นป้ายหาเสียงและออกสื่อของรัฐอย่างเอิกเกริกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คือพรรคประชาธิปัตย์

มิหนำซ้ำเมื่อทุกอย่างซาลง คนอย่างคุณสกลธี ลูกชายของพลเอกวินัย ภัททิยกุล เลขาธิการคณะรัฐประหาร ยังลงสมัครรับเลือกตั้งและได้เป็น ส.ส.ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์มาจนวันนี้

คนอย่างคุณสมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์ ซึ่งเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกไปเป็นแกนนำและขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ของสนธิลิ้มและพลตรีจำลอง ซึ่งเป็นขบวนการการเมืองนอกสภาอย่างโจ่งแจ้ง แถมยังผิดกฎหมายอีกหลายข้อ สร้างความเดือดร้อนกับผู้คนในแถบนั้นโดยไม่สนใจเขาเลย แล้วยังกลับเข้ามาลอยหน้าลอยตาใช้ระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือ จนถูกคนที่หมั่นไส้เขากระโดดถีบกลางสภามาแล้ว

ประวัติส่วนตัวของพรรคประชาธิปัตย์แบบนี้ ไปขอต่อแถวประชาธิปไตยกับใครเขาในโลกก็คงจะถูกถ่มถุยออกมา

เมื่ออภิปรายเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นเรื่องเก่าสมัยที่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือคุณเสนีย์เป็นทนายไปว่าความแพ้เขาในศาลโลก โดยวกมาบอกว่าเห็นไหมว่ารัฐบาลนี้ไม่รักชาติรักแผ่นดิน โดยขาดข้อเท็จจริงที่จะบอกได้ว่าเป็นความผิดหรือแม้แต่ความไม่สมควร พรรคประชาธิปัตย์ก็กลายเป็นตัวตลกทางการเมืองไป

แต่สิ่งที่ไม่ตลกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านถูกกระทบอย่างแรงไปแล้วจากปากของคนประชาธิปัตย์ ซึ่งถ่ายน้ำลายมาจากเวทีพันธมิตรฯอีกต่อหนึ่ง ยังไม่รู้จะทำอย่างไรกันต่อไป นี่ยังไม่ได้พูดถึงประเทศที่สามอีกหลายร้อยประเทศที่เขามองไทยอย่างสังเวชใจว่าก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน

และเมื่ออภิปรายเรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ขนาดอดีตรัฐมนตรีที่เขาลาออกไปแล้วและไม่ได้นั่งอยู่ในสภาด้วย ยังไปงัดมาพูดจนนายกรัฐมนตรีต้องลุกขึ้นตอบแทน ก็ยิ่งเกิดคำถามขึ้นในใจว่าเรื่องเบื้องสูงขนาดนี้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของบางพรรคไปแล้วหรืออย่างไร เพราะเจ้าตัวต้องรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ยิ่งพูดยิ่งเสีย ไม่เป็นประเด็นได้ถือว่าดีที่สุด

พรรคการเมืองในยุคนี้ไม่ควรเป็นเพียงตัวแทนของใบไม้เก่าๆที่จะปลิดร่วงไปตามกาลเวลา แต่ควรเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างเก่ากับใหม่เพื่อให้ต้นไม้นั้นยืนต้นงอกงามต่อไป

แต่พรรคการเมืองที่ว่ามานี้คงจะสายเกินแก้แล้ว


กาหลิบ


////////////////////////////

คอลัมน์: เลือกคบ ไม่เลือกข้าง:...จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ 27/06/2551


กาหลิบ

จาก thai-grassroots

ทักษิณแถลงเสียใจทีมทนายโดนจำคุกยันสู้คดีตามกติกา

“พงศ์เทพ” เผย “ทักษิณ” ยืนยันเคารพดุลพินิจศาล และแสดงความเสียใจกรณีทนายความถูกตัดสินจำคุก ระบุตั้งใจเข้ามาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องทำอย่างที่มีข้อกล่าวหา โดยเฉพาะธุรการศาลก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดี

เมื่อบ่ายวันที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้อ่านแถลงการณ์กรณีของทนายความส่วนตัว มีคำสั่งศาลให้จำคุก ความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคารพในดุลพินิจของศาลฎีกา ในการฟังข้อเท็จจริง และขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ทนายความ เสมียนทนาย และผู้ประสานงานถูกกล่าวหา

พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทย เพื่อต่อสู้คดีที่ดินย่านรัชดาภิเษก ซึ่งคุณหญิงพจมาน ชินวัตรประมูลซื้อจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา โดยเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตนเอง และพร้อมต่อสู้คดีภายใต้กลไกกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาลยุติธรรม

การกระทำที่มีการกล่าวหาไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดเลยแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทางเจ้าหน้าที่ธุรการของศาลก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดี

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รู้สึกกดดันกับเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ นายพงศ์เทพกล่าวว่า "โดยส่วนตัวแล้วท่านไม่ได้รู้สึกเครียดอะไร เพราะเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตนเองอยู่แล้ว และท่านก็เคารพในดุลพินิจของศาลด้วย"

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อไปว่า ประเด็นดังกล่าวจะเป็นการดิสเครดิตทางการเมืองของอดีตนายกฯ ทักษิณหรือไม่ นายพงศ์เทพกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง เพราะว่าได้เว้นวรรคทางการเมืองไปนานแล้ว และรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ ทักษิณแต่อย่างใด

ผู่สื่อข่าวถามอีกว่า ทำไมอดีตนายกฯ ทักษิณไม่ออกมาแถลงการณ์ด้วยตัวเอง นายพงศ์เทพกล่าวว่า ทั้งตนและ น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ (โฆษกมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย) ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว เพราะอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่อยากทำให้ตัวเองตกอยู่ในกระแสที่สื่อมวลชนให้ความสนใจมากจนเกินไป เพราะเดี๋ยวจะถูกข้อครหาอื่นๆ อีกมากมาย

