WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, December 25, 2009

ผมขอชื่นชมรัฐบาลมาร์ค ในความเก่งเป็นเลิศ 4 ประการ ที่แม้แต่ทักษิณ ก็เทียบไม่ได้

ที่มา thaifreenews

โดย Porsche

จากคุณ : เม็ดหินสีน้ำเงิน

เนื่องในโอกาสที่คุณหนูโพเดียม ทำงานด้วยปากมาครบ 1 ปี
โดยมีเทพประทานอุ้มแบบเบือนหน้าหนี้
เหมือนอุ้มเด็กขี้แตกทะลุแพมเพิรสไว้ในอ้อมแขน จะวางก็วางไม่ได้ จะขว้างทิ้งก็ดูไม่ดี
เลยต้องทนเหม็นอุ้มไปแบบนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กลัวเสียหน้า


ความเก่ง 4 ประการที่ผมขอชมคุณหนูโพเดียมด้วยใจจริง
และยกย่องว่า เก่งทักกี้เทียบไม่ติดเลยได้แก่

1.พูดเก่งสุดๆ

สำนวนโวหาร จังหวะจะโคน ท่วงทำนอง ลีลาลอยหน้าลอยตาเหนือปัญหา
หาใครมาเทียบเทียนได้ยาก
หลายครั้งก็เล่นเอาคนฟังเคลิ้มตาม ตัวอย่างเช่น
ทวงประสาทเขาพระวิหารคืน พอเป็นรัฐบาลเงียบกริบ
หรือ "ลาออกเถอะครับ" ที่ฝากถึงรัฐบาลคุณสมัคร พอถึงคราวตัวเองบ้างคนล้อมเป็นแสน
แจกกระสุน M16 ให้กินซะ แทนการลาออก
ข้อนี้ ทักกี้เทียบไม่ติด เรื่องพูดให้ดูดี พูดผิดให้เป็นถูก
พูดพลิกสถานะการณ์เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น คุณหนูโพเดียมถือว่า เป็นหนึ่งในบู๊ลิ้ม


2.กู้เก่งสุดยอด

เรื่องกู้จะมองข้ามไม่ได้เลย รัฐบาลคุณหนูโพเดียม เพิ่มหนี้ให้คนไทย 8 แสนล้านบาท
นับเป็นความสามารถอันยิ่งยวด หาที่ได้เปรียบเสมือน ทักกี้ชิดซ้ายไปเลย
อ้างถึง

ขนาดตอนสึนามิ ทักกี้ประกาศให้ทั่วโลกรู้ ไทยไม่รับเงินบริจาค
รับเฉพาะความช่วยเหลือทางวิชาการหรือทางการแพทย์ ช่างอหังการเสียเหลือเกิน แต่ก็แปลกดี
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พอประกาศไปแบบนั้น มีแต่คนทะยอยเข้าแถวมาให้กู้ อยากเอาเงินมาให้กู้
แต่ทักกี้ดันทำสิ่งตรงข้าม ใช้หนี้ IMF เร็วกว่ากำหนด ยิ่งทำแบบนี้ ยิ่งมีคนมาเข้าแถวให้กู้เยอะขึ้นไปอีก

เทียบกับคุณหนูโพเดียมแล้ว
รัฐบาลวิ่งราวใช้ความสามารถ ความพยายามมากกว่าเยอะ เรามีหน่วยไล่ล่า กู้เงินโดยเฉพาะ
เจอหน้าประเทศไหน เป็นขอกู้ดะไปหมด ขนาดคุณหนูโพเดียมไปญี่ปุ่นกลับมา ลงถึงพื้นดินให้สัมภาษณ์ด้วยความปลื้มปิติในความสามารถสุดๆ แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ว่า
"เราทำสำเร็จแล้วครับ ตกลงรัฐบาลญี่ปุ่นจะให้เรากู้"
ความพยายามเป็นเลิศ ขนาดนี้ กู้เก่งขนาดนี้ เราต้องเรียกท่านว่า "เซียนกู้" แล้วครับ
(เซียนกู้นะครับ อย่าเรียกผิด เป็นวิญญาณที่ปากเท่ารูเข็ม ตัวสูงๆ แบบ เรื่อง 5 แพร่งตอน หลาวชะโอนนะครับ)

3.สร้างศัตรูเก่งสุดๆ

เรื่องนี้ถือว่าเป็นเลิศ เด่นสุดๆ เรามีประธานอาเซียนที่น่าภาคภูมิใจ
ประเทศในแถบอาเซียนรักใคร่กลมเกลียวกันดี
โดยกันประเทศไทยตกขอบจากความร่วมมือ แล้วร่วมมือผนึกกำลังกันเขม่นประเทศไทย
เรามี รมต.ต่างประเทศที่เก่งสุดๆ โดดเด่นด้านการเป็นตำรวจสากล กับ
การเป็นนักเลงข่มขู่ประเทศเพื่อนบ้าน
แบบที่หาไม่ได้ในประวัติศาสตร์การฑูตไทยมาก่อน
คุณหนูโพเดียมพูดกับพม่า
พม่าก็หยุดจ่ายก๊าซเล่น ทำให้กฟผ.ต้องตาลีตาเหลือก
ปล่อยน้ำจากเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าให้ทันความต้องการ
เล่นเอาจังหวัดกาญจนบุรี โดนน้ำท่วมแบบไม่รู้ตัว ไม่มีการประกาศล่วงหน้า
ควันพม่าไม่ทันหาย
เราก็สุมไฟที่เขมรต่อ รมต.ตปท.เราแสดงฤทธิ์เดช ให้กุ๊ย ได้ดู เล่นเอาทั่วโลกงงไปกันหมด
สรุปไม่ถูกว่าใครเป็น กุ๊ย กันแน่ นโยบายต่างประเทศแบบนักเลงของไทย นับว่าประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง
เพื่อนบ้านเกลียดไทยกันถ้วนหน้า ศัตรูรอบตัว นับว่า เป็นความเก่งเกาจด้านการฑูต เป็นอย่างยิ่ง

4.โกงกินเก่งสุดๆ

พลาดไม่ได้เลยข้อนี้ ฉายแววได้โดดเด่นมาก
โครงการไทยเข้มแข็ง ก็เล่นเอาแข็งกันทั้งพรรค
โครงการพอเพียง ก็เล่นเอาซะพุงกาง
ที่เด็ดกว่านั้น "สื่อมองข้ามเรื่องนี้ไป" ไม่รู้ว่ามีของดีอะไร มีอะไรคุ้มครอง
สื่อแทบไม่แตะ ไม่คุ้ยเขี่ยเรื่องพวกนี้เลย
อ้างถึง

ซึ่งถ้าเทียบกับรัฐบาลชุดก่อนๆ ขนาดไม่มีหลักฐาน
สื่อยังสร้างหลักฐานปลอมเพื่อมาตีแผ่ด่ากันหน้ากระดาษเลย ได้รับรางวัลอิศราด้วยเรื่องนี้
แต่มาฉาวโฉ่อีกทีตรงที่ต้องพิมพ์คำขอโทษ ว่าเสนอข่าวบิดเบือน
นี่ถ้าเป็นนักโทษ ถือว่าตัดคอคนผิดไปแล้ว มาขอโทษ มาต่อคอให้ทีหลัง
แล้วก็หายกันไป

นับว่าเป็นความเยี่ยมยอดของรัฐบาลชุดนี้จริงๆ
โกงกินแบบ จะจะ ต่อหน้าต่อหน้าไม่เกรงหน้าอินทร์ หน้าพรหมณ์ที่ไหน
สื่อเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ มีแต่คนให้ท้าย
คนเสื้อแดงก็แค่มองตาปริบๆ
คนเสื้อเหลืองก็แกล้งมองไม่เห็น คนไม่มีสี ก็ไม่ได้รับรู้ เพราะสื่อไม่เคยบอก
โกงได้อัจฉาริยะแบบนี้ คงต้องยอมรับเลยครับว่า โกงกินได้เก่งจริงๆ
โกงกินกับซึ่งหน้า ไม่มีคนว่าคนกล่าว


4 ด้านนี้ผมยกนิ้วให้เลยครับว่าเยี่ยม ไม่มีใครเกิน

ปล.ไม่ได้ใช้มือยกให้นะครับ มันดูหนักแน่นไม่เพียงพอกับความเก่งกาจของคุณหนูโพเดียมและรัฐบาลเทพประทานวิ่งราว




จากคุณ : KhongLen


ไม่ได้กล่าวหาพรรคปชป




อืมมม กกต. มองไม่เห็นความผิดปกติจริงๆ



อภิสิทธิ์ไม่ได้สักบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโกงสักนิด

ใสสะอาด เงินไม่ได้สักบาท

เค้าไม่ได้รับเงินตรงๆ แต่เค้าแอบยักยอกเอาเงิน กกต.ไป
โดยอภิสิทธิ์เซ็นรับรู้ รับรองงบการเงินของพรรค จะปฎิเสธว่าไม่ได้อ่านงบ สักแต่เซ็นก็ได้นะ

จะได้แสดงให้เห็นว่า เซ็นเป็นอย่างเดียว ทำงานไม่เป็น
หรืออีกนัย ยอมรับว่าอ่าน ก็แสดงว่ารับรู้ว่ามีการยักยอก

แต่หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ จะปฎิเสธว่าไม่รับรู้ไม่ได้หรอก คนระดับนี้




http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8696109/P8696109.html

ความกร่างของรัฐบาลไทยออกข่าวต่างประเทศ!!

ที่มา thaifreenews

โดย ป้าพลอย

อ่านข่าวการกร่างของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แล้วให้สมเพชที่สุด อ๋ออ้ายที่จับอาวุธสงครามเมื่อเร็วๆนี้ คิดการใหญ่จะทำการบุกยึดเขมรงั้นหรือนายอภิสิทธิ์? เห็นเขมรเป็นประเทศกิ๊กก๊อกในสายตาตัวเองใช่มั๊ย? แหมไม่ทราบว่านายอภิสิทธิ์รู้ทางหนีทีไล่เกี่ยวกับวิธีรบดีแล้วหรืยัง? อย่าลืมว่าทหารเขมรของฮุนเซ็นชำนาญ

การฆ่าคนสมัยพอลพจน์มาแล้ว ทหารเขมรเป็นทหารจริงๆไม่ใช่ทหารรับจ้าง นายพลเอก..ทหารเขมรไม่ออกมาตีกอล์ฟเพราะไม่มีเวลาว่าง ฉะนั้นทหารเขมรชำนาญการต่อสู้กับข้าศึกตอนที่เวียดนามเข้ายึด ทหารเขมรมีประสพการณ์หลายๆด้าน แล้วทหารไทยมีอะไร ที่เป็นหลักฐานว่ามีประสพการณ์บ้างละ?

ขนาดในบ้านของตัวเองแท้ๆที่ภาคใต้ ทหารตายวันละกี่คน?แค่ต่อสู้กับโจรกระจอกๆภาคใต้ยังไม่ชนะเลย แล้วนายอภิสิทธิ์ จะเอาทหารที่ไม่เคยผ่านสมรภูมิไปสู้กับทหารเขมรงั้นเหรอ? ขนาดตัวเองยังขี้ขลาดหนีทหาร แล้วยังมีหน้ามากร่าง จะนำทหารไปรบกับทหารเพื่อนบ้าน นายอภิสิทธิ์ถามทหารของตนหรือเปล่าว่า

เขาสนับสนุนเต็มใจที่จะทำเพื่อตนหรือเปล่า? อยากกร่างใหญ่คับฟ้า ก็ช่วยส่งนายพลแก่ๆที่กร่างทั้งหลาย ออกเป็นแนวหน้าไปรบกับทหารเขมรที่หนุ่มๆซี รับรองแค่โป้งเดียวจอด ทำเก่งแต่นอกสนามรบ นอกสมรภูมิ แต่ในสมรภูมิได้ข่าวว่าวิ่งขาขวิด ดูตัวอย่าง นายพลตรีจำลองเป็นต้นฯ ได้ยินแค่เสียงระเบิดตูม

โน่นกระโดดขึ้นไปเกาะบนเสาอลูมิเนี่ยม ที่ตั้งเวทีหนีก่อนพื่อนเลย แล้วอย่างนี้จะไปรบกับใครวะ? ทหารที่ตายทุกๆวันที่ภาคใต้นั้น ส่วนใหญ่เป็นทหารเกณฑ์ และทหารจริงๆที่ต้องเสียสละชีวิตแทนผู้บังคับบัญชา ส่วนนายพลโท พลเอกทั้งหลาย ต่างนั่งนอนอยู่กินกันอย่างราชาแถมยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวข้องกับ

การเมืองอยู่ในกรุง งานของนายพลคือตีกอล์ฟ ออกงานเลี้ยงสังสรรค์ ลูกน้องทหารที่ภาคใต้ ถูกโจรถล่มด้วยปืนด้วยระเบิดตายเป็นบือ ไม่มีใครมองไม่มีใครสน ไม่มีใครยกย่องเป็นวีระบุรุษผู้กล้าหาญ ไม่มีใครมาเป็นประธานพิธีเผาศพ ทหารที่รักชาติที่แท้จริง ต้องตายอย่างอนาถาขาดผู้เหลียวแล กำลังใจและการ

ปลอบขวัญทหาร นายอภิสิทธิ์เคยทำให้ทหารที่เสียชีวิตบ้างมั๊ย? เคยเอางบที่กู้มาแปดแสนล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัว ของทหารที่สูญเสียชีวิตในระหว่างราชการสักบาทมั๊ย? นายอภิสิทธิ์ทำแต่เรื่องของตัวเองทั้งสิ้นตลอด 1 ปีเต็มที่เป็นนายก ฉะนั้นการที่รัฐบาลไทยกร่างอยากจะนำทหารไปรบกับประเทศ

เพื่อนบ้าน ก็ให้นายอภิสิทธิ์ออกไปคนเดียวเถอะ เพราะที่ภาคใต้ของไทยก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว หรือไม่ก็สั่งให้ทหารอีกก๊กหนึ่ง ที่ออกมาฆ่าประชาชนเมื่อสงกานต์เลือด ส่งตัวออกไปรบกับเขมร ในเมื่อชอบรุนแรงกับคนมือเปล่า แต่ไม่ทราบว่าเมื่อเจอของจริงแบบเขมร ทหารก๊กนี้จะวิ่งขาขวิดแบบนายพลตรีจำลอง

