WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, May 14, 2011

เจาะหุ้น"ปชป.-เพื่อไทย"กลางกระแสเลือกตั้ง ?หุ้นเอสซีกระฉูดเฉียด 20 %

ที่มา มติชน



กระแส เลือกตั้งโหมเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยแล้ว ซึ่งทำให้บรรดาหุ้นที่มีรายชื่อเครือญาติของนักการเมืองถืออยู่โดนเพ่งเล็ง กันเป็นพิเศษว่าบริษัทไหนจะมีความเคลื่อนไหวของราคาและโครงสร้างผู้ถือหุ้น อย่างไรบ้าง ทีมข่าวเจาะได้รวบรวมไว้ดังนี้

กลุ่มพรรคเพื่อไทย ซึ่งแน่นอนว่าครอบครัวชินวัตรเป็นเบอร์ 1 ของพรรคนี้ มีรายชื่อ ส.ส.ที่ประกาศออกมาแล้วคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SC) และยังมีผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 29.61% นางสาวพินทองทา ชินวัตร 28.66% นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 4.90% คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 2.85%

ขณะที่บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MLINK) ก็คับคั่งไปด้วยคนในตระกูลชินวัตร ตั้งแต่ผู้ถือหุ้น นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ถือหุ้นรวม 10.05% และยังมีนายอนุสรณ์ อมรฉัตร (สามีนางสาวยิ่งลักษณ์) เป็นกรรมการผู้อำนวยการบริษัท

นอกจากนี้ นายบรรณพจน์ถือหุ้นในบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (TCAP) จำนวน 0.80% ส่วนคุณหญิงพจมานก็ยังถือหุ้นในบริษัทโรงพยาบาลวิภาวดี จำนวน 0.51%

ขณะเดียวกันรายชื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังปรากฏรายชื่อผู้สมัคร นายพายัพ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 2546-2548 ซึ่งหุ้นที่เข้าไปลงทุนเป็นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างส่วนใหญ่ เช่น บริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด หรือ CEN, บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (EMC), บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (PLE) และบริษัท ซิโน-ไทย รีซอร์เซส ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (STRD)

ด้านพรรคประชาธิ ปัตย์ ก็มีรายชื่อ ส.ส.ออกมาแล้วเช่นกัน มีหลากหลายกลุ่ม เริ่มตั้งแต่ ม.ล.อภิมงคล โสณกุล ซึ่งเป็นลูกชายของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หรือหม่อมเต่า ก็พบว่า ม.ร.ว.จัตุมงคลมีการลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (RAIMON) จำนวน 1.97%, บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (CNT) 0.66%, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (GUNKUL) จำนวน 2.23%, บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (RCL) จำนวน 0.60% และบริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (SMT) จำนวน 1.72%

นาย สรรเสริญ สมะลาภา หนึ่งใน ส.ส.ของพรรค ก็เป็นพี่ชายของนายเสริมสิน สมะลาภา นั้นพบว่า นายเสริมสินเองมีการลงทุนในหุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (NMG) จำนวน 8.50%

นายวิจิตร สุพินิจ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ปัจจุบันทาง ก.ล.ต.มีหน้าที่ในการตรวจสอบการซื้อขายในตลาดหุ้นที่เข้มงวดอยู่แล้ว และมีกระบวนการติดตามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ได้มีคำสั่งเป็นพิเศษจากภาครัฐให้จับตาดูการซื้อขายในตลาดหุ้นมาก ขึ้น เพราะอย่างไรก็เป็นหน้าที่ของ ก.ล.ต.อยู่แล้ว

นอกจากนี้ ยังคาดด้วยว่าแนวโน้มการเปรียบเทียบปรับผู้กระทำความผิดในปีนี้จะเพิ่มขึ้น ตามมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโตดี ซึ่งในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ก.ล.ต.ก็มีการเปรียบเทียบปรับผู้กระทำความผิดไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีมูลค่าสูงกว่าปี 2553 ทั้งปี และยังมีการเปรียบเทียบปรับรายบุคคลมูลค่าสูงถึงหลายล้านบาท

ล่า สุด หุ้นเอสซีกระฉูดรับข่าวยุบสภา โบรกฯเผยแค่สัปดาห์เดียวพุ่งเฉียด 20% สูงกว่าราคาเหมาะสมถึง 12% แนะขาย ขณะที่บอร์ดตั้ง "เอม" นั่งบอร์ดบริหาร ส่วนยิ่งลักษณ์ก็ยังนั่งประธานเหมือนเดิม พร้อมอนุมัติซื้อที่ดินย่านบางกะปิจากตระกูลชินวัตร 8 ไร่ แค่ 128 ล้าน ปลื้มได้ราคาต่ำกว่าประเมิน

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม มีมติแต่งตั้งนางสาวพินทองทา ชินวัตร (หรือเอม บุตรสาวคนโตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารเพิ่มเติมอีก 1 คน มีผลในวันเดียวกัน จากเดิมที่มีกรรมการบริหารอยู่แล้ว 3 คน โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานกรรมการ

นอก จากนี้ บอร์ดยังอนุมัติซื้อที่ดินในเขตคันนายาว บางกะปิ กรุงเทพฯ จากบริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งมีครอบครัวชินวัตรเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 99.99% เพื่อพัฒนาเป็นอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ เนื้อที่ดินประมาณ 8 ไร่ 3 งาน 71.9 ตารางวา ของที่ดินจำนวน 3 แปลง ซึ่งเป็นที่ดินฝั่งตรงข้ามโครงการออฟฟิศ เวิร์ค เพลส รัชดา-รามอินทรา และโครงการทาวน์เฮาส์ วิสต้า ปาร์ค รัชดาฯ-รามอินทรา ซึ่งเป็นโครงการของบริษัท ราคาตารางวาละ 36,000 บาท หรือคิดเป็นเงิน 128.58 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทพี.ที. เป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน เพื่อความโปร่งใสถูกต้องเหมาะสม จึงว่าจ้างบริษัทผู้ประเมินอิสระจำนวน 3 บริษัท ได้ราคาเฉลี่ยเท่ากับตารางวาละ 47,358.61 บาท บอร์ดเห็นว่าราคาซื้อขายที่ดินอัตรา 36,000 บาท ต่อตารางวาต่ำกว่าราคาประเมินทั้งสามราย และที่ดินอยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดี ราคาซื้อขายจึงเป็นราคาที่เหมาะสม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นเอสซีฯปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม ที่มีการทูลเกล้าฯยุบสภาเป็นต้นมา โดยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับขึ้น 2.2 บาท หรือปรับขึ้น 19.81% ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส วิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นบริษัทเอสซีฯปัจจุบันอยู่ในระดับสูงกว่ามูลค่าที่เหมาะสม (แฟร์แวลู) ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ประมาณ 12% ทำให้ระยะสั้นราคาหุ้นมีความเสี่ยงต่อการปรับตัวลดลง ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดคำแนะนำเพื่อการลงทุนเป็นขาย

บล.เอ เซียพลัส ยังระบุว่า ขณะนี้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ได้ทยอยลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นหลายบริษัท หลังจากราคาหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวขึ้น เพื่อรับรู้กำไร ทั้งการขายหุ้น Kaisa group holdings ในจีนเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา การขายหุ้น Hana financial group ในเกาหลี และขายหุ้น Fraser & Neave สิงคโปร์ปลายปี 2553 ต้องดูว่าเหตุการณ์เดียวกันจะเกิดขึ้นในไทยหรือไม่ โดยขณะนี้เทมาเส็กยังคงถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟเซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)

เปิดบัญญัติ 10 ประการการสร้างภาพทางการเมือง การทำให้คนเชื่อเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าความจริง

ที่มา มติชน













ใน ห้วงเทศกาล เลือกตั้ง "มติชนออนไลน์" เจาะเทคนิค Political Maketing หรือ “การสร้างภาพทางการเมือง” อันเป็นเทคนิคสำคัญที่จะทำให้คู่แข่งขันทางการเมือง ได้รับชัยชนะ หรือ พ่ายแพ้

เอาเข้าจริง “การสร้างภาพทางการเมือง”ไม่ใช่เรื่องใหม่

หนังสือบางเล่มบอกว่าเป็น “เทคนิค” ที่ นโปเลียน โบนาปาร์ต นำมาใช้ในการทำสงครามกับอียิปต์เมื่อปี คศ.1798

แต่ หนังสือบางเล่มก็บอกว่าเป็น “เทคนิค” ที่Joseph Goebbels แห่งเยอรมันนำมาใช้ในการสร้างความเป็น “ชาตินิยม” สร้าง “คำขวัญ” เพื่อปลุกใจให้กับชาวเยอรมันในสมัยฮิตเลอร์ ก็สุดแล้วแต่จะว่ากันไปครับ

เทคนิค ของ “การสร้างภาพทางการเมือง” สมัยใหม่เริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกาในสมัยของการหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดีของประธานาธิบดี Eisenhower ที่ได้นำเสนอสโลแกน“I like Ike” ออกเผยแพร่จนติดปากผู้คนไปทั่ว

นี่คงอาจถือได้ว่าเป็น จุดเริ่มต้นที่ทำให้ต่อมาเริ่มมีการนำเอาเทคนิค ด้าน “โฆษณา” และการ “ประชาสัมพันธ์” เข้ามาใช้ในวงการเมืองจนทำให้เกิดอาชีพ “ประชาสัมพันธ์” ด้านการเมืองขึ้นในที่สุด หลังชัยชนะของประธานาธิบดี Eisenhower ในปี คศ.1952 การใช้เทคนิคด้านการตลาด (marketing)

แต่เดิม นั้นใช้กับเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคก็เข้าสู่วงการการเมืองอย่าง เต็มสมบูรณ์และมีการพัฒนาไปสู่รูปแบบต่างๆอีกมากมายจนกระทั่งกลายมาเป็น เครื่องมือใหม่ของนักการเมืองและของพรรคการเมืองที่นำมาใช้ในการติดต่อสื่อ สารกับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้ขยายกว้างออกไปจากแต่เดิมที่ใช้วิธี การเข้าถึงตัวผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งโดยตรง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายคนที่ทำให้การ “การสร้างภาพทางการเมือง” เป็นเรื่องสำคัญและติดตลาดก็คงหนีไม่พ้น ฮิตเลอร์

ฮิตเลอร์ ที่ใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงนำเสนอสิ่งที่ตนต้องการ เช่นนโยบายชาตินิยม ความเหมาะสมของการทำสงคราม ฯลฯ ต่อประชาชน

หรือ ประธานาธิบดีเคนเนดี ที่พยายามสร้างภาพพจน์ของตนเองในฐานะที่เป็นคนอเมริกันรุ่นใหม่ที่ “รัก” ครอบครัวก็ใช้สื่อต่างๆเผยแพร่ “ภาพ” ของตนเองและครอบครัวที่ทำให้คนอเมริกันประทับใจในตัวผู้นำมาก โดยเฉพาะภาพลูกเล็กๆนั่งเล่นในห้องทำงานของทำเนียบขาว ขณะผู้เป็นบิดานั่งทำงานบนโต๊ะทำงานเป็นภาพที่ถือได้ว่าเป็น “ความฝันของอเมริกันชน”

รวมไปถึงการที่ประธานาธิบดีเด อโกลล์แห่งฝรั่งเศสที่ชอบ “เล่น” กับหนังสือพิมพ์เป็นอย่างมากด้วย พัฒนาการของการใช้สื่อประเภทต่างๆเพื่อนำเสนอ “ภาพลักษณ์” ทางการเมืองของทั้งบุคคลและทั้งของนักการเมืองก้าวไปอย่างไม่หยุดจนกระทั่ง ในวันนี้ก็ก้าวไปสู่ยุคของอินเตอร์เน็ทที่ในต่างประเทศดูๆแล้วกลายเป็นสิ่ง สำคัญที่สุดของเทคนิคการสร้างภาพทางการเมืองเพราะอินเตอร์เน็ทนั้น “ไม่มีวัน ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่” เข้าถึงได้ตลอดเวลา!

นี่คือการพัฒนาการของ “การสร้างภาพทางการเมือง”

นัก วิชาการต่างประเทศได้ให้คำนิยามของ Political Marketing เอาไว้ว่า หมายถึงวิธีการทั้งหลายที่องค์กรทางการเมืองนำมาใช้เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ตน ต้องการจะให้กับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ตามความหมายดังกล่าว การสร้างภาพทางการเมืองเป็นการ “นำเสนอ” ตัวบุคคลหรือนโยบายทางการเมืองของพรรคการเมืองต่อสาธารณชนด้วยการนำเอา เทคนิคทางการตลาด (marketing)มาใช้ด้วยวิธีการคล้ายๆกับการขายสินค้าคือนำเอาตัวผู้สมัครรับ เลือกตั้งหรือเอานโยบายของพรรคการเมืองมา “ขาย” เหมือนกับการขาย “สินค้า” นั่นเอง

วิธีการสร้างภาพทางการเมืองจึงเป็นทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ในปัจจุบันในต่างประเทศบางประเทศมี “บริษัท” ที่เปิดขึ้นมาเพื่อประกอบอาชีพนี้โดยเฉพาะ บริษัทที่ว่านี้มีภารกิจสำคัญเริ่มตั้งแต่การศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มอย่างละเอียด จับตาความเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งของรัฐบาล ของกลุ่มการเมืองคู่แข่ง ของกลุ่มผู้ต่อต้านฯลฯ นำเสนอข่าวคราวหรือเรื่องราวต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อ “ลูกค้า” แก่สาธารณชน รวมไปถึงหาทางทำให้ตัวลูกค้า ภาพ ความคิดหรือข้อเขียนของลูกค้าปรากฏในสื่อต่างๆเป็นต้น

กระบวน การสร้างภาพทางการเมืองโดยผ่าน “บริษัท” เป็นกระบวนการที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงเพียงใดการสร้างภาพทางการเมืองก็เป็น “กลยุทธ” สำคัญที่อาจทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับชัยชนะได้ไม่ยากนักเพราะสิ่ง ต่างๆที่นำเสนอออกมาไม่ว่าจะเป็นนโยบาย รูปภาพต่างก็มีสาระและรูปแบบที่ “จงใจ” ทำให้ “ดูดี” เพื่อจะได้ “โดนใจ” ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้มากที่สุด

ดัง ที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการสร้างภาพทางการเมืองนั้นพัฒนามาจากการ ตลาด(marketing) ดังนั้นจึงมีการนำเอาทุกเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการตลาดมาปรับใช้เริ่ม ตั้งแต่หัวใจของอาชีพการตลาดอันได้แก่ การศึกษาวิเคราะห์สิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อค้นหาความต้องการและความ สนใจของประชาชนก่อนที่จะมีการนำเสนอ “ผลิตภัณฑ์” หรือปรับปรุงบริการใหม่

นโยบาย ต่างๆถูกนำมาทดลองกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อหานโยบายที่ดีและเหมาะสม ก่อนที่จะนำเสนอต่อผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง การโฆษณาเปรียบเทียบระหว่างตัวบุคคลหรือระหว่างพรรคการเมืองที่แม้จะไม่ได้ ใช้กันในทุกประเทศ(รวมทั้งประเทศไทยด้วย) แต่ก็เป็นวิธีการที่ทำให้ผู้คนจดจำกันได้มากโดยเฉพาะ “ข้อเสีย” ของฝ่ายที่ถูกนำมาเปรียบเทียบ เพราะส่วนใหญ่แล้วคนมักจะ “เลือก” จำข้อด้อยของคนอื่นมากกว่าข้อดี !!!