ส่วนที่มีประเด็นออกมาว่า มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย กดดันให้เกิดการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นั้น ตนอยากบอกว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เมื่อวันพุธที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตนได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย ในส่วนของการหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน และยุทธศาสตร์เรื่องข้าว ถึงกระบวนการดำเนินงานว่าจะมีขั้นตอนเป็นอย่างไร ไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เกิดขึ้นทำให้สังคมมีมุมมองด้านลบ และมีทัศนะคติที่ไม่ดีต่ออดีตนายกฯ ทักษิณ นายพงศ์เทพกล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น สังคมคงมองเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ดีอย่างแน่นอน ตนอยากให้ทุกคนรวมถึงสื่อมวลชน ได้ลองไปอ่านคำพิพากษาของศาลดู ก็จะทราบว่า ทีมทนายและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ชี้แจงและอธิบายถึงเรื่องดังกล่าว แต่ในเมื่อศาลเชื่อความอีกอย่าง ก็ต้องเชื่อและเคารพในดุลพินิจของศาล

นายพงศ์เทพ ได้ย้ำอีกครั้งว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ ทักษิณ และเรื่องดังกล่าวก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับคดีความของอดีตนายกฯ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจการตัดสินใจของศาล ส่วนใครจะเข้ามาดำเนินการดังกล่าวเพื่อสืบหาต้นตอ ตนมองว่าปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมจะดีกว่า

ส่วนที่มีประเด็นออกมาว่า นายธนา ตันศิริ หนึ่งในทีมทนายความ ที่ถูกศาลสั่งพิพากษาได้หลบหนีออกนอกประเทศตามที่ข่าวได้นำเสนอออกไปนั้น ตนอยากบอกว่า ข้อเท็จจริงแล้ว นายธนาไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศตามที่เป็นข่าว แต่ตอนนี้ไม่สบาย และกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และตอนนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลอยู่ด้วย

ด้าน นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานกรรมการมรรยาททนายความ สภาทนายความ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า ได้มอบหมายให้ นายสมชัย โรจน์วณิชย์ รองประธานกรรมการมรรยาททนายความ ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ศาลฎีกา เพื่อขอคำสั่งศาล ก่อนเร่งนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการมรรยาททนายความ เพื่อพิจารณามีมติให้ลบชื่อของทนายความทั้ง 3 คน ออกจากทะเบียนทนายความต่อไป

อย่างไรก็ตามในการประชุมลงมติชี้ขาดคดีมรรยาท ด้วยการลบรายชื่อของทนายทั้ง 3 คนนั้น จะใช้มติเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 8 ใน 15 ของคณะกรรมการมรรยาท ตามมาตรา 63 ของพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 หมวด 6 ว่าด้วยมรรยาททนายความ ส่วนในมาตรา 71 ที่ระบุว่า บุคคลที่ถูกลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ จะขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตอีกมิได้ เว้นแต่เวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันถูกลบชื่อนั้น แต่ในทางปฏิบัติสภาทนายความยังไม่เคยอนุญาตให้ทนายคนใดกลับมาว่าความได้อีก

ประธานกรรมการมรรยาททนายความ กล่าวถึงคดีละเมิดศาลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยว่า ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุทะเลาะวิวาทกันในศาล เช่น กรณีทนายความทะเลาะวิวาทกัน ซึ่งศาลห้ามแล้วก็ยังกระทำอีก แม้แต่ประชาชนทั่วไปหากกระทำการ เช่น ส่งเสียงดังรบกวนการทำหน้าที่ของศาล การเมาสุรา การขายหวยในบริเวณศาล ก็ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดด้วย

ทางด้าน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า แม้จะรู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ทราบว่าให้ใครสู้คดีให้ เพราะระยะหลังไม่ได้ติดต่อกัน และเชื่อว่าการพิพากษาลงโทษทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะนำกรณีดังกล่าวไปขยายความเชื่อมโยงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมนั้น นายสมพงษ์ กล่าวว่า จะไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร เมื่อศาลฎีกาซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ฝ่ายบริหารไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องและจะไม่เข้าไปก้าวก่ายโดยเด็ดขาด



หอการค้าเชื่อมือทีมเศรษฐกิจ อภิปรายไม่กระทบการลงทุน

สอท.ห่วงเศรษฐกิจครึ่งปีหลังย่ำแย่ทั้งจากสถานการณ์ภายนอกและปัญหาการเมืองในประเทศ ขณะที่หอการค้าเชื่อมั่นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะปัญหาปากท้องประชาชน ไม่ส่งผลกระทบความเชื่อมั่นการลงทุน เพราะรัฐบาลเพิ่งทำงานได้เพียง 4 เดือน และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ถือว่ามีความเข้าใจในโครงสร้างเศรษฐกิจดีอยู่แล้ว

จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติของโลกที่ได้รับผลกระทบกันไปทั่ว ผนวกกับปัญหาในประเทศที่สะสมมาตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร มาจนถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นั้น

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลังปีนี้มีความน่าเป็นห่วงกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่อาจจะชะลอตัวลงได้อีก หากปัญหาน้ำมันแพงยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นอาจกระทบการส่งออกไทย ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศเองก็ยังต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่แรงซื้อในประเทศกลับยังคงมีการขยายตัวต่ำอยู่

"เมื่อพิจารณาแล้ว ครึ่งปีหลังนี้ก็น่าห่วงกว่า เพราะปัญหาจะมีทั้งจากปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในของไทย คือ การเมืองที่เริ่มไม่ชัดเจน ทำให้กำลังซื้อคนไทยลดไปมาก โรงงานไม่กล้าขยายการลงทุน โชคดีที่ส่งออกยังโตอยู่จึงช่วยได้มากในช่วงที่ผ่านมา"

สำหรับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาลที่จะมีโครงการแจกคูปองคนจนนั้น ก็ถือว่าเป็นจุดที่ดีในการดูแลค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อย แต่ต้องระวังไม่ให้คูปองนั้นเป็นเงินสด เพราะอาจจะนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่ควรจะใช้ คูปองควรเป็นการนำไปแลกสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร เป็นต้น และควรจะมีระยะเวลาที่ชัดเจน และจะต้องลงทะเบียนผู้ที่จะมีสิทธิ์ใช้คูปองให้ดี เพื่อให้ถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง

ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กระบวนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีครั้งนี้ มีเนื้อหาครอบคลุมหลายเรื่อง เป็นโอกาสที่ฝ่ายค้านจะได้แสดงความเห็น และรัฐบาลจะได้อภิปรายชี้แจง และคงมีประเด็นที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน โดยนักธุรกิจนักลงทุนจะจับตาในภาพรวม รวมถึงข้อมูลที่นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้เคยเปิดเผยมา