ป่าว? ทหารไทยบางก๊กบางพวกเห็นเที่ยวขู่ประชาชนไปทั่ว เก่งกับคนมือเปล่า แต่ก็ยังมีทหารดีๆแท้ๆอยู่อีกมาก ที่บริสุทธิ์และไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลบ้องตื้นนี้ ฉะนั้นทหารไทยไม่ใช่เลวไปทุกคน มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้น อ่านข่าวในต่างประเทศแล้วก็เลยระงับไม่อยู่ ทั้งที่วันนี้เป็นวันล้างบาปของชาวคริต์ เพราะเป็นวันลำลึก

นึกถึงองค์พระเจ้าเยซู ที่ทรงประสูตรในวันนี้ ทุกๆคนจะเข้าโบถส์ทำพิธีทางศาสนา แม้ป้าจะนับถือพุทธศาสนา แต่ศาสนาทุกศาสนาสอนคนให้ทำความดี ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกว่าเราเข้าไปในโบถส์รักษาศีลศาสนาใดไม่ได้ เพราะในเมื่อคำสั่งสอนเดียวกัน การยึดถือหลักทำความดี มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเข้า

ไปยืนอยู่ในโบถส์ของศาสนาใด เราก็คือคนบริสุทธิ์มีจิตใจที่สะอาดไม่คิดอคติต่อศาสนานั้นๆแล้วเราก็จะมีชีวิตที่สุขสบายไร้ความทุกข์คะ

เพื่อไทยอัด ป.ป.ช.ดอง 5 คดีสำคัญรวมกรณีคุณหญิงจารุวรรณด้วย ขู่ยื่นถอดถอนทั้งคณะต้นปีหน้า

ที่มา มติชน

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้เร่งรัดการดำเนินคดีและปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม


นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ขอให้ป.ป.ช.เร่งรัดดำเนินคดีสำคัญๆ ให้เสร็จโดยเร็วได้แก่

1.คดีการกล่าวหาคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เกี่ยวกับการขายทรัพย์สินของสถาบันการเงินในราคาถูก มีมูลค่าความเสียหายกว่า 2 แสนล้านบาท

2.คดีกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 และน.ส.3 ก ทับที่สาธารณะที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับนักการเมืองสำคัญ

3.คดีกล่าวหาคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

4.คดีกล่าวหานายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ รมว.ศึกษาธิการ ในสมัยเป็นรมช.พาณิชย์ เกี่ยวกับการทุจริตโครงการยางพารา

5.คดีการถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีขอให้บริษัทให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งเอสเอ็มเอสจากนายกรัฐมนตรีไปถึงประชาชนฟรี

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า คดีเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับคนในรัฐบาล บางคดีใกล้หมดอายุความ แต่ป.ป.ช.ไม่มีการเร่งรัดดำเนินคดี จึงน่าสงสัยถึงมาตรฐานการทำงาน หากไม่มีการชี้แจงต่อสังคมถึงความคืบหน้าเรื่องนี้โดยเร็ว พรรคเพื่อไทยจะยื่นตรวจสอบเพื่อถอดถอนคณะกรรมการป.ป.ช.ไม่เกินวันที่ 7 - 8 ม.ค.ต่อหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญ ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จนทำให้คดีหมดอายุความ

ขอเล่าเรื่องจรรยาบรรณนักข่าวจากประสบการณ์จริงสู่กันฟัง

ที่มา thaifreenews

โดย Bugbunny

พรรคพวกที่จัดงานแถลงข่าวบ่อยปีละหลาย ๆ ครั้งเคยคุยกัน เขาเล่าให้ฟังว่า นี่คือวิธีจัดการกับนักข่าวเพื่อให้ลงข่าวให้เป็นบวกกับเขาและยืนยันว่าได้ผลจริง

1. ให้ PR Officer เชิญนักข่าวสายที่ตรงกับการแถลงข่าวจากทุกสื่อ
2. PR Officer จะกำหนดตัวนักข่าวคนหนึ่งหรือสองสามคนที่รู้จักเพื่อนนักข่าวทุกคนที่จะมาในงาน
3. ให้เงินก้อนหนึ่งรวมไปที่นักข่าวผู้ประสานงาน
4. เขาจะนำไปแบ่งแจกกันในหมู่เพื่อนฝูงนักข่าวของพวกเขา
5. แจกของชำร่วย สินค้าตัวอย่าง ฯลฯ
6. แจก News Release และเขียนข่าวให้เสร็จ
7. แถลงข่าว เขาจะไม่ฟังการแถลงเท่าไรนัก เน้นแต่ตอนถ่ายรูป
8. รอสองสามวัน ข่าวจะลงอย่างที่เราต้องการ 60% ขึ้นไป

ข้อควรระวังและวิธีแก้ปัญหา

1. อย่าทำอะไรแบบเปิดหรือเชื่อใจพวกนี้เกินไปว่าเป็นพวกเราแน่นอนจะโดนเบี้ยว เพราะพวกนี้กำลังตั้งแง่ที่จะหาช่องเล่นคุณทีหลัง โดยเฉพาะพวกฉบับใหญ่ ๆ กลุ่มนี้จะฟอร์มว่าตัวเองนั้นสุดอุดมการณ์ แสดงตนว่ากูเป็นมืออาชีพ และอาจหาทางเขียนเล่นเรา ถ้าบังเอิญ PR Officer เกิดเผลอหลุดหรือพลาดในบางเรื่อง

2. ถ้าใครเขียนเล่นเรา เชิญมากินข้าวเลี้ยงเหล้า แสดงอาการยกหางเขาให้สูง ๆ ไว้ ปล่อยให้โชว์ภูมิเยอะ ๆ แม้จะอยากอ้วกขนาดไหน แล้วแอบให้เป็นรายเดือนไปเลยสักพักหนึ่ง ส่วนใหญ่เรียบร้อย กลายเป็นแหล่งปล่อยข่าวของเราในโอกาสหลัง

3. เขายังเรียกร้องอีก ก็ขอพบหัวหน้ากองบอกอหรือคอลัมนิสต์ใหญ่ ทำแบบเดียวกัน แต่ให้อะไรหนัก ๆ หน่อย ประเภทต้องอาหารญี่ปุ่นหรืออาหารจีนตามโรงแรมมื้อละอย่างต่ำสามหมื่นขึ้น ไวน์ขวดละสองสามแสน ที่แค่เงินเดือนของพวกเขาไม่มีปัญญาหากินเองได้ แล้วเขาจะไปช่วยเคลียร์กับน้อง ๆ ในกองบอกอให้เอง ส่วนใหญ่เคลียร์ได้


อย่าบอกว่านักข่าวสื่อมวลชนไทยนั้นเปี่ยมด้วยจรรยาบรรณ ไม่จริง สื่อมวลชนประเทศนี้สะท้อนพฤติกรรมผู้มีอำนาจในแผ่นดิน เจ้าของสื่อใหญ่ ๆ ก็จะเรียกร้องเอางบโฆษณาหลักหลายสิบล้าน นักข่าวเล็ก ๆ ก็จะเรียกหลักพัน รับความจริงกันเสียที อย่าพูดเรื่องไม่เคยรับเงินค่าอาบน้ำ แม้ช่วยเคลียร์เช็คเด้งให้ก็ยังมี

ไม่มีศักดิ์ศรีสื่อมวลชนเหลือกันแล้วสักคน เพราะพวกสื่อตัวใหญ่ ๆ ก็รับเงินก้อนโต ๆ จากอำมาตย์มาทำลายคนที่มหาประชาชนไทยศรัทธา แต่ให้นักข่าวในสื่อของตนทำกระแดะโวยวายเรื่องเขาจ่ายเงินค่ารถค่ากินให้ ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่ก็รับกันทั้งนั้น หรือหวังว่าจะแบลกเมล์คราวนี้เพื่อให้เขาจ่ายหนักกว่านี้ ตอแหลแลนด์ก็เป็นเช่นนี้แล

ปรากฏการณ์ทหารแดงไทยกำลังอธิบายอะไรกับสังคม?

ที่มา โลกวันนี้

คอลัมน์ คิดเหนือข่าว
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2702 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 25 ธันวาคม 2009
โดย เรืองยศ จันทรคีรี
รหัสดาวน์โหลด 53251209

ผมไม่ได้มองว่าปรากฏการณ์ของ เสธ.แดง-พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล เป็นเรื่องกระด้างกระเดื่องอะไรกับผู้บังคับบัญชาเป็นด้านหลัก หรือเป็นพฤติกรรมแบบท้าทายกองทัพอะไรอย่างนั้น? จำไม่ได้เสียแล้วว่ามีนายพลชื่อเสียงเรียงนามใดเคยออกมาให้สัมภาษณ์ วันนั้นฟังข่าวสารก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน สงสัยจะเป็นข้อหาใหม่หรือเปล่า?

คิดอย่างนี้เองแหละครับชาติบ้านเมืองถึงมีปัญหา เพียงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งควรเป็นกฎหมายที่มีเอาไว้ปกป้องต่อสถาบันเบื้องสูง ระยะ 3-4 ปีนี้ยังเอามาใช้กันเลื่อนเปื้อน กลายเป็นข้อกล่าวหาเพื่อหยุดชะงัก ทำลายปฏิปักษ์ทางการเมือง สร้างเป็นวาทกรรมเข้าขับเคลื่อนเพื่อแสวงหาความชอบธรรมให้ตัวเอง!

เขียนอย่างนี้ผมพยายามบอกว่าคงไม่มีใครนะครับที่คิดจะสร้างกฎหมายพิเศษเป็นหมิ่นรัฐบาลหรือหมิ่นกองทัพขึ้นมา ถ้ารัฐบาลดี ชอบธรรม มีศักยภาพสำหรับจัดการบริหารบ้านเมือง ไม่เป็นรัฐอธรรม เห็นทีจะไม่มีแมวที่ไหนไปหมิ่นหรือท้าทายรัฐบาลหรอกครับ ทำนองเดียวกับกองทัพหากเป็นกองทัพที่ถือหลักการ เคารพการปกครองระบอบประชาธิปไตย มิได้ถูกแทรกแซงหรือกลายเป็นกองทัพของการรับใช้อำนาจ ใช้แสนยานุภาพเพียงปฏิวัติรัฐประหาร มีศักดิ์ศรีพร่อง ไม่เป็นกองทัพแห่งชาติ มิใช่ของทหารอาชีพ ไม่เห็นประชาชนเป็นมิตร ถ้ามีลักษณะเช่นนี้อยู่ ผมว่าใครๆก็ไม่รักทหาร

...ทุกวันกองทัพเป็นอย่างไร? เพราะการรับใช้อำนาจตั้งแต่ครั้ง 19 กันยายน 2549 มาถึงปัจจุบันชาติบ้านเมืองเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นผลลัพธ์จากฝีมือของกองทัพส่วนหนึ่ง ลงท้ายแล้วไปหาใครรับผิดชอบได้? เห็นวิ่งสะบัดก้นหนีชิ่งกันทั้งนั้น?

ความจริงวันนี้ไม่มีกฎหมายหรือข้อหาหมิ่นรัฐบาล ท้าทายกองทัพ แต่ในทางปฏิบัตินั้นอาจมองได้ว่าประเทศของเรามีกฎหมายลักษณะนี้ใช้กันอยู่แล้ว...ช่องว่างของระบบสองมาตรฐาน เว้นปฏิวัติ เลือกปฏิวัติ คล้ายๆข้อหาความผิดกระทงเดียวระหว่างพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล กับพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ตรงนี้พอชี้ให้เห็นเป็นคำตอบได้ คนหนึ่งทำอย่างนั้นก็ถูกต้อง แต่อีกคนไปปฏิบัติเข้าจะกลายเป็นความผิดทันที คือเรากลายเป็นสังคมที่จะทำให้ใครผิดก็ได้ ถ้าจะไปท้าทายอำนาจหรือเอาความจริงมาสู้ เรียกร้องถึงความเป็นธรรมถูกต้องและหลักการต่างๆ

...บ้านเมืองแบบนี้เข้ากันได้ดีกับชื่อเพลง “ดาวมีเอาไว้เบิ่ง” ของวงไหมไทย คือเนื้อเพลงทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกันหรอกครับ แต่ความเจ็บใจตอนหนึ่งในบทเพลงบอกว่า อยากจะไปผูกคอตายใต้ต้นมะเขือขื่นให้รู้แล้วรู้รอด...แต่ต้นมะเขือขื่นทางอีสานสูงราวสักฟุตก็เห็นจะตายไม่ได้แน่ๆ คงต้องทนอยู่ ทนดูภาพความอัปยศ ความเป็นอธรรมในบ้านเมืองต่อไป รอดูไปว่ามันจะสิ้นสุดอย่างไร ผมเองก็อยากจะรู้ ดูสิว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริงหรือไม่ เพราะท่านคงไม่โปรดสภาพความเป็นอธรรมในแผ่นดินอย่างแน่นอน?

ย้อนกลับมาหากรณี เสธ.แดงกับกองทัพบก ตรงนี้น่าจะมองโลกไปในทางบวกบ้าง บางที เสธ.แดงอาจเป็นหนูก็ได้ แต่เป็นหนูที่กล้าเอาลูกกระพรวนไปแขวนคอแมว...ผมว่าผู้ใหญ่ในกองทัพ ซึ่งไม่ใช่ใหญ่กันเฉพาะไอ้นั่น...น่าจะถือโอกาสทบทวนตัวเองนะครับ ทหารที่เขากล้าแสดงออกอย่างนี้นั่นบ่งบอกว่าเขารักกองทัพบกมาก ไม่อยากเห็นความเสื่อมของสถาบันซึ่งตัวเองเคยภาคภูมิใจและสังกัดอยู่

ตรงนี้อย่างที่รู้ๆกันดี ระบบหลายอย่างถูกกร่อนลง มีการแทรกแซงด้านบังคับบัญชา รวมทั้งระบบที่จะให้คุณและโทษในทางความดีความชอบ อย่างที่ เสธ.แดงพูดไว้นั้นเอง จะมีแต่นักกอล์ฟเท่านั้นที่ได้ดี มีโอกาสไต่เต้าขึ้นสู่ระดับสูง ส่วนพวกนักรบจะถูกสกัดกั้นเอาไว้ สิ่งที่น่าห่วงใยมากๆก็เป็นอย่างที่ เสธ.แดงได้เคยสะท้อนออกมา เขาระบุว่า “...วันนี้มาหยุดตรงที่ว่าทหารที่เป็นเครื่องมือของระบอบอำมาตยาธิปไตยจะรบกับประชาชนทั่วประเทศที่ขึ้นมากว่า 10 ล้านคน”...นี่เป็นเรื่องน่าวิตกมากนะครับ หากโฉมหน้าของกองทัพบ่ายไปในทิศทางนั้นเพื่อเหตุผลของการรับใช้อำนาจ ไม่กระดิกหูไปเป็นอย่างอื่นแล้ว?

