WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, November 15, 2008

ในหลวง-ราชินีพระราชทานเพลิงพระศพ"พระพี่นาง"


ในหลวง-พระราชินี เสด็จขึ้นพระเมรุ ฯ ทรงวางดอกไม้จันทน์ ทรงจุด พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

เมื่อเวลาประมาณ 16.50 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ถึงยังพระเมรุท้องสนามหลวง เพื่อทรงพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์


พระบาทสมเด็จพระพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนารถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง การนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงจุดเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระศพทรงธรรมที่พระเมรุ สมเด็จพระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนาจบพระราชาคณะ 50 รูป สวดศราทธพรต ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์และทรงทอดผ้าไตรถวายพระสงฆ์ที่สวดศราทธพรต

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ขึ้นพระเมรุ พระราชทานเพลิงพระศพ ชาวพนักงานประโคม สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ และปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ ถวายความเคารพเป่าแตรนอน และยิงปืนเล็กยาวเฉลิมพระเกียรติ 21 นัด


ประชาชนชาวไทยและต่างประเทศได้พร้อมใจกันแต่งกายชุดดำ เพื่อถวายความอาลัยและเฝ้าฯรับเสด็จฯตามเส้นทางเสด็จฯอย่างเนืองแน่น และได้เข้าแถวถวายดอกไม้จันทน์ตามจุดต่างๆที่ทางกทม.จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ พระเมรุ ท้องสนามหลวง ขณะที่ตามต่างจังหวัดจัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน


เวลา22.00 น. เสด็จฯ มายังพระที่นั่งทรงธรรมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทอดผ้าไตรถวายพระสงฆ์ 30 รูป สดับปกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จฯขึ้นพระเมรุ พระราชทานเพลิงพระศพ เสด็จฯ ประทับมุขหน้าพระที่นั่งทรงธรรมพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทชั้นผู้ใหญ่ขึ้นถวายพระเพลิงพระศพ เจ้าพนักงานปฏิบัติการถวายเพลิงพระศพสิ้นแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯ ขึ้นพระเมรุ ทรงทอดผ้าไตรที่พระจิตกาธาน พระสงฆ์ 10 รูปสดับปกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ กลับ


วธ.ให้ปชช.ดาวน์โหลดเพลง“รำลึกราชกัลยาณี”

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นำบทเพลงถวายอาลัย "พระพี่นาง" ให้ประชาชนดาวน์โหลดเก็บความทรงจำหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ที่ www.m-culture.go.th

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่วธ.ได้จัดทำซีดีและดีวีดีเพลงมหกรรมคอนเสิร์ต “รำลึกราชกัลยาณี”ขึ้นนั้น ขณะนี้วธ.ได้นำบทเพลงถวายอาลัยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่บันทึกในซีดีดังกล่าว มาลงไว้ในเว็บไซต์ของวธ.ที่ www.m-culture.go.th เพื่อให้ประชาชนได้ดาวน์โหลดเพลงเหล่านี้เก็บไว้ในความทรงจำหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯแล้ว จำนวน 22 เพลง ได้แก่ เพลง Deep Impression, เพลงสถิต ณ ดวงใจ,เพลงนับจากนี้,เพลงเจ้าหญิงของเรา,เพลงอาลัยสมเด็จพระพี่นาง,เพลงแสงหนึ่ง คือ รุ้งงาม,บทกวีกราบพระพี่นาง,เพลงน้ำใจไม่มีกาลเวลา,เพลงพระพี่นางในดวงใจ,เพลงแสงจากสวรรค์,เพลงสู่สวรรค์นิรันดร,เพลงพี่สาวพระเจ้าแผ่นดิน,เพลงส่งเสด็จ,เพลงแสนอาลัย,เพลงดุริยกวี,เพลงสุดสายปลายรุ้ง,เพลงพระมิ่งขวัญแก้ว,เพลงพระมหากรุณาธิคุณ,เพลงแด่...เธอ...,เพลงแทบทิพย์เทวี,เพลงแสงงามนิรันดร์ และเพลงแก้วกัลยา

ประชาชนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดเพลงเหล่านี้ได้ในเว็บไซต์วธ.ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-2422-8871-5


พระจันทร์ทรงกลดเหนือยอดสัปตปฏตเศวตฉัตรพระเมรุ

รองอธิบดีกรมศิลปากร เผย หลังเสร็จพระราชพิธีริ้วขบวนพระอิสริยยศ ว่า ในคืนวันที่ 14 พ.ยเกิดปรากฎการณ์พระจันทร์ทรงกลดบนท้องฟ้าเหนือยอดสัปตปฏลเศวตฉัตรพระเมรุนานถึง 15 นาที

นายไพบูลย์ ผลมาก รองอธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยภายหลังเสร็จพระราชพิธีริ้วขบวนพระอิสริยยศ ว่า ในคืนวันที่ 14 พ.ย. ซึ่งเป็นวันแรกของการบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากจะมีประชาชนมาเฝ้ารอรับเสด็จฯ กันอย่างเนืองแน่นแล้ว ภายหลังเสร็จพิธีฯ ในช่วงเวลาประมาณ 22.40 น. ได้มีเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง เกิดปรากฎการณ์พระจันทร์ทรงกลดบนท้องฟ้าขึ้น ได้สร้างความฮือฮาให้กับประชาชนที่เข้าร่วมพระราชพิธีฯ โดยเฉพาะที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง พระจันทร์ทรงกลดเกิดขึ้น ณ ตำแหน่งเหนือยอดสัปตปฏลเศวตฉัตรพระเมรุนานถึง 15 นาที ประชาชนต่างพากันบันทึกภาพความอัศจรรย์เก็บไว้ และต่างกล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ นานา เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ซึ่งตนได้ใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกไว้เช่นกัน เพราะส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องมงคลที่ดี ที่เหล่าปวงชนชาวไทยต่างมาร่วมบำเพ็ญพระกุศลถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กันอย่างพร้อมเพรียง และด้วยพระบารมีของพระองค์จึงเกิดสิ่งมหัศจรรย์นี้ขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งการบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุมาศสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมาแล้ว



‘หมอเหวง’ซัดส.ว.ลากตั้งรุ่น2จิตใฝ่ทรราชย์

แกนนำคปพร.ทวงสัญญา ส.ส. เร่งแก้รธน.อำมาตยาธิปไตย สกัดวงจรอุบาทว์ ส.ว.ลากตั้ง จี้ส.ส.ต้องกล้าหาญตามแนวทางประชาธิปไตย ย้ำรธน.ฉบับคปพร.คือทางออกมีจุดอ่อนที่น้อยที่สุด

กรณีความคืบหน้าของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดเผยรายชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเพื่อเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)สรรหาในส่วนอื่นๆ จำนวน25 องค์กร 23 รายชื่อ โดยหนึ่งในนั้นมี ว่าที่ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และบุคคลอื่นที่เคยมีส่วนในการสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

วันนี้ (15 พ.ย.) นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550 (คปพร.) ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเห็นสนช.กลับเข้ามามีบทบาทในการระบอบอำตยาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 อีกครั้งในรูปแบบการเสนอชื่อเข้ามาเป็นส.ว.สรรหา โดยส.ว.สรรหามีความชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการสืบทอดระบอบอำมาตยาธิปไตยให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้นเพื่อให้กระบวนการต่างๆให้บรรลุวัตถุประสงค์

“สนช.ก็คือมาจากพวกที่นิยมชมชอบในระบอบเผด็จการรัฐประหาร จึงต้องหาวิธีทางที่จะดิ้นรนให้กลับเข้ามาสู่วงจรเดิมอีก โดยการเข้ามาเป็นส.ว.สรรหาที่มีจิตปัญญานิยมชมชอบรัฐประหาร อำมาตยิปไตย เช่นเดียวกัน เพื่อให้ส.ว.สรรหามีอำนาจดังนั้นประชาชนควรรู้เท่าทันกระบวนการทำลายล้างระบอบประชาธิปไตยเหล่านี้ว่าคงอยู่ได้เพราะรัฐธรรมนูญปี50” นพ.เหวงกล่าว

เมื่อถามว่าแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเดินทางช้าลงหรืออาจถูกสกัดเพราะส.ว.สรรหารุ่น2 แกนนคปพร.กล่าวว่า ต้นตอปัญหาอยู่ที่รัฐธรรมนูญฉบับ2550ที่ว่างกรอบแนวทางให้ระบอบประชาธิปไตยต้องมีอุปสรรค เราไม่สามารถจะดำเนินการโดยตรงกับกลุ่มส.ว.สรรหาเหล่านี้เพราะกระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามครรลองรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งถือว่าเป็นไปตามหลักกฎหมายและประชาธิปไตยแม้จะมีที่มาโดยคมช.ก็ตาม

ทั้งนี้ในเมื่อต้นต่อมีปัญหาจึงควรเร่งแก้ปัญหาโดยรัฐสภาต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญตามสัญญาที่ได้หาเสียงกับประชาชนเมื่อคราวที่มีการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.2550 จึงอยากเรียกร้องให้ส.ส.พรรคพลังประชาชนเดินหน้าแก้ไขตามหน้าที่และตามครรลองประชาธิปไตย และยังคงยืนยันว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับคปพร. ไม่ได้ทำเพื่อช่วยพรรคการเมือง หรืออดีตนายกรัฐมนตรีตามที่ถูกกล่าวหา แค่นี่คือทางออกที่ลดแรงเสียดทานความรุนแรงได้ดีที่สุดเนื่องจากนี่คือการผลักดันให้แก้ไขจากแรงสนับสนุนของประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ

“จะให้พวกอำมาตยาธิปไตยหรือพวกส.ว.สรรหาเหล่านี้หมดไปต้องแก้ที่ต้นตอคือรัฐธรรมนูญ50 เรื่องนี้ต้องอยู่ที่รัฐสภา ว่าจะมีความกล้าหาญหรือไม่ ถ้ามีผู้กล้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป อยากขอร้องส.ส.ที่ประชาชนเขาเลือกไปนั่งอยู่ในสภาให้ช่วยมีจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตย มั่นคงในการแก้ไขตามที่ได้หาเสียงไว้ นี่แค่พันธมิตรฯขู่นิดหน่อยก็ทำกลัวกัน ซึ่งมันไม่ได้ต้องเดินหน้าต่อไป เสียงก็น่าจะพออยู่แล้ว ซึ่งร่างคปพร.นั้นคือทางออกที่มีจุดโจมตีน้อยที่สุดคือเป็นการเสนอโดยความบริสุทธิ์ใจของประชาชนที่ไม่มีผลประโยชน์กับพรรคการเมือง” แกนนำคปพร.กล่าว



เกิดสงครามจรยุทธ์แน่ หากมีการทำรัฐประหาร

บทความ โดย ลูกชาวนาไทย

หากมีการทำรัฐประหารในช่วงเวลานี้ ผมคิดว่าจะเกิดสงครามจรยุทธ์ขึ้นต่อต้านทันที แล้วอำนาจรัฐไทยก็พังทลายไปสิ้น

จากการที่มีข่าวการจองกฐินกลุ่ม พธม.ที่ทำเนียบรัฐบาลประจำ ซึ่งมีทั้งการขวางระเบิด ใช้อาวุธสงคราม หรือแม้แต่การใช้ปืนยิงเข้าไปยังกลุ่มพันธมิตรที่อยู่ในทำเนียบนั้น คือหากเราพิเคราะห์ใคร่ครวญถึงการใช้อาวุธที่ถล่ม พธม. หลายครั้งที่ผ่านมา ผมเชื่่อว่าคงไม่ใช่เป็นการสร้างสถานการณ์ของฝ่าย พธม.ทั้งหมดเลยทีเดียว แต่เกิดการจองกฐินอย่างที่ เสธ.แดงว่า (แต่ไม่ใช่กลุ่ม 47 โรนิน อะไรของเสธ.แดงแน่) ผมคาดว่าอาจมาจากกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มไหนบ้าง แต่เชื่อได้ว่าเป็นกลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มพันธมิตร หรืออาจเป็นมือที่สามก็ได้



ลักษณะเช่นนี้ หากเราใคร่ครวญให้ดี ผมตีความได้ว่านี่อาจเป็นการแสดงศักยภาพในการทำสงครามจรยุทธ์ในเมือง เพื่อให้ฝ่ายทหารหรือฝ่าย “ศักดินาอำมาตยาธิปไตย” ประจักษ์ว่า หากมีการใช้กำลังทหารเข้าทำรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว จะเกิดสงครามกลางเมืองต่อต้านทันที

ศักยภาพในการต่อสู้กับสงครามกองโจรในเมือง ของกองทัพไทย นั้นมีแค่ไหน นั้นเราประเมินได้จากสถานการณ์สงครามก่อการร้านในสามจังหวัดภาคใต้ครับ พื้นที่นั้นเป็นเมืองเล็กๆ ทหารไทยทั้งกองทัพทุ่มกำลังเข้าไปเต็มที่ ระดมทรัพยากร งบประมาณสมองเข้าไปเต็มที่ ยังไม่อาจปราบปรามได้เลย หากเป็นสงครามจรยุทธ์ การก่อการร้านใน กทม. ก็อย่าหวังเลยว่ากองทัพไทยจะมีความสามารถที่จะปราบปรามได้ ยิ่งเป็นศัตรูกับประชาชน โดยทำรัฐประหารด้วยแล้ว ยากมากที่จะหาแรงสนับสนุนจากประชาชนได้

ตอนนี้ "กองทัพไทยขาดพลังทางความคิด"

กองทัพที่จะรบให้ชนะในสงครามประชาชนได้นั้น “พลังทางความคิด” ที่ใช้เป็นเข็มมุ่ง จะต้องมาก่อนศักยภาพด้านกำลังพล หรือแสนยานุภาพ เพราะหากไม่ชนะกันทางความคิดก่อน การที่จะใช้กำลังปราบปรามให้ราบคาบได้นั้นอย่าพึงหวังเลย ยิ่งกองทัพสนับสนุนลัทธิอำมาตยาธิปไตยอำนาจนิยม ด้วยแล้ว ก็อย่าคิดหวังว่าจะเอาชนะทางความคิดได้

ในสมัยที่รบกับคอมมิวนิสต์นั้น กองทัพไทยยังมีพลังทางความคิด ที่ได้เปรียบคอมมิวนิสต์มาอยู่พอสมควร เพราะโลกเสรีที่ต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์นั้น ท้ายสุด "พลังความคิดทุนนิยม+ประชาธิปไตย" มีพลังอำนาจมากกว่า แนวคิดอุดมการณ์ของสังคมนิยม+เผด็จการกรรมาชีพ (โดยพรรคคอมมิวนิสต์)

แต่สงครามครั้งนี้ กองทัพไทยและพวกศักดินา "อ่อนด้อยทางด้านพลังความคิด" อย่างชัดเจน พวกเขากล้าท้าหาญสู้กับ พลังของโลกทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ +ประชาธิปไำตยแบบเสรี ด้วยแนวคิดอุดมการณ์แบบเศรษฐกิจพอเพียง + ระบอบอำมาตยาธิปไตย

แค่การต่อสู้ทางแนวความคิดก็เห็นความพ่ายแพ้อย่างชัดเจนแล้ว

อีกอย่างหนึ่ง พลังอุดมการณ์ด้านทางจารีตดั้งเดิม ของนิยายจักร ๆ วงศ์ๆ ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิพระร่วง+ลัทธิพราหมณ์ ก็อ่อนกำลัง เสื่อมอิทธิพลจากสังคมไทยไปมากแล้ว จนแทบไม่มีมนต์ขลังต่อราษฎรยุคศตวรรษที่ 21 อีกต่อไปแล้ว

อำนาจสื่อที่พวกศักดินาอำมาตยาธิปไตย ยึุดกุมอยู่คือ หนังสือพิมพ์ + โทรทัศน์บางส่วน ก็อ่อนกำลังเสื่อมอิทธิพลลง เมื่อต้องสู้กับสื่อสมัยใหม่คืออินเตอร์เน็ต นักรบไซเบอร์ และคลิปต่างๆ

ผมว่าสงครามครั้งนี้หากยืดเยื้อ พวกศักดินาอำมาตยาธิปไตยก็จะแพ้ แม้จะเร่งเผด็จศึกโดยเร็วพวกเขาก็จะพ่ายแพ้เช่นกัน เพราะพวกเขาคือ คนในโลกเก่า ล้าหลัง ไม่อาจปรับตัวให้ทันกับกระแสโลก



พวกเขาแพ้ เพราะ The World is change ครับ โลกเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามโลก

