โดย คุณลูกชาวนาไทย
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
3 พฤษภาคม 2551
สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ายุคนี้ไม่ใช่นักการเมืองชั่วครองเมือง ตามคำกล่าวหาของนายธีรยุทธ์ บุญมี เพราะนักการเมืองเหล่านี้ ล้วนมาจากการเลือกตั้งของประชาชน การใส่ความกันอย่างสามานย์ว่า เป็นยุคนักการเมืองชั่ว เท่ากับเป็นการประณามว่า ประชาชนของประเทศนี้ โดยเฉพาะคนรากหญ้านั้น เป็นคนชั่ว เพราะคนเหล่านี้ รวมทั้งผมด้วย เลือกนักการเมืองเหล่านี้ขึ้นมา ด้วยสองมือของผมเองที่ลงคะแนนวันเลือกตั้ง
การสร้างโวหาร ประดิดประดอยคำพูดของคนที่เรียกตนเองว่า นักวิชาการ ใส่ความตัวแทนของประชาชน โดยไม่มีหลักฐานข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากคิดเอาเอง ผมจึงคิดว่า บ้านเมืองยุคนี้มันเลวร้าย เพราะมีนักวิชาการชั่วครองเมือง นักวิชาการที่สำเร็จความใคร่ความคิดของตนเอง แล้วเที่ยวประณามคนอื่นว่า เลวอย่างโน้น เลวอย่างนี้ หาหลักฐานพิสูจน์ใดๆ ก็ไม่ได้
สิ่งที่เลวร้ายสำหรับเมืองไทยหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมคือ การมีนักวิชาการชั่ว ร่วมมือกับ “สื่อเสี้ยม” สร้างนวัตกรรมทางคำพูด เพื่อใส่ความฝ่ายที่มีความคิดตรงกันข้ามกับตน ปลุกระดมประชาชน ด้วยการประดิดประดอยคำพูดอย่างสวยหรู เพื่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง และสุดท้ายก็ชักนำ ปูทางให้ทหารเลว และอำมาตย์ชั่ว ทำรัฐประหาร ล้มรัฐธรรมนูญ ร่างกฎหมายให้อำนาจอยู่ในหมู่พวกตน สร้างอภิสิทธิ์ให้กับพรรคพวกตนเอง ข้ามหัวประชาชนเจ้าของประเทศ
ประเทศชาติจึงเลวร้ายลง เพราะนักวิชาการชั่ว สื่อเสี้ยม และอำมาตย์เลวนี่เอง
ส่วนนักการเมือง ไม่ว่าทั้งพรรคพลังประชาชน หรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ พวกเขาต่างก็มีที่มาจากประชาชน หากนักการเมืองพวกนี้ชั่วจริง ประชาชนที่เลือกพวกเขาไม่ชั่วกว่าหรือ
โวหารที่เลวร้ายอย่างคนที่เรียกตนเองว่า นักวิชาการ หมกตัวอยู่แต่ในโลกของตน ได้โอกาสก็ออกมาป่วนเมืองที
จากความเห็นของธีรยุทธ์ ที่ออกมาตั้งฉายารัฐบาลครั้งล่าสุดนี้ทั้งๆ ที่รัฐบาลเพิ่งทำงานได้ไม่เกิน 3 เดือน มันจึงไม่ได้ต่างจากความเห็นแผ่นเสียงตกร่องของนายชวนมากนัก คือ ยังมีการกล่าวหาว่า นักการเมือง พปช.โกง ทักษิณโกง ซื้อเสียง ชาวบ้านโดนประชานิยมหลอก
เมื่อฐานความคิดยังอยู่ที่การกล่าวหา โดยไม่ยอมรับความจริงอื่นๆ ว่า การที่ประชาชนส่วนใหญ่เขาเลือกทักษิณ เพราะความศรัทธาในผลงาน ความคิด วิสัยทัศน์ ผมว่า ต่อให้พูดอีกร้อยครั้ง ฝ่ายที่นิยมทักษิณก็คงไม่ฟัง และฝ่ายที่เกลียดทักษิณ ก็คงเชียร์อย่างสะใจว่า เห็นไหม ธีรยุทธ อัดฝ่ายทักษิณอีกแล้ว เป็นความเห็นของวิชาการบริสุทธิ์ คนนิยมทักษิณควรฟังไว้
ผมคิดว่าการพูด การเสนอแบบนี้ ไม่ใช่ความเห็นทางวิชาการ ไม่ใช่การเสนอแนวทางแก้ปัญหา แต่เป็นการโยนเชื้อฟืนแห่งความเกลียดชัง เข้าไปสู่กองไฟเท่านั้นเอง รังแต่จะเป็นการยั่วยุให้มีความแตกแยก และเกลียดชังกันมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้ หากจะสร้างความสมานฉันท์ สร้างการยอมรับของสังคม การพูดการนำเสนอ จะต้องตัดประเด็นเหล่านี้ออกไป เพราะทันทีที่ได้ยินเริ่มต้นว่า "ซื้อเสียง" “ประชานิยม” ทุนนิยมสามานย์ คนก็เลิกฟังแล้ว และข้อเสนออื่นๆ ก็จะได้รับการปฎิเสธที่จะรับฟังเช่นกัน
ปัญหาของประเทศไทย มันไม่ได้อยู่แค่การซื้อเสียงหรอกครับ มันมีอะไรมากกว่านั้น เพราะต่อให้ไม่มีการซื้อเสียง หากมีแค่พรรค พปช.แข่งกับ ปชป. คนเขาก็ไม่เลือก ปชป.อยู่ดี พวกคุณจะคิดแค่ว่า หากเลือก ปชป.เยอะ ๆ หมายถึงไม่ซื้อเสียง เป็นคะแนนบริสุทธิ์ แต่หากเลือก พปช.เข้ามาเยอะ หมายถึงซื่อเสียงถอนทุน ทุนนิยมสามานย์อย่างนั้นหรือ
หากยังคิดอยู่อย่างนี้ ก็คงไม่เข้าใจอยู่นั่นเองว่า ทำไมแพ้เลือกตั้งอย่างมโหราฬ เพราะคนเขาไม่เอากลุ่มอำมาตย์ชั่ว ศักดินาเลว ที่เป็นเหลือบเกาะกินเลือดของสังคมนั่นเอง
หากคิดกันแค่นี้ มันก็เหมือนกับหมุนวน พายเรือในอ่าง ยังตีกันอยู่ต่อไป เพราะมันคือการหยิบเอาส่วนที่ไม่สำคัญ ขึ้นมากล่าวหากัน ปัญหาก็ไม่จบสิ้น และจะจบลงด้วยสงครามกลางเมือง และการนองเลือด อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อเริ่มด้วยการกล่าวหากัน เรื่องต่อไปก็ไม่ต้องยอมรับแล้ว
การกล่าวหาเรื่อง "ทุนนิยมสามานย์" มันก็ไม่ต่างจาก "ระบอบอำมาตยาธิปไตยขุนนาง วิชาการอันชั่วช้า" ซึ่งมันคือ แนวคิดทางการเมือง ไม่ต่างจากการด่ากันว่าเป็น คอมมิวนิสต์ หรือทุนนิยม ในยุคสงครามเย็นนั่นเอง เพราะมันเป็นแค่แนวคิดทางการเมือง ย่อมขึ้นกับเสียงส่วนใหญ่ว่าเขาจะเลือกเอาระบอบใด
ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญนั้น มันประนีประนอมไม่ได้แล้ว ใจเย็นไม่ได้แล้ว จะมาพูดแบบมักง่าย เอาแต่ได้ว่า ให้รัฐบาลทำงานไป ไม่ต้องกังวลเรื่องการแก้ไข รธน.มากนัก การพูดแบบเห็นแก่ตัวอย่างสามานย์ ของพวกเห็นแก่ได้แบบธีรยุทธ์ นี้ ผมฟังแล้วมันระคายหูยิ่งนัก ทั้งนี้เพราะพวกอำมาตย์ ได้เอาเชือกมาแขวนคอ ทำบ่วงรัดคอ พปช.ไว้ เรื่องการยุบพรรค แล้วให้ยืนบนเก้าอี้เตรียมแขวนคอ พวกอำมาตย์ คือ "พวกตุลาการวิวัฒน์" ทั้งหลาย ถีบเก้าอี้เมือไหร่ พปช. ก็ตายเมื่อนั้น
เมื่อเอาเชือกมาแขวนคอเขาไว้ ปากก็ตะโกนว่าใจเย็นๆ อย่ากังวลมาก ไม่ต้องกลัวตาย ผมว่า ใครเชื่อมันก็บ้าแล้ว
เมื่อเล่นกันแรงอย่างเห็นแก่ตัวเช่นนี้ การหักดิบแก้ รธน. ย่อมไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ จะโวยวายว่าแก้ รธน. เพื่อตัวเอง ผมคิดว่าก็ไม่เห็นจะต้องแคร์ อะไร ในเมื่อ พวกอำมาตย์ เปิดเกมที่ไม่มีทางถอยนี้ก่อน อีกทั้งพวกอำมาตย์ทั้งหลายร่าง รธน.เพื่อตัวเอง ยังทำได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจสักนิด ทำไม พปช.จะแก้ รธน.ที่ฝายตรงข้ามวางกับดักเอาไว้ไม่ได้
เอามีจ่อคอหอยเขาไว้แล้ว ปลอบใจว่าใจเย็น อย่าปัด อย่าดึงออก ผมอาจไม่แทงก็ได้ ใครมันจะบ้าไว้วางใจ
การพูด การแสดงความเห็นของ "ขุนนางนักวิชาการแบบธีรยุทธ์" มันจึงไม่มีน้ำหนัก ที่จะแก้ปัญหาแต่อย่างใด มันเหมือนใส่เชื้อไฟ เข้าไปในกองไฟ ให้ห่ำหั่นกันยิ่งขึ้น
ยุค คมช. ธีรยุทธ ปิดปากเงียบ เหมือนอมสากไว้ทั้งแท่ง ยุคประชาธิปไตยก็ขยันออกมาด่า รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาฉอดๆ ปากบอกรักประชาธิปไตย ใครมันจะไปเชื่อ คนที่มีสันดานเช่นนี้
ความเห็นของธีรยุทธ์ แต่ละครั้ง จึงเป็นแค่ การแก้ตัวให้พวกอำมาตยาธิปไตยเท่านั้น แล้วเหยียบย่ำตัวแทนของคนรากหญ้า เอาดีใส่พวกของตัวเอง เอาชั่วใส่พวกตรงข้าม ความเห็นมันจึงไร้ราคา ไม่ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาการ และแนวทางแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด
การแนะนำให้ เชื่อถือ ขบวนการตุลาการนั้น เป็นการแนะนำที่เห็นแก่ตัว มีกลิ่น เพราะกระบวนการตรวจสอบทั้งหลาย พวกอำมาตย์เท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือก และตั้งขึ้นมา เพื่อเอาเตะตัดขาเสียงของประชาชน องค์กรตรวจสอบเหล่านี้ ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย
ผลงานการยุบพรรค ทรท.ของพวกอำมาตย์ แต่ไม่ยุบ ปชป. มันจึงทำให้ ข้อเรียกร้องให้ไว้วางใจ "พวกตุลาการวิวัฒน์" และ องค์กรตรวจสอบใต้อุ้งเท้าของอำมาตย์ จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เป็นข้อเรียกร้องที่หนักข้อเกินไป หากไม่มุ่งแต่จะยุบพรรคกัน ก็คงไม่มีการหักดิบเรื่องการแก้ไข รธน.อย่างแน่นอน เมื่อเอาหอกมาปักอก พรรคพลังประชาชนไว้ มันจำเป็นอยู่ดี ที่จะต้องถอนหอกออกก่อน ก่อนที่จะไปทำเรื่องอื่น
เมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจพวกอำมาตย์หมดไป การปล่อยชีวิตให้อยู่ใต้อุ้งเท้าของอำมาตย์ จึงเป็นการกระทำที่โง่เขลา
ขั้นตอนการต่อสู้ของประชาชน เหลืออีกเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้น ก็จะไว้วางใจในชัยชนะได้ คือ การแก้ไข รธน. กำจัดอำนาจของพวกอำมาตย์ทั้งหลายให้หมดไปเท่านั้น
ส่วนคนชั้นกลาง หากยังไม่ยอมรับเสียงข้างมาก ก็ต้องยอมรับความวุ่นวายทางการเมือง ไม่รู้จักจบสิ้นต่อไป และสุดท้ายก็กระทบต่อคนชั้นกลางอยู่ดี
เมื่อระบบเสียงข้างมาก ไม่อาจดำเนินการได้ ความวุ่นวายก็ย่อมไม่มีวันจบสิ้น จะอยู่ในสภาพเช่นนี้ ต่อไป ก็ไม่ว่าอะไรกัน แต่ตอบได้ว่า วิกฤตการณ์ทางการเมืองไทย มันจะบานปลายยิ่งขึ้น และไม่อาจควบคุม ความแตกแยกกันได้อย่างแน่นอน
สุดท้าย ก็ย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน อย่างเนปาล อย่างเลี่ยงไม่พ้น
เพื่อไทย
Saturday, May 3, 2008
ธีรยุทธ์ บุญมี : ยุคนักวิชาการชั่ว บวก สื่อเสี้ยมครองเมือง
ชาญิวทย์ แถลงโต้ ปชป.ปูดข่าวโจมตีป๋าเปรม แค่แผนล้มรัฐบาลแก้ไขรธน.
