WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, October 10, 2009

เหตุ(เคย)เกิดที่พม่า

ที่มา Thai E-News


โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 19


ในเวลาที่เขาเร้ากระแสชาตินิยมกันจนคลั่ง อย่างกรณีกัมพูชา ปราสาทพระวิหาร และฮุนเซ็นในขณะนี้ การแสดงความเห็นใดๆ ทำได้ยากยิ่ง เพราะกลัวจะถูกตีตราว่าไม่รักชาติหรือขายชาติ

คนส่วนใหญ่ก็ต้องนั่งนิ่งสยบยอม จนบางครั้งเกิดสงครามลุกลามใหญ่โตคร่าชีวิตชาวบ้านและลูกชาวบ้านคือทหารไปไม่รู้จักเท่าไหร่ ในขณะที่อำมาตย์คนสั่งนั่งสบายอยู่ที่เมืองหลวงและปลอดภัยดี

ความรักชาติ (patriotism) เป็นลัทธิเกิดใหม่ของโลกเมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง เมื่อเกิดการรวมกลุ่มประชากรขึ้นมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า ชาติ หรือ ประเทศ การรวมกลุ่มชนิดนี้เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า รัฐสมัยใหม่ (modern state) ที่แตกต่างอย่างมากจากรัฐแบบโบราณ ลัทธินี้ทำให้กลุ่มคนในแต่ละ “ชาติ” หรือ “ประเทศ” เกิดผูกพันกับสังกัดของตนอย่างลึกซึ้งแน่นแฟ้น จนเกิดแนวคิดเชิงปรัชญาขึ้นมาทั่วโลก เช่น ตัวตายดีกว่าชาติตาย สละชีพเพื่อชาติ “ความฝันอันสูงสุด” เป็นต้น

ลัทธิรักชาติคือต้นเหตุที่สำคัญของสงครามโลกทั้งสองครั้ง และเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับทุกคนที่อยากเป็นทหารด้วยอุดมการณ์

ถ้าจะเรียกเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็เป็นโปรแกรมที่ฝังลึกเข้าไปสมองอย่างถอดถอนแทบไม่ได้

อย่ากระนั้นเลย ขอเล่าเรื่องของไทยกับประเทศอื่น และเป็นเรื่องที่สามารถเทียบเคียงได้กับกรณีกัมพูชาจะดีกว่า เพราะพูดเรื่องปัจจุบันคงมีคนไม่สบอารมณ์เอาง่ายๆ

เรื่องนี้เกิดขึ้นและจบลงเมื่อไม่นานปีมานี้ นั่นคือในขณะที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก ฉากเปื้อนเลือดของกรณีนี้ไม่ใช่ราชอาณาจักรกัมพูชาแต่เป็นสหภาพเมียนมาร์หรือพม่า และมีความเกี่ยวพันลึกซึ้งกับระบอบอำมาตยาธิปไตยของไทยที่สั่งการให้เปิดศึกกับกัมพูชาเที่ยวนี้ล่ะครับ

ฟังแล้วจะได้ทราบทั่วถึงกันว่า ฝ่ายอำมาตย์ของไทยเขาคิดอะไรกับเพื่อนบ้าน และเขาก่อปัญหากับคนที่เขาไม่ชอบและจะกดหัวให้ต่ำกว่าเขาอย่างไร

จู่ๆ ในคืนหนึ่งของปีใดคงไม่ต้องระบุชัด ก็มีเครื่องบินลำเลียงทางทหาร C-130 ร่อนลงในพื้นที่ที่ใกล้กับตะเข็บชายแดนไทย-พม่า และมีทหารไทยจำนวนหนึ่งกรูออกมาพร้อมอาวุธครบมือ ทหารเหล่านี้แต่งกายด้วยชุดสีดำที่ไม่ใช่เครื่องแบบในราชการทหารไทย แต่เป็นชุดของชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่สู้รบกับรัฐบาลพม่ามาหลายสิบปี

จากนั้นก็เข้าตีที่ทำการของทหารพม่าในพื้นที่อย่างรุนแรง ทั้งด้วยอาวุธประจำกายและอาวุธหนัก จนทหารพม่าที่ไม่ได้ตั้งตัวจนล้มตายไปเป็นจำนวนร้อยๆ นาย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ผู้นำอาวุโสลำดับสองของพม่า พลเอกหม่องเอ กำลังเดินทางเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของนายกทักษิณฯ อยู่ด้วย

ความต้องการก็คือแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับเพื่อนบ้านที่รัฐบาลเลือกตั้งในขณะนั้นกำลังขยายสัมพันธไมตรีในทุกด้านเพื่อให้ประชาชนของประเทศได้รับประโยชน์

พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ คือผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น

พลโทวัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ คือแม่ทัพกองทัพภาคที่ ๓ ในขณะนั้น