ศตวรรษที่ 21 ยังจะให้คนเชื่อเรื่องบุญญาธิการ บารมี นิยายเทพจักร ๆ วงศ์ ๆ มากกว่า สิ่งที่สัมผัสได้เช่น ความอยู่ดีกินดี สวัสดิการสังคม การรักษาฟรีั การเข้าถึงทุน ความมั่งคั่ง

พวกเขาเป็นแค่ "อุปสรรค" ระยะสั้นของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นครับ

การถล่ม พธม. ด้วยอาวุธสงครามนั้น ผมตีัความได้ว่า เป็นการแสดงศักยภาพการตอบโต้ด้วยสงครามจรยุทธ์ เป็นการแสดงให้ทหารทีุ่กุมอำนาจในกองทัพขณะนี้ ทราบว่า ฝ่ายตรงข้ามกับพวกคุณ มีศักยภาพ ที่จะตอบโต้การใช้กำลังของพวกคุณ

เมื่อบวกกับมวลชนเสื้อแดง ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามพลังกดดันต่อระบอบประชาธิปไตยที่มาจากฝ่ายที่คุกคามระบอบประชาธิปไตยนั้น ผมคิดว่า ศักดินา+ ทหาร ก็ไร้พลังอำนาจในการเข้าจัดการทางการเมืองไปแทบหมดสิ้นทีเดียว

พวกเขาจะโปรประกันดา ให้ประชาชนไปอยู่ข้างพวกเขาได้อย่างไร

จะโดยการนำเสนอแนวคิดเรื่องระบอบ 70/30 บวกกับ เศรษฐกิจพอเพียง นะหรือ ผมว่าหากมาแบบนี้ แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้วครับ

ตอนนี้เป็นแค่ระยะเวลายืดเยื้อของสงครามเท่านั้น แต่บทสรุป เราทราบกันชัดเจนอยู่แล้วว่า เมืองไทยจะก้าวไปสู้ระบอบประชาธิปไตยที่เข็มแข็งขึ้น พลังอำนาจทางจารีต จะไม่มีวันครอบครองสังคมไทยได้แบบเดิมอีกแล้ว

เวลาของพวกเขาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว





จาก thaifreenews

อำนาจและความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย


คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ

โดย กำพล จำปาพันธ์
นิสิตปริญญาโท ประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


หลายคนคงยังจำได้ว่า ในปี พ.ศ.2544 มีคนกลุ่มหนึ่งคุยโวว่า สามารถยึดอำนาจรัฐได้โดยไม่ต้องกินเผือกกินมันอยู่ในป่าเขา ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ยินเมื่อไรเป็นต้องนึกหมั่นไส้และขบขันอยู่ในใจ แต่แล้วยังไงล่ะ ขณะที่ลุงป้าน้าอาไม่คิดว่าอำนาจรัฐมาจากปากกระบอกปืน (ได้ด้วยอีกทางหนึ่ง) ไปแล้ว วันที่ 19 กันยายน 2549 เราก็ได้เห็นฝ่ายทหารใช้ทฤษฎีนี้กันอีกครั้ง ผมถึงไม่แปลกใจที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะบอกว่าฮีโร่คนหนึ่งของตนคือ “ประธานเหมา เจ๋อตุง” ที่กล่าวนี้ก็ไม่ใช่จะมาตอกย้ำซ้ำเติมอะไรกัน เพียงแต่ประเด็นนี้สะท้อนปัญหาบางอย่างที่มีอยู่ในระบบคิดของเรา ทำให้เราพลาด และรัฐประหารก็เกิดขึ้นท่ามกลางการคิดว่ามันพ้นยุคสมัยไปแล้ว

ระยะหลังมานี้ ทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจที่แพร่หลายและเป็นที่เชื่อถือไม่น้อย ได้แก่ ทฤษฎีที่เสนอว่าอำนาจมีหลากหลายและกระจัดกระจาย อำนาจรัฐเป็นแต่เพียงอำนาจหนึ่งในจำนวนหลากหลายอำนาจนั้น ฉะนั้น การยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถยึดกุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งก็มีประโยชน์ไม่น้อยสำหรับอธิบายบางกรณี แต่ปัญหาคือ นักทฤษฎีนี้เสนอต่อไปว่าการแก้ปัญหาที่มุ่งสู่อำนาจรัฐนั้นไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง หลายกรณีไม่เพียงแต่รัฐจะไม่สามารถแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้ แต่หลายครั้งที่รัฐเข้ามาจุ้น ปัญหาก็ทับถมทวีคูณขึ้นเท่านั้น และก็แน่นอนเช่นกัน หากถามผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์ ทฤษฎีนี้จะถูกตีตกอย่างง่ายดาย เพราะมองว่ารัฐคือพื้นที่สำคัญในการต่อสู้ระหว่างชนชั้น หรือถ้าถาม สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ของผม คุณจะพบว่าในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่มีตัวอย่างมากมายที่จะทำให้ทฤษฎีนี้มีอันต้องล้มเหลวไปเช่นกัน

รัฐยังมีความสำคัญที่ต้องช่วงชิงและต่อรองไว้ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนข้างมาก เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับอำนาจเป็นประเด็นที่ต้องอธิบายใหม่ การที่อำนาจมีหลากหลายไม่ได้หมายความว่า อำนาจรัฐจะอ่อนหรือแข็งท่ามกลางความหลากหลาย (และกระจัดกระจาย) อำนาจรัฐเหมือนกับอำนาจอื่นตรงที่เป็นอำนาจที่ต้องอ้างอิงและยึดโยงกับระบบของอำนาจที่มีอยู่ในสังคม พ่อจะไม่สามารถสั่งลูกได้เลย ถ้าอำนาจพ่อไม่ได้รวมศูนย์มาจากอำนาจของสถาบันครอบครัวและระบบชายเป็นใหญ่ ครูก็ไม่สามารถดุด่าเด็กได้ถ้าอำนาจครูไม่ได้ยึดโยงกับอำนาจของสถาบันการศึกษาและระบบรัฐประชาชาติ ฯลฯ การที่

อำนาจแต่ละชนิดจะแสดงตัวมันได้นั้น ตัวมันเองต้องผนวกรวมอำนาจอื่นเข้าด้วยกัน ไม่มีอำนาจโดดๆ ที่โลดแล่นกระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง จะสามารถเป็นอำนาจอยู่ได้ดังที่เราเข้าใจกัน และอำนาจที่จะมีบทบาทต่อรองระดับรัฐและสังคมการเมืองได้นั้น คือ อำนาจที่ผ่านขั้นตอนการผนึกรวมส่วนกับอำนาจต่างๆ มาก่อนหน้านั้นแล้ว

อำนาจของนายกฯ ในสังคมการเมืองไทยที่เป็นมานั้น เป็นอำนาจแปลกประหลาดตรงที่ต้องเป็นอำนาจของการแสดงว่าไม่มีอำนาจ ฉะนั้น ถ้าจับประเด็นตรงนี้ได้จะเข้าใจว่าทำไมผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองจึงไม่พอใจคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณได้ละเมิดอะไรบางอย่างที่เป็นจารีตของอำนาจที่มีมาก่อนหน้า แต่ไม่ใช่ความผิดนะครับ ผมเพียงแต่บอกว่าการละเมิดมันขึ้นอยู่กับระบบทวิมาตรฐานบางอย่างเท่านั้นเอง ในอดีต จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เคยละเมิด ต่างกันตรงที่ยุค จอมพล ป. นั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ต่างถูกกระแสการปฏิวัติ 2475 โหมกระหน่ำจนแพ้พ่ายไปตามกัน กว่าจะกลับฟื้นขึ้นได้ก็หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ ส่วนจอมพลสฤษดิ์นั้น แม้ความสัมพันธ์กับผู้หลักผู้ใหญ่จะราบรื่น แต่สิ่งที่จอมพลสฤษดิ์ละเมิดนั้นคือ “ประชาธิปไตย” ฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าทำไมจอมพลสฤษดิ์ถึงอยู่ในอำนาจได้แต่ไม่มีความชอบธรรม จนกลายเป็นผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย มีชื่อกล่าวขานเป็นจอมเผด็จการผ้าขาวม้าแดง และ “ข้าพเจ้ารับผิดชอบเพียงผู้เดียว”

ในระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นธรรมดาที่อำนาจผู้นำจะผนึกแน่นกับอำนาจของประชาชน ซึ่งโดยหลักการถือเป็นอำนาจสูงสุดในขณะเดียวกันด้วย การเลือกตั้งจึงมีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องแสดงการยอมรับจากประชาชน หรือนัยหนึ่งคือการให้อำนาจผ่านการเลือกตั้งนั่นเอง แต่ที่ผ่านมาเราจะพบว่า มีความพยายามในการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกลไกการเลือกตั้งค่อนข้างมาก สร้างภาพให้ร้ายตัวแทนประชาชนต่างๆ นานา ซ้ำดูถูกดูแคลนประชาชนผู้หย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเสียอีก อำนาจที่ชอบธรรมถูกทำให้ไม่ชอบธรรมไปในที่สุด

มุมมองเช่นนี้ ใช่ว่าจะใช้ได้แต่ในกรณีระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมเท่านั้น เพราะเป็นพื้นฐานของระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับอำนาจต่างๆ ในสังคมทั่วไป เช่น ในแนวสังคมนิยมนั้น มาร์กซิสต์จะปฏิวัติไม่ได้ถ้าขาดอำนาจของชนชั้นกรรมาชีพ แม้จะมีพรรคการเมืองแบบเลนินนิสต์เคลื่อนไหวอยู่ก็ตาม ในอดีตพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) พยายามผนึกรวมอำนาจต่างๆ ที่กระจายอยู่ตามชายขอบเข้าด้วยกัน โดยหมายจะโอบล้อมเข้าสู่ศูนย์กลาง แต่ถูกศูนย์กลางตีโต้สกัดกั้นไว้ตั้งแต่ในชนบท ไม่ปล่อยให้เข้ามาล้อมเมืองได้ คำสัญญาของสหายหลายคนที่บอกจะ “พบกันที่สนามหลวง” และ/หรือที่พร่ำร้อง “จะกลับไปกรีดเลือดพาลล้างลานโพธิ์” จึงกลายเป็นความเพ้อฝันเพียงชั่วขณะนั้นเอง
อำนาจและความชอบธรรมเป็นของคู่กัน จนเกือบจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว เพราะความชอบธรรมเป็นเหมือน “ศีลธรรมของอำนาจ” อีกต่อหนึ่ง อำนาจสามารถเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคลหรือเพียงบางกลุ่มได้ แต่ความชอบธรรมเป็นเรื่องของสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ เมื่อมีลักษณะเหมือนเป็นศีลธรรมจึงกำกับอย่างเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ เปลี่ยนแปลงยาก แต่ทรงอิทธิพลอย่างมหาศาล เปรียบไปก็เหมือนแรงโน้มถ่วงของโลกทางการเมืองเลยทีเดียว ฉะนั้นผู้นำที่มาจากรัฐประหาร (โดยเฉพาะรัฐประหารที่ล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง) จึงบกพร่องในเรื่องความชอบธรรมอย่างรุนแรง (ไม่ใช่บกพร่องในเรื่องของอำนาจนะครับ คนละประเด็นกัน)

เพราะ “ศีลธรรมของอำนาจ” ที่หมายถึง “ความชอบธรรมของความชอบธรรม” (ของอำนาจ) นั้นคือ การได้มาซึ่งอำนาจโดยการเลือกตั้งจากประชาชนส่วนข้างมากนั้น ยังคงดำรงอยู่ของมันอย่างนั้น หาได้ถูกเลิกล้มไปกับรัฐประหารไม่ อย่างมากรัฐประหารก็ล้มได้เฉพาะอำนาจ แต่ล้ม “ศีลธรรม” ที่กำกับ “อำนาจ” นั้นอยู่ไม่ได้ เพราะยุ่งยากและซับซ้อนเกินกว่าที่บรรดาบิ๊กๆ ของกรมกองทั้งหลายจะเข้าใจ ไล่กวาดจับอย่างไรก็ไม่หมด รถถังเป็นร้อยคันก็ทำอะไรไม่ได้ ทางออกที่เป็นสูตรสำเร็จของรัฐประหารก็เลยอ้างว่าจะนำไปสู่การเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งความหมายก็เท่ากับฉวยอ้างความชอบธรรมจากระบบก่อนเกิดรัฐประหารนั่นเอง

ลุถึงปี พ.ศ.2551 นี้แล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีบางกลุ่มคิดตื้นๆ ว่า การยึดทำเนียบได้จะทำให้ตนบรรลุเป้าหมายในการล้มล้างอำนาจและความชอบธรรมของรัฐบาล แม้ว่าเดิมทีกลุ่มนี้จะมีภาษีจากการรวบเอาอำนาจส่วนต่างๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลมาเป็นกำลังของตน โดยเฉพาะอำนาจสถาบัน ข้าราชการ ทหาร ตุลาการ สื่อ เอ็นจีโอ ฯลฯ แต่การใช้อำนาจนี้ในขั้นตอนการต่อรองระดับชาติกลับเป็นผลเสีย เพราะเสนอรัฐประหาร และ 70:30 ซึ่งเท่ากับเอาอำนาจที่ผนึกมาไปทำลายความชอบธรรมของอำนาจนั้นเสียเอง ขบวนการมวลชนถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการเมืองระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่กลุ่มนี้กำลังกระทำคือ การใช้อำนาจที่ได้จากระบอบประชาธิปไตยมาทำลายประชาธิปไตย ดุจเดียวกับขบวนการมวลชนฝ่ายขวาอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มต่อต้านคณะราษฎรและต่อต้านนักศึกษาหลัง 14 ตุลา ที่มักอาศัยบรรยากาศการเมืองที่กำลังเปิดกว้างสู่ประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมมวลชน

อย่างไรก็ตาม ลักษณะเอดิปุสเช่นนี้ก็มีผลทำให้ความชอบธรรมกลายเป็นความไม่ชอบธรรม เมื่อไม่มีความชอบธรรมต่อไปก็จะไร้ซึ่งอำนาจในการต่อรอง การอ้างสถาบัน ใส่เสื้อเหลืองปล้นทำเนียบ ผูกขาดความจงรักภักดี ใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทำลายฝ่ายตรงข้าม จึงสะท้อนภาวะการไร้อำนาจและความชอบธรรมของตนเองในการเมืองระดับชาติ อาศัยเงื่อนไขของระบอบประชาธิปไตย แต่กลับไม่มีความเป็นประชาธิปไตยแม้แต่น้อย บางคนเสียสติถึงขั้นจะรัฐประหารโดยกองทัพประชาชน โดยหารู้ไม่ว่าการคุกคามด้วยอำนาจมวลชนเช่นนี้รังแต่จะทำให้ต้องเผชิญวิกฤติความชอบธรรมมากยิ่งๆ ขึ้นไป จะเล่นคุณไสย ใช้โกเต๊กซ์ พรมน้ำมนต์ ฯลฯ อีกสักเท่าไรก็ไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย จะเห็นได้ว่า แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งเสียสติ อ่อนหัด และไร้น้ำยาเกินจะจัดการกับปัญหาวิกฤติความชอบธรรมที่เกิดขึ้นกับกลุ่มตน นายสนธิไม่ได้เข้าใจในเรื่องนี้แม้แต่น้อยเลยครับ!


'ชูศักดิ์'เล็งตั้งทีมยกร่างคำชี้แจงปปช.โต้คดีเขาพระวิหาร

วันนี้ (14 พ.ย.ป นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 28 รัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เห็นชอบกรณีเขาพระวิหารว่า จะหารือกัน และตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วย เลขาธิการครม. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายกฎหมาย เพื่อนำเรื่องมาช่วยกันดูและสรุปความเห็น และยกร่างคำชี้แจงว่าจะต้องตอบประเด็นใดบ้าง จากนั้นจะมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องที่ถูกชี้มูลความผิดไปพิจารณาเพื่อชี้แจง ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะต้องต่างคนต่างชี้แจง แต่คำชี้แจงควรเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เห็นชอบกับเรื่องนี้แล้ว และตนได้แจ้งให้เลขาธิการครม. ทราบแล้ว

อย่างไรก็ตาม นายชูศักดิ์ กล่าวอีกด้วยว่า ตอนนี้รอฝ่ายต่างๆ มาพูดคุยกัน โดยเฉพาะต้องเอาเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาดูกัน แต่ปรากฏว่าเอกสารต้นเรื่องติดค้างอยู่ในทำเนียบรัฐบาล จึงต้องไปขอสำเนาจากกระทรวงการต่างประเทศ จึงทำให้เรื่องยุ่งยากพอสมควร แต่หากไม่ทันกำหนดการชี้แจงภายใน 15 วัน นับจากได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา ก็อาจต้องขอขยายเวลาออกไป



Friday, November 14, 2008

ความคิดปฏิวัติโหลยโท่ย...สนธิ-จำลอง?!!