ส่วนกระบวนการดั้งเดิม เช่นการส่งจดหมายถึงตัวผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งนั้น ทุกวันนี้ก็ยังใช้กันอยู่ในโอกาสต่างๆ เช่นการนำเสนอนโยบายทางการเมืองใหม่ๆ หรืออาจส่งบัตรอวยพรในโอกาสต่างๆให้กับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเพื่อการ สร้างความประทับใจส่วนตัว รวมไปถึงการบริจาคเงินสนับสนุนทางการเมืองด้วยเช่นเดียวกับการใช้โทรทัศน์ใน การนำเสนอนโยบายและผลงาน การทำโพลเพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

การ ใช้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งโดยตรง การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือดารามาช่วยสนับสนุนการหาเสียงเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ใช้กันอยู่ในการทำการตลาดสำหรับสินค้า และบริการที่ในวันนี้กลายมาเป็นการทำการตลาดด้านการเมืองไปแล้วครับ ยังมีแถมท้ายอีกสองเรื่อง

เรื่องแรกเป็นการนำเอาเทคนิคด้านประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าภาพยนตร์ใหม่มา ใช้กับการเมือง เราทราบว่าในปีหน้าจะมีหนังฟอร์มยักษ์ออกมาฉายก็จากการโฆษณาล่วงหน้าหลายๆ เดือน เทคนิคนี้ถูกอดีตประธานาธิบดี Jacques Chirac ของฝรั่งเศสนำมาใช้ในการเสนอแนะตัวเองตั้งแต่ปี คศ.1985 เรื่อยมาจนถึง การเลือกตั้งในปีคศ. 1988

ส่วนเรื่องต่อมาคือการใช้หนังสือเป็นเครื่องมือโดยในการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสล่าสุดที่ผ่านมาเมื่อกลางปี 2007 บรรดาผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ต่างก็สวมวิญญาณ “นักเขียน” กันหลายคนผลิตหนังสือรูปแบบต่างๆออกมาวางขายประชันกันในร้านหนังสือ

ส่วน การใช้อินเตอร์เน็ทนั้นก็มีพัฒนาการที่เร็วมาก ปัจจุบันมีเว็บไซต์ทั้งของพรรคการเมือง ของผู้สมัครรับเลือกตั้งและของผู้สนับสนุนและกลุ่มผู้คัดค้านเป็นจำนวนมาก ทุกฝ่ายต่างพากันนำเสนอข้อมูลต่างๆที่ตนประสงค์ต่อสาธารณชนอย่างไร้ขีดจำกัด ครับ ในวันนี้โลกของการสร้างภาพทางการเมืองจึงยังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีวันจบ สิ้นและเป็นพัฒนาการที่เป็นระบบรวมทั้งยังเป็นที่น่าเชื่อถือในสายตาของผู้ มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งอีกด้วย

บัญญัติ 10 ประการของการสร้างภาพทางการเมือง มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้


1. พยายามทำความรู้จักผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในพื้นที่ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเสนอตัวนั้นอย่างน้อยก็ต้องมี “บุคคลสำคัญ” จำนวนหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม ผู้สมัครรับเลือกตั้งควรจะต้องทราบประวัติความเป็นมาของบรรดาบุคคลสำคัญ เหล่านั้นเพื่อหาทาง “เจาะ” เข้าไปให้ได้


จากนั้นจึงค่อยนำเสนอข้อเสนอที่ดึงดูดความสนใจของชุมชนจากการศึกษา ความต้องการของคนในชุมชนนั้น ศึกษาการต่อต้านของคู่แข่งขันเพื่อหาทางเอาชนะทางด้านนโยบายให้ได้ รวมไปถึงการปรับปรุงแผนงานของตนเองหากพบว่ามีปฏิกิริยาในแง่ลบจากผู้มีสิทธิ ออกเสียงเลือกตั้งบางกลุ่ม

2. ระมัดระวังภาพลักษณ์ของตนเอง ด้วยการสะสางเรื่องในอดีตให้ “เรียบร้อย” ก่อนที่จะเข้าสู่วงการ ผู้สมัครควรนำเสนอสิ่งที่เป็น “จุดเด่น” ที่ทำให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและในชีวิตส่วนตัว จะต้องระมัดระวังวิธีพูดจา เสริมบุคลิกภาพให้ดูดีเสมอรวมไปถึงการแต่งกายที่ต้อง “ไปกันได้” กับชุมชนที่ตนได้เสนอตัวด้วย

3. หัวข้อในการหาเสียงที่เหมาะสม ซึ่งจะต้องมีความแตกต่างจากข้อเสนอของผู้แข่งขันคนอื่นด้วย นอกจากนี้การนำเสนอตัวและนโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้อง “ง่าย” แก่การเข้าถึงของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย

4. เสริมสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสื่อ สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือสื่อ ในบ้านเราเห็นมามากแล้วที่พอนักการเมืองทะเลาะกับสื่อเมื่อไรนักการเมืองแพ้ ทุกที อย่าลืมว่านักการเมืองต้องวิ่งหาประชาชนในขณะที่ประชาชนเป็นผู้วิ่งหาสื่อ !!!

สื่อประเภทสิ่งตีพิมพ์กับโทรทัศน์จะทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งรู้จักผู้สมัครรับเลือกตั้งดีขึ้น

5. ปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ให้ไว้การกล่าวปาถกฐาหรือการอภิปรายทางการเมืองที่ดี ควรมีการให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ด้วยเพราะจะทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้มี สิทธิออกเสียงและเกิดผลดีมากกว่าการพูดจาลอยๆที่ปราศจากคำมั่นสัญญา ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องพยายามทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมั่นใจ เต็มที่ว่าคำมั่นสัญญาทั้งหลายจะเป็นรูปธรรมทันทีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งมี โอกาสเข้าสู่ตำแหน่ง

6. การโฆษณา การโฆษณามีขึ้นเพื่อทำให้คนรู้จักผู้สมัครรับเลือกตั้งมากขึ้น ทำให้นโยบายและข่าวสารต่างๆไปถึงผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้มากขึ้นรวม ทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย การโฆษณาทำได้หลายวิธีการในรูปแบบของสิ่งตีพิมพ์

ผู้ สมัครรับเลือกตั้งต้องให้ความสำคัญกับภาพถ่ายของตนให้มาก ต้องย้ำชื่อย้ำเบอร์ของตนเองบ่อยๆ นำเสนอนโยบายเด่นๆของตนเองซ้ำไปซ้ำมาหลายๆครั้งเพื่อให้คนจำได้โดยเนื้อหา ที่ดีนั้นจะต้องใช้ภาษาที่ง่ายกับการเข้าใจของผู้อ่านเป็นหลัก

ส่วน การโฆษณาทางวิทยุนั้นก็เช่นเดียวกันที่ต้องพยายามใช้น้ำเสียงที่ดู เป็นกันเอง ใช้คำพูดธรรมดาที่แฝงไว้ด้วยความจริงใจ และจะต้องออกโฆษณาบ่อยๆเพื่อให้คนจำได้ครับ ส่วนภาพโปสเตอร์นั้นควรใช้สีสันสดใสที่ดึงดูดให้คนสนใจมอง

7. เป้าหมายของการหาเสียง นอกเหนือจากบรรดาผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ผู้สมัครรับเลือกตั้งควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับบรรดาผู้นำทางความคิดต่างๆ ในชุมชน ประชาชนกลุ่มรากหญ้า และผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่ “ค่อนข้างชัดเจน” ว่าอยู่กับฝ่ายตรงข้าม เพื่อดึงมวลชนเหล่านั้นให้มาอยู่กับฝ่ายเรา!

8. เข้าถึงได้ง่าย การหาเสียงเลือกตั้ง การปราศรัย การให้สัมภาษณ์สื่อ รวมไปถึงการพูดคุยกับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งควรใช้ภาษาพูดธรรมดาๆ ใช้คำพูดหรือวลีที่ง่ายแก่การเข้าใจ รวมทั้งควรพูดสั้นๆไม่วกวน

9. ทำตัวให้น่าเชื่อถือ ด้วยการแสดงให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นถึงสิ่งที่ตนได้ทำมาแล้วในอดีต รวมไปถึงอาจนำผลงานวิจัย ข้อเสนอแนะหรือตัวเลขสำคัญๆ ของหน่วยงานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนแผนงานหรือข้อเสนอของตน

10. ทำซ้ำหลายๆครั้ง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งต้องทำซ้ำหลายๆครั้งเพื่อให้ฝัง อยู่ในใจคน ผู้สมัครรับเลือกตั้งควรนำเสนอสิ่งที่เคยนำเสนอมาแล้วผ่านสื่อหลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดความหลากหลายและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

บัญญัติ 10 ประการนี้เป็น “คู่มือ” ส่วนตัวของผู้สมัครรับเลือกตั้งในต่างประเทศที่เขาใช้กันอยู่

ปิด ท้ายด้วย คำกล่าวของ Talleyrand (1754-1838) นักการเมืองและนักการทูตชื่อดังของฝรั่งเศสสมัยนโปเลียน ที่ว่า “ในทางการเมืองนั้น การทำให้คนเชื่อเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าความเป็นจริง”

( ข้อมูล ศ. ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ บรรณาธิการเว็บกฎหมายมหาชน www.pub-law.net )

“ไอ้…คู่แค้น!”

ที่มา vattavan

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ช้า วันนี้… ผมจิบกาแฟขม กับคุ้กกี้แอนด์ครีมเป็นขนมหวาน ระหว่างนั่งดูการ์ตูน ทางเคเบิล ที.วี. ที่เขานำหนังการ์ตูน ซึ่งตัวเอกเป็นหนูมาฉาย ซึ่งผู้สร้างเขาทำได้น่ารักดี ทำให้ผมอดนึกถึงเจ้า Speedy Gonzales ที่มันมีศัตรูเป็นเจ้าแมวตัวโต เจ้าเล่ห์ เป็นศัตรูตัวฉกาจชื่อ Sylvester Pussycat
นอกจากสปีดี้ กอนซาเลสแล้ว ผมก็มีหนูที่ชอบอีกหลายตัว เช่นเจ้า Jerry ซึ่งเป็นคู่รักคู่แค้นกับเจ้า Tom แมวใจร้ายพอสังเขปแต่ “โง่จัด” ที่เพียรพยายามจะจับมันเป็นอาหาร ในการ์ตูนเรื่อง Tom & Jerry ในเมื่อ เจ้าทอมนี้เป็นนักล่าที่เหี้ยมโหดอย่างแมวเจ้าคิดเจ้าแค้น ก็ต้องมีหนูที่ปราดเปรียวเฉลียวฉลาดเป็นคู่ปรับจะได้ต่อสู่กันอย่างสมาน้ำสม เนื้อ

content/picdata/292/data/micky.jpg

เยาวชนในโลกของเรา ก็จะลืมไม่ได้กับหนูอีกตัวหนึ่ง คือ Mickey Mouse ที่ แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู ของคุณตาวอล์ท ดีสนีย์ แต่ความที่หนูอย่างคุณ มิกกี้ เมาส์ นั้น ตัวของเธอเล็ก เวลาพูดอะไรที่จะให้ความหมายว่า
“จิ๊บจ๊อย”
บางครั้งใช้ฝรั่งเขาก็ใช้คำ Mickey Mouse เช่น นักเรียนประชาบาลมีโปรเจคปลูกผักสวนครัวไว้เป็นอาหารกลางวัน ก็ใช้คำว่า a Mickey Mouse project ได้คือเป็น “โปรเจ็กจิ๊บจ๊อย”

เคยได้ยินมาว่า “ความริษยา” นั้นเหมือนหนู คืออยู่ในบ้านเราแล้วก็กัดกินข้าวของๆเราเอง ฟังดูแล้วก็คมคายดีไม่น้อยทีเดียว เพราะ “ความริษยานั้น ทำลายตัวเราเอง” ทำให้ผมนึกถึงคำแช่งด่าของชาวยิว หรือ Jewish Curse ที่แสนจะคมคาย ที่ว่า
You should be like a house
and your wife like a mouse.

ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ขอให้สูเจ้าเป็นเสมือนบ้าน และเมียของเจ้าเหมือนหนู" หมายความว่า
แช่งให้เมียเหมือนหนู ที่กัดกินข้าวของในบ้านเสียหาย ทำให้บ้านสกปรกและทรุดโทรมลง หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการแช่ง
“ขอให้เอ็ง...พังเพราะเมีย !" นั่นเอง
เรื่องของหนูนั้น มีโทษมากมาย เพราะเป็นพาหะนำโรค ทำความเสียหายให้กับผลิตผลทางการเกษตรของมนุษย์ อยู่ในบ้านก็เป็นปัญหาให้กับบ้านเรือน เป็นสื่อของความสกปรก ยากต่อการปราบปราม แต่เจ้าหนูบางพันธ์ก็เป็นประโยชน์ เพราะมนุษย์นำมันมาเป็นสัตว์ทดลอง ให้การศึกษากับมนุษย์ เป็นด่านหน้าในการทดลองยาที่มีคุณภาพ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ

มื่อ ยังเป็นเด็ก ผมเป็นคนเดียวในพี่น้องที่ชอบยิงนก ตกปลา ล่าสัตว์ เวลาเดินไปท้องนาไล่ยิงนกยิงหนูกับเพื่อนคู่หูอีกคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเป็นนายทหารเรือ เขาเรียนเก่งจนได้ทุนเรียนดีจากเตรียมทหาร ไปจบโรงเรียนนายเรือเยอรมัน
สมัยนั้นแถวบางกะปิ (สุขุมวิท ปัจจุบัน) หัวหมาก พระโขนง ยังเป็นทุ่งนากว้างขวาง หนูนาก็มีบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าไปทางท้องทุ่งแถบอยุธยาจะชุกชุมมาก
ผมกับเพื่อนนั่งเรือไปเที่ยวอยุธยา ไปล่าหนูนากัน และเคยหัดดักหนูด้วยเครื่องมือของชาวบ้านที่ทำสวน เขาเอาไว้ดักหนูพุกที่เขาเรียกว่า
“กะตั้ม”
เครื่องมือชื่อแปลก ที่ปัจจุบันเราอาจไม่ได้พบเห็นกันแล้ว ทำด้วยไม้สี่แผ่นประกบกัน ลักษณะคล้ายกล่องใส่เหล้าฝรั่ง หรือกล่องใส่ไวน์ขวดยาว ด้านท้ายปิดด้วยลูกกรงหนูมุดออกไม่ได้ เปิดออกหนึ่งด้านด้วยลิ้นที่ทำหน้าที่คล้ายประตูกล ปิดเปิดผูกโยงกับกระเดื่องปักอยู่บนเสา แล้วนำมาผูกกับไม้ไผ่เหลากลมเรียกว่า “ไม้หมิน” ซึ่งใช้เป็นที่เสียบเหยื่อ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นปูนาซึ่งมีกลิ่นเย้ายวน
พอหนูเข้าไปกินเหยื่อใน “กะตั้ม” มันจะดึงเชือกหลุดออก ประตุกลจะปิดลงหนูก็จะติดแหงกอยู่ในกะตั้มนั่นเอง และกลายเป็นอาหารของชาวบ้านไป ซึ่งก็ไม่พ้นผัดเผ็ด จะผัดแบบใส่กะทิหรือไม่ก็ได้กินกันอร่อยทั้งนั้น
ปูนาที่ใช้เป็นเหยื่อนั้นก็หาง่าย เพียงแต่เราเดินไปตามคันนาเวลาเช้าและเย็นซึ่งเป็นเวลาที่มันออกมาเดิน พาเหรดหาอาหารกิน ก็จับได้เยอะแยะแล้ว แต่กลางวันแดดจ้าหน่อยก็หลบมุดเข้าไปอยู่ในรูของมัน
หนูนานั้นได้ทำลายพืชผลของชาวนาอยุธยา ลงเป็นอันมาก จนนาแถบบางปะอินทร์ทำกันแทบไม่ได้ ราษฎรเดือดร้อน จนมีมูลนิธิต่างๆ เช่นศิลปาชีพ เข้าไปช่วยเหลือในด้านการประกอบอาชีพด้านงานฝีมือ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มชื่อเสียงไป
พื้นที่ใกล้ๆกัน ก็ยังคงมีหนูชุกชุม แต่เป็นบ้านพักที่อยู่อาศัยของผู้คน เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ยินคุณสุวิทย์ สุทธิประภา แห่ง อ.ส.ม.ท. บ่นกับคุณภรภัทร นิลรัตน์ ในรายการข่าวช่วงเย็น ถึงเรื่องหนูที่รุกรานในบ้านของคุณสุวิทย์ฯ จนเหลือกำลังที่จะต่อกรด้วย
บ้านของโฆษกอารมณ์ดี คุณสุวิทย์ สุทธิประภา นั้นอยู่ในหมู่บ้านเมืองเอก รังสิต ปทุมธานี เดิมก็เป็นทุ่งนาแท้ๆ ต่อมามีคนซื้อที่ไปทำสนามกอล์ฟ แล้วเขาแบ่งที่ดินขายและทำบ้านจัดสรร พื้นที่บริเวณผมรู้จักดี เพราะเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง ซื้อบ้านตรงนั้นด้วย และก็บ่นเรื่องหนูเหมือนคุณสุวิทย์ฯ ซึ่งพยายามปราบหนูแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หนูจึงนับเป็น “ศัตรูตัวเอก” ในบ้านทีเดียว!