กองทัพที่ควรจะมีระบบบังคับบัญชาตามขั้นตอน จัดการบริหารในลักษณะของ Function กลับกลายเป็นระบบอุปถัมภ์ ขึ้นอยู่กับบุคคลเกษียณอายุราชการภายนอก ระบบบริหารคงเป็นได้แค่ Job Description ขณะที่นานาอารยประเทศเขาเป็นระบบ Position Description ให้ความเคารพเชื่อฟังการบังคับบัญชาตามขั้นตอน ซึ่งก็ต้องเป็นกองทัพภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เดินตามนโยบายของการบริหารจากรัฐบาล มีตัวนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด

แต่เพราะระบบอุปถัมภ์ที่ค้ำจุนอยู่เบื้องหลังรัฐบาล เขารู้กันว่าคนเกษียณอายุราชการสั่งตั้งหรือปลดนายกรัฐมนตรีได้ จึงทำให้พวกทหารเห็นนายกรัฐมนตรีเป็นเพียงเจว็ดดีๆนี่เอง จะไปเคารพเชื่อฟังทำไม? ยิ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่พวกอั๊วช่วยๆกันตั้งขึ้นมากับมือในค่ายทหาร...นี่พออธิบายได้ว่าบ้านเมืองที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอะไรๆก็เละเทะแทบทั้งนั้น...ครับ...กองทัพก็ต้องเละเทะเป็นธรรมดา!!

ไทยจะเสียเพื่อนเพิ่มขึ้น / ทางเสือผ่าน

ที่มา สยามรัฐ

นายอิสระชัย25/12/2552

ล็อตแรกผ่านไปแล้ว มาล็อตสองความเข้มข้นของเอกสารลับกระทรวงการต่างประเทศที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย นำมาเปิดเผยก็ไม่ได้แตกต่างกับล็อตแรก เพียงแต่ให้รายละเอียดมากกว่าเท่านั้น
ประเด็นความสนใจไม่ได้อยู่ที่เอกสารมีกี่หน้า ใครเป็นสปายสายลับในกระทรวงบัวแก้วที่ส่งเอกสารให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แต่สาระสำคัญอยู่ที่การวิเคราะห์สถานการณ์และมาตรการต่างๆที่กระทรวงการต่างประเทศโดยนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการได้นำเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
รวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชาและประชาชนของทั้งสองประเทศจะเป็นอย่างไร ถ้าหากนายอภิสิทธิ์บ้าจี้เอาตามที่นายกษิตเสนอเพื่อควสาม”สะใจ”ของตนเอง
เอกสารลับมากของกระทรวงการต่างประเทศที่นายจตุพรหรือตู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเกลอแกนนำคนเสื้อแดงนำมาเปิดเผยมาเป็นระลอกที่สองนี้ เป็นเรื่องขอการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียมมาตรการป้องปรามและตอบโต้การกระทำของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ซึ่งมาตรการต่างๆที่เตรียมไว้หากมีความจำเป็นต้องใช้ มีตั้งแต่ระดับมาตรการรุนแรงน้อย ปานกลางและรุนแรงมาก มีการวิเคราะห์ถึงผลดีผลเสียของแต่ละมาตรการ ยกตัวอย่างเช่น ชะลอความร่วมมือวิชาการไทย-กัมพูชา ชะลอการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหมที่บริเวณคลองลึก-ปอยเปต ขัดขวางหรือไม่สนับสนุนการลงสมัครของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศต่างๆซึ่งเป็นมาตรการความรุนแรงน้อย
ส่วนระดับปานกลาง เช่น ระงับการเปิดจุดผ่อนปรนทางการค้าบริเวณบ้านโนนหมากมุ่น จ.สระแก้ว ชะลอการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นต้น ในขณะที่มาตรการความรุนแรงมากมีตั้งแต่ยกเลิกสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไทย-กัมพูชา ยกเลิกเอ็มโอยูว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เสริมกำลังทางทหารของไทยบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาทุกจุดให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหาร
อย่างไรก็ดี มาตรการที่กระทรวงการต่างประเทศได้นำเสนอต่อนายอภิสิทธิ์ครั้งนี้ย่อมจะมีผลกระทบด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครได้หรือเสียทั้งหมดเหรอก มันก็เหมือนกับการสาดน้ำเข้าใส่กันก็ต้องเปียกด้วยกันทั้งคู่ อยู่ที่ว่าใครจะเปียกมากกว่ากันเท่านั้น
ยกตัวอย่างมาตรการออก Investment Travel Advisory เตือนคนไทยและนักธุรกิจไทย แม้จะตัดแหล่งรายได้ของกัมพูชาซึ่งมาจากการท่องเที่ยวจากประเทศไทยประมาณปีละ 3-4 หมื่นล้านบาท ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์การลงทุนและการท่องเที่ยวของกัมพูชา
ทว่า ไทยก็ต้องแลกกับการเสียประโยชน์ทางการค้าและการท่องเที่ยวเช่นกัน ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย ได้รับประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวแทน ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลต้องรับแรงกดดันจากภาคธุรกิจไทยมากขึ้น
เช่นเดียวกับการระงับเปิดจุดผ่อนปรนทางการค้า ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเชื่อว่าจะส่งผลต่อนักธุรกิจกัมพูชาที่ให้ผลประโยชน์แก่สมเด็จ ฮุน เซน หรือตีความง่ายๆหากใช้มาตรการดังกล่าวจะเป็นการตัดรายได้และเงินสนับสนุนสมเด็จ ฮุน เซน
แต่ไทยได้เตรียมรับผลกระทบหรือยัง โดยเฉพาะนักธุรกิจท้องถิ่นของไทยที่ต้องเสียประโยชน์ ซึ่งะจะต้องเพิ่มแรงกดดันรัฐบาลแน่นอน ยิ่งถ้านายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เจ้าพ่อวังน้ำเย็นเข้าร่วมอีกคน
นายอภิสิทธิ์ก็นายอภิสิทธิ์เถอะ เจอฤทธิ์ป๋าเหนาะแล้วอยู่ไม่เป็นสุขแน่ และต้องไม่ลืมว่าการค้าชายแดนตลอดจนธุรกิจอื่นๆที่คนไทยเข้าไปลงทุนในกัมพูชานั้น ไม่ใช่เฉพาะนักธุรกิจท้องถิ่นเท่านั้น แต่เป็นนายทุนใหญ่ระดับชาติจาก กทม.ด้วย
ถ้าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเลวร้ายไปมากกวานี้ เช่น ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและทำสงครามกัน แน่นอนว่านักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาต้องได้รับผลกระทบ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นทั้งรัฐบาลและประชาธิปัตย์นั่นแหละจะเดือดร้อน
ต้องไม่ลืมว่านักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาเป็นนายทุนให้กับพรรคการเมือง ซึ่งอาจรวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ถ้ารัฐบาลใช้มาตรการเหล่านี้กดดันรัฐบาลกัมพูชามันก็เท่ากับทุบหม้อข้าวตัวเองเหมือนกัน
นี่ยังไม่ได้รวมถึงมาตรการทางทหารและต่างประเทศ เช่น ไม่สนับสนุนข้อเสนอของสมเด็จ ฮุน เซน ในการจัดตั้งสมาคมผู้ผลิตข้าวภายในกรอบ ACMECS และชะลอความร่วมมือต่างๆในกรอบ ACMECS ซึ่งสมเด็จ ฮุน เซน จะผลักดันในการปรุชม ACMECS Summit ที่กัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในปี 2553
แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่แค่กัมพูชาเท่านั้น อาจรวมไปถึงเพื่อนบ้านที่ผลิตข้าว เช่น ลาว เวียดนาม พม่า ดังนั้น หากไทยใช้มาตรการดังกล่าวกับกัมพูชา ก็จะถูกประเทศเหล่านี้คัดค้าน
เมื่อนั้นไทยก็จะเสียเพื่อนเพิ่มขึ้น
ทั้งกัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนามได้ร่วมจัดตั้งกลุ่ม C L M V ขึ้นมาเมื่อปี 2547 เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 4 ประเทศได้คลางแคลงใจประเทศไทยในหลายเรื่อง ในขณะที่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกัน
ในยุคสงครามเย็น ตอนที่ไทยสู้รบกับเวียดนามบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีสมาชิกอาเซียนประเทศไหนบ้างช่วยไทยรบ นายอภิสิทธิ์ควรกลับไปทบทวนเหตุการณ์ในช่วงนั้นก่อน
ถ้าคิดจะรบกับสมเด็จ ฮุน เซน

Like father, like son วันคริสต์มาส 2009

ที่มา Thai E-News



ตอนเด็กๆ พ่อผมจะส่งเสริมความสนใจของผมในการจับผีเสื้อ..ในทะเลและในน้ำตก พ่อจะพาผมไปเล่นน้ำ และหลังจากที่เล่นน้ำก็พาไปกินปลาทอด และสอนว่าคนจีนชอบกินหางและหัวปลา ผมเลยชอบไปด้วย และพยายามให้ลูกชายผมมีประสบการณ์แบบนี้กับผม(ภาพ:ใจพาลูกชายเล่นหิมะช่วงเทศกาลคริสต์มาส)


โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
25 ธันวาคม 2552



หมายเหตุไทยอีนิวส์: ไทยอีนิวส์เคยขอให้รศ.ใจ อึ๊งภากรณ์ เขียนบทความเกี่ยวกับดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 21 สิงหาคม 2552ที่ผ่านมา ในชื่อบทความ"คิดถึงพ่อ คิดถึงคนชื่อป๋วย" ซึ่งท่านผู้อ่านจะได้พบความงดงามและสัจจะอันเรียบง่าย การนำเสนออีกครั้งก็เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศวันคริสต์มาส วันแห่งความสุขในครอบครัว..ใจเคยกล่าวว่าดูเหมือนข้อดีในความย่ำแย่สารพัดที่เขาได้มาในชีวิตช่วงลี้ภัยคดีหมิ่นฯไปต่างประเทศ ก็คือการได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกชายวัย 10 ขวบ เหมือนกับที่วัยเด็กเขาเคยได้รับจากพ่อของเขา


*ดร.ป๋วย กับใจ อึ๊งภากรณ์ ในวัยเด็ก

ผมจำไม่ได้ว่าพ่อผมเสียชีวิตในวันที่เท่าไรปีไหน จำเหตุการณ์ได้ จำงานศพได้ และจำได้ว่าผมไปซื้อต้นลั่นทม ดอกสีขาว มาปลูกไว้เพื่อระลึกถึงพ่อที่บ้านซอยอารี

ซึ่งเป็นบ้านที่เขากับแม่อาศัยอยู่หลายปี มันเป็นบ้านที่ผมเกิดด้วย เพราะตอนนั้นแม่ไม่อยากไปคลอดที่โรงพยาบาล

บ้านซอยอารีนี้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวงดงาม แต่คนอย่างจอมพลสฤษดิ์ เผด็จการทหารจอมโกงกิน มองว่า “เล็กไปไม่หรูพอ” เลยอาสาจะซื้อบ้านใหม่ให้ พ่อไม่ยอม

ผมจำงานศพพ่อผมได้ที่จัดที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ผมมีหน้าที่พาอัฐิของพ่อที่พี่ชายนำมาจากอังกฤษไปงานนี้ ผมขับรถนิสสันเก่าของผมมาที่ประตูหน้าธรรมศาสตร์ ยามและเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้า!

เพราะมองว่ารถเก่าแบบนี้ไม่มีทางนำอัฐิดร.ป๋วยมาได้ แต่เขาลืมว่าพ่อผมขับรถธรรมดาๆ มาตลอด ไม่ชอบอะไรที่แพงเกินเหตุ

วันนั้นผมใส่เสื้อผ้าไหมไทยตัวที่ดีที่สุดที่ผมมีมางานนี้ บังเอิญสีแดงเข้มๆ นสพ.ไทยรัฐ ด่าผมว่าผมเอาการเมืองตัวเองมาสร้างภาพ!

เหตุการณ์แบบนี้ทำให้ผมระลึกถึงประโยคหนึ่งของ เลนิน นักปฏิวัติรัสเซีย ตอนต้นๆ ของหนังสือ รัฐกับการปฏิวัติ เลนินเขียนไว้เกี่ยวกับ คาร์ล มาร์คซ์ ว่า
ในยุคที่นักปฏิวัติหรือนักต่อสู้มีชีวิต ฝ่ายชนชั้นปกครองจะคอยปราม ด่า ทำร้าย อย่างต่อเนื่อง แต่พอตายไปแล้วก็นำความคิดมาบิดเบือนให้เป็นเรื่องตรงข้าม


พ่อผมไม่ใช่มาร์คซิสต์ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ผมพูดบ่อย บางครั้งออกโทรทัศน์ผมก็พูดอย่างนี้ แต่ผมเองเป็นมาร์คซิสต์ประเภทที่คัดค้านเผด็จการ สตาลิน-เหมาเจ๋อตุง พ่อผมเป็นแนวสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democrat)

หลายคนในขบวนการเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ มักจะขึ้นเวทีแล้วอ้างว่าเคารพพ่อผม แล้วด่าผมว่าไม่เหมือนพ่อ บางคนก็มองว่าผมชิงหมาเกิด คนอย่างบรรจง นะแส นักเอ็นจีโอจากสงขลา หรือพิภพ ธงไชย อ้างว่าชื่นชมดร.ป๋วย แต่เขาเองไปจับมือกับเผด็จการ ชื่นชมรัฐประหาร และดูถูกคนจนที่ลงคะแนนให้ ไทยรักไทย พฤติกรรมของคนแบบนี้ทำให้ผมคิดถึงคำเขียนของเลนิน

ผมเกิดและเติบโตที่เมืองไทย ที่บ้านซอยอารีขณะกินอาหารเย็นก็จะฟังพ่อแม่วิจารณ์เผด็จการทหารและการคอร์รับชั่นของพวกนี้เป็นประจำ แม่ผมเป็นนักสังคมนิยมประชาธิปไตยและคนที่เกลียดสงครามและทหาร พ่อผมเคยเป็นทหารเสรีไทยแต่เกลียดเผด็จการทุกรูปแบบ และคัดค้านรัฐประหารอย่างสม่ำเสมอ

ผมได้ยินคนพูดซ้ำๆ ว่าพ่อผมรับใช้เผด็จการสฤษดิ์กับถนอม ไม่จริงครับ

พ่อผมอธิบายว่า ได้โอกาสไปเรียนที่อังกฤษจากทุนรัฐบาล ทุนนี้มาจากการทำงานและการเสียภาษีของชาวไร่ชาวนายากจน พ่อผมมองว่าต้องใช้คืนโดยการทำงานภาครัฐ แต่ชัดเจนมากว่าไม่มีวันรับตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งรัฐมนตรี

