นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน กล่าวถึงกรณีที่มีส.ส.พรรคพลังประชาชนบางคนจะโหวตค่ำร่างของคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550(คปพร.)ที่เสนอโดยนพ. เหวง โตจิราการ หากมีการบรรจุอยุ่ในวาระการประชุมสภาฯ ว่า การเสนอร่างของคปพร.เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่ประชาชนเข้าชื่อเพื่อเสนอต่อสภาฯบรรจุในวาระการพิจารณา และจากการการประชุมร่วม 4 ฝ่ายก็เห็นตรงกันว่าควรที่จะแก้ไขมาตรา291 เพื่อตั้งส.ส.ร.3 ขึ้นมาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นหากการเสนอร่างแก้ไขที่เสนอโดยประชาชนแต่ส.ส.ในสภาฯไม่รับก็ถือว่าใช้ไม่ได้ แต่หากยืนยันที่จะไม่รับฟังเชื่อว่าจะมีปัญหาตามมาอีกแน่นอน ดังนั้นส.ส.พลังประชาชนควรที่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและคุยกัยว่าจะเดินหน้าอย่างไร และที่ตนแสดงความคิดเห็นก็ไม่ใช่เพราะเคยร่วมงานในฐานะนปก.มาก่อน เพียงแต่อยากให้รับฟังความเห็นคนอื่นบ้าง
นายจตุพร กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ส่วนตัวอยากฝากบอกไปถึงสมาชิกในพรรคว่าอย่าใช้คำว่าคว่ำร่าง และอย่าดูถูกน้ำใจประชาชน แต่ขอให้พิจารณาทบทวนดก่อนหากเห็นว่าร่างของคปพร. มีปัญหาก็ไปแก้ไขในชั้นกรรมาธิการได้ ซึ่งจะเป็นทางออกที่นุ่มนวลกว่า
เพื่อไทย
Saturday, October 4, 2008
"จตุพร"เตือนสติเพื่อน ส.ส.พปช.หากคว่ำร่าง คปพร.เหมือนดูถูกปชช.
Friday, October 3, 2008
ผมไม่ได้เชียร์คุณชูวิทย์หรอกครับ... แต่ยุคแห่งวิญญูชนจอมปลอมสมัยนี้ บางทีเจอแบบนี้บ้างก็ดีเหมือนกัน
บทความ โดย ลูกชาวนาไทย
ผมเกิดความเบื่อหน่ายการเมืองมาสองสามสัปดาห์แล้ว และไม่มีประเด็นอะไรที่จะเขียนบทความ จนเขียนไม่ออกไปเหมือนกัน ประเด็นต่างๆ มันก็กร่อยจนไม่รู้จะเอามาเขียนอย่างไรเหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยเอาตามเหตุการณ์ กรณีคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ชกหน้าพิธีกรในรายการโทรทัศน์ช่อง 3 มาพูดเสียหน่อย ทำตัวให้ทันเหตุการณ์บ้างก็ดีเหมือนกัน
ตอนนี้ผมเบื่อยุคแห่งการอ้างจริยธรรมบังหน้า มือถือสากปากถือศีล ที่พวกที่ทำท่าดูดี แต่จิตใจคิดทำร้ายคนอื่นตลอดเวลา ยุคสมัยแบบนี้บางทีมันก็ต้องเจอกับคนแบบชูวิทย์บ้างก็ดีเหมือนกัน ถือว่าเป็นการปลดแอกจากพวกที่อ้างจริยธรรมบีบบังคับให้คนอื่นต้องยอมสยบใต้หน้ากากแห่งจริยธรรม ไม่มีใครกล้าหือ เมื่อเจอคนที่กล้าสู้อย่างคุณชูวิทย์ ก็สร้างความสะใจให้กับประชาชนจำนวนมากได้บ้างเหมือนกัน
วิกฤตการณ์ทางการเมืองไทย สามปีที่ผ่านมานี้ สื่อมวลชนมีส่วนอย่างมากในการทำให้วิกฤตการณ์และความแตกแยกกันในหมู่ประชาชนขยายตัวมากยิ่งขึ้น สื่อเลือกข้าง ทำร้าย กดดันเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่ง และชูอีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมสร้างความอึดอัด คับข้องใจให้กับประชาชนจำนวนมาก
ความวุ่นวายทั้งสามปีมานี้ สื่อสายเนชั่น และผู้จัดการ ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ประเทศชาติเลวร้ายลง
เมื่อมีการเรียกร้องให้สมาคมวิชาชีพของสื่อเข้ามารับผิดชอบสมาคมพวกนี้ กลับปกป้องและเข้าข้างพวกเดียวกันเอง จนประชาชนไม่มีที่พึ่งใดจะสามารถปรามสื่อที่เลวร้ายในยุคนี้ได้
ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวจริยธรรม และศีลธรรมเสื่อมแล้วครับ เพราะศีลธรรม และจริยธรรมจริงๆ มันได้หายไปจากสังคมนี้นานแล้ว ตั้งแต่มีการอ้าง "จริยธรรม" เพื่อทำร้ายกันทางการเมือง จนกลายเป็นยุคการอ้างจริยธรรม ทำร้ายผู้อื่นมากที่สุดยุคหนึ่งของการเมืองไทย
คนอย่างนายจรัญ ภักดีธนากุล หรือ คุณหญิงจารุวรรณ เมทะกา หรืออีกหลายคนที่ "อ้างจริยธรรม เพื่อทำร้ายคนอื่น แต่เมื่อตัวเองทำผิด กระทำการอย่างเดียวกับที่ตัดสินคนอื่น กลับใช้สองมาตรฐานบังหน้า ไม่ยอมรับผิดชอบ แต่กลับอ้างจริยธรรมเพื่อให้คนอื่นต้องปฏิบัติ แต่พวกตนเองไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามจริยธรรมนั้น
บางทีคนพวกนี้เจอคนแบบนายชูวิทย์ บ้างก็ดีเหมือนกัน พวกที่ซ้อนอยู่ภายใต้หน้ากากจริยธรรม ต้องเจอกับอันธพาล ปากตรงกับใจอย่างนายชูวิทย์ มันอาจเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม
ผมไม่ได้มีสิทธิ์เลือกตั้งใน กทม. แต่อย่างใด แต่ในส่วนตัวของผม ผมก็เชียร์ เบอร์ 10 คุณประภัสร์ จงสงวน ตามหลักการของพรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค
แต่กรณีของคุณชูวิทย์ ที่ชกหน้านักข่าว ก็สร้างความสะใจให้ประชาชนจำนวนมาก เขาทำให้สิ่งที่ "จิตใต้สำนึกของประชาชน" อีกจำนวนมากอยากทำ แต่ไม่มีความกล้าพอ
ผมไม่สนใจคำประณามของ สมาคมผู้สื่อข่าว ที่ปกป้องพวกกันเองตลอดเวลา ตอนนี้คำประณามของสมาคมผู้สื่อข่าว มันก็เป็นเพียงแค่กระดาษเปื้อนหมึกเท่านั้น
เมื่อไม่มีใจที่เป็นธรรม การประณามคนอื่นมันก็ไร้ความหมายสิ้นเชิง
ที่ผมเบื่อที่สุดคือ "พวกที่สวมหน้ากากแห่งจริยธรรม" ทั้งหลาย เช่นพวก ป. สี่เสา นักวิชาการจอมปลอม พวกผู้ดีไฮโซ สูงศักดิ์ทั้งหลาย (ผมรวมหมดทุกคนแต่ผมกลัว Lese Majestic)
พวกนี้สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง ภายใต้หน้ากากจริยธรรม ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่จิตใจ ทำร้ายคนอื่นตลอดเวลา
เรื่องการที่คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ชกผู้สื่อข่าวนี้สำหรับผมถือว่าชูวิทย์ ผิดเต็มประตูนะครับ ดังนั้น ก็ไปมอบตัวเสียค่าปรับให้เรียบร้อย ปฏิบัติตามกฎหมายเสีย อย่าให้เหมือนพวกพันธมิตร ที่ไม่ยอมทำตามกฎหมาย
ส่วนเรื่องนักข่าว พิธีกร สมควรโดนชกหรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนเราหากเป็นคนดี มีธรรม มีจริยธรรมสูงส่งจริง ก็คงไม่มีใครบันดารโทสะ ชกเอาซึ่งหน้าหรอกครับ จะมาอ้างตัวว่ามีการศึกษา ไม่ป่าเถื่อนคงไม่ได้ เพราะการทำร้ายคนอื่นด้วยวาจา มันก็คือ วีทุจริตเหมือนกัน เป็นการทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่นเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อทำกรรม ก็ย่อมได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั่นแหละครับ แม้ไม่ได้ทำกรรมด้วย กายกรรม แต่วจีกรรม มันก็ร้ายแรงพอๆ กัน
‘ชาย’ กะ ‘ป๋า’คุยอะไรกัน
คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
ข่าว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้าพบ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ว่าจะด้วยคารวะ หรือเพื่อการเจรจาความทางการเมืองใดๆ ก็ตามแต่ ย่อมเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วไปเป็นวงกว้างแน่นอน
และคงเกิดเป็นคำถามคล้ายๆ กันว่าไปพบกันด้วยเรื่องใด ทำไมนายกรัฐมนตรี ถึงได้ “อมพะนำ” ทำเป็นความลับได้มากมายถึงขนาดนั้น
หากไปพบเพียงเพราะ พล.อ.เปรม เป็นอดีตนายกฯ ที่เคยบริหารบ้านเมืองมายาวนานถึง 8 ปี หรือเพียงเพราะ พล.อ.เปรม เป็น “ผู้เฒ่า” ที่ลูกหลานพึงเข้าไปขอพร ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องปิดบัง
เว้นแต่ว่าเรื่องที่พูดคุยกันนั้น เป็นเรื่องที่ประชาชนรับรู้ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าฟัง หรือเป็นเรื่องที่คนพูดเองอาจจะเกิดความอับอาย
แต่เดาอย่างไรก็เดาไม่ออกว่าจะเป็นการพูดจาเรื่องอะไรกันแน่
เพราะหากเป็นปัญหาในบ้านเมือง ก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาล และทำผิดกฎหมายสารพัดเรื่องของกลุ่มพันธมิตรฯ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือจะเป็นเรื่องที่ยังมีคนติดใจและอยากจะโยงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว
ถ้าเป็นเรื่องของกลุ่มพันธมิตรฯ การเข้าพูดคุยกับ พล.อ.เปรม จะช่วยอะไรได้
พล.อ.เปรม จะไปสั่งให้พันธมิตรฯ ถอยร่นออกจากทำเนียบได้อย่างนั้นหรือ เพราะดูท่าทีแล้วคนพวกนี้ไม่คิดจะฟังใคร และทำท่าว่าจะฟังแต่คำสั่งคนที่อยู่เบื้องหลังมาตั้งแต่การเคลื่อนไหวเมื่อปี 2548 ต่อเนื่องจนเกิดการปฏิวัติรัฐประหารเท่านั้น
แล้ว พล.อ.เปรม ที่นายทหารใหญ่-น้อย ให้ความนับถือ คนที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ เคยทำหนังสือขออนุญาตเพื่อไปขึ้นเวทีม็อบ จะสามารถสั่งโจรดื้อพวกนี้ได้หรืออย่างไร
หรือถ้าหากเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดจากันว่าอย่างไร
เรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องคาใจคนขี้สงสัย และบรรดาผู้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ผมเองก็อยากจะรู้
ท่านนายกฯ สมชายจะมาเล่าขานให้ฟังกันหน่อยปะไร
เพราะเบื่อพวกรู้ไม่จริงมานั่งวิพากษ์วิจารณ์ บ้างก็หาว่าท่านไปเจรจาช่วยหาทางลงให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ แลกกับการรับเงื่อนไขการเมืองแบบม็อบ ม็อบ ที่ยังไงก็มีแต่เสียเปรียบ
หรือจะเป็นการเจรจาที่แลกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับสิ่งที่ต้องหวานอมขมกลืน
ที่สำคัญหากท่านนายกฯ ไม่ออกมาพูดจาเล่าขานกันให้ชัด งานนี้ทำท่าจะเสียหายไปถึงรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
เพราะเกิดเป็นคำถามง่ายๆ ว่าถ้าอยากให้บ้านเมืองสงบสุขทำไมต้องไปหา “ป๋าเปรม”
หรือกลับกัน...ถ้าไม่ไปหา ไม่ไปคุยด้วยบ้านเมืองจะไม่สงบสุขอย่างนั้นหรือ
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า พล.อ.เปรม สั่งพันธมิตรฯ ได้ แล้วที่ผ่านมาที่ สนธิ ลิ้มทองกุล เคยอ้าง “ผู้ใหญ่” หมายถึงใคร อย่างไรกัน
หรือถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลังการรัฐประหารที่ สุริยะใส กตะศิลา ให้สัมภาษณ์หนังสือ IMAGE เสมือนว่า พล.อ.เปรม นั่งบัญชาการอยู่เมื่อคราวมีการปฏิวัติ
รวมทั้งการระบุว่า พล.อ.เปรม เป็นเสมือนตัวแทน “อำมาตย์” จะเกี่ยวพันเกี่ยวโยงกันอย่างไรหรือไม่
และเมื่อพูดถึงการเข้าพบกับ “ป๋า” ก็อดนึกถึงการเปิดเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้
ผม คงอยากให้ข้อคิดเหมือนที่ใครต่อใครพูดไปแล้วว่า หากรัฐบาลอยากจะเจรจาก็ลองดู แต่ผมมีความเชื่อดังนี้
1. คนพวกนี้พูดจาภาษาคนไม่รู้เรื่อง เพราะไม่เช่นนั้นคงพูดจากันเข้าใจไปนานแล้ว
2. คนพวกนี้ไม่เคารพกฎหมาย เพราะทุกวันนี้ก็ยังหนีคดี ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อหมายจับ
3. คนพวกนี้ขี้ขลาดเกินกว่าจะรับความเป็นจริง ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่อาศัยชายกระโปรง เอา
ผู้หญิง คนแก่บังหน้า ป้องกันการถูกจับกุม
4. คน (ชั่ว) พวกนี้ไม่รักชาติ รักแผ่นดิน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของพี่น้องคนไทย เพราะ
ไม่อย่างนั้นคงไม่ก่อกวนจนบ้านเมืองเสียหายขนาดนี้
และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คนพวกนี้เป็นคนทำผิดกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่คนพวกนี้ต้องทำคือมอบตัวแล้วสู้คดีตามกฎหมาย
มีคนที่ติดตามการเมืองจนเบื่อหน่ายบอกว่า เจรจากับ พล.อ.เปรม แล้วก็พันธมิตรฯ ก็เป็นเรื่องดี ปัญหาจะได้จบ ความวุ่นวายจะได้หมด บ้านเมืองก็จะได้สงบสุขเสียที
ขณะที่อีกคนแย้ง ต้องพูดจาให้เหมาะสมว่า...เจรจากับพันธมิตรฯ เพื่อหยุดความปั่นป่วนวุ่นวาย และหารือ พล.อ.เปรม เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข
ใครจะเห็นต่างอย่างไรผมไม่แน่ใจ...แต่สำหรับผมแล้วเห็นเป็นอย่างเดียวกัน...!!