วันนี้ขอนำเรื่องราว ระหว่างหนูที่เป็นศัตรูในบ้าน ซึ่งเกิดกับตัวผมเอง เป็นเรื่องอารมณ์ของมนุษย์ ที่มีทั้งภาคมืดที่โกรธเกรี้ยว มุ่งร้าย และภาคสว่างที่อ่อนโยน สำนึกผิด มาเขียนเป็นเรื่องสั้น ให้ชื่อว่า
"ไอ้...คู่แค้น!" และให้ชื่อภาคภาษาอังกฤษว่า The Enemy Within เพราะมันเป็นกิเลสความโลภ โกรธ หลง ความเห็นแก่ตัว ที่ปะปนกับคุณงามความดีในตัวอยู่ในตัวมนุษย์ที่สับสนนั่นเอง
ตั้งใจจะเอาไว้รวมเล่มในหนังสือเรื่องสั้นของผม ที่จะมีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ แต่ผมจะให้ท่านผู้อ่าน กาแฟขม…ขนมหวาน ได้ชิมก่อนรวมเล่ม แล้วลองช่วยวิจารณ์ดูครับ

เรื่องสั้น

“ไอ้...คู่แค้น !”

(ชื่อภาคภาษาอังกฤษ The Enemy Within)

โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

รา เผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ ที่ห้องทำงานในบ้านของผมเอง มันจ้องหน้าผมอย่างงงงวย แต่ผมกลับเป็นฝ่ายตกตะลึง ในการปรากฏกายของเจ้าสัตว์หน้าขนตัวนี้
ขนาดของมันยังเล็ก คงเพิ่งพ้นระยะเวลากินนมแม่มาไม่นาน ตัวยาวประมาณสองนิ้วเศษ ขนยังเป็นสีขาวปนเทาจาง ๆ มันทำจมูกสีชมพูอ่อนขมุบขมิบ แสดงความประหลาดใจที่ผมโผล่เข้ามา มันทำเหมือนว่า เป็นจ้าของครอบครองห้องนี้มาก่อน และผมเป็นแค่ผู้มาเยือนเท่านั้น

ผม สะบัดปากกาลูกลื่น ที่ถืออยู่ออกจากมือ พุ่งตรงเข้าหามันราวกับลูกธนูอย่างมุ่งร้าย สิ่งที่ใช้เขียนหนังสือถากหลังมันไปอย่างหวุดหวิด เลยเข้าปะทะขาเก้าอี้นั่งเกิดเสียงดัง
เจ้าสัตว์หน้าขนทำตัวหดด้วยความตื่นตกใจ แล้วพุ่งปรู๊ดหลบหายเข้าหลังตู้เอกสารใบใหญ่ ซึ่งเรียงกันเกะกะในห้องไปอย่างรวดเร็ว

ผม รู้สึกเหมือนจุกแน่นในอก เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคตัวร้าย บังอาจเข้ามาในนิวาสถานของตัวเอง แสดงว่าบ้านผมคงไม่สะอาดพอ ไม่ก็ต้องมีสิ่งสกปรกปะปนเข้ามาในบ้านหลังนี้ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ผมจะเคยพบเห็น ญาติโกโหติกาของพวกมัน โผล่จากท่อระบายน้ำ ซึ่งเชื่อมต่อกับท่อสาธารณะใกล้บ้าน เพื่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง แต่ก็นาน ๆครั้ง
มาคราวนี้มันอุกอาจ ทะลึ่งเข้ามาในเขตหวงห้าม ที่แสนจะเป็นส่วนตัวของผมจริง ๆ
ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ ผมให้สัญญากับตัวเองว่า จะต้องกำจัดมันออกไปจากชีวิตให้ได้

จาก นั้น ผมก็เริ่มสำรวจภายในห้องอย่างระมัดระวัง มันคงแอบอยู่หลังตู้เอกสารสามใบ ซึ่งมีหนังสืออัดแน่น ยากที่จะเคลื่อนย้าย และยังมีชั้นใส่หนังสือเป็นแถว ไม่นับรวมกับลังหวายซึ่งล้วนแต่บรรจุหนังสือทั้งนั้น ผมมองอย่างท้อแท้
แค่คิดเท่านั้นผมรู้สึกยอกหลังขึ้นมาทันที เพราะมองเห็นภาพตัวเอง ต้องก้มๆเงยๆ ขนหนังสือออกจากห้องทำงาน ไปเก็บไว้ข้างนอก เพื่อหาตัวกระจ้อยร่อยของมัน และกำจัดเสีย
มันช่างเป็นงานหนักเกินไป สำหรับคนมีอายุอย่างผม ถึงจะมีคนช่วยก็ตาม
ผม จึงตัดสินใจ ที่จะไม่เคลื่อนย้ายอะไรทั้งนั้น แต่ตั้งใจจะเฝ้าคอยจับมันให้อยู่หมัด โดยทะนงตัวว่า เมื่อเป็นเด็กวัยรุ่นผมก็ทั้งยิง และสังหารบรรพบุรุษกับญาติพี่น้องของมัน ตายไปมากต่อมาก จึงไม่ยากเย็นนัก ถ้าผมจะจัดการกับมันอีกสักตัว
แต่มันไม่งายอย่างที่คิด เพราะ...
เมื่อเห็นมันผลุบ ๆ โผล่ ๆ มาให้เห็นตัวหลายครั้ง ผมกลับหาอะไรขว้างมันไม่เคยทันเลย!

เพียง สองสามอาทิตย์เท่านั้น ผมเห็นมันเติบโตขึ้น ขนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้ม มันคงกำลังจะเป็นหนุ่มแข็งแรง ในขณะที่ผมอ่อนแอลงเพราะขาเจ็บ การกำจัดเจ้าวายร้ายตัวนี้ ดูทำท่าจะเป็นงานยากเสียแล้ว
บางวันผมเข้าไปในห้องทำงาน เห็นร่องรอยกัดกล้วยน้ำว้าซึ่งเป็นผลไม้ประจำห้อง หลายครั้งสังเกตเห็นขนมหวานที่ทานเหลือแหว่งเป็นรอยทู่เข้าไปอย่างชัดเจน ซึ่งต้องเป็นฝีมือและฝีฟันของมันแน่ๆ

มี ครั้งหนึ่งมันกัดก้อนเอแคลร์ ที่วางไว้บนโต๊ะทำงานแหว่งไปเกือบเสี้ยว จนผมต้องนั่งจ้องขนม ที่เสียหายจนกินไม่ได้ ด้วยความเสียดาย ปนกับความโกรธที่พุ่งขึ้นมา
ผมกำหมัดแน่นคิดว่า หากมันเดินนวยนาดผ่านหน้ามาเวลาในนั้น จะทุบมันแบนแต๊ดแต๋ อุจจาระแตกตายคาที่ และโดยที่ไม่รู้ตัว ผมเงื้อมือทุบเปรี้ยงลงไป แต่สิ่งที่เละเทะอยู่ใต้กำปั้นของผมกลับไม่ใช่เจ้าหนู กลายเป็นเอแคลร์ชิ้นที่มันแอบหม่ำไปก่อนนั่นเอง ทำให้ผมต้องเช็ดโต๊ะทำงานด้วยความเจ็บใจ
แต่...วันที่ผม "เอาคืน" ก็มาถึงจนได้!

วันนั้น ผมตื่นแต่เช้าชงกาแฟ แล้วเดินเข้าห้องทำงานเหมือนเคย พอเปิดไฟสว่างพรึ่บผมเห็นมันยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง มันชำเลืองมองผม ทำปากและจมูกขยุบขยิบคล้ายกับทักผมว่า
"ไงเอ็ง!"
อย่างฉับพลันไม่ทันคิด ผมสาดน้ำกาแฟร้อนที่จัดเพราะเพิ่งชงใหม่ๆ พรวดใส่มัน ตามติดด้วยขว้างถ้วยกาแฟ และเตะหนังสือที่วางบนพื้นสองสามเล่มเข้าใส่โดยอัตโนมัติ

content/picdata/292/data/rat.jpg

ผม เห็นร่างมันผงะ กระดกตีลังกาลอยกลับ พอทรงตัวได้ก็วิ่งเซถลาเข้าไปตรงซอกตู้ จะโดนอะไรเข้าไปบ้างก็ไม่รู้ แต่เจ้าตัวร้ายอาจงง เพราะไม่ได้หลบหายเข้าไปในซอกตู้หมดทั้งตัว ท่อนหางยังโผล่พ้นตู้ออกมา
ผมเอื้อมมือหยิบไม้บันทัดโลหะ แบบที่เด็กช่างกลสมัยก่อนใช้ฟันหน้ากัน ซึ่งใช้มานานหลายสิบปี ก้มตัวลงฟาดผัวะเข้าไป ตรงท่อนหาง ของไอ้ตัวน่าเกลียดอย่างรวดเร็ว
คง เป็นจังหวะเดียว กับที่มันคงหดหาง แต่ถึงกระนั้นโลหะขอบไม้บรรทัด ยังตัดหางมันขาดออกมาสักครึ่ง ดิ้นแด่ว ๆ อยู่บนพื้น มีโลหิตมองดูคล้ายน้ำยางสีดำ ไหลจุกตรงท่อนที่โดนตัด
ผมรู้สึกตกใจ ที่ทำร้ายมันเข้าไปแล้ว มโนธรรมซึ่งเป็นฝ่ายดีบอกว่าตัวเอง ได้ทำสิ่งที่เกินเลยไปแล้ว แต่ฝ่ายที่เป็นสีดำชั่วร้าย ร้องบอกกับผมว่า
นี่สาสมแล้ว กับที่มันเป็นฝ่าย “บุกรุก” ผมก่อน!

หลัง จากสงครามย่อยระหว่างเราจบลง มันหายไปหลายวัน แต่แล้ววันหนึ่งผมเปิดไฟในห้องทำงาน ก็เห็นตัวมันยืนอยู่หน้าซอกตู้ และผมก็เห็นส่วนหลังของมันไม่มีขน หางของมันเรี่ยกับพื้น มีรอยขาดปรากฏให้เห็นชัดเจน พอมันเงยหน้ามองผมช้า ๆ
คุณพระช่วย!
ตาข้างซ้ายของมันปกติจ้องผมเขม็ง แต่ขวาของมันมีสีขาวขุ่นข้น เหมือนคนตาถั่ว ผมรู้ได้ทันทีว่าตาข้างนั้นของมัน บอดสนิทแล้ว เพราะฤทธิ์ความร้อนของกาแฟ ส่วนพื้นที่ส่วนหลังของมันคงถูกความร้อนผสมคาเฟอีน ทำลายลงหนังคงพองขึ้น จนเป็นเหตุให้ขนจึงหลุดร่วงไปนั่นเอง

ตอน นั้นเองที่ผมรู้สึกตกตะลึง ใจหายวาบ ความรู้สึกผิดฉายแวบขึ้นมาในใจ ส่วนเจ้าคู่กรรมมองผมนิ่งอยู่อึดใจใหญ่ คล้ายกำลังคิดจะบอกอะไร แต่มันเปลี่ยนใจค่อย ๆ หันตัวกลับ ทำเหมือนกับไม่แยแส ที่เห็นคนใจร้ายที่ยืนเผชิญหน้ากับมันอยู่ ส่วนผมเองนั้น ถึงกับจังงังไปพักหนึ่งทีเดียว
บัดนั้นเอง ที่ผมคิดว่า ต้องเอามันออกไปจากบ้านให้ได้ ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม แต่ก็คิดว่าจะไม่เอามันให้ถึงตาย เพราะทำกันมันไว้มากเกินพอแล้ว ขืนทำมากกว่านี้
บาปกรรมคงหนักแน่

พอตอนสายผมขับรถออกจากบ้าน ตรงไปที่ห้างสรรพสินค้า และก็ได้กับเครื่องมือจับหนู ที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับผม เขาทำเป็นจานวงกลมประกบกันสองอัน พอแกะออกก็มีกาวเหนียวหนึบสีดำ อยู่ทั้งสองด้าน แต่ก่อนผมเห็นเขาขายแต่กาวเพียงอย่างเดียว มาล่อ เดี๋ยวนี้กาวที่ประกบมากับจาน ส่งกลิ่นล่อหนูเองไม่ต้องใช้เหยื่อ
กระนั้นผมยังไม่ไว้ใจ เฉือนเนยแข็งวางกลางจาน เพื่อประกันความพลั้งพลาด เผื่อเจ้ากาวไม่ส่งกลิ่นดึงดูดมันได้

ผมวางแผ่นดักมันไว้ในห้องทำงานเท่านั้น แล้วเข้านอนด้วยใจระทึก แอบหวังว่าผลที่จะติดตามคงจะดีตามคาดที่อุตส่าห์ขับรถไปซื้อมา

พอ ถึงวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ผมเปิดไฟในห้องทำงาน ก็รู้สึกดีใจอย่างลิงโลด ที่เห็นมันยืนตัวแข็ง เท้าคู่หน้าติดบนกาวแน่น ผมเต้นระบำไปรอบ ๆ ตัวมันปากก็ร้องตะโกนด้วยความสะใจ
“เสร็จจนได้นะเอ็ง!”
พร้อมกับหัวเราะลั่นด้วยความยินดี เหมือนเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ
มันเงยหน้าเอาตาข้างหนึ่ง มองผมอย่างน้อยใจ คล้ายกับจะบอกว่า
“เล่นใช้ตัวช่วยอย่างนี้ ไม่แฟร์นี่หว่า!”
ดูมันซิ ยังทะลึ่งจะเถียงอีกแน่ะ!!

ผมเอาถุงพลาสติกใบใหญ่มา ใส่แผ่นดักซึ่งมีมันติดอยู่ลงในถุงอย่างช้า ๆ ปากก็พูดเยาะเย้ยถากถางมัน ด้วยความคะนองในอารมณ์…
…มันจ้องมองดูผม ด้วยตาทั้งข้างดีและบอดตลอดเวลา จนผมรู้สึกว่า มันช่างเต็มไปด้วยการขอร้องวิงวอน แต่…
ผมจะใจอ่อน กับศัตรูตัวร้ายไม่ได้เด็ดขาด!
รีบผูกปากถุงอย่างรวดเร็ว แล้วเดินไปหน้าบ้านเปิดฝาถังขยะออก
ก่อนจะทิ้งมันลงไปในถัง ผมยังร้องเย้ยหยันมันอีกว่า
“เอ็งไปถึงเรสตัวรองค์กองขยะ ได้กินอะไรอร่อยๆ ก็โทรมาบอกมั่ง”

วัน นั้น ผมออกจากบ้านสายเกือบสิบเอ็ดโมง ก่อนจะขับรถออก ก็เดินไปเปิดฝาถัง ยังเห็นถุงที่ใส่มันคงค้างอยู่ในถัง ผมนึกแปลกใจที่คนเก็บขยะไม่มา แต่ได้ยินเสียงมันร้องจี๊ด ๆ จ๊าด คล้าย ๆ กับจะบอกผมว่า
“ปล่อยผมหน่อย…ร้อน… ร้อนจังเลย!”
เอ ถ้าจะจริงของมัน เพราะแสดงอาทิตย์เริ่มกล้าแล้ว แต่ผมก็ใจแข็งไม่ยอมปล่อย ร้องบอกมันว่า
“ทนเอาหน่อยนะเอ็ง อยากทะลึ่งดีนักนี่!”
ผมขับรถออกไปอย่างไม่แยแส และลืมนึกถึงมันไปเลย

คืนนั้นผมนอนที่บ้านน้องสาวเพราะต้องค้นคว้าข้อมูลบางเรื่อง เลยนอนดีกหน่อย แต่ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตอนเกือบใกล้รุ่ง หูผมเหมือนมีเสียงแว่วจี๊ด ๆ จ๊าด ๆ แล้วมีเสียง
“ปล่อยผมหน่อย…ร้อน…ร้อนจังเลยๆ!”
ร้องซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนผมทนไม่ได้ความรู้สึกผิดโผล่ขึ้นมาเต็มหัวใจ
ต้องรีบแต่งตัวขับรถออก หมายจะไปให้ถึงบ้านโดยเร็ว เพื่อปลดปล่อยมันเป็นอิสระ ตั้งใจจะเอาศัตรูตัวนี้ไปทิ้งแถวบางแสน เพื่อเป็นการถ่ายโทษตัวเองที่รังแกสัตว์มากเกินเหตุ
แต่อนิจจา…
เมื่อไปถึงบ้าน ผมรู้สึกใจหายเมื่อพบถังขยะว่างเปล่า!
เห็นคุณลุงข้างบ้านกำลังออกมากายบริหาร ผมจึงถามว่ารถขยะมาเก็บไปแล้วหรือ? ได้รับคำตอบว่า
เพิ่งออกไป ไม่ถึงสิบห้านาทีนี้เอง!
ผมโจนขึ้นรถ ขับพรวดออกจากบ้าน ไล่ตามหารถขยะตามเส้นทางที่ผมรู้อยู่ จะขอเขาเปิดท้าย และเอาเจ้าคู่ปรับผมออกมา แต่ขับวนหาอยู่เป็นชั่วโมง
แต่ก็ไม่พบ!!
ผมจึงขับรถกลับบ้านด้วยความท้อแท้ ห่อเหี่ยวและรู้สึกสำนึกผิด
จนถึงวันนี้ หากคิดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไร ผมไม่ได้มีความสบายใจเลย เพราะเสียงร้อง

“ปล่อยผมหน่อย…ร้อน…ร้อนจังเลยๆๆ !”
เป็นประโยคที่เหมือนกับดังก้องอยู่ทั้งในหู และในใจ ของผมตลอดเวลา
ไม่ รู้ว่ามันมีชีวิตอยู่ไหม ? หรือถูกอัดแบนตายแล้วใต้กองขยะอันใหญ่โต หรือว่ามันจะรอดชีวิต ได้กินอาหารในกองขยะอย่างเพลิดเพลินและมีความสุข แต่ผมถวิลหามันด้วยความกังวลถึงมัน และกรรมหนักที่ได้ทำลงไปแล้ว
จึงต้องขอกรายเรียน กับท่านผู้อ่านที่เคารพว่า

หากท่านบังเอิญเห็นหนูที่หลังไม่มีขน เพราะถูกน้ำกาแฟร้อนลวก…
...หางกุดไปหน่อย…
…ตาข้างขวาขุ่นขาวบอดสนิท
…เวลามองหน้าคน มันชอบทำจมูกและปากขยุบขยิบ คล้ายจะพูดด้วย
ตัวนั้น...นั่นแหละครับ “ไอ้คู่แค้น” ของผม!