"ชาญวิทย์ จริยานุกูล" ออกโรง ตอบโต้ "เทพไท ขนเพชร" ไม่เกี่ยวข้องกับการโจมตีป๋า ทำแค่เผยแพร่สมุดปกม่วง แฉเป็นแผนต่ำทราม ปชป.จ้องล้มรัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ตามที่นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (พปช.) ที่ออกมาระบุ นายชาญวิทย์ จริยานุกูล เป็นผู้อยู่เบื้องหลังจัดทำเอกสารโจมตีพล.อ.เปรม ติณลสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี วันนี้ (3 พ.ค.) นายชาญวิทย์ ได้เปิดแถลงข่าวตอบโต้ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงทั้งหมด โดยหนังสือก้อนกรวดในรองพระบาท ตนทราบจากข่าวที่หนังสือพิมพ์นำมาลง ซึ่งตนก็ได้พยายามตรวจสอบก็พบว่า เพียงมีการนำมาติดไว้ที่บอร์ดทุกวันเสาร์ที่มีการชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดทำ ส่วนการแจกใบปลิวที่ท่าน้ำจังหวัดนนท์บุรี ยอมรับว่าเป็นผู้ดำเนินการจริง และเรื่องดังกล่าวทำให้ตนถูกจับกุม ซึ่งคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล
ส่วนซีดีเพลงที่ นายเทพไท อ้างว่า เป็นการโจมตีพล.อ.เปรมนั้น ตนยืนยันว่าไม่เคยได้ฟังมาก่อน เมื่อมาทราบว่ามีซีดีเพลงในลักษณะดังกล่าว ตนก็พยายามที่จะตรวจสอบ ซึ่งพบว่า ได้มีการแปลงเพลงหมีแพนด้า มาเป็นตุ๊ดผู้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง กับเพลงรักไทย ซึ่งเป็นเพลงเชียร์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยสองเพลงนี้ได้เคยมีการเปิดทุกวันเสาร์ในการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง เช่นกัน
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า สำหรับสมุดปกม่วงเป็นคำแถลงการณ์ของกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการที่เรียกร้องให้พล.อ.เปรมลาออกจากตำแหน่งองค์มนตรี และประธานองค์มนตรี ซึ่งยอมรับว่าได้นำสมุดปกม่วงดังกล่าวไปเผยแพร่จำนวนหนึ่ง ด้วยเหตุผลต้องการให้ประชา ชนแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับการทำรัฐประหาร และฉีกรัฐธรรมนูญล้มล้างระบอบประชาธิปไตย
“ใบปลิวที่จังหวัดนนท์ฯ ผมเป็นคนทำ และนำไปแจก ส่วนสมุกปกม่วงผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ผมได้นำสมุดดังกล่าวไปแจกตามสถานที่ต่างๆ ตามแต่ละโอกาส รวมทั้งผมกับกลุ่มแนวน่วประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.)ได้นำสมุดปกม่วงดังกล่าวนี้ ไปยื่นให้คมช.ด้วย” นายชาญวิทย์กล่าว และว่า
เอกสารทั้งหลายที่ตนเห็นและปรากฏในที่ชุมนุมต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) มีทั้งหมด 5 เล่ม คือ
1.พล.อ.เปรมก้อนกรวดในรองพระบาท ซึ่งเผยแพร่ในเว็ปไซด์กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และกระทำตนเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม ในฐานะองค์มนตรี และประธานองค์มนตรี และเป็นผู้สนับสนุนการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49
2. ตีเสมอจ้าวเป็นสมุดภาพที่ตีแผ่พฤติกรรมพล.อ.เปรม ซึ่งมีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวตำหนิผ่านคอลัมน์ซอยสวนพูล ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ประจำวันที่ 7 มี.ค. 30
3. เปรมไม่ใช่ฟ้า ป๋าก็แค่คน ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. พาชาติลงคลอง ซึ่งเป็นข้อเขียนของนายอาคม ซิดนีย์ หลานของพล.อ.สันต์ จิตประติมา อดีตผู้นำรัฐประหารในอดีตที่ผ่านมา
4.สมุดปกม่วง
5. เปิดหน้ากากผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ความจริงวิกฤติการเมือง เขียนโดยนายวิจัย ใจภักดี ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับระบอบอำมาตยาประชาธิปไตย ครอบง่ำประชาธิปไตย โดยพล.อ.เปรม เป็นตัวแทนของระบอบอำมาตยธิปไตยที่ต้นเหตุแห่งวิกฤติการเมืองในปัจจุบัน
นายชาญวิทย์ กล่าวต่อว่า เมื่อได้อ่านเนื้อหาเอกสารทั้งหมดนี้แล้ว ตนเห็นว่าการที่ประเทศเดือดร้อนเช่นนี้ เกิดจากการทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง และการไม่อยู่ในธรรมของผู้ครองอำนาจทั้งหลาย ตนจึงได้นำเอกสารต่างๆ เหล่านี้ออกเผยแพร่ เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่าอะไรคือของแท้ และทำลวง ซึ่งตนยอมรับว่า เอกสารที่เผยแพร่ดังกล่าวมีจำนวนไม่มากนัก
แต่สิ่งที่ตนเจ็บปวด คือการกระทำของนายชวน หลีกภัย และนายเทพไท ที่ออกมาปกป้องพล.อ.เปรม และมาโยงใยว่า ตนมีความเกี่ยวข้องกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย ซึ่งจริงๆ แล้วตนก็รู้จัก แต่ไม่เคยร่วมงานทางการเมืองกัน เพราะตนจะทำงานคนเดียวเป็นส่วนมาก ซึ่งนายจารตุรนต์ไม่เคยเข้ามาขอร้องให้ช่วยเหลืออะไร เรื่องที่ทำทั้งหมดไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นการทำการเมืองเพื่อภารกิจของประเทศปกป้องประชาธิปไตย และไม่มีใครลั่งการอยู่เบื้องหลัง
นายชาญวิทย์ กล่าวด้วยว่า อยากถามนายเทพไท มีวัตถุประสงค์เช่นนี้ ถึงกล่าวหาเช่นนี้ ซึ่งเป็นวิธีการเดิมๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ต้องการทำลายระบอบประชาธิปไตย แต่นำเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเป็นข้ออ้าง ดังนั้น การเอาตนเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ เพื่อยั้บยั้งการแก้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นพฤติกรรมที่ต่ำทรามที่สุด ที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้กระทำล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ส่วนจะมีการดำเนินการฟ้องนายเทพไทหรือไม่ ยังไม่ขอตอบวันนี้
อย่างไรก็ตาม เอกสารเหล่านี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับกล่าวหาว่าเป็นการโจมตี อยากถามการวิจารณ์โดยเอกสารต่อบุคคลสาธารณะสามารถทำได้หรือไม่ในระบอบประชาธิปไตย การกระทำเช่นนี้เรียกว่า เป็นการโจมตีและหมิ่นสถาบันหรือ ขอให้ประชาชนพิจารณาหลักการประชาธิปไตยให้กระจ่าง
มีรายงานระบุด้วยว่า ระหว่างที่นายชาญวิทย์แถลงข่าวที่อนุสรณ์สถานนั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลเข้ามาสังเกตการณ์ด้วย ขณะที่มีกลุ่มประชาชนเข้าร่วมฟังประมาณกว่า 50 ค นอกจากนี้นายชาญวิทย์ ยังพิมพ์ประวัติส่วนตัวประกอบเอกสารแถลงข่าว โดยระบุภูมิลำเนา จังหวัดพัทลุง จบการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีเพื่อนร่วมรุ่นที่อยู่ในวงการต่างๆ ที่มีชื่อเสียง อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต กก.บห. พรรคไทยรักไทย นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ยงยุทธยันผู้ใหญ่คนกลางแก้วิกฤติชาติไม่ใช่'ป๋าเปรม'
อดีตประธานสภา"ยงยุทธ ติยะไพรัช"ยันข้อมูลมีการประสาน "ผู้ใหญ่" ที่ไม่ใช่ "พล.อ.เปรม" เข้าเป็น "คนกลาง"แก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมือง สังคมขัดแย้ง
อย่างไรก็ตาม นายยงยุทธ กล่าวต่ออีกด้วยว่า น่าเสียดายที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ผู้เคยเป็นคนนำ คู่กรณีความขัดแย้งสมัย พฤษภาทมิฬ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทั่งสถานการณ์สงบลงได้ถูกดึงเข้ามาสู่สนามแห่งความขัดแย้งด้วยในวันนี้ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอื่นเป็นคนประสานความขัดแย้งเรื่องดังกล่าวแทน
น้ำผึ้งหยดเดียว
เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าอะไรที่ไม่สมควรจะนำมาเป็น ประเด็นสาธารณะ กลับถูกจับมาปลุกระดมจะให้เกิดชนวนวิกฤติบ้านเมืองให้ได้ ต่อมา บุคคลชั้นสูงถูกจับจ้องเป็นพิเศษ อะไรนิดอะไรหน่อย มีกระบวนการที่นำมาขยายความให้เป็นเรื่องใหญ่โต
กลายเป็นสังคมแห่งความหวาดระแวง
ถ้ายังจำกันได้ผมเคยเกริ่นเอาไว้ว่า ระวังสงครามสื่อ ให้ดี สื่อ จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจุดชนวนวิกฤติรอบใหม่ขึ้นมา ยกตัวอย่าง เรื่องของประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้าโรงพยาบาลก็เป็นข่าวว่าเครียดกับเรื่องที่ถูกโจมตีอย่างหนักถึงกับล้มในห้องน้ำ ในขณะที่คนใกล้ชิดก็ต้องรีบออกมายืนยันว่าเป็นการตรวจร่างกายตามปกติ
ก่อนหน้านี้ก็มีใบปลิว วีซีดี และข้อความในอินเตอร์เน็ต ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอและให้ร้ายประธานองคมนตรีอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งโดยปกติสถาบันองคมนตรีก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องอยู่แล้ว
หนักข้อเรื่องถูกโยงไปถึงขบวนการล้มเจ้าจนได้
ก็พอดีมีข่าวออกมาจากสื่ออีกนั่นแหละ ว่าการแข่งขันสโมสรฟุตบอลอังกฤษ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธาน มีคนเอาธงชาติไทย ไปผูกไว้ โดยที่ธงผืนดังกล่าวมีการปักชื่อทักษิณหราอยู่ด้วย
โหมกระพือกันสนุก
ผมเคยได้ยินมาว่า กระบวนการบางกระบวนการ ที่มีคนชั้นสูงร่วมอยู่ด้วย พยายามจะทำอย่างที่คิดเองเออเองไปแอบอ้างเบื้องสูงว่าต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ วันดีคืนดีโทรศัพท์ไปคุยกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง บอกว่า ที่บ้านเมืองวิกฤติอย่างนี้จะหาทางออกอย่างไร พอได้รับคำแนะนำว่าต้องทำให้เด็ดขาด ก็เอาเทปที่แอบบันทึกในขณะสนทนาทางโทรศัพท์ไปให้ผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งฟัง จนผู้ใหญ่ทั้งสองคนต้องผิดใจกัน
บ้านเมืองเรามีมือที่มองไม่เห็นเยอะไปหมด
ถึงได้วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ประเด็นแก้รัฐธรรมนูญนี่ก็เถอะ คอยจับตา พรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดินให้ดี ย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนการเลือกตั้ง เจตนารมณ์ของชาติไทยและเพื่อแผ่นดินเป็นอย่างไร แล้วจะเข้าใจสถานะของชาติไทยและเพื่อแผ่นดินในตอนนี้
ไม่ใช่ปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลธรรมดาๆ
วิบากกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กลายเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง ก็คงไม่จบอยู่แค่คดีความเท่านั้น ในขณะคนที่เป็นผู้นำประเทศ คุณสมัคร สุนทรเวช หรือผู้นำกองทัพอย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็กำลังตกที่นั่งเดียวกัน
กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คลื่นใต้น้ำ กระบวนการบางกระบวนการ ทิฐิและอคติ บุญคุณความแค้น รวมกันก่อตัวเป็นวิกฤติ รอจังหวะ รอโอกาส รอความเหมาะสม รอเวลาที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการแตกหัก
ยิ่งนานก็ยิ่งลึก ยิ่งลึกก็ยิ่งแรง.