บิ๊กโบ๊ต
อย่าลดตัวไปเจรจากับกบฏ !
คอลัมน์ : ละครชีวิต
บ้านนี้เมืองนี้ กลับตาลปัตรไปกันหมด รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่ถูกต่อรองด้วยคนกลุ่มหนึ่งที่เล่นการเมืองนอกสภา ทำลายประชาธิปไตยไทยเสียหายย่อยยับสร้างความอับอายไปทั่วโลก
แทบไม่น่าเชื่อว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะยอมลดตัวลงไปเจรจากับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ และผู้ต้องหาคดีกบฏ
ทั้งๆ ที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ประชาชนส่วนใหญ่ไว้วางใจให้เป็นตัวแทนแก้ไขปัญหาต่างๆ
วันนี้บ้านเมืองกำลังประสบความวุ่นวายเพราะคนเพียงแค่กลุ่มเดียวก่อเหตุสร้างความรำคาญให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
แต่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้ามารับใช้ประชาชน ไม่ได้ทำงานเพื่อตอบสนองพวกเขาเลย เพราะปล่อยให้ม็อบอันธพาลประท้วง เผาบ้านเผาเมืองจนเสียหายมหาศาล
เท่านั้นยังไม่พอยังลดตัวลงไปเจรจากับคนที่สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติด้วย ขณะนี้ชาวบ้านต่างก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแคร์คนกลุ่มนี้ด้วย
กลุ่มคนเพียงแค่หยิบมือที่ชอบอ้างว่าเป็นภาคประชาชนทั้งหมดนั้น หลายฝ่ายก็ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นการแอบอ้างโดยใช้สื่อในเครือข่ายของตัวเองกระพือข่าวสร้างกระแสให้ดูตื่นเต้น
แก๊งอันธพาลกลุ่มนี้ไม่ใช่ทางเลือกของภาคประชาชนอย่างแท้จริง เนื่องจากหลักการสำคัญของการเมืองภาคประชาชนที่แท้จริงนั้น มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ต้องสร้างสรรค์พัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ไม่ปฏิเสธการเมืองระบบรัฐสภา เคารพในความเสมอภาคของประชาชนทุกคนตามหลักหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง ไม่ใช่เคลื่อนไหวสู่การรัฐประหาร ระบอบอำมาตยาธิปไตย หรือระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบบใหม่
วันนี้ “นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ไม่พอใจกับท่าทีรัฐบาล แม้จะเห็นด้วยในแนวทางสมานฉันท์ เพราะทุกคนก็หวังดีต่อประเทศชาติเหมือนกันหมด
แต่การจะไปยอมให้ผู้ต้องหาคดีกบฏมีอำนาจต่อรองนั้นไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะอย่าลืมว่าคนกลุ่มนี้ทำลายประเทศชาติให้เสียหายแค่ไหน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ปี 2548 ที่แก๊งอันธพาลก่อความวุ่นวายแบบเอาเป็นเอาตาย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี น่าจะจำได้ดีนะครับ
พวกเรานักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จำได้ดีตลอดมา เพราะแต่ละคนก็มีภารกิจหลักคือไม่ยอมให้คนพวกนี้เข้ามาทำลายระบบ
ระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องฟังเสียงคนส่วนใหญ่ และการเมืองก็ต้องแก้ด้วยการเมือง
ซึ่งการแก้ไขปัญหาวิกฤติการเมือง ต้องเป็นไปตามกลไกระบอบรัฐสภา ต้องฟังเสียงสะท้อนจากกลุ่มองค์กรต่างๆ อย่างรอบด้าน
วันนี้ภาคประชาชนส่วนใหญ่ก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระ หรือจะเป็นคณะกรรมการในรูปใดๆ ก็แล้วแต่จะตั้งขึ้นมา
เนื่องจากการยอมรับข้อเสนอแบบนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้มีการใช้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง
รวมทั้งเป็นการเปิดช่องทางให้กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเข้ามามีอำนาจโดยปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน
แนวทางดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหลักสากลในนานาอารยประเทศ
ดังนั้นอยากเตือนรัฐบาลนายสมชายให้แก้ไขปัญหาด้วยสติ อย่าลดตัวลงไปเจรจากับกบฏ
เพราะไม่มีนักสู้เพื่อประชาธิปไตยคนไหนยอมรับแน่
ถ้าเขาไม่ยอมรับ นอกจากบ้านเมืองจะไม่สงบสุขแล้ว
ประชาธิปไตยของไทยก็จะถูกประณามว่าเป็นประชาธิปไตยที่ไร้ศักดิ์ศรีที่สุดในโลก !
ลวดหนาม
คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง
คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง
00 หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ สื่อทางเลือกของประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ฉบับวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2551 ทั่วโลกกำลังหาทางกู้วิกฤติเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยต้องเสียเวลาแก้ปัญหาการเมือง เพราะคนแค่หยิบมือเดียวก่อการกบฏขึ้นมา แล้วยังสะเออะเสนอหน้ากำหนดทิศทางการเมืองไทย
00 อีก 2 วัน วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม คนกรุงเทพ จะได้ใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพลหลายสำนักยังให้แชมป์เก่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ยังนำห่าง
00 แต่อย่าลืมว่า คนกรุงเทพชอบลองของใหม่ ทำให้ นายประภัสร์ จงสงวน จากพรรคพลังประชาชน อุตส่าห์ลาออกจากผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อทำงานที่ท้าทายรับใช้คนกรุงเทพ น่าจะได้รับความเห็นใจ และ ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ถ้าได้แรงหนุนจาก พลังเงียบที่เบื่อหน่ายกับกลุ่มผู้สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศ ยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏ ซึ่ง อดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์ ถูกมองด้วยสายตา เคลือบแคลงสงสัย อำนวยความสะดวกให้กับกบฏมากกว่าชาวบ้าน
00 เพราะฉะนั้น ในโค้งสุดท้าย หาก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ออกแรงแสดงพลังเหมือนเมื่อวันคว่ำ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี นายประภัสร์ ก็มีสิทธิ์แซงเข้าป้ายในโค้งสุดท้ายได้เหมือนกัน
00 ส่วน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซุ่มทำการบ้านมาอย่างดี รู้ปัญหาของกรุงเทพฯ แทบทุกซอกทุกมุม ป้ายหาเสียงทยอยออกมาเป็นชุดๆ หลายรูปแบบ ตามสไตล์นักการตลาด ทำให้ได้รับการต้อนรับจากประชาชนทุกที่ที่ไปหาเสียง แต่คะแนนจะดีหรือไม่ เจ็บปวดกันมาเยอะแล้ว พวกเสียงดีแต่ไม่มีคะแนน
00 มาตามนัด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เข้าบ้านสี่เสา คารวะ ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงได้แหลงใต้ กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ตามที่พูดไว้เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนจะบินไปเชียงใหม่ เมื่อค่ำวานซืน เอกฉัตร เชื่อว่าหลายคนแสดงอาการ หายใจโล่งอก พอจะเห็นทางสว่างปลายอุโมงค์ วิกฤติการเมืองถึงเวลาคลี่คลาย หลังจากหาทางออกไม่ได้ ตั้งแต่กลุ่มกบฏบุกยึดทำเนียบรัฐบาล โดยใช้วันคล้ายวันเกิด ป๋าเปรม วันที่ 26 สิงหาคม ที่ผ่าน เอาฤกษ์เอาชัย
00 ไม่ทราบว่าเป็น ความบังเอิญ หรือ ตั้งใจของกลุ่มกบฏ ที่ใช้ฤกษ์วันเกิด ป๋าเปรม บุกยึดทำเนียบรัฐบาลแต่ถ้าย้อนไปอ่านคำให้สัมภาษณ์ของ นายสุริยะใส กตะศิลา กบฏฝ่ายผู้ประสานงาน ระบุว่า ป๋าเปรม อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารเมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เพราะงั้น เมื่อ นายกรัฐมนตรี กับอดีตนายกรัฐมนตรี แหลงใต้เหมือนกัน นอกจากนั้น หัวขบวนกบฏ ในทำเนียบรัฐบาล ชื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้ง ป๋าเปรม เป็นนายกรัฐมนตรี จึงถูกขึ้นบัญชีเป็น ลูกป๋า คนหนึ่งเหมือนกัน
00 ประสาคนแหลงภาษาเดียวกัน ของ คนคอน กับ คนสงขลา นักข่าวรายงานว่าบรรยากาศชื่นมื่น เจ้าของบ้านเดินออกมาส่งแขกผู้มาเยือน เจอกองทัพนักข่าว นายกฯ สมชาย ไม่พูดอะไรยังดีกว่าบอกนักข่าวว่า ไปขอคำแนะนำในการบริหารงาน ใครได้ฟังก็เชื่อพอๆ กับที่บอกว่าปิดห้องจัดโผคณะรัฐมนตรีคนเดียว
00 บรรยากาศย่ำค่ำวานซืน ต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อปีที่ผ่าน ในวันที่แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก. ยกขบวนกันไปเยือนบ้านสี่เสาเมื่อปีที่ผ่าน ปรากฏว่าแกนนำตกเป็นผู้ต้องหากันถ้วนหน้า ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันแทบทุกคืนทางจอทีวีรายการ ความจริงวันนี้ ทางโทรทัศน์เอ็นบีที คือ นายหัววีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แต่คนหลังได้ข่าวว่า ยอมสงบปากสงบคำเพื่อรอกลับทำเนียบ เอ้ย ดอนเมือง ใหญ่กว่าเดิมเป็นโฆษกรัฐบาล ขอให้สมหวัง
00 เขียนถึง รายการความจริงวันนี้ รายการยอดฮิตเรตติ้งสูง ทั้งคนเกลียดและคนรักต้องถ่างตาดู วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม ที่จะถึง เชิญแฟนคลับพบปะสังสรรค์กันที่เมืองทองธานี ตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป มีรายการต่างๆ มากมาย แต่ที่ยังรับประกันไม่ได้ รายการความจริงวันนี้ จะออกอากาศถึงวันที่พบแฟนคลับหรือไม่ น่าหวาดเสียวนะขอรับนายหัว