เมื่อท่านพบแล้ว กรุณาบอกมันด้วยว่า มีคนเขาฝากมาขอโทษที่โหดร้าย…และขอให้มัน

“ยกโทษ...ให้ผมด้วย!!”

…………………………

(คอลัมน์ กาแฟขม...ขนมหวาน ตอน “ไอ้…คู่แค้น!” ออนไลน์วันพฤหัสบดี ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554)

หนึ่งปีที่ผ่านมากับความคืบหน้ารายงานกรณีการสลายการชุมนุมเสื้อแดง

ที่มา Thai E-News

10 เมษายน 2554 ภาพการทำบุญครบรอบหนึ่งปีการเริ่มต้นปราบปรามคนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิต 26 คนในวันที่ 10 เมษายน 2553
เหยื่อแห่งความโหดร้ายถูกใส่โลงศพสีแดงเดิน แห่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และทั่วกรุงเทพในวันที่ 12 เมษายน 2553

ตลอด หนึ่งปีที่ผ่านมา หนึ่งในสัญลักษณ์แห่งการย้ำเตือนผู้คนคือการแสดงละครใบ้ และการนอนตายบนถนนในทุกที่ไม่ว่าที่ราชประสงค์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือแม้แต่หน้าสำนักงานสหประชาชาติเพื่อร่วมเตือนความจำว่า "ที่นี่มีคนตาย"

รูปนี้เป็นรูปที่ถูกใช้อ้างอิงมากที่สุดรูปหนึ่งถึงการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงที่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับความยุติธรรม
* * * * * * * * *


รายงานเสวนา: “หนึ่งปีที่ผ่านมากับความคืบหน้ารายงานกรณีการสลายการชุมนุมเสื้อแดง”


โดย สุลักษณ์ หลำอุบล
ที่มา ประชาไท
14 พฤษภาคม 2554

วัน ที่ 9 พฤษภาคม 2554 มหาวิทยาลัยขอนแก่นร่วมกับมหิดลจัดเสวนาวิชาการ "หนึ่งปีที่ผ่านมากับความคืบหน้ารายงานกรณีการสลายการชุมนุมเสื้อแดง” ณ ศูนย์กฎหมายเพื่อสังคม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น"


9 พ.ค. 54 – ศูนย์นิติธรรมและสิทธิมนุษยชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดเสวนาวิชาการเรื่อง “หนึ่งปีที่ผ่านมากับความคืบหน้ารายงานกรณีการสลายการชุมนุมเสื้อแดง” ณ ศูนย์กฎหมายเพื่อสังคม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เวลา 8.30 – 12.00 น.

วิทยากรร่วมเสวนา คือ สมชาย หอมลออ ประธานคณะอนุกรรมการอิสระตรวจสอบและต้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) วัน สุวรรณพงศ์ ทนายความกลุ่ม นปช.จังหวัดขอนแก่น ขวัญระวี วังอุดม และศรายุธ ตั้งประเสริฐ จากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม (ศปช.) และมิเคลา ลาร์สัน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอนเนคติกัต โดยมีประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ดำเนินรายการเสวนา และวสันต์ พานิช อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวเปิดการเสวนา จุดประสงค์ของการเสวนาเป็นไปเพื่อติดตามสถานการณ์และอภิปรายความคืบหน้าของ แต่ล่ะภาคส่วนเกี่ยวกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 โดยมีญาติผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บบางส่วนมาร่วมในงานเสวนาด้วย

วสันต์ พานิช

จาก เหตุการณ์ทางการเมืองในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา มาจนถึงพฤษภาคม 35 เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่เคยมีการดำเนินการ สืบสวน เสาะหาข้อเท็จจริงใดๆที่เกิดขึ้น เช่นในเหตุการณ์ 6 ตุลา หลังจากการทำรัฐประหารโดยจอมพลประภาส จารุเสถียร ก็ได้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้ทำรัฐประหาร และลงโทษเอาความผิดกับนักศึกษาและประชาชน ในขณะนั้นมีคดีใหญ่สองคดีคือ การฟ้องอดีตผู้นำนักศึกษา สุธรรม แสงประทุมกับพวกรวม 18 คนในข้อหากบฏและการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และอีกคดีคือการฟ้องบุญชาติ เสถียรธรรม ในข้อหาหมิ่นพระบรมราชานุภาพซึ่งถูกฟ้องในคดีนี้เพียงคนเดียว ในคดีของอดีตผู้นำนักศึกษานั้น สืบโจทก์ไปได้พักหนึ่งแต่ไม่ค่อยมีความคืบหน้าเท่าไร ในขณะที่คดีของคุณบุญชาตินั้นสืบโจทก์จบแล้ว กำลังเริ่มที่จะสืบจำเลย และกำลังจะได้ทราบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ 6 ตุลาว่าอะไรเกิดขึ้นอย่างไร ก็ปรากฏว่ามีการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำความผิดทั้งหมด 18 คน รวมถึงคุณบุญชาติด้วย มีความพยายามให้เกิดการปรองดอง และทำให้คดีที่กำลังดำเนินอยู่นั้นยุติไปโดยปริยายและไม่สามารถสืบหาความ จริงต่อไปได้ เช่นเดียวกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ก็มีการออกกฎหมายนิโทษกรรมแล้วก็จบกันไป ในเหตุการณ์นั้นก็มีบุคคลจำนวนหนึ่งที่สูญหายไป และปัจจุบันก็ยังไม่มีเบาะแสความคืบหน้าใดๆเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ถึงแม้จะพบว่ามีการพบศพในตู้คอนเทนเนอร์บ้าง หรือที่อื่นๆบ้าง แต่ก็ไม่สามารถสืบหาความจริงได้ และแต่ล่ะก็มีข้อมูลคนล่ะชุด ฝ่ายประชาชนก็ชุดหนึ่ง และฝ่ายรัฐก็อีกชุดหนึ่ง มาจนถึงเหตุการณ์เดือนเมษา-พฤษภาปีที่แล้ว จนบัดนี้ล่วงเลยมาเป็นเวลาครบปี หลายเหตุการณ์ในหลายสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่สี่แยกคอกวัว วัดปทุมวนาราม และที่อื่นๆ ก็ยังเป็นที่สงสัยกังขาจากประชาชน ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบที่เป็นที่กระจ่าง วันนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่กลุ่มคนจากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย สื่อมวลชน และอื่นๆ มาร่วมพูดคุย ให้ข้อมูล เพื่อจะได้มาช่วยกันหาคำตอบ และช่วยกันดูว่าความจริงที่เกิดขึ้นจะเลือนหายไปเช่นเหตุการณ์อื่นๆในอดีต หรือไม่

สมชาย หอมลออ
เมื่อ พูดถึงความจริง เราพบว่า ความจริงนั้นค้นพบไม่ยาก ถึงแม้ความจริงอาจต้องใช้เวลาและต้องการพยานหลักฐานมาพิสูจน์ซึ่งเป็น หน้าที่ของ คอป. เรามีสมมุติฐานมากมายในสิ่งที่เกิดขึ้น และในการได้มาซึ่งความจริง เราต้องมีกระบวนการตรวจสอบที่เป็นวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะในทางนิติเวชศาสตร์ และจากการสอบถามทั้งเหยื่อ ผู้ชุมนุม ประชาชนโดยทั่วไป เจ้าหน้าที่รัฐ ประจักษ์พยาน สื่อมวลชน อาสาสมัคร ซึ่งจำเป็นต้องถามทุกส่วนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ของคอป.นั้นได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ ในไทยและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบรูป คลิปวีดีโอ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการสอบสวนในที่เกิดเหตุ (crime scene)

ใน การพูดความจริง เราจำเป็นต้องมีพยานหลักฐาน และแน่นอนว่า การตรวจสอบของคอป.นั้นไม่ได้ยึดหลักการตรวจสอบที่เข้างวดเทียบเท่ากับการ ตรวจสอบคดีทางอาญา ที่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานที่แน่นอนปราศจากข้อสงสัยในการกล่าวหา การพูด หรือเปิดเผย คอป.ยังไม่ถึงขั้นนั้น และเมื่อเราพูดความจริง สิ่งที่ยากอีกขั้นหนึ่งคือจะให้ความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับและเชื่อถือ ร่วมกันอย่างไร มีคนที่พูดความจริงมากมายแต่ไม่ได้รับการยอมรับจากสาธารณะ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญมากในการนำไปสู่การเยียวยา และการหาทางร่วมกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต ดังนั้นถึงแม้ว่าจะพูดความจริง แต่ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ ก็จะเป็นอุปสรรคในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบและการสร้างความปรองดองใน อนาคต สิ่งเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อการทำงานของคอป. เพราะในแง่ความเชื่อถือแล้วคอป.ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ เนื่องจากคอป.ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะซึ่งถือว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงในความรุนแรงที่เกิดขึ้น

ใน หลายๆประเทศนั้น การจัดตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริงและการปรองดองนั้นจะจัดตั้งขึ้นก็ต่อ เมื่อความขัดแย้งนั้นได้ล่วงไปแล้ว และฝ่ายที่จัดตั้งคณะกรรมการก็เป็นฝ่ายที่เป็นกลางจริงเช่นสหประชาชาติ หรือฝ่ายที่ชนะ ซึ่งมีอำนาจการตรวจสอบมากมาย ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่คอป.ตระหนักมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ก่อนยอมรับการแต่งตั้งด้วยซ้ำ จึงไม่น่าแปลกใจที่อาจารย์คณิตจึงไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ตั้งแต่ตอนแรกในทันที แต่ขอเวลาในการปรึกษาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน และกลุ่มแรกที่ท่านหารือคือแกนนำของนปช. รวมถึงนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยซึ่งถูกยุบพรรคไปแล้ว จากการหารือก็พบว่าคนเหล่านั้นมีความเชื่อมั่นในตัวอาจารย์คณิตว่าสามารถ ทำงานด้วยความเที่ยงตรง ดังนั้นดร.คณิตจึงยอมรับในข้อเสนอดังกล่าวในการตั้งคอป. โดยมีเงื่อนไขกำหนด คือ 1) ดร.คณิตต้องประกันความอิสระในการเลือกผู้ที่จะมาเป็นคณะกรรมการทั้งแปดคนได้ ด้วยตนเอง ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี 2) คอป.สามารถนำเสนอหรือเปิดโปงสิ่งที่ค้นพบได้ทุกขณะ โดยไม่ต้องรอให้ระยะเวลาการสอบสวนเสร็จสิ้นเสียก่อนซึ่งมีระยะเวลาสองปี 3) ข้อเสนอแนะและการเปิดเผยจะต้องทำทั้งต่อรัฐบาลและต่อหน้าสาธารชน เนื่องจากประสบการทำงานที่ผ่านมาในการตรวจสอบเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนพบว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองใดๆที่ขึ้นมาก็ไม่มีการนำข้อเสนอแนะต่างๆไปปฏิบัติอย่าง จริงจัง ไม่มีการปรับปรุงระบบยุติธรรม เราจึงหวังว่าในการผลักดันข้อเสนอแนะต่างๆนี้ควรเป็นบทบาทของสาธารณชน ที่ต้องยอมรับว่านี่คือความจริง และต้องร่วมกับผลักดันข้อเสนอแนะต่างๆให้เป็นเจตจำนงทางการเมืองของผู้ที่มี อำนาจนำไปปฏิบัติ

ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ ก็มีอุปสรรคในการทำงานบ้างในการเข้าถึงข้อมูลจากทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและ จากฝ่ายเสื้อแดง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้รับความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายมากขึ้น เราได้จัดเวทีประชุมที่นำคู่ขัดแย้งและผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายมาพูดคุย ให้ข้อมูลและความคิดเห็นต่อคณะกรรมการหรือที่เรียกกันว่า hearing ซึ่งถึงแม้ว่าเวทีนี้จะยังไม่ถึงกับเป็นเวทีสาธารณะเต็มรูปแบบแต่เราก็เปิด โอกาสให้สื่อมวลชน ตัวแทนของกลุ่มองค์กรต่างๆ ทูต นักข่าว และบุคคลสามารถพาคนอื่นมาเข้าร่วมรับฟังได้ นอกจากเวทีดังกล่าวจะทำให้ได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้นแล้ว มีสิ่งที่น่าสนใจจากการจัดเวทีรับฟังนี้ที่ได้คือการที่พบว่ามีคนที่อยู่ใน เหตุการณ์เดียวกัน แต่ต่างสถานะ ต่างความคิด ต่างมุมมองได้มาคุยกัน ทำให้เห็นความสำคัญที่ว่าคนจากหลายๆฝ่ายต้องมาคุยกันและเปิดใจรับฟังข้อเท็จ จริงและความคิดเห็นจากอีกฝ่าย มิเช่นนั้นเราก็อาจจะก้าวไปไหนไม่ได้ และการจัดการ hearing มาเกือบสิบครั้งโดยคอป. นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเดินหน้าทำงานต่อในระยะเวลาอีกปีเศษ นอกจากนี้ ในเดือนมิถุนายน เราก็จะยังคงจัดเวที hearing ต่อไปแต่คราวนี้จะจัดเป็นประเด็นๆ เช่น ผลกระทบของการรัฐประหาร 19 กันยา เสรีภาพในการชุมนุมและขอบเขต บทบาทของทหารในสังคมไทย สื่อมวลชน ฯลฯ โดยหวังว่าการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันนี้จะช่วยให้สังคมไทยก้าวไปข้างหน้า และหลุดพ้นจากความรุนแรงได้

วัน สุวรรณพงศ์

นอก จากจะมาเสริมและให้ความคิดเห็นต่อรายงานของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมแล้ว จะพยายามตอบคำถามที่ว่า “ใครเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน” ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เจ็ดกลุ่มดังต่อไปนี้ คือ กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549, กลุ่มคนที่ไล่ล่าอดีตนายกทักษิณ ชินวัตรออกจากอำนาจ, กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มอนาธิปไตยและพรรคการเมืองบางพรรคที่มีส่วนล้ม รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์, กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการร่างรัฐธรรมนูญ 50, กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ในค่ายทหาร , ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินสี่ฉบับเมื่อวันที่ 7 เมษายน 53 และกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังการโฆษณาชวนเชื่อว่านปช.เป็นผู้ก่อการร้ายและ โค่นล้มสถาบัน กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนมีส่วนในการสั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์เมษา-พฤษภาปีที่ แล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่เป็นมรดกตกทอดจาการรัฐประหาร 19 กันยา ซึ่งมีการแก้ไขให้อำนาจแก่ฝ่ายตุลาการเพิ่มขึ้น และสามารถเข้าไปแทรกแซงกระบวนการต่างๆ ทำให้ความยุติธรรมในประเทศไม่อาจบรรลุขึ้นได้