กล้าสร้างเหตุการณ์นองเลือดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ เลยกับการปกป้องรักษาแผ่นดินไทย เพราะไทยกับพม่ามิได้มีปัญหาใดๆ เป็นพิเศษระหว่างกันในช่วงนั้นเลย เพียงเพื่อการแสดงออกว่าอำมาตย์ไทยต้องการเป็นศัตรูตลอดชาติกับพม่าและไม่ยอมให้นายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกมาอย่างท่วมท้นคนใดเข้ามาเปลี่ยนสภาพศัตรูให้กลายเป็นมิตรเป็นอันขาด

ฆ่าคนเขาตายเป็นเบือเพียงเพื่อเอาใจใครบางคนที่ถูกฝังชิปไว้ในหัวให้เกลียดเพื่อนบ้านราวกับคนที่มีปัญหาทางจิตเข้าขั้นอาละวาด

ไม่ต่างอะไรนักจากความเกลียดชังเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออกอย่างในขณะนี้

กรรมสิทธิ์เรื่องปราสาทพระวิหารและอาณาบริเวณกลับกลายเป็นเรื่องรอง

เรื่องหลักคือความแค้นอันสุนทรที่เป็นแผลเรื้อรังมาหลายสิบปีและยังเสียหน้าอย่างสาหัสมาจนทุกวันนี้ จนถึงขั้นสั่งการให้ “สร้างเรื่อง” ให้จงได้ โดยเริ่มจากการจุดไฟใส่ประเด็นโดยพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง ตามด้วยการทำงานของทหารบางส่วนในกองทัพภาคที่ ๒ เพื่อสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง เช่น วางกับระเบิดในพื้นที่ทับซ้อน เคลื่อนกำลังเข้าประชิดชายแดน เป็นต้น

ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ถึงกับเอาทหารชุดดำจำนวนหนึ่งใส่เฮลิคอปเตอร์ไปไล่ยิงชาวบ้านของฝ่ายตรงข้ามจนเกิดข่าวว่าเด็กหนุ่มอายุเพียง ๑๖ กับ ๑๗ ปีต้องตกเป็นเหยื่อและคนหนึ่งถูกเผาทิ้งจนหาศพแทบไม่ได้

พอผู้นำฝ่ายเขาต่อว่าต่อขานแรงๆ ก็เอาท่อนคำพูดที่ฟังแล้วสะเทือนใจที่สุดมาฉายแล้วฉายอีกให้คนไทยทั้งประเทศโกรธ

เพราะคนทำเขารู้ดีว่าเรื่องของความรักชาตินั้นทะลุทะลวงได้ทั้งฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลือง

ใครกำลังจะถึงคราวเคราะห์เหมือนอำมาตย์ไทยในช่วงนี้ อาจต้องคิดถึงเล่ห์กระเท่แบบนี้ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

เรื่องพม่านั้นจบลงตรงที่ว่า คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีขอย้ายผู้นำฝ่ายทหารฐานที่ปฏิบัติการขนาดนี้แล้วยังไม่แจ้งผู้บังคับบัญชา แต่กลับถูกห้ามและสั่งให้ไปโยกย้ายเอาในช่วงก่อนเดือนตุลาคมซึ่งเป็นฤดูกาลปกติธรรมดาเพื่อรักษาหน้า นายกรัฐมนตรีคนนั้นก็เลยต้องกลืนเลือด

ตอนหลังไม่ยอมอนุมัติงบเติมน้ำมันให้กับรถถังที่ไปปฏิบัติภารกิจหาเรื่องเพื่อนบ้านกลับมาก็ถูก “โกรธ” จากผู้มีอำนาจตัวจริงของประเทศอย่างหนัก

เห็นไหมครับว่าผู้ปฏิบัติการลับครั้งนั้นเขากล้าทำเพราะอะไร

ก็เพราะเขาได้รับคำสั่งโดยตรงมาให้ทำ และคนที่สั่งก็อยู่ในฐานะที่ปกป้องคุ้มครองคนที่ทำได้ ไม่ว่าจะขัดนโยบายของรัฐบาลหรือจะผิดกฎหมายกี่ข้อกี่กระทงก็ตาม

เรื่องกัมพูชาไม่มีอะไรเล่าเพิ่มเติม นอกจากจะบอกว่านี่แหละคือนโยบายต่างประเทศที่สม่ำเสมอและต่อเนื่องของระบอบอำมาตยาธิปไตยไทย

ดูกันเอาเองเถิดครับ.