00 แค่ข่าวแพลมออกมา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะขยับเป็น โฆษกรัฐบาล หลายคนอิจฉาตาแดงก่ำ ตั้งข้อกล่าวหาจะสร้างปัญหาให้กับ นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สวนทางกับนโยบายสมานฉันท์ แต่สำหรับ เอกฉัตร เชียร์สุดตัว มั่นใจ นายณัฐวุฒิ จะเป็นกันชนช่วยผ่อนแรงปะทะให้กับ นายกฯ สมชาย ได้มากทีเดียว
๐๐มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว เมื่อครั้ง ป๋าเปรม เป็นนายกรัฐมนตรี นักข่าวตั้งฉายา “เตมีย์ใบ้” นานๆ ดอกพิกุลจะร่วงสักดอก ไม่ต่างกันมากนักกับ นายกฯ สมชาย ถึงจะพูดมากกว่า ป๋าเปรม แต่ยังไม่ใช่การพูดสไตล์นักการเมือง ต้องใช้โฆษกสายเหยี่ยวไว้ชนแทนถึงลูกถึงคน
00 ป๋าเปรม เป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปี ใช้โฆษกหลายคน แต่ที่จำกันได้แม่นยำคือ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ลาออกจากอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเป็นโฆษกรัฐบาล แถลงข่าวด้วยเสียงทองแดงตัวจริงเสียงจริง ซึ่ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นอีกคนหนึ่งที่หน่วยก้านลำหักลำโค่น และเลียนเสียงทองแดงของ ดอกเตอร์สามสี ได้เหมือนตัวจริง คงเป็นเกียรติกับคนเมืองคอน หากนายกฯ คนอำเภอฉวาง จะตั้งคนอำเภอสิชลเป็นโฆษกรัฐบาล
00 เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้ เปิดประตูต้อนรับหันหน้าเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติ ถึงเวลาแล้วกลุ่มคนที่เป็นต้นเหตุของปัญหาพึงจะสำนึก มีความผิดถูกศาลออกหมายจับข้อหากบฏ ยังเสนอหน้ายื่นเงื่อนไขต่างๆ นานา ไม่บ้าก็เมา สำหรับคนที่ไปรับเงื่อนไขข้อเสนอของกบฏในทำเนียบรัฐบาล เพราะงั้น เอกฉัตร ขอเป็นหนึ่งเสียงที่จะคัดค้านไม่ให้ นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เจรจาสมานฉันท์กับกลุ่มกบฏ สิ่งที่ นายกฯ สมชาย ควรจะทำเป็นเรื่องแรกหลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในสัปดาห์หน้า ในฐานะเป็นอดีตผู้พิพากษาคือ ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดซึ่งหน้า ลอยหน้าลอยตาด้วยความสะใจ เมื่อได้ตะโกนด่านายกรัฐมนตรี “ขายชาติ”
เอกฉัตร
อันธพาล: ก่อกวนไม่เลือกที่
คอลัมน์ : ขอดเกล็ดการเมือง
สังคมประชาธิปไตย เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันของผู้คนที่มีความคิดเห็นที่เหมือนกัน และมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน คนสองจำพวกดังกล่าวสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ ไม่ขยายวงแห่งความขัดแย้งไปสู่การรบราฆ่าฟันกัน แต่พวกเขาสามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะสังคมประชาธิปไตยมีกฎกติกาที่พวกเขาจะต้องเคารพ นั่นก็คือ กฎหมายของบ้านเมือง
ประชาธิปไตย เขาถือว่า อำนาจเป็นของประชาชน ประชาชนจะใช้อำนาจนั้นเอง หรือว่าจะมอบให้ผู้ใดไปใช้อำนาจแทนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกติกาของบ้านเมืองกำหนดไว้เป็นประการใด
เมื่อกฎกติกาประชาธิปไตยใช้ “การเลือกตั้ง” เป็นวิธีการเลือกสรรบุคคลเข้าไปทำหน้าที่แทนประชาชน นั่นย่อมต้องมีการแข่งขันกันในคราวเลือกตั้ง
เมื่อทุกคน ทุกพรรคการเมือง เข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นประการใดทุกฝ่ายจะต้องยอมรับ
คนที่ชนะก็เข้าไปทำหน้าที่ คนที่ได้คะแนนน้อยกว่าก็ถือว่าเป็นผู้แพ้ เมื่อรวมคะแนนเสียงทั้งหมด ใครได้มากกว่า คนนั้น ฝ่ายนั้น ก็เข้าไปทำหน้าที่บริหาร ควบคุมเสียงข้างมากในสภาเอาไว้ อีกฝ่ายที่ได้คะแนนน้อยกว่าถือเป็นเสียงข้างน้อย มีไว้คอยควบคุมฝ่ายเสียงข้างมาก
กติกาประชาธิปไตยมีไว้ให้ทุกคนเคารพ ไม่ใช่มีไว้ให้คนละเมิดกฎหมาย มีไว้ให้ปฏิบัติตาม ไม่ใช่มีไว้เพื่อละเมิด เพื่อดื้อแพ่ง
เมื่อเป็นรัฐบาล มีตำแหน่งแห่งหนในคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เมื่อเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ประเทศประชาธิปไตยจะต้องให้ความเคารพ ไม่ละลาบละล้วง ทำอะไรเป็นการดูหมิ่น ดูแคลน เหยียดหยาม นั่นคือการไม่เคารพประชาชน ไม่เคารพการเลือกตั้ง ไม่เคารพทุกอย่างที่ก่อให้เกิดตำแหน่งเหล่านี้ขึ้นมา
นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร เดินทางไปทำภารกิจที่ จ.นครศรีธรรมราช มีกลุ่มคนที่เรียกว่า พันธมิตรฯ มาต่อต้าน จนไม่สามารถทำการทำงานได้
เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คนทั่วประเทศ ว่าเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร
นายชัย ชิดชอบ เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มาจากสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้ง จึงดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรได้
ถ้าไม่ชอบ นายชัย ชิดชอบ เป็นการส่วนตัว ก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะขับไล่ เพราะตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นตำแหน่งที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ
คนใต้เองก็เคยดำรงตำแหน่งนี้อย่างน้อย 2 คน คือ นายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อคราว 2 คนนี้ดำรงตำแหน่ง ท่านจะไปไหนมาไหนทำหน้าที่ของท่านทั่วประเทศไทย ไม่มีใครหน้าไหนออกมาขับไล่ เพราะ คนไทยเขาทราบดีว่าตำแหน่งนี้มีเกียรติ จะเป็นใครก็ตาม เมื่อมาดำรงตำแหน่งนี้แล้วต้องให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
ไม่เข้าใจว่าขณะนี้บ้านเมืองเราเป็นอะไรไปแล้ว ความก้าวร้าวเกะกะระราน แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นดินไทย การกระทำของคนเพียงไม่กี่คนทำให้คนไทยมองไปยัง “นครศรีธรรมราช” มองไปยังภาคใต้ ด้วยความรู้สึกหดหู่ รู้สึกสมเพชเวทนากับการกระทำที่แสดงถึง “ความเป็นอันธพาล” ก่อกวนไม่เลือกที่ แสดงถึงภูมิปัญญาที่ต่ำทรามของพวกเขา ผมไม่อยากเห็นพี่น้องคนไทยไม่ว่าภาคไหนจังหวัดไหน มีพฤติกรรมเช่นนี้ มันอับอายเขา
ถ้ามีคนคิดว่า ถ้าภาคใต้ทำได้ หากนักการเมืองภาคใต้ไม่ว่าผู้ใดขึ้นไปทำงานภาคอีสาน ทางเหนือบ้าง แล้วเจอการต่อต้านเช่นนี้ ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่ว่าความรู้สึกนี้จะไม่เกิดขึ้น อาจจะเกิดขึ้นเป็นการตอบแทนก็ได้
สงครามแบ่งพรรคเป็นเรื่องธรรมดา แต่สงครามแบ่งภาคมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา
จึงขอเรียกร้องให้คนใต้ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่เป็นอันธพาลของพันธมิตรฯ ออกมาปฏิเสธว่า นั่นไม่ใช่การกระทำของคนใต้ทั้งหมด
และอยากขอถาม ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ทุกคนว่า ท่านเห็นด้วยกับการกระทำของพวกอันธพาลพันธมิตรฯ หรือไม่
หรือว่าท่านจะนิ่งเสีย ไม่เดือดร้อนอะไร
หากไม่ตอบคำถามนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะต้องรับกรรม เพราะภาคนี้เป็นของพวกท่าน ท่านสามารถควบคุมได้
ท่านจะไม่รู้เลยหรือว่าใครเป็นคนทำ
หรือว่าท่านไม่กล้าพูด เพราะเรื่องมันจุกอยู่ในคอท่าน
ไม่กล้าพูด ไม่ว่าอะไร แต่อย่าอยู่เบื้องหลังเสียเองล่ะ...
คนจนถูกซื้อเสียงหรือซื้อเสียงคนจนไม่ได้
คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ
ฟัง นายสุริยะใส กตะศิลา เสนอระบบการเมืองใหม่ โดยใช้ระบบ ส.ส. 70 : 30
ทีแรกคิดว่าเป็นเพียงการพูดเล่นๆ ของเด็กช่างพูด แต่ปรากฏภายหลังว่าไม่ใช่เช่นนั้น
เป็นแนวทางที่เรียกได้ว่าเตรียมจัดทำพิมพ์เขียว ที่ฝ่ายพันธมิตรฯ และเหล่าอำมาตย์ที่อยู่เบื้องหลังได้กำหนดไว้ เพื่อรองรับการเมืองในอนาคต ภายหลังกลุ่มตนสามารถยึดอำนาจรัฐได้ด้วยวิธีการต่างๆ ตามขั้นบันไดที่ได้ดำเนินการกันมา
มีการรับลูกจากบรรดาเหล่าตัวแทนอำมาตย์ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ขุนทหาร นักธุรกิจบางคน ต่างดาหน้าออกมาขานรับโดยพากันสร้างเหตุผลขึ้นมารองรับว่า “ปัญหาการเมืองไทยหลักๆ วันนี้อยู่ที่การศึกษาของพลเมืองไทย ตราบใดที่ยังมีการซื้อเสียงกันอยู่ ปัญหาต่างๆ จะไม่ได้รับการแก้ไข”
ถึงกับมีผู้บริหารสื่อมือถือบางค่ายเสนอความเห็นว่า “ให้คนจบปริญญาตรีเท่านั้นมีสิทธิเลือกตั้ง”
ความหมายของเหล่าอำมาตย์ที่สำคัญว่าพวกตนเป็นคนชั้นสูง เป็นคนฉลาด มีจริยธรรมสูง ย่อมมีวิจารณญานในการเลือก ส.ส. ได้ดีกว่าชนชั้นอื่น โดยเฉพาะคนจน คนรากหญ้า ที่นอกจากไม่มีวิจารณญานในการเลือก ส.ส. แล้ว ยังถูกซื้อเสียงได้ด้วย
คนจนถูกซื้อเสียงเป็นปัญหาหลักของการเมืองไทยจริงหรือ?
ย้อนหลังไปประมาณ 40 ปี แทบไม่มีการเสนอข่าวสาร หรือพูดคุยกันเกี่ยวกับการเมืองเรื่อง ส.ส. ซื้อเสียง ชาวบ้านขายเสียงกันเลย
เป็นการเลือกตั้งที่เรียบร้อย บริสุทธิ์ยุติธรรมใช่หรือไม่?