ในเอกสารรายงานของโร เบิร์ต อัมสเตอร์ดัมที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 มีรายละเอียดในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่สะท้อนการกระทำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปีที่แล้วอย่างชัดเจน และมีการตั้งข้อหาต่ออภิสิทธิ์ด้วยความผิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ นอกจากนี้แล้ว อยากจะนำเสนอในประเด็นความไม่ชอบด้วยการนำประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินสี่ฉบับใช้ ซึ่งนอกจากจะเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพแล้ว ยังไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมีการแก้ข้อกฎหมายโดยพลการ กล่าวคือ พ.ร.กฉุกเฉินนี้อยู่ในมาตราที่ 218 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วโดยการรัฐประหารปี 2550 และเมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้หยิบยกมาใช้ใหม่ ก็มีการแก้ใขตัวเลขมาตราให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ด้วยเหตุนี้ ประกาศที่ออกมาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงอำนาจต่างๆที่ใช้ในการตั้งศอ.ฉ. อำนาจที่ใช้ในปฏิบัติการทางทหารในช่วงเมษา-พฤษภาปีที่แล้ว ก็ย่อมไม่ชอบธรรมด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว ความไม่ชอบในข้อกฎหมายดังกล่าว ยังโยงไปถึงแกนนำและผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ด้วย เพราะถ้าหากข้อกฎหมายไม่ชอบธรรมแล้ว ก็สมควรต้องปล่อยตัวผู้ที่ยังถูกคุมขังอยู่ออกมา และน่าสังเกตว่าเมื่อ DSI รู้เรื่องช่องโหว่ในข้อนี้ ก็พยายามจะใช้ข้อกฎหมายอย่างอื่นเช่นกฎหมายหมิ่นพระบรมฯ หรือกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อมาใช้เป็นข้อกล่าวหาเพิ่มเติม

ขวัญระวี วังอุดม
ศูนย์ ข้อมูลประชาชนฯ (ศปช.) ตั้งขึ้นมาด้วยการรวมกันของนักวิชาการ นักกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม โดยตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2553 หลังการสลายการชุมนุมสองเดือน เนื่องจากเห็นความขัดแย้งในสังคม และเห็นความไม่เป็นธรรมต่อผู้ชุมนุมเสื้อแดงตั้งแต่การประกาศใช้พ.ร.บ.ความ มั่นคงและพ.ร.ก. ฉุกเฉินในเวลาต่อมา และท่ามกลางบรรยากาศของการเรียกร้องให้ปรองดองในช่วงปีที่แล้ว เราคิดว่าในการที่จะปรองดองได้นั้นสังคมไทยต้องเกิดความยุติธรรมก่อน และนี่เป็นที่มาที่ไปของการตั้งศปช.

เรายอมรับว่าการทำงานของ ศปช.มีอุปสรรคบ้างในการเข้าถึงข้อมูลจากฝ่ายรัฐ แม้แต่ คอป.ก็ยังมีปัญหาในส่วนนี้ แต่ในส่วนของข้อมูลฝ่ายผู้ชุมนุมเสื้อแดงเราคิดว่าก็น่าเชื่อถือเพราะค่อน ข้างได้รับความไว้ใจจากผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีการตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจน งานของ ศปช.ไม่ได้จำกัดเพียงการค้นหาความจริง แต่ยังรวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย การเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการผ่านบทความที่ผลิตโดยนักวิชาการ รวมถึงการรณรงค์ในระดับสากลด้วย แต่งานที่เน้นมากเป็นพิเศษคือการทำงานกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งตาย สูญหาย บาดเจ็บ และถูกคุกคาม

รายงานของ ศปช.ฉบับเต็มจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งสาระสำคัญที่เราเน้นและแตกต่างจากรายงานฉบับอื่นๆ คือ ความไม่ชอบธรรมของการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากหากเราดูตามมาตรฐานสากลแล้ว การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินควรเป็นไปเมื่อมีเหตุคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ และเป็นภัยต่อคนทั้งประเทศ ซึ่งในขณะที่รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ยังไม่มีสถานการณ์ที่บ่งชี้ถึงความร้ายแรงดังกล่าว เราไม่ได้บอกว่าเสื้อแดงไม่มีการใช้ความรุนแรงเลย แต่เราย้ำว่าทางรัฐได้ใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายการชุมนุม

นอก จากนี้ ตัวแทนจาก ศปช.ยังเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมต่อรายงานองฮิวแมนไรต์ วอตช์ คือ นอกจากในประเด็นที่ว่ามีการฟันธงว่าชายชุดดำมีส่วนเกี่ยวข้องกับแกนนำเสื้อ แดงอย่างแน่นอนแล้ว ซึ่งในแง่หนึ่งก็ยังมีความไม่ชัดเจน ยังมีประเด็นของการที่ในรายงานเขียนถึงการบุกโรงพยาบาลจุฬาฯของ การ์ดเสื้อแดงว่าไม่เหมาะสม ซึ่งสรุปมาจากการสัมภาษณ์ของฝ่ายบุคลกรโรงพยาบาลอย่างเดียว ในประเด็นนี้อยากให้มองว่าควรถอยออกมาดูบริบทรอบด้าน เนื่องจากในสังคมไทยตอนนี้เป็นสังคมที่มีความแตกแยกและขาดความไว้เนื้อเชื้อ ใจกันทั้งสองฝ่ายทั้งจากฝ่ายหมอและฝ่ายผู้ชุมนุม จึงอยากให้สอบถามข้อมูลจากทุกฝ่ายเพื่อให้ได้บริบทในสังคมที่ครบถ้วน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่รายงานฮิวแมนไรต์ วอตช์สรุปว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้วางแผนที่จะเผาตึกสิ่งก่อสร้างต่างๆ โดยสรุปข้อมูลจากคลิปวีดีโอที่อริสมันต์กล่าวว่า “หากมีการรัฐประหาร ให้พี่น้องเตรียมถังน้ำมันไว้ และจะเปลี่ยนที่นี่ให้เป็น ทะเลเพลิง” เมื่อปลายมีนาคม รวมถึงคลิปอื่นๆของจตุพรและณัฐวุฒิ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าคลิปดังกล่าวเกิดขึ้นในต่างบริบทกันและไม่ สามารถมาสรุปอย่างง่ายๆได้ว่าเป็นการวางแผนการเผาของผู้ขุมนุมเสื้อแดง

ศรายุธ ตั้งประเสริฐ
จาก การที่ผมได้มีโอกาสช่วย ศปช.เก็บข้อมูลพบว่า มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษา-พฤษภาปีที่แล้วไม่สอดคล้องกับสิ่ง ที่สื่อกระแสหลักหรือรัฐบาลได้นำเสนอ เช่น มีการใช้อาวุธสงครามยิงใส่ผู้ชุมนุมตั้งแต่ในตอนกลางวันของวันที่ 10 เมษายน หรือช่วงเวลาในการเผาตึกเซ็นทรัลเวิร์ลด์ เป็นช่วงเวลาที่ทหารสามารถเข้ามายึดพื้นที่ได้เป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะในกรณีหลังนี่สามารถจะตรวจสอบข้อมูลได้จากสื่อมวลชนทั่วไป

ยก ตัวอย่างถึงในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษา กรณีของนายเกรียงไกร คำน้อย เป็นคนขับรถสามล้อเครื่อง มาจากจังหวัดยโสธร เขามาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่ผ่านฟ้า เมื่อเกิดเหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าทหารกับผู้ชุมนุมบริเวณหน้ากระทรวง ศึกษาธิการ เขาถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่หน้าอกราวบ่ายสอง และเสียชีวิตราวหกโมงเย็น กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐเริ่มมีการใช้อาวุธสงครามยิงใส่ผู้ชุมนุมมือเปล่า ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ทั้งๆที่ในบริเวณนั้นยังเป็นพื้นที่ทหารสามารถเข้าควบคุมได้หมดแล้ว หากแต่รัฐได้อ้างมาตลอดว่าสาเหตุที่รัฐต้องใช้อาวุธหนักนั้นเป็นเพราะมีชาย ชุดดำซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธปรากฏอยู่ในที่ชุมนุมในตอนค่ำ กรณีเช่นนี้ได้ชิให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้น ไม่ตรงกับข้ออ้างที่รัฐและสื่อมวลชนกระแสหลักได้สื่อออกไปในสังคมจนเป็นความ คิดความเชื่อของคนส่วนใหญ่

นอกจากนี้ยังมีกรณีของผู้ที่เสียชีวิต หลังการสลายการชุมนุม เป็นผู้ชายวัยสามสิบกว่า จากจังหวัดขอนแก่น มีร่างกายแข็งแรง ในวันที่สิบเมษา เขาได้เข้าร่วมการชุมนุมของคนเสื้อแดงและอยู่ในเหตุการณ์การปะทะระหว่างทหาร และผู้ชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว และได้รับบาดเจ็บการการใช้แก๊สน้ำตาจากทหาร และถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการหอบหืด ต่อมาเสียชีวิตลงในวันที่ 6 ตุลาคม 53 ด้วยอาการติดเชื้อที่ปอด และสมอง กรณีเช่นนี้ อาจไม่สามารถระบุได้ว่าเขาเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมโดยตรง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตภายหลัง และจนปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือการแสดงความรับผิดชอบจากทาง ภาครัฐใดๆ แม้แต่ในกลุ่มเสื้อแดงด้วยกันเองก็ไม่ได้รับการเหลียวแลมากนัก

การ ใช้ความรุนแรงดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ทหาร เช่น การใช้อาวุธหนักยิงใส่ผู้ชุมนุม การใช้เฮลิคอปเตอร์โปรยแก๊สน้ำตาลงมาใส่ผู้ชุมนุม หรือแม้แต่กระบวนการจับกุมที่ไม่ยุติธรรม เป็นความรุนแรงที่ยอมรับไม่ได้ และถือเป็นการพรากสิทธิในการดำรงตนเป็นพลเมือง สิทธิในความเป็นมนุษย์และเสรีภาพ

ศรายุธ ตั้งข้อสังเกตุในประเด็นความน่าเชื่อถือของ คอป.ที่สมชายได้พูดไปก่อนหน้านี่ว่า คอป.เริ่มการทำงานจากจุดที่ติดลบ เนื่องจากถูกแต่งตั้งขึ้นโดยรัฐบาล ศรายุธ มองว่าไม่น่าจะโทษรัฐบาลฝ่ายเดียวที่เป็นสาเหตุ แต่ควรต้องพิจารณาตัวกรรมการของ คอป.เองด้วย ว่าทำไมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคนเสื้อแดงไม่ได้ เนื่องจากสมชายเองก็เคยสนับสนุนการรัฐประหารและเคยกล่าวต่อสาธารณะว่ารัฐบาล มีความชอบธรรมในการใช้อาวุธตอบโต้กับกลุ่มติดอาวุธที่แฝงอยู่ในที่ชุมนุม ในวันที่ 18 พค.53 ก่อนการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต แต่จากการพิสูจน์ไม่พบว่าผู้ที่เสียชีวิตไม่มีหลักฐานการใช้อาวุธใดๆ นักสิทธิมนุษยชนควรมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำและพูดด้วย และหลังสลายคุณก็มาเป็นคณะกรรมการปรองดอง แล้วมันจะปรองดองไปได้อย่างไร

ซึ่ง ในประเด็นนี้ สมชาย หอมลออ ยังยืนยันในจุดยืนเดิมว่าหากมีการปรากฏของกลุ่มติดอาวุธในที่ชุมนุม รัฐมีความชอบธรรมในการใช้อาวุธจัดการกับชายชุดดำ แต่มิได้หมายความว่าอนุญาตให้รัฐสามารถเข้าสลายการชุมนุมของผู้ชุมนุมเสื้อ แดงได้ แต่ปฏิเสธว่าไม่เคยสนับสนุนการรัฐประหาร





นางสาวนิตยา พาเชื้อ
ภรรยา ของผู้ที่เสียชีวิตคือนายอินทร์แปลง เทศวงศ์ กล่าวว่าสามีของเธอเป็นคนขับแท็กซี่และถูกยิงเสียชีวิตในบริเวณบ่อนไก่เพียง เพราะลงจากรถไปสอบถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่กลับถูกยิงสองนัดเข้าที่หน้าอกนั้น ได้มากล่าวความรู้สึกในงานเสวนา ด้วยน้ำตาที่นองหน้า “ฉันต้องการให้คนที่สั่งฆ่าได้รับบาปกรรม ได้รับการลงโทษ ฉันต้องการความยุติธรรมให้กับลูกและทุกคนที่ต้องประสบเหมือนฉัน ฉันขาดผู้นำครอบครัว ขาดคนที่ดูแล ให้ความรักความอบอุ่น ขาดคนที่พาเราเดินไปในชีวิต เขาได้จากไปอย่างปุบปับ ยังไม่ทันได้สั่งเสีย ยังไม่ได้ดูใจ ลูกเขายังไม่รู้เรื่องอะไร ตอนนั้น ลูกคนเล็กยังไม่สิบเดือนเมื่อพ่อโดนยิง มาจนตอนนี้ ก็หนึ่งขวบสิบเดือนแล้ว ยังคงไม่ได้รับความยุติธรรม ฉันต้องการความยุติธรรมให้ลูกฉันบ้าง”



ศรีประภา เพชรมีศรี

ให้ความคิดเห็นต่อรายงานของคอป.ว่า แปลกใจที่เห็นรายงานของ คอป. มีเนื้อหาหรือการบันทึกข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นน้อย แต่สามารถสรุปออกมาเป็นข้อเสนอแนะได้ มอง ว่ารายงานของ คอป.ยังไม่ถือว่าเป็นรายงานเพราะยังไม่มีการสรุปข้อมูลใดๆที่ชัดเจนออกมา ถึงแม้ดูเหมือนว่าจะมีหลักฐานในหลายส่วนพอสมควรแล้ว ทั้งนี้หากเทียบกับรายงานฮิวแมนไรต์ วอตช์พบว่ามีการรวมรวมข้อเท็จจริงในหลายเรื่องอย่างชัดเจน รวมทั้งมีข้อเสนอแนะต่อทุกฝ่ายโดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนรายงานของศปช.ก็มีลักษณะที่แตกต่างไปในแง่ที่ว่ามีลักษณะให้ความสำคัญ กับผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือ victim-based ซึ่งสิ่งที่อยากจะเห็นจากรายงานทั้งหมดคือว่าให้มีการบันทึกเหตุการณ์และข้อ เท็จจริงให้เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์หรือ historical document ที่เราจะสามารถใช้อ้างอิงเพื่อเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันในอนาคตได้

นอก จากนี้ ในประเด็นเรื่องความยุติธรรมช่วงเปลี่ยนผ่านหรือ Transitional Justice มีองค์ประกอบที่สำคัญๆดังต่อไปนี้ที่สังคมไทยต้องทำให้ได้แต่ในปัจจุบันเรา อาจยังไม่เห็นหนทางที่ชัดเจน กล่าวคือ ต้องมีการรับผิด (accountability) ผู้ที่กระทำผิดจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น และเพื่อที่จะให้ความรับผิดเกิดขึ้นได้นั้น นั่นหมายถึงการลอยนวลและงดเว้นโทษจะต้องยุติลง ต้องมีความยุติธรรมเกิดขึ้นกับเหยื่อให้ได้ ซึ่งมิได้จำกัดอยู่แค่การให้เงินชดเชยเยียวยาเท่านั้น ปัจจัยข้างต้นที่กล่าวไปจำเป็นต้องบรรลุก่อนเพื่อที่จะนำไปสู่การปรองดอง ที่แท้จริงได้ นอกจากนี้ สังคมไทยยังมีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านที่ไม่ชัดเจน กล่าวคือในประเทศอื่นการเปลี่ยนผ่านคือการเปลี่ยนจากสงครามไปสู่สันติภาพ หรือเปลี่ยนจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย แต่ในประเทศไทยยังมีเส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจนและมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันด้วย ว่าขณะนี้เราอยู่ในช่วงเวลาไหนของสังคม

การที่สังคมไทยอยู่ในภาวะ ของการลอยนวลของผู้กระทำผิดอย่างยาวนาน แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐในการปกป้องประชาชนจากการละเมิดสิทธิมนุษย ชนโดยเฉพาะเหยื่อที่ได้รับผลการทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงของรัฐ เนื่องจากมองได้ว่าสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการนิรโทษกรรม การที่จะบรรลุซึ่งการรับผิด จำเป็นต้องนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่ในเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่าหากมีการลงโทษแล้วสังคมจะเกิดสันติภาพ ได้หรือไม่ ดังนั้น เราจึงควรแยกให้ออกระหว่างคำว่าปรองดอง (Reconciliation) และประนีประนอม (compromise) ซึ่งมีความหมายและขอบเขตแตกต่างกันมาก

จ๊าก!!!!!!!!!!มีใครคิดไหมครับ ว่า"ลัดดาแลนด์" บอกอะไรใน"ไทยแลนด์" มันทำให้ผมสยองเป็นสองเท่า..