ทั้งนี้ ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน จะไม่เสนอความเห็นไปยังรัฐบาลผ่านช่องทางทั่วๆ ไป แต่จะขอพบรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผ่านการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน 3 สถาบัน คือ กกร. หลังจากการอภิปรายสิ้นสุดแล้ว เพื่อรับฟังนโยบายรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่อไป

นายธนวรรธน์ พลวิชัย คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านพยายามชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลดำเนินนโยบายต่างๆ โดยไม่เข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง ที่ประกาศใช้ก่อนหน้านี้ต้องอาศัยเวลาจึงจะเป็นผล และรัฐบาลเพิ่งบริหารประเทศเพียง 4 เดือน จึงยังไม่สามารถชี้ข้อผิดพลาดให้ชัดเจนได้

นักวิชาการติงฝ่ายค้านไร้สาระ ประจานซ้ำลอกข้อมูลเว็บไซต์

นักวิชาการ-นักกฎหมาย ซัด ปชป. อภิปรายไร้สาระ หวังขุดประวัติศาสตร์ล้มรัฐบาลแต่ไร้ผล ให้คะแนนเต็มรัฐบาล 3 วันสอบผ่านฉลุย ด้าน “เฉลิม” แฉข้อมูลประชาธิปัตย์ ไร้ทีเด็ด แค่ดึงจากเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ และเวทีพันธมิตรฯ ด้าน "วินัย สมพงษ์" ลุกมากล่าวหา “สันติ พร้อมพัฒน์” เรียนไม่จบ จนไฟดับในสภา วิจารณ์กันแซดโกหกมดเท็จจนน้ำไหลไฟดับ ขณะที่ อดีตอธิการบดี รามฯ ออกโรงยัน “สันติ” จบการศึกษาถูกต้อง แค่คนชื่อคล้ายกัน

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.51 ซึ่งเป็นการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในวันที่สามของการพิจารณา ช่วงเช้าเป็นการอภิปราย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากนั้นในช่วงบ่ายได้เริ่มอภิปรายในส่วนของกระทรวงคมนาคม โดย พ.อ.วินัย สมพงษ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นอภิปราย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ต่อจากนั้น นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายนายกรัฐมนตรี และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จากนั้น นายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายต่อประเด็นการเช่ารถโดยสารปรับอากาศ NGV ของ ขสมก.จำนวน 6,000 คัน

* “วินัย” ยกหางตัวเองจนไฟดับ
พ.อ.วินัย สมพงษ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.คมนาคม ลุกขึ้นเป็นผู้อภิปราย โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะมุ่งเปรียบเทียบผลงานของตัวเองในอดีตว่าดีกว่ารัฐบาลทำ รวมทั้งพุ่งเป้าไปที่ปัญหาคุณธรรม จริยธรรมของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ระบุมีหลักฐานว่า ขณะนายสันติ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ถูกจับได้ว่าให้บุคคลอื่นเข้าสอบแทน โดยปลอมใบขับขี่ใช้เป็นหลักฐานในการเข้าสอบ จนถูกลบชื่อจากการเป็นนักศึกษา

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.อ.วินัย อภิปรายได้ไม่นานการประชุมต้องยุติลงกะทันหัน เนื่องจากไฟฟ้าดับ ทำให้ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานการประชุม ได้ยุติการประชุมไว้จนกว่าไฟฟ้าจะมา และมีรายงานข่าวว่าบรรยากาศก่อนที่ไฟฟ้าจะดับ พ.อ.วินัย ได้ย้อนอดีตผลงานของตัวเอง ทำให้บรรดา ส.ส.หยอกล้อแซว พ.อ.วินัย ว่า พูดจนน้ำไหล ไฟดับ

* ยันเรียนจนจบปริญญาโท
นายสันติ ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องวุฒิการศึกษา ว่า ตนไม่เคยทำใบขับขี่ตลอดชีพ ส่วนเรื่องการไปสอบ หรือไม่ไปสอบ ตนไม่เคยดำเนินการในเรื่องเหล่านั้น ตนเข้าเรียนที่รามคำแหงเมื่อปี 43 จบปริญญาตรี ปี 2545 และเรียนต่อปริญญาโท จบใน 2 ปีถัดมา ส่วนมหาวิทยาลัยดำเนินการอย่างไรตนไม่ทราบ

นายสันติ กล่าวว่า ส่วนเรื่องรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นทางรถไฟยกระดับ รวม 12 สถานี ดำเนินการมาก่อนที่ตนจะเข้ารับตำแหน่ง มีการออกแบบ เวนคืน เรียบร้อยก่อนตนเข้ามาแล้ว ตนเชิญ รฟม.มาหารือเรื่องการดำเนินการเรื่องรถไฟนี้ต่อไป ปราฏว่า รฟม.ทำไปเรียบร้อยแล้ว และจัดที่จอดรถเอาไว้แล้วเกือบ 2,000 คัน ในแต่ละสถานี ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการสร้างที่ไม่สมประโยชน์ จึงสั่งให้ปรับในแต่ละสถานี ให้ลดปริมาณส่วนตัวเหล่านี้ลงไป และเพิ่มพื้นที่รถจักรยาน และพื้นที่จอดรถจักรยานยนต์ แท็กซี่ รถตู้ รถเมล์เล็ก เพื่อลดการใช้รถส่วนตัว

“ส่วนเส้นทางแอร์พอร์ตลิงก์เริ่มจากมักกะสัน อีกเส้นผ่านไปดอนเมืองมี 2 สาย คือ บางซื่อ - รังสิต และหมอชิต -พหลโยธิน สะพานใหม่ กระทรวงหารือสั่งให้ รฟม.หาทางเชื่อมสายสีเขียวเข้ม เข้าดอนเมือง หากไม่สามารถดำเนินการได้จะใช้เส้นบางซื่อ - รังสิต เมื่อโครงการเหล่านี้แล้วเสร็จ สนามบินสุวรรณภูมิ และ ดอนเมืองจะเชื่อมต่อกันได้”