เปล่าเลย! เพราะมีข่าวคราวในยุคนั้นเล่าถึงหลายหน่วยเลือกตั้งที่ทหารเข้าคิวกันยาวเหยียด มีการเวียนเทียน หย่อนบัตรเลือกตั้ง โดยมีนายทหารถือปืนกำกับอยู่ คำ “พลร่ม” “ไพ่ไป” ถูกนำมาใช้สำหรับการเลือกตั้งยุคนั้น ถึงกระนั้นก็ยังมีการนับคะแนนกันนานถึง 7 วัน 7 คืน ทั้งๆ ที่จำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งมีจำนวนน้อยกว่ายุคปัจจุบันมาก
แน่นอน พรรคที่ทหารหนุนหลังคือ พรรคเสรีมนังคศิลา ชนะขาด ยุคนี้จึงไม่มีความจำเป็นเสียเงินซื้อเสียงให้โง่
มายุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 ประชาธิปไตยทำท่าจะเบ่งบาน ภายหลังประชาชนพากันลุกขึ้นเพื่อทวงอำนาจคืนจากคณะเผด็จการทหารได้สำเร็จ
แต่ประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งตามครรลองก็ชะงักงัน ภายหลังเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
คณะทหารเริ่มแฝงตัวเข้ามามีอำนาจอีก แต่ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และโจ่งแจ้งเช่นก่อน โดยอาศัย ส.ส. ที่ผ่านการเลือกตั้งเข้ามาเป็นฐานรองรับความชอบธรรม โหวตเลือกขุนทหารที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในยุคนั้น จะเห็นได้ว่า ส.ส. ส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหาร และแน่นอนว่านายกรัฐมนตรีดังกล่าวต้องเป็นกลุ่มอำมาตยาธิปไตย
คำถาม: การเลือกตั้ง ส.ส. ในยุคนั้นมีการซื้อสิทธิขายเสียงหรือไม่
คำตอบ: มีการซื้อเสียงกันอย่างมโหฬาร เอิกเกริก และโจ่งแจ้ง
เมื่อประมาณ 30 ปีมานี้ ผู้ที่ติดตามข่าวสารทางการเมืองคงยังจำกันได้ดีที่เกิดเชื้อโรคใหม่ขึ้นในประเทศไทย นั่นคือ โรคร้อยเอ็ด ซึ่งต่อมาโรคดังกล่าวได้ระบาดไปทั่วภาคอีสาน และรุกรานไปทั่วภูมิภาคของประเทศในเวลาต่อมา
พวกเรายังจำกันได้ กรณีนายทหารใหญ่ เชี่ยวชาญแกงเขียวหวานไก่ใส่บรั่นดี หิ้วกระเป๋าใบเดียว (แต่ใหญ่มาก ภายในกระเป๋าอัดแน่นไปด้วยธนบัตร) เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปสมัครเป็น ส.ส. ที่ จ.ร้อยเอ็ด โดยที่ไม่เคยมีความผูกพันใดๆ กับ จ.ร้อยเอ็ด มาก่อน ปรากฏว่าสอบผ่าน ได้เป็น ส.ส. สมใจนึก จึงกลายเป็นที่มาของ “โรคร้อยเอ็ด” ดังกล่าว
ต่อมาจึงมีพ่อค้าวาณิชย์ นายธนาคาร และข้าราชการ พากันดำเนินตามร้อยเอ็ดโมเดล ยอมถูกประณามว่าเป็น “หมาหลง” หิ้วกระเป๋าเงินจากกรุงเทพมหานครไปสมัคร ส.ส. ในจังหวัดต่างๆ ของภาคอีสาน และภาคอื่นๆ โดยอาศัยคนท้องถิ่นมาร่วมทีมด้วยช่วยกัน
เมื่อทีมอื่นพรรคอื่น ทราบว่าพรรคนั้น ทีมนั้น ขนเงินมาซื้อเสียง ก็เป็นธรรมดาของผู้สมัครแข่งขันการเลือกตั้งที่ไม่มีฝ่ายใดปรารภว่าเป็นผู้แพ้ จึงมีการทุ่มเงินซื้อเสียงชนิดไม่มีใครยอมใคร
ชาวบ้านร้านตลาดไม่ว่าจนหรือไม่จน ต่างได้รับการหยิบยื่นเสนอผลประโยชน์ขณะที่นอนเล่นอยู่บ้าน อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทั้งยังมีคนจำนวนมากที่ตกกระไดพลอยโจน หรือตามน้ำไปด้วยก็มี
ประการสำคัญ ประชาชนต่างซึมซับว่า ทุกๆ ส.ส. ทุกๆ พรรคการเมือง ทุกๆ รัฐบาล ล้วนเหมือนกันหมด คือดีแต่พูดตอนมาหาเสียง รับปากตอนหาเสียง แต่ไม่เคยแก้ปัญหาใดของประชาชน เลือกไปก็เท่านั้น
จึงนำไปสู่ “เงินไม่มา กาไม่เป็น”
ถือเป็นความผิดของประชาชนเป็นด้านหลักหรือ?
แล้วบรรดา ส.ส. พรรคการเมือง ผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ที่ใช้วิธีแข่งกันทุ่มเงินซื้อเสียงเพียงเพื่อหวังชัยชนะ และได้เป็นรัฐบาล ไม่มีส่วนผิดเลยหรือ
และวิธีการที่ทำให้พรรคการเมืองหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง มีโอกาสประสบชัยชนะในการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งคือ ไปเชิญชวนขอร้องเจ้าพ่อ ผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนั้นๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรค และขอให้ส่งบุตรหลาน หรือบุคคลที่เป็นตัวแทนของเจ้าพ่อลงสมัคร ส.ส. และมักจะได้รับความร่วมมือ เพราะได้ประโยชน์ร่วมกัน
เจ้าพ่อบางรายสามารถบันดาลให้ผู้สมัคร ส.ส. ในจังหวัดได้รับชัยชนะโดยการใช้กลยุทธ์ 3G คือ
G ที่ 1 คือ Gold คือ ทุ่มเงินซื้อเสียงไม่อั้น เพราะสามารถถอนคืนได้ง่าย
G ที่ 2 คือ Goon คือ ใช้นักเลงข่มขู่ กรณีใช้เงินซื้อเสียงไม่สำเร็จ
G ที่ 3 คือ Gun คือ หากชาวบ้านไม่รับเงินซื้อเสียง และไม่กลัวเกรงต่อการข่มขู่ของนักเลง ทำตัวเป็นอุปสรรคต่อกลุ่มเจ้าพ่อ ก็อาจโดนกระสุนได้
จะเห็นได้ว่า ตลอดเวลากว่า 20 ปี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ปัญหาหลักของการเมืองไทยก็ได้ดำเนินมาในลักษณะนี้คือ มี ส.ส. จำนวนหนึ่ง อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นจำนวนมากด้วย ที่ได้รับการเลือกตั้งจากวิธีการเหล่านี้ “ซื้อเสียงหรือใช้นักเลงข่มขู่”
ทำไมพวกเขารู้สึกช้าจัง?
พวกเขาที่ว่านี้คือ บรรดาชนชั้นสูง นักวิชาการ ขุนทหาร และนักธุรกิจบางคน ที่ออกมาแสดงความรู้สึก ความคิดเห็นว่า ปัญหาหลักการเมืองไทยนั้นเป็นเพราะ ส.ส. ไร้คุณภาพ อันเนื่องมาจากประชาชนโดยเฉพาะในระดับรากหญ้าไร้คุณภาพ จึงขาดวิจารณญาณในการเลือก ส.ส. ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ได้รัฐบาลไทยรักไทย สืบมาจนถึงพรรคพลังประชาชน
พวกเขาเหล่านี้ (เหล่าอำมาตยาธิปไตย) คิดช้าจริงหรือ?
คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขาล้วนเป็นชนชั้นที่มีการศึกษาสูง มีสติปัญญาเป็นเลิศ มีคลังข้อมูลประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจของประเทศอย่างพร้อมมูล
ส่วนความเป็นไปได้ ที่พอจะวิเคราะห์ได้จากข้อเท็จจริงก็คือ ภายหลังพรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้บริหารประเทศตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ จนประสบความสำเร็จอย่างไม่เคยมีรัฐบาลที่ผ่านมาทำได้
เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคไทยรักไทยจึงได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นอีก สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาก่อน ด้วยเหตุผลสำคัญและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย คือ ประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศรอบสองก็เพราะประชาชนพอใจในผลงาน ซึ่งแม้แต่พรรคตรงข้ามก็นำนโยบายประชานิยม (ทั้งๆ ที่เคยโจมตี) มาเป็นนโยบายของตนในการหาเสียงแข่ง
นั่นหมายความว่า พรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในครั้งนั้น เป็นผลมาจากนโยบายและผลงานตลอด 4 ปีที่บริหารประเทศมา หาใช่มาจากการซื้อเสียงตามที่เหล่าอำมาตยาธิปไตยกล่าวหาไม่
ด้วยเหตุนี้กระมัง ที่พรรคการเมืองแบบเก่า และผู้สนับสนุนเหล่าอำมาตยาธิปไตย ที่เคยให้ตัวแทน “หิ้วกระเป๋าใบเดียว” ใช้เงินซื้อเสียงได้ จึงหมดโอกาสดังอดีต
จึงมีหนทางเดียวคือ ไปผลักดัน ส.ส. แบบสัดส่วน 70 : 30 หรือต่อมาเป็น 50 : 50 มาใช้เพื่อกรุยทางให้กลับมามีอำนาจรัฐได้อีกครั้ง แต่แทนที่จะพูดความจริงว่าตน “ไม่สามรถซื้อเสียงจากคนจนได้” กลับมาหาเหตุ “คนจนถูกซื้อเสียง” โยนบาปให้ประชาชนที่เป็นคนรากหญ้าแทน อนิจจา สังคมไทย!
โดม แดนดิน
แอบขาย...
คอลัมน์ : คิดในมุมกลับ
วงการโฆษณามีคำศัพท์คำหนึ่งว่า “แอดเวอร์ทอเรียล” หมายถึง ประเภทการโฆษณาที่เหมือนไม่โฆษณา หรือทำให้ดูไม่ตั้งใจเป็นการโฆษณา ยกตัวอย่างที่เราอาจพอคุ้นหูคุ้นตา เช่น ในนิตยสาร เราจะเห็นบทสัมภาษณ์สั้นๆ ของดารา หรือคนดัง เกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ ก่อนเขา/เธอจะตบท้ายด้วยชื่อสินค้าอะไรสักอย่าง (ที่ดาราหรือคนดังบอกว่าเขา/เธอใช้สินค้าตัวนี้เป็นประจำ) ถ้าคนอ่านรู้ไม่ทันก็จะเข้าใจว่าเขา/เธอใช้สินค้าตัวนี้จริงๆ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้ามากกว่าจงใจโฆษณาตรงๆ แต่แท้ที่จริงมันก็คือโฆษณาตัวหนึ่งนี่แหละ เพียงแต่ใช้วิธีที่ “เนียน” มากกว่าเท่านั้น
เมื่อก่อนอาจมีคำถามเรื่องจรรยาบรรณต่อนักโฆษณาว่า โฆษณาแบบเนียนๆ นี้มันดู “ไม่จริงใจ” ดูไม่ซื่อเกินไปหรือเปล่า (เพราะคนดูไม่รู้ตัวว่ากำลังดูโฆษณาอยู่) แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นจะไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะทุกวันนี้เราเห็น “แอดเวอร์ทอเรียล” เกลื่อนกลาดทั้งในหนังสือ นิตยสาร และรายการโทรทัศน์ แม้แต่ในรายการทอล์กโชว์ก็ยังมีการใส่เข้ามาอย่างจงใจ (เช่น ถามแขกรับเชิญว่าใช้ครีมอะไรทำไมสวยจัง เธอก็จะตอบชื่อยี่ห้อออกมาอย่างฉาดฉาน พร้อมบรรยายสรรพคุณอย่างละเอียดราวกับควักขวดออกมาอ่าน)
จะว่าคนดูสมัยนี้รู้ไม่ทันก็คงไม่ใช่แล้ว เพราะต่อให้ไม่เคยเรียนวิชาโฆษณา แต่ลักษณะเช่นนี้ก็สังเกตเอาได้ หรือไม่หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคทั้งหลายก็มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ผู้บริโภครู้เท่าทันสื่อโฆษณาอยู่แล้วเสมอ ดังนั้นเรื่องที่ว่าเขากำลัง “หลอกขายของ” ให้เรา จึงไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่ในยุคที่ผู้บริโภคฉลาดขึ้นอีกต่อไป แต่ปัญหามันกลายเป็นเรื่องของความรำคาญเสียมากกว่า
เห็นโฆษณาแฝงแบบนี้บ่อยๆ ก็ชักเอือมและเอียน แม้แต่คนที่ไม่ได้ปฏิเสธระบบทุนนิยมก็ยังอดคิดไม่ได้เลยว่า “มากเกินไปหรือเปล่า” จะขายของแบบโจ่งแจ้งกันก็ทำได้เลย ใช้วิธีวางสินค้าให้โชว์สลากยี่ห้อแบบในละครซิตคอมก็ยังไหว แต่โฆษณากะให้เนียนแต่ไม่เนียนแบบนี้ ดูมากไปก็เริ่มจะรู้สึกว่า “เขา” มันงอกออกจากหัวบ้างแล้วเหมือนกัน
จะซื้อหรือไม่ซื้อสินค้ามันเป็นเรื่องของวิจารณญาณ แล้วก็เข้าใจหัวอกคนขายด้วยว่าต้องเสนอแต่ข้อดีเพื่อให้ขายได้มากที่สุด บอกความจริงครึ่งเดียวตามหลักโฆษณานั้นพอเข้าใจได้ แต่ให้ “จริงใจ” กว่านี้หน่อยเถอะว่าคุณกำลังขายของให้เรา
ถ้าจริงใจแล้วไม่เนียน...ดัดจริตไปเลยก็อาจยังเข้าท่ากว่าด้วยซ้ำไป
ปฏิญา ยอดเมฆ
ชัย" หวังผลประชุม 4 ฝ่ายจะดี ยันบรรจุวาระแก้ รธน.ไม่วาระซ่อนเร้น
ประธานรัฐสภา ยืนยันบรรจุญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกลุ่ม คปพร. นำโดยนายแพทย์เหวง ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นตามที่วิพากษ์วิจารณ์
นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เดินทางมารับหนังสือจาก 13 องค์กรกลุ่มแนวร่วมเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อการปฏิรูปสังคมใหม่ ที่ชุมนุมกันด้านหน้าอาคารัฐสภา โดยทั้ง 13 องค์กร อยากให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการสรรหา ส.ส.ร. ในทุกสาขาอาชีพโดยเร็ว และให้รัฐบาลประกาศการปฏิรูปการเมือง สังคมใหม่ เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งนายชัย ยืนยันว่า การประชุมหารือ 4 ฝ่ายวันนี้ จะนำข้อเสนอดังกล่าวเข้าหารือด้วย และจะร่วมแก้ไขปัญหาการเมืองให้แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ยืนยันว่า การเจรจา 4 ฝ่ายจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการนำเสนอของสื่อมวลชน และจะหารือถึงการตั้ง ส.ส.ร.หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเสนอของผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ส่วนการบรรจุญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยกลุ่ม คปพร. นำโดยนายแพทย์เหวง โตจิราการ ยืนยันไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นตามที่วิพากษ์วิจารณ์ แต่กลุ่มดังกล่าวรวบรวมรายชื่อประชาชนได้ถูกต้องตามกฎหมาย และพร้อมให้ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมด ดังนั้น หากไม่บรรจุประธานสภาผู้แทนราษฎรจะมีความผิด เพราะถือเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องในทุกขั้นตอน