คอลัมน์ : มารศาสนา

โดย สอาด จันทร์ดี


นึกไม่ถึงเลยว่า “สนธิ ลิ้มทองกุล” กับ “จำลอง ศรีเมือง” ที่คร่ำหวอดอยู่กับการฝึกฝนหาความรู้จากสำนัก “สันติอโศก” ของ นายรักษ์ รักษ์พงษ์ ที่อ้างตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ ต่อมาก็อ้างว่าได้เป็นถึงโพธิสัตว์ เพื่อจะเรียนรู้แนวทางปฏิวัติ เอามาช่วยเหลือมนุษยชาติให้รอดพ้นจากความหายนะ
เอาเข้าจริง ขี้หมากองเดียวยังดีกว่า

ผมพลิกตำราของโพธิรักษ์ รวมทั้งตำราของ จำลอง ศรีเมือง ที่ถือได้ว่าเป็นแนวทางที่จะนำโลกไปสู่พระศรีอาริย์ได้อย่างแท้จริงนั้น เอาเข้าจริง ไม่อาจแตะต้องได้ว่าอะไรคือแก่นแกนของแนวทาง นอกจากนี้ยังแตะต้องไม่ได้ว่าอะไรคือแก่นแกนของทฤษฎี
อ่านไปอ่านมา สู้หมาขี้เรื้อนไม่ได้
มาถึงวันนี้ ผมอ่านเนื้อตัวของพวก 9 แกนนำ รวมทั้งเนื้อตัวของ “สันติอโศก” ทั้งหมด ผมกล้าที่จะวิจารณ์ได้เลยว่า คนพวกนี้พากันทำม็อบเพียงเพื่อจะรับจ้างจากพวกอำมาตย์ให้ได้เงินก้อนใหญ่
เปรียบไม่ผิดกับมือปืนรับจ้างชั่วๆ รายหนึ่ง?!!
ไม่ต้องไปใส่ใจว่าจะมีแนวทางการเมืองใหม่ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจว่าแนวทางการเมืองใหม่จะทำให้ “คนไทย” เจริญขึ้น
พวกมือปืนรับจ้างยังดีกว่า เพราะไปเที่ยวไล่ฆ่าเฉพาะศัตรูที่เขาจ้างให้ไปฆ่า แต่ไอ้ สนธิ ลิ้มทองกุล กับ “จำลอง ศรีเมือง” เลวยิ่งกว่าหมา ไม่อาจเทียบกับมือปืนรับจ้างได้แม้กระผีกหนึ่ง ทั้งนี้ เนื่องจากการกระทำของคนบ้าพวกนี้ ทำลายชาติไทยโดยส่วนรวม
เห็นไหม ยึดทำเนียบรัฐบาล!
เห็นไหม ยึดสะพานมัฆวานฯ!
เห็นไหม แยกตัวเป็นดินแดนอโศก?!
และเห็นไหม ยกตนเป็นศาสดา เหยียบย่ำพระพุทธศาสนา โดยอ้างว่าศาสนาพุทธในประเทศไทยสอนผิด บอกมาผิดๆ ของเขาต่างหากถูกต้องมากกว่า เพราะรู้ได้ด้วยญาณ ไม่ใช่รู้จากหนังสือ ไม่รู้จากครูสอน ว่าเข้าไปโน่น
นี่มันคนไทยหรือเปล่า?
ผมว่าคนพวกนี้เป็น “ตัวเสนียดจัญไร” ใครคบเป็นเพื่อนฝูงจะเสียหายถึงวงศ์ตระกูล ใครที่เคยเป็นเพื่อนขอให้ถอนตัวออกมาเสียเถิด อย่าถือว่าเป็นเพื่อนให้พวกมารศาสนาเอาไปอ้างอยู่เลยพระคุณท่าน ขอให้ท่านอยู่ห่างๆ จะเป็นการดีที่สุด
ท่านลองทบทวนดูการกระทำของคนเหล่านี้ จะพบว่า “มันทำตัวเป็นสมุนรับจ้างมาตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก โดยได้แสดงออกด้วยการสะท้อนรับข้อกล่าวหาของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็น ระบอบทักษิณ” ?!!
ต่อจากนั้น การทำงาน “เพื่อการบ่อนทำลายทักษิณ” เริ่มเดินงานอย่างเป็นระบบ มีการประสานตั้งแต่เหนือจรดใต้ ประสานตั้งแต่ใหญ่ไปหาเล็ก มีการลงพื้นที่ กล่าวหาว่าคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย อะไรต่อมิอะไร
จนในที่สุดก็ถึงขั้นขับไล่ไสส่ง
คนที่เป็นหัวหอกก็มีอยู่แค่นี้ สนธิ ลิ้มทองกุล กับ “จำลอง ศรีเมือง” ที่มีกองทัพธรรมเป็นหน่วยทะลวงฟัน ภายในหลักการประท้วงอย่างสันติ อหิงสา
อหิงสาสันติหมาอะไรมีอาวุธ?!!
หน่อยแน่...จากการรับจ้างขับไล่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว กลายมาเป็นการ “กวาดล้าง” อย่างขนานใหญ่ ใครเป็นญาติธรรมของไทยรักไทย ใครเป็นกลุ่มพลังประชาชน จะต้องกวาดล้างไม่ให้เหลือ
นี่มันเป็นหมาบ้าไปแล้วครับ...?!!
มิใช่แต่เท่านี้ ยังบังอาจจะเสนอแนวทางการเมืองใหม่ จะทำ “ประชาภิวัตน์” อ้างว่านี่คือการปฏิวัติโดยประชาชน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
พิธีกรปากจัด นางอัญชลี ไพรีรัก พ่นผ่าน ASTV ออกมา
ผมรีบหยิบตำราปฏิวัติของสันติอโศกขึ้นมาดู โถ...มรรคมีองค์ 8 โถ...รับประทานผักอย่างเดียว ไม่แตะต้องสิ่งมีชีวิต และ...โถ จะดำเนินการจัดระเบียบสังคมด้วยหลักการใหม่เอี่ยมอ่องถอดด้าม ไม่เคยมีใครทำมาก่อน...ในชื่อว่า สาธารณโภคี ?!!
หมายถึงการยกทรัพย์สินเป็นกองกลาง
โพธิรักษ์อธิบายว่า วัดคือตัวอย่างของสาธารณโภคีที่ดี เพราะไม่มีอะไรเป็นของส่วนตัว จึงน่าจะโยกเอาสาธารณโภคีเข้าไปใช้ในหมู่บ้าน...ก็จะทำให้ชาวบ้านอยู่อย่างมีความสุข ไม่ตกเป็นทาสของทรัพย์สมบัติอีกต่อไป...!!
ผมรู้เรื่องทฤษฎีบ้าบอของคนหลงทิศหลงทางพวกนี้อย่างถึงแก่น ผมจึงว่าคนพวกนี้เป็นนักปฏิวัติไม่ได้ดอกครับ ความคิดปฏิวัติที่จะทำการปฏิวัติมนุษยชาติมันจะไม่โหลยโท่ยเยี่ยงนี้ ความคิดแบบนี้คิดแบบคนบ้าคนเดียวคิดได้ แต่จะคิดเอาไปใช้กับมนุษย์จำนวนมาก ไม่มีใครเขาหลงเชื่อดอกครับ
สนธิ-จำลองเอ๋ย...โหลยโท่ยสิ้นดี?!!


ผลคดีดับเพลิงชี้ชัดบรรทัดฐาน‘คตส.’ยุติเป็นธรรมมีจริง

นักกฎหมาย-ภาคประชาชน ดาหน้าจี้ คตส. ออกมาแสดงความรับผิดชอบและทำความกระจ่างให้ประชาชนหายสงสัย หลังการชี้มูลของ ป.ป.ช. ในคดีรถดับเพลิงฉาว ชี้ชัดว่า “อภิรักษ์” ส่อมีความเกี่ยวข้องในความไม่ชอบมาพากล ในขณะที่ก่อนหน้านี้ คตส. กลับเคยสรุปผลต่างกันราวฟ้ากับเหว ชี้เห็นชัดว่า “กระบวนการยิติความเป็นธรรม” มีอยู่จริง ห่วงหลายคดีที่สรุปผลออกมา โดยเฉพาะคดีความ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีความเที่ยงธรรมแค่ไหน

กรณีการชี้มูลความผิด นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. ด้วยมติเอกฉันท์ในคดีทุจริตรถ-เรือดับเพลิงฉาว 6,800 ล้านบาท ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ทำให้ถูกย้อนมองไปถึงมติของ คตส. ที่ผ่านมา ทั้งจากอนุกรรมการที่มี นางจารุวรรณ เมณฑกา เป็นประธาน และจากกรมการชุดใหญ่ที่มี นายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธาน ที่เคยระบุหลายครั้งว่านายอภิรักษ์ไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องดังกล่าว

ซึ่งผลการพิจารณาที่มีความแตกต่างกันราวหน้ามือกับหลังมือนี้ ได้ถูกย้อนมองไปถึงมาตรฐานในการให้ความยุติธรรมของ คตส. รวมไปถึงคดีอื่นๆ โดยเฉพาะกรณีคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชิงสรุปความผิดด้วย ว่าเป็นไปด้วยความยุติธรรมแค่ไหน และยังนึกไปถึงคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พูดถึง “กระบวนการยุติความเป็นธรรม”

กรณีดังกล่าว ผศ.จรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า เป็นที่รู้กันถึงผลงานของ คตส. ในการตัดสินว่านายอภิรักษ์ผิดหรือไม่ผิด เป็นการช่วยเหลือกัน แต่เมื่อ คตส. ถูกยกเลิกไปก็ต้องส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช. ลงมติ

แสดงว่าการที่ คตส. ว่านายอภิรักษ์ไม่มีความผิดทุจริต ถือว่าเป็นความผิดพลาดในการทำงานของ คตส. เสมือนเป็นการยืนยันต่อสังคมอีกครั้ง ว่าที่ คตส. ตัดสินคดีในตอนนั้น เพื่อช่วยเหลือนายอภิรักษ์จริงๆ

ผู้ที่เป็น คตส. เป็นคณะกรรมการชุดนั้น จะต้องออกมารับผิดชอบ โดยวิธีใดก็ตาม แม้จะไม่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายได้ เพราะคำตัดสินของ คตส. ไม่ได้ส่งผลให้ผู้ใดเกิดความเสียหาย แต่ต้องการให้ คตส. ออกมารับผิดชอบ อย่างเช่นการกล่าวขอโทษ และชี้แจ้งให้สังคมทราบถึงเหตุผลที่ตัดสินคดีดังกล่าวว่าเป็นเช่นไร

ด้าน นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย หนึ่งในแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่า คตส. จะหมดอำนาจไปแล้วนั้น แต่เป็นเรื่องที่น่าคิดถึงมาตรฐานของ นายนาม ยิ้มแย้ม ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน คตส. ซึ่งพยายามช่วยเหลือปัดความเกี่ยวข้องของนายอภิรักษ์กับเรื่องดังกล่าวออกไป

ซึ่งจากผลการตัดสินของ ป.ป.ช. ที่ตัดสินให้นายอภิรักษ์มีส่วนร่วมในการทุจริตนั้น คตส. สมควรที่จะออกมารับผิดชอบและขอโทษประชาชน กับความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือพวกเดียวกัน

ส่วนกรณีที่มีหลายฝ่ายให้ความเห็นไว้ในช่วงที่ คตส. ยังปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบคดีการทุจริตต่าง ๆ นั้น อาจมีความพยายามเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายวิภู แถลงยังกล่าวถึงกรณีนี้ต่อไปว่า สำหรับเรื่องนี้เป็นที่เข้าใจกันมาตั้งแต่ต้นถึงเป้าประสงค์ของการจัดตั้ง คตส. ซึ่งแต่งขึ้นมาเพื่อเล่นงานรัฐบาลนายกฯทักษิณ และยิ่งประกอบกับการแต่งนายนาม ขึ้นเป็นประธาน คตส. ซึ่งมีที่มาที่ไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่ต้องเล่นงานทักษิณแล้ว ทำให้สามารถสรุปได้เลยว่า คตส. เป็นศูนย์ร่วมคู่กรณีของพรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ

สิ่งที่สำคัญและเป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างมากว่า คดีต่างที่ คตส. เคยพิจารณาตัดสินไปแล้วจะสามารถเชื่อได้อีกหรือไม่ เพราะเมื่อเทียบกับกรณีของนายอภิรักษ์แล้ว ก็สามารถเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า มีความจงใจเล่นงานฝ่ายตรงข้ามเผด็จการอย่างชัดเจน

ขณะเดียวกัน นายชินวัตร หาบุญพาด แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ถึง ณ วันนี้ คตส. ควรที่สำนึกเองได้แล้วว่า พวกตนไม่ความเป็นกลางและเป็นธรรม เข้าข้างเอนเอียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน

และสมควรอย่างยิ่งที่จะรีบออกมาชี้แจงถึงคำตัดสินชี้มูลคดีของนายอภิรักษ์ ว่าไม่มีส่วนข้องกับคดีดังกล่าว โดยต้องอธิบายเหตุผมให้ชัดเจนกับสังคมให้ได้ว่า ทำไมถึงมีมุมมองที่แตกต่างจากข้อคิดเห็นของทางกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะกรรมการ ป.ป.ช. และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การออกมาขอโทษประชาชน

ส่วนกรณีที่คณะกรรรมการ ป.ป.ช. ตัดสินให้นายอภิรักษ์มีส่วนร่วมในการทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงฉาวนั้น ตนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะทาง ป.ป.ช. มาถึงทางตันไม่สามารถที่จะคิดหาวิธีการใด ที่จะสามารถอุ้มนายอภิรักษ์ได้อีกต่อไป เพราะหลักฐานที่ได้จาการตรวจสอบมัดตัวนายอภิรักษ์ อย่างชัดเจน



‘ในหลวง’ทรงจุดเครื่องเทียนราชสักการะพระศพ‘พระพี่นางฯ’

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท บริเวณทิศใต้ ทรงจุดเครื่องเทียนราชสักการะพระศพ ทรงจุดเครื่องเทียนมนัสการบูชา พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

พระพุทธประจำพระชนมวารเป็นปางถวายเนตร สร้างขึ้นตามวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ คือ วันอาทิตย์ ซึ่งมีลักษณะเดียวกับพระพุทธประจำพระชนมวารของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชนิกรม พระบรมราชชนก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฏราชกุมาร เป็นผู้ถวายพัดรองที่ระลึกงานออกพระเมรุแด่สมเด็จพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฎิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะที่ถวายพระธรรมเทศนา และพระราชาคณะที่สวดศราทธพรต 30 รูป พระสงฆ์ที่จะสดับปกรณ์ 84 รูปเท่าพระชันษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ บรรพชิตจีนและญวน 20 รูป ถวายธรรมบูชากัณฑ์เทศและทอดผ้าไตร และถวายพระเทศน์ พระสวดศราทธพรต พระสงฆ์เท่าพระชันษา บรรพชิตจีนและญวนสดับปกรณ์ จุดธุปเทียนที่พระสงฆ์ และสวดพระอภิธรรม เสด็จฯกลับ

ปชช.ไว้ทุกข์-ถวายดอกไม้จันทน์ร่วมส่งเสด็จพระพี่นางฯสู่สวรรคาลัย

ท้องสนามหลวงแน่นขนัด! ประชาชนร่วมแต่งกายไว้ทุกข์ ถวายดอกไม้จันทน์ส่งเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สู่สวรรคาลัย! เตรียมรับเสด็จฯ ชื่นชมพระบารมี “พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย”

นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กทม.ลงพื้นที่ตรวจความเรียบร้อยการปรับแต่งภูมิทัศน์ประดับดอกไม้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตั้งแต่บริเวณซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ ข้างพระแม่ธรณีบีบมวยผม วนรอบสนามหลวงตามเส้นทางริ้วขบวนพระอิสริยยศ ซึ่งกทม.ได้ปรับแต่งภูมิทัศน์ตลอดเส้นทางเสด็จพระราชราชดำเนินและเส้นทางริ้วขบวนพระอิสริยยศ บริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวังและสนามหลวง พร้อมทั้งซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ทั้ง 8 ซุ้ม และวัดทั้ง 46 แห่งทั่ว กทม.