และในขณะที่พ่อผมทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธรรมศาสตร์ พ่อผมไม่เคยกลัวที่จะวิจารณ์เผด็จการสฤษดิ์ ถนอม หรือทหารอื่นๆ ตรงๆ และอย่างเปิดเผย

นอกจากนี้พ่อผมชัดเจนในอีกเรื่องคือ จะไม่รับเงินเดือนจากหลายแห่ง ทั้งๆ ที่อาจถูกเชิญไปทำงานหลายที่ เงินเดือนเดียวเพียงพอ โดยเฉพาะในยุคที่คนไทยยากจนมาก

รัฐไทยได้ก่ออาชญากรรมต่อนักประชาธิปไตยและนักสังคมนิยมไทยในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ตอนนั้นพ่อผมถูกกล่าวหาโดยฝ่ายอำมาตย์ (รวมถึงสมัคร สุนทรเวช) ว่าเป็น “คอมมิวนิสต์ และต้องการล้มสถาบัน” ใครที่มีสติปัญญาและความซื่อสัตย์จะรู้ว่าไม่จริง

ในยุคนี้มีคนกลับคำว่าพ่อผมนิยมเจ้ามากๆ นั้นก็ไม่จริงด้วย พ่อผมไม่ชอบราชาศัพท์ ไม่ชอบระบบลำดับชั้น การหมอบคลาน และต้องการสังคมที่เป็นธรรม และเล่าให้ลูกฟังว่าสถาบันเบื้องบนใกล้ชิดกับทหารที่ไม่รักประชาธิปไตย นี่คือสาเหตุที่พ่อผมเสนอรัฐสวัสดิการ “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” และนี่คือสาเหตุที่พ่อผมเคารพรักอาจารย์ปรีดีเป็นพิเศษ

ผมจำได้ว่าพ่อผมต้องออกจากประเทศไทยอย่างเร่งด่วนในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เพราะมีอันธพาลทางการเมืองที่จะฆ่าพ่อ เขาฆ่านักศึกษาที่ธรรมศาตร์ไปแล้ววันนั้น และลูกเสือชาวบ้านก็ตามพ่อไปที่สนามบิน แต่หาไม่เจอ ตำรวจฝ่ายขวาและอาจารย์ธรรมศาสตร์ฝ่ายขวาด่าและพยายามทำร้ายพ่อที่สนามบิน แต่ไม่เจ็บ พ่อผมรีบออกจากประเทศจนไม่มีเสื้อนอกใส่ ต้องรออยู่ที่เยอรมันท่ามกลางความหนาวเพื่อมาอังกฤษ

ผมจำได้เพราะไปรับพ่อที่สนามบินลอนดอน ตอนนั้นมีใครบ้างในสังคมไทยที่ออกมาสนับสนุนพ่อผมอย่างเปิดเผย? มีนักศึกษา มีนักเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ มีอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์และพรรคพวก และมีปัญญาชนที่รักความเป็นธรรมไม่กี่คน ที่เหลือเงียบสนิท ดังนั้นในหมู่คนที่ปัจจุบันอ้างว่าชื่นชมดร.ป๋วย มีคนหน้าไหว้หลังหลอกจำนวนมาก

ในหนังสือคำให้การเรื่อง ๖ ตุลาคม ของพ่อผม พ่อผมเขียนว่าพวกมีอำนาจและอภิสิทธิ์ชนหัวเก่ากลัวว่าประชาธิปไตยจะทำลายผลประโยชน์ของเขา เขาเลยก่ออาชญากรรมที่ธรรมศาสตร์ พ่อผมพูดต่อว่า...ชนชั้นปกครองไทยไม่เปิดโอกาสให้นักศึกษาเคลื่อนไหวอย่างสันติ เขาเลยไปเข้ากับ พ.ค.ท. แต่พ่อผมไม่ได้สนับสนุน พ.ค.ท.

ประมาณหนึ่งหรือสองอาทิตย์หลังจากที่พ่อผมตาย มีเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังติดต่อมาที่จุฬาฯ เพื่อทวงคืนเครื่องราชฯของพ่อ ผมอธิบายว่าพ่อผมต้องออกจากประเทศอย่างเร่งด่วนในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และของแบบนี้หายไปหมดแล้ว แต่ทั้งๆ ที่ผมยังเศร้าใจที่พ่อพึ่งตาย เจ้าหน้าที่ก็ขู่ผมว่าถ้าไม่คืนจะถูกปรับเงินเป็นพันๆ ผมไม่เชื่อว่าในหลวงสั่งให้คนพวกนี้มีพฤติกรรมแบบนี้ แต่มันเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการที่คนอ้างกษัตริย์เพื่อฝ่าฝืนจิตใจประชาชน รัฐประหาร ๑๙ กันยาก็เช่นกัน

หลายคนพูดว่าพ่อผมมีชีวิตเรียบง่าย คงจะจริงบ้าง แต่ก็มีฐานะดีกว่าคนยากคนจนจำนวนมาก ความเรียบง่ายของพ่อผม ไม่เหมือนแนวคิด “พอเพียง” เพราะพ่อผมเชื่อมั่นว่าต้องมีการกระจายรายได้จากคนรวยไปให้คนจน

พ่อแม่ผมสอนให้ผมคัดค้านรัฐประหารและอิทธิพลของทหาร สอนให้ผมรักประชาธิปไตย สอนให้ผมรักความเป็นธรรมในสังคม และสอนให้ผมเป็นคน “สากล” ไม่ใช่คนที่ “รักชาติ” ต้องรักเพื่อนมนุษย์แทน เวลามีคนมาด่าผมในเรื่องส่วนตัว ผมจะจำคำพูดของพ่อ ที่ถ่ายทอดจากแม่เขาอีกที..
“เวลาคนวิจารณ์เรื่องส่วนตัว มันแปลว่าเขาไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะวิจารณ์แนวคิดหรือการกระทำทางการเมืองของเรา”


ในแง่ส่วนตัวพ่อผมเคยให้ความเคารพกับผมอย่างที่ผมไม่คาด เพราะเมื่อผมอายุ 17 พ่อถามผมว่าผมสามารถแนะนำหนังสือเรื่องการเมืองกรีนให้พ่อไปอ่านได้ไหม?

ตอนนั้นผมเป็นกรีนที่อยากปกป้องสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะมาเป็นแดงสังคมนิยม ไม่เคยมีผู้ใหญ่ให้ความเคารพกับผมแบบนี้ นอกจากนี้ตอนที่ผมเรียนที่สาธิตจุฬาฯ พ่อผมจะส่งเสริมความสนใจของผมในการจับผีเสื้อ (เดี๋ยวนี้ไม่จับแต่ถ่ายรูปแทน) และสอนให้ผมชอบผลไม้ต่างๆ รวมถึงทุเรียนด้วย ในทะเลและในน้ำตก พ่อจะพาผมไปเล่นน้ำ และหลังจากที่เล่นน้ำก็พาไปกินปลาทอด และสอนว่าคนจีนชอบกินหางและหัวปลา ผมเลยชอบไปด้วย และพยายามให้ลูกชายผมมีประสบการณ์แบบนี้กับผม

ผมไม่ต้องการให้ใครๆ มารักหรือเคารพพ่อผม ถ้าเขาไม่อยากรักหรือเคารพ มองต่างมุมได้ วิจารณ์ได้ มันเป็นเรื่องจุดยืนส่วนตัวของแต่ละคนในสังคม ซึ่งควรจะเป็นเรื่องเสรี แต่ในไทยตอนนี้ไม่มีเสรีภาพที่จะมองต่างมุม

ใครที่พูดว่ารักและเคารพความคิดพ่ออย่างซื่อสัตย์ จะต้องคัดค้านรัฐประหารและเผด็จการโดยไม่มีเงื่อนไข (เงื่อนไขก็เช่นคำพูดว่า “ผมไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร..แต่...กรณี ๑๙ กันยาเป็นกรณีพิเศษ”) คุณต้องเห็นด้วยกับการสร้างรัฐสวัสดิการ ถ้วนหน้า ครบวงจร และการเก็บภาษีอัตราสูงจากคนรวย และคุณต้องคัดค้านระบบอภิสิทธิ์และการคอร์รับชั่น

นี่คือจุดยืนของพ่อผม และท่านสามารถอ่าน “แถลงการณ์จุดยืน” ของพ่อผมในบทความ “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”

โพลแสบๆ คันๆ

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




ก่อน นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะแถลงผลงาน 1 ปีของรัฐบาลแค่วันเดียวกัน

ก็มีโพลของสำนัก "กรุงเทพโพล" ชิงออกมา เป็นการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนจากทุกภาค

ผลออกมาว่า รัฐบาลสอบตก!

ได้คะแนนความพึงพอใจ 3.87 จากเต็ม 10

แยกเป็นคะแนนด้านเศรษฐกิจ 4.41 ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต 3.76 ด้านการต่างประเทศ 3.75 ด้านการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมาย 3.71 ด้านความมั่นคงของประเทศ 3.73

ซึ่งล้วนแต่ต่ำกว่า 5 ทั้งสิ้น

แม้แต่ความพึงพอใจเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีเอง ก็ได้คะแนนแค่ 4.70

แบ่งเป็นความซื่อสัตย์สุจริต 5.44 ความขยันทุ่มเทในการทำงาน 5.35 การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ 4.83 ความสามารถสร้างสรรค์ผลงานหรือโครงการใหม่ๆ 4.62 ความสามารถบริหารจัดการตามอำนาจหน้าที่ที่มี 4.25 ความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ 3.72

เมื่อพิจารณาจากคะแนนชุดหลังนี้ ในท่ามกลางคะแนนสอบตก

ก็มีการสอบผ่านเรื่องซื่อสัตย์สุจริต และความขยันทุ่มเท ใช้เป็นรางวัลปลอบใจได้

นายกฯ ยังมีเรื่องปลอบใจอีกอย่าง เมื่อโพลตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการให้นายกฯ ทำมากที่สุด

ร้อยละ 59.3 ต้องการให้เดินหน้าทำงานต่อไป

ขณะที่ 24.5 ต้องการให้ยุบสภา

และมีเพียง 5.2 เท่านั้น ที่ต้องการให้ลาออกไป

เมื่อถามถึงคณะรัฐมนตรีที่ชื่นชอบ กลุ่มตัวอย่างตอบว่า อันดับ 1 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 36.9 อันดับ 2 นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ร้อยละ 6.2 อันดับ 3 นายกรณ์ จาติกวณิช ร้อยละ 6.1

และที่ประหลาดไม่น้อย ตอบว่าไม่ชื่นชอบใครเลย เป็นจำนวนมากถึงร้อยละ 36.9

รัฐมนตรีที่อยากให้ปรับออกไป อันดับ 1 นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ร้อยละ 2.7 อันดับ 2 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ร้อยละ 1.2 และอันดับ 3 นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ร้อยละ 0.5

แต่สิ่งที่ประชาชนเห็นใจรัฐบาลนี้และนายกฯ มากที่สุด ก็คือ การชุมนุมของคนเสื้อแดง ร้อยละ 23.2

อย่างไรก็ตาม ก่อน "กรุงเทพโพล" จะออกมาแค่ 3 วัน ก็มี "ดุสิตโพล" สำรวจความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ เกี่ยวกับเทศกาลปีใหม่

มีคาบเกี่ยวไปถึงเรื่องการเมือง เมื่อมีการตั้งคำถามว่าอยากได้ของขวัญอะไรจากนักการเมือง?

35.44% ระบุว่า อยากเห็นความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อบ้านเมือง 34.40% อยากเห็นการยึดมั่นในการเป็นนักการเมืองที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต 30.15% ความตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน

ถามว่าอยากให้ของขวัญอะไรนายกฯ?

คำตอบอันดับหนึ่ง คือ ให้กำลังใจนายกฯ ในการบริหารประเทศต่อไป 43.55%

พอถามว่าอยากขออะไรจากนายกฯ?

มากที่สุด 36.64% ขอให้นายกฯ ตั้งใจ อดทนทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป

ย้ายฟากไปถามถึง "อดีตนายกฯ" บ้าง ประชาชนอยากขออะไรจาก "ทักษิณ"

อันดับหนึ่ง 68.31% ขอให้หยุดการกระทำต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ

และอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องทางลบทั้งสิ้น

ไม่ยักมีการขอ...ให้กลับมาเป็นนายกฯ อีก?