เชิญร่วมงานรำลึก35 ปี 14 ตุลาพบมินิคอนเสริต์ อดิศร -จาตุรนต์ –วิสา
ญาติวีรชนจัดงานรำลึก35ปี14ตุลาพบอดิศร -จาตุรนต์ -วิสา ขึ้นเวทีขับกล่อมบทเพลงซึ้งกินใจ ที่รร.รัตนโกสินทร์หกโมงเย็นเป็นต้นไป รายได้ทั้งหมดมอบให้ญาติวีรชน
วันนี้ (3 ต.ต.) เวลา 18.00 น. เหล่าญาติวีรชน นักการเมือง และบุคคลสำคัญ ร่วมจัดงาน รำลึก35ปี 14ตุลา ภายในงานพบบรรยากาศเป็นกันเองของพี่น้องคนเดือนตุลา โดยไฮไลท์ของงานพบ มินิคอนเสิร์ตของ นายอดิศร เพียงเกษ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายวิสา คัญทัพ ที่นำบทเพลงมาขับกล่อมและย้อนเวลากลับไปรำลึกเจตนารมย์ที่แท้จริงของคนเดือนตุลา
สำหรับวัตถุประสงค์การจัดงานนั้น ญาติวีรชนต้องการให้ทุกส่วนในสังคมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้เกิดความเข้าใจในทางที่ถูกต้องของเจตนารมย์ 14 ตุลา เพราะขณะนี้มีความเข้าใจที่ไขว้เขวและบิดเบือนไปมาก โดยเจตนารมย์ 14 ตุลา คือต้องการให้เกิดเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่ต้องไม่ใช่การปกครองภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญจอมปลอม ที่พร้อมถูกฉีกทิ้ง ประชาชนต้องไม่ยินยอมให้คณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งยึดอำนาจ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าคนบางกลุ่มแอบอ้างเจตนารมย์ของ 14 ตุลา แต่กลับสนับสนุนการรัฐประหาร ถ้าจะรำลึก 14 ตุลาให้มีความหมายในสภาพการเมืองปัจจุบันคือจะเสนออะไรให้ประชาชนมีทางออก
สำหรับผู้สนใจร่วมงานได้ตั้งแต่ 18.00 น. ที่รร.รัตนโกสินทร์ บัตรจำหน่ายราคา 1,000 บาท รายได้ทั้งหมดมอบให้ญาติวีรชน
3ส.ส.พปช.สุรินทร์รอดศาลยกคำร้องใบเหลือง
กรณี กกต. มีมติให้ใบเหลือง 3 ส.ส.พรรคพลังประชาชน เขต 3 จ.สุรินทร์ คือ นายเลิศศักดิ์ ทัศนเศรษฐ นางมลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ และนายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา และส่งเรื่องให้ศาลสั่งเลือกตั้งใหม่ แต่เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้มีคำพิพากษาแล้ว ให้ยกคำร้อง เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของบุคคลทั้ง 3 ไม่เข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง
โดยเฉพาะการแจกวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีข้อความว่า “ทักษิณ รักไทย เปิดใจ ทักษิณ 1 ปีที่หายไป” ซึ่งศาลเห็นว่า การแจกวีซีดีเปรียบประดุจได้เสมือนการแจกแผ่นพับ โฆษณาหาเสียงของผู้สมัครพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นการแจกจ่ายทรัพย์สินเพื่อจูงใจไปลงคะแนน
'ชูวิทย์'รับผิดจริงเหตุฟันศอก‘วิศาล’
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 8 ทำร้ายร่างกายนายวิศาล ดิลกวณิช พิธีกรช่อง 3 หลังจบการให้สัมภาษณ์ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 หลังเกิดเหตุนายวิศาลเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสมิติเวช
โดยแพทย์ระบุว่า มีแผลฟกช้ำที่ใบหู แก้ม คาง เข่า ก่อนจะเดินทางไปแจ้งความกับตำรวจที่ สน.ทองหล่อ ยืนยันจะฟ้องทางอาญาและแพ่งนายชูวิทย์
นายวิศาล กล่าวว่า สาเหตุที่ถูกทำร้าย น่าจะเป็นเรื่องการสอบถามเรื่องป้ายหาเสียง ที่มีการปรับภาพลักษณ์จากดุดันเป็นสุขุม ทำให้นายชูวิทย์ไม่พอใจและพยายามพูดเพื่อลดความน่าเชื่อถือของพิธีกร ยืนยันไม่มีอคติและคำถามที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อประชาชน ไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝง ทั้งนี้หากนายชูวิทย์ขอโทษก็พร้อมรับคำขอโทษ
ล่าสุด เวลา 16.30 น. นายชูวิทย์ แถลงข่าวยอมรับผิดในการทำร้ายร่างกายนายวิศาล เนื่องจากทนไม่ไหวที่ถูกต่อว่าไม่ใช่ลูกผู้ชายในระหว่างออกอากาศ
‘เหลิม’ปอดส่งปลัดสธ.ไปภูเก็ตแทน
โดยจะมอบให้ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานแทน เนื่องจากยอมรับว่าขณะนี้สถานการณ์ในประเทศมีความคิดเห็นที่ยังไม่ลงรอยกัน และมีการประท้วงในหลายพื้นที่ และหากตนลงไปแล้วเกิดการประท้วงขึ้น จะทำให้ประเทศไทยอับอายไปทั่วโลก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้กังวลต่อภาพลักษณ์ตนเอง แต่เมื่อเป็นรัฐมนตรีก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่อยากให้ประเทศเกิดความเสียหายขึ้น นอกจากนี้ทางโรงแรมซึ่งรับจัดงานได้ยืนยันว่า ไม่ได้ยกเลิกจัดงานแต่อย่างใด
“เมื่อสถานการณ์การเมืองยังไม่สงบเป็นปกติ ผมและนายวิชาญคงไม่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการชุมนุมขับไล่ จะเดินทางไปก็ต่อเมื่อประเทศเกิดความปรองดองแล้ว จึงจะปฏิบัติงานได้เป็นปกติดังเดิม”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จะพิจารณาอย่างไรว่า จะลงไปตรวจเยี่ยมยังพื้นที่ใดได้บ้าง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คงต้องพิจารณาแล้วแต่เรื่อง และแต่ละพื้นที่ไป หากพื้นที่ตรงนั้นมีความแตกแยกก็คงจะไม่เดินทางไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ทั้งนี้ เชื่อว่าในที่สุดแล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อย อย่างเช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี กล่าว อย่างไรก็ตาม ตนจะเดินทางไปร่วมงานแข่งเรือ ที่ จ.หนองคาย ระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคมนี้ เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เป็นปัญหา
มทภ.2ใหม่เตรียมหารือเขรมปรับกำลังทหารเขาวิหารรอบ2
ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 2 มีผู้บังคับบัญชาดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 เป็นต้นมา โดยมี พล.ท.หลวงวีระโยธา เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 คนแรก จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 60 ปี มีผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 แล้วจำนวน 31 คน และคนปัจจุบัน พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 คนที่ 32
พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ เปิดเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 มีภาระหน้าที่รักษาอธิปไตยในดินแดนของประเทศ และดูแลความสงบเรียบร้อยภายใน รวมถึงช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งได้ทำตามแผนงานที่ได้มีแผนไว้ต่อเนื่อง จากนี้ไปก็จะปฏิบัติตามนโยบายของกองทัพบก และสืบทอดเจตนารมณ์ของแม่ทัพภาคที่ 2 ในอดีตที่ผ่านมา
สำหรับนโยบายเพิ่มเติมภายหลังได้รับมอบหน้าที่แล้วนั้น จะเน้นไปที่เรื่องปัญหาชายแดนและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ โดยเฉพาะการดูแลป่าไม้ ซึ่งได้ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดูแลรักษาผืนป่าทุกรูปแบบเพื่อให้ได้ป่าที่อุดมสมบูรณ์คืนมา และมีการลาดตระเวนร่วมกันเพื่อไม่ให้ทำลายป่าเพิ่มเติม
ส่วนสถานการณ์ด้านชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น จากรายงานล่าสุดไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงทุกอย่างยังเรียบร้อยดี และเป็นไปตามขั้นตอนที่รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศได้พูดคุยตกลงกันไว้ ขั้นตอนการดำเนินการต่อจากนี้ไปสำหรับข้อพิพาทกรณีเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ จะมีการเจรจาปรับกำลังของทหารทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อให้ทหารของทั้ง 2 ประเทศมีความพร้อมในการดูแลชายแดนเหมือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้เนื่องจากบางจุดโดยเฉพาะบนปราสาทเขาพระวิหารทหารของฝ่ายกัมพูชายังมีกำลังเหลืออยู่มาก ซึ่งจะมีการหารือกันภายในสัปดาห์หน้า โดยเป็นการประชุมหารือระหว่างแม่ทัพภาคที่ 2 กับแม่ทัพภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชาเพื่อตกลงในรายละเอียด สาระสำคัญที่จะหารือกันในครั้งนี้ คือเรื่องเกี่ยวกับเขาพระวิหารอย่างเดียว โดยเฉพาะการปรับกำลังทหารของทั้ง 2 ประเทศเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคาดว่าแนวโน้มสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น หน่วยทหารตามแนวชายแดนทางกัมพูชาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด
"กรณีชายแดนด้านปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ นั้น ได้มีการหารือตกลงกันและเข้าใจกันดีแล้ว ซึ่งจุดนั้นอยู่ในเส้นเขตแดนที่เป็นข้อพิพาทกันอยู่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน ฉะนั้นต่าง ฝ่ายจึงต่างถอยกำลังทหารออกมาเพื่อให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา เข้ามาดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมาจัดระเบียบกันใหม่อีกที" พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าว
“ธีระชัย” แนะนักส่งเสริมสหกรณ์ ยึดซื่อสัตย์-โปร่งใส สร้างชุมชนเข้มแข็ง
นายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 36 ปี พร้อมให้โอวาทแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างของกรมส่งเสริมสหกรณ์เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติงาน ว่า นักส่งเสริมสหกรณ์นับเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในชุมชนและสังคม เพราะมีหน้าที่ส่งเสริมให้ประชาชนในทุกกลุ่มสาขาอาชีพรวมกันจัดตั้งสหกรณ์ เพื่อก่อให้เกิดพลังในการส่งเสริมเกื้อหนุนและช่วยแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะสหกรณ์ในภาคการเกษตรที่ถือเป็นองค์กรของเกษตรกรที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร โดยใช้วิธีการรวมกันซื้อ รวมกันขาย ส่งผลให้เกิดการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ในครัวเรือน
นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ส่งเสริมสมาชิกให้ผลิต แปรรูป และจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัย ทำให้ประชาชนในประเทศมีผลผลิตบริโภคอย่างพอเพียง รวมถึงช่วยเพิ่มพูนความรู้ และทักษะในการผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐาน การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จนเกษตรกรสามารถนำผลผลิตที่ล้นตลาดออกสู่ตลาดโลก เป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศชาติ
รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ยึดอาชีพเกษตรกรรรมเป็นหลัก รวมทั้งมีพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำการเกษตรเพื่อผลิตอาหารและพลังงานทดแทนอย่างมากมาย ดังนั้นสหกรณ์จึงมีบทบาทอย่างมากในการกำกับ ดูแล และดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในด้านการแนะนำอาชีพ และการรวมกลุ่มการผลิตและให้บริการ ตลอดจนเป็นที่พึ่งและส่งเสริมด้านวินัยการออมและการลงทุนให้กับสมาชิก
"การดำเนินการข้างต้นจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความสามารถและการทุ่มเทเวลาในการดูแล แนะนำ และส่งเสริมจากนักส่งเสริมสหกรณ์อย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันนักส่งเสริมสหกรณ์ต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ จึงจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในระบบสหกรณ์ให้แก่สมาชิกทั่วประเทศได้" นายธีระชัย กล่าว
ชาตินี้สงสัยไม่ทันเลื่อนซ้ำคดี ‘วิฑูรย์’‘สดศรี’ แย้มรอดแน่
ชาตินี้ก็ทำท่าจะไม่ได้เห็นผลการพิจารณาใบแดง “วิฑูรย์ นามบุตร” หลัง กกต.หาเหตุเลื่อนชี้ขาดออกไปอีกเป็นครั้งที่เท่าไรก็นับไม่ถ้วน อ้างไม่ครบองค์ประชุมทั้งที่ติดภารกิจแค่คนเดียว แต่ยังอยู่ทำหน้าที่อีก 4 “สดศรี” แย้มชอบมีข่าวหลุดออกมาล่วงหน้าแถมตรงทุกครั้ง เชื่อคราวนี้ ปชป. รอดตามคาด ให้จับตาดู กกต. ชุดใหญ่ชี้ขาดยืนตามที่อนุฯ เห็นควรให้ “ยกคำร้อง”
การประชุมใหญ่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงบ่าย วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา มีกำหนดการลงมติพิจารณาคดีนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กรณีทุจริตโดยการแจกตั๋วชมภาพยนตร์ฟรีสลับการปราศรัยหาเสียง ที่จ.อุบลราชธานี ตามที่นายสมบัติ รัตโน อดีตผู้สมัครส.ส.อุบลราชธานี พรรคพลังประชาชน ยื่นหลักฐานฟ้องร้องต่อ กกต. ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจจะนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้
แต่คดีดังกล่าวก็มีความทุลักทุเลมาตลอด และกินเวลายาวนานกว่าคดีของพรรคการเมืองอื่นจนน่าสงสัย รวมทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมาพยานบุคคลหายบ้าง ยืดเวลาก็แล้วก็ยังไม่มาให้ปากคำบ้าง กกต.เองก็ถ่วงเวลากันจนนาทีสุดท้าย เสมือนรอจังหวะให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นโดนยุบพรรคกันไปก่อน
อย่างไรก็ตามการประชุมใหญ่ของ กกต. ที่หลายคนรอคอย ตามที่มีการบรรจุเรื่องดังกล่าวไว้เพื่อลงมติ ก็กลายเป็นหมันอีก ด้วยข้ออ้างว่าองค์ประชุมไม่ครบ เพราะขาดกกต.หญิงหนึ่งเดียว นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการพรรคการเมือง ที่ติดภารกิจไม่สามารถมาเข้าร่วมประชุมได้
กรณีดังกล่าวนายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง ด้านการมีส่วนร่วม ยืนยันว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าสมควรรอนางสดศรี เนื่องจากสำนวนดังกล่าวมีความสำคัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังประสานอยู่ หากมาร่วมประชุมก็สามารถลงมติได้ทันที เพราะ กกต.ทุกคนได้อ่านสำนวนมาเรียบร้อยหมดแล้ว
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวถึงการพิจารณาสำนวนการร้องคัดค้านนายวิฑูรย์ กรณีกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งว่า หลังจากที่นายสมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง ด้านสืบสวนสอบสวนได้เสนอเรื่องเข้าสู่วาระการประชุมของ กกต.เพื่อลงมติ แต่ขณะนี้ที่ประชุมยังไม่ได้ลงมติ เนื่องจากนางสดศรี ติดภารกิจทำวีซ่าเพื่อเดินทางไปดูงานที่สหรัฐอเมริกาจึงไม่ได้เข้าร่วมประชุม
ซึ่ง กกต.คนอื่นเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความสำคัญควรรอให้อยู่ครบทั้งหมด ตนจึงได้พยายามติดต่อนางสดศรีว่าจะสามารถกลับมาร่วมประชุมในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ได้หรือไม่
“ตามระเบียบการพิจารณาใบเหลือง ใบแดง กกต.ทั้ง 5 คนจะต้องร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อโต้แย้งและข้อร้องเรียนได้ในภายหลัง” นายสุทธิพลกล่าว
ขณะเดียวกันนางสดศรี ออกมากล่าวว่า ทราบว่าช่วงบ่ายของวันที่ 2 ตุลาคม กกต.มีกำหนดการพิจารณาลงมติชี้ขาดสำนวนการทุจริตเลือกตั้งของนายวิฑูรย์ และเนื่องจากตนติดธุระในการทำวีซ่าขอเดินทางไปประเทศอเมริกาเพื่อดูงานในระหว่างวันที่ 7-16 ตุลาคมนี้ จึงไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมประชุมในวันนี้ได้
ดังนั้นต้องเตรียมเอกสารสำคัญหลายรายการจึงต้องการจะจัดการเรื่องตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน เพื่อให้ทันกับกำหนดการการเดินทาง พร้อมกับเห็นว่าแม้ตนไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ก็ยังเหลือกกต.อีก 4 คนถือว่าครบองค์ประชุมสามารถลงมติได้อยู่แล้ว
“ขอตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนสำนวนดังกล่าวในชั้นอนุกรรมการนั้น มีเหลือเพียง 3 คน จากเดิมที่มีอยู่ 5 คน ก็ยังสามารถสรุปสำนวนส่งมาถึง กกต.ได้ แล้วเหตุใด กกต.ที่เหลือ 4 คนจะลงมติไม่ได้ เพราะตามกฎหมายก็ถือว่าครบองค์ประชุมแล้ว
ดิฉันยืนยันว่าคงไม่สามารถกลับเข้าไปร่วมประชุมในวันเดียวกันนี้ได้แน่ เพราะการเตรียมตัวเดินทางต้องใช้เวลาทั้งวัน และประสานไปยังเลขาธิการ กกต.แล้วโดยเสนอให้จัดนัดประชุมพิเศษเพื่อลงมติเรื่องนี้ในวันที่ 3 ตุลาคมได้หรือไม่ เพราะดิฉันว่าง
แต่ปรากฏว่ามี กกต.บางคนมีกำหนดการเดินทางไปต่างจังหวัด ตรงนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ที่ผ่านมามักจะมีข่าวหลุดออกไปก่อน ตั้งแต่ในชั้นของอนุกรรมการว่ามีมติว่าอย่างไร และก็เป็นไปตามข่าวเสียทุกครั้ง ครั้งนี้ก็มีข่าวว่าอนุกรรมการมีมติให้ใบขาว ก็ไม่รู้ว่าจะตรงอีกหรือเปล่าทั้งๆ ที่เรื่องก็ยังไม่เข้าที่ประชุม กกต.”
นอกจากนี้ นางสดศรี ยังกล่าวถึงมติว่า กกต.คงจะพิจารณายกคำร้องตามความเห็นที่คณะอนุกรรมการได้เสนอมา
ซึ่งคำกล่าวของนางสดศรีตรงกับแหล่งข่าวจากคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนใบแดงนายวิฑูรย์ที่เปิดเผยว่าอนุกรรมการพิจารณาเรื่องเสร็จแล้ว และมีมติยืนยันตามเดิม คือให้ยกคำร้อง
ด้านคดียุบพรรคพลังประชาชน (พปช.) แหล่งข่าวจากคณะทำงานอัยการคดีดังกล่าว แจ้งว่ามีกำหนดการพิจารณาคดีดังกล่าวในวันเดียวกันกับพิจารณาคดีนายวิฑูรย์ แต่มีแนวโน้มที่อัยการจะเสนอกกต. ตั้งคณะทำงานร่วมกับอัยการเพื่อพิจารณาพยานหลักฐานเพิ่มเติมและคงจะมีการขอขยายเวลาไปอีก 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้ ทางอัยการได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทยและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค พร้อมกับยื่นหลักฐานเพิ่มเติมใน คำร้องยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย
ซึ่งนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวว่า ได้ทำใจในคดียุบพรรคเอาไว้แล้ว เพราะการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีประโยชน์อะไรเลยและเตรียมหาพรรคใหม่สำรองไว้แล้ว
จี้ปปช.สอบด่วน‘อภิรักษ์’เสียดายงบเลือกซ่อม
“ชูวิทย์” บุก ป.ป.ช. จี้ให้เร่งสอบ “อภิรักษ์” กรณีอาจเกี่ยวพันทุจริตรถ-เรือดับเพลิง ตามที่ร้องเรียนเป็นเรื่องด่วน ห่วงต้องเสียงบประมาณมหาศาล หากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ มั่นใจหลักฐานเต็มที่เพราะข้อมูลสมบูรณ์ ส่วนกรณีป้ายโฆษณาแฝง กกต.กทม.พิจารณาเสร็จแล้วส่งถึงมือ กกต.ชุดใหญ่ เผยมติไม่เอกฉันท์ เสียงกว่าครึ่งเชื่อผิดจริง
จากกรณีมีการร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลสารพัดเรื่องราวเกี่ยวกับ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึงในวันที่ 5 ตุลาคม 2551นั้น
ในส่วนของป้ายโฆษณาแฝงที่มีการร้องเรียนและอยู่ระหว่างการพิจารณาของ กกต.กทม. ได้รับการเปิดเผยจาก นายพิงค์ รุ่งสมัย ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.) เป็นประธานประชุมสืบสวนสอบสวนพิจารณาเรื่องตามคำร้องของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ร้องเรียนป้ายหาเสียงของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครผู้ว่าฯ ว่าไม่ถูกต้องตามประกาศของ กกต.โดยคำร้องของนายชูวิทย์ ระบุให้ กกต.พิจารณาว่าป้ายดังกล่าว ขัดหรือฝ่าฝืนต่อประกาศ กกต.หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเฉพาะประเด็นตามคำร้องและมีความเห็นสรุปแล้วว่าผิดหรือไม่ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าสรุปอย่างไร โดยวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2551 กกต.กทม.จะส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ กกต.ใหญ่ ซึ่งหาก กกต.ใหญ่มีความเห็นภายหลังว่าผิดจริง แม้ผู้ถูกร้องเรียนจะได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ก็ยังสามารถให้ใบเหลืองหรือใบแดงเพื่อดำเนินการเอาผิดได้
มีรายงานว่า ที่ประชุม กกต.กทม.ได้ให้ลงมติลับ โดยคณะกรรมการทั้ง 5 คน มีความเห็นแตกต่างกัน สรุปด้วยมติไม่เป็นเอกฉันท์ โดยรายงานข่าวระบุว่ากรรมการ 3 ใน 5 คน เห็นว่าการกระทำของนายอภิรักษ์ ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง
นายชูวิทย์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ อาจได้ใบเหลืองเพราะทำผิดกฎหมายเลือกตั้งกรณีป้ายประชาสัมพันธ์ กทม.เป็นโฆษณาแฝงเอื้อประโยชน์ว่า ไม่ได้รู้สึกดีใจที่ นายอภิรักษ์ จะได้ใบเหลือง แต่เชื่อว่ากรณีนี้ไม่น่าจะรอด เพราะหลักฐานที่ตนได้มอบให้ กกต.กทม.ถือว่าครบถ้วนทุกประเด็น
ขณะเดียวกันได้ตั้งข้อสังเกตกรณีรังสิตโพล โดยเป็นของ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ยังออกมาเผยแพร่การสำรวจก่อนการเลือกตั้ง กทม.ภายใน 7 วัน ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง
ด้าน นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน กล่าวถึงเรื่อง กกต.กทม. ส่งเรื่องให้ กกต.ใหญ่ พิจารณาเรื่องการให้ใบเหลือง กรณีป้ายหาเสียงนั้นว่า ไม่กังวลใจ เพราะได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวแล้วว่าเป็นป้ายประชาสัมพันธ์ ของ กทม.ในอดีตที่ตนเคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และยืนยันไม่เคยทำผิดการเลือกตั้ง ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ และพร้อมที่จะชี้แจงกับ กกต.
ส่วนในเรื่องทุจริตรถ-เรือดับเพลิง ที่นายชูวิทย์ เป็นผู้ออกมาเปิดประเด็นในวันที่ 2 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. ผ่านนายวิทยา อาคมพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักการข่าว ป.ป.ช. เพื่อให้เร่งพิจารณาตรวจสอบทุจริตโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร โดยได้แนบสรุปเหตุการณ์และแง่คิดในบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกทม.