นายสันติ กล่าวด้วยว่า รถไฟรางคู่ ขณะนี้ เรื่องน้ำมันราคาแพง เพิ่มขึ้นเกือบ 100 % การศึกษาของกระทรวงคมนาคม ในประเทศไทยเรื่องการขนส่ง มีปัญหาค่าขนส่งของไทย เมื่อเทียบจีดีพีสูง 16% ขณะที่ประเทศอื่นๆ เพียง 6-7 เท่านั้น ค่าขนส่งของไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ เกือบ 10% ทำให้การขนส่งของไทยสู้ต่างประเทศไม่ได้ การรถไฟจึงเสนอสร้างรถไฟรางคู่ และในทุกระยะทุกๆ 100 กม.จะให้มีสถานีขนส่งสินค้า และนิคมอุตสาหกรรม ให้ประชาชนสามารถมีงานทำโดยไม่ต้องย้ายถิ่นที่อยู่เข้ามาทำงานใน กทม.
* ม.ราม ” ยัน “สันติ” จบถูกต้อง

นายรังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ชี้แจงว่า มีกรณีการสอบแทนกันเกิดขึ้นจริงแต่เป็นบุคคลอื่นที่ชื่อคล้ายนายสันติ พร้อมพัฒน์ คือ ชื่อนายสานติ พรมพัฒน์ และจับผู้ที่สอบแทน นายสานติ ได้ชื่อนายสวัสดิ์ และดำเนินคดีไปแล้ว ส่วนกรณีนายสันตินั้น เป็นข้อผิดพลาดของฝ่ายวินัย ซึ่งไม่ได้มีการสอบสวน และเสนอชื่อนายสันติ มาให้ตนลงนามคัดชื่อออก เมื่อนายสันติ ทราบเรื่องก็มาต่อว่าทางมหาวิทยาลัย ว่าไม่ได้มีการสอบสวนก่อน

นายรังสรรค์ กล่าว่า ในปี 2542 เป็นปีที่ครบรอบ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สภามหาวิทยาลัย ได้ออกระเบียบว่าด้วยการล้างมลทินเนื่องในมหามงคลพระชนมพรรษา 6 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2542 ในระเบียบระบุให้ล้างมลทินให้แก่บรรดานักศึกษาผู้ถูกลงโทษทางวินัย หรือผู้ถูกกล่าวหาว่าทำผิดวินัยนักศึกษา ให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกกล่าวหา หรือถูกลงโทษ หรือถูกลงทัณฑ์ทางวินัย นายสันติ จึงใช้ช่องทางนั้นและได้รับโอนหน่วยกิตคืนมาทั้งหมด และจบการศึกษาในปี 2545

“ยืนยันว่า นายสันติ จบการศึกษาถูกต้อง มีทรานสคริปต์ครบถ้วน โดยการนิรโทษกรรมนักศึกษาในปี 2542 มีทั้งหมด 44 คน โดยที่เราไม่รู้ว่าเป็น นายสันติ หรือไม่ เพราะตอนนั้น ไม่มีใครรู้จัก นายสันติ และการล้างมลทินลักษณะนี้ก็สอดคล้องกับกฎหมายล้างมลทิน ซึ่งก็ล้างมลทินให้กับข้าราชการที่ทุจริตสามารถกลับเข้ารับราชการได้”

นอกจากนี้ อีกประการหนึ่ง เป็นเพราะทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ตั้งกรรมการสอบสวนนายสันติ อาจมีการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ใครจะทะเลาะอะไรกัน ก็อย่ามาเอามหาวิทยาลัยรามคำแหงไปเป็นเหยื่อ ส่วนกรณีเป็นบอร์ดการบินไทยนั้น ขอให้ไปตรวจสอบว่า ในแต่ละปีอาจารย์และนักศึกษารามฯ ใช้บริการการบินไทยมากแค่ไหน เรื่องนี้อย่ามาดูถูกกัน และผู้แต่งตั้งตนก็คือ กระทรวงการคลัง

* คิดดีทำดีไม่ใช่แค่ฝ่ายค้าน
ขณะที่ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) ที่จะเช่ารถปรับอากาศ NGV รวม 6,000 คัน คิดเป็นมูลค่าโครงการ 111,690 ล้านบาทนั้น

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ในฐานะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงทราบข้อมูลใน ขสมก. ทราบว่ามีหนี้สินติดลบถึง 74,000 ล้านบาท และรู้ทุกขั้นตอนในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเมื่อมีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเข้าที่ประชุมมา ซึ่งเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี น่าจะสะสางปัญหาหนี้สินของ ขสมก. ได้ จึงเห็นด้วย แต่เนื่องจากข้อมูลยังไม่ชัดเจน จึงดึงเรื่องออกมาก่อน

ดังนั้นจะกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาไม่ได้ ทั้งนี้หากฝ่ายค้านเห็นว่า เรื่องนี้ไม่โปร่งใสก็ให้ส่งเอกสารให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ พร้อมระบุคนคิดดีทำดีไม่ได้มีเฉพาะฝ่ายค้านอย่างเดียวในรัฐบาลก็มี อีกทั้งการทำงานเพื่อบ้านเมืองก็ไม่จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้ใครรับรู้หรือเป็นข่าว

* ขุดประวัติศาสตร์เข้าสภา
ผศ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าเท่าที่ฟังการเปิดอภิปรายมา อาจไม่ต่อเนื่องแต่ก็จับใจความได้ว่าฝ่ายค้านมีข้อมูลในการอภิปรายน้อย ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีการนำเรื่องทางประวัติศาสตร์มาอภิปราย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นทางฝ่ายค้านไม่ควรรีบเปิดอภิปรายเนื่องจากรัฐบาลเพิ่งทำงานได้เพียง 4 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะหากจะมีการเปิดอภิปรายรัฐบาลชุดนี้ควรดูที่ผลงาน อาจจะประมาณ 2 ปี ถึงเปิดอภิปราย

ทั้งนี้เรื่องที่เปิดอภิปรายส่วนใหญ่มีแต่เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้เป็นคนก่อ และส่วนมากมุ่งประเด็นโจมตีไปที่รัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลชุด นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ฝ่ายค้านหากอยากมีการเปิดอภิปรายควรให้รัฐบาลทำงานไปก่อน