ปลัด กทม.ระบุว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ในส่วนที่ กทม.รับผิดชอบ ขณะนี้ดำเนินการตามแผนงานที่วางไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตามอยากฝากไปยังพี่น้องประชาชนที่มารอรับเสด็จฯ และร่วมงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กรุณาอย่าเด็ดไม้ดอกไม้ประดับที่กทม.นำมาจัดแต่งตามจุดต่างๆ และเมื่อประชาชนมารวมตัวกันมากๆก็จะมีปัญหาขยะ

ดังนั้นโปรดช่วยกันรักษาความสะอาดอย่าทิ้งขยะเกลื่อนกลาดโดยให้วางกองๆไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดของกทม.จะเป็นผู้เดินเก็บ เนื่องจากตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปกทม.จะนำถังขยะที่อยู่โดยรอบท้องสนามหลวงออกไปหมด รวมถึงป้ายจราจร และป้อมตำรวจด้วยเช่นกัน ส่วนปัญหาหาบเร่แผงลอยก็จะให้เจ้าหน้าที่เทศกิจมาตรวจตราอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้มีเข้ามาจำหน่ายในพื้นที่โดยเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้(15 พ.ย.) ซึ่ง กทม.จะเปิดให้ประชาชนร่วมถวายความอาลัยด้วยการถวายดอกไม้จันทน์ส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย โดยจะเปิดให้เข้าถวายดอกไม้จันทน์ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ไปจนถึงเวลา 21.00 น.โดยช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินก็หยุดให้เข้าถวายดอกไม้จันทน์ และเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้วก็จะเปิดให้ประชาเข้าถวายดอกไม้จันทน์อีกครั้งโดยกทม.ได้เตรียมดอกไม้จันทน์จำนวน 5 แสนดอกไว้บริการประชาชนที่ท้องสนามหลวง

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว และสำหรับผู้ที่จะมาเฝ้ารอรับเสด็จฯสามารถจับจองที่นั่งได้ด้านหลังแนวรั้วเหล็กสีเหลืองหรือบริเวณฝั่งขวามือของถนนและหากรู้สึกไม่สบายก็สามารถเข้ารับบริการได้ที่เต๊นท์พยาบาลที่มีอยู่ตามจุดต่างๆโดยรอบสนามหลวงทั้งในส่วนของ กทม.และหน่วยงานอื่นๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการประดับประดาบริเวณโดยรอบสนามหลวง และเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินตั้งแต่วังสวนจิตรลดา ถนนราชดำเนินใน สนามหลวง สวนหย่อม สนามไชย ท่าเตียน และรอบพระบรมมหาราชวัง กทม.ได้ใช้ต้นไม้ประมาณ 5 แสนต้น ใช้งบดำนเนินการ 4 ล้านบาท ซึ่งต้นไม้ ไม้ดอก-ไม้ประดับ ที่ กทม.นำมาใช้ในการนี้ มีทั้งกล้วยไม้ขาว-ม่วง บานไม่รู้โรย ดาวกระจาย แววมยุรา ผักเสี้ยนฝรั่ง โดยการปรับแต่งรอบต้นมะขามและเสาไฟเป็นช่อระย้าจะเน้นดอกไม้สีขาว ซึ่งเป็นสีที่แสดงความบริสุทธิ์ แสดงออกถึงความอาลัยของพสกนิกรชาวไทยที่มีต่อพระองค์ท่าน ซึ่งในการดูแลรักษาเจ้าหน้าที่จะฉีดพ่นน้ำ และซ่อมแซมต้นไม้ตลอดเวลาจนแล้วเสร็จงานพระราชพิธีและจะเก็บไว้ให้ประชาชนชื่นชมความงดงามของต้นไม้ที่ตบแต่งไปจนถึงสิ้นเดือนนี้

สำหรับบรรยากาศที่ท้องสนามหลวงผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีพสกนิกรชาวไทยต่างมาจับจองพื้นที่เฝ้ารอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในช่วงเย็นของวันนี้

โดยพื้นที่โดยรอบสนามหลวงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและตำรวจเทศกิจ คอยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน

ทั้งนี้ได้มีการประดับตกแต่งดอกไม้บริเวณต้นไม้ตลอดเส้นทางตั้งแต่ถนนราชดำเนินจนรอบสนามหลวง และสร้างประทับใจให้กับประชาชนที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายแสตมป์ เหรียญกษาป สายรัดข้อมือและพระบรมฉายาลักษณ์ ไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย

ขณะเดียวกันในส่วนของกรุงเทพมหานคร เปิดให้ประชาชนเข้าถวายดอกไม้จันทน์ ที่ซุ้มรับดอกไม้จันทน์ 8 ซุ้ม บริเวณท้องสนามหลวงด้านททิศเหนือจำนวน 4 ซุ้ม บริเวณท่าช้างบนทางเท้า ฝั่งตรงข้ามพระแม่ธรณีบีบมวยผม ถนนราชดำเนินด้านข้างโรงแรมรัตนโกสินทร์ และด้านหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งแห่งละ 1 ซุ้ม ซึ่งจะเปิดให้วางดอกไม้จันทน์ในวันพรุ่งนี้(15 พ.ย.) ตั้งแต่เวลา 13.00 น.

ด้านนางบุญเรือน วังตาล อายุ 63 ปี เดินทาจากบ้านย่านลาดพร้าวเพียงลำพัง เพื่อมารอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ตั้งแต่เวลา 13.00 น. นางบุญเรือนกล่าวว่า รู้สึกตื้นตันใจ ที่เห็นประชาชนเดินทางมาร่วมพระราชพิธีจำนวนมาก พร้อมทั้งยังอยากร่วมไว้อาลัย ระบุในวันพรุ่งนี้(15 พ.ย.) ตนจะเดินทางมาร่วมพระราชพิธีอีกครั้งตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะที่ผ่านมาเคยเข้าถวายความจงรักถักดี เกือบทุกวันที่โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่ทรงพระประชวรและได้เข้าสักการะพระบรมศพด้วย

ขณะที่นางรัชนี อรุณรัตนนุกูล อายุ 56 ปี กล่าวว่า เดินทางมาจากที่ทำงานเขตสาธร พร้อมเพื่อนร่วมงาน 5 คน เพื่อไว้อาลัยและบันทึกภาพเป็นที่ระลึก ซึ่งทางกลุ่มตั้งใจจะเดินทางมาตลอด 3 วัน และวันนี้ตั้งใจมารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ เพราะอยากเห็นพระพักษ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี และรู้สึกตื้นตันใจมากที่เห็นประชาชนพร้อมใจสวมชุดดำมาร่วมงานพระราชพิธีจำนวนมาก



'มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง'ประดับดอกไม้สีฟ้าบริเวณทางขึ้นพระเมรุ


"มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง" นำผ้าคลุมไม้ดอกไม้ประดับบริเวณพระเมรุ ออกหมดทุกส่วนแล้ว ขณะที่กรมสรรพาวุธทหารบกตรวจสภาพพระมหาพิชัยราชรถ ราชรถน้อย เป็นครั้งสุดท้าย

นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้นำผ้าคลุม ไม้ดอกไม้ประดับบริเวณพระเมรุ ออกหมดทุกส่วนแล้ว และยังได้มีการประดับดอกไม้สีฟ้าเพิ่มเติมบริเวณด้านหน้าทางขึ้นพระเมรุ เพื่อให้มีดอกไม้เต็มพื้นที่ และมีความสวยงามยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันกรมประชาสัมพันธ์ได้ทำหนังสือแจ้งการจัดนิทรรศการภายในพระเมรุ รวมทั้งขอความร่วมมือมายังกรมศิลปากร เพื่อขอให้นำ ราชรถน้อย พระยานมาศ และเครื่องประกอบในริ้วขบวนพระอิสริยยศ งานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มาจัดแสดงที่บริเวณมณฑลพิธี ร่วมกับการจัดแสดงภาพศิลปกรรม พระประวัติ และพระกรณียกิจ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ของศิลปินทั้ง 84 ภาพ โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมระหว่างวันที่ 18-30 พ.ย. นี้


ด้าน พ.อ.ศักดา ศิริรัตน์ ผู้อำนวยการกองงานช่างแสง ศูนย์อุตสาหการสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารบก กล่าวว่า คณะทหารช่างกรมสรรพาวุธทหารบก ได้ทำการตรวจสภาพพระมหาพิชัยราชรถ ราชรถน้อย ก่อนใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ โดยเฉพาะระบบขับเคลื่อน ระบบการห้ามล้อ พบว่า ราชรถ ทั้ง 2 องค์ มีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้ในพระราชพิธีฯ ส่วนการเคลื่อนราชรถออกจากโรงราชรถนั้น ทางคณะทหารช่างจะเตรียมพร้อมราชรถตั้งแต่เวลา 03.00 น.ของวันที่ 15 พ.ย. จากนั้นจะเริ่มเคลื่อนราชรถไปยังจุดตั้งริ้วขบวนต่อไป


เกร็ดความรู้การสร้างพระมหาพิชัยราชรถ และเวชยันตราชรถ


พระมหาพิชัยราชรถ สำหรับอัญเชิญพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนัครินทร์ ไปยังพระเมรุมาศที่สนามหลวง ปรากฏบันทึกการสร้างในพระราชพงศาวดารว่า “...ปีเถาะ สัปตศกพระโองการรับสั่งให้ช่างทำพิชัยราชรถที่จะทรงพระโกศพระอัฐิ ๗ รถ ให้ตัดเสาพระเมรุตั้ง ทรงประดับเครื่องให้แล้วเสร็จในปีเถาะ” การสร้างขึ้นเพื่อการพระบรมศพพระปฐมบรมมหาชนก ใน พ.ศ. ๒๓๓๘ โดยโปรดให้สร้างเป็นราชรถขนาดใหญ่ตามแบบพระราชประเพณี ที่เคยมีมาครั้งกรุงศรีอยุธยา คือ มีขนาดสูง ๑,๑๒๐ เซนติเมตร ยาว ๑,๕๓๐ เซนติเมตร งานพระเมรุ พ.ศ. ๒๓๓๙

ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๔๒ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี สิ้นพระชนม์ ก็โปรดให้อัญเชิญพระโกศทรงบนพระมหาพิชัยราชรถออกพระเมรุอีกครั้งหนึ่ง นับจากนั้นพระมหาพิชัยราชรถก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นราชรถเฉพาะ อัญเชิญพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินตลอดมา นอกจากนี้เพื่อให้การเคลื่อนย้ายเข้ากระบวนพระราชพิธีเป็นไปอย่างสะดวก และรู้สึกมีน้ำหนักเบาขึ้น ต่อมากรมศิลปากรได้เล็งเห็นความสำคัญและความงดงามของงานศิลปกรรมประณีตศิลป์ จึงได้บูรณะซ่อมแซมเสริมความมั่นคงแก่พระมหาพิชัยราชรถขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มรดกงานศิลปกรรมนี้อยู่คู่กับชาติไทยต่อไป การบูรณะพระมหาพิชัยราชรถสำเร็จในปี พ.ศ. ๒๕๓๐

เวชยันตราชรถ เป็นราชรถอีกองค์หนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่ออัญเชิญพระศพ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ในงานพระเมรุคู่กับสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี ซึ่งทรงใช้พระมหาพิชัยราชรถ พ.ศ. ๒๓๔๒ เวชยันตราชรถมีขนาดสูง ๑,๑๗๐ เซนติเมตร ยาว ๑,๗๕๐ เซนติเมตร

ภายหลังงานพระเมรุ พ.ศ. ๒๓๔๒ แล้ว เวชยันตราชรถก็ถูกใช้เป็นราชรถรองในงานพระเมรุพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่อมา จนถึงงานพระเมรุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาพระมหาพิชัยราชรถชำรุด ดังนั้นในงานพระเมรุพระบาทสมเด็จพระพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ จึงได้ใช้เวชยันตราชรถเป็นรถทรงพระบรมศพ โดยไม่มีราชรถรองในริ้วกระบวน

และแม้ในการพระเมรุอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีใน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ก็ได้ใช้เวชยันตราชรถ เป็นรถอัญเชิญพระบรมศพ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งกรมศิลปากรก็ได้ซ่อมแซมเสริมความมั่นคง และตกแต่งความสวยงามด้วยการลงรักปิดทองประดับกระจกในการนี้ด้วย และได้ออกหมายเรียกว่าพระมหาพิชัยราชรถ

ในกระบวนแห่พระบรมศพไปยังพระเมรุมาศ นอกจากพระมหาพิชัยราชรถ และเวชยันตราชรถยังมีราชรถน้อยอีก ๓ องค์ ราชรถน้อยมีลักษณะคล้ายราชรถองค์ใหญ่ทั้งสององค์ คือมีส่วนตัวรถที่แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก คานที่ยื่นออกมาเป็นรูปนาคราช บนราชรถมีบุษบกตั้งอยู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก

ราชรถน้อยองค์หนึ่งใช้เป็นราชรถที่สมเด็จพระสังฆราชประทับ ทรงสวดนำกระบวนพระมหาพิชัยราชรถ ราชรถองค์ที่สอง เป็นราชรถโยงผ้าจากพระบรมโกศ จัดเป็นราชรถตามจากนั้นเป็นราชรถน้อยอีกองค์หนึ่ง ใช้เป็นรถสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ประทับ เพื่อทรงโปรยทานพระราชทานแก่ประชาชนที่มาเฝ้ากราบพระบรมศพตามทางสู่พระเมรุมาศ ต่อจากนั้นตามด้วยราชรถรอง คือ เวชยันตราชรถและรถประทับอื่น ๆ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราชรถที่ใช้ในการพระบรมศพจริง ๆ มี ๕ องค์ ซึ่งล้วนสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และได้นำออกใช้งานพระเมรุมาศทุกรัชกาลจนปัจจุบัน โดยราชรถน้อยในกระบวนแห่พระบรมศพมี ๓ องค์ คือ สำหรับพระสงฆ์อ่านพระอภิธรรม ๑ โปรยข้าวตอกดอกไม้ ๑ และโยง ๑ในด้านสถาปัตยกรรมถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ของช่างที่ทำให้หลังคาดูเบา และสวยงามไม่เทอะทะ ตัวบุษบกหากจะเปรียบกับชั้นภูมิของจักรวาล ก็น่าจะเป็นชั้นอรูปภูมิได้ เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมโกศซึ่งบรรจุพระบรมศพ ซึ่งเปรียบได้กับวิญญาณที่ไม่มีรูป ก็น่าจะเข้ากับคติความเชื่อนี้ได้ กับทั้งเป็นการเทิดพระบารมีแห่งองค์ในพระบรมโกศ ซึ่งเปรียบเสมือนทรงเป็นเทพในสัมปรายภพนั่นเอง

ราชรถโถง สำหรับอัญเชิญพระโกศพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์ ตัวราชรถเป็นไม้จำหลักรูปพญานาค ลงรักปิดทอง เทียมลากด้วยม้า สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ ราชรถโถง สำหรับอัญเชิญพระโกศพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์ ตัวราชรถเป็นไม้จำหลักรูปพญานาค ลงรักปิดทอง เทียมลากด้วยม้า สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์

ที่มา : เวปไซด์ ๒๕๕๑ โครงการเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์


กรมศิลปฯส่งมอบพระโกศทองคำทรงพระอัฐิและช่อดอกไม้จันทน์ให้สำนักพระราชวัง


กรมศิลปากรส่งมอบพระโกศทองคำลงยาสีประดับพลอยทรงพระอัฐิและช่อดอกไม้จันทน์ ให้แก่สำนักพระราชวังแล้ว

น.อ.อาวุธ เงินชูกลิ่น ประธานคณะทำงานออกแบบและจัดสร้างพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมด้วย นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร และผู้บริหารกรมศิลปากร ได้ส่งมอบพระโกศทองคำลงยาสีประดับพลอยทรงพระอัฐิ และช่อดอกไม้จันทน์สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ในการพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ให้แก่สำนักพระราชวัง โดยมี นางพรจันทร์ นุกุลประดิษฐ์ ที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง เป็นตัวแทนรับมอบ

น.อ.อาวุธ กล่าวว่า การดำเนินงานของคณะทำงานฝ่ายจัดสร้างพระเมรุ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุ และการบูรณะปฏิสังขรณ์ราชรถ และพระยานมาศ ในส่วนของกรมศิลปากร ดำเนินการเรียบร้อยแล้วทั้งหมด ต่อจากนี้กรมศิลปากร จะมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของเจ้าหน้าที่ดูแลการอัญเชิญพระโกศ เทียบเกรินบันไดนาค ขึ้นสู่พระจิตกาธานบนพระเมรุ รวมทั้งช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร จะประจำฉากบังเพลิง และปิดม่าน เพื่อรอการเปลื้องพระโกศทองคำออก และรอประกอบพระโกศจันทน์


พลังประชาชนจะต้องถูกยุบ เพราะเรื่องหยุมหยิม?