ที่มา Thai E-News



แล้วคุณๆคิดว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าเนี่ย ที่ว่าลัดดาแลนด์ มันคือไทยแลนด์นั่นเอง (...)

โดย kumhaeng
ที่มา กระทู้เฉลิมไทย พันทิป

ผมได้ไปดูลัดดาแลนด์ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ว่าน่าจะสะท้อนอะไรเกี่ยวกับบ้านเมืองในช่วงนี้ (คำเตือน!กระทู้นี้อาจสปอยด์หน่อยนะครับ)

เพราะดูชื่อเรื่อง แนวเรื่องในแบบของหนังผี มันไม่ดึงดูดใจเท่าไหร่

พอดูไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าน่าจะมีความหมายแบบที่ัตัวเองคิด(หรือคิดไปเองเนี่ย)
น่าจะบอกถึงความปรารถนาของชนชั้นกลาง ที่ถูกกระตุ้นจากระบบทุนนิยม ให้เห็นภาพมายาของชีวิตที่สวยงาม

ในหมู่บ้านจัดสรร มีสวนสาธารณะ ออกกำลังกาย สัตว์เลี้ยง มีคุณภาพชีวิตที่ดี
จนยอมทิ้งรากเหง้า ที่รู้สึกว่าตัวเองโดนดูถูก มีปมด้อย(ธีร์กับแม่ยาย)

และ ความปรารถนานั้นทำให้เกิดความกลัวในสิ่งต่างๆมากมาย ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ปมความขัดแย้งของคนในครอบครัว โดยที่คิดว่าความสวยงามของบ้านน่าจะซ่อนมันไว้ได้

(โดยไม่ได้คิดแก้ปัญหาที่สาเหตุ ก็คือการสร้างความสัมพันธ์ความความรักเข้าใจในครอบครัว) หรือกลบด้วยการปรนเปรอวัตถุให้คนในบ้าน

แล้วหัวหน้าครอบครัวก็นำครอบครัวไปสู่ความไม่มั่นคงในการหารายได้จากธุรกิจที่มีลักษณะเป็นฟองสบู่
(การนำประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยมเสรี) ที่มีการหลอกกันไปหลอกกันมา
และเบื้องหลังความปรารถนาและภาพที่สวยงามทั้งหลาย ก็คือ ความกลัว

ซึ่งก็ออกมาในรูปผีซึ่งซ่อนอยู่ในหมู่บ้าน ที่ถ้าเทียบกับประเทศไทยก็คือปัญหาที่หมกซ่อนไว้ทั้งหลาย
สังเกตว่าบ้านที่เกิดเหตุจะเป็นบ้านของชาวต่างชาติที่ถุูกทิ้งร้างไว้(ทุนต่างชาติถอนออกไปก่อนเลย)
และผู้ที่เดือดร้อนคนแรกก็คือศพของแรงงานต่างด้าว(เทียบกับผู้คนในระดับล่างของสังคม)

น่าสนใจที่ผู้สร้างเลือกตู้เย็น"สีแดง" เป็นที่ซ่อนศพคนตายเอา ไว้
เมื่อเด็ก(เสียงเล็กๆในสังคม) พยายามบอกให้ผู้ใหญ่(ผู้บริหาร) ฟังว่าบ้านนี้มีผี(บ้านเมืองนี้มีปัญหา)ก็ไม่ยอมรับฟัง เด็กก็บอกย้ำๆว่า "ไม่ได้โกหกๆ" ก็ไม่มีใครเชื่อ

จนที่สุดผู้ใหญ่ก็เจอผีเข้ากับตัว ซึ่งก็มาพร้อมๆกับความกลัวความไม่มั่นคงในชีวิตจากปัญหาจริงๆที่เกิดขี้น
คือ การตกงาน ใบแจ้งหนี้ต่างๆ และในที่สุดก็ต้องไปหารายได้จากการเป็นลูกจ้างร้านสะดวกซื้อ
แต่ก็อำพรางว่า ยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีแต่งตัวดี ขับรถเก๋งออกจากบ้านเหมือนเดิม
(การหลอกลวง โดยใช้เทคนิคการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์)

แต่ ปัญหาก็บีบรัดเข้ามาทุกที จนต้องเอาเงินของอนาคต(ของลูก) มาใช้
ถ้าเป็นประเทศก็คือ เอาเงินกู้ หรือทรัพยากรมาใช้โดยไม่ต้องคำนึงถึงวันข้างหน้า

ในที่สุดความกลัวก็นำมาซึ่งความหวาดระแวงของคนในบ้าน และเพื่อนบ้านที่ก็มีชะตากรรมไม่แตกต่างกัน
(เพื่อนบ้านเป็นเจ้าของ sme ที่เจ๊ง มีการทำร้ายลูกภรรยา มีการละเลยคนแ่ก่ที่ป่วย)
แสดงถึงความล้มเหลวของการดูแลเด็ก สตรี และคนชรา คนป่วย
(ปัญหาเศรษฐกิจ การศึกษา สังคม วัฒนธรรม สาธารณสุขของประเทศนี้) ซึ่งก็ทำให้ผีมีมากขึ้นๆ
แม้แต่ยามก็กลัวผีจนทิ้งหมู่บ้านไป(ความมั่นคงภายใน ตำรวจ มหาดไทย)

และความกลัว ความหวาดระเเวงก็ทำให้เกิดการทำลายล้าง มีการใช้อาวุธ(กำลังทหาร)ในการแก้ปัญหา
แต่ปัญหาก็แก้ไม่ได้ เพราะอาวุธทำลายผีไม่ได้และอาวุธก็เกือบทำลายความหวัง(ลูกคนเล็ก) แห่งอนาคตไป
โชคดีที่เอาแค่บาดเจ็บ และมันก็ย้อนกลับมาทำลายหัวหน้าครอบครัวในที่สุด

หนังไม่ได้บอกว่าหัวหน้าครอบครัวผิดที่นำครอบครัวมาเสี่ยง
แต่มันเกิดจากความปรารถนาที่ดีต่อครอบครัวจากภาพมายาที่ถูกสร้างจากระบบทุนนิยม
และจะให้ถอยกลับไปสู่รากเหง้าก็ไม่ได้มันมีความรู้สึกเป็นปมด้อยที่น่าอับอาย

และยังต้องการพิสูจน์ตนเอง โดยยืนอยู่บนฐานความเสี่ยงทั้งที่ลูกสาวก็ไม่อยากทิ้งรากเหง้าแต่ก็จำเป็น ต้องทิ้งด้วยความขุ่นเคือง(พลังอนุรักษ์นิยมในสังคมไทยที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง)

ในที่สุดทุกคนก็ต้องกลับมาตั้งต้นกันใหม่ โดยกลับมาที่รากเหง้าเดิมของตัวเอง(บ้านยาย)
โดยไม่กล่าวโทษหัวหน้าครอบครัว และมีความเข้าใจเห็นใจให้กับหัวหน้าครอบครัว

อีกนิดนึงหนังบอกว่าแม้แต่พระสงฆ์(ตัวแทนศาสนา) ก็ยังโดนผีหลอก...และขอ อีกนี้ดดด ให้สังเกตว่าเจ้าแมว(เฉาก๊วย) กับบทบาทในฐานะฐานันดร4 (สื่อมวลชนน่าจะที่ดี) ที่เด็ก(เสียงเล็กๆ)มีความสุขกับมัน แต่กับผู้ใหญ่ความรู้สึกแตกต่างออกไป จนในที่สุด...

แล้วคุณๆคิดว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าเนี่ย ที่ว่าลัดดาแลนด์ มันคือไทยแลนด์นั่นเอง (...อย่าซีเรียสนะครับ มันก็แค่มุมเล็กๆในความคิดของคนๆหนึ่ง)

แต่ถ้าคิดเช่นเดียวกันช่วยบอกวิธีจัดการกับผีให้ผมด้วย หนังเรื่องนี้ทำให้ผมกลัวมากขึ้นกว่าหนังผีทั่วๆไปสองเท่าเลยนะครับเนี่ย

ปล.ขณะที่ มีปัญหาทุกอย่างธีร์ยังนั่งทำชิงช้า(การหาความเพลิดเพลินจากวัตถุ แบบสบายๆ)อยู่เลย ใช่ผมตอนนี้หรือเปล่าเนี่ย..

1 ปีเสธ.แดง คดีแทบไม่คืบ

ที่มา Voice TV



Voice Focus 13 พฤษภาคม 2554 (21.30น.)

- 1 ปีเสธ.แดง คดีแทบไม่คืบ
- สิทธิมนุษยชนไทย อยู่ที่ปากเหว
- เทศกาลอาหารไพร่ ใจกลางทองหล่อ
1 ปีเสธ.แดง คดีแทบไม่คืบ
รำลึก 1 ปีพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล คนเสื้อแดงและบุตรสาว รอคำตอบจากภาครัฐ ใครเป็นคนฆ่าเสธ.แดง
สิทธิมนุษยชนไทย อยู่ที่ปากเหว
แอมเนสตี้ เปิดรายงานสิทธิมนุษยชนใน 157 ประเทศทั่วโลก ระบุของไทย ตั้งแต่ปี 2549 มีแต่ถดถอย เพราะรัฐบาลปิดกั้นช่องทางการแสดงความคิดเห็น
เทศกาลอาหารไพร่ ใจกลางทองหล่อ
สงครามเฟซบุ๊ก ระหว่างอำมาตย์กับไพร่ เหตุเกิดที่ซอยทองหล่อ นำไปสู่ เทศกาลอาหารไพร่ กิจกรรมเฉพาะกาลของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง

ยุบสภา! เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง...อนาคตประเทศไทย ?

ที่มา Voice TV



โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้นำพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรทูลเกล้าฯ บัดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตราพระราช กฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะรัฐบาลจะได้นำพระราชกฤษฎีกานี้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 10 พฤษภาคม เป็นผลให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

การยุบสภา นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ แต่ก็ยังเป็นข้อกังวลสำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อย ว่าจะมีอุบัติทางการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง หรือสุดท้าย แม้จะมีการยุบสภา แต่อาจจะไม่มีการเลือกตั้ง รวมทั้งหากมีการเลือกตั้งจริง แต่ผลการเลือกตั้งจะเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับและไม่นำไปสู่ปัญหารอบใหม่ได้ หรือไม่ ฟังการวิเคราะห์จาก คุณจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรายการIntelligence

สุดท้ายก่อนอำลา...คณะกรรมการปฏิรูป

ที่มา Voice TV




วันที่ 14 พฤษภาคม 2554 คณะกรรมการปฏิรูป นำโดยนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานฯ พร้อมคณะทำงานรวม 20 คน จะมีการแถลงข่าว ลาออก จากคณะกรรมการปฎิรูป พร้อมทั้งยุติการทำหน้าที่ ทั้งนี้เป็นไปตามความประสงค์ของนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฎิรูป ที่ยืนยันจะลาออกก่อนวันเลือกตั้ง 7 วัน เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ได้ตัดสินใจ เมื่อรัฐบาลที่ได้แต่งตั้งกรรมการปฎิรูป ได้ประกาศยุบสภาไปแล้ว ก็ควรจะให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ

ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ กรรมการปฎิรูป ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางรายการ HotTopic วันนี้ (13 พฤษภาคม 2554) ว่า การลาออกของคณะกรรมการปฎิรูป เพราะเป็นมารยาท เพื่อให้รัฐบาลใหม่ได้ตัดสินใจได้สะดวกมากขึ้น และไม่ต้องการตกเป็นเป้าของการโจมตี หรือการวิพากษ์ วิจารณ์ในช่วงการเลือกตั้ง

“ แม้ว่า คณะกรรมการปฎิรูป จะลาออกไปแล้ว แต่การขับเคลื่อนประเทศ ตามแนวทาง และข้อเสนอของคณะกรรมการปฎิรูปซึ่งมีมากกว่า 20 เรื่อง ก็ยังคงขับเคลื่อนต่อไป เพราะมีสมัชชาเพื่อการปฎิรูป ซึ่งมี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน รวมทั้งเครือข่ายภาคประชาชน จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนข้อเสนอแนะ เพื่อปฎิรูปประเทศต่อไป” ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า

ส่วนข้อวิพากษ์วิจารณ์ ว่าคณะกรรมการปฎิรูป เป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น ดร.เพิ่มศักดิ์ บอกว่า ก็มีวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด แต่การทำงานของคณะกรรมการปฎิรูป มีความเป็นอิสระ และเป็นตัวของตัวเอง ส่วนข้อเสนอของคณะกรรมการปฎิรูป ที่เสนอให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ พิจารณานั้น เป็นที่น่าเสียดายว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการ ซึ่งตัวเองตั้งขึ้นมา นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียโอกาสอย่างยิ่ง

“ น่าผิดหวัง ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่มีความตั้งใจจริง หรือจริงจังกับข้อเสนอของ คณะกรรมการปฎิรูป ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องเป๋นเรื่องที่ ตัดสินใจได้ทันที อย่างไรก็ตาม ก็ไม่คาดหวังว่า รัฐบาลใหม่ จะเอาข้อเสนอ ของ คณะกรรมการปฎิรูป ที่เสนอไปแล้ว นำไปปฎิบัติ แต่เชื่อว่า ภาคประชาชนจึงทำหน้าที่ขับเคลื่อนนี้ต่อไป” ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว

ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวด้วยว่า อยากให้สื่อมวลชน นำเอา ข้อเสนอของ คณะกรรมการปฎิรูป ที่เสนอไปแล้ว มาเป็นประเด็น ถามพรรคการเมือง และนักการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ว่า เห็นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่เห็นด้วย เพราะอะไร ซึ่งจะเกิดประโยชน์ ในแนวทางปฎิรูปประเทศอย่างแท้จริงแล

10 เรื่องที่คนไม่(ค่อย)รู้เกี่ยวกับ " ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร !!!"

ที่มา มติชน










ยิ่งลักษณ์และทักษิณ


อนุสรณ์ อมรฉัตร คู่ชีวิตยิ่งลักษณ์





ไหนๆ ก็เปิดตัวเป็น เบอร์หนึ่ง ผู้สมัครระบบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ทั้งยังมีแนวโน้มแคนดิเดต คู่ท้าชิง นายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดต่อไป ภายหลังการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ยิ่งทำให้ตัวตนของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เด่นชัด เป็นที่น่าจับตาจากทุกฝักฝ่าย


หลายคนคงทราบดีกับบทบาทบิ๊กบอส "เอสซี แอสเซส" ของยิ่งลักษณ์ ที่ตะลุยคลุกคลีมาอยู่แต่กับเรื่องของการบริหารธุรกิจอหังสาริมทรัพย์มาเป็นเวลาหลายปี หลังจับไม้ต่อมาจากคราวบริหารเอไอเอส ก่อนถูกทั้งดัน ทั้งผลักให้ก้าวเข้าสู่ถนนการเมืองอย่างเต็มตัว ณ วันนี้ ในฐานะตัวแทนสายตรงของ "ทักษิณ ชินวัตร" พี่ชายผู้มากบารมี เจ้าของบ้านเพื่อไทย (ตัวจริง) ซึ่งส่งบริวารแตกมาสร้างตัวใหม่เมื่อครั้งพลังประชาชนโดนฟ้าผ่า ที่เดิมทีมีรากเหง้ามาจากอาณาจักร"ไทยรักไทย"ที่ล่มสลายเพียงแค่ชื่อ


เรารู้จักภาพ "ปู - ยิ่งลักษณ์ " ผู้หญิงขาว หน้าหมวย สวย รวย ฉลาด มากความสามารถและเก่งในเชิงธุรกิจ นามสกุล"ชินวัตร" เป็นตัวการันตี เพียงเท่านั้น...