“ผมมองว่าฝ่ายค้านไปอภิปรายรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเลย เรื่องเขาพระวิหาร ก็ไปโยงเข้ามาให้รัฐบาลชุดนี้รับผิดชอบ เรื่องที่อภิปรายไม่มีประโยชน์เลย กรอบที่จะอภิปรายคือการอภิปรายผลงาน ไม่ขุดเรื่องประวัติศาสตร์ และมุ่งแต่ล้มรัฐบาล”นายสุธาชัย กล่าว

นายสุธาชัย กล่าวอีกว่า เท่าที่ฟังการอภิปรายก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่ารัฐบาลชุดนี้สอบผ่านหรือไม่ เนื่องจากประเด็นที่นำมาอภิปรายไม่มีประเด็นที่จะนำมาสอบได้เลย อีกทั้งลักษณะการอภิปรายก็จืดชืด การโต้ตอบก็ดีไม่รุนแรง แต่เนื้อหาที่นำมาอภิปรายไม่มีอะไรเลย ไม่หนักแน่นอย่างที่คิดไว้

* อภิปราย 3 วันรัฐบาลสอบผ่าน

ด้าน นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ในการอภิปราย 3 วันที่ผ่านมา รัฐบาลสอบผ่าน การจี้แจงของรัฐมนตรีแต่ละท่านชัดเจนในเนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีปราสาทเขาพระวิหารที่ฝ่ายค้านพยายามจะนำประเด็นทางประวัติศาสตร์มาโจมตี นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฉลาดที่จะตอบคำถาม และฉลาดที่จะย้อนถามฝ่ายค้านที่ว่า หากฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลจะต้องตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไรสักอย่าง จะฟังนักวิชาการและดร.นอกราชการ หรือฟังข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ กรมแผนที่ทหารซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยยิ่งกว่าใครๆ ที่รับรองว่าประเทศไทยไม่เสียอาณาเขตเลยสักนิด คุณจะเชื่อข้อมูลจากใคร จะทำตามใคร

“รมว.ต่างประเทศตอบชี้แจงได้ค่อนข้างชัดเจน และเขมรเองก็ขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องอาณาเขต ไม่ได้พูดว่าเป็นเขตของใคร หากผมเป็นศาลจะชี้ 2 สถานไว้ก่อนว่าคดีนี้คู่ความเขียนเรื่องอะไร เรื่องอาณาเขต หรือเรื่องสิ่งที่จะให้เป็นมรดกโลก” นายมานิตย์ กล่าว
อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาฯ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลสอบผ่านแน่นอนถ้าฝ่ายค้านไม่มีอคติต่อรัฐบาล ไม่ตีความภาษาไทยในเอกสารหลักฐานต่างๆ เป็นอย่างอื่น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ชอบแปลคำไม่ตรงกับราชบัณฑิตยสถาน ความหมายจึงผิด

* เฉลิม ประจาน ปชป. ไร้กึ๊น
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านตลอด 3 วันที่ผ่านมาว่า การอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่เป็นข้อมูลใหม่ มีเพียงการตัดข่าวหนังสือพิมพ์และดูในเว็บไซต์แล้วเก็บข้อมูลมาอภิปราย และน่าสังเกตด้วยว่ามีการนำข้อมูลจากเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ รวมทั้งข้อมูลจากเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาอภิปรายในครั้งนี้ด้วย



ปชป.อภิปราย 3 วันแทบขาดใจ แต่สุดท้ายน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง

นักวิชาการ ซัด ปชป. อภิปราย 3 วัน น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง เอาแต่ขุดประวัติศาสตร์มาถล่มรัฐบาล ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้เลย แถมเนื้อหาอ่อน ไม่หนักแน่น ทำให้ประชาชนไม่อิน ด้านอดีตหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกา ชี้รัฐบาลสอบผ่านเพราะอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้อย่างชัดเจน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า เท่าที่ตนฟังการอภิปรายมา 2-3 วัน เห็นว่าฝ่ายค้านมีข้อมูลในการอภิปรายน้อย ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีการนำเรื่องทางประวัติศาสตร์มาอภิปราย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นทางฝ่ายค้านไม่ควรรีบเปิดอภิปรายเนื่องจากรัฐบาลเพิ่งทำงานได้เพียง 4 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะหากจะมีการเปิดอภิปรายรัฐบาลชุดนี้ควรดูที่ผลงาน อาจจะประมาณ 2 ปี ถึงเปิดอภิปราย

ทั้งนี้เรื่องที่เปิดอภิปรายส่วนใหญ่มีแต่เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้เป็นคนก่อ และส่วนมากมุ่งประเด็นโจมตีไปที่รัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐบมนตรี เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลชุด นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ฝ่ายค้านหากอยากมีการเปิดอภิปรายควรให้รัฐบาลทำงานไปก่อน

“ผมมองว่าฝ่ายค้านไปอภิปรายรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเลย เรื่องเขาพระวิหาร ก็ไปโยงเข้ามาให้รัฐบาลชุดนี้รับผิดชอบ เรื่องที่อภิปรายไม่มีประโยชน์เลย กรอบที่จะอภิปรายคือการอภิปรายผลงาน ไม่ขุดเรื่องประวัติศาสตร์ และมุ่งแต่ล้มรัฐบาล”นายสุธาชัย กล่าว

นายสุธาชัย กล่าวอีกว่า เท่าที่ฟังการอภิปรายก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่ารัฐบาลชุดนี้สอบผ่านหรือไม่ เนื่องจากประเด็นที่นำมาอภิปรายไม่มีประเด็นที่จะนำมาสอบได้เลย อีกทั้งลักษณะการอภิปรายก็จืดชืด การโต้ตอบก็ดีไม่รุนแรง แต่เนื้อหาที่นำมาอภิปรายไม่มีอะไรเลย ไม่หนักแน่นอย่างที่คิดไว้

ด้านนายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ในการอภิปราย 3 วันที่ผ่านมา รัฐบาลถือว่า สอบผ่าน เพราะการจี้แจงของรัฐมนตรีแต่ละท่านชัดเจนในเนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีปราสาทเขาพระวิหารที่ฝ่ายค้านพยายามจะนำประเด็นทางประวัติศาสตร์มาโจมตี นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฉลาดที่จะตอบคำถาม และฉลาดที่จะย้อนถามฝ่ายค้านที่ว่า หากฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลจะต้องตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไรสักอย่างจะฟัง นักวิชาการและดร.นอกราชการ หรือฟังข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ กรมแผ่นที่ทหารซึ่งมีหน้าทีในการปกป้องอธิปไตนยิ่งกว่าใครๆ ที่รับรองว่าประเทศไทยไม่เสียอาณาเขตเลยสักนิด คุณจะเชื่อข้อมูลจากใคร จะทำตามใคร