คอลัมน์ : ตาต่อตาฟันต่อฟัน

โดย ศุภชัย ใจสมุทร

ภายในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ พรรคพลังประชาชนพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะต้องยื่นคำชี้แจ้งแก้ข้อกล่าวหาในคดีที่อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีคำสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค

เหตุที่อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องดังกล่าวเนื่องมาจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคในขณะนั้นได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 ซึ่งเมื่อรองหัวหน้าพรรคได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายนั้น จึงถือได้ว่าพรรคพลังประชาชนได้กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550

การกระทำที่อ้างว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย คือ กรณี นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย และกลุ่มกำนันในอำเภอแม่จันได้พบกับ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2550 และอ้างว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้เงินหรือทรัพย์สินแก่ นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ และกลุ่มกำนันเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้ง คือ น.ส.ละออง ติยะไพรัช และนายอิทธิเดช แก้วหลง

ไม่ว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้อ้างพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือและน่ารับฟังสักเพียงใด แต่ในที่สุดคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้มีมติให้ใบแดงกับการกระทำที่อ้างถึงนั้น และศาลฎีกาก็มีความเห็นพ้องกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช และให้ในเหลืองกับ น.ส.ละออง ติยะไพรัช

ซึ่งนี่คือที่มาในการที่อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคพลังประชาชนและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ได้บัญญัติว่า หากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อถือได้ว่าหากกรรมการบริหารพรรคผู้ใดมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย หรือทราบว่ามีผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งแล้วมิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้ให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม ทำให้เชื่อว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย

แปลความง่ายๆ ก็คือเมื่อเชื่อได้ว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนไม่มีส่วนรู้เห็นหรือถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งในกรณีนี้คือถูกกล่าวหาว่าซื้อเสียง ดังนั้นพรรคพลังประชาชนก็จะต้องถูกยุบ และหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคทุกคนก็จะต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลาห้าปีด้วย

ผมไม่ทราบว่าพรรคพลังประชาชนจะมีข้อต่อสู้อย่างไรบ้าง เพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามผมได้แสดงความเห็นแง่มุมทางกฎหมายเกี่ยวกับการตีความกรณีการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารผ่านคอลัมน์ “ฤๅจะเป็นเมืองนอกกฎหมาย” นิตยสารประชาทรรศน์ รายสัปดาห์ ฉบับที่ 94 ที่จะวางแผงพรุ่งนี้ หากแฟนานุแฟนสนใจก็หาซื้อมาอ่านกันได้ ซึ่งความเห็นดังกล่าวเป็นความเห็นในเชิงข้อกฎหมายล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับคดีพรรคพลังประชาชน

อย่างไรก็ตามมีข้อเท็จจริงบางประการที่ผมเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องนำมาให้บรรดาคอการเมืองที่ติดตามเรื่องนี้ได้นำไปฉุกคิดประกอบการพิจารณา เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยคดีแล้ว จะได้มีความเห็นคล้อยตาม หรือไม่เห็นด้วย ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องในคดีพรรคพลังประชาชน

อาทิ กรณีที่อ้างว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้กระทำความผิดนั้น เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2550 ซึ่งวันดังกล่าวนายยงยุทธ ยังมิได้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งยังไม่เปิดรับสมัครเลือกตั้ง ดังนั้นหากนายยงยุทธได้กระทำการเช่นว่านั้นจริง ก็ยังถือไม่ได้ว่าการกระทำนั้นเป็นการจูงใจให้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้ เพราะวันนั้น นายยงยุทธ ยังมิใช่เป็น “ผู้สมัคร” กรณีจึงเป็นการขาดองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ที่บัญญัติไว้เฉพาะ “ผู้สมัคร” เท่านั้น และถึงแม้ว่าในที่สุดศาลฎีกาได้เชื่อแล้ว นายงยุทธ ได้กระทำจริง เป็นการกระทำของนายยงยุทธโดยแท้แต่เพียงลำพัง พรรค หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกับนายยงยุทธ ที่ตรงไหน ผมเชื่อว่าหากพรรคพลังประชาชนได้ล่วงรู้ว่า นายยงยุทธได้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งโดยให้เงินกับกำนั้นทั้งหลาย เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงให้พรรคคงไม่ดันทุรังส่งนายยงยุทธ ลงสมัครต่ออย่างแน่นอน

นอกจากนี้ข้อเท็จจริงที่อ้างเป็นเหตุแห่งการร้องการคัดค้านการเลือกตั้งของนายยงยุทธนั้นได้เกิดและสิ้นสุดลงในวันที่ 25 ตุลาคม 2550 ซึ่งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคไม่ได้รู้เห็นด้วย ดังนั้นหากจะพิจารณาจากถ้อยคำตามกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าท่านทั้งหลายที่ว่านี้ มารู้เอาภายหลัง แล้วจะไปยับยั้งหรือแก้ไขได้อย่างไรล่ะครับ ก็มันจบไปแล้วนี่ ดังนั้นจะบอกให้พรรคต้องรับผิดจนต้องถูกยุบ และต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ที่ไม่ได้รู้เห็นด้วย ก็ดูประหลาดนะครับ เพราะเท่ากับว่าการกระทำผิดของคนคนเดียวจะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนมากได้ กรรมการอื่นที่ไม่รู้เห็นและระมัดระวังดูแลให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขณะที่มีการเลือกตั้งก็จะต้องโดนเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งด้วย

สิ่งที่พิลึกอย่างยิ่งก็คือ ดูเหมือนว่ามีการตีความเหมือนกันว่า การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนั้นคือ “การซื้อสียง” โดยเฉพาะหากนั่นคือการกระทำของกรรมการบริหารพรรค ซึ่งนับว่าเป็นวิธีคิดที่พิสดารพันลึกพิลึกกึกกือเป็นอย่างยิ่ง เพราะความเป็นจริงแล้วแม้การซื้อเสียงเป็นสิ่งเลวร้าย แต่คงไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ได้อำนาจการปกครองประเทศอย่างผิดวิถีทางหรอกครับ ก็กฎหมายได้บัญญัติลงโทษเล่นงานผู้ซื้อเสียงไว้แล้ว แต่จนถึงขนาดต้องยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารด้วยนั้น ถือเป็นการทำลายสถาบันทางการเมืองที่สำคัญที่ขาดเหตุผลที่จะอธิบายสังคมโลกเขาได้นะครับ

หากเปรียบเทียบคดีนี้กับคดียุบพรรคไทยรักไทยจะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดถึงพฤติกรรมหรือการกระทำที่อ้างว่าได้กระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง คดีพรรคไทยรักไทยนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อกล่าวหาเรื่องจ้างพรรคเล็กลงสมัครนั้นดูจะสาหัสสากรรจ์เอาการ เพระดูเป็นมหกรรมที่คึกคักยิ่งใหญ่ และเป็นไปได้ที่จะบอกว่าการกระทำเช่นว่านั้น ถึงขนาดที่จะทำให้ได้อำนาจการปกครองประเทศที่ฝืนแนวทางประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ แต่กรณีพรรคพลังประชาชนที่เป็นการกระทำแบบหยุมหยิม ที่พรรคการเมืองแทบทุกพรรคก็โดนกัน เพียงแต่บางพรรคกรรมการบริหารก็รอดตัวไปด้วยเมตตามหานิยม พรรคจึงไม่ต้องถูกร้องให้ยุบพรรคด้วย ทั้งๆที่พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นโจ่งครึ่มและรุนแรงยิ่งกว่าด้วยซ้ำ

เมื่อการพิจารณาคดีจะเริ่มต้นก็คงจะฝากความหวังไว้กับศาลสถิตยุติธรรม อย่างศาลรัฐธรรมนูญว่า จะธำรงความยุติธรรมไว้ได้อย่างไร บ้านเมืองจะต้องสะดุดหยุดลงหรือก้าวเดินต่อไปก็อยู่ที่ท่านล่ะครับ ก็หวังว่าเรื่องหยุมหยิมอย่างคดีนี้ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะวินิจฉัยให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย


ป.ป.ช.หักปากกาเซียน


คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง

โดยเอกฉัตร


00 หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ สื่อทางเลือกของประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ฉบับวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 วันแรกของพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยวันที่ 15 พฤศจิกายน เป็นวันสำคัญที่สุดที่พสกนิกรชาวไทย จะได้ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ซึ่งจะมีพิธีการต่างๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงเวลา 16.30 น. เป็นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ และเวลา 22.00 น. พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจริง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพสกนิกรชาวไทยจะไว้ทุกข์โดยพร้อมเพรียงกัน

00 หากเป็นมวยก็ต้องถือว่า พลิกล็อก หักปากกาเซียน กรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ลงมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 วินิจฉัยว่า หล่อเล็ก นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ที่เรียกกันติดปากว่า พ.ร.บ.ฮั้ว กรณีสั่งเปิดแอลซีกับธนาคารกรุงไทย เพื่อชำระเงินบริษัทไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ ของประเทศออสเตรีย ผู้ผลิตรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง ที่อื้อฉาวกันมานานหลายปี โดยมีผู้ร่วมกระทำผิดในคดีเดียวกันอีก 10 คน ใครเป็นใครคงไม่ต้องนำมาฉายซ้ำ เพราะคาดกันล่วงหน้าแล้วว่ามีความผิดแน่ ลุ้นกันแค่ผิดมากหรือผิดน้อยเท่านั้น

00 จะไม่ให้พลิกล็อก หักปากกาเซียน ได้อย่างไร ชื่อของ หล่อเล็ก มีข่าวหลุดรอดมาหลายต่อหลายครั้งที่มีการสรุปผลการสอบสวนของคณะกรรมการ จนก่อนจะถึงวันที่ ป.ป.ช. วินิจฉัย ก็ยังมีข่าวมาจากงานระดมทุนของพรรคประชาธิปัตย์ที่เมืองทองธานีว่า มีนายทหารใหญ่ที่เพิ่งเกษียณอายุไปเมื่อเร็วๆ นี้ ที่เคยมีบทบาทใน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. คอยช่วยเหลือเจรจากับ ป.ป.ช. ชุดนี้ที่มาจากการแต่งตั้งของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. โดยไม่มีการโปรดเกล้าฯ จากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อ้างว่าเป็นการแต่งตั้งตามอำนาจของรัฐาธิปัตย์ ทำให้แกนนำคนสำคัญ โดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มั่นใจสุดๆ มากกว่าใคร เมื่อผลการตัดสินออกมาพลิกล็อก หักปากกาเซียน ไม่รู้ว่าสมาชิกพรรคที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตนายทหารใหญ่ จะมองหน้าผู้ใหญ่ในพรรคได้อย่างไรเหมือนกัน

00 เมื่อผลการวินิจฉัยออกมาพลิกล็อก ใครต่อใครก็ต้องเดาว่า หลักฐานมัดแน่นจริงๆ จึงทำให้ ป.ป.ช.ต้องกัดลิ้นกินเลือด ลงมติทั้งที่น้ำตาตกใน อย่างที่ นายวิชา มหาคุณ ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวน ได้ระบายความในใจ ไม่มีความสุขที่ต้องตัดสินคดีเกี่ยวกับนายอภิรักษ์ ซึ่งได้รับฉันทามติจากประชาชนอย่างล้นหลาม แต่ทุกอย่างต้องว่าไปตามกฎหมาย งั้น เอกฉัตร ก็ถามกลับไปบ้างว่า แล้วการตัดสินคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีประชาชนศรัทธาล้นหลายมากกว่า นายอภิรักษ์ หลายเท่า ไหงไม่คิดอย่างนี้บ้างละ จริงๆ แล้วคดีนี้ยืดเยื้อมานาน คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส. ได้ส่งเรื่องนี้มานานแล้ว และผลการสอบสวนที่ คตส. ตั้งหน้าตั้งตาจ้องเล่นงานอดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ให้อยู่หมัด สำนวนสอบสวนพร้อมสรรพไม่ต้องไต่สวนพยานเพิ่มเติม แทนที่ ป.ป.ช. จะเร่งสอบสวนก่อนที่จะถึงวันเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. กลับปล่อยให้ยืดเยื้อ จนเกิดความเสียหาย ทำให้งานของ กทม. ชะงัก และต้องเลือกตั้งกันใหม่

00 อีกคนใกล้หมดอายุขัย กกต. แล้ว นายสุเมธ อุปนิสากร พูดมาได้อย่างไร หาก นายอภิรักษ์ แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง กกต. จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 90 วัน การจัดการเลือกตั้งบ่อยๆ เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ งั้นที่ผ่านๆ มา ทำไม กกต. จึงตามล้างตามเช็ดแจกใบเหลืองใบแดง ให้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่เหมือนกัน ไม่พูดเสียยังดีกว่า หรือว่าลืมตัวไม่คิดว่าผลการตัดสินจะออกมาพลิกล็อกมโหฬาร

00 ส่วนการแสดงสปิริตลาออกของ หล่อเล็ก ไม่ได้เกินความคาดหมาย เข้าทาง หล่อใหญ่ โอบามาร์ค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะได้นำสปิริตจำเป็นของ หล่อเล็ก ไปย่ำยีกดดันรัฐบาลได้อีกนาน จากคดีที่ ป.ป.ช. ตัดสินไปแล้วและรอขึ้นเขียงอีกหลายคดี เช่น คดีเขาพระวิหาร ที่คณะรัฐมนตรีของรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาไปลงมติรับทราบแถลงการณ์ร่วมโดยไม่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 โดยมีพี่ใหญ่ในทำเนียบรัฐบาลเป็นลูกคู่คอยรุมซ้ำเติม

00 โบราณว่า จิ้งจกทักยังต้องเงี่ยหูฟัง แต่คดีนี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ที่เปิดเกมไล่บี้ อดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ตั้งก่อนวันเปิดรับสมัครจนถึงวันสุดท้าย ได้เรียกร้องให้ประชาชนอย่าเลือก เลือกไปจะเสียของ เพราะจะมีปัญหาในภายหลัง เมื่อคดีรถดับเพลิงเรือดับเพลิงเข้าสู่ขบวนการชี้ขาดของ ป.ป.ช. เพราะ เสี่ยชูวิทย์ มั่นใจในหลักฐานที่ได้เห็นมาคงประเมินแล้วรอดยาก แต่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์และเจ้าตัว ยืนกรานความบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงไม่ยอมฟังเสียงคัดค้าน โดยเฉพาะ เทพเทือก หนุนสุดตัว และยังค้านไม่ให้ อดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์ ลาออก แต่ให้พักงาน รอเวลาวิ่งเต้น เอ้ย รอศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองตัดสิน

00 ความมั่นใจในความบริสุทธิ์ผุดผ่องคดีรถดับเพลิงเรือดับเพลิง ไม่ต่างกับความมั่นใจคดีแจกตั๋วหนังในเขตเลือกตั้ง จ.อุบลราชธานี ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ได้ชี้ตัดสินแจก 2 ใบเหลืองให้ ส.ส.เขตพรรคประชาธิปัตย์ 1ใบแดงให้ ส.ส.สอบตก และ 1 ใบขาวให้กับ นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตกรรมการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นไปตามคาดหมาย แต่คาใจของผู้ที่รับรู้ข้อมูลเชิงลึก อย่างที่ เจ๊สดศรี สัตยธรรม กกต. หญิงหนึ่งเดียว ออกมาตอกย้ำให้ช้ำใจ กกต. มีหลายมาตรฐานในการชี้ขาด ทำให้พรรคประชาธิปัตย์โล่งอกอยู่พรรคเดียว ไม่ต้องขึ้นเขียงให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดยุบพรรค และได้ทีจี้ให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาๆๆ

๐๐ บรรทัดสุดท้าย สัปดาห์หน้าให้จับตาสถานการณ์การเมือง ที่จะมีการเปิดเกมจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้สถานการณ์บานปลาย ชะเอย