สามัคคียังไม่เกิด

ที่มา ไทยรัฐ

เมอร์รี่คริสต์มาส รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงผลงานครบรอบ 1 ปีไปเรียบร้อย ความภาคภูมิใจของรัฐบาลชุดนี้ น่าจะอยู่ที่ว่าสามารถฝ่ามรสุมการเมืองอยู่มาได้จนครบ 1 ปี ซึ่งนายกฯอภิสิทธิ์เองอ้างว่ามีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะ

การปกป้องสถาบัน การช่วยเหลือเกษตรกร คนชรา คนพิการ ที่ไม่พอใจ เป็นประเด็นการทุจริตคอรัปชันโครงการชุมชนพอเพียง กระทรวงสาธารณสุข และปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ทึกทักเอาเองหมด

ฝ่ายรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ภูมิอกภูมิใจว่า การแก้ปัญหาชุมนุมประท้วงไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ

ว่ากันไป ยังขาดแต่กระทรวงการต่างประเทศของ คุณกษิต ภิรมย์ ที่มีผลงานชิ้นโบแดงในการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้เวลา 1 ปีเต็มๆทุ่มเทบุคลากรและงบประมาณไม่อั้น

สุดท้ายผู้ร้ายที่ตามล้างตามเช็ด มาโชว์เสียงโชว์ตัวอยู่ข้างบ้าน ไม่มีปัญญาทำอะไรอยู่ดี ได้แต่ขู่ฟ่อๆไปตามเรื่อง ข้อเท็จจริงพ.ต.ท.ทักษิณบินไปไหนมาไหนทำไมรัฐบาลจะไม่รู้ ช่วงที่เดินทางมาประเทศกัมพูชาก็เคยส่งสัญญาณเตือนว่าไม่อนุญาตให้ผ่านน่านฟ้าไทยด้วยซ้ำ เข้าใจว่าเอฟ 16 คงไม่พร้อม

พูดถึงเรื่องการทุจริต ที่องค์กรตรวจสอบไม่ค่อยจะมีมาตรฐานเท่าไหร่ ทำให้สังคมเสื่อม จะมีใบสั่ง คำสั่งพิเศษอะไรก็ตามทีเถอะ แต่ก็ไม่ควรให้กระทบกับหลักความยุติธรรม เพราะถ้าหลักยุติธรรมลำเอียงเมื่อไหร่ จะกระทบถึงการปกครองบ้านเมือง อยู่กันอย่างไม่สงบสุข

เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

ความเป็นธรรมที่เลือกปฏิบัติระหว่างสองขั้วการเมือง ระหว่างคนที่ใส่เสื้อต่างสี มีใบเสร็จชัดเจน พรรคการเมือง นักการเมืองฝ่ายหนึ่งหลุดรอดความผิดมาได้อย่างคลุมเครือ เช่นเดียวกัน ฝ่ายหนึ่งก็ถูกกระทำอย่างคลุมเครือขาดความชัดเจนในข้อกฎหมาย

วันนี้รอการชี้ขาดคดีทางการเมือง เงินบริจาค 258 ล้านบาทเข้าพรรคประชาธิปัตย์จะออกหัวออกก้อยอย่างไร ดูท่าทีของคุณอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรค การเมืองแล้ว

ไร้ปัญหา

อันที่จริงก็ไม่รู้จะซื้อเวลาไปทำไม เมื่อคำตอบของคดีนี้สังคมก็รู้กันล่วงหน้าอยู่แล้ว คุณสดศรี สัตยธรรม หนึ่งใน กกต. ยืนยันว่าการสอบสวนครบถ้วนแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการเริ่มต้นพิจารณาใหม่ เพราะจะดูว่าเป็นความตั้งใจในการซื้อเวลา แทงใจดำ กรรมการบางท่าน

โดยเฉพาะนายทะเบียนลมออกหู คุณวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ที่มีความเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ยังออกปากว่าทุกอย่างควรจะเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

ไม่อยากให้เรื่องนี้ จบลงที่ความคาใจของสังคม มองว่า เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.กับอดีตประธาน คมช. เพราะเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกับรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

หมัดเหล็ก

โผล่แล้วคอยตั้งรับดีๆ

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_54961

ถ้าไม่นับช็อต "บ้องตื้น" ที่ทีมงาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เล่นบทหน้าใหญ่ใจป้ำเรี่ยไรเงินใส่ห่อผ้า ทอดผ้าป่าให้สื่อมวลชนไปเที่ยวอาบอบนวด

เก่งในเรื่องที่ไม่เป็นสาระ


ประเด็นใหญ่ที่น่าจับตา ต้องอยู่ที่ภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วีดิโอลิงค์ มาในงานเลี้ยงปีใหม่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย

โดยมีขุนพลสนิทอย่างนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ นั่งขนาบข้างซ้ายขวา

พร้อมทีมบัญชาการรบ


"นายใหญ่" ประกาศชัด ปี 2553 จะเป็น "ดีสเยียร์ อีส มายเยียร์" แปลความว่า เป็นปีของเรา ขอให้ลูกข่ายพรรคเพื่อไทยแข็งแรง

และเตรียมตัวเป็นรัฐบาล


โดยเฉพาะบทโหมโรงของอดีตนายกฯทักษิณ

"ไม่มีครั้งใดที่ประชาชนจะออกจากบ้านมาสู้กับเรามากขนาดนี้ เรื่องนี้ต้องขอบคุณรัฐบาลและผู้มีอำนาจ


นอกเหนือรัฐบาลที่ทำให้เกิดสองมาตรฐานครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้

เขาแกล้งเราเท่าไหร่ ก็เท่ากับเพิ่มกำลังเพิ่มคะแนนให้เราเท่านั้น"

เดินหน้ายุทธศาสตร์ "เขี่ยไฟ" ขยายลิ่ม "สองมาตรฐาน"

ตามจังหวะที่รับกันพอดี กับรายการขยับของกองทัพเสื้อแดง นำโดยขาบู๊เจ้าเก่านายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กับ "แรมโบ้อีสาน" นายสุพร อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พากลุ่มผู้ชุมนุมเกือบ 500 คน


เดินสายบุกล้อมจุดยุทธศาสตร์สำคัญในกรุงเทพฯ

ทั้งคิวปิดล้อมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผาโลงศพประจาน

กดดันให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรฯ ดำเนินคดีกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในคดีถูกกล่าวหาบุกรุกป่าเขายายเที่ยง

ต่อด้วยการปิดล้อมที่ทำการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แห่รูปโปสเตอร์ของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. พร้อมโลงศพที่ติดชื่อทั้งนายอภิชาต นายประพันธ์ นัยโกวิท นางสดศรี สัตยธรรม และนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.

ฉี่รด จุดประทัดไล่ ก่อนเผา

เขย่าขวัญ ไล่บี้กดดันนายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ให้ชี้แจงสาเหตุการเลื่อนการวินิจฉัยชี้ขาดคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์

ขู่กันแรงถึงขั้นจะบุกเผาบ้านประธาน กกต.

โดยเกมโหมไฟของ "นายใหญ่" ปั่นกระแสนำร่องล้อ "สองมาตรฐาน" ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า ก่อนสงครามใหญ่ช่วงต้นปี 2553

ตามจังหวะที่เริ่มทยอยโผล่ออกมาของเหล่าขุนศึกใกล้ชิดที่ซุ่มเก็บเนื้อเก็บตัว

ล่าสุดถึงคิวของนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิกาพรรคไทยรักไทย ฝ่ายเสธ.คนสนิทของอดีตนายกฯทักษิณ ออกมาเปิดปฏิบัติการ "นำร่อง" ไล่บี้รัฐบาลต้องเป็นผู้ริเริ่ม โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องเอาตัวเองออกจากคู่ขัดแย้ง และทำตัวเป็นนายกฯของคนทุกสี ทุกฝ่าย

ในการเปิดหนทางพูดคุยกับอดีตนายกฯทักษิณ

และในอาการอัดอั้นเต็มแก่ นายภูมิธรรมพูดเป็นนัย ที่ผ่านมานิ่งเงียบมา 3 ปีหลังรัฐประหาร แต่วันนี้โยนให้ฝ่ายการเมืองดำเนินการแล้ว แต่ไม่สามารถทำให้สังคมเข้าสู่ปกติได้ เมื่อเฝ้าดูแล้วไม่เพียงสถานการณ์ ไม่เข้าสู่ภาวะปกติธรรมดา แต่ยังมีแนวโน้มจะเข้าสู่ความรุนแรง

ในอารมณ์เหมือนกับว่า ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง


ที่แน่ๆจากภาพ "ยงยุทธ-จักรภพ" นั่งประกบซ้ายขวา มาถึงคิว "ภูมิธรรม" โผล่ออกมาสะกิดให้นายกฯอภิสิทธิ์เปิดหนทางเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ

แนวรบของ "นายใหญ่" ขยับพร้อมกันพรึบพรับ

เตือนฝ่ายคุมเกมอำนาจ คอยตั้งรับไว้ให้ดี

ยิ่งเป็นอะไรที่จับทางได้ถึงอาการ "เริ่มไม่ชัวร์" กับมุกที่นายชวน หลีกภัย ปรมาจารย์จอมเก๋าของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาวิเคราะห์ในทำนองรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความจริงใจของพรรคร่วมรัฐบาล

นัยว่า ดักคอ "เกมชิ่ง" สลัดประชาธิปัตย์ จับขั้วใหม่หลังคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจ

แค่ "นายใหญ่" เริ่มออกแรงเขย่า

ประชาธิปัตย์ก็ปอดกระเส่าให้เห็นเลย.


ทีมข่าวการเมือง รายงาน

พท.ยกเลิกงานเลี้ยงปีใหม่นักข่าว หวั่นมีปัญหาข้อ กม. เพราะต้องเลือกตั้งซ่อม

ที่มา ประชาไท

(24 ธ.ค.) เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวการเรี่ยไรเงินในระหว่างงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่จำนวน 8 หมื่นบาท ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค เพื่อพานักข่าวไปอาบน้ำว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ที่พูดว่าอาบน้ำนั้น เพราะนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ไปพูดคุยกับผู้สื่อข่าวบางคนว่าช่วงปีใหม่พรรคอาจจะจัดกิจกรรมสังสรรค์ปีใหม่ให้กับสื่อมวลชน โดยอาจจะไปลงทะเล อาบน้ำทะเล หรือเล่นน้ำตกกันที่พัทยา หรือไม่ก็กาญจนบุรี ไม่ได้หมายความว่า จะพาผู้สื่อข่าวไปอาบน้ำในอาบ อบ นวด แต่หมายถึงไปอาบน้ำทะเลหรืออาบน้ำตก แต่ตอนหลังเห็นว่า พรรคได้เปลี่ยนแปลงการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่ให้สื่อมวลชนเป็นการรับประทานอาหารระหว่างล่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาแทนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ติดต่อมายังผู้สื่อข่าวอีกครั้ง โดยระบุว่า ได้หารือกับผู้หลักผู้ใหญ่ในพรร คถึงการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่ที่พรรค จะจัดให้สื่อมวลชนโดยจะมีการล่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว เนื่องจากพรรคมีภารกิจในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.มหาสารคาม และปราจีนบุรี จึงขอให้ยกเลิกงานล่องเรือจัดเลี้ยงปีใหม่ เพราะเป็นห่วงว่าอาจจะมีปัญหาทางข้อกฎหมายได้


สมาคมนักข่าววิทยุ-ทีวีประณาม ส.ส.แจกเงินนักข่าว

ขณะที่สำนักข่าวไทย รายงานว่า สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ออกแถลงการณ์ร่วม กรณีมีข่าวการเรี่ยไรเงินของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่าเป็นการทอดผ้าป่าไปให้สื่อมวลชน และยังมีนักการเมืองผู้หนึ่งกล่าวติดตลกว่า เรี่ยไรเงินพานักข่าวไปอาบน้ำ (อาบ อบ นวด) โดยแถลงการณ์มีใจความสำคัญว่า ขอประณามการกระทำดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย และขอเรียกร้องให้มีการดำเนินการดังต่อไปนี้ 1.ขอเรียกร้องให้รัฐสภาและพรรคเพื่อไทย ดำเนินการตรวจสอบทางวินัยแก่ ส.ส.ดังกล่าว ทั้งนี้ เพราะพรรคการเมืองและนักการเมือง เป็นสถาบันหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะต้องมีจริยธรรม ความรับผิดชอบ และเป็นแบบอย่างอันดีงามของสังคม

2. ขอเรียกร้องให้องค์กรต้นสังกัดสื่อโทรทัศน์ดังกล่าว ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงจากกรณีดังกล่าว 3.สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จะดำเนินการตรวจสอบในกรณีดังกล่าวด้วยว่า มีนักข่าววิทยุและโทรทัศน์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวจริงหรือไม่ และจะดำเนินการตามมาตรฐานจริยธรรม และรายงานผลต่อสาธารณชนต่อไป และ 4. ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนและหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่จะให้ของขวัญตอบแทนสื่อมวลชนได้ตระหนักถึงความเหมาะสมในการให้และการรับด้วย

สมาคมนักข่าวฯ เรียกร้ององค์กรสื่อสอบนักข่าวรับเงิน "เพื่อไทย"
ด้านนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการประชุมกรรมการบริหารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยวันนี้ (24ธ.ค.) ว่า ได้มีการรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงานเลี้ยง ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่โรงแรมเอสซีปาร์ค เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) และหลังการประชุมได้มีงานเลี้ยงสังสรรค์ ส.ส. และมีการเรี่ยไรเงินจาก ส.ส. โดยอ้างว่าเป็นการทอดผ้าป่าไปให้สื่อมวลชน และยังมีนักการเมืองผู้หนึ่งกล่าวติดตลกอีกว่า เรี่ยไรเงินพานักข่าวไปอาบน้ำ (อาบ อบ นวด) โดยที่ประชุมกรรมการบริหารสมาคมนักข่าวฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า นักข่าวที่เรียกร้องและรับเงิน ถือเป็นการกระทำที่ผิดข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นการนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพและดูแคลนวิชาชีพตัวเอง

นายประสงค์ กล่าวด้วยว่า สำหรับนักการเมืองที่ให้อามิสสินจ้างอันมีค่าหรือผลประโยชน์ใดๆ ถือว่าเป็นการให้สินบนและดูแคลนวิชาชีพสื่อมวลชนอีกด้วย ที่ประชุมจึงมีมติให้แจ้งต่อคณะกรรมการควบคุมจริยธรรม เพื่อขอให้ทำหนังสือถึงบรรณาธิการสื่อมวลชนทุกประเภท ให้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า มีผู้สื่อข่าวหรือช่างภาพในสังกัดคนใดได้รับเงินด้วยหรือไม่ และสมาคมฯ ขอทราบผล เพื่อจะได้แถลงต่อสาธารณชนได้ทราบต่อไป และยังให้ประสานงานกับองค์กรวิชาชีพด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ถึงการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย.-สำนักข่าวไทย

ที่มา: ไทยรัฐ และสำนักข่าวไทย (1,2)

จาตุรนต์เสนอถอดถอน- ดำเนินคดี กกต. ละเว้นปฏิบัติหน้าที่คดี ปชป. รับเงิน 258 ล้าน

ที่มา ประชาไท

24 ธ.ค. เวลา 11.00 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย แถลงที่ ร.ร.เรดิสัน พระราม 9 ถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้ประธานกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองรับหน้าที่วินิจฉัยว่าจะยุบหรือไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีรับเงินบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) จำนวน 258 ล้านบาท ว่ากรณีการทำหน้าที่ของ กกต. ทำไม กกต. ทั้งสามคนที่เหลือไม่ลงมติไปในทางใดทางหนึ่ง เป็นการเล่นกลใช้ลูกไม้ตื้นๆ เพื่อช่วยประชาธิปัตย์นั่นเอง

โดยนายจาตุรนต์กล่าวว่า กรณีดังกล่าวนั้นมีกฎหมายเกี่ยวข้องถึง 3 ฉบับ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ พรบ. เลือกตั้ง และพรบ. พรรคการเมือง ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้น กกต. เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236 (5) และ ตามพระราชบัญญัติ คณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งมีหน้าที่สืบสวนข้อเท็จจริง และข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้น