หมัดเหล็ก
พลาดอย่างแรง
ไม่มีเหาอย่าหาเหาใส่หัว ไม่มีเรื่องอย่าหาเรื่องใส่ตัว นี่คือข้อควรระวังสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สำหรับคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งเป็นเป้าใหญ่ที่ถูกจ้องโจมตี ยิ่งต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหวทั้งไตรทวาร!! เพราะถ้ากลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อไหร่ ก็อ่วมอรไททุกที กรณีล่าสุดที่กลายเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครม คือ การที่มีคนเอาธงชาติไทยไปแขวนไว้ในสนามฟุตบอลแมนฯซิตี้ และมีชื่อ “ทักษิณ” เป็นภาษาอังกฤษติดไว้บนผืนธง การทำอย่างนี้ฝรั่งไม่ถือ แต่คนไทยถืออย่างแรง!! เพราะธงไตรรงค์เป็นสัญลักษณ์ของชาติไทย การที่มีชื่อคนติดอยู่บนผืนธงจึงไม่เหมาะสม หมิ่นเหม่ ไม่สบายตา ไม่สบายใจ ถึงเป็นเรื่องที่แฟนบอลทำกันเอง “ทักษิณ” ก็ต้องกระเทือนซาง เข้าตำราไม่มีเหาก็ยังมีคนเอาไข่เหาไปใส่หัวนั่นแหละโยม ล่าสุด ได้มีการกำชับเจ้าหน้าที่สนามให้ กวดขันอย่าให้เกิดเหตุซ้ำรอย รัฐบาลไทยได้มีหนังสือประท้วงไปถึงสโมสรแมนฯซิตี้ อย่างเป็นทางการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประชุมพิจารณากรณีนี้ว่ามีความผิดตามกฎหมายข้อใด?? สรุปว่า กรณีนี้ไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 118 ตามประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากการกระทำดังกล่าวไม่มีเจตนาที่จะเหยียดหยามประเทศไทย แต่เข้าข่ายความผิดมาตรา 53 ของ “พ.ร.บ. ธง” ที่ห้ามประดิษฐ์รูปภาพหรือตัวอักษรบนผืนธง ปัญหาคือ พ.ร.บ.ธง กำหนดความผิดเฉพาะ ในราชอาณาจักรอย่างเดียว แต่เมื่อมีผู้กล่าวโทษกรณีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะรวบรวมข้อเท็จจริงเสนออัยการสูงสุดให้พิจารณา สรุปว่า วิบากกรรมของ “ทักษิณ” มีสารพัดเรื่อง สารพัดประเด็น เหมือนคนเป็นฝีประคำร้อยเรื้อรัง ถ้าจะตัดวิบากกรรมให้หมดก็ต้องลาบวช ตลอดชีวิตสถานเดียว!! “แม่ลูกจันทร์” ในฐานะคอฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเข้ากระดูกดำ ยอมรับว่าการเข้ามาของ “ประธานสโมสรคนใหม่” ทำให้ทีมเรือใบ สีฟ้าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จากที่เคยห้อยต่องแต่งอยู่ท้ายตารางก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในอันดับท็อปเทน น่าเสียดาย “ทักษิณ” กำลังตัดสินใจพลาดอย่างจั๋งหนับที่จะปลด “สเวน โกรัน อีริกส์สัน” ออกจากผู้จัดการทีม ทั้งที่ยังมีสัญญา อีก 2 ปี เพราะ “สเวน” เป็นยอดโค้ชระดับโลกที่วงการฟุตบอลยอมรับฝีมือ การที่ “ทักษิณ” คว้าตัว “สเวน” มาทำทีมถือว่าเลือกถูกคน!! “สเวน” เป็นคนสุภาพนุ่มนวล เหมาะที่จะทำงานกับ “ทักษิณ” ที่เป็นนักบริหารอำนาจ นิยม การเปลี่ยนผู้จัดการทีมที่มีนักเตะหนุน หลัง และเป็นขวัญใจกองเชียร์ จะทำให้ “ทักษิณ” เสียรังวัดเอง!! เข้าตำราไม่มีเรื่องก็หาเรื่องใส่ตัว ขอย้ำว่าไม่มีใครเหมาะกับงานนี้เท่า “สเวน” ถ้าขืนไปเอา “มูรินโญ่” หรือ “สโคลารี่” ซึ่งเป็นคนหัวแข็ง เดี๋ยวก็ทะเลาะกันเปิง อย่าลืมว่าฟุตบอลต้องมีขาขึ้นขาลง ช่วงแรกทีมอาจฟอร์มแรง พอครึ่งซีซั่นหลังอาจฟอร์มฝืดก็เป็นเรื่องธรรมดา นักเตะบาดเจ็บก็มีผลต่อฟอร์มของทีม ข้อสำคัญ ปีแรกของ “สเวน” สามารถทำแต้มสูงสุดในรอบ 20 ปี!! การเอาชนะผีแดง “แมนฯยู” คู่อริร่วมเมือง (ไป-กลับ) ทั้งเหย้าทั้งเยือน ก็ทำให้แฟนบอลแมนฯซิตี้ มีความสุขหัวใจคับซี่โครง “แม่ลูกจันทร์” ถึงไม่ได้เป็นแฟนทีมตราเรือใบ แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ “ทักษิณ” จะปลดผู้จัดการทีม เงินซื้อความสำเร็จไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักเลือกคน. แม่ลูกจันทร์
'ปู่ชัย' ใบเสร็จสุดท้าย
เจอกันวันอาทิตย์ตอนสายๆ ล่าสุด “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นัดล่วงหน้า กับคิวที่นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใส่เสื้อกั๊กออกมาตั้งฉายาแสบๆคันๆ “รัฐบาลลูกกรอก” ล้อมสายสิญจน์เรียกกุมารทองคะนองปาก ปลุกกุมารทองคะนองอำนาจ ลากมา หมดทั้ง “รักเลี้ยบ” และ “ยมมิ่ง” ก่อนตบท้าย “ชคม.” นักการเมืองชั่วครองเมือง “ธีรยุทธ” รัวหมัดซัดอยู่ข้างเดียว บังเอิญว่า “ลุงหมัก” กำลังอยู่ในช่วงพักไมค์ ยกเลิกรายการ “บ่นไปด่าไป” กับนักข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล ในอารมณ์น้อยอกน้อยใจถูกทักว่าพูดจาหยาบคาย แต่ “ขาประจำ” ออกมาปลุกผี แหย่แรงๆขนาดนี้ วันอาทิตย์ตอนเช้าๆในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ล้างหูรอฟังกันให้ดี และในสถานการณ์ที่ต่อเนื่องกันเลย นายธีรยุทธล้อมสายสิญจน์เรียกรัฐบาลลูกกรอก ปลุกกุมารทองคะนองปาก แหย่กุมารทองคะนองฤทธิ์อำนาจ เรียกมาหมดทั้ง “รักเลี้ยบ” กับ “ยมมิ่ง” ก็ไม่แน่ใจว่าลืมไปหรืออย่างไร กับคิวของ “ไอ้ห้อย” กับ “ไอ้โหน” ที่กำลังโชว์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไม่ทันถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำไป ภายหลังจากที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร มีชื่อคนใหม่ใส่โพยมาเลย เต็งหนึ่งนอนมา “ปู่ชัย” นายชัย ชิดชอบ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ที่ได้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุรีรัมย์ ประคองปีก อุ้มขึ้นแคร่ หามเข้าประกวด ทุบโต๊ะต้องได้ และเบื้องหลังเลย นี่คือเหตุผลหนึ่งที่นายยงยุทธตัดสินใจทิ้งเก้าอี้ประธานสภาฯ เพราะเซ็งกับแรงเบียดของ “พ่อกับลูก” ที่เปิดเกมแซะเก้าอี้กันตั้งแต่วันแรกที่นายยงยุทธโดนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงมติเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแจกใบแดง ก็มีลูกหาบ ส.ส.อีสานออกมาปล่อยข่าว “ยงยุทธ” จะลาออก พวกจ้องไล่ที่กันอยู่ ก็ไม่แปลกเมื่อเก้าอี้ว่างลง ขบวนการแห่ “ปู่ชัย” ก็เริ่มงานได้ทันที กองเชียร์ไล่มาตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีอย่างนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม สายตรงกลุ่มบุรีรัมย์ รีบออกมาตีปี๊บ นายชัยมีอาวุโสสูงสุด อยู่ในสภามานาน มีความแม่นยำในข้อบังคับสภา หากพรรคพลังประชาชนเสนอนายชัยเป็นประธานสภาฯ เชื่อว่านายชัยมีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้ รับมุกโดยลูกหาบกลุ่ม ส.ส.อีสานในปีกพ่อมดเขมร นายภิรมย์ พลวิเศษ ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน ออกมายอวาที ในฐานะ วิปรัฐบาลได้ทำงานร่วมกับนายชัยมากว่า 3 เดือน เห็นว่านายชัยทำหน้าที่ประธานการประชุมได้ดี ทั้งในวิปรัฐบาลและที่ประชุมพรรคพลังประชาชน เชียร์สุดลิ่ม ถึงเวลาแล้วที่นายชัยจะต้องเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่ง ส.ส.อีสานของพรรคกว่า 90 คน ส่วนใหญ่เห็นว่า นายชัยมีความเหมาะสมมากที่สุด “ปู่ชัย” นอนมาโดยมีลูกชายนำหน้า แม้จะมีเสียง ส.ส.ภาคเหนือ กลุ่มผู้แทนฯภาคกลาง และทีม กทม.บางส่วน รวมไปถึง ส.ส.อีสานที่ไม่ได้ซุกปีกพ่อมดเขมร ออกมาท้วงเรื่องความเหมาะสม ห่วงกระแส “ขี้เหร่” แต่โดยความตั้งใจที่แน่วแน่ของลูกชายที่จะหามพ่อขึ้นสู่ฝัน อิทธิฤทธิ์ของมนต์ขแมร์ โอกาสเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ที่ “ปู่ชัย” จะคว้าเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นเกียรติประวัติของชีวิตคนแก่ที่เพิ่งอายุครบ 80 ขวบไปหยกๆ และทั้งหมดทั้งปวง นี่คือใบเสร็จใบสุดท้าย ปิดบัญชีค่าตอบแทนที่นายใหญ่จะจ่ายให้พ่อมดเขมรในฐานะขุนศึกนำทัพรบชนะ ออกมาทวงรางวัลกันไม่จบไม่สิ้น “ทักษิณ” ไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณใคร. ทีมข่าวการเมือง รายงาน
พปช.งัดภาพแจ้งความชื่อพันธมิตรบนธงชาติ
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 2 พ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม นายภิรมย์ พลวิเศษ อายุ 43 ปี ส.ส.เขต 5 จ.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สมยศ พรหมนิ่ม รอง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ให้ตำรวจกองปราบฯ ตรวจสอบภาพธงชาติที่ดูไม่เหมาะสม 2 ภาพ ที่มีการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยอดนิยมแห่งหนึ่ง ว่า เป็นการกระทำที่ เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ธง พ.ศ. 2522 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 118 หรือไม่ นายภิรมย์กล่าวว่า พบภาพทั้งสองถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ไม่ได้ระบุหัวข้อว่าเป็นเรื่องอะไร และไม่ทราบว่ามีการนำภาพมาลงที่เว็บนี้นานเท่าใด แต่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม จึง อยากให้มีการระงับการเผยแพร่ภาพดังกล่าว และช่วยตรวจ สอบด้วยว่า การนำธงชาติไทยมาเขียนข้อความในภาพทั้งสองเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ธง พ.ศ. 2522 รวมทั้งเป็นความผิดอาญาด้วยหรือไม่ ขณะที่ พ.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เบื้องต้นได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร พงส. (สบ 2) รับเรื่องไว้ตรวจสอบ หากพบว่า เข้าข่ายกระทำความผิดก็จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับภาพ 2 ภาพ ที่นายภิรมย์ อ้างว่าไม่เหมาะสมนั้น ภาพแรกเป็นภาพธงชาติที่ถูกนำมาใช้เป็นฉากหลังเวทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีข้อความระบุชื่อวิทยากรในการบรรยาย ประกอบด้วย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เขียนทับอยู่ส่วนหนึ่งของธงชาติ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2549 ส่วนภาพที่ 2 เป็นภาพหญิงสาวที่เข้าร่วมชุมนุมใช้ผ้าพัน คอ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯนำมาแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุมมาเป็น ผ้าคาดหน้าอก แต่ผ้าดังกล่าวมีการตกแต่งทาสีเป็นรูปธงชาติ และมีข้อความว่า “ออกไป” นอกจากนี้ ในภาพดังกล่าว ยังปรากฏใบหน้าของ น.ส.วรรณพร ฉิมบรรจง หรือทราย ดาราสาวชื่อดังรวมอยู่ด้วย