มติชนออนไลน์ จึงขอหยิบ จำแนก เรื่อง ส่วนตั๊ว ส่วนตัว อีกหนึ่งแง่มุม ของผู้หญิงที่ชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ที่เราๆ ยังไม่รู้ หรือยังไม่คุ้นเคยมาให้ทราบกัน...10 เรื่องด้วยกัน

1. เห็นมีแต่ความรู้เรื่องการบริหารธุรกิจอัดแน่นเต็มไปหมดอย่างนี้ ประหนึ่งจบด้านบริหารมาโดยตรง แต่หากย้อนไปดูแท้จริงแล้วจะพบว่า "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เธอจบคณะรัฐศาสตร์ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ต่างหาก ที่เป็นสาขาเน้นบริหารรัฐกิจ บริหารบุคคล เน้นปกครอง โดยมีความฝันแรกเริ่มเดิมทีว่าอยากเป็นทูต ด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็จับพลัดจับผลูมาช่วยธุรกิจของครอบครัว ชินวัตร ซะอย่างนั้น


2. ประสบความสำเร็จอย่างสูงในลุคส์ ซีอีโอ 3 บริษัทใหญ่ แห่งตระกูล "ชินวัตร"อย่างนี้ ใครจะรู้เล่าว่า "ยิ่งลักษณ์" เริ่มจับงานแรกหลังเรียนจบโท จากมหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท สหรัฐอเมริกา ด้วยการเป็น"เซลส์วูเม่น" ขายโฆษณาเยลโล่เพจเจส (สมุดหน้าเหลือง) ของบริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด ก่อนจะก้าวใหญ่นั่งแท่นคุมเอไอเอส ตามด้วย เอสซี แอสเซส รวมถึงดูแลไทยคม ในฐานะกรรมการและเลขาฯมูลนิธิ


3. แท้จริง "ยิ่งลักษณ์" ไม่ได้"ซิง"มาตั้งแต่ต้น ในเรื่องของการจับงานด้านการเมือง ด้วยเมื่อยังเป็นเด็กสาวตัวน้อย เธอก็ติดสอยห้อยตามนายเลิศ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาไปหาเสียงเป็น ส.ส. ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ออกจะบ่อยๆ ไหนจะไปช่วยเยาวลักษณ์ ชินวัตร พี่สาวคนโตลงพื้นที่อีกหลายครั้งเมื่อครั้งเป็นนายกเทศมนตรี เชียงใหม่


4. ไม่ต้องแปลกใจ ที่ทำไม "ทักษิณ" ถึงเข็ญ"ยิ่งลักษณ์" ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ในการกุมบังเหียนเพื่อไทย(จนได้) ด้วยน้องนุชสุดท้องของพี่แม้วผู้นี้ เป็นน้องเลิฟที่สุด และน่าไว้วางใจที่สุด ในบรรดาพี่น้องทั้ง 9 คน ของ"ทักษิณ" สองคนนี้เขาสนิทกันมาก มีอะไรก็ปรึกษาหารือตามประสาพี่ๆน้องๆ มานานนมแล้ว


5. การปรากฎของ "ยิ่งลักษณ์" ไม่ใช่ชื่อใหม่อะไร ในหมู่ "แกนนำพรรคเพื่อไทย" เพราะ "พี่แม้ว" เคยร้องขอให้ "ยิ่งลักษณ์" รับตำแหน่ง "หัวหน้าพรรคเพื่อไทย" คนแรกๆ ด้วยซ้ำ หลังจาก "พลังประชาชน" ถูกสั่งให้ "ยุบพรรค" แต่ติดที่ว่าตอนนั้นคุณน้องปู คนสวยยังไม่กล้าออกตัวมาก ด้วยยังจับธุรกิจอหังสริมทรัพย์ ภายใต้หลังคา เอสซี แอสเซส อันเป็นงานหลักนัมเบอร์วัน


6. หลายคนหลงเข้าใจผิดมาตั้งนมนานว่า "ยิ่งลักษณ์" ในวัย 43 ที่ยังคงความสวย สะพรั่ง หุ่นดี แต่งตัวเก่ง สไตล์คนที่ดูแลตัวเองมาตลอด ยัง"โสด" แต่แท้จริงเธอผู้นี้ ออกเรือนมีครอบครัวไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2538 กับชายหนุ่มผู้โชคดีที่ชื่อ "อนุสรณ์ อมรฉัตร" อดีตผู้บริหารหนุ่มไฟแรงของบริษัทในเครือ ซีพี เมื่อสิบกว่าปีก่อน กระทั่งปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม ลิงก์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นของเจ๊แดง - เยาวภา วงศ์สวัสดิ์


7. ในงานแต่งงงานของ ยิ่งลักษณ์ กับ อนุสรณ์ เมื่อ 16 ปีก่อน ที่โรงแรมไฮแอทนั้น จัดว่าเป็นงานระดับช้างชนช้าง ที่ได้เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ นี่ล่ะ เป็นตัวแทนในนามกลุ่มซีพี เปิดประตูสานสัมพันธ์ครอบครัว "อมรฉัตร" กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตัวแทนในนามกลุ่มชินวัตร ซึ่งขณะนั้น ยังดำรงตำแหน่งแค่ รองนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย และกลายเป็นความหวังที่จะเป็นตัวเชื่อมสองกลุ่มที่ทรงอิทธิพลในเมืองไทย (ณ ขณะนั้น)


8. ยิ่งลักษณ์ และ อนุสรณ์ ครองรักแบบไร้ทายาท ควบคู่ไปกับการที่ต่างคนต่างทุ่มเทตั้งใจทำงานมายาวนาน 7 ปี (แหน่ะ) ถึงค่อยให้กำเนิด ด.ช.ศุภเสกข์ (แปลว่า นักปราชญ์ที่เก่งที่เลื่องลือ) โซ่ทองคล้องความรักระหว่างแม่ปู กับ พ่อป๊อบ ให้เหนียวแน่นเข้าไปอีก แม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ตอนนี้ น้องไปป์ อายุ 9 ขวบแล้ว โดยเธอและสามีก็จะแบ่งกันคนละบทบาท บทบาทยิ่งลักษณ์จะเป็นทั้งแม่และเพื่อน ส่วนผู้เป็นพ่อก็จะเน้นรักษาเรื่องระเบียบวินัย ฝึกความมีวินัยให้กับลูก กระนั้นแล้ว ยิ่งลักษณ์ก็ยังคงอยากรักษาความเป็นส่วนตัวของครอบครัวเธอมิค่อยอยากให้ใครก้าวล่วงสักเท่าไหร่(อยู่ดี)


9. มุมหลักหลายคนจะพุ่งเป้า "ยิ่งลักษณ์" ในฐานะผู้บริหาร เป็นนายที่พนักงานต้องให้ความยำเกรง แต่ในความธรรมดาของความเป็นแม่ เธอละเอียด อ่อนโยน ไม่แพ้ใคร ซึ่ง แม่ปู ไม่เคยตีลูกไปป์แม้แต่แอะเดียว เป็นคู่แม่ลูกที่รักและสนิทกันมาก แค่ไหนไม่รู้ แต่เมื่อรู้ว่าลูกชายคนเดียวชอบเล่นฟุตบอลมาก แม่ปูก็ถึงขั้นสร้างสนามฟุตบอลขนาด 2,500 ตารางเมตร ไว้ในบ้านให้ลูกเล่นก็แล้วกัน และถ้าว่างกันเมื่อไหร่ แม่ลูกคู่นี้ก็จะพากันไปออกรอบตีกอล์ฟเป็นกิจวัตร


10. ปิดท้ายเคล็ดลับความสาวสะพรั่ง แม้อายุจะเลยเลข 4 สำหรับสาวหนุ่มที่อยากดูดีตามแบบ "ยิ่งลักษณ์" เธอเน้นไม่เครียด สุขสนุกกับงาน ไม่ท้อ ปัญหามีไว้แก้ ให้เวลากับงานเต็มที่ กลับบ้านไปก็ให้เวลากับลูก แต่ที่เน้นย้ำสำหรับสาวปู คือ สุขภาพใจ ซึ่งสำคัญสุด

เอ๊! ไม่รู้ว่า เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่สนามการเมืองแล้ว "ยิ่งลักษณ์" ยังจะสุข และสนุกกับ งานหิน ที่รออยู่เบื้องหน้าอีกหรือเปล่าน๊า... ?

รัฐบาลลืมตัว

ที่มา มติชน



โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2554)

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ สั่งรูดซิปปากนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ให้เลิกขุดคุ้ยเรื่องลูกเรื่องสามีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร

ฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนนายสุเทพแสดงความเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก

แต่นึกอีกที นายสุเทพอาจจะเตือนเด็กในพรรคไป พร้อมกับเครียดไป

เรื่องมีลูกมีสามีมีภรรยาแบบปิดๆ เปิดๆ นั้น

ถ้าอีกฝ่ายเอาคืน มีหวังเลือดสาดกราวรูด

ชักน้ำเข้าลึก...เป็นเช่นนี้เอง

ความ ที่บรรยากาศการต่อสู้ทางการเมืองในช่วงหาเสียงก่อนเลือกตั้ง เป็นการขับเคี่ยวโดยตรงระหว่าง 2 พรรคใหญ่ เลยเต็มไปด้วยอารมณ์อันเดือดพล่าน จนบางครั้งควบคุมตัวเองกันไม่ได้

นายบุญยอดน่าจะเตือนเลขาธิการพรรคตัวเองด้วย ที่พูดหลุดๆ ในเหตุการณ์นายประชา ประสพดี ถูกยิงบาดเจ็บ

เพราะได้ให้สัมภาษณ์ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังนายประชาถูกยิงว่า

"คุณ ประชาอย่าถือโอกาสด่าผมหาเสียง ไปดูเสียก่อนว่าตัวเองมีโรคอะไรอยู่ก็ควรจะรู้ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็มาโทษผมเลยไม่ได้ ผมไม่ได้ไปร่วมรู้เห็นไปดำเนินการกับคุณประชา และผมไม่มีผู้แทนฯอยู่ในพื้นที่นั้น ไม่มีผู้สมัครของผมที่จะมีฤทธิ์มีแรงไปต่อกรกับคุณประชาได้"

พูดโดยลืมไปว่า อีกฝ่ายนั้นยังนอนให้หมอเย็บแผลอยู่ในโรงพยาบาล

รถเก๋งอยู่ในสภาพพรุนทั้งคัน ด้วยฤทธิ์ปืนเอ็ม 16 อันเป็นอาวุธสงคราม ไม่ใช่แค่ปืน 9 มม. 11 มม.

แล้วที่สำคัญคงลืมไปว่า ตนเองยังเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงในรัฐบาลรักษาการขณะนี้อยู่

หน้าที่สำคัญคือรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้นักการเมืองที่จะลงเลือกตั้ง ถูกคุกคามไล่ล่าเอาชีวิต

แค่การที่คนร้ายสามารถถืออาวุธสงครามไม่ใช่ปืนพกสั้นเข้ามาก่อเหตุอุกอาจในใจกลางเมืองใหญ่ปลายจมูกเมืองหลวง

ถือว่าทั้งตบหน้า ทั้งเอาเท้าลูบหน้า บรรดาผู้รับผิดชอบกันไปถ้วนหน้า

อย่าลืมว่านี่คือหน้าที่ของรัฐบาล

ไม่ได้ชอบบทแถลงข่าวทั้งน้ำตาของนายประชาเลย

ไม่ได้มุ่งโทษรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย เพียงแต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง เอาใจใส่ดูแลเขา

ไม่ใช่เผลอลืมตัว พูดจาสวมวิญญาณคู่แข่งการเมืองเต็มตัว

คณะ นี้แปลกอยู่อย่าง มักลืมว่าตนเองเป็นรัฐบาลที่ต้องบริหารบ้านเมือง มักวางตัวเองเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้ง แล้วใช้อำนาจรัฐบาลในมือมาเป็นเครื่องมือต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

เริ่ม ต้นรับหน้าที่ปุ๊บก็ตั้งตัวเป็นพวกเสื้อเหลือง แล้วเป็นศัตรูกับเสื้อแดง ทั้งที่วางตัวเป็นกลางในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบบ้านเมืองก็ได้

พอจัดเขาเป็นศัตรูคราวนี้ก็รบรากันไม่สิ้นสุด มือเปื้อนไปด้วยเลือด

ถึงตอนนี้อยู่ในช่วงยุบสภา เลือกตั้ง ก็ต้องทำหน้าที่รัฐบาลรักษาการ

พอมีการยิงกันปุ๊บ ต้องบอกว่าจะเร่งหาตัวคนร้ายและป้องกันไม่ให้เกิดอีกอย่างไร

แต่นี่รีบโวยวาย

เป็นรัฐบาลลืมตัว ลืมหน้าที่ ลืมความรับผิดชอบ

"ป๋าเหนาะ"ตอบรับคำเชิญเพื่อไทย ขน"ลูกชาย-ลูกสาว"เข้าร่วมพรรค ชี้มีเจตนารมย์เทิดทูนสถาบันร่วมกัน

ที่มา มติชน

ภาย หลังจากที่แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่ บ้านพักเมืองทองธานี เพื่อเชิญมาร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคมนั้น


นาย เสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช แถลงเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทย พร้อมกับ นายสรวงศ์ เทียนทอง นายฐานิสร์ เทียนทอง และ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง อย่างเป็นทางการ โดยให้รองหัวหน้าเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคประชาราช ส่วนตำแหน่งของตนในพรรคเพื่อไทย จะมีความชัดเจนในวันประชุมใหญ่ของพรรค วันที่ 16 พฤษภาคมนี้

ทั้งนี้ การเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ขึ้นอยู่กับมติของพรรค ซึ่งชัดเจนในวันประชุมใหญ่เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ตนและพรรคเพื่อไทยมีเจตนารมณ์ร่วมกันคือ เทิดทูนและธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และร่วมกันสร้างไมตรีจิตมิตรภาพกับประเทศเพื่อนบ้านบนพื้นฐานความเสมอภาค ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน รวมทั้งร่วมกันทำสงครามขั้นเด็ดขาดกับยาเสพติด

แผนเตะสกัด

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ



กรณีอัยการฝ่ายคดีพิเศษยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาถอนประกันตัว 9 แกนนำนปช.