แผนชั่วปิดทาง “ทักษิณ” ลากไส้


คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว

โดย*อัฐศิริ*


“ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการสมคบคิด กลั่นแกล้งพันธมิตรฯ ทุกวิถีทาง รวมทั้งมีการซื้อตัวการ์ด เพื่อให้กลับมาสร้างสถานการณ์ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่พันธมิตรฯ กำลังหามาตรการดำเนินการต่อไป”

โอ้ ลัลล้า ใครก็ได้ช่วยทีเถอะ การ์ดของพันธมิตร พันธมาร มีราคาค่างวดปานนั้นเชียวหรือ นายสุริยะใส กตะศิลา พูดผิดพูดใหม่ได้นะ เพราะที่ผ่านมาพันธมิตรพันธมารพูดผิดทำผิดๆ มามากแล้ว อย่างน้อยก็ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง

นายสุริยะใส ยังคุยใหญ่คุยโตอีกว่า ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เรียบร้อยแล้วหากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็นการ์ดพันธมิตรฯ พกอาวุธ ก็สามารถจับกุมได้ทันที โดยจะไม่มีการประกันตัวใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากพันธมิตรฯ ไม่สนับสนุนให้พกอาวุธ โดยเฉพาะนอกเขตพื้นที่การชุมนุม

นี่แสดงว่า การ์ดของพันธมาร สามารถพกอาวุธในเขตยึดครองคือทำเนียบรัฐบาลได้ใช่ไหมแล้วที่บอกว่า ชุมนุมกันอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ นั่นก็เป็นการโกหกชาวบ้าน

เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่า ในทำเนียบรัฐบาลวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับซ่องโจร เป็นที่ส่องสุมอาวุธวัตถุระเบิด และยาเสพติด
แล้วที่ระเบิดตูมตาม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม วันที่ม็อบพันธมารยกโขยงกันไปปิดล้อมสภานั้น แน่ใจนะว่าไม่มีอาวุธ แน่ใจนะว่า ไม่ทำให้ใครต้องบาดเจ็บล้มตาย แล้วไปให้ร้ายป้ายสีว่า ตำรวจว่าเป็นคนทำร้ายประชาชน

แหมทำใจให้เชื่อยากครับ เพราะยกโขยงออกไปอย่างนั้น รู้ทั้งรู้ว่าต้องทำอะไร ต้องใช้อะไร อย่างไรแค่ไหน ลำพังหนังสติ๊ก ไม้เบสบอลจะไหวหรือ ทำให้คิดไปถึง กองโจรศรีวิชัย ตอนที่เข้าไปปิดล้อมบุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT มันพร้อมทำศึกไม่ใช่หรือ หรืออย่างการจับกุมการ์ดพันธมาร พร้อมระเบิด แกนนำก็ออกมาแก้ตัวเป็นพัลวันว่า ไล่ออกไปแล้ว แปลความได้ว่า ความจริงก็คือเคยทำงานให้พันธมาร จริงๆ เหมือนอย่างที่ กองโจรศรีวิชัย ที่ไปยึดสถานีโทรทัศน์ NBT บนเวทีพันธมารแสดงอาการยินดีโห่ร้องประกาศชัยชนะ แต่พอถูกจับกุม กลับบอกว่าไม่ใช่ ไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

พอสอบไปสอบมาไปๆ มา คนพวกนี้เป็นกลุ่มพันธมารจริงๆ และยังป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย เลยยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ ในความสัมพันธ์ที่พยายามปฏิเสธมาตลอด

นอกจากนี้ นายสุริยะใส กตะศิลา ยังท้าทาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยรายชื่อบุคคลที่กล่าวหาว่าเป็นศัตรูทางการเมือง เพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

พร้อมกับกัดฟันพูดว่า ไม่กลัวคำขู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะเอาคืนทางการเมือง แต่อยากให้กลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมจะเหมาะสมกว่า

นอกจากนี้ ยังได้เรียกร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงอัยการสูงสุด ต้องมีความจริงใจที่จะเป็นเจ้าภาพนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยโดยเร็ว มิใช่พยายามยืดเวลาอย่างที่เป็นอยู่

เมื่อเทียบฟอร์มกันระหว่าง นายสุริยะใส กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ผมว่ายังห่างกันลิบลับ แต่ทำไมถึงได้ก้าวร้าวอย่างนี้ ก็ต้องหันไปดูภูมิหลังกันหน่อยเป็นไร

นายสุริยะใส มีบทบาทสำคัญในช่วงที่ ออกมาเคลื่อนไหว กรณี สปก. 4-01 ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกโจมตีอย่างหนัก ได้นำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา

ซึ่งตอนนั้นมี ส.ส.ระดับขุนศึก จับมือกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของหนังสือเครือผู้จัดการ เดินเกมทางการเมืองทั้งในและนอกสภา ในที่สุดก็ล้มรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ลงได้

จากนั้นก็ไปคลุกคลีอยู่กับ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 เพื่อรณรงค์ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2551 ให้เป็นประชาธิปไตย แต่ต่อมาได้ยุติบทบาทลงในปี 2526 จนกระทั่งมีการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 จึงได้มีการมารวมตัวกันอีก จนได้ตำแหน่งรองเลขาธิการ และมาเป็นเลขาธิการ ในที่สุด

เมื่อนำ ครป.มารวมกับกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีแกนนำ 5 คน คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงชัย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ โดยนายสุริยะใส อยู่ในตำแหน่งผู้ประสานงานของเครือข่ายพันธมิตรฯ ทำหน้าที่ให้ข่าวกับสื่อมวลชนและแก้ตัวในกรณีที่เกิดเรื่องความอัปยศอดสูขึ้นมา

ขบวนการนี้แหละ ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายอยู่ทุกวันนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ชีวิตของนายสุริยะใสวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว จากเคยต่อสู้กับอำนาจเผด็จการยุค รสช. มาเป็นผู้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับทหารอย่างแนบแน่น

สถานการณ์ของม็อบพันธมาร ที่เจอจังๆ ไป 2 ดอกคือ ลบหลู่กระทำในสิ่งมิบังควรต่อ พระพุทธเจ้าหลวง สมเด็จพระปิยมหาราช กับการบังอาจขัดขวางการเสด็จพระราชดำเนินขององค์พระประมุขและพระบรมวงศานุวงศ์ ในถนนราชดำเนินกลาง จนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลถวายของความปลอดภัย ต้องเลี่ยงไปใช้ถนนหลานหลวงแทน ทำให้พันธมารต้องถอยร่นไปอยู่ในสภาพที่จนตรอก

คนที่เคยยื่นมือช่วยเหลือเจอจุน หรือคอยบงการชักใยอยู่ข้างหลัง ต้องระวังตัว เก็บตัวมากขึ้น เพราะสิ่งที่พันธมารทำลงไปนั้น มันสะเทือนใจคนไทยทั้งชาติ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ

จนทำให้นายสนธิ ต้องลงทุน ทำตัวปานประหนึ่งว่า เป็นจอมขมังเวท ใช้ “ไสยศาสตร์” เพื่อต้องการดึงให้ “โล่มนุษย์” ที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล อดทนอยู่ต่อไป

ผมว่าคนไทยที่รักและคิดถึง อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้ที่ต่อต้านรัฐประหาร ขัดขวางการยึดอำนาจ มีความเอิบอิ่มหัวใจกันพอสมควร หลังจากได้รับฟังคำพูดจากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคืนวันแดงเดือดที่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน งาน ความจริงสัญจร ต้านรัฐประหาร ยิ่งมาตอกย้ำจากการให้สัมภาษณ์ทางสำนักข่าวรอยเตอร์ส ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่า

“ผมต้องพูดกับคนที่ยังรักและศรัทธาผม ผมต้องพูดให้เขาฟัง และคราวหน้าคงจะต้องพูดให้ยาวขึ้น และคงต้องเปิดเผยชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะเขาไล่ผมแบบนี้แล้ว มันมากไปแล้ว”

เพราะเหตุนี้เอง ทำให้ม็อบโกเต๊กซ์ กลุ่มผู้สูญเสียอำนาจ กลุ่มที่ฝักใฝ่อำนาจเผด็จการ ต้องออกมาเต้น จนมีข่าวว่า จะมีการสร้างสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่ความรุนแรงให้ได้

จะมีการจัดการขั้นเด็ดขาด เพื่อขัดขวางการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะโฟนอินมา ถลกหนังหัว ลากไส้ ฝ่ายที่ต้องการทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ และล้มล้างระบอบทักษิณ

เพราะนั่นหมายถึงอวสาน ของกลุ่มคนที่สร้างความบอบช้ำ สร้างความเสียหายทางธุรกิจ และสร้างความแตกแยกให้กับสังคม

คนเหล่านี้แหละ ที่ขัดขวางต่อต้านการปกครองระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทย


'แป๊ะลิ้ม'ประชาชนผู้วิกลจริตแห่งปี้


คอลัมน์ : สวัสดีวันจันทร์

โดย วีระ มุสิกพงศ์


ถึงแม้จะไม่ได้เป็นนักจิตวิทยาและถึงแม้จะไม่ใด้เป็นแพทย์แต่วันนี้ข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ตรวจสอบสภาพจิตของนายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในผู้นำม็อบพันธมิตรซึ่งกระทำการท้าทายกฎหมายไทยอยู่ในทำเนียบรัฐบาลสักหน่อย

เมื่อวันสารทกลางเดือน 10 ที่ผ่านมา นายสนธิได้ปราศรัยกับสาวกที่มาร่วมชุมนุมถ่ายทอดสดทาง ASTV ให้คนได้ชมทั่วประเทศพร้อมกันว่าได้นั่งสมาธิเป็นเวลา 30 นาทีพบว่าในบริเวณทำเนียบรัฐบาลมีสัมภเวสีล่องลอยอยู่มากมายจึงชักชวนกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณเหล่านั้น

วันสารทกลางเดือน 10 นั้นตามประเพณีที่ทำกันมาคนไทยทั่วไปจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับทั้งหลายอยู่แล้ว โดยเฉพาะ เปรตชน ซึ่งเชื่อกันว่าตกทุกข์ได้ยากอยู่ในภพภูมิที่ไม่พึงประสงค์

การอ้างว่า พบเห็นสัมภเวสีจำนวนมากในบริเวณทำเนียบรัฐบาลในช่วงนั้นมีเหตุผลพอที่จะทำให้ผู้คนผู้ด้อยเหตุผลหลงเชื่อตามไปได้ง่าย เพราะเขาเหล่านั้นขาดการปฏิบัติศีล - สมาธิอยู่แล้วเป็นนิจกาล จึงไม่สามารถตั้งคำถามว่า คนอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล นั้นหรือที่สามารถนั่งสมาธิภาวนา 30 นาทีแล้วพบเห็นสัมภเวสีได้เหมือนเปิดโทรทัศน์ดูละคร

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นคนที่รู้จักใช้สติ – ปัญญา ขบคิดปัญหาอยู่บ้าง เขาก็ต้องตั้งคำถามมากมายถึงวัตรปฏิบัติของคนที่ชอบอวดอ้างความเป็นผู้ทรงศีลและปฏิบัติภาวนาว่าระดับใดที่ควรจะพบเห็นอะไร

ถ้าระดับที่ยังรักษาศีล 5 ไม่ได้ คงรักษาได้แต่ศีล 4 หรือไม่ก็ศีล 3 คืออาจขาดข้อ กาเม กับ มุสา แล้วละก็เลิกพูดกันได้เลยกับว่า สมาธิ

ทั้งนี้ไม่ต้องอ้างเหตุผลเดียวกับที่นายรัก รักพงษ์ เคยอ้างว่าการประพฤติธรรมของเขาไม่ต้องอาศัยหลักคำสอนจากใครหรืออิงพระไตรปิฎกใดๆ เป็นการปฏิบัติเอง รู้เอง เห็นเอง ให้เสียเวลา

ต่อมา เมื่อครอบครัวความจริงวันนี้จัดชุมนุมคนเสื้อแดงต้านรัฐประหารที่ ‘ราชมังคลากีฬาสถาน’ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. และปรากฏว่ามีประชาชนผู้รักประชาธิปไตยไปชุมนุมกันมากเรือนแสน ดังที่สื่อมวลชนทุกแขนงได้รายงานข่าวให้ทราบทั่วกันแล้ว

เหตุการณ์นี้ทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นปราศรัยต่อสาวกของเขาโดยออกอากาศทาง ASTV เช่นเคย โดยนายสนธิได้เล่าให้สาวกฟังว่า ก่อนการปราศรัยทางการเมืองและการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บนเวทีของ ความจริงวันนี้สัญจร ครั้งที่ 2 ได้มีการจัดการแสดงละคร โดยนักแสดงอาชีพให้คนเสื้อแดงได้ดูกัน เนื้อเรื่องของละครนั้นเป็นทำนองเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ที่มีพระราชา ปุโรหิตและโอรสซึ่งเป็นรัชทายาท ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการนำมาเล่าซ้ำในที่นี้ เพราะมีการเทียบเคียงเนื้อเรื่องไปถึงประธานองคมนตรีและอื่นๆเป็นตุเป็นตะเพื่อให้สาวกของตนเองเห็นว่า เวทีความจริงวันนี้ กระทำในสิ่งไม่บังควร

การพูดของนายสนธิครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าและเพื่อนพ้องงุนงงเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ว่าจะเป็น ผู้จัด นักร้อง นักดนตรี ตำรวจ ผู้สื่อข่าวทุกแขนง และประชาชนคนเสื้อแดงทุกคนต่างก็ไม่เห็นว่า บนเวทีมีการแสดงละครไม่ว่าเรื่องนี้หรือเรื่องใดๆ

การที่คนซึ่งมีฐานะเป็นแกนนำของกลุ่มพันธมิตรระดับ 1 ใน 5 หรืออาจเป็นระดับ 1 ใน 2 ด้วยซ้ำยกข้อความใดมากล่าวปราศรัยต่อประชาชนจำนวนมาก ย่อมเป็นที่เชื่อกันเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง ไม่ใช้เรื่องโกหก หรือเรื่องที่เสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้น

แต่เรื่องที่นายสนธิ นำมาเล่าในครั้งนี้ กลับปรากฏว่าไม่มีความจริงแม้แต่สัก 1% คือมันเป็นศูนย์ ไม่มีมูล ไม่มีเหตุ ไม่มีเค้า แม้แต่ ความคิด ของคณะผู้จัดงาน
ดังนั้น เราจึงสามารถสรุปได้ว่า นายสนธิได้นำความเท็จมากล่าวเพื่อทำให้เกิดความเกลียดชังแก่คณะความจริงวันนี้เท่านั้นเอง

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำอีกคนหนึ่งของพันธมิตรเคยเผยแพร่พระพุทธ วัจนะที่ว่าคนพูดเท็จจะไม่ทำความชั่วอย่างอื่นเป็นไม่มี ประเด็นนี้ไม่ทราบว่า 2 ผู้นำของพันธมิตรฯ เคยยกขึ้นเป็นหัวข้อสนทนากันบ้างหรือไม่ นับตั้งแต่กินอยู่หลับนอนด้วยกันในทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลานานหลายเดือน

ข้าพเจ้าเองไม่คุ้นเคยกับคนที่มีความประพฤติเช่นนี้ จึงอดนำมาวิเคราะห์สภาพจิตไม่ได้ว่า คนที่สามารถพูดความเท็จต่อสาธารณชน โดยที่รู้อยู่ว่าคนจำนวนมากกว่าอีกกลุ่มหนึ่งรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จ ต้องใช้ความกล้าหาญเพียงใดและสภาพจิตของเขาในขณะนั้นเป็นอย่างไร

เป็นไปได้หรือไม่ที่คนคนหนึ่งเมื่อถูกกดดันจากสถานการณ์จนไม่มีทางออก เขาอาจจินตนาการหรือสร้างเรื่องขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว แล้วนำเรื่องในจินตนาการนั้นไปเล่าสู่คนอื่นๆฟัง โดยตัวเขาเองสำคัญว่าเป็นเรื่องจริง

นายสนธิ ลิ้มทองกุล กำลังตกอยู่ในสถานะเช่นนั้น หรือว่าเขาเจตนาโกหก โดยที่มีความมั่นใจว่ามวลชนพื้นฐานของเขาพร้อมที่จะเชื่อหรือไม่ว่าเขาจะพูดอะไร

วันสองวันมานี้เอง ข้าพเจ้าได้เห็นนายสนธิ ชักชวนให้สาวกของเขาในทำเนียบรัฐบาลนุ่งขาวห่มขาวถือศีล 5 โดยเคร่งครัด แม้คำเชิญชวนเป็นเรื่องดี แต่เมื่อคำเชิญชวนนี้ออกมาจากปากนายสนธิ แทนที่จะออกมาจากปากพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ข้าพเจ้าก็รู้สึกมีวิจิกิจฉาคือความสงสัย

สงสัยว่าคนอย่างนายสนธิ นี้หรือชักชวนผู้คนให้ร่วมปฏิบัติธรรม ?
เขามีความพร้อมทั้งกาย วาจา ใจที่จะทำเช่นนั้นละหรือ ?
ครับ ข้าพเจ้ากำลังมีความสงสัยว่านายสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นคนป่วย
ท่านผู้อ่านว่าข้อวิเคราะห์ของข้าพเจ้ามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ ?