“รมว.ต่างประเทศตอบชี้แจงได้ค่อนข้างชัดเจน และเขมรเองก็ของขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องอาณาเขต ไม่ได้พูดว่าเป็นเขตของใคร หากผมเป็นศาลจะชี้ 2 สถานไว้ก่อนว่าคดีนี้คู่ความเขียนเรื่องอะไร เรื่องอาณาเขต หรือเรื่องสิ่งที่จะให้เป็นมรดกโลก” นายมานิตย์ กล่าว

อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาฯ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลสอบผ่านแน่นอนถ้าฝ่ายค้านไม่มีอคติต่อรัฐบาล ไม่ตีความภาษาไทยในเอกสารหลักฐานต่างๆ เป็นอย่างอื่น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ชอบแปลคำไม่ตรงกับราชบัณฑิตยสถาน ความหมายจึงผิด



สุดทน!ม็อบป่วน นร.เข้าชื่อร้องศาล

* ตร.เข้ม‘คอมมานโด’สกัดพันธมิตรบุกสภา

“ครู-นักเรียน” สุดทนพฤติกรรมม็อบพันธมิตรฯ ทำเสียงดัง-รถติด-ชักชวนร่วมวงไล่รัฐบาล แถมอุจจาระ-ปัสสาวะเหม็นคลุ้งจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ซ้ำยังอ้างหน้าตาเฉยทุกฝ่ายต้องอดทนเพื่อชาติ ร่วมกันลงชื่อส่งตัวแทนพร้อมทนายความร้องขอความคุ้มครองจากศาลวันนี้ “คุณครู” ระบุพูดดีด้วยหลายครั้งแต่คุยกันไม่รู้เรื่อง ย้อนถามทำเพื่อชาติหรือทำเพื่อใครกันแน่ แต่ยังไม่วายโดนพันธมิตรฯ ป้ายสี กล่าวหาเป็นเครื่องมือรัฐบาลกลั่นแกล้งผู้ชุมนุม ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดกำลังเข้ม ทั้ง “อรินทราช-พลร่ม-ตชด.” ประกาศกร้าวไม่ยอมให้ม็อบบุกสภาตามแผนป่วนการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณแน่

การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สร้างความเดือดร้อนต่อการสัญจรไปมา รวมทั้งสร้างปัญหาให้การเรียนการสอนของโรงเรียนในย่านนั้น อย่างเช่นโรงเรียนราชวินิตมัธยม โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพาณิชย์พระนคร ยังคงดำเนินไปอย่างวต่อเนื่อง โดยไม่สนใจไยดีความเดือดร้อนของผู้คน

แม้ว่าครู อาจารย์ และนักเรียน จะมีการขอร้องให้มีการเปิดทางบางส่วนให้สามารถเดินทางได้สะดวกขึ้น และลดเสียงของเครื่องขยายเสียงบนเวทีลงบ้าง เพื่อให้การเรียนการสอนดำเนินต่อไปได้ แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบ
โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำการชุมนุม ออกมาระบุว่าการเปิดเส้นทางอาจทำให้เกิดอันตรายกับผู้ชุมนุมได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นยังควรเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายควรเสียสละเพื่อบ้านเมือง

นักเรียนขอศาลคุ้มครองวันนี้

จากความเดือดร้อนดังกล่าวนี้เองได้ทำให้ครู นักเรียน และผู้ปกครองได้ตัดสินใจที่จะพึ่งอำนาจศาลเพื่อคุ้มครองในเรื่องดังกล่าว

โดยในเวลา 09.00 น.วันนี้ (27 มิ.ย.) กลุ่มครู อาจารย์ และนักเรียนที่เดือดร้อนจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมด้วยทนายความจะเดินทางไปยังศาลแขวงดุสิต เพื่อยื่นฟ้องแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กรณีได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุม

แหล่งข่าวครูโรงเรียนราชวินิตมัธยม ระบุว่าเหตุที่ต้องไปยื่นฟ้องที่ศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลแพ่ง เนื่องจากแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ใช่บุคคลในหน่วยงานราชการ โดยประเด็นหลักในการยื่นฟ้อง เพื่อให้แกนนำยุติการชุมนุม หรือย้ายไปชุมนุมที่อื่น เนื่องจากขณะนี้ โรงเรียนและสถานศึกษาใกล้เคียง ได้รับความเดือดร้อนหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเสียงที่รบกวนสมาธิในการเรียนการสอนในเวลากลางวัน ใช้ถ้อยคำหยาบคายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน เรื่องการค้าขายของพ่อค้า แม่ค้ารอบบริเวณการชุมนุม ที่ส่งกลิ่นรบกวนและมีขยะสกปรกในสถานที่โดยรอบ เรื่องการจราจรที่มีปัญหาเนื่องจากถนนสายหลัก 2-3 สายถูกปิดกั้นทำให้การเดินทางไปโรงเรียนลำบากมาก และส่งผลโดยรวมทางสภาพจิตใจ มีผลกระทบมากมาย

ชี้สภาพจิตแย่-เรียนไม่รู้เรื่อง
“ขณะนี้ครู นักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม รวมทั้งสถานศึกษาใกล้เคียง เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพาณิชย์พระนคร มีสุขภาพจิตที่ค่อนข้างแย่ เนื่องจากมีความเครียดจากผลกระทบดังกล่าว และขณะนี้ ใกล้สอบอีกด้วย จึงจำเป็นต้องดำเนินการเรียกร้องขออำนาจศาลเรียกร้องความเป็นธรรมดังกล่าว ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการอาจารย์และนักเรียนได้ไปเจรจาและยื่นหนังสือขอความร่วมมือกลุ่มพันธมิตรฯ แล้ว แต่ถูกไล่กลับ โดยอ้างว่า การชุมนุมเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ขอให้นักเรียนอดทนไปก่อน”