ยำคนไทยเละ หลังคนอังกฤษรู้ข่าวเรื่องธงไทยในสนามแมนฯซิตี้
2 พฤษภาคม 2551
คุณ Krieng_MCFC จากเว็บบอร์ดพันทิป ดอตคอม ได้กรุณาแปลข้อความที่แฟนคลับชาวอังกฤษจากสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง (ไม่ระบุ เพื่อกันการโจมตีกลับ)
ความคิดเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีผู้โพสต์ข่าวจากสำนักข่าวซินหัวของจีน เรื่องที่มีผู้แจ้งความกับตำรวจ เมื่อธงชาติไทยในสนามแมนฯซิตี้มีชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปรากฏอยู่ด้วย(ดูลิงค์)
ต่อไปนี้คือความคิดเห็นของแฟนฟุตบอลชาวอังกฤษ
come on, whos flag was it!?!?!?
ถามว่าธงของใครเอ่ยยอมรับมาซะ
FFS! Some people really take themselves seriously don't they!
Have they got nothing better to worry about?
คนบางพวกเค้าเอาเรื่องนี้มาจริงจังด้วยหรือ
ไม่มีเรื่องอื่นให้ห่วงกันหรือไง
yeah but I would have a giggle if all 3,000 fans at Anfield on Sunday all took Thai flags with Thaksin on them :-)
ใช่...แต่ผมนึกสนุกอยู่ว่าถ้าแฟนซิตี้ทั้ง 3 พันที่ไปดูนัดเยือนที่สนามแอนฟิลด์นัดวันอาทิตย์นี้(ที่ซิตี้เจอหงษ์)น่าจะเอาธงไทยที่มีชื่อทักษิณไปด้วย
Strange country.
ประเทศประหลาด
Also like to say for all this 'Eastern business methods'. Yes your economys are growing, but you are still light years behind us. It is far easier with some muscle behind you to become as rich as Thaskin Shinawater in Thailand than it is
here.
ถึงประเทศจะเติบโตในทางธุรกิจแต่ดูจะล้าหลังอยู่หลายปีแสง
Some Thai politician look Strange. They alway discredit and attack his rival (Frank and other) in every case even flag. If another name on flag they don't
care
นักการเมืองไทยนี่ก็พิกล พวกเขาชอบดิสเครดิตคู่แข่งในกรณีนี้คือ แฟรงค์ ในทุกหนทางแม้กระทั่งเรื่องธง ถ้ามีชื่ออื่นในธงก็คงไม่สนใจ
It's all just a game of politics. Thaksin's oppositions are trying everything to get public support to oust the PPP once again. They often link Thaksin with a scheme to overthrow the throne. They said Thaksin approved his name to be on the flag, meaning he wants to own the country..bla bla which is all BS and only worked for some stupid thais.
They will keep coming up with new ideas to discredit Thaksin. He has many enemies because the way he runs things. The Sven incident is top example for City's fans to understand the situation in Thailand.
เป็นแค่เกมทางการเมือง ฝ่ายตรงข้ามทักษิณพยายามทุกวิถีทางที่จะให้สื่อเล่นงาน PPP แม้แต่บ่อยครั้งก็พยายามดึงไปเบื้องสูง กล่าวหาว่าทักษิณอนุมัติชื่อของเขาให้ลงในธงเพื่อความหมายว่าเป็นเจ้าของประเทศ บรา บรา นั่นก็ได้ผลแค่สำหรับคนไทยที่ stupid เท่านั้นเรื่องอย่างนี้มีอยู่เรื่อยๆ หาไอเดียใหม่ๆเพื่อดิสเครดิต เค้ามีศัตรูมากเพราะวิธีการทำงานของเขา แล้วเรื่องสเวนก็เป็นอีกเหตุการณ์ใหญ่ที่จะทำให้แฟนซิตี้ในอังกฤษเข้าใจสถานการณ์ในไทย
จาก Thai E-News
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังก่อกระแส ‘ละคอนแขวนคอ’ ยุคใหม่
โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่มา เว็บไซต์ประชาไท
2 พฤษภาคม 2551
เช้าวันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2519 กลุ่มขวาจัดที่เรียกตัวเองว่า ชมรมแม่บ้านได้จัดชุมนุมที่ลานพระรูปทรงม้า เพื่อประท้วงรัฐบาลในขณะนั้น อันเกี่ยวเนื่องมาจากวิกฤติการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม การชุมนุมดำเนินไปจนเกือบบ่าย ก็มีบางคนในกลุ่มหยิบยกเอาภาพถ่ายการแสดงละคอนของนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ลานโพธิในเที่ยงวันก่อนหน้านั้น (4 ตุลาคม) เพื่อสะท้อนเหตุการณ์แขวนคอช่างไฟฟ้าผู้ประท้วงถนอมที่นครปฐม 2 คน ซึ่งตีพิมพ์ในหน้า 1 ของบางกอกโพสต์ ฉบับวันนั้น (บางกอกโพสต์ออกวันละ 1 กรอบตอนเช้า) มาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใบหน้าผู้แสดงเป็นช่างไฟฟ้าที่กำลังถูกแขวนคอในภาพนั้นเหมือนพระบรมโอรสาธิราช แสดงว่า นักศึกษาจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มจัดตั้งขวาจัดต่างๆในขณะนั้น ได้แพร่กระจายข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอาศัยองค์กรสื่อมวลชนขวาจัด 2 องค์กร คือ นสพ.ดาวสยาม รายวัน และ สถานีวิทยุยานเกราะ เป็นเครื่องมือ โดยสถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศปลุกเร้าอารมณ์ผู้ฟังอย่างหนักไม่หยุดตลอดบ่ายวันที่ 5 ข้ามคืนถึงเช้าวันที่ 6 มีการเรียกร้องให้จัดการกับนักศึกษาขั้นเด็ดขาด กระตุ้นความโกรธแค้นผู้ฟังถึงระดับทีหวังผลให้เกิดการใช้กฎหมู่ทำร้ายนักศึกษา ขณะที่ ดาวสยาม ได้ตีพิมพ์กรอบบ่ายเพิ่มจำนวนเป็นพิเศษ เผยแพร่ทั่วกรุงเทพ ในหน้า 1 เกือบเต็มหน้า ได้ตีพิมพ์ขยายรูปที่กล่าวหาว่าเป็นการ “แขวนคอหุ่นเหมือนฟ้าชาย” (นี่คือคำพาดหัว ดาวสยาม ฉบับเช้าวันที่ 6 ตุลา ขอให้สังเกตว่า การปลุกระดมนี้วางอยู่บนการโกหกเพียงใด เพราะการ “แขวนคอ” ใช้คนแสดงจริง ไม่ใช่หุ่น)
ฝ่ายศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้แถลงข่าว บอกเล่าความจริงของความเป็นมาของการแสดงละคอนประท้วงถนอม (ซึ่งเป็นกิจกรรมของนักศึกษาธรรมศาสตร์เอง ไม่ใช่การจัดของศูนย์ฯ) และได้ยืนยันว่ายินดีจะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวนตามกระบวนการทางกฎหมายทุกอย่าง ทั้งยังได้นัดกับนายกรัฐมนตรี จะเดินทางเข้าพบเพื่อชี้แจงในเช้าวันรุ่งขึ้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือตั้งแต่ช่วงบ่าย ช่วงกลางคืน วันที่ 5 ตุลาคม ถึงช่วงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม คือ การระดมกำลังจัดตั้งติดอาวุธของพวกขวาจัดอย่างขนานใหญ่ บรรดาผู้บงการของพวกเขาทราบดีว่า ถ้าปล่อยให้มีการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายและกระบวนการทางการเมืองแบบปกติ คือ ให้โอกาสนักศึกษาชี้แจงกับเจ้าหน้าที่และต่อสู้คดี และให้โอกาสนักศึกษาได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป คำโกหกของพวกเขา ก็จะไม่เป็นผล เพราะไม่เป็นเรื่องยากที่จะแสดงให้เห็นว่า ละคอนที่แสดงที่ลานโพธินั้น คือละคอนสะท้อนการฆ่าแขวนคอช่างไฟฟ้าที่นครปฐมเท่านั้น ไม่มีเนื้อหาใดๆเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เลย ใบหน้าของผู้แสดงก็ไม่มีการตกแต่งให้เหมือนกับรัชทายาท อย่างที่มีการปล่อยข่าวแต่อย่างใด
ดังนั้น บรรดาผู้บงการขวาจัดจึงเร่งระดมอันธพาลการเมือง และกำลังติดอาวุธของรัฐบางส่วนที่พวกเขาควบคุมได้โดยตรง เข้าทำการปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่คืนวันที่ 5 และเริ่มโจมตีประปรายตั้งแต่กลางดึกคืนนั้น และโดยไม่รอให้ฟ้าสว่างในเช้าวันที่ 6 พวกเขาก็สังการให้กำลังเหล่านั้นทำการโจมตีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างเต็มที่พร้อมเพรียงกัน
สิ่งที่ตามมาคือ การฆ่าหมู่สยดสยองที่เหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
ใครๆก็ควรจะนึกว่า หลังจากการฆ่าหมู่นั้นผ่านไป 30 ปี การปลุมระดมโดยข้ออ้างว่า ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ต้องเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นอีก
แต่ในระยะ 2 ปีเศษที่ผ่านมา นสพ.-วิทยุ-โทรทัศน์ ของกลุ่มผู้จัดการ และกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รื้อฟื้นการใช้ข้ออ้างทางการเมืองนี้ มาเล่นงานผู้ที่พวกเขาไม่เห็นด้วยอีก
ตั้งแต่ต้น พวกเขากุเรื่องว่า มีคนจะล่วงละเมิด “พระราชอำนาจ” ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้พวกเขาต้องประกาศว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง”
การรณรงค์นี้ยกระดับความเข้มข้นและความหลอกลวงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (พฤษภาคม 2549) ได้มีการสร้างนิทานหลอกเด็กเรื่อง “ปฏิญญาฟินแลนด์” ขึ้น แต่ขอให้สังเกตว่า เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ในตอนนั้น พวกเขายังไม่กล้าถึงขั้นกล่าวหาคู่ต่อสู้ทางการเมืองตรงๆว่า ต้องการสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ เพียงแต่ใช้คำที่ฟังดูขึงขังน่ากลัวนี้ มาขู่โดยนัยยะ
สิ่งที่พวกเขาเสนอในขณะนั้น คือ มีผู้กำลังทำให้สถาบันกษัตริย์เป็น”เพียงสัญลักษณ์” อันทีจริง เรื่องนี้เป็นเรื่องยกเมฆ แต่ทีตลกคือ ในโลกยุคปัจจุบัน การเป็น”สัญลักษณ์” ของประชาชาติหนี่งที่มีคน 60 กว่าล้าน ยังถือเป็นเรื่อง “หมิ่น” หรือ? การเป็น “สัญลักษณ์” ของคน 60 กว่าล้าน จะเป็นเรื่องเลวร้ายได้อย่างไร?
ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังพูดราวกับว่า เรากำลังอยู่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช การพูดเรื่องการเป็น “เพียงสัญลักษณ์” ของพระมหากษัตริย์กลายเป็นเรื่อง “หมิ่น” ขึ้นมาทันที
เรื่องยกเมฆที่เผยแพร่อย่างเป็นทางการนี้ ที่ยังต้องรักษา “ความน่าเชื่อ” บางอย่างภายนอกไว้ ได้รับการประสานกับเรื่องยกเมฆทีเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตที่มีลักษณะโกหกแบบสุดๆ เพราะไม่ต้องห่วงเรื่องการตรวจสอบใดๆ ทีหวังว่า ด้วยการเผยแพร่ซ้ำๆๆๆทางอีเมล์ จะทำให้คนเริ่มเชื่อขึ้นบ้าง อย่างกรณีปล่อยข่าวว่ามีศูนย์บัญชาการคอมพิวเตอร์ในทำเนียบรัฐบาลเผยแพร่ข้อมูลหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทางอินเตอร์เน็ตผ่านระบบดาวเทียม เป็นต้น
แต่การโฆษณาชวนเชื่อเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ของกลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตรในปี 2549 เมื่อเทียบกับปีนี้แล้ว ก็ยังไม่เทียบเท่าในระดับความโกหก และความเป็นไปได้ทีจะนำมาซึ่งผลเสียหายร้ายแรง
ปีนี้ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้เขียนในผู้จัดการว่า มี “ผู้ต้องการสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ” (ขณะที่ในช่วงก่อกระแส “ปฏิญญาฟินแลนด์” เขายังไม่กล้า “ฟันธง” ลงไปเช่นนี้)
การเคลื่อนไหวปลุกกระแส “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ของผู้จัดการ-พันธมิตร ได้ถึงขั้นที่เรียกว่า absurd (ไร้เหตุผลถึงขั้นน่าหัวร่อ) และ paranoid (โรคหวาดระแวง) ที่การเขียนถ้อยคำบนผ้าสีธงชาติ ที่มีกำเนิดจากวงการเชียร์กีฬาร่วมสมัย และได้กลายเป็นเรื่องที่ทำกันปกติ แม้แต่ในประเทศไทยเอง (ดังที่มีคนเอาภาพการชุมนุมของพันธมิตรเองมาแสดงให้เห็นว่าผู้ร่วมชุมนุมบางคนก็ทำกัน) นี่เป็นส่วนหนี่งของวัฒนธรรมสมัยใหม่ ที่ทุกคนเห็นเป็นเรื่องปกติไปนานแล้ว
แต่กลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตร ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหา “ความมั่นคงของประเทศ” ที่ถึงขั้นต้องหาคนผิดมาดำเนินคดีข้ามประเทศ!
คนเหล่านี้ ไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย
ระดับความบ้าคลั่งในการก่อกระส “ละคอนแขวนคอ”ยุคใหม่ ของคนกลุ่มนี้ ได้ถึงจุดที่อันตรายอย่างยิ่ง
เมื่อคืนวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ในรายการ Metro Life ของวิทยุผู้จัดการ หนึ่งในโฆษกของรายการ ถึงกับพูดว่า ในเหตุการณ์ 6 ตุลา ระหว่างพวกขวาจัดที่ฆ่าหมู่นักศึกษา กับนักศึกษาที่ถูกฆ่าหมู่อย่างสยดสยองนั้น “ใครผิดกันแน่” บอกไม่ได้ (“มีคำถาม”) เท่ากับว่า การฆ่าหมู่คนเช่นนั้น ก็สามารถเป็นเรื่อง “ถูกต้อง” ได้!!
นอกจากนั้น พวกเขายังพูดเป็นนัยยะว่า เหตุการณ์อย่าง 6 ตุลา อาจจะจำเป็น เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์แบบ 6 ตุลา ประเทศไทยก็อาจจะไม่เป็นปกติสุขแบบในปัจจุบัน อาจจะเต็มไปด้วยคนที่ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”!!
“ถ้าวันนั้นเราไม่มีเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ไม่มีเหตุการณ์ ขวาพิฆาตซ้าย บ้านเมืองมันจะเป็นอย่างที่เรารู้จักหรือเปล่า ถ้าเรามีคนอย่างโชติศักดิ์จำนวนมากอยู่ในสังคม...”
นั่นคือ ถ้าปล่อยไว้ ไม่ทำการฆ่าหมู่เมื่อ 6 ตุลา ก็จะมี “คนอย่างโชติศักดิ์จำนวนมากอยู่ในสังคม” ทุกวันนี้
นี่คืออะไรถ้าไม่ใช่การสร้างความชอบธรรมให้กับการฆ่าหมู่อย่างกระหายเลือด?
ในรายการวิทยุเดียวกัน ในคืนวันที่ 30 เมษายน โฆษกของรายการถึงขั้นชี้แนะว่า ถ้าใครลงมือใช้ความรุนแรงทำร้ายโชติศักดิ์ ถ้าทำให้หัวแตก ตามกฎหมาย คนลงมือทำร้ายนั้นก็จะถูกลงโทษปรับแค่ 500 บาทเท่านั้น! และเปิดโอกาสให้ผู้ฟังบางคนโทรศัพท์เข้ามาเสนอวิธีทำร้ายร่างกายโชติศักดิ์ มีผู้ฟังคนหนึ่งสนองรับด้วยการโทรศัพท์มาเสนอว่า ให้ใช้วิธี “ชกหน้า โดยกำถ่ายไฟฉายก้อนไว้ในมือ”!!
ผมขอเรียกร้องให้ร่วมกันประณามการเป็น “ดาวสยาม-ยานเกราะ” ยุคใหม่ ของกลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตร
กลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตร กำลีงผลักดันให้สังคมไทยถอยหลังเข้าคลอง ย้อนยุคไปกว่า 30 ปี
ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ต้องจัดการด้วยการอภิปราย โต้แย้ง อย่างใช้เหตุผล ไม่ใช่ปลุกปั่น โดยอ้างสถาบันกษัตริย์ เพื่อนำไปสู่การใช้ความรุนแรงจัดการกับผู้มีความเห็นแตกต่างกับตนอย่างที่กลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังทำอยู่
หมายเหตุ: ท่านสามารถติดตามผลงานของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้ที่เว็บไซต์ http://somsakj.blogspot.com/
ท่านสามารถร่วมแสดงความคิดเห็น และอ่านความคิดเห็นของเพื่อนประชาชนต่อบทความดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ประชาไท
ภาพประกอบเสริมต่างๆ นำมาจากอินเตอร์เน็ต ไม่ปรากฏอยู่ในต้นฉบับบทความของอ.สมศักดิ์
จาก Thai E-News
Friday, May 2, 2008
ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาฉบับที่ 4 (54/2551)เรื่อง พายุไซโคลน "นาร์กีส"
ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
ฉบับที่ 4 (54/2551)
เรื่อง พายุไซโคลน "นาร์กีส"
--------------------
*******
พงศ์เทพ แจงเหตุ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ร่วมเปิดตัวมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ติดภารกิจที่ต่างประเทศ
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เดินทางมาร่วมงานเปิดตัวมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 เนื่องจากติดภารกิจต่างประเทศ ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องธงชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกเพียงว่าถ้าอยู่ในไทย จะมาร่วมงานด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ได้อยู่ในประเทศไทย และคาดว่าสัปดาห์หน้า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับประเทศเพื่อให้การต้อนรับนักธุรกิจชาวบราซิลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เชิญมาเยือนประเทศไทย เพื่อดูงานด้านการลงทุนเกี่ยวกับการลงทุนด้านพลังงานทดแทน
จากนั้นวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2551 ต้องเดินทางไปร่วมแข่งขันกอล์ฟในฐานะที่เป็นนายกสมาคมกอล์ฟอาชีพ ทั้งนี้ ทราบว่าระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ต่างประเทศได้พบปะกับอดีตผู้นำหลายประเทศ ซึ่งมีการหารือว่าจะตั้งชมรมผู้นำประเทศที่วางมือทางการเมือง เนื่องจากบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ สามารถมองปัญหาหรือให้ข้อเสนอแนะในภาพรวมของประเทศได้ และขอยืนยันว่าการเดินทางไปต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับอนุญาตจากศาลทุกครั้ง และการเดินทางของอดีตนายกรัฐมนตรีจะไม่มีผลกระทบต่อการพิจารณาคดีใด ๆ ทั้งสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวว่านักฟุตบอลสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะบอยคอตด้วยการไม่เดินทางมาโชว์ตัวในประเทศไทย เนื่องจากไม่พอใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะปลด สเวนโกรัน อีริกส์สัน ผู้จัดการทีมฯ นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ได้สอบถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบว่ายังไม่มีการพูดคุย
“ปกติแล้วการพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจะพิจารณาก็ต่อเมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาล และเท่าที่ทราบยังเหลือการแข่งขันอีก 2 นัด” นายพงศ์เทพ กล่าว. - สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-05-02 19:39:59
ยังมีทางออก