มติชน vs พันธมิตรฯ


คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป

ขาประจำผู้เสพข่าวสารทางการเมือง หลายคนคงกำลังมึนงงกับการเลือกนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ของสื่อค่ายมติชน ที่เปลี่ยนไป

เพราะไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ จะเห็นได้ว่า สื่อในเครือมติชนเสนอข่าวเกี่ยวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเปลี่ยนไปจากเดิม และทวีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุดที่เสนอข่าว ตั้งข้อสงสัยไปที่แกนนำพันธมิตรฯที่รับเงินบริจาคแต่ไม่เสียภาษี และเปิดโปงบริษัทในเครือเอ็มกรุ๊ปที่ล้มบนฟูกและใช้เงินภาษีประชาชนไปอุ้ม รวมทั้ง เอเอสทีวี มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่มีความเชื่อมโยงกัน ทั้งส่อว่าอาจจะมีการฟอกเงิน นี่ยังไม่นับรวมข่าวรายวันที่เสนอด้านลบ มุมมืดของพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล

คอการเมืองหลายคนวิเคราะห์ว่า จุดยืนที่เปลี่ยนไปนี้น่าจะเกิดจากการที่พันธมิตรฯ ประกาศให้คนในสังคมบอยคอตไม่ซื้อไม่อ่านสื่อเครือมติชน กระทั่งส่งนักเลงเข้าไปคุมแผงไม่ให้มีการซื้อขาย จึงกลายเป็นแรงบีบขนานใหญ่ทำให้ผู้บริหารของเครือเองต้องออกมามีปฏิกิริยาตอบโต้ จริงเท็จประการใด สุดแท้แต่การวิเคราะห์และคาดเดากันไป

แต่ที่จริงแท้แน่นอน ก็คือ บ้านเมืองระส่ำระสาย แตกแยกไปทั่วทุกหัวระแหง เพราะการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯตั้งแต่ก่อนหน้าการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ณ พ.ศ. 2551 การเคลื่อนไหวของพันธมิตร และการรัฐประหาร คือต้นตอของวงจรอุบาทว์ กัดเซาะทำลายระบอบประชาธิปไตย และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างไม่รู้จบ

โดยทั้งพันธมิตรฯ และเผด็จการทหารนั้น มีแนวร่วมสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า คือ บรรดาสื่อมวลชนกระแสหลัก และปัญญาชน นักวิชาการที่ต่างได้รับการสมนาคุณกันถ้วนหน้า อาทิ ตำแหน่ง สนช. สสร. เหล่านี้เป็นต้น
ผู้บริหารของเครือเอง ก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับองคาพยพเผด็จการด้วยใช่หรือไม่?

ก่อนหน้านั้นในช่วงปี 2548 มีกระแสความไม่พอใจเกี่ยวกับการเข้ามาของแกรมมี่ที่เข้ามาถือหุ้นของบริษัทจนทำให้เลือกข้างเข้าร่วมกับการโค่นล้มรัฐบาลใช่หรือไม่?

หากมองย้อนกลับไป ในห้วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ที่สำคัญในสังคมคือ แม้ว่าอำนาจเผด็จการ และฝ่ายอำมาตยาธิปไตยจะพยายามควบคุมชี้นำสังคม แต่ก็มีพลังของประชาชนผู้รักและพิทักษ์ประชาธิปไตยเคลื่อนไหวต่อต้านคัดค้านมาโดยตลอด

เวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังรัฐประหาร จุดยืนและท่าทีของสื่อในเครือมติชนเป็นเช่นไร ทิศทางการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เป็นกลางเสนอข่าวสารทั้ง 2 ด้านได้อย่างเท่าเทียมกันจริงๆหรือ และเลือกที่จะให้น้ำหนักแก่ฝั่งใด คนบริโภคข่าวสาร ไม่เคยแม้แต่จะได้เห็น ท่าทีคัดค้าน ประณามการทำรัฐประหาร ใช่หรือไม่?

ทั้งก่อนหน้าที่จะมีการประกาศบอยคอตจากแกนนำพันธมิตรฯ เมื่อมีนักข่าวของตน ถูกคุกคาม ข่มขู่จากแกนนำพันธมิตรฯ ต่อมา ช่างภาพของหนังสือพิมพ์ในเครือถูกหิ้วปีกและข่มขู่จากการ์ดพันธมิตรฯ ยังได้เห็นท่าทีที่น่าประหลาดใจของผู้ใหญ่ในเครือคนหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า ไม่อยากที่จะพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไร นัยว่ายังเกรงใจไม่อยากมีปัญหากับพันธมิตรฯ จนทำให้นักข่าวที่ทำงานอยู่ในสนามเกิดความไม่มั่นใจ และเคว้งคว้างเพราะถูกลอยแพจากผู้ใหญ่

บทสะท้อนจุดยืนที่ผ่านมาของสื่อเครือมติชนจึงทำให้เกิดข้อกังขาว่า จุดยืนที่เปลี่ยนไปในวันนี้เป็นเพราะคิดได้ ตระหนักถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้จริง หรือตามกระแสของสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นช่วงขาลงของพันธมิตรฯ ท่ามกลางการขยายตัวที่เติบโต เข้มแข็งของพลังประชาธิปไตยสีแดง?

คงต้องบอกว่า ฝ่ายประชาธิปไตยเปิดกว้างพอที่จะรับ ผู้ที่เคยทำ ผิด คิดพลาดไป ให้กลับมามีที่อยู่ที่ยืนได้ในขบวนประชาธิปไตย แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ตัวตน และคุณภาพว่าจะเป็นที่อยู่ที่ยืนได้อย่างมั่นคงและสง่างามมากน้อยแค่ไหน

ดังสุภาษิตที่ว่า ดีชั่ว อยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว! นั่นเอง


อสมท.เรือแตก! เด้งฟ้าผ่า'วสันต์ ภัยหลีกลี้'

นายธงทอง จันทรางศุ รองประธานกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ชี้แจงผลการประชุมคณะกรรมการบริหาร อสมท.ว่า ทุกฝ่ายเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ก็เห็นด้วยที่จะยุติบทบาทการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะมีผลนับจากนี้ไปอีก 30 วัน

โดยนายธงทอง ได้ชี้แจงถึงเรื่องการยุติการทำงานของนายวสันต์ว่า แท้จริงแล้วนายวสันต์เป็นคนดี ทำงานเก่ง ซื่อสัตย์ เพียงแต่มีทิศทางในการทำงานที่แตกต่างกัน มีความเห็นที่ไม่ตรงกันบ้างในบางเรื่อง ทั้งนี้คณะกรรมการบริหาร อสมท. ได้มอบหมายให้ นายชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) รักษาการแทน



'ความจริงวันนี้'ชี้นวนิยาย'โฮปเวลล์'เลวเป็นทีม...ทิ้งซากทุจริตอัปยศเพียบ!!







การรถไฟแห่งประเทศไทยคงมีเรื่องให้กลุ้มอกกลุ้มใจอีกรอบ หลังจากอนุญาโตตุลาการตัดสินแล้วว่าให้ชดเชยเงิน'โฮปเวลล์'กว่าหมื่นล้าน ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ พิธีกรรายการเผย18ปี...แห่งความหลัง โกงกินกันเพียบ

นายวีระ มุสิกพงศ์ พิธีกรรายการกล่าวถึงโครงการที่น่าอัปยศอดสูที่สุดและยังจำได้กันดี คือเสาตอหม้อโครงการระบบขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับ หรือ "โฮปเวลล์" นับจากวันที่ได้มีการลงนามเซ็นต์สัญญาเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2533 ในการให้สัมปทาน พร้อมทั้งสิทธิการเข้าใช้ประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณริมทางรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ กับบริษัท คู่สัญญา คือ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด จวบจนวันนี้ เป็นเวลา 18 ปีแล้ว

ท้ายที่สุดเหตุการณ์ทุจริตที่น่าอัปยศนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อ อนุญาโตตุลาการ ตัดสินเมื่อวันที่8ที่ผ่านมานี้ ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยต้องจ่ายชดเชยให้กับบริษัทโฮเวลล์ เป็นเงิน11,888,000,000ล้านบาท ก็เล่นรวมหัวกันทุจริตเป็นคณะก่อสร้างกันโดยไม่มีแบบสร้างไปเขียนแบบไป ผลสรุปก็ได้มาเพียงเสาตอหม้อตั้งตระหง่านโดดเด่นเอาไว้ให้ผู้ที่ไม่รู้ถามว่า"ไอ้เสานี่ มันจะเอามาปักไว้ทำไมกันนะ" แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยก็มีหนี้สิ้นล้นพ้นตัวอยู่แล้ว ดันเจอหนี้ก่อนโตรอบนี้เข้าไปอีกคงปวดกบาลดิ้นรนหาทางออกกันอีกยาวแน่

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ พิธีกรรายการยังกล่าวอีกว่าอยากให้ป.ป.ช.เร่งดำเนินการวินิฉัยกรณีการทุจริตฮั้วประมูล16โครงการในกรุงเทพฯ ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ต่อเนื่องโดยด่วน เพราะเอกสารประกอบการวินิฉัยก็มีครบถ้วนและชี้ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีการทุจริตจริง เหตุใดป.ป.ช.จึงไม่ตัดสินให้รู้เรื่องไปเลยสักที

ขณะที่นายก่อแก้ว พิกุลทอง พิธีกรรายการกล่าวถึงการพูดปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยอ้างว่าประชาชนกลุ่มที่ไม่ออกมาชุมนุมแสดงจุดยืนใดๆเลยนั้นถือว่าเป็นพวก"ชิงหมาเกิด"เป็นการกระทำที่ใช่ไม่ได้เพราะประชาชนชาวไทยพื้นฐานเป็นคนรักสงบไม่ต้องการความวุ่นวายหรือความแตกแยกอยู่แล้ว การที่ไม่เลือกออกมาชุมนุมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นคงกำลังคิดตัดสินใจอยู่ว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิดมากว่า


บทวิเคราะห์จากหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ!!!!!

บทความ โดย ป้าพลอย

วันนี้ได้อ่านบทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งซึ่งวิเคราะห์สถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นใน

ประเทศไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมา จากการสรุปของนักเขียนได้วิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น


ระหว่างระบบทักษิณ กับ ระบบอำมาตยาธิปไตยที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ผู้คนสมัยใหม่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมากที่มีความต้องการจะพัฒนาสิ่งใหม่ๆในประเทศให้ทันสมัยเหมือนชาวโลกที่เขาพัฒนา อีกทั้งมี
นายกรัฐมนตรีที่มองกาลไกลถึงการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้กับประเทศไทย รวมทั้งระบบทักษิณที่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือประชาชนรากหญ้าที่ไม่เคยมีใครเลียวแลมาก่อน ระบบทักษิณช่วยรากหญ้าจึงเป็นโมเด็ลใหม่สำหรับคนจนรากหญ้าที่ทักษิณเข้าไปดูแลช่วยเหลือถึงมือ การที่เห็นผู้นำเอาใจใส่คนรากหญ้าที่ถูกทอดทิ้งมาหลายทศวรรษ์

จึงทำให้คนรากหญ้ารักและเทอดทูลระบบทักษิณที่เห็นหัวคนจนๆ ฉะนั้นเป็นเวลาไม่กี่ปีเลยระบบทักษิณจึงก้าวหน้าไปไกลนับวันยิ่งมีประชาชนไทยนิยมและสนับสนุนเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นระบบอำมาตย์ไตยกำลังจะถูกประชาชนลืมซึ่งจะยอมไม่ได้นี่คือต้นเหตุมาจากการอิจฉาริษยา


ระบบทักษิณ หากอำมาตยาธิปไตยไม่กำจัดระบบทักษิณออกให้พ้นทาง ระบบอำมาตย์ไตยจะไม่เหลืออะไรใว้ให้แก่ลูกหลานของตน เพราะระบบทักษิณกำลังครอบงำแย่งความรักที่ประชาชนที่มีต่อระบบอำมาตยาธิปไตยไป ดังนั้น


สงครามแย่งประชาชนจึงเกิดขึ้นในไทย ระหว่างระบบทันสมัยและระบบไดโนเสาร์ ระบบอำมาตยาธิปไตยมีอำนาจอยู่ในสังกัดทั่วองค์กร และต่างเกรงอกเกรงใจกันทั่วหน้าเพราะระบบอำมาตยาธิปไตยใครๆก็รู้ว่ามาจากใหน

ฉะนั้นการที่จะเขี่ยระบบทักษิณให้พ้นทางไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อระบบ
อำมาตยาธิปไตยมีคำสั่งออกไปทุกคนก็

เดินสายทำลายทักษิณเจ้าของระบบทันทีโดยใช้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งตอนนั้นกำลังถังแตกและมีเรื่องหมางใจกับนายกทักษิณ จึงเป็นโอกาสของ สนธิ โจมตีรัฐบาลทันทีประจวบกับระบบอำมาตยาธิปไตยสนับสนุนให้ท้าย สงครามน้ำลายของ สนธิ ลิ้มจึงเกิดขึ้นที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง สงครามน้ำลายของสนธิใหม่ๆมีผู้หลงเชื่อ
เป็นจำนวนมากหลังจากจุดไฟตอแหลติด สนธิ และอำมาตย์ไตยรวมทั้งทหารคิดล้มล้างระบบทักษิณโดยการ

ใช้ทหารเป็นผู้โค่นอำนาจปฏิวัติรัฐบาลของคนรากหญ้าที่เลือกมา เพื่อหวังจะให้รากหญ้ากลับมารักใคร่ระบบอำมาตย์ไตยเหมือนเดิม หลังจากให้ทหารปฏิวัติครองอำนาจ ประชาชนรากหญ้ากลับไม่แยแสระบบ

อำมาตยาธิปไตยประชาชนรากหญ้ากลับเพิ่มความเห็นใจท่านนายกทักษิณ ชินวัตร และประกาศยืนเคียงข้างท่าน

ไม่ว่าจะกรณีใดๆไม่สามารถบังคับคนรากหญ้าได้ ยิ่งนานวันความเสื่อมศรัธาของคนรากหญ้าที่มีต่อระบบ


อำมาตยาธิปไตยก็ยิ่งเหลือเพียงเลขศูณย์ คนรากหญ้ายิ่งเห็นธาตุแท้ของศักดินาและระบบอำมาตยาธิปไตย ที่ตามไล่ล่านายกในดวงใจของเขา รังแกครอบครัวของเขา โยนข้อหาต่างๆให้นายกของเขา อย่างไร้ซึ่งความระอายที่ตัวเองบอกว่าเป็นชนชั้นสูง แต่การกระทำเลวชาติ คนรากหญ้ารับไม่ได้ จากวันนั้นถึงวันนี้ระบบอำมาตยาธิปไตยยังตามล่านายกของเขาไม่สิ้นสุดทั้งที่เขาพาครอบครัวอพยพไปขออาศัยยังประเทศที่สามก็ยังตามล้างเขาไม่หยุด ทำให้รากหญ้าทนไม่ได้อีกแล้วจำเป็นต้องลุกหือ


พร้อมกันดังที่เห็นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จากข่าวที่รากหญ้าทราบว่าการที่ทางประเทศอังกฤษงดออกวีซ่าเข้าประเทศก็เป็นฝีมือคนที่สั่งไล่ล่าทักษิณอีกเช่นกัน

ทักษิณคือตัวอันตรายสำหรับระบบศักดินาและระบบอำมาตยาธิปไตย จึงต้องสกัดทุกวิถีทางนี่คือ
ความอิจฉาของผู้ที่ได้ว่าเป็นชนชั้นสูง ทำเพื่อวงค์ตระกูลตนเองและญาติพี่น้องโดยไม่ได้นึกถึงผู้ใด ไทยแลนด์หากผู้คนยังมี

ความคิดเห็นแก่ตัวเช่นนี้คงยังอีกนานกว่าจะขึ้นฝั่งไปได้ ตอนนี้ไทยแลนด์เสมือนดังลอยเรืออยู่ท่ามกลางคลื่นลมกลางทะเลยังหาฝั่งไม่ได้ว่าจะขึ้นฝั่งใหน นอกจากประชาชนไทยร่วมมือกันฉุดลากเรือที่โดนมรสุม


ให้กลับเข้ามายังฝั่งจึงจะพ้นอันตรายจากที่เรือไม่คว่ำจมลงมหาสมุทร..............