ครูโต้เดือดร้อนจริงไม่ได้แกล้ง
อ.ธาราริน บุตรแสงดี อาจารย์โรงเรียนราชวินิตมัธยม กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ออกมากล่าวตอบโต้เรื่องการที่บรรดาครู ผู้ปกครอง และนักเรียนที่เดือดร้อนจะไปยื่นฟ้องที่ศาลแพ่ง ว่าเป็นแผนการกลั่นแกล้งของรัฐบาล และออกมาเรียกร้องให้บรรดาครูผู้ปกครองเห็นแก่การทำประโยชน์ของชาติที่พวกพันธมิตรฯ กำลังทำอยู่ในขณะนี้ ว่าการที่พวกตนรวมตัวกันเพื่อที่จะไปฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอความเป็นธรรมนั้น เป็นเพราะพวกตนกำลังประสบปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพวกพันธมิตรฯ จริงๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นการคิดจะทำร้ายเลยแม้แต่น้อย และยังเป็นสิทธิของผู้ที่เดือดร้อนพึงจะกระทำได้อีกด้วย

พันธมิตรฯ เคยมารู้สึกเดือดร้อนกับพวกตนหรือไม่ ถึงได้มาพูดจาแบบนี้ เคยรู้หรือไม่ว่าการปิดถนนนั้นสร้างความเดือดร้อนให้กับเด็กนักเรียนมากแค่ไหน บรรดาเด็กที่ยังเล็กๆ ที่ผู้ปกครองต้องเดินทางมาส่งด้วยตนเอง เพราะต่างก็เป็นห่วงความปลอดภัย ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ผู้ปกครองไม่ต้องการให้ลูกหลานถูกพวกพันธมิตรฯ ชักจูงไปให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ย้อนถามม็อบทำเพื่อใคร
ส่วนที่ พล.ต.จำลอง ออกมาบอกให้คิดถึงการกระทำเพื่อผลประโยชน์ของชาตินั้น อยากจะถามว่าพันธมิตรฯ เคยคิดถึงเรื่องนี้จริงหรือเปล่า เพราะการออกมาขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นมันถูกต้องและเห็นแก่คนในชาติแล้วหรือไม่ และที่ออกมาทำลายสมาธิและปลูกฝังจิตสำนึกวิถีทางการประชาธิปไตยที่ผิดๆ ให้กับเด็กนักเรียนที่จะต้องเป็นอนาคตของชาติมันเป็นสิ่งที่เรียกว่าทำเพื่อชาติตรงไหน

ดังนั้นพวกตนจึงมีสิทธิทุกอย่างที่จะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม และไม่อยากที่จะปล่อยให้พันธมิตรฯทำตัวยิ่งใหญ่คับถนน เพราะว่าเป็นของสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิใช้ได้

ห่วง พธม. ดึงนักเรียนร่วมวง
ขณะเดียวกัน นางวรรธนันท์ พรวนต้นไทร อาจารย์โรงเรียนเดียวกัน กล่าวว่า สิ่งที่ตนและบรรดานักเรียนเดือดร้อนมากที่สุดคือ การเดินทางมาโรงเรียน เพราะเนื่องจากตนอายุมากแล้ว อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องน้ำหนัก จึงส่งผลให้เหนื่อยง่าย ตั้งแต่ที่พันธมิตรฯ มารวมตัวกันแล้วปิดถนนส่งผลอย่างมาก มีผู้ปกครองของเด็กนักเรียนได้ส่งจดหมายมาร้องเรียนมาแล้วหลายราย

อ.วรรธนันท์ กล่าวต่ออีกว่า พยายามตั้งข้อสังเกต ว่าจากที่พันธมิตรฯ มีการชุมนุมนั้น ในแต่ละครั้งที่มีการย้ายสถานที่จะต้องอยู่ใกล้สถานศึกษา ซึ่งทำให้อดคิดไม่ได้าว่าพันธมิตรฯ ต้องการนำเยาวชนมาเป็นเครื่องต่อรองในการต่อสู้ของพันธมิตรฯ ด้วย

นอกจากนี้พฤติกรรมของผู้ชุมนุมยังพยายามพูดชักจูงปลูกฝัง เสี้ยมสอนให้พูดถ้อยคำที่พันธมิตรฯใช้ด่ารัฐบาล และหลอกล่อให้เด็กนักเรียนซื้อผ้าโพกหัวและผ้าพันคอสีเหลือง จึงรู้สึกเป็นห่วงเด็กนักเรียนอย่างมาก ผู้ปกครองเองก็กังวลอยู่เช่นกัน

อีกประการหนึ่งที่สำคัญ มีการเรียกร้องให้พวกตนเห็นแก่ประโยชน์ของชาติ และกล่าวหาว่าการที่พวกเราจะไปยื่นฟ้องศาลเป็นแผนกลั่นแกล้ง ถือว่าเป็นคำพูดของคนที่ไม่มีความคิด มีสิทธิอะไรมาห้ามไม่ให้คนอื่นเรียกร้องความชอบธรรมที่ ถูกลิดรอนไป การที่ออกมาทำเช่นนี้ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าเป็นพวกที่ชอบตะแบง หากพูดจากันต่อไปคงจะไม่รู้เรื่องแน่

นักเรียนรุมฉะรถติด-เหม็นฉี่
ขณะเดียวกันนักเรียนและครูก็ได้ร่วมกันลงชื่อเพื่อนำไปร้องต่อศาลในครั้งนี้ด้วย โดยในส่วนของนักเรียนบางห้อง นอกจากลงชื่อแล้วยังได้แสดงความคิดเห็น และชี้แจงความเดือดร้อนเอาไว้ด้วย อย่างเช่น

ก่อความเดือดร้อน เรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะมีเสียงดัง ส่งกลิ่นเหม็นมาก มาปิดถนนการสัญจรไม่สะดวก กลุ่มประท้วงก่อความเดือดร้อน ปิดถนนสัญจรไปมาของประชาชน ทำให้เกิดความลำบากในการสัญจร รบกวนสมาธิในการเรียนและส่งกลิ่นเหม็นอุจจาระ ปัสสาวะ ทำให้เกิดมลภาวะ รถติดเปลืองน้ำมัน เดินทางไม่สะดวก

เดินทางยากมาก ต้องวนรถตั้งนานกว่าจะถึง เรียนไม่รู้เรื่อง รถติดมาก เหม็นฉี่ ต้องเดินจากบ้านมาโรงเรียน เหม็นและต้องเดินไกล ทำให้มาโรงเรียนไม่สะดวก หาทางกลับบ้านไม่ได้ ทำให้การจราจรสับสน เหม็นปัสสาวะ ฯลฯ