โดยเห็นว่าหากนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าฯกทม.แล้วได้มีการชี้มูลความผิดและลงความเห็นตัดสินว่านายอภิรักษ์ มีความผิดจริง จะส่งผลให้นายอภิรักษ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.และต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ทำให้สูญเสียงบประมาณของแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวจึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เร่งพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นการด่วน
นายชูวิทย์ กล่าวยืนยันว่า ตนจะติดตามเร่งรัดเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดแม้จะต้องตามจนสุดขอบฟ้า จนตนเองตายก็จะไม่หยุด จะหยุดก็ต่อเมื่อมีคนติดคุก และใครที่ถูกตนร้องเรียนก็จะไม่รอดแน่ และการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) จะมาทำตีขรุมว่านายอภิรักษ์ ไม่เกี่ยวข้องทั้งๆที่ ป.ป.ช. ยังไม่สรุปคดีแม้ว่าจะไม่มีการชี้มูลความผิดในช่วงที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) รับผิดชอบคดีนี้อยู่ก็ตาม
ซึ่งทางด้าน บริษัท สไตเออร์ฯ ได้ส่งจดหมายชี้แจงมายังป.ป.ช. แล้วซึ่งตนคงไม่ไปก้าวก่าย นอกจากนี้ การที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส. พรรคฯ ออกมาระบุว่าข้อมูลที่ตนนำมาเปิดเผยนั้นเป็นข้อมูลเก่าแล้วแต่ข้อมูลเก่าที่ว่านี้ทำไม่ถึงไม่ตอบในสิ่งที่ตนถามไปและการที่ให้นายอภิรักษ์ อยู่นิ่งๆ ไม่ตอบโต้ วิธีการนี้มันเป็นวิธีที่พรรคประชาธิปัตย์น่าจะใช้เมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่ใช่ตอนนี้
“ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่การเปิด L/C ของนายอภิรักษ์ เพราะมีผลทำให้สัญญาซื้อขายสมบูรณ์ ดังนั้นนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้ว่าฯกทม.ไม่เกี่ยวข้องแน่นอนแม้จะเป็นผู้ลงนามในสัญญากับบริษัท สไตเออร์ฯ ก็ตาม
ทั้งนี้หากเป็นการกระทำของพรรครัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์คงอภิปราย 7 วัน 7 คืน แน่นอน และผมมั่นใจว่าต้องมีเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.รอบ 2 แน่ และคงจะมีใครได้ใบดำ กินข้าวในคุกแน่ ทั้งนี้ขอยืนยันว่าส่วนตัวไม่เคยมีปัญหากับนายอภิรักษ์ เจอกันก็ทักทายเป็นปรกติเพราะอาศัยอยู่คอนโดฯ เดียวกัน” นายชูวิทย์ กล่าว
สองช็อตของ “สมชาย”
ลากนักโทษเข้าแดนประหาร
ล่าสุดตัวแทนอัยการสูงสุดได้เดินทางเข้ายื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทยและตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหารพรรค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 237 พร้อมทั้งยื่นหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมคำร้องคดียุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย
โดยนายเศกสรรค์ บางสมบูรณ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ย้ำหนักแน่นเลยว่า ทางอัยการสูงสุด ได้มีความเห็นตรงกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคทั้ง 2
เนื่องจากพิจารณาตามพยานหลักฐานแล้วแน่นหนา
เตรียมจองศาลาล่วงหน้าได้
และจ่อรอคิวต่อไป ในส่วนของค่ายใหญ่อย่างพรรคพลังประชาชน คณะทำงานที่มีนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ รองอัยการสูงสุด เป็นประธาน จะนัดประชุมนัดที่ 2 ในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงโดยเงื่อนเวลา อัยการสูงสุดจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จและยื่นศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 10 ตุลาคม
ต่อลมหายใจได้อีกไม่นาน
ตามการคาดการณ์ของ “เดอะอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แทงหวยล่วงหน้า พรรคพลังประชาชนโดนยุบล้านเปอร์เซ็นต์
และก็เป็นอะไรที่ขยับถอยให้ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่อนใบลาออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชาชน
เป็นอันจบสิ้นภารกิจ เลิกสัญญา “นอมินี”
ส่งมอบสถานะ “ร่างทรง” ให้กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขึ้นมารั้งเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชาชน อีกตำแหน่งหนึ่ง
สายตรงไม่ต้องอ้อมอีกต่อไป
และตามกติกาพรรคพลังประชาชนต้องมีการเรียกประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคกันใหม่ ในห้วงนาทีคาบเส้นคดียุบพรรคที่จ่อคอหอยเข้ามาทุกขณะ
เหมือนเลือกไปก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
แต่หากจับสัญญาณจาก “มหากุเทพ” ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีตโฆษกพรรคพลังประชาชน คนของกลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ออกมาจุดไฟเผาบ้านส่งท้าย
ชี้เป้าแฉแผนอพยพ
ต่อเนื่องจากเกมสลายมนต์พ่อมดเขมร มีความพยายามรวมคนมุ่งสู่พรรคการเมืองใหม่แบบมีเอกภาพ ถ้านายกฯสมชายไม่ยุบสภาก่อนยุบพรรค พรรคเพื่อไทยก็จะรวบรวมเสียงข้างมากตั้งรัฐบาลต่อไป
สอดรับกับท่าทีของนายกฯสมชายที่เล่นบทเคลียร์ใจ ส.ส.ลูกพรรคในที่ประชุมเมื่อเย็นวันที่ 30 กันยายน เพิ่มระดับการดูแลใกล้ชิด
สั่งรัฐมนตรีประกบติด ดูแล ส.ส.แบบ 1 ต่อ 10
และก็เป็นนายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคพลังประชาชน กลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ออกมาปูดเบื้องหลัง นายกฯสมชายได้หารือกับนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน ภายหลังการประชุมพรรค
อ้างคำพูด “เนวิน” ขอให้ทุกคนรวมตัวกันไว้ ซึ่งต่อไปเราคงต้องเตรียม พร้อมรับคดียุบพรรคพลังประชาชน ถ้าถึงตอนนั้นมติพรรคให้ไปไหน พวกเราจะไปไหนก็ไปด้วยกัน ถ้าให้ไปพรรคเพื่อไทยเราก็ต้องไป เพราะถึงตอนนั้นถ้าไม่ไปพรรคเพื่อไทย จะสู้ในการเลือกตั้งลำบากมาก
รีบสยบแรงกระเพื่อมภายใน
โดยอาการขยับที่สอดรับกัน มันก็มองได้สองช็อต
หมากแรก “สมชาย” ต้องถือธงคุมเกม ประสานทุกฝ่าย พยายามรวบรวมไพร่พล ปักหลักรักษาสถานภาพการนำพรรคร่วม รัฐบาลต่อไป
แต่ถ้ายื้อเกมถอนรากถอนโคนไม่ได้
อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกประชุมเตรียมยุทธศาสตร์เลือกตั้ง เพราะวิเคราะห์กันว่านายกฯสมชายจะชิงยุบสภาก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรค
ตามเกมต้อนลูกข่ายเข้าพรรคเพื่อไทยก่อนจะกระเจิงไปคนละทาง
ก็มาถึงหมากที่สอง “สมชาย” ต้องระดมพล ต้อนคนเข้าคอกพรรคเพื่อไทยให้มากที่สุด เพื่อรับประกันชัยชนะในสนามเลือกตั้งในนามค่ายสำรองของ “นายใหญ่”
และนั่นก็ต้องมองไปถึงผู้เล่นแถวสาม ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายติดโทษแบนทางการเมือง
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีต รมว.พาณิชย์ ก็อยู่ในบัญชี
แต่ที่เด่นขึ้นมาแบบชัดๆก็คือรายของ “ขุนค้อน” นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รมว.ยุติธรรม จากรองประธานสภาฯ ขึ้นชั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกรดบีในตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม ไม่ถึงสองเดือน ถูกดันให้ขึ้นแท่น ว่าการกระทรวงเกรดเอ พะยี่ห้อ “สหายยงยุทธ” ก้าวมาอยู่แถวหน้าแบบพรวดๆ
เหมือนถูกชงให้แต่งตัวรอรับงานใหญ่.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
มีผู้สมทบทุนบริจาคเงินช่วยข้าราชการที่ถูกฟ้องกรณีพระวิหารร่วม 3 ล้านบาท
ก.ต่างประเทศ 2 ต.ค. -สมาชิกสโมสรสราญรมย์ ระดมทุนช่วยเพื่อนข้าราชการที่ถูกฟ้องดำเนินคดีกรณีปราสาทพระวิหาร ได้เงินหลายสกุล จำนวนกว่า 2 ล้านบาท โดยมีบุคคลสำคัญหลายคนร่วมบริจาค ขณะที่ปลัดกระทรวงปฏิเสธรับ เพราะเกรงใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ประสบปัญหาอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งล่าสุดมีการฟ้องร้องข้าราชการ 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร โดยนายนรชิต สิงหเสนี เลขาธิการสโมสรสราญรมย์ มีหนังสือลงวันที่ 19 กันยายน 2551 เพื่อแจ้งให้ทราบความคืบหน้าตามที่ได้มีหนังสือลงวันที่ 1 กันยายน 2551 เกี่ยวกับการระดมทุนช่วยเหลือเพื่อนข้าราชการที่ประสบปัญหาอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวว่า
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินสำหรับช่วยเหลือข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่ประสบปัญหาจากการปฏิบัติหน้าที่ ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ และเป็นมงคลและขวัญกำลังใจอันสูงสุดแก่ข้าราชการทั้ง 4 ตลอดจนสมาชิกสโมสรสราญรมย์ทุกคน ซึ่งในการนี้ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับเพื่อนข้าราชการทั้ง 3 คน ได้กราบบังคมทูลฯ แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ ในระหว่างส่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังราชอาณาจักรสเปน เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2551
หนังสือระบุด้วยว่า สมาชิกสโมสรสราญรมย์จำนวนมากได้บริจาคสมทบทุน ซึ่งรวมทั้งนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี นายประจวบ ไชยสาส์น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม นอกจากนั้นยังมีบุคคลภายนอกและหน่วยราชการอื่น ซึ่งเมื่อทราบเรื่องการระดมทุน ได้ร่วมบริจาคสมทบด้วย อาทิ กรมกิจการชายแดนทหาร ซึ่งยอดเงินการระดมทุน ณ วันที่ 18 กันยายน 2551 เป็นจำนวน 2,961,200 บาท 390 ยูโร 470 ดอลลาร์สหรัฐ 1,200 หยวน และ 150,000 เยน นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งด้วยว่า ไม่ขอรับเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ เพราะเกรงจะเป็นการรบกวนเพื่อนข้าราชการ
หนังสือระบุอีกว่า นายสุจินดา ยงสุนทร และนายประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตเอกอัครราชทูต ได้รับที่จะดำเนินการร่วมกับทนายในการต่อสู้คดีให้กับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศทั้ง 4 คน โดยไม่คิดค่าบริการ ค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งนี้ ท้ายจดหมายยังระบุด้วยว่า จำนวนเงินที่รวบรวมได้ไม่สำคัญเท่าการแสดงความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของเพื่อนสมาชิกสโมสร ในยามที่พี่น้องสมาชิกต้องเผชิญกับปัญหาอันเกิดจาการปฏิบัติหน้าที่. -สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-10-02 20:16:07
ข้อเสนอของ สนนท คือการเมืองที่นักประชาธิปไตยต้องการอย่างแท้จริง
บทความ โดย Bugbunny
ต้องขอขอบคุณน้อง ๆ ผู้เสนอด้วยว่า กลุ่มรุ่นพ่อแม่พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย อยากได้การเมืองแบบนี้มาตั้งแต่สมัยอายุเท่าน้อง ๆ แต่มันไม่เคยเป็นจริงครบถ้วนเลย มาตลอดยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมา สมัยเป็นนิสิตนักศึกษานั้น ข้อเรียกร้องและความต้องการเหล่านี้อยู่ในจิตใจของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด และเราพยายามจนได้มาบ้าง แต่ก็ถูกปล้นกลับไปบ้าง เราสู้ต่อดึงคืนมา เขาก็ลากกลับไปอีก บางคนที่เคยเรียกร้องการเมืองแบบนี้อย่างสุดจิตสุดใจ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีแปรธาตุกลับไปหาการเมืองแบบสองร้อยปีก่อนก็มี เพียงแต่จำนวนไม่มากนัก และหลายคนก็กำลังเครียดจัด ขนาดเมียต้องมาคุม เพราะเกียรติและศักดิ์ศรีนักประชาธิปไตยในอดีตถูกทำลายย่อยยับไปแล้วเพราะต้องการแค่อำนาจส่วนตน บางคนเริ่มต้นเป็นคนประสาทเพี้ยนเพราะความถูกต้องเป็นธรรมกับอำนาจกำลังต่อสู้กันอย่างหนักในจิตใจ
การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง/ การใช้ลูกขุนเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาพิจารณาเฉพาะข้อกฎหมาย/ การลดรายจ่ายกองทัพนำมาเป็นสวัสดิการสังคมแทน/ ภาษีมรดก/ ภาษีที่ดินแบบก้าวหน้า/ ข้าราชการมีหน้าที่รับใช้ประชาชน/ เลือกตั้งแบบวันแมนวันโหวต/ ยุติวุฒิสภาหรือให้มีหน้าที่กลั่นกรองเท่านั้น ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการบริหาร/ ยกเลิกข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฯลฯ
ทุกข้อเสนอคือความปรารถนาของนักศึกษาประชาชนในยุคก่อนที่เคยต่อสู้เพื่อให้ได้มา และก็ต้องต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเผด็จการศักดินาอำมาตย์ ตีโต้ด้วยการรัฐประหารยึดอำนาจ ฝ่ายประชาชนก็สู้กลับด้วยการปฏิวัติประชาชน สลับกันไปมากว่าสามสิบปีแล้ว และตอนนี้ก็ยังต้องต่อสู้ต่ออีก มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากขึ้น มากันในหลายรูปแบบ บางคนก็แสร้งทำตนเป็นนักสู้ฝ่ายประชาธิปไตย ผลักดันภาคประชาชนให้ใช้ความรุนแรงเพื่อทำลายความได้เปรียบทางการเมือง บทเรียนมากมายในอดีต เช่นสถานการณ์ก่อนเกิดเหตุการณ์หกตุลาเป็นต้น ที่ใช้ทำลายการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาธิปไตย เคยทำให้ภาคประชาชนไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างมีผลสำเร็จและเปิดเผยมาแล้ว เราจำเป็นต้องศึกษาและมองให้ทั่วถึง ฝ่ายเผด็จการนั้นไม่สามารถทำอย่างที่เคยทำได้ง่าย ๆ อีก เพราะสังคมโลกเปิดกว้าง เขาจะทำได้ก็เพราะภาคประชาชนเปิดจุดอ่อนให้เขารุกกลับและชิงความได้เปรียบ ประชาชนต้องมองภาววิสัยให้ออก หาข้อมูลความต้องการของประชาชนที่แท้จริง ข้อเสนอของ สนนท นี้ จากการสอบถามคนทั่วไปเขาเห็นด้วยและเป็นความต้องการที่แท้จริงที่สร้างการสนับสนุนได้เป็นอย่างดี
ขอสนับสนุนข้อเสนอของ สนนท เพราะเป็นการนำเอาหลักการและความต้องการของฝ่ายประชาธิปไตยมาเผยแพร่อย่างเป็นรูปธรรม ไม่เอาความรู้สึกมาใช้ต่อสู้ เป็นข้อเสนอที่รับได้ฟังได้ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะสร้างการยอมรับทางการเมืองและสามารถสร้างความคล้อยตามในหมู่ประชาชนส่วนใหญ่ การนำเสนอผลงานที่ทำให้ได้รับการยอมรับ ใช้สมองและเนื้อหาสร้างความน่าเชื่อถือ มีความรู้และความเข้าใจในการสื่อสาร หรือเรียกกันทั่วไปว่า“เป็นมวย”เช่นนี้ เป็นข้อเสนอที่ผ่านการศึกษามาดีพอสมควรทำให้น่าร่วมมือ
ในขณะที่กลุ่มสูงวัยทั้งหลายที่เห็นกันอยู่ในวันนี้กลับต่อสู้ทื่อ ๆ กันเป็นสองแนวทาง แบบแรกฉวยโอกาสเอียงซ้าย มุ่งทำสงครามสู้รบกับฝ่ายตรงข้ามด้วยอัตตาส่วนตัว แบบที่สองก็ฉวยโอกาสเอียงขวา อ่อนน้อมถ่อมตนจนเกินงามกับฝ่ายเผด็จการศักดินาอำมาตย์ ทั้งสองแนวทางที่ว่านี้ไม่ได้ใช้ความคิดและการนำเสนอเป็นอาวุธ ไม่ใช้อารมณ์ก็ใช้มารยาสาไถยสู้ศัตรูแทน คำถามก็คือ ถ้าใช้อารมณ์บวกอาวุธนั้นเราแข็งแกร่งแล้วจริงหรือ? และมายาสาไถยนั้นมั่นใจหรือว่าฝ่ายตรงข้ามเขาจะไม่มารยาสาไถยกลับ ประสบการณ์พวกนี้น่าจะสอนฝ่ายประชาธิปไตยมาพอแล้ว
จาก thaifreenews
ประชาธิปไตยที่เราอาจจะไม่เข้าใจ
บทความ โดย ปูนนก |
นับจากเกิดปรากฏการณ์ พธม. ในปลายปี 2548 เป็นต้นมาประเทศไทยจากที่เคยรุ่งโรจน์จนถึงขั้นก้าวขึ้นเป็นผู้นำอาเซียน ได้ตกต่ำลงมาเทียบชั้นกับประเทศเผด็จการอย่างพม่า และหลังจากการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 รัฐประหารในครั้งนั้นได้ทำลายโครงสร้างความเจริญรุ่งเรืองที่กำลังพัฒนาไปให้เทียบเคียงเข้าสู่นานาอารยะประเทศ ให้พังทลายลงอย่างย่อยยับ พธม. ได้อ้างว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นการกระทำที่ใช้สิทธิอย่างสมบูรณ์ตามระบอบประชาธิปไตย ที่จะต้องตรวจสอบนักการเมืองเพื่อให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง ดังนั้นการก่อการชุมนุมกดดัน การสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองที่เกิดขึ้นจากการประท้วงตามที่ต่าง ๆ และลักษณะต่าง ๆ คือ วิถีทางตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถทำได้
การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะนายทหารผู้ก่อการก็อ้างว่าเป็นการกระทำตามระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้ได้รัฐบาลที่ดี (Good Government) จึงใช้ชื่อคณะผู้ก่อการว่า “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” คณะผู้ก่อการรัฐประหารในครั้งนั้นเชื่อว่าเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่ดี ดังนั้นการรัฐประหารจึงสามารถกระทำได้ เพราะเป็นวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย
หลังจากนั้นผ่านการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เป็นต้นมารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็เข้ามาบริหารประเทศ พธม. ก็อ้างสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยอันเดิมสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศอีก จนถึงขั้นใช้กองกำลังติดอาวุธบุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT ยึดกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตร และในที่สุดก็ปักหลักยึดอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลมาจนทุกวันนี้ และไม่มีผู้ใดที่สามารถเข้าไปดำเนินคดีตามกฎหมายได้ด้วย เกิดเป็นคำถามที่ไม่มีนักรัฐศาสตร์คนใดในโลกให้คำตอบได้ว่า ที่อ้างว่าประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาธิปไตยในประเทศไทยคือสิ่งใดกันแน่
จะว่าไปแล้วประชาชนชาวไทยได้ก้าวกระโดดทางการเมืองโดย กลุ่มหัวก้าวหน้า ที่เรียกตนเองว่า คณะราษฎร์ ได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งจุดมุ่งหมายในครั้งกระนั้นก็มุ่งหมายที่จะให้ประเทศไทยได้เปลี่ยนการปกครองจากระบบกษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารปกครองประเทศ มาเป็นให้ประชาชนพลเมืองเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารปกครองประเทศแทน กระบวนการได้มาซึ่งประชาธิปไตยในขณะนั้นเกิดจากกลุ่มบุคคล ที่มีโอกาสได้ไปศึกษาร่ำเรียนมาจากต่างประเทศ และได้เห็นถึงความเจริญในประเทศต่าง ๆ ที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย โดยได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ จึงได้นำแนวคิดนี้ติดมาเพื่อจะมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย
ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นแนวคิดที่ดีและก้าวหน้า แต่ทว่าประชาธิปไตยที่ได้รับมานั้นเป็นประชาธิปไตยที่ขาดซึ่ง “พื้นฐานแห่งพัฒนาการ” ประชาชนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจว่า พวกเขาควรจะได้รับสิ่งใด, ควรจะหวงแหนสิ่งใด และไม่ควรจะละเมิดสิ่งใด ประกอบกับวัฒนธรรมประเพณีการปกครองที่สืบต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ทำให้ประชาชนไทยส่วนมากยังขาดแรงผลักดันในความต้องการประชาธิปไตยเพื่อตนเอง ด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลากว่า 76 ปี หลังจากที่คิดว่าได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยแล้วนั้น ประเทศไทยจึงยังคงหมุนอยู่ในวังวนแห่งอำนาจเผด็จการที่พากันเข้ามายึดอำนาจ (ซึ่งก็คือของประชาชน) ไปปกครองประเทศอย่างไม่ขาดสาย และครั้งล่าสุดก็คือเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาได้สูญเสียสิ่งใดในความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย ไปบ้างในการยึดอำนาจแต่ละครั้ง
คำว่า ประชาธิปไตย ดูเหมือนเป็นคำที่ใครต่อใครก็ใช้อ้างกันอย่างฟุ่มเฟือย แต่ในขณะที่จะมีคนที่เข้าใจหลักการอย่างแท้จริงสักเท่าใด ขอให้ท่านผู้อ่านลองถามตัวเองและพิจารณาดูว่า ประชาธิปไตย ในมุมมองหรือแนวคิดของท่านคืออะไรแล้วลองตอบตัวเองดู...........อย่างไรก็ดี ประชาธิปไตย นั้นมีหลักที่เป็นสากลอยู่ด้วยกัน 5 ประการ ดังนี้คือ
1. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ( Sovereignty of People ) อำนาจอธิปไตยหมายถึงอำนาจในการปกครอง อำนาจในการเลือกผู้ที่จะปกครองหรือแนวทางที่จะปกครองตนเอง อำนาจอธิปไตยนี้จะต้องมีอยู่อย่างบริบูรณ์ในประชาชนทุกคนในประเทศนี้ ถ้าประเทศใดประชาชนยังไม่สามารถที่จะเลือกหรือกำหนดได้ว่าตนเองต้องการ ได้รับการปกครองแบบใด ประเทศนั้นก็ยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตย
2. ประชาชนมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ (Full Freedom) หลักการทื่สำคัญของประชาธิปไตยนั้นประชาชนจะต้องได้รับเสรีภาพของตนเองอย่างบริบูรณ์ โดยเป็นเสรีภาพในการที่จะ พูด, คิด, อ่าน, เขียน, วิพากษ์วิจารณ์, ฯลฯ ซึ่งเสรีภาพนั้นจะเป็นเสรีภาพที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ถ้าประเทศใดประชาชนไม่สามารถใช้เสรีภาพเหล่านั้นได้อย่างอิสระ ก็แสดงว่ายังไม่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ
3. ความเสมอภาค ( Equality ) ทั้งความเสมอภาคทางกฎหมาย และความเสมอภาคทางโอกาส ประชาธิปไตยนั้นยึดถือความเสมอภาคของกันและกัน โดยมีแนวคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ไม่ถือว่าใครมีความแตกต่างกันในเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้คนพิการ, คนด้อยโอกาส, คนจน, คนรวย ฯลฯ ทุก ๆ คนจึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับความเสมอภาคกันในการได้รับบริการ, การได้รับการดูแลปกป้องจากรัฐบาล, ความเสมอภาคในด้านการศึกษา และการพยาบาล ฯลฯ ดังนั้นถ้าประเทศใดประชาชนยังไม่มีความเสมอภาคกันในด้านสิทธิและการได้รับการบริการต่าง ๆ รัฐ ก็แสดงว่าประชาธิปไตยที่มีอยู่นั้นไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง
4. ยึดหลักกฎหมายเป็นหลักสูงสุด ( Rule of Law ) กฎหมายรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ กฎหมายนี้จะเป็นกฎหมายที่ให้สิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกันกับประชาชนทุกคนในประเทศ จะไม่มีผู้ใดที่ละเมิดหลักแห่งความยุติธรรมของกฎหมายสูงสุดนี้ได้ กฎหมายรัฐธรรมนูญนี้จะไม่เป็นเพียงแค่บันทึกที่อยู่ในแผ่นกระดาษ แต่เป็นศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณแห่งความเป็นประชาธิปไตยของปวงชนทั้งปวงอีกด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเป็นผู้ควบคุมดูแล และบังคับใช้กฎหมายโดยนิติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน ตราบใดที่ในประเทศยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และให้เป็นไปตามนิติธรรมได้ นั่นก็หมายความว่าความเป็นประชาธิปไตยได้ถูกล่วงละเมิด และถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
5. ที่มาของรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง (Elected Government ) รัฐบาลจะเป็นผู้ใช้อำนาจของปวงชนทั้งมวลในการบริหารประเทศ ดังนั้นการได้มาของรัฐบาลนั้นจะต้องมาจากการยินยอม หรือลงความเห็นของประชาชนทั้งชาติ และวิธีที่จะเป็นอย่างนั้นได้ก็คือวิธีการเลือกตั้งทั่วไปโดยประชาชนทั้งชาติ ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มาเพื่อการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยจะย้ำไปตรงที่มาของรัฐบาลนั่นคือ ต้องมาจากการเลือกตั้งเป็นประเด็นแรก ดังนั้นประเทศที่จะมีการปกครองด้วยประชาธิปไตยได้จุดเริ่มแรก ที่มาของรัฐบาลจำเป็นจะต้องมาจากการเลือกตั้งทั่วไปของคนทั้งประเทศเท่านั้น
ทุกท่านควรจะพิจารณาว่าท่านเข้าใจคำว่า ประชาธิปไตย ที่แท้จริงอย่างไร ถ้าความเข้าใจในเรื่อง ประชาธิปไตย ของท่านคลาดเคลื่อนไปจากหลักการนี้ นั่นก็แสดงว่า ท่านยังอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องหลักการของประชาธิปไตยที่ถูกต้องดีพอ เพราะถ้าท่านเข้าใจคลาดเคลื่อนวิธีการและมุมมองของท่านก็จะคลาดเคลื่อนตามไปด้วย จากนี้ไปข้าพเจ้าเชื่อว่าเมื่อหลักการถูกต้องวิธีการและความเข้าใจก็จะถูกต้องอย่างแน่นอน
ปูนนก