ซึ่งต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ถอนประกันแกนนำนปช. 2 คน จากทั้งหมด 9 คน คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ กับ นายนิสิต สินธุไพร

เนื่องจากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า

คำ ปราศรัยของนายจตุพร และนายนิสิต บนเวที ปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวาระครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์ 10 เมษาฯ 53

มีบางช่วงบางตอนอาจส่อไปในทางทำให้เกิดความวุ่นวายต่อ บ้านเมือง ซึ่งผิดเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนดไว้ในการปล่อยตัวชั่วคราวในคดีก่อการร้าย

หลังศาลมีคำสั่งถอนประกันทั้ง 2 คนถูกส่งตัวเข้าไปอยู่เรือนจำทันที

จาก นี้ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าการถอนประกันแกนนำเสื้อแดง ซึ่ง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบ สวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เป็นผู้เดินเรื่องด้วยตัวเองตั้งแต่แรก

จะมีผลต่อการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยอย่างไรหรือไม่

โดยเฉพาะนายจตุพร ที่นอกจากจะเป็นอดีตส.ส.และแกนนำเสื้อแดงแล้ว ยังเป็นนักปราศรัยฝีปากกล้า ชื่อชั้นตีคู่มากับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

สไตล์ การปราศรัยของนายจตุพร นอกจากเข้มข้นดุดัน ยังเน้นการเปิดโปงข้อมูลเบื้องหลังเหตุการณ์สลายม็อบเดือนเม.ย.-พ.ค.53 อย่างถึงพริกถึงขิง

แต่ละเรื่องที่นายจตุพร นำมาเปิดทั้งในสภาและบนเวทีเสื้อแดง ล้วนทำให้คนในรัฐบาล ดีเอสไอ และกองทัพ ต้องปั่นป่วนร้อนรนไปตามๆ กัน

อย่างไรก็ตามคำสั่งถอนประกันครั้งนี้ เมื่อเป็นคำสั่งศาลนั้นทุกฝ่ายต้องเคารพ

ถือเป็นบทเรียนสอนใจให้กับบรรดาแกนนำเสื้อแดง โดยเฉพาะแกนนำที่มีชื่อเป็นผู้สมัครเลือกตั้งส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทย

ต้องระมัดระวังเรื่องการปราศรัย ไม่ให้ฉวัดเฉวียนหรือหมิ่นเหม่ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

อีกทั้งเวทีคนเสื้อแดงกับเวทีพรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องแยกออกจากกันอย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อกันและกัน

เพราะตราบใดที่ผลการสำรวจโพลทั้งบนดินและใต้ดินยังพร้อมใจกันกระหน่ำออกมา ว่าพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง

การโดน "เตะสกัด" จากมือและเท้าที่มองไม่เห็น

ย่อมไม่ยุติง่ายๆ แน่

เหยียดผิว

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ คอลัมน์ที่13


ลัทธิเหยียดผิว หรือ racism (เรสซิซึม) เป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งของโลกที่มีมาแต่อดีตและยัง"ตกค้าง" อยู่ในสังคม

ความ หมายของลัทธิเหยียดผิว มีขอบเขตกว้างเกินคำว่าผิว เพราะรวมถึงการเหยียดเชื้อชาติ ชนชั้น ชนเผ่า มีลักษณะของอคติ เลือกปฏิบัติ กดขี่ เหยียดหยาม

นายปลอดประสพ สุรัสวดี ยกคำว่า "เหยียดผิว" จากพฤติกรรมของ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง

กรณี โพสต์ในหน้าเฟซบุ๊กว่าเจอ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กับครอบครัวไปกินข้าวร้านเดียวกัน ว่า "ทำให้เราอดนึกขำไม่ได้ว่า คนที่เรียกตัวเองว่า 'ไพร่' ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากคนที่เขาเรียกว่าเป็นพวก 'อำมาตย์' สักเท่าใดนัก"

นายปลอดประสพกล่าวว่า การที่นายกรณ์คิดอย่างนี้ ทำให้ประหลาดใจว่าสมัยนี้ยังมีการเหยียดผิวเหมือนในสหรัฐ เมื่อยุคทศวรรษ 50-60

ประวัติ ศาสตร์ของลัทธิเหยียดผิว เริ่มเมื่อ 500-1,000 ปีที่แล้ว จากการที่ชาวยุโรปขยายอาณานิคมและนำชาว แอฟริกันไปเป็นทาสในโลกใหม่ หรือประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคม

เพราะเชื่อว่าคนแอฟริกันผิวดำมี ความเป็นมนุษย์น้อยกว่าคนผิวขาวอย่างชาวยุโรป เนื่องจากความเจริญของชาวแอฟริกัน ไม่ทัดเทียมกับอารยะของ ชาวยุโรป

ต่อ มา กลางศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาชาวอเมริกันและชาวยุโรปบางกลุ่ม มีแนวคิดการเหยียดผิวขึ้นใหม่ โดยหันไปต่อต้านชาวยิว ด้วยความเกลียดชังว่าถูกชาวยิวเข้ามาแย่งงาน แย่งโอกาสในสังคม

ต่อมาเกิดกลุ่มนาซีที่เข่นฆ่าชาวยิวราวกับผักปลา ในสงครามโลกครั้งที่ 2

ส่วน การเหยียดผิวในอเมริกา เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวยุโรปบางกลุ่มและผู้อพยพได้รับความทุกข์จากความหวาดกลัวชาวต่างชาติของ ชาวอเมริกัน โดยเฉพาะในทศวรรษ 60 ที่พื้นที่ของคนผิวสีแทบมีน้อยมากในสหรัฐ

แม้ในจอโทรทัศน์ก็มีแต่ดาราผิวขาวและมีการแบ่งแยกร้านอาหารและรถเมล์ของคนผิวขาวและผิวสีอย่างชัดเจน

หลัง จากการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของชนผิวสี นำโดย มาร์ติน ลูเธอร์ คิง กลางศตวรรษที่ 20 แนวคิดการเหยียดผิวไม่เป็นที่ยอมรับทางสังคมอีกต่อไป

แม้ ในแง่ปฏิบัติ การเหยียดผิวก็ยังมีให้เห็นอยู่ในแง่ของสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ความไม่เท่าเทียมกันในการจ้างงาน การซื้อบ้านหรือเช่าบ้าน การศึกษา

ปัจจุบัน แม้ นายบารัก โอบามา ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์ของอเมริกา แต่ก็ยังมีกรณีเหยียดผิวในหลายรัฐ

ใน ทางกฎหมาย นานาประเทศเป็นภาคี "อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกประติบัติทางเชื้อชาติในทุก รูปแบบ" (CERD) เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2508 และมีผลบังคับ ใช้วันที่ 27 ก.พ. 2546 ซึ่งไทยเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อ วันที่ 28 ม.ค.2546 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.2546

ในอนุสัญญาฯ ใช้คำว่า "การเลือกประติบัติทางเชื้อชาติ" ซึ่งหมายถึงการจำแนก การกีดกัน การจำกัดหรือการเลือก โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว เชื้อสายหรือชาติกำเนิดหรือเผ่าพันธุ์กำเนิด ซึ่งมีเจตนาหรือมีผลให้เกิดการระงับหรือกีดกั้นการเคารพสิทธิมนุษยชนและ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและในด้านอื่นๆ ของการดำรงชีวิตในสังคม

รวมทั้งการระงับหรือกีดกั้นการใช้สิทธิเหล่านั้นอย่างเสมอภาคของบุคคล

ปฏิรูปชะงัก?

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ บทบรรณาธิการ


คณะ กรรมการปฏิรูปประเทศไทยชุดที่มี นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน นำเสนอความเห็นให้กับรัฐบาลชุดที่ผ่านมาอย่างเป็นทางการรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง

ครั้ง แรกและครั้งที่สองมีข้อสรุป 9 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.จำกัดการถือครองที่ดิน 50 ไร่ เกินกว่านั้นให้คิดภาษีอัตราก้าวหน้า 2.จัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างมีธรรมาภิบาล 3.ปฏิรูประบบยุติธรรมที่เกี่ยวกับคดีที่ดินและทรัพยากร

4.ปฏิรูประบบ ประกันสังคมให้เป็นอิสระและโปร่งใสขึ้น 5.มีระบบสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุ 6.สร้างสังคมที่คนไทยอยู่เป็นสุขร่วมกัน 7.เร่งกฎหมายกระจายอำนาจ 8.ตั้งสมัชชาและสนับ สนุน ศิลปวัฒนธรรมภาคประชาชน

9.จัดตั้งสมัชชาปฏิรูปทุกระดับทำงานต่อเนื่อง



ส่วนครั้งที่ 3 เป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางกับท้องถิ่นโดยตรงจำนวน 4 ข้อคือ

1.ยกเลิกการบริหารส่วนภูมิภาคทั้งหมด โอนอำนาจการจัดการทรัพยากรให้องค์การปก ครองส่วนท้องถิ่น

2.สร้างกระบวนการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม

3.รัฐบาล กลางยังมีหน้าที่ความรับผิดชอบในกิจการระดับชาติ แต่ไม่มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ทำได้เพียงใช้อำนาจในการชักจูง

4.ปฏิรูประบบการคลังและการบริหารบุคลากรของท้องถิ่นให้เหมาะสมกับท้องถิ่นของตนเอง

มีคำถามว่า ข้อเสนอเหล่านี้ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลเพียงใด



จาก ข้อเท็จจริงพบว่า นอกจากงานบางส่วนด้านการปฏิรูปที่ดินในเบื้องต้น ซึ่งยังไม่ได้แตะในประเด็นสำคัญแล้ว ในประเด็นอื่นๆ แทบจะมิได้รับการตอบสนองอะไรเลย

ทั้งที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาเป็นผู้ผลักดันให้จัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาด้วยตนเอง

ประเด็น ที่จะต้องพิจารณาก็คือ หากเห็นว่าข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปสะท้อนภาพที่แท้จริงของสังคมไทย และเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดหรือระงับปัญหาในอนาคตได้

พรรคการเมืองใดบ้างจะสมาทานข้อเสนอเหล่านี้ และพร้อมจะประกาศตัวที่จะผลักดันให้เกิดการปฏิรูปขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม

หรือถ้าไม่เห็นด้วย ก็จะต้องแสดงเหตุผลว่าทำไม

“โตขึ้นหนูจะต้องเป็นเรยา”: แด่ผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาสูงส่งและเปี่ยมไปด้วยความปราถนาดี

ที่มา ประชาไท

จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์



“…คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจมีการศึกษาน้อย ไม่มีกำลังปัญญาที่จะสอนลูก แยกแยะถูกผิด ผิดชอบชั่วดีนะคะ เราต้องยอมรับว่ามีบุคคลพวกนั้นนะคะ ถ้าเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง คุณพ่อคุณแม่จบปริญญาตรี ก็ไม่ต้องอะไรเยอะ ลูกก็คงต้องรู้ว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร…” [http://www.youtube.com/watch?v=NxBQ4QgaBgQ]

ลัดดา ตั้งสุภาชัย (ผู้อำนวยการกลุ่มเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม) ได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้ เมื่อครั้งที่เธอได้รับเชิญไปแสดงความเห็นต่อปรากฏการณ์ดอกส้มสีทองบานสะพรั่งในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ว่าพ่อแม่ควรจะมีบทบาทอย่างไรกับการดูละครของเด็กและเยาวชนในสังคมไทย ความปราถนาดีครั้งนี้ของคนที่เรียกตัวเองว่าเปฌนผู้เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ซึ่งมีหน้าที่อันไม่มีขอบเขตท่านนี้ คงทำให้พ่อแม่หลายต่อหลายคนหน้าชาขึ้นมา ไม่มากก็น้อย

ทัศนคติที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ การจำแนกแบ่งคนที่มีระดับสติปัญญาหรือจริยธรรมด้วยการศึกษาในระดับปริญญาตรี ความคิดที่ว่า การศึกษาในระดับปริญญาตรีจะเป็นดั่งยาครอบจักรวาล แก้ปัญหาได้ทุกอย่างในชีวิต รับมือได้กับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัว และสังคมนั้น ส่วนตัวผู้เขียน คิดว่าสิ้นสมัยของความเชื่อเช่นนี้ไปแล้วเสียด้วยซ้ำไป

เรื่องการดูละครถูกวกมาผูกติดกับชนชั้นและระดับสติปัญญาของสังคม อีกครั้ง แม้ก่อนถ้อยคำเหล่านี้ (ในคลิปเดียวกัน) ลัดดาจะออกตัวไว้ก่อนว่า สังคมเรามีความหลากหลาย มีทั้งผู้ที่เข้มแข็งและอ่อนแอ แต่คำพูดของลัดดาที่ยกมาข้างต้น เหมือนคำพิพากษาในที ที่กำลังส่งสารไปยังผู้รับฟังว่า ชนชั้นไหนมีระดับความสามารถในการแยกแยะความผิดชอบชั่วดีหรือความถูกผิดได้ดีกว่ากัน

ถ้า ระดับการศึกษา, ชนชั้น และวุฒิภาวะที่พัฒนาขึ้นตามอายุ คือคำตอบของการวิเคราะห์สังเคราะห์ในสื่อประเภทต่างๆ ได้จริง ทำไมกระทรวงวัฒนธรรมยังคงต้องทำตัวเป็น ผู้ใหญ่แสนดีและรู้มากไปเสียทุกเรื่องอยู่อีก? ที่ย้อนแย้งที่สุด หากใช้ฐานความคิดชุดเดียวกัน ไปทาบทับเพื่อวิเคราะห์ในกรณีการห้ามฉายหนัง Insects in the backyard แล้ว นับว่าเป็นเรื่องตลกอย่างที่สุด ที่ฟ้องว่า เอาเข้าจริงๆ แล้วมาตรฐานการกำกับดูแลเนื้อหาสื่อและการจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาสื่อใน ประเทศนี้ไม่เคยมี และหากใครสักคนยกอ้างคิดว่ามาตรฐานขึ้นมากล่าว มันก็คือวิธีคิดที่ล้นไปด้วยอัตวิสัยและอำนาจตามตำแหน่งที่ตนสวมบทบาทอยู่ เท่านั้นเอง

หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 มติคณะรัฐมนตรีฉบับหนึ่งได้กล่าวถึงการส่งเสริมให้มีรายการโทรทัศน์สำหรับ เด็กและเยาวชนมากขึ้น และส่งต่อให้เกิดการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการจำแนกประเภทรายการที่เหมาะสมกับผู้คนวัยต่างๆ ในสังคม จนกลายเป็น ฉลาก “เรต” แปะหน้ารายการโทรทัศน์อย่างเช่นทุกวันนี้

แต่ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ภาควิชาการด้านสื่อสารมวลชนพยายามจัดทำขึ้นมาตี คู่กับมติคณะรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว นั่นคือ การจัดทำหลักสูตร “สื่อศึกษา” หรือ “Media Literacy” ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา ทั้งในหลักสูตรสถาบันการศึกษาและสำหรับการศึกษาแบบสาธารณะ แต่ดูเหมือนว่า งานที่วางโครงสร้างทางความคิดของอนุชนเช่นนี้กลับไม่ได้รับการผลักดันให้ เกิดขึ้นจริงจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งที่การสร้างให้อนุชนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และรู้เท่าทันในสื่อประเภทต่างๆ ที่รายล้อมตัวตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเข้านอนคือสิ่งที่สำคัญมากกว่าการจะผูก ขาดหน้าที่การเซนเซอร์ในเนื้อหาสื่อของคนเพียงไม่กี่คนในประเทศนี้เท่านั้น ที่จะต้องออกมาเสนอหน้าตัวเองออกมาเรื่อยๆ และชี้ถูกชี้ผิดว่าอะไรควรดู อะไรไม่ควรดู

เรามีผู้ใหญ่รู้ดีมากมายไปหมด แต่ในทางกลับกัน เรามีแต่เด็กและเยาวชนที่อ่อนแอจากระบบการศึกษาที่กลายเป็นเครื่องมือให้ ผู้ใหญ่ในสังคม ต้องลำบากผัดหน้าผัดตาแต่งตัวเป็นลิเกตัวพระตัวนางมาช่วยเหลือเด็กตัวน้อยๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสื่อน้ำเน่าไร้สาระกันเรื่อยไป เพราะว่าพ่อแม่แท้ๆ ของเด็กน้อยเหล่านี้ เป็นชนชั้นล่าง เป็นคนที่มีการศึกษาน้อย เป็นพวกทำมาหากินไปวันๆ

สิ่งที่คนชนชั้นกลางและมีการศึกษาอย่างต่ำ ที่สุดคือระดับปริญญาตรีต้อง รักษาไว้ ก็คือโครงสร้างและสถานะของตัวเองในสังคม ผ่านการให้คุณค่าและมาตรฐานทางจริยธรรมที่แปรผกผันมาจากสถานะทางสังคมนั่น เอง

การที่ใครสักคนพยายามจะผูกขาดความดี ความงาม และจริยธรรมศีลธรรม เพื่อให้ดำรงไว้ซึ่งสถานะทางสังคมของตนเองและพรรคพวกของตน มันน่ากลัวมากกว่าการที่เด็กสักคนประกาศให้โลกรู้ว่า “โตขึ้นจะเป็นแบบเรยา” เสียด้วยซ้ำไป

ถ้าผู้ใหญ่รู้มากจำพวกนี้ เล็งเห็นจริงๆ ว่าการศึกษาจะแก้ไขปัญหาของเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากสื่อที่เขาเห็นว่าเป็นของอันตราย ทำไมการจัดการศึกษาสำหรับการวิเคราะห์ สังเคราะห์สื่อสำหรับเด็กและเยาวชนจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง?

หลังจากละครเรื่องดอกส้มสีทองจบไป เราจะต้องเห็นลัดดา ตั้งสุภาชัย หรือคนในกระทรวงวัฒนธรรม ออกมาสื่อสารกับสังคมในเรื่องซ้ำเดิมเช่นนี้กันอีกสักกี่ร้อยกี่พันครั้งกัน? ทั้งที่การแก้ปัญหาผลกระทบจากสื่อต่อเด็กและเยาวชนก็คือการติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์,สังเคราะห์สื่อให้ติดตัวเด็กและเยาวชนนั่นเอง

สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้มากและเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีทั้งหลายในสังคมเลือกที่จะ “ไม่ทำ” บอกใบ้ให้เรารู้อยู้ในทีแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เขาเหล่านี้หวาดกลัว

ผู้ใหญ่รู้มากพวกนี้อาจจะไม่ได้กลัวว่าเด็กจะโตขึ้นแล้วเป็นแบบเรยา

แต่ การที่เด็กและเยาวชนรู้เท่าทันสื่อ , สามารถจำแนกแยกแยะ “สาร” รวมถึงประเมินคุณค่าของสื่อทุกประเภทได้ด้วยตนเอง คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้มากจำพวกนี้กลัวต่างหาก.