ม็อบถ่อยอหังการบุก บชน.
ขณะเดียวกันกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังแสดงอำนาจบาตรใหญ่ โดยในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ นายแสงธรรม ชุนชฎาธาร ประธานนักเรียนโรงเรียนสาธิตมัฆวานฯ แห่งมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ได้พากันเดินไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่ออ่านแถลงการณ์ตอบโต้การให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. ที่ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า “สำหรับการชุมนุมที่จะส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาโดยรอบทำเนียบ อยากให้ผู้ปกครองนำเด็กนักเรียน นำดอกบัวมากราบแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วบอกว่าหนูอยากเรียนหนังสือ ไม่อยากโง่ เพราะว่าถ้าโง่ก็กลัวว่าจะต้องมานั่งชุมนุมแบบนี้ ซึ่งหากกลุ่มพันธมิตรฯ ยังนิ่งเฉย และปล่อยให้ลูกหลานเป็นคนโง่ก็ตามใจ”

โดยคำตอบโต้ระบุว่าการใช้คำพูดของ ผบช.น. ในลักษณะนี้ ถือเป็น ภาพสะท้อนซึ่งขาดวุฒิทางปัญญา โดยการที่ใช้นักเรียนเป็นเครื่องมือเพื่อประชดประชันกลุ่มพันธมิตรฯ ถือเป็นการดูถูกสติปัญญาของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งไม่ใช่วิสัยของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

ตร.พร้อมรับมือม็อบบุกสภา
ขณะเดียวกันท่ามกลางกระแสข่าวว่า พันธมิตรฯ จะเคลื่อนพลบุกรัฐสภา เพื่อกดดันการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีนโยบายหรือมาตรการสลายกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปักหลักหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ได้สั่งเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นในวันลงมติญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวที่รุนแรงขึ้น และจะไม่อนุญาตให้ลุกล้ำเข้าไปในเขตรัฐสภาเด็ดขาด

ส่วน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เผยว่า ขณะนี้ได้จัดกำลังตำรวจไว้คอยรักษาความปลอดภัยบริเวณรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว หลังมีกระแสข่าวกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเตรียมใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายส่งกลุ่มผู้ชุมนุมมากดดันการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ

สำหรับกำลังตำรวจที่จะใช้ในการรักษาความปลอดภัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ตำรวจตระเวนชายแดนจากค่ายนเรศวร หน่วยพลร่ม และหน่วยอรินทราช หน่วยละ 2 กองร้อย



อดีตอธิการฯ ม.ราม ยืนยัน “สันติ พร้อมพัฒน์” จบการศึกษาถูกต้อง

“รังสรรค์ แสงสุข” ยัน “สันติ พร้อมพัฒน์” จบการศึกษาถูกต้อง ไม่ได้ทุจริตการสอบ แต่เป็นบุคคลอื่นที่ชื่อคล้ายกัน โดยทางมหาวิทยาลัยได้ดำเนินคดีไปแล้ว ส่วนชื่อ นายสันติ ถูกคัดออกเป็นความผิดพลาดของฝ่ายวินัย และได้รับการล้างมลทินพร้อม นศ.อื่นๆ วอนอย่าเอาสถาบันไปเป็นเหยื่อ

นายรังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีรามคำแหง ชี้แจงว่า กรณีการสอบแทนกันเกิดขึ้นจริงแต่เป็นบุคคลอื่นที่ชื่อคล้ายนายสันติ พร้อมพัฒน์ คือ ชื่อนายสานติ พรมพัฒน์ และจับผู้ที่สอบแทน นายสานติ ได้ ชื่อ นายสวัสดิ์ และดำเนินคดีไปแล้ว ส่วนกรณี นายสันตินั้น เป็นข้อผิดพลาดของฝ่ายวินัย ซึ่งไม่ได้มีการสอบสวน และเสนอชื่อ นายสันติ มาให้ตนลงนามคัดชื่อออก เมื่อ นายสันติ ทราบเรื่องก็มาต่อว่ามหาวิทยาลัย ว่าไม่ได้มีการสอบสวนก่อน

นายรังสรรค์ กล่าวว่า ในปี 2542 เป็นปีที่ครบรอบ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สภามหาวิทยาลัย ได้ออกระเบียบว่าด้วยการล้างมลทินเนื่องในมหามงคลพระชนมพรรษา 6 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2542 ในระเบียบระบุให้ล้างมลทินให้แก่บรรดานักศึกษาผู้ถูกลงโทษทางวินัย หรือผู้ถูกกล่าวหาว่าทำผิดวินัยนักศึกษา ให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกกล่าวหา หรือถูกลงโทษ หรือถูกลงทัณฑ์ ทางวินัย นายสันติ จึงใช้ช่องทางนั้นและได้รับโอนหน่วยกิตคืนมาทั้งหมด และจบการศึกษาในปี 2545

“ยืนยันว่า นายสันติ จบการศึกษาถูกต้อง มีทรานสคริปต์ครบถ้วน โดยการนิรโทษกรรมนักศึกษาในปี 2542 มีทั้งหมด 44 คน โดยที่เราไม่รู้ว่าเป็น นายสันติ หรือไม่ เพราะตอนนั้น ไม่มีใครรู้จัก นายสันติ และการล้างมลทินลักษณะนี้ก็สอดคล้องกับกฎหมายล้างมลทิน ซึ่งก็ล้างมลทินให้กับข้าราชการที่ทุจริตสามารถกลับเข้ารับราชการได้ และอีกประการหนึ่ง เป็นเพราะทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ตั้งกรรมการสอบสวนนายสันติ อาจมีการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ใครจะทะเลาะอะไรกัน ก็อย่ามาเอามหาวิทยาลัยรามคำแหงไปเป็นเหยื่อ ส่วนกรณีเป็นบอร์ดการบินไทยนั้น ขอให้ไปตรวจสอบว่า ในแต่ละปีอาจารย์และนักศึกษารามฯ ใช้บริการการบินไทยมากแค่ไหน เรื่องนี้อย่ามาดูถูกกัน และผู้แต่งตั้งผมก็คือ กระทรวงการคลัง”นายรังสรรค์ กล่าว