การเมืองดูเหมือนจะลื่นไหลไปตามสถานการณ์และเงื่อนไข วันเวลา ทำให้ทุกอย่างต้องเดินไปตามครรลอง ล่าสุดนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนฯได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งในขณะที่กำลัง “พักงาน” ตัวเอง นั่นเพราะนายยงยุทธมีคดี “ใบแดง” จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดย ก.ก.ต.ได้มีมติไปแล้ว ขณะนี้คดียังอยู่ที่ศาลที่จะชี้ขาดอีกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าเหตุที่ผลที่นายยงยุทธชี้แจงในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ หากจะต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาลดูจะไม่เหมาะอย่างยิ่ง การลาออกจึงน่าจะเหมาะสมและเป็นเหตุเป็นผล จากนี้ไปก็สภาผู้แทนฯก็คงจะต้องดำเนินการ ตามขั้นตอนต่างๆเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนฯคนใหม่ ซึ่งขณะนี้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์รองประธานฯรักษาการอยู่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแต่ อย่างไรก็ดี สภาจะปิดสมัยประชุมในวันที่ 19 พ.ค. 51 อยู่ที่ว่าจะหาประธานสภาฯคนใหม่ได้ทันหรือไม่ ประธานสภาผู้แทนฯคนใหม่ก็ต้องเป็นคนของพลังประชาชนอยู่ที่ว่าจะให้ใครเป็นเท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่าคงต้องแย่งกันน่าดูแหละ ต้องแสดงกำลังภายในกันอีกรอบแน่ อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์การเมืองที่ค่อนข้างเครียด บทบาทการทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนฯจึงต้องเจองานหนักแน่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี่แหละจะเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งนั่นต้องหมายความว่าคนนั่งตำแหน่ง นี้จะต้องไม่ธรรมดา ประเภทมือใหม่หัดขับคงจะลำบาก ล่าสุดมีข่าวว่านายกฯจะกินข้าวกับหัวหน้าพรรคร่วม รัฐบาลถือว่าเป็นครั้งแรกหลังจากตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาจนถึงขณะนี้ ซึ่งจริงๆน่าจะเป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่าง น้อยก็ได้พูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสถานการณ์บ้านเมือง ที่สำคัญคือการบริหารประเทศต่อไปอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติและประชาชน ในท่ามกลางปัญหาสารพัด ไม่ใช่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะอยู่ระดับปกติแต่กลับ เจอปัญหานานาประเภทที่จะต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะสินค้าภาคเกษตรกรรมที่จะทำให้ไทยลุกยืนขึ้นมาได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เช่นกันแน่นอนว่าพลังประชาชน, ชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตยต่างเจอปัญหาเฉพาะในเรื่องยุบพรรค นั่นเป็นประเด็นหนึ่งที่ต้องการแก้ไขหรืออีกหลาย ประเด็นที่นักการเมือง นักวิชาการ องค์กรประชาธิปไตยหรือองค์กรอื่นๆก็ตาม ต่างๆเหล่านี้มันมีทางออกอยู่ ไม่ใช่ตีบตัน เพียงแต่อย่าพยายามทำให้มันตีบตันจนไม่มีทางออกเอง อย่างน้อยเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะมีทางที่จะทำให้ทุกอย่างเดินไปในทางที่ดีได้ อย่างไรก็ดี การลาออกของนายยงยุทธและการเชื่อมต่อกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในทางด้านสภาแล้วประธานวุฒิสภาในฐานะ รองประธานรัฐสภาสามารถทำหน้าที่ประธานแทนได้ หากจะมีการยื่นญัตติพื่อแก้ไขในสัปดาห์หน้า แต่เชื่อว่าคงจะยังไม่ได้ยื่นง่ายๆ ดีไม่ดีต้องรอประธานสภาผู้แทนฯคนใหม่ด้วยซ้ำไป เพราะแม้ว่าทุกพรรคจะเห็นด้วยกับการแก้ไข แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเห็นตรงกันทุกเรื่อง ทุกประเด็นหรือแม้แต่วิธีการที่จะดำเนินการแก้ไข เพราะยังเชื่อว่าจะต้องฟังเสียงพรรคร่วมรัฐบาลและเสียงภายนอกด้วย ยิ่งสถานการณ์ของรัฐบาลในขณะนี้หาใช่ว่าจะดีหรือมั่นคง เสถียรภาพเข้มแข็ง หากไม่ปรับรูปขบวนการทำงานกันใหม่ทั้งแง่ การบริหาร การแก้ปัญหาต่างๆโดยเฉพาะเศรษฐกิจปากท้อง ถ้าเปิดชนวนการเมืองกันอย่างทุกวันนี้ไม่เป็นผลดีแน่ และหากว่าคดีนายยงยุทธจบลงด้วย “ใบแดง” ก้าวต่อไปก็จะพันกับเรื่อง “ยุบพรรค” ระส่ำระสายเอาได้ง่ายๆเหมือนกัน. "สายล่อฟ้า"
'ผู้ใหญ่' จะเอาอยู่มั้ย?
โดยมิได้นัดหมาย มีการอ้างถึง “ผู้ใหญ่” พร้อมกันในวันเดียว
“ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี อ้างเหตุในการยกเลิกรายการ “บ่นไปด่าไป” ล้มเวทีนัดพบสื่อมวลชนทุกวันอังคารและวันศุกร์ เพราะโดนต่อว่า ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย
“คนใหญ่ๆเขาว่ารุนแรงเลยว่า เกิดมาไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนไหน พูดจาหยาบคาย ส่วนรายการสนทนาประสาสมัครยังมีอยู่ แต่เขาก็บอกให้ค่อยๆพูด”
ออกแนวเกรงใจ “ผู้ใหญ่”
พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พูดถึงความห่วงใยในสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่มีการโยงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง
“เท่าที่ทราบขณะนี้ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบจุดนี้ กำลังพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลาย เท่าที่ฟังดูน่าจะแก้ไขได้ ขอให้รอดูไปอีกสักพัก”
น้ำเสียงมั่นใจในศักยภาพ “ผู้ใหญ่”
นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร พูดผ่านเวทีแถลงข่าวลาออกจากตำแหน่ง สังคมไทยอยู่ในสภาพขัดแย้ง มีการอ้างสถาบันเพื่อทำร้ายกันอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ไม่เคยเห็นประเทศใดในโลกที่ทะเลาะเบาะแว้งแล้วจะทำให้สถาบันสำคัญของชาติเข้มแข็งขึ้น
แนวทางแก้ไขก็คือต้องให้ผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณลงมาแก้ไข ตั้งโต๊ะเจรจาว่าปัญหาความขัดแย้งคืออะไร
“เคยขอร้องผู้ใหญ่คนหนึ่ง โดยบอกว่าหากสามารถแก้ไขได้ก็พร้อมจะลาออกจากทุกตำแหน่ง ทั้งตำแหน่ง ส.ส.ด้วย แต่ผู้ใหญ่คนนั้นบอกว่า เหตุการณ์ยังไม่เกิด หากออกไปพูดก็จะทำให้คนหมั่นไส้”
หวังพึ่ง “ผู้ใหญ่” ให้ลงมากู้วิกฤติ
อยู่ๆก็มีการพูดถึง “ผู้ใหญ่” พร้อมกันในสามมิติ ทั้งนายกฯ ผบ.ทร. และอดีตประธานสภาฯ มันจึงเป็นอะไรที่น่าสนใจ
“ผู้ใหญ่” ในระดับที่ทำให้นายกฯสมัครออกอาการเกรงอกเกรงใจ ยอมยกเลิกเวลาจัดรายการ “บ่นไปด่าไป” ทุกวันอังคารและวันศุกร์
น้อยใจถูกหาว่าหยาบคาย
“ผู้ใหญ่” ที่ทำให้บิ๊กทหารอย่าง พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ มั่นใจในศักยภาพจะสามารถเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่บานปลายถึงขั้นดึงสถาบันลงมาเล่นกัน
การันตีน่าจะคลี่คลายได้
“ผู้ใหญ่” ที่ทำให้สายตรงของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร อย่างนายยงยุทธ ยังต้องต่อสายอ้อนวอนให้ลงมาช่วยเจรจายุติปัญหาความขัดแย้ง
ยอมแลกเปลี่ยนกับการลาออกจากประธานสภาฯไปยัน เก้าอี้ ส.ส.
“ผู้ใหญ่” ที่ว่า เป็นใคร
ไม่แน่ใจว่า จะเป็น “ผู้ใหญ่” คนเดียวกันหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ล่าสุด พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ออกมาแย้มเพิ่มให้อีกนิด โดยยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวไม่ใช่ทหารอย่างแน่นอน แต่ไม่ขอเปิด เผยว่าเป็นใคร
และก็เป็นอะไรที่เร้าสถานการณ์เข้าไปทุกที โดยกระบวนท่าที่ต่างฝ่ายต่างไม่กั๊กกันแล้ว
กับการเปิดตัวออกมาเล่นฉากหน้าของนายชาญวิทย์ จริยานุกูล เจ้าของชื่อที่ถูกนายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชา-ธิปัตย์ ระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำเอกสารโจมตี “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ล่าสุดเจ้าตัวออกมาจองคิว เตรียมเปิดแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดในวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคมนี้ ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถนนราชดำเนิน
โดยมี 7 หัวข้อที่จะชี้แจงคือ 1. ในเรื่องความจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับ พล.อ.เปรมกับเอกสาร “ก้อนกรวดในรองพระบาท” และ “ตีเสมอเจ้า” รวมถึง “หนังสือปกม่วง” และแถลงการณ์ของกลุ่มคนวันเสาร์กรณี พล.อ.เปรม
2. ประวัติของนายชาญวิทย์ ตามที่นายเทพไทแถลง 3. กรณีนายชวน หลีกภัย และนายเทพไทเปิดประเด็นเพื่อปกป้อง พล.อ.เปรม 4. เรียกร้องต่อกรณีเสนอกระบวนการล้มปืน ทุน เจ้า ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ 5. กรณีเอกสารการดำเนินคดีนายชาญวิทย์ที่ท่าน้ำนนทบุรี 6. แนวคิดทางการเมืองของนายชาญวิทย์ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 และ 7. สถาบันต่อสังคมประชาธิปไตยของไทย
จั่วหัวล้วนแต่ปมแหลมๆเสียวๆ
ในชั่วโมงปกติ จะมีใครกล้าเล่นขนาดนี้.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
111 ส่งเทียบเชิญ “ทักษิณ” จัดงานระดมทุนปลายเดือน พ.ค.