“เมื่อมีการประชุมลงมติซึ่งควรทำไปนานแล้ว แต่ก็เพิ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยมีกรรมการคนหนึ่งลงมติให้ยุบ อีกคนหนึ่งให้ยกคำร้อง เพราะฉะนั้น กกต. ก็ต้องทำตามหน้าที่คือ วินิจฉัยชี้ขาดว่า เห็นว่าเป็นความผิดหรือไม่ และเข้าข่ายที่ต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ายุบพรรคหรือไม่ ไม่ใช่ไปส่งให้นายทะเบียนตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง การลงมติอย่างที่ผ่านมา หมายความว่ากกต. 2 คนคือคุณวิสุทธิ์ (โพธิ์แท่น) และคุณอภิชาต (สุขัคคานนท์) ได้ทำหน้าที่ของตนในฐานะกกต. แล้ว แต่อีกสามคนที่เหลือยังไม่ได้ทำหน้าที่ เท่ากับจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ “

นายจาตุรนต์กล่าวว่าการที่ กกต. บางคนเห็นว่าหากนายทะเบียนเห็นควรให้ยกคำร้องก็เป็นอันยุติไป เป็นการจงใจบิดเบือนกฎหมาย 2 ฉบับอย่างร้ายแรง เพราะเรื่องนี้ กกต. รับปัญหาวินิจฉัยแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของ กกต. ทั้งคณะ และกรณีดังกล่าวได้ผ่านการสอบสวนโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว และพิจารณาโดย กกต. ทั้งคณะแล้วกลับเปิดช่องให้สามารถยกคำร้องไปได้โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองเพียงคนเดียว ถือเป็นการมอบอำนาจให้คนๆ เดียวไปช่วยประชาธิปัตย์ให้พ้นจากถูกยุบพรรค

จวก กกต. ทำหน้าที่ตามแผนบันได 4 ขั้นของ คมช.
นายจาตุรนต์กล่าวด้วยว่า จากการดำเนินคดี การพิจารณา และการอธิบายขั้นตอนที่จะดำเนินต่อไป มาถึงวันนี้เห็นได้ชัดว่ากกต. ใม่ได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา แต่กลับช่วยพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการถ่วงเวลามา 7 เดือนกว่า “ก่อนหน้านี้สันนิษฐานว่ามีการเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยการยุบพรรค จึงไม่จำเป็นต้องตัดสินเพราะพรรคประชาธิปัตย์จะพ้นไปจากคดีด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญ ก็เกิดการตีความกฎหมายอย่างบิดเบือนในลักษณะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”

นายจาตุรนต์กล่าวว่าการวางตัวไม่เป็นกลางของ กกต. ไม่เพียงก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่คดี แต่ กกต. ยังแสดงถึงผลเสียอันเกี่ยวเนื่องมาจากตุลาการภิวัตน์ เพราะในระบอบประชาธิปไตยควรให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้ที่จะมาบริหารประเทศ แต่จากการทำงานของ กกต. นั้นกลับกลายเป็นว่า กกต. ไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นกลาง และมีส่วนอย่างสำคัญในการกำหนดว่าใครจะมาบริหารประเทศ กกต. เพียงไม่กี่คนกลับมีอำนาจเหนือกว่าประชาชนทั้งประเทศ

“กกต. ส่วนใหญ่ที่มาจากการัฐประหารมีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้บันได 4 ขั้นของคมช. บรรลุผล คือทำให้พรรคการเมืองบางพรรคไม่สามารถเป็นรัฐบาลและทำให้อีกฝ่ายขึ้นมาเป็นรัฐบาล และกกต. มีส่วนอย่างสำคัญในการรักษาผลสำเร็จของบันได 4 ขั้น นี้ต่อไป”

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่กกต. ควรจะทำต่อไปก็คือ กกต.ทั้งคณะต้องลงมติว่าจะให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัจย์หรือไม่ พร้อมกล่าวเตือนนายอภิชาต ในฐานะประธาน กกต. ว่าได้เห็นพฤติกรรมในการทำหน้าที่ กกต. มาโดยตลอดว่ามีความพร้อมให้ความร่วมมือกับ คมช. อย่างยิ่ง

เสนอถอดถอน-ดำเนินคดีฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ – ถามอภิชาติ อ้างอ่านเอกสารไม่ครบแล้วลงมติเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ได้อย่างไร
“ประธาน กกต. ทำหน้าที่บกพร่องชัดเจน เพราะรับเรื่องมาแล้ว 7 เดือนกว่า พอไปลงมติก็ไม่ได้ทักท้วงว่า กกกต. ต้องวินิจฉัย เรื่องนี้มีการสรุปสำนวนของ DSI อย่างชัดเจนมาก หากไม่เรียกประชุม กกต. ทั้งคณะก็เท่ากับประธาน กกต. ยอมฆ่าตัวตาย เพื่อรักษาพรรคประชาธิปัตย์และรักษาผลสำเร็จของบันได 4 ขั้น” นายจาตุรนต์กล่าวพร้อมวิจารณ์ถึงข้ออ้างที่นายอภิชาติ ประธาน กกต. ระบุว่ายังไม่สามารรถติดสินใจได้เพราะต้องอ่านเอกสารกว่า 7,000 หน้า เป็นเรื่องหลอกเด็ก พร้อมถามกลับว่า หากยังอ่านเอกสารไม่ครบ แล้วก่อนหน้านี้ลงมติในวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมาได้อย่างไรว่าจะไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์

“ท่านไม่อ่านแล้วลงมติไปได้อย่างไรให้ยกคำร้อง นี่เป็นเรื่องหลอกเด็กชัดๆ และอย่าบอกว่าการแสดงควาเมห็นเป็นการกดดันการทำงานของ กกต. เพราะกกต. มีความรับผิดชอบต่อความเป็นไปของบ้านเมือง อย่ามาปิดปากคนด้วยการบอกว่าอย่ากดดัน และอย่าบอกว่าทำหน้าที่อย่างผู้พิพากษา เพราะหากท่านตัดสินใจที่ทำให้เกิดผลเสียหายอย่างใดขึ้นมาก็จะเป็นการทำลายระบบตุลาการไปด้วย”

นายจาตุรนต์ได้เสนอต่อประชาชนผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้ว่า หากไม่มีการประชุมกกต. อีก ก็ต้องดำเนินการถอดถอนกกต. ทั้งคณะยกเว้นผู้ที่ได้ยืนยันให้มีการวินิจฉัย และต้องให้ปปช. และดีเอสไอ ดำเนินคดีต่อ กกต. ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นายจาตุรนต์กล่าวในท้ายที่สุดว่าไม่ว่าคดีจะมีผลออกมาอย่างไรก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีความจำเป็นที่ไทยจะต้องแก้ไขกติกาเกี่ยวกับพรรคการเมืองต่อไป

คุณอภิชาติ ประธาน กกต.ครับ อย่าเขินเลย ประกาศเลยว่าไม่ยุบ ปชป.

ที่มา thaifreenews

โดย...ลูกชาวนาไทย



เสียเวลาหาคำอธิบาย หรือเล่นลีลาน่ารำคาญครับ ผมก็รู้อยู่แล้วว่า ถึงอย่างไร ในทางการเมือง พวกคุณ ก็ยุบ ปชป. ไม่ได้ เพราะมันจะทำให้ การถืออำนาจรัฐของพวกคุณวุ่นวายไม่ลงตัว พวกอำมาตย์เขาไม่ยอมให้มันเกิดสภาพการณ์คุมไม่ได้อีกหรอกครับ

จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ มันไม่มีคำอธิบายอะไรที่คนเขายอมรับได้หรอก ก็แค่บอกว่า "ผมดูสำนวนแล้ว" ไม่พอยุบ

แล้วก็ตัดสินใจยุติเรื่องไป

ผมรู้อยู่แล้วว่าประเทศนี้มีสองมาตรฐาน พวกคุณกำลังอยู่ในยุคสุดท้าย เหมือนยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
เ้รื่องน่าละอายมันก็เกิดประจำแหละครับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่นำไปสู่การปฎิวัติใหญ่หรอกครับ

พวกคุณไม่มีทางเอาชนะใจประชาชนได้แล้ว

ดังนั้นเสียเวลาหาคำอธิบายว่าไม่ยุบ ปชป. เพราะอะไร

ในเมื่อหน้าด้านกันอยู่แล้ว ก็ทำไปเลย อย่าพิรี้พิไล

ผมพนันกันก็ได้ว่า ไม่มีทางยุบ ปชป.

ระเบิดเมืองยะลา!!

ที่มา thaifreenews

โดย tongtata

เสียดายไม่ได้บอกวันเวลาไว้ด้วย

















++วันก่อน กัมพูชา แสดงแสนยานุภาพกองทัพ วันนี้ พม่า ก็โชว์ฟอร์มเช่นกัน++

ที่มา thaifreenews

โดย Porsche

จากคุณ : ขอสักครั้งจะไม่ลืมพระคุณ


ด้วยการสั่งซื้อ MIG-29 1 ฝูงจากพันธมิตรรัสเซีย




และกำลังจะตามด้วย J 10 Dragon จากจีน




F-16 กับ กริฟเพ่นใหม่ ของไทย คงต้องเตรียมการให้ดี และใช้ให้ถูกทาง

เพราะไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นบ้างในอนาคตอันใกล้นี้




จากคุณ : MISS CACA


พี่สาวค่ะ....มิสฝากด้วยค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8690665/P8690665.html

งามไส้กองทัพอีกแล้วค่ะ.พม่าฉีกหน้าไทย/ทอ.ไทยใช้เงินเท่าทอ.พม่าซื้อเครื่องบินรบ แต่ไทยได้กริเพ่นแค่6ลำส่วนพม่าได้มิก20ลำ


ผบ.ทอ.ยอมรับเสนอของบฯ ปี 53วงเงิน1.54หมื่นล้านบาท ยันซื้อกริพเพน 6 ลำ เป็นโครงการต่อเนื่อง หลังรัฐบาลก่อนอนุมัติแค่เฟสแรก
พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงษ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เปิดเผย ขณะนี้เทคโนโลยีด้านการบินมีความก้าวหน้า และพัฒนาไปมาก เพราะฉะนั้นจำนวนเครื่องบินที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างน้อยต้องมี 12 ลำ วงเงิน 3.54 หมื่นล้านบาท เราจึงเสนอรัฐบาลก่อนหน้านี้ในการอนุมัติซื้อ 1 ฝูงบิน แต่ด้วยกรอบงบประมาณที่กองทัพอากาศได้รับแต่ละปีน้อยกว่างบประมาณในการจัดหาทั้งฝูงบิน เราจึงเสนอไปว่าด้วยความเป็นไปได้ที่กองทัพอากาศได้รับแต่ละปี ที่สามารถผูกพันงบประมาณได้ เราจะขอจัดหาอย่างต่อเนื่อง 10 ปีอย่างน้อย 12 เครื่อง ในการนำเสนอครั้งนั้น ครม.เห็นว่าเป็นการอนุมัติที่ผูกพันต่อเนื่อง 10 ปีและก็เป็นรัฐบาลในห้วงเวลาสั้นๆ
ครม.จึงอนุมัติให้ ทอ.จัดหาในเฟสที่ 1 จำนวน 6 ลำ เท่านั้น"

http://www.bangkokbiznews.com/home/news/politics/politics/2009/02/05/news_13734.php

รับประทานกันเบาๆหน่อยก็ได้น่ะพม่าซื้อมิกได้20ลำ ราคาหมื่นกว่าล้าน ประเทศไทยจะซื้อหกลำหมื่นกว่าล้าน แหม แค่ค่าคอมอืมนะแล้วไปซื้อกริพเพนถามหน่อยสิถ้ารบกะพม่าจะสู้เค้าได้เหรอจ๊ะ หมื่นกว่าล้านได้ฝูงบินแค่เนี้ย กับพม่าเป็นยี่สิบ แค่พม่าบินโฉบเฉี่ยวยี่สิบลำต่อหกลำ น่าจะมึนหัวแล้วน่า

by jomsuwan


จากคุณ : mcu51


http://en.rian.ru/business/20091223/157331457.html
http://in.reuters.com/article/worldNews/idINIndia-44947620091223

http://en.wikipedia.org/wiki/Mikoyan_MiG-29
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=skyman&month=03-05-2009&group=3&gblog=136
รวมถึง VDO นี้ที่มีภาพของอาวุธหลายชนิดของกองทัพพม่าที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันครับ
แม้ว่าจะเป็นเพียงรูปถ่ายก็ตาม แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว
http://www.youtube.com/watch?v=LFhFQ8XTrQ4



http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8693073/P8693073.html

ห่าม

ที่มา บางกอกทูเดย์

ห่าม...ใช้กับผลไม้แปลว่า จวนสุกห่าม...ใช้กับคนแปลว่า มีนิสัยมุทะลุ ห้าวหาญบ้าบิ่น...และ ผิดปรกติวิสัยคำว่า...ห่ามเอามาใช้ได้ดีกับกระทรวงการต่างประเทศในยุคของ...เด็กมัธยมจากรุงเทพคริสเตียนที่ชื่อ กษิตภิรมย์...เป็นรัฐมนตรีว่าการยิ่งเมื่อสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับเอกสาร...ลับด่วนมากลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 แต่ไม่ถึง 30 วัน...เอกสารนั้นก็กลับมาปรากฏอยู่ในมือของพรรคฝ่ายค้าน...นั่นก็แ็สดงว่า...คำว่า...ลับมากนั้นปราศจากความศักดิ์สิทธิ์และคำว่าด่วนมากก็คือการรั่วไหลที่รวดเร็วเข้าไปดูในเนื้อหา ยิ่งห่ามกันเข้าไปใหญ่...เอกสารฉบับนี้...โกหกอย่างซึ่งๆ หน้ากับนายกรัฐมนตรีของเขาในสาระสำคัญ

และสวนทางกับคำพูดของสมเด็จฯฮุน เซน...ที่ว่า...เป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล...เพราะสมเด็จฯ ฮุน เซน...กล่าวต่อโลกว่า...กรณีพิพาทของไทย กัมพูชาคราวนี้เป็นเรื่องระหว่างเขากับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กษิต ภิรมย์ประโยคที่ว่า... “บริหารจัดการเวลาให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลไทยที่สุด โดยการเร่งพิจารณาคดีต่างๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังค้างอยู่”นั่นอาจจะแปลได้ว่า...อำนาจบริหารได้เข้าไปก้าวก่ายต่ออำนาจตุลาการหรือไม่...ในกระบวนการ

พิจารณาคดี...ซี่งในความเป็นปรกติวิสัยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทักษิณหรือประชาชนคนใดจะต้องได้รับโดยเท่าเทียมกันสาหัสที่สุดก็คือการ...คุกคามรัฐบาลกัมพูชา...ด้วยประโยคที่ว่า.. “จุดประสงค์ของไทยคือ การปรับความสัมพันธ์สู่ปรกติไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในกัมพูชา”จะไม่มีประเทศเอกราชประเทศใด...จะไม่รู้สึกถึงการข่มขู่เช่นนี้...เพราะอาจจะแปลได้ว่า...หากความสัมพันธ์ยังไม่เป็นปรกติจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใน

กัมพูชาเอกสารฉบับนี้กำหนดเงื่อนไขสงครามไว้เสร็จสรรพว่า...“หาก พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาร่วมกันกระทำการใดๆ จนเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้างเป็นการละเมิดบูรณภาพของดินแดน คุกคามอำนาจอธิปไตยและสถาบันสำคัญของไทย ซึ่งรวมถึงการดำเนินกิจกรรมเสมือนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในกัมพูชา อันเป็นการแทรกแซงกิจกรรมภายในและบ่อนทำลายประเทศไทยอย่างชัดเจน ก็จำเป็นที่รัฐบาลไทยต้อง

พิจารณาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและยกเลิกการติดต่อทุกด้าน รวมถึงใช้มาตรการทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตย”เอกสารฉบับนี้...หากนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย...นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ...เห็นดีเห็นงามและอนุมัติให้ดำเนินการตามข้อ 4 ก็คือ...สั่งให้ทุกหน่วยราชการดำเนินการภายใต้การปรึกษาหารือกับกระทรวงการต่างประเทศสงครามไทย-กัมพูชา คงหลีกเลี่ยงไม่ได้...และจะกลายเป็นสงคราม...ไทยกับอินโดจีนในที่สุด 

2009-12-23 Youtube & Mediafire เสื้อแดงบุกกกต และ ก.ทรัพย์ฯ

ที่มา thaifreenews

โดย Tuxedo

2009 12 23 CH3ส ๒๕๘ล้านเข้าปชป เสื้อแดงบุกกกตเผาโรงศพ,เฉลิมลั่นเป็นไงเป็นกัน



2009 12 23 NBT ๒๕๘ล้านเข้าปชป พทจี้กกตใช้กม พิฯณา,เสื้อแดงบุกกกตเผาโลง,เฉลิมลั่นไม่ยอม




Youtube ให้คลิกที่ชื่อไฟล์ , Download เก็บไว้ที่คอมพ์ คลิก Mediafire

2009-12-23 CH3ส ๒๕๘ล้านเข้าปชป เสื้อแดงบุกกกตเผาโลง,เฉลิมลั่นเป็นไงเป็นกัน 6.63นาที

2009-12-23 NBT ๒๕๘ล้านเข้าปชป พทจี้กกตใช้กฎหมายพิฯณา,เสื้อแดงบุกกกตเผาโลง,เฉลิมลั่นไม่ยอม 1.42 นาที

รวม ๒คลิปครับ >> Mediafire 78.15Mb

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

2009-12-23 PCH เขายายเที่ยง เสื้อแดงบุกก.ทรัพฯจี้สุวิทย์เอาผิดพล.อ.สุรยุทธ,ไปกองปราบแจ้งจับ 5.21 นาที

Mediafire 50.49 Mb

การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นการกระทำเพื่อคนๆ เดียวเท่านั้น แล้วเหลืองล๊ะ?

ที่มา thaifreenews

โดย...ลูกชาวนาไทย

ก็มีการกล่าวหากันโดยตลอดจากฝ่ายอำมาตย์ว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นการกระทำเพื่อคนๆ เดียว เป็นการกระทำเพื่อนายใหญ่

หากเราคิดตาม “ตรรกะ” นี้อย่างเคร่งครัดโดยไม่โต้แย้งให้เสียเวลา เพราะคนเสื้อแดงที่เป็นรากหญ้าส่วนใหญ่ก็เคลื่อนไหวเพราะรักทักษิณ ตามที่เขาว่จริงๆ จะเรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อคนๆ เดียวก็ได้

แต่ฝ่ายเสื้อเหลืองละ เคลื่อนไหวเพื่ออุดมการณ์ล้วนๆ อย่างบริสุทธ์หรือเคลื่อนไหวเพื่อตัวบุคคลเช่นกัน ผมคิดว่าประเด็นนี้หาก เอาคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมาตัดสินเช่น “คนป่าในแอฟริกาหรือ คุณนิเชา ซึ่งเป็น bushman ในทะเลทรายฮาราคีรีมาตัดสิน

เขาจะตัดสินได้อย่างยุติธรรมในทันทีว่า พวกเสื้อเหลืองและพวกอำมาตย์ “เคลื่อนไหวเพื่อตัวบุคคล” ยิ่งกว่าคนเสื้อแดงมาก เป็นลัทธิบูชาตัวบุคคลแบบสุดกู่ด้วยซ้ำไป และอยู่ภายใต้ข้อสมมุติฐานว่า “มนุษย์ไม่เท่าเทียมกันด้วย”
เสื้อแดงเคลื่อนไหวเพี่อทักษิณ เป็นความเลว

เสื้อเหลืองและอำมาตย์เคลื่อนไหวเพื่อ .. เป็นความดี เป็นคุณธรรมที่น่านับถือ

นี่มันเป็น “คุณธรรม หรืออวิชชากันแน่”

ผมว่าหากเป็น “ชาวพุทธ” ที่ถ่องแท้ ก็จะสามารถตัดสินได้ด้วยใจของต้วเอง ยกเว้นว่าจะ “โดนสะกดจิตมานาน” อย่างน่าสงสารจนไม่อาจเป็น “ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้”

หลอกตนเองยิ่งกว่าเสื้อแดงอีก

ข้อเสนอสมานฉันท์จากพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรและ นปช. ไม่ใช่เรื่อง “ส่วนตัว” โดยแท้

ที่มา thaifreenews

ข้อเสนอสมานฉันท์จากพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรและ นปช. ไม่ใช่เรื่อง ส่วนตัว โดยแท้

รองศาสตราจารย์ ดร. วรพล พรหมิกบุตร

(นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี)

คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ ๓ ของเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ตัวแทนและที่ปรึกษาทางกฎหมายของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร (ดร. นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พรรคพลังประชาชน พ.ศ. ๒๕๕๑) ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับข้อเสนอวิธียุติความขัดแย้งทางการเมืองของไทยตามความเห็นของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าสามารถทำได้โดยการเจรจาประนีประนอมให้มีผลทางปฏิบัติ ๓ เรื่อง คือ (๑) ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ และนำรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมาบังคับใช้ (๒) ยุบสภา และ (๓) จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ; ในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวแทน นปช. (คุณ จตุพร พรหมพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย) แถลงต่อสื่อมวลชนถึงแนวทางการสมานฉันท์ทางการเมืองคล้ายคลึงกันข้างต้น โดยกล่าวย้ำว่าควรจะต้องมีการทำสัตยาบันจากทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันว่าจะเคารพผลการเลือกตั้งทั่วไปภายหลังการนำรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมาใช้ และภายหลังการยุบสภาข้างต้น

หลังจากสื่อมวลชนไทยเผยแพร่ข้อเสนอแนวทางการเจรจาสมานฉันท์ข้างต้น แกนนำบริหารรัฐบาลผสมพรรคประชาธิปัตย์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง) รวมทั้งคณะทำงานใกล้ชิด เช่น นายเทพไท เสนพงศ์ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนแสดงการคัดค้าน[1] ตอบโต้ และกระแนะกระแหนข้อเสนอจากพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เช่น นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่าแปลกใจที่พ.ต.ท. ทักษิณ เคยนั่งหัวโต๊ะที่ประชุมพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ขณะที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่บัดนี้เสนอให้นำรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมาใช้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นการคัดค้านและการแถลงตอบโต้ข้อเสนอแนวทางสมานฉันท์จาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ยังคงพยายามตอกย้ำให้สื่อมวลชนไทยนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนไทยอย่างต่อเนื่องเสมอมา ได้แก่ ข้อกล่าวหาว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมมวลชนของ นปช. ตลอดเวลาที่ผ่านมา) เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของ คน ๆ เดียว คือ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (การตอกย้ำครั้งล่าสุดในกรณีนี้ ได้แก่ คำให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่อ้างว่าพ.ต.ท. ทักษิณ ต้องการสถานะเดิมคืนมา ต้องการเงินที่ถูกยึดไปคืนมา และไม่ต้องการรับโทษจำคุก ซึ่งเป็นความต้องการอยู่เหนือกฎหมาย)

สาธารณชนไทยจำนวนหนึ่งที่เคย เชื่อ หรือคล้อยตาม หรือแม้แต่เพียงแค่ระแวงสงสัยว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมมวลชนของ นปช. ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นการกระทำ เพื่อพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หรือเป็นการกระทำ เพื่อคน ๆ เดียว (ตามที่มีการตอกย้ำ กระทบกระเทียบเปรียบเปรย และวิพากษ์วิจารณ์จากแกนนำพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายกลุ่มอำนาจรวมทั้งสื่อมวลชนพวกพ้อง) สามารถตรวจสอบความจริงความเท็จเรื่องนี้ได้อีกครั้งโดยพิจารณาที่ สาระเนื้อหา ของข้อเสนอสมานฉันท์จากพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (และพวกพ้อง) กล่าวคือ (๑) นำรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มาใช้แทนรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ (๒) ยุบสภา (๓) จัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐

ไม่มีสาระเนื้อหาข้อใดในข้อเสนอสมานฉันท์ ๓ ประการข้างต้นเลยที่เป็นข้อเสนอให้กระทำการเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ; ในทางตรงข้าม, ข้อเสนอทั้ง ๓ ข้อ ล้วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้เสียของสาธารณชนไทยโดยส่วนรวมทั้งสิ้น เช่น การใช้รัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งย่อมมีผลบังคับครอบคลุมคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ผูกพันกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องเฉพาะรายของ คน ๆ เดียว ตามที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามคัดค้านการนำรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมาใช้ ด้วยการให้สัมภาษณ์ตอกย้ำว่าการใช้รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ เป็นเพียงเพื่อประโยชน์ของ พ.ต.ท. ทักษิณคนเดียว ; การยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ก็เป็นการดำเนินการทางการเมืองสาธารณะ กล่าวคือ เป็นการดำเนินกิจกรรมสาธารณะ (public affairs) ที่เกี่ยวข้องไม่เฉพาะกับประโยชน์ได้เสียของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ได้เสียของประชาชนส่วนรวมทั้งประเทศ

วันนี้ หากคนไทยรายใดยัง เชื่อ หรือแม้แต่ยังคลางแคลงใจว่าข้อเสนอสมานฉันท์จาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และ นปช. ๓ ประการข้างต้น เป็น ข้อเสนอการเจรจาเพื่อประโยชน์ของ คน ๆ เดียว ตามที่พรรคประชาธิปัตย์และสื่อมวลชนพวกพ้องพยายามประโคมในหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และเว็ปไซต์ต่าง ๆ ในเครือข่าย , คนไทยคนนั้นอย่างน้อยควรจะต้องตรวจสอบตนเองด้วยว่าได้ ทำหน้าที่ ตามความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อประโยชน์ของคนไทยโดยส่วนรวม เพียงพอ แล้วหรือยังในฐานะที่เกิดมาเป็นคนไทยในแผ่นดินนี้คนหนึ่ง

*****************************




[1] บทความวิเคราะห์สาเหตุและแรงจูงใจที่พรรคประชาธิปัตย์และ ผู้บัญชาการพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงต่อต้านการสมานฉันท์ทางการเมืองตามแนวทางดังกล่าว อยู่ระหว่างการร่างและเขียนสรุปเพื่อเผยแพร่ในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป

คนทำสารคดีว่าคนเสื้อแดงเป็นคอมมิวนิสต์นั้นโกหกทั้งตัวเองและคนที่สั่งทำ

ที่มา thaifreenews

บทความโดย...Bugbunny


ถ้า เคยอ่านปรัชญามาร์กซิสต์แบบผู้ศึกษาหาความรู้กันจริง ๆ แล้วจะพบว่า มันก็คือแนวความคิดทางการเมืองซึ่งมองการเปลี่ยนแปลงขัดแย้งสังคมในประวัติ ศาสตร์โลกด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เริ่มจากการเป็นสังคมบุพกาล มาสู่สังคมทาส แล้วเปลี่ยนไปเป็นสังคมศักดินา จนกลายเป็นสังคมทุนนิยม ผู้วางหลักการมาร์กซิสต์เองมองว่าคนในสังคมนั้นย่อมขัดแย้งกันเป็นเรื่อง ปกติ จากช่วงของความเป็นทุนนิยมในตอนที่เขาตั้งทฤษฎี ก็จะกลายเป็นสังคมนิยมที่คนส่วนใหญ่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพวกตนเอง มากขึ้น และจากสังคมนิยมก็เปลี่ยนเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ สังคมในอุดมคติที่ทุกคนเท่าเทียมกันทั้งทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคม แต่ยังไม่เคยปรากฏว่ามีสังคมคอมมิวนิสต์ในโลกเลย มันยังเป็นเพียงสังคมในฝันที่แม้แต่ผู้ประกาศตนว่าเป็นคอมมิวนิสต์เองก็ยอม รับ แต่คนไทยกลับถูกปั่นหัวให้เกลียดคนที่ไม่เห็นด้วยกับผุ้นำประเทศว่าเป็น คอมมิวนิสต์ ถือเป็นคนบาปคนเลวไปหมด ทั้งที่คนเหล่านั้นก็เพียงแค่อยากเห็นสังคมที่คนส่วนใหญ่มีความสุขเท่าเทียม กันเพิ่มขึ้นบ้างเท่านั้น


ตอนเกิด 6 ตุลา 2519 นั้น รัฐบาลไทยยังทำสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชนในเมืองจึงง่ายต่อการสร้างกระแสโจมตีว่า เป็นคอมมิวนิสต์ เพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยกับชนชั้นนำในสังคมไทยที่เอาเปรียบประชาชนส่วนใหญ่ ชาวคอมมิวนิสต์ไทยที่เข้ามาเคลื่อนไหวในเมืองก็ยังเน้นแนวทางที่ว่า ชัยชนะที่แท้จริงในสงครามปฏิวััตินั้นต้องมาจากแนวทางสงครามชนบทล้อมเมือง เท่านั้น แนวทางอื่นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งหลายประเทศในขณะนั้น การปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธของขบวนการภาคประชาชนก็ได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง เห็นชัดทั้งในคิวบา เวียดนาม ลาว กัมพูชา ฯลฯ