หวังว่าบทวิเคราะห์การเมืองไทยของหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ คงให้ข้อคิดบางอย่างกับ

อำมาตยาธิปไตยได้บ้างว่า การบังคับให้ประชาชน
หันมารักเหมือนเดิมเป็นไปไม่ได้ ในเมื่ออำมาตยาธิปไตยไม่มีความจริงใจต่อประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนไม่สามารถรักคนที่ ทำร้ายตามล่าตามอฆาตคนในครอบครัวของตนเมินเสียเถิดไม่มีวัน..........

ป้าพลอย

จาก thaifreenews

Thursday, November 13, 2008

'ชูวิทย์'แฉ!ผีโต๊ะจีน300ล.'หล่อเล็ก'ยื้อ7วัน'เคลียร์ตั๋ว'จ่ายปชป.

“ชูวิทย์” แฉแหลก!โต๊ะจีน 300 ล้าน จวกยับ 'หล่อเล็ก'ด้านอยู่ต่อ 7 วันเพื่อเคลียร์บิลเก็บค่าโต๊ะจีนระดมทุน จี้ประชาธิปัตย์เตรียมจ่ายเงินค่าเลือกตั้ง 154 ล้าน ดักคอซ้ำลาก 'กรณ์' ลงชิงผู้ว่าฯ ย้ำประกาศจุดยืนอีกครั้ง 20 พ.ย.

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. เปิดเผยว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่ากทม.ที่ไม่สามารถดำรงตำแหน่งผู้ว่ากทม.ได้ 2 สมัย เพราะมันเป็นอาถรรพ์ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าพรรคประชาธิปัตย์รู้อยู่แล้วว่านายอภิรักษ์จะถูกชี้มูลความผิดแต่ก็ยังส่งนายอภิรักษ์เข้าชิงผู้ว่ากทม.ทั้งที่ตนได้เคยเตือนแล้วว่าควรจะยึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และไม่ควรส่งนายอภิรักษ์มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ควรรับผิดชอบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. 154 ล้าน และค่าใช้จ่ายของผู้รับสมัครเลือกตั้งทั้งหมด รวมถึงค่าเดินทางของชาวกทม.ที่เดินทางไปเลือกตั้ง

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะเอานายกรณ์ จาติกวานิช ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเพราะเป็นการเสียเงินสองต่อจากการเลือกตั้งซ่อม และใครจะรับผิดชอบ วันนี้จึงไม่สมควรมาชื่นชมนายอภิรักษ์และพรรคประชาธิปัตย์เพราะทราบดีว่ามีชนักติดหลัง นายอภิรักษ์จึงควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทันทีไม่ควรมาอ้างว่าจะปฏิบัติหน้าที่ต่อถึงวันที่ 19 พ.ย.เพื่อจัดงานสำคัญ

“รู้ว่าวันนี้ที่นายอภิรักษ์ยังไม่ออกเป็นเพราะโต๊ะจีนยังไม่เลิกรา แมสเซนเจอร์ยังส่งบิลมาไม่หมด ตอนนี้ต้องรอเคลียร์อะไรบางอย่าง นายอภิรักษ์ จะออกก็ออกเลยวันนี้กทม.ไม่มีนายอภิรักษ์แค่คนเดียวก็สามารถจัดงานได้ โต๊ะจีนโต๊ะละหนึ่งล้านมีแต่ผู้รับเหมาทั้งนั้น โดยแบ่งเป็นถ้าเป็นผอ.สำนักของเขตเล็กเอา 1โต๊ะ ผอ.สำนักเขตใหญ่ 2 โต๊ะส่วนผอ.สำนักโยธา 3 โต๊ะ โต๊ะละ 1 ล้านจึงเป็นที่มาของการอยู่ต่ออีก 7 วัน อย่าคิดว่าผมกระดี้กระด้า กระสันอยากจะลง ผมไม่ได้อยากลง แต่ผมเวทนาการเมืองไทยอย่างยิ่งและหมดหวังกับการเมืองไทยที่ปัดความรับผิดชอบ ทวงเอาบุญเอาคุณกับประชาชนกลายเป็นความชอบธรรมทางการเมือง ” นายชูวิทย์กล่าว

ทั้งนี้นายชูวิทย์ปฎิเสธที่จะตอบว่าจะลงสมัครผู้ว่ากทม.อีกครั้งหรือไม่ โดยกล่าวเพียงว่า ตนไม่ได้กระสัน และจะแสดงจุดยืนเกี่ยวกับการลงรับสมัครเลือกตั้งอีกครั้งในวันที่ 20 พ.ย. แต่ตอนนี้ตนจะตอบเมื่อไปถามนายอภิรักษ์ว่าทำไมถึงต้องอยู่อีก 7 วันและฝากไปถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ โต๊ะจีนแบบนี้เรียกว่าการเมืองใหม่หรือ วันนี้ตนยังไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น แต่ที่ผ่านมาในการลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ตนหาเงินมาเองกับมือ ไม่ได้เอาเงินโต๊ะจีนมาช่วย

พร้อมกันนี้พรรคประชาธิปัตย์ควรเอาเงินโต๊ะจีน 300 ล้านบาทมาแบ่งให้กับการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. 154 ล้านบาท และแจกให้กับอดีตผู้สมัครอีกคนละ 1 ล้านบาท และให้กับประชาชนชาวกทม.อีก คนละ 100 บาทเพื่อแสดงความรับผิดชอบ วันนี้เมื่อผีถึงป่าช้าแล้วก็ต้องเผาแต่ค่าเผาใครจะเป็นคนจ่าย

กกต.ชี้'อภิรักษ์'ยังไม่พ้นบ่วงกรรม!ลุ้นศาลอุทธรณ์'เพิกถอนสิทธิ

นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งใหม่ว่า คงจะใช้งบประมาณใกล้เคียงกับครั้งที่แล้วคือ 154 ล้านบาท แต่ก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องดำเนินการ เพราะประเทศไทยปกครองแบบประชาธิปไตย ทั้งนี้ประชาชนทุกคนไม่ควรที่จะเบื่อหากมีการเลือกตั้งกันอีก

ส่วนการพิจารณาดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่นาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ถูกยื่นคำร้องนายสุเมธกล่าวว่า แม้นายอภิรักษ์จะลาออก แต่คดีทุกอย่างก็ดำเนินการพิจารณาต่อไปตามปกติ ทั้งนี้ หาก กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่าควรให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) ก็ต้องยุติเรื่อง เพราะนายอภิรักษ์ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ส่วนถ้ามีการให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) กกต.ก็จะส่งความเห็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจะมีความเห็นเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามมติ กกต.หรือไม่

ด้านนาย ประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า การพิจารณาสำนวนร้องเรียนของนายอภิรักษ์นั้น ตามข้อกฎหมายแล้ว หาก กกต.มีมติเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) แก่ นายอภิรักษ์แล้ว หากศาลอุทธรณ์ยืนตามมติ กกต. นายอภิรักษ์ ก็จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 1 ปี และห้ามลงสมัคร ส.ส. ส.ว. รวมถึง ผู้ว่าฯ กทม. ส่วนจะต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่หรือไม่นั้นยังตอบไม่ได้ เนื่องจากมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ไปแล้ว ซึ่งมาจากผลของการลาออก ไม่ใช่ผลของการให้ใบแดง ซึ่ง กกต.จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะสั่งให้มีการชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ เพราะยังมีปัญหาข้อกฎหมายอยู่

คะแนนนิยม'ปชป.-อภิรักษ์'ดิ่งเหว

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เผยผลสำรวจทัศนคติของประชาชนต่อการทุจริตคอรัปชั่นและกรณีคดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 69.6% เห็นด้วยกับการลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เมื่อถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิด ขณะที่มีผู้ไม่เห็นด้วย 30.4% นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ 73.2 %เห็นว่า นักการเมืองทุกๆ คนที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ควรลาออกทั้งหมด

โดยผลสำรวจยังพบว่าการลาออกของนายอภิรักษ์ มีผลต่อความนิยมศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยประชาชน 10.8% บอกว่านิยมศรัทธาเพิ่มขึ้น แต่ 49.9% ระบุว่ายังนิยมเหมือนเดิม แต่27.9%ไม่นิยมศรัทธาเหมือนเดิม และ 11.4% ยิ่งไม่นิยมศรัทธาเลย

ขณะเดียวกันหากวันนี้เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ผลสำรวจพบว่า 37% จะเลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ 29.3%จะเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชาชน และ 33.7% จะเลือกผู้สมัครไม่สังกัดพรรค

'อภิรักษ์'ไขก๊อก!กกต.จี้หาผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเลือกตั้งซ่อมผู้ว่าฯ

หลังนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประกาศลาออกจากผู้ว่าฯกทม. หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วินิจฉัยว่ามีความผิดในคดีจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงของกทม. โดยนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาระบุว่า นายอภิรักษ์ไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นการลาออกจากตำแหน่ง ไม่ใช่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้กกต.และกทม.จะตั้งงบประมาณออกค่าใช้จ่ายเอง

วันนี้(13 พ.ย.) นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แทนนายอภิรักษ์ว่า เตรียมจัดการเลือกตั้งทันวันที่ 11ม.ค. 2552 โดยการจัดการเลือกตั้งในลักษณะนี้ ต้องภายใน 60 วัน อย่างไรก็ตามวันนี้คงมีการนำเรื่องดังกล่าว เข้าสู่ที่ประชุมกกต. เพราะเมื่อวานนี้ (12 พ.ย.) มีการให้สัมภาษณ์ของนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้งไปแล้ว

นางสดศรี กล่าวถึงงบประมาณสำหรับจัดการเลือกตั้งว่า งบประมาณจัดการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา กับที่จะใช้ในเดือนม.ค.ปีหน้า ใกล้เคียงกัน คือประมาณ 160 ล้านบาท สำหรับงบประมาณจัดการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้ จะมาจากนายอภิรักษ์ หรืองบของ กกต.เองนั้น จะต้องมีการพูดกันอีกครั้ง เพราะกรณีนี้ เป็นกรณีแรกว่า ไม่ใช่การเลือกตั้งปกติ เนื่องจากนายอภิรักษ์ลาออกตามความผิดของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรา 55

นางสดศรี กล่าวต่อว่า วันนี้การประชุมของ กกต. จะหารือครอบคลุมทั้งเรื่องการจัดการเลือกตั้งใหม่และค่าใช้จ่าย เพราะเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นเงินภาษีของราษฎร อย่างไรก็ตามในกรณีผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งนั้น เท่าที่ผ่านมา จะเป็นกรณีบุคคลทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ในเรื่องของนายอภิรักษ์เป็นกรณีแรกที่จะต้องมีการพิจารณาร่วมกันของ กกต.อีกครั้งว่าเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่

นางสดศรี กล่าวถึงความคืบหน้าประเด็นเรื่องร้องเรียนของนายอภิรักษ์จากการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งที่ผ่านมาว่า ขณะนี้อนุกรรมการวินิจฉัยของ กกต. กำลังพิจารณาว่า ข้อร้องเรียนเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ที่จะต้องวินิจฉัยให้เสร็จภายใน 1 เดือน

ส่วนเรื่องงบประมาณจัดการเลือกตั้งนั้น นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่วาระเร่งด่วน เพราะคงจะต้องรอให้ครบองค์คณะ สำหรับกรอบการจัดการเลือกตั้งที่น่าจะเป็นวันที่ 11 ม.ค. 2552นั้น จะต้องมีการเปิดรับสมัครผู้สมัครชิงตำแหน่งประมาณปลายเดือนพ.ย.นี้ และคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะกกต.ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งทุกระดับมาแล้ว และปีนี้จัดการเลือกตั้งท้องถิ่นมาแล้วกว่า 2,000 แห่ง คงไม่มีปัญหา

'มาร์ค'แย้มผู้สมัครกทม.เปิดกว้างทั้งคนใน-นอก

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการเตรียมบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ขณะนี้ทางพรรคมีรายชื่อบุคคลที่เสนอตัวเข้ามาไม่ต่ำกว่า 6 คน ซึ่ง มีทั้งบุคคลภายนอกและบุคคลในพรรค โดยพรรคจะพิจารณาและตัดสินใจโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เป็นทางเลือกที่ที่สุดให้กับคน กทม. พร้อมยอมรับว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหนักใจ และพรรคจะไม่ประมาท ดังนั้น พรรคจะเลือกสรรบุคคลที่มีความเหมาะสม มีความรู้ความสามารถ มีมุมมองที่ทันสมัยสานต่อและผลักดันนโยบายของพรรคได้ อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ

สำหรับนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่คาดว่าจะเป็นผู้ลงสมัครผู้ว่า กทม.ในครั้งนี้ นายอภิสิทธิ กล่าวว่า เป็นบุคคลหนึ่งที่พรรคกำลังพิจารณาถึงความเหมาะสม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับมติของพรรคด้วย ซึ่งตนยังไม่ได้พิจารณาใครเป็นพิเศษ แต่จะเปิดกว้างสำหรับทุกคน

ชี้ป.ป.ช.ทำถูก!ฟันอภิรักษ์เซ่น'ดับเพลิงฉาว' มั่นใจพปช.ทวงแค้นสนามกทม.

ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.พรรคพลังประชาชน (พปช.) ได้กล่าวถึงกรณีที่กคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กรณีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กทม. มูลค่า 6,687 ล้านบาท

โดยชี้ว่า ป.ป.ช.ทำถูกต้องแล้ว ซึ่งตนเคยตั้งข้อสังเกตมานานแล้วว่าตั้งแต่ครั้ง คตส.เป็นผู้ตรวจสอบ และชี้ว่านายอภิรักษ์ไม่ผิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเพราะ คตส.จะมาชี้ว่าคนที่เปิดแอล/ซีไม่ใช่ผู้กระทำความผิดไม่ได้ ถ้าจะถามหาตัวคนผิด ต้องโทษ คตส.ไม่ใช่ ป.ป.ช. เพราะ คตส.พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยนายอภิรักษ์และพรรคประชาธิปัตย์

ในเรื่องนี้ นายสุวัฒน์ วรรณะศิริกุล ประธาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชาชน (พปช.) ให้สัมภาษณ์ "ประชาทรรศน์" ว่า ตนไม่ขอวิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามถึงประมาณที่จะใช้ในการเลือกตั้งซ่อมผู้ว่าฯกทม.ที่ต้องใช้สูงถึง 160 ล้านบาท ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ นายสุวัฒน์ชี้ว่า คงต้องเป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ต้องดูแล

เมื่อถามว่า นายอภิรักษ์และพรรคประชาธิปัตย์จะต้องออกมารับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวด้วยหรือไม่ นายสุวัฒน์ กล่าวย้ำว่า ตนไม่ขอวิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องของ กกต. ส่วนกรณีที่มีผลสำรวจความชื่อมั่นศรัทธาของชาวกรุงเทพฯที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ลดน้อยลงนั้น จะทำให้ผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนสู้ไหวหรือไม่ นายสุวัฒน์ กล่าวว่า สู้ไม่ได้ก็ต้องสู้ เมื่อส่งลงสมัครแล้วก็ต้องสู้

ต่อข้อถามว่า พรรคพลังประชาชนจะส่งนายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ลงชิงตำแหน่งผู้ว่ากทม.หรือไม่ นายสุวัฒน์ กล่าวว่า ไม่ทราบและยังไม่ได้คุยกัน เพราะยังเป็นเรื่องสดๆร้อนๆ ป.ป.ช.เพิ่งชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ซึ่งต้องรอให้พรรคฯมีข้อสรุปออกมาก่อน ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลไม่เกินวันนี้ (14 พ.ย.)

เมื่อถามถึงกรณียุบพรรคพลังประชาชน นายสุวัฒน์ กล่าวว่า ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องของทางผู้ใหญ่ ตนเป็นเพียงชั้นผู้น้อยยังไม่ทราบรายละเอียดอะไรมาก ส่วนท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ตนก็ไม่เคยติดต่อและไม่เคยทราบเรื่อง