“ภูมิธรรม เวชชยชัย” ปัดใช้มูลนิธิรณรงค์แก้ไข รธน. เพราะติดข้อจำกัดทางการเมือง แต่เห็นดีด้วย ขณะที่ “วิชิต ปลั่งศรีสกุล” ย้ำไม่มีแบ่งพรรค เมื่อบ่ายวันนี้ (2 พ.ค.) หลังจากงานแถลงข่าวเปิดตัว “มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย” อย่างเป็นทางการ ที่ห้องวิภาวดี บอลรูม โรงแรมเซ็นทารา ลาดพร้าว ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โดยมีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยคนสำคัญมาร่วมงานจำนวนมาก หนึ่งใน 111 อดีตกรรมการบริหารพรรค นายภูมิธรรม เวชชยชัย เปิดเผยว่า หลังจากนี้คงจะหารือถึงแนวทางการทำงานของมูลนิธิ ว่าสิ่งใดที่ทำประโยชน์ให้สังคมก็จะทำ โดยที่ไม่ขัดกับแนวทางการเมือง
พร้อมกันนี้ยังให้ความเห็นในเรื่องรัฐธรรมนูญด้วยว่า ที่ผ่านมาไม่มีรัฐธรรมนูญใดสมบูรณ์ ในทางปฏิบัติหากรัฐธรรมนูญมีปัญหาก็สามารถปรับปรุงให้มีประโยชน์ได้ ส่วนที่ถามว่าแนวทางของมูลนิธิจะเกี่ยวข้องกับการรณรงค์เรื่องแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น คงจะไม่ทำ เพราะเรามีข้อจำกัดทางการเมืองอยู่
เมื่อถามถึงการเรียกร้องให้ “ผู้ใหญ่” ในบ้านเมืองเข้ามาแก้ไขปัญหา ตามที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรระบุนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่ทราบเลยว่าเป็น “ผู้ใหญ่” คนไหน แต่ทั้งนี้ใครที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้ด้วยดีก็ดีอยู่แล้ว
และเมื่อถามย้ำว่า สมาชิก 111 จะสามารถไปแก้ปัญหาไม่ให้มีการเผชิญหน้าได้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้เราไม่เกี่ยวอยู่แล้ว ที่ทำได้คือขอความร่วมมือ เพราะที่ผ่านมาประเทศเราบอบช้ำมาเยอะแล้ว ควรดูว่าจะแก้ปัญหาหาทางออกได้อย่างไร แต่อย่าทำเพราะความรังเกียจเดียดฉันท์
ด้าน นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางมูลนิธิได้ส่งบัตรเชิญให้กับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทุกคน ไม่มีแบ่งพรรค เพราะเป็นองค์กรสาธารณะกุศล
อย่างไรก็ดี มีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยหลายคนตอบรับ แต่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ได้ฝากเงินมาบริจาค เพราะติดภารกิจในต่างประเทศ เช่น นายอดิศัย โพธารามิก นายสมชาย สุนทรวัฒน์ นายพินิจ จารุสมบัติ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง ขณะที่นายสุรเกียรติ เสถียรไทยไม่ได้ตอบรับกลับมา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งนี้ ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม จะมีการมีการจัดงานระดมทุน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ โดยจะจำหน่ายบัตรเพื่อระดมทุน พร้อมเปิดตัววารสารบ้านเลขที่ 111 ฉบับปฐมฤกษ์ โดยจะรวบรวมความคิดเห็นของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และเปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้ความสามารถร่วมส่งบทความที่เป็นประโยชน์สาธารณะเข้ามาได้
ได้ฤกษ์เปิด “มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย” คึกคัก ชู “ทักษิณ” นั่งเก้าอี้ประธานที่ปรึกษามูลนิธิ
ถือฤกษ์วันนี้เปิดงาน “มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย” ส่ง “พงษ์เทพ” นั่งประธานฯ อดีต กก.บริหารพรรค แห่ร่วมงานคับคั่ง เปิดใจบนเวที ประกาศเจตนารมณ์ สละแรงกายแรงใจ ทุ่มเททำประโยชน์เพื่อประชาชน ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ด้าน “ประจวบ ไชยสาสน์” มอบทันที 1 แสนบาท วันนี้ (2 พ.ค.) ผู้สื่อข่าว ประชาทรรศน์ รายงานบรรยากาศภายในงานเปิด “มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย” ที่ห้องแกรนด์บอลลูม โรงแรมโซฟิเทล เซนทารา ลาดพร้าว เป็นไปอย่างคึกคัก ด้วยมีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจำนวน 59 คนได้มาร่วมงานอย่างหนาตา อาทิเช่น นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ประธานมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย และโฆษกส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุธรรม แสงประทุม พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช นายอดิศร เพียงเกษ และนายสรอรรถ กลิ่นปทุม นายวราเทพ รัตนากร นายจำลอง ครุฑขุนทด รวมถึงยังคับคั่งไปด้วยประชาชน และนักวิชาการอีกมากมาย แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ก็ตาม
นายพงษ์เทพ ประธานมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย กล่าวเปิดงาน โดยเล่าถึงประวัติความเป็นมาในการจัดตั้งมูลนิธิ พร้อมเปิดเผยถึงการรับเงินสนับสนุนจากอดีต ส.ส. และองค์กรภาคเอกชน ว่า การตั้งมูลนิธิ 111 ไทยรักไทยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือสังคม โดยการจุดประกายความคิดและแก้ปัญหาให้สังคม ทั้งนี้ จากเดิมมูลนิธินี้ชื่อ “มูลนิธิ 111” ส่วนที่มีการเติมคำว่า “ไทยรักไทย” เพิ่มเข้าไปภายหลัง เป็นเพราะต้องการเปิดกว้างมากขึ้น และไม่จำกัดเฉพาะแค่อดีตกรรมการบริหารพรรค 111 คนเท่านั้น
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น มีตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษามูลนิธิดังกล่าว ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าการตั้งมูลนิธินี้มีนัยยะทางการเมืองนั้น หากจะคิดทำการเมืองก็คงไม่มาตั้งมูลนิธิ เพราะการทำมูลนิธิเป็นการทำเพื่อตอบแทนประชาชน โดยไม่ได้ทำเพื่อหวังผลตอบแทนใดๆ
“ขอขอบคุณความกรุณาและความช่วยเหลือจากพี่น้องประชาชนมาตลอด ความกรุณานี้พวกเรามีวันลืม เมื่อวันที่ 30 พฤษจิกายน 2550 เป็นวันที่วงการกฎหมายไทย คงจะไม่มีความภูมิใจเท่าไร ที่จะบอกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในเมืองไทย พวกเราถูกจำกัดบทบาททางการทำงาน เปลี่ยนสิ่งที่เคยทำ แต่หัวใจของพวกเราไม่เคยเปลี่ยน ยังเป็นหัวใจเพื่อประชาชน ถึงแม้ว่าสมาชิก จะอยู่กันคนละสถานที่ แต่ความเห็นของพวกเราไม่แตกต่างกัน คือ มาทำสิ่งตอบแทนเพื่อประชาชน และนี่คือที่มาของการจัดตั้งมูลนิธิในครั้งนี้
ในตอนแรก เราจะใช่ชื่อว่า มูลนิธิบ้านเลขที่ 111 แต่ก็มีท่านที่เราเคารพท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าใช้ชื่อนี้ จะมีจำนวนคนจำกัด น่าจะใช้ชื่อที่คนอื่นสามารถเข้าร่วมเป็นหนึ่งในมูลนิธิได้ จึงเปลี่ยนเป็น “มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย” การก่อตั้งมูลนิธิได้รับความร่วมมือ จากหลายฝ่ายทั้งสมาชิก 111 นายพจน์ อดิเรกสาร ที่ทำหน้าที่เป็นรองประธานมูลนิธิฯ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขาธิการมูลนิธิ ว่าที่ ร.ท.นพ.วัลลภ ยังตรง เหรัญญิก และน.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ ประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้คณะทำงานยังได้เรียนเชิญ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เป็นประธานที่ปรึกษา เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นคนที่มีความสามารถ ในด้านคำปรึกษารวมถึงคำแนะนำ
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ (2 พ.ค.) มีหลายท่านไม่สามารถมาร่วมงานได้ เพราะติดภารกิจในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน มีหลายท่านถามว่า การตั้งมูลนิธิในครั้งนี้ เป็นการตั้งเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือไม่ ผมอยากจะเรียนว่า การจัดตั้งในครั้งนี้ พวกเรา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง แต่อยากจะทำ เพื่อต้องการตอบแทนประชาชนและประเทศ” ประธาน มูลนิธิ กล่าวในที่สุด
จากนั้นได้มีเชิญสมาชิก 111 จำนวน 11 คนขึ้นเวทีกล่าวถึงนโยบายของมูลนิธิด้วย เริ่มต้นที่นายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวว่าวันนี้รู้สึกดีใจและภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วม ในการใช้สติปัญญา ร่วมสนับสนุน และยินดีกับการทำงานของมูลนิธิ เพื่อร่วมทำวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งมูลนิธิว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง
นายวราเทพ รัตนากร กล่าวว่า ขณะนี้อยากให้สังคมคิดและทบทวน กับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ระยะเวลา 5 ปีนั้น ตนรอได้ เพื่อจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และขอขอบคุณผู้ที่ริเริ่ม การจัดตั้งมูลนิธิ ที่สามารถให้พวกเรา ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้
นายจำลอง ครุฑขุนทด กล่าวว่า ผลจากการยุบพรรค เป็นเพียงการลบชื่อออก จากทะเบียนเท่านั้นแต่ไม่สามารถลบภารกิจ ความตั้งใจ ที่อยากจะทำงานให้กับประเทศและประชาชนได้
นายสรอรรถ กลิ่นประทุม กล่าวว่า ครั้งแรกที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ก็ได้คนในครอบครัวและประชาชนที่ให้กำลังใจ และอยากขอบคุณที่เปิดโอกาศให้เข้ามาทำประโยชน์ให้กับประชาชน
พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ กล่าวว่า ถึงแม้จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่ก็ยังทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองและประชาชนได้
นายประจวบ ไชยสาสน์ กล่าวว่า ในนามประธานมูลนิธิไชยสาสน์ ขอบริจากเงินเข้ามูลนิธิ 111 ไทยรักไทย เป็นเงิน 1 แสนบาท เหตุการณ์ครั้งที่แล้ว ทำให้มีเวลา และงานเยอะขึ้น อยากที่จะเข้าร่วมในมูลนิธิ อยากที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศและพี่น้องประชาชน
นายอดิศร เพียงเกษ กล่าวเช่นกันว่า “ผมไม่ยอมรับกฎกติกาที่พวกมันตัดสิน ตอนนี้เรามาร่วมกันสร้างบ้านแปลงเมือง เพื่อทำประโยชน์ให้กับประเทศและพี่น้องประชาชน ผมดีใจมากที่มีการจัดตั้งมูลนิธิดังกล่าวขึ้นมา ศาลเถื่อนตัดสินไม่ให้มีสิทธลงรับเลือกตั้ง และตัดสิทธิไม่ให้ไปใช้เสียงเลือกตั้ง เพียงเท่านั้น”
นายสุธรรม แสงประทุม กล่าวว่า พวกเผด็จการ เมื่อเข้ามาแล้ว ก็สามารถจัดการทำอะไรได้ทุกเรื่อง ตนและเพื่อนๆ โดนกฎหมายย้อนหลังต้องได้รับการนิรโทษกรรม เพราะความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นทำให้ตนไม่มีสิทธิในการเลือกตั้ง นั่นคือสิ่งที่เสียใจที่สุด
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช กล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกดีใจที่มีการเปิดมูลนิธินี้ เพราะรู้สึกว่ามีใบเปิดทางให้ออกจากบ้านแล้ว
นายพิมล ศรีวิกรณ์ กล่าวถึงความในพร้อมมาทำงาน และรู้สึกดีใจที่มีการตั้งมูลนิธิอยากพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ไม่กลไกทางการเมือง ก็สามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศและสังคมได้
นางลัดดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์ กล่าวอยากเสนอให้วันที่ 11 พฤษภาคมนี้ มีการทำพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 111 รูป ที่วัดอรุณราชวราราม เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยในการจัดตั้งมูลนิธิ
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณ สำหรับความคิด ที่จัดตั้งมูลนิธิ ให้กับคนเร่ร่อน ด้วยวัตถุประสงค์ที่ได้พุดคุยกัน ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้โอกาสรับใช้บ้านเมือง รับทราบปัญหาของบ้านเมือง มีใจให้กับส่วนรวมพี่น้องประชาชน หากเปิดที่ทำการอย่างเป็นทางการเมื่อไร ตนอยากจะขอเก้าอี้สักหนึ่งตัว เพื่อเข้าไปร่วมทำงานด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งโต๊ะเพื่อจำหน่ายเสื้อโปโลสีขาว ปักโลโก้ “มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย”ราตัวละ 200 บาท โดยมีประชาชนและสมาชิก 111 มาอุดหนุนเป็นจำนวนมาก
นายกฯ ยืนยันแก้ รธน.แม้มีข่าวปฏิวัติ