แต่ในความรู้ของคนไทย ทั่วไปผู้ตกอยู่ภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อต่อเนื่องกัน มานานหลายสิบปีช่วงนั้นคือ คอมมิวนิสต์เป็นพวกเอาประชาชนไปไถนาแทนควาย เอาผู้หญิงเป็นของกลาง เอาคนชราแก่เฒ่าไม่มีประโยชน์แล้วไปทำปุ๋ย ฯลฯ ในหนังไทยส่วนใหญ่จะเน้นว่าพระเอกเป็นคนรักชาติสู้กับโจรคอมมิวนิสต์ ที่มักถูกทำให้เห็นเป็นวายร้ายจอมโหดท่าทางเหมือนหลุดมาจากนรก ฯลฯ ภาพเหล่านี้ค้างคาอยู่ในจิตสำนึกของคนไทยจำนวนมากที่ถูกปิดบังไม่ให้เรียน รู้เรื่องปรัชญาการเมือง การต่อต้านคอมมิวนิสต์จึงเป็นเรื่องของฝ่ายธรรมะ ยุคนั้นโยนทุกบาปให้คอมมิวนิสต์ ทำให้นักศึกษาประชาชนจำนวนมากที่แท้จริงแล้วเป็นนักเพียงเสรีนิยม ต้องการให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีกว่าจำเป็นต้องไปเข้าร่วมกับ คอมมิวนิสต์ รบราฆ่าฟันกันต่อมาหลายปี ก่อนที่จะตาสว่างกันว่า ถ้ายอมรับว่าไม่ใช่คนไทยทุกคนจะต้องเห็นด้วยกับรัฐบาลแล้ว ควรพูดจากันดีกว่า แต่กระนั้นคนไทยก็บาดเจ็บล้มตายกันไปหลายหมื่นคน

พอ มาถึงวันนี้ก็ยังมีคนพยายามเอาเรื่องคอมมิวนิสต์มาเล่นงานคนเสื้อแดง อีก จากการที่ เตี้ย หนองใน บัญชาให้ทำสารคดีกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเป็นคอมมิวนิสต์ ออกอากาศทางโทรทัศน์ช่องหอยม่วง มันพิสูจน์ว่าพวกอำมาตย์ไทยนั้นหมดมุข สิ้นหนทาง ไม่เคยเปิดหูเปิดตาดูเลยว่าสังคมไทยนั้นเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนแล้ว คำถามง่าย ๆ ที่อยากถามก็คือ เมื่อผู้นำคนหนึ่งของคนเสื้อแดงเ็ป็นมหาเศรษฐีมีเงินหลายหมื่นหลายแสนล้าน เมื่อนายทหารใหญ่หลายคนที่ฝึกฝนมาเพื่อรับใช้ราชบัลลังก์ก็ยังมาร่วมงานกับ พรรคเพื่อไทยที่ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าคนเสื้อแดงสนับสนุน เมื่อนายทุนจำนวนมากที่มีธุรกิจใหญ่โต หรือแม้ราชนิกูลนามสกุล ณ โน่น ณ นี่ หลายคนที่เห็นก็ยังสวมเสื้อแดงไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเป็นประจำทุกนัด แล้วคนเสื้อแดงมันจะเป็นขบวนการคอมมิวนิสต์ไปได้อย่างไร? นี่มันไม่ใช่ขั้นตอนของการเปลี่ยนสังคมนี้ไปเป็นสังคมคอมมิวนิสต์เลย เพราะคนที่มาร่วมกับขบวนการเสื้อแดงวันนี้หลายคนมีเงินมากกว่า NGO ที่เป็นสมองให้อำมาตย์วันนี้ทั้งหลายเสียอีก คนที่วางแผนการโจมตีคนเสื้อแดงด้วยยุทธวิธีนี้ จึงเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องเอาเลยจริง ๆ


เป้าหมายการต่อสู้ของคนเสื้อแดงในวันนี้ชัดเจนว่า ต้องการล้มระบอบอมาตยาธิปไตยที่กดขี่ครอบงำเมืองไทยมานานโดยพวกอำมาตย์ไม่ กี่คนเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสังคมคอมมิวนิสต์เลย และถ้าเอามาร์กซิสต์มาจับ มันก็ยังไปไม่ถึงขั้นตอนนั้นได้แม้แต่น้อย เมืองไทยนี่แค่ขั้นตอนทุนนิยมแบบไม่มีทุนสามานย์ใหญ่ผูกขาดครอบประเทศอยู่คนเดียวก็ยังไปไม่ถึง แล้วจะไปเป็นคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร คนทำสารคดีชุดนี้แว่ว ๆ ว่าเคยเข้าป่า รู้จักมาร์กซิสต์ดี แต่กลับมาเล่นเขาโง่ ๆ แบบนี้ มีแต่ถูกหัวเราะเยาะใส่เท่านั้น ไม่รู้จักมองภววิสัยกันบ้างเลยหรือ บ้าชัด ๆ


รูป สหายคำตัน (พ.ท.โพยม จุลลานนท์) ผู้พ่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ ผู้ลูก

อดีต ผบ.กองทัพ พคท. องคมนตร อดีต ผบ.ทบ

อีก 20 ปีข้างหน้าเราจะขจัดอิทธิพลทักษิณ และรักษาอุดมการณ์ซาบซึ้ง ได้อย่างไร

ที่มา thaifreenews

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

หากผมเป็นนักคิด นักยุทธศาสตร์หรือนักวิชาการฝ่ายศักดินาอำมาตยาธิปไตย ผมต้องคิดถึงคำถามระยะยาวนี้ คำถามถึงอนาคตว่า

พวกเราจะอยู่รอดได้อย่างไร จากอิทธิพลของทักษิณ ชินวัตร

พวกเราจะรักษาอุดมการณ์ซาบซึ้ง ให้คงอยู่ต่อไปได้อย่าง ภายใต้บรรายากาศตาสว่างที่ระบาดไปทั่วเช่นนี้

การต่อสู้ทางการเมืองในระยะสั้นต้นปีหน้านี้ แม้ว่าจะโหมโรง ปูพรมฟื้นคืนอุดมการณ์ซาบซึ้งกันอย่างเต็มที่ จริง ๆ แล้วมันจะได้ผลหรือไม่

จะคงสภาพเดิมหรือ Status Quo ไปได้นานสักแค่ไหน

คนที่ไม่หลอกตัวเอง ก็ตอบได้ว่า คงไม่เกินชั่วชีวิตของคนๆ หนึ่ง (เหลืออีกไม่นานนัก แทบจะหาความมั่นใจไมได้)

อิทธิพลของทักษิณ ชินวัตร หากมองกันแบบวิชาการแล้ว มันไม่ใช่ "ตัวทักษิณ ชินวัตร" แต่มันคือ สิ่งรวมๆ ที่เรียกว่า "ทักษิโณมิกส์" หรือ ประชานิยม หรืออะไรก็แล้วแต่ หากพูดแบบนักเศรษฐศาสตร์ก็คือ มันคือแนวคิด"ทุนนิยมเสรี" หรือทุนนิยมโลกาภิวัตร" ที่เน้นการค้าเสรี การลงทุนเสรี เน้นการเพิ่มรายได้ประชาชาติ หรือปรับปรุงความเป็นอยู่ประชาชน มุ่งขยายรายได้ในภาคชนบท ส่งเสริมความเข็มแข็งของคนรากหญ้าผ่านระบบ micro-credit เป็นต้น และที่เพิ่มเติมเข้ามาในการปฎิบัติของทักษิณก็คือ การนำระบบสวัสดิการสังคมบางส่วนเข้ามาใช้ เช่น โครงการสามสิบบาท เป็นต้น แม้ในแง่ของรัฐสวัสดิการหรือแนวคิดแบบ Welfare State จะยังไมเต็มที่ก็ตาม แต่มันคือ "การก้าวก้าวแรก" เนื่องจากรายได้ของประเทศยังไม่เพียงพอที่จะมีสวัสดิการเพิ่มเติมอื่นๆ ได้ เช่น การประกันการว่างงานเป็นต้น แต่เมื่อมีการเดินก้าวแรกไปแล้ว ก้าวอื่นๆ คงตามมาในระยะต่อไป

สำหรับอุดมการณ์ซาบซึ้ง หรือ แนวคิดอนุรักษ์นิยม มุ่งรักษาสถานะภาพเดิมของสังคมไว้ รักษาอำนาจและอิทธิพลของคนชั้นสูง สร้างอิทธิพลของคนชั้นสูงโดยเน้นเครือข่ายคนชั้นนำที่เชื่อมโยงกัน โดยมีต้นเครือข่ายอยู่ที่กลุ่ม inner ring หรือกลุ่มองคมนตรี ที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เป็นลำดับต้นๆ

โลกในอีก 20 ปี ข้างหน้า เป็นโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากยุคสงครามเย็นที่แบ่งออกเป็นสองค่ายคือ ค่ายสหรัฐอเมริกา กับค่ายของโซเวียต หากอยู่ค่ายใดค่ายหนึ่งแล้ว ก็จะได้รับความคุ้มครองจากพี่เบิ้ม อำมาตยาธิปไตยไทย แนบแน่นกับสหรัฐอเมริกามานาน แต่โลกในอีก 20 ปีข้างหน้าเป็นโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ เช่น กลุ่มอเมริกาเหนือ กลุ่มโลกมุสลิม กลุ่มสหภาพยุโรป+ยุโรปตะวันออกและรัสเซีย กลุ่มเศรษฐกิจจีนญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศอื่นๆ เช่นอินเดีย อาเซียนเป็นต้น สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจจะสำคัญกว่าผลประโยชน์ทางด้านอุดมการณ์แบบยุคสงครามเย็น และอิทธิพลของอเมริกาจะลดลง

สภาพแวดล้อมทางด้านเทคโนโลยี ระบบอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายแบบอินเตอร์เน็ตจะครอบคลุมทุกอนูของชีวิต อิทธิพลของสื่อ กระแสหลักแบบ Mass Media จะลดลง สื่อกระแสรองเช่น เว็บไซต์ โทรทัศน์ออนไลน์ วิทยุออนไลน์จะเข้ามาแทนที่

ที่สำคัญ พรมแดนประเทศจะมีบทบาทน้อยลง ข้อมูลข่าวสารจะไหลข้ามพรมแดนอย่างเสรี และอยู่พ้นขอบข่ายอำนาจกฎหมายของรัฐ พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ จะไม่อาจบังคับใช้กับเว็บต่าง ๆ ที่อยู่นอกพรมแดนได้ การปิดกั้นข่าวสารจากนอกพรมแดนของรัฐ ไม่อาจทำได้

สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ลัทธิอำมาตยาธิปไตย แนวคิดเศรษฐกิจแบบ Self-sufficient จะอยู่รอดได้อย่างไร อุดดมการณ์ซาบซึ้ง จะอยู่รอดได้อย่างไร จะเอาชนะแนวคิด เรื่อง ประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม ความเสมอภาคกันทางกฎหมายไม่มีสองมาตรฐานได้อย่างไร

และที่สำคัญที่สุด จะหา "ศูนย์กลางแห่งความซาบซึ้งอันใหม่" มาแทนอันเก่าที่อย่างไรก็ต้องหมดไปได้อย่าไร

ผมมองแล้ว พวกเขาไม่มีอนาคตเอาเสียเลย ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่" เข็มแข็งพอ" ที่จะรักษาสถานภาพเดิมเอาไว้ได้ ไม่มีชุดคำอธิบายที่ทรงพลังเพื่อทดแทน "ชุดอธิบายเรื่องความซาบซึ้ง" ที่ใช้งานหนักจนเสื่อมพลังในการอรรถาธิบาย หรือเสื่อมอิทธิพลลงไปแล้ว

ชัยชนะของทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่เป็นตัวแทนแนวคิด "ทุนนิยมโลกาภิวัฒน์" ที่ชาวบ้านรากหญ้าเข้าใจมากกว่าจะอธิบายด้วยภาษาวิชาการนั้น ชัยชนะจึงเป็นเรื่องที่มองออกได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก

ยิ่ง "เอเย่นต์" แห่งอำนาจเดิม เช่น พล.อ.เปรม หรือ อื่นๆ หมดอายุขัยไป (ไม่นานอีกเหมือนกัน" ตัวแทนใหม่ ๆ ที่มีพลังดึงดูดทัดเทียมทักษิณ นั้นไม่มี อย่าพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ คนๆ นี้ไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง นอกจากใช้ "อำนาจแอบแฝงเท่านั้น แต่บารมีไม่มี

แค่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเมื่อเดือนก่อนๆ ยังทำให้มีทหารแปรพักตร์มากมายไหลไปอยู่กับ “พวกทักษิณ” แม้จะเป็นทหารเกษียณก็ตาม แต่ใครจะรับประกันได้ว่า ทหารที่ยังไม่เกษียณก็มีแนวคิดเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ถึงเวลาแสดงออกเท่านั้น

การที่จะรักษาอาณาจักรไว้ได้นั้น อาณาจักรหรือจักรวรรดิ์โบราณต่างๆ ก็ได้พิสูจน์ชัดแล้วว่า อำนาจอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะรักษาอาณาจักรไว้ได้ จะต้องมี” อุดมการณ์ที่หล่อหลอม” ให้คนในอาณาจักรนั้นๆ ผูกพันยึดเหนี่ยวเข้าด้วยกัน ความมั่นคงของอาณาจักรและอำนาจการปกครองจึงจะรักษาเอาไว้ได้

อุดมการซาบซึ้งนิยม นั้น ในเวลานี้ขาดพลังในการยึดเหนี่ยวแล้ว “โรคตาสว่าง” เป็นตัวการทำลายอุดมการณ์ซาบซึ้งนิยม อย่างรวดเร็ว เหมือนโรคระบาดของไข้หวัด 2009

พลังของอินเตอร์เน็ตทำให้โรคตาสว่างระบาดได้เร็วยิ่งขึ้น

การเอา ที่ปรึกษาแก่ๆ พร้อมกับคำพูดซ้ำซาก มาดึงกระแสกลับนั้นมันทำไม่ได้อีกต่อไป การพูดปฎิเสธว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤติ มีแต่จะสร้างความโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น เพราะการกระทำมันอธิบายได้ดีกว่าการปฎิเสธแบบหน้าตาย และเท่ากับเป็นการดูถูกสติปัญญาของประชาชนที่รับฟังมาก ว่าเขาเป็นหัวหลักหัวตอ จะหลอกอย่างไรก็ได้ ผลในทางจิตวิทยามันจึงสะท้อนกลับให้ผลตรงกันข้ามที่เร็วกว่าเดิม ตาสว่างบวกกับความคับข้องใจขยายเร็วกว่าเดิม

แล้วเราจะรักษาอาณาจักรแห่งความซาบซึ้งในดนตรีการแบบเก่าๆ เอาไว้ได้อย่างไร