กรุงเทพฯ 2 พ.ค.-“สมัคร” ยืนยันจำเป็นต้องแก้ รธน.เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะประเด็นเลือกตั้งเขตละ 1 คน ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ยืนยันเมื่อมีโอกาสควรรีบแก้ ยอมรับมีการปล่อยข่าวปฏิวัติ จับรัฐมนตรีขึ้น ฮ.นำไปไว้ที่เดียวกัน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สถานการณ์รัฐธรรมนูญไทย” ซึ่งจัดโดยสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในตอนหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 ร่างขึ้นมาเพื่อมีเจตนาให้รัฐบาลมีความเข้มแข็ง และถ้าไม่มีพรรคไทยรักไทย ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คงยังได้ใช้อยู่ และถ้าการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้ 126 เสียงก็คงไม่มีปัญหา เพราะสามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ แต่ความจริง คนเลือก พ.ต.ท.ทักษิณ มากเกินไปถึง 377 เสียง พอคนเลือก พ.ต.ท.ทักษิณ มาก เลยบอกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีเกินไปเสียแล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งแรกของรัฐธรรมนูญปี 2540 พรรคไทยรักไทยได้เสียง 248 เสียง พอการเลือกตั้งครั้งที่ 2 พรรคไทยรักไทยได้เพิ่มขึ้นเป็น 377 เสียง จึงมีการคิดกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะอยู่ตลอดไป จึงพยายามทุกวิถีทาง ในที่สุดก็ยุบสภามีการเลือกตั้งใหม่ จากนั้น มีคนไปร้องศาลปกครองว่าการเลือกตั้งไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หันหน้าหันหลังออกคูหา นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งตนอยากให้มีการเลือกตั้งเขตละ 1 คน และอยากให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และยังมีอีกหลายประเด็นที่บกพร่อง ถ้าไม่มีเรื่องใบเหลืองใบแดงก็คงจะเบาบางลง “ทำไมถึงอยากแก้รัฐธรรมนูญ เรามี 233 เสียง ร่วมกับ 5 พรรคร่วม เป็น 316 เสียง และวุฒิสมาชิกส่วนหนึ่ง ถ้าพร้อมใจก็แก้รัฐธรรมนญ เมื่อแก้ไขได้ทำไมไม่แก้” นายสมัคร กล่าว นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทำไมทำเป็นเหมือนจะเป็นจะตาย ปลุกระดมกันไปใหญ่ คนอย่างตนจะเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างไร แค่ชื่อยังไม่เหมือนกันเลย ความคิดก็ไม่เหมือนกัน ตนก็เป็นตน เป็นหัวหน้ารัฐบาลถูกต้องตามกฎหมาย บริหารงานมาแล้ว 3 เดือนก็มีคนพยายามจะเอาตนไปพัวพัน แล้วจะนำไปปลุกให้ทหารปฏิวัติอีก มีข่าวจะจับรัฐมนตรีขึ้น ฮ.ไปรวมไว้ที่เดียวกัน นายสมัคร กล่าวว่า ที่ผ่านมาเปลี่ยนรัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ แก้ไขมาแล้ว 30 หน ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แล้วทำไมคราวนี้เหมือนอยากจะนองเลือด ตนพูดไว้เป็นหลักฐานเลยว่า ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์หรือแก้เพื่อใบเหลืองใบแดง หรือช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะยังไงก็ต้องขึ้นศาลอยู่ดี “ขอให้พี่น้องประชาชนไปไตร่ตรองดูว่า กว่าจะมาถึงตรงนี้เลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะเอาบ้านเมืองกลับมาได้ เราทำงานมาได้ 3 เดือนจะปั่นจะล่อกันอีกแล้ว เอารัฐธรรมนูญมาเป็นเหตุ สำหรับผมสถานการณ์รัฐธรรมนูญถือว่าปกติ บอกแล้วว่ารัฐธรรมนูญมันกินไม่ได้ ทาไม่ได้ แต่มันเป็นหัวใจของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ถ้ามันไม่ดี เราก็ต้องทำให้มันดี” นายสมัคร กล่าว.-สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-05-02 17:25:45
อภิสิทธิ์ ย้ำจุดยืน ปชป.แก้ไข รธน.เพื่อประโยชน์ของประเทศ
รร.มิราเคิลแกรนด์ 2 พ.ค.-“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ย้ำจุดยืน ปชป.แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว หนุนตั้งคณะกรรมาธิการร่วมยกร่างแก้ไข เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านมีส่วนร่วม เสนอนำรัฐธรรมนูญปี 40 มาปรับปรุงแก้ไข นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในการสัมมนา “สถานการณ์รัฐธรรมนูญไทย” ว่า จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ยังเหมือนเดิม คือแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ไม่ต้องการให้แก้เพื่อวางรากฐานในอนาคต และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งการที่นายกรัฐมนตรีพยายามบอกว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภาฯ อยากย้อนถามว่าหากเป็นเรื่องของสภาฯ จริง เหตุใดจึงไม่ให้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษา หรือร่วมยกร่างแก้ไข เพื่อให้ฝ่ายค้านเข้าไปมีส่วนร่วม แต่กลับประชุมกันแค่ 6 พรรคการเมือง หรือเป็นเพราะว่ามีเสียงพอที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งในส่วนของพรรคขอย้ำว่า ควรให้ภาคประชาชน ภาควิชาการ เข้ามามีส่วนร่วม โดยอาจตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาก่อน หรือทำในรูปแบบของสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ แต่พรรคไม่เห็นด้วยกับการรวบรัดตัดตอนและแก้ไขโดยมีวาระแอบแฝง สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุว่า มีความพยายามเดินขบวนสร้างเงื่อนไขต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รัฐบาลจะนำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องการให้เอาความจริงมาพูดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และคนที่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งก็คือรัฐบาล โดยเฉพาะที่บอกว่าการแก้ไขครั้งนี้ ไม่หวังผลเรื่องของกระบวนการตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรม ก็อยากบอกว่าขณะนี้ร่างของรัฐบาลอยู่ในมือของตน และชัดเจนว่าได้มีบทเฉพาะกาลเขียนไว้ให้องค์กรอิสระบางองค์กรอยู่ต่อไป แต่บางองค์กร เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลับจะไม่ให้อยู่ การทำเช่นนี้จึงเป็นการทำให้เกิดเหตุการณ์รัฐธรรมนูญ “ถ้าผมพูดว่า วันนี้มีความพยายามจะให้ใบแดงผู้บริหารของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหากพรรคโดนร้อง มีคนมาถาม ผมก็จะบอกว่าขอให้ กกต.ตัดสินตามเนื้อผ้า ถ้ามีแนวโน้มว่าผิด พรรคประชาธิปัตย์ก็ยืนยันว่าไม่มีความคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง เพราะเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง จะคิดแก้เพื่อประโยชน์ตัวเองไม่ได้ จะทำแบบไม่ได้เรียนรู้เหตุการณ์ที่ผิดพลาดในอดีตไม่ได้ ผมเป็นฝ่ายค้านและไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่ยืนยันว่าต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าด้วยความสงบสุข” นายอภิสิทธิ์ กล่าว หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นเจตนารมณ์ที่ดี แต่ต้องยอมรับว่าเกิดปัญหาเพราะผู้มีอำนาจไปบิดเบือน จึงเป็นที่มาของการไม่เห็นด้วย และเห็นว่า ควรต้องมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ ซึ่งตนไม่ได้ดัดจริตว่าตอนแรกเห็นด้วย แล้วมาวันนี้ไม่เห็นด้วย แต่ถ้าย้อนกลับไปดูเมื่อช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2549 ตนได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญ 40 ครั้งใหญ่ โดยมีหลายพรรคการเมืองร่วมลงสัตยาบัน และแม้รัฐบาลในขณะนั้นจะไม่มาร่วม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยในขณะนั้น ยังเรียกพรรคการเมืองเล็กมาหารือ พื่อที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการที่จะเอารัฐธรรมนูญปี 40 กลับมาทั้งหมด เท่ากับว่าไม่ได้มีการเรียนรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ อยากท้าให้ทุกคนไปดูจุดยืนของนักการเมืองในแต่ละพรรคที่ออกมาประกาศจุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร.-สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-05-02 16:33:29
“สมัคร” ฉะพวกปลุกระดม ค้าน รธน. “ดัดจริต” หวังสร้างสถานการณ์นองเลือด
“สมัคร” หนุนแก้รธน.50 สุดตัว ชี้คนร่างล้วนเกลียดชัง อดีตนายกฯ ซัดพวกปลุกระดม ดัดจริตใช้เงื่อนไขแก้ รธน. ปั่นหัวทหารออกมายึดอำนาจอีกรอบ ย้ำต้องรีบแก้ และเป็นหน้าที่ของสภาฯ แจงตัวเองไม่ใช่ “นอมินี” วันนี้ (2 พ.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อสถานการณ์รัฐธรรมนูญไทย จัดโดยสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ วิภาวดีรังสิต ตอนหนึ่งว่า รธน. ฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นมาโดยกลุ่มบุคคลที่เกลียดชัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (อดีตนายกรัฐมนตรี) เชื่อว่าหากนายกรัฐมนตรีคนที่แล้วไม่ใช่เศรษฐี และพรรคไทยรักไทยกุมเสียงข้างมาก รธน.ฉบับปี 40 ยังคงมีบังคับใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้จะหัวกุดท้ายมังกรบ้าง ก็ยังดีกว่าฉบับนี้ แม้ในอดีตจะไม่เห็นกับรธน.ปี 40 แต่วันนี้ก็เห็นว่ายังดีกว่าปี 50
นายสมัคร ยังได้ยกตัวอย่างคำเปรียบเปรย รธน.50 ตามข้อเสนอของนายวีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ว่า รธน.ฉบับมีข้อบกพร่อง 4 ประการ ยางบวม คันทรีเขย่ง หน้าปัดมัว ไม่มีฟิวส์บ็อกซ์ สรุปใช้ไม่ได้ต้องรีบแก้ไข พร้อมย้ำว่าการเร่งแก้ไข รธน.ปี 40 เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร และไม่ช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดพ้นคดี
พร้อมกล่าวย้ำว่า ไม่เข้าใจพวกดัดจริต พอจะแก้ รธน. มีพวกออกมาปลุกระดม หวังให้เกิดการนองเลือด ขณะที่กลุ่มทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับกลับเพิกเฉย ไม่ดัดจริตออกมาคัดค้าน ตนไม่ใช่นอมินีทักษิณ ความคิดความเห็นต่างกัน เป็นหัวหน้ารัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดอำนาจแน่ เพราะกว่าจะนำบ้านเมืองกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยแทบกระอักเลือด แต่พอเข้ามาบริหารบ้านเมืองได้ 3 เดือน มีกลุ่มบุคคลจะออกมาปลุกปั่นให้ทหารออกยึดอำนาจอีก บอกได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้
จักรภพ ยันมูลนิธิ 111 ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ รธน.
ตัวแทนสื่อมวลชนมอบเสื้อรณรงค์หวั่นสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนโลกให้กับ รมต.สร.ขณะเดียวกันก็ออกมายืนยันว่าการเปิดมูลนิธิ 111 ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไข รธน.
เนื่องจากในวันพรุ่งนี้ ซึ่งตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม ถือว่าเป็นวันสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนโลก วันนี้นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ เลขาธิการสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้เดินทางมามอบเสื้อรณรงค์ต่อต้านการคุกคามประชาชน เนื่องในวันสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนโลกให้กับนายจักรภาพ เพ็ญแข รมต.สร. ที่ทำเนียบรัฐบาล
ขณะเดียวกัน รมต.สร. ก็เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานเปิดเวทีประชาพิจารณ์ร่างแผนแม่บทการเสริมสร้าง
เอกลักษณ์ของชาติ โดยออกมายืนยันว่า การเปิดมูลนิธิ 111 ไม่ได้มีนัยยะทีแอบแฝง หรือเกี่ยวข้องกับการแก้ไข รธน.เพื่อให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คนกลับเข้าสู่สนามทางการเมือง
นอกจากนี้ยังเห็นว่า หากการจัดตั้งมูลนิธิเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมก็จะถือว่าจะเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่น้อย เพราะ
อดีตกรรมการบริหารพรรคแต่ละคนก็ถือว่าเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ นอกจากนี้ก็ยังเชื่อมั่นว่า การที่นายกฯ
หยุดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสื่อสารระหว่างรัฐบาลและประชาชน เนื่องจากประชาชน
ส่วนใหญ่ก็ยอมรับและเข้าใจในบุคลิกของนายกฯ อย่างไรก็ตาม ในการแก้ไข รธน.ทางรัฐบาลก็พร้อมที่จะรับฟัง
ความคิดเห็นจากประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่เคยมีแนวความคิดที่จะไม่ฟังเสียงใคร (02/05/51)