-----------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

ภาษีที่ดินไม่คืบ

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ บทบรรณาธิการ



รศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ในนามกลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล (Policy Watch)

ออกมาแถลงเชิงวิพากษ์ว่า รัฐบาลชุดนี้กล่าวหลายครั้งว่าจะผลักดันกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่ผ่านมาหลายเดือนแล้วไม่คืบหน้า ไม่มีการนำเข้าพิจารณาในคณะครม. หรือในสภา

เพราะโดยทั่วไปการจัดเก็บภาษีจะมาจาก 3 ฐาน คือ ฐานรายได้ ฐานการบริโภค และฐานทรัพย์สิน

แต่ประเทศไทยยังไม่มีการจัดเก็บภาษีจากฐานทรัพย์สิน โดยเฉพาะที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จึงก่อให้เกิดปัญหาหลายด้าน

เช่น ปัญหาการกระจายรายได้และการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน

รศ.ดร.ดวงมณี วิจารณ์ด้วยว่า ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของไทยคำนวณจากฐานรายได้ และมีการยกเว้นจัดเก็บภาษีโรงเรือนที่ไม่ได้ทำประโยชน์

ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดช่องโหว่ เพราะยากจะแยกแยะการใช้ประโยชน์ของสิ่งปลูกสร้างได้

และมีข้อบกพร่องคือโครงสร้างอัตราภาษีแบบถดถอย ที่ดินราคาสูงเสียภาษีน้อยกว่าที่ดินราคาต่ำและปานกลาง และใช้ราคาเมื่อ 30 ปีที่แล้วเป็นฐานคำนวณ ทำให้จัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่ามูลค่าแท้จริงอยู่มาก

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแบบใหม่ ทรัพย์สินมูลค่าสูงต้องเสียภาษีมากกว่าทรัพย์สินมูลค่าต่ำ เกิดการกระจายภาระภาษี

และหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าชัดเจน ไม่ต้องใช้ดุลพินิจ จะลดการรั่วไหลลงไปได้

ความคาดหวังของคณะอาจารย์เศรษฐ ศาสตร์ในกลุ่มดังกล่าว สอดคล้องกับประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ตั้งความหวังเอาไว้กับคำประกาศของรัฐบาล

ขณะเดียวกัน ก็ไม่แน่ใจว่า ถึงจะประกาศอย่างห้าวหาญออกมาแล้ว รัฐบาลชุดปัจจุบันจะมีความกล้าหาญและความสามารถมากพอที่จะผลักดันการปรับปรุงระบบภาษีที่ทั่วถึงและเป็นธรรมนี้ได้สำเร็จหรือไม่

ยิ่งในสภาพที่รัฐบาลแสดงท่าทีเหมือนสนใจเรื่องอื่นมากกว่า หรือว่าซัดเซโอนเอนเพราะมรสุมทางการเมืองและการบริหารเรื่องอื่นๆ ความไม่แน่ใจนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ว่าภาษีทรัพย์สินที่เป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ในสังคมไทย

มีประเทศเอามาขาย

ที่มา ไทยรัฐ

วันเสาร์สบายๆวันนี้มาคุยเรื่อง "ความร่ำรวย" ของ "มหาเศรษฐี" ในโลกนี้กันดีกว่านะครับ คนที่รวยเป็นล้านล้าน เห็นแต่ตัวเลขคนทั่วไปอาจนึกไม่ออกว่ารวยขนาดไหน นิตยสารฟอร์บ ผู้จัดอันดับ เลยเอาความมั่งคั่งของเศรษฐีโลกแต่ละคน มาเทียบกับจีดีพีของแต่ละประเทศ ใครสามารถซื้อประเทศไหนได้

แล้วตั้งชื่อว่า ประเทศที่มหาเศรษฐีสามารถซื้อได้ ก็ยังดีที่ไม่มีชื่อ ประเทศไทย อยู่ในลิสต์ด้วย

แต่ถึงแม้ "ประเทศไทย" จะไม่มีชื่ออยู่ในลิสต์ประเทศที่เศรษฐีต่างชาติสามารถซื้อได้ แต่ทรัพยากรของชาติก็ "ถูกนักการเมืองเฉือนขาย" ไปไม่รู้เท่าไรแล้ว ทั้งในรูปที่ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นโดยตรง ถือหุ้นในนาม "นอมินี" ที่รัฐบาลไม่เคยสนใจ ล่าสุดคือ การเข้ามากว้านซื้อที่ดินและไร่นา เพราะกฎหมายไทยเปิดช่องไว้อย่างเป็นใจ และรัฐบาลที่มาจากนักการเมืองก็ไม่สนใจที่จะปกป้องและป้องกัน

มาดูกันครับว่า มหาเศรษฐีโลกของฟอร์บสามารถซื้อประเทศอะไรได้บ้าง

จากการจัดอันดับล่าสุดของฟอร์บ บิล เกตส์ แห่ง ไมโครซอฟท์ ที่เกษียณตัวเองไปแล้ว กลับมาทวงคืนเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกได้อีกครั้ง มีความร่ำรวยกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท

แล้วเงิน 1.7 ล้านล้านบาท ซื้อประเทศอะไรได้บ้าง

คำตอบก็คือ เงิน 1.7 ล้านล้านบาท ที่ บิล เกตส์ มีอยู่ในวันนี้ มันมากกว่าจีดีพีของประเทศในโลกนี้ถึง 140 ประเทศ เลยทีเดียว เงินก้อนนี้ บิล เกตส์ สามารถที่จะซื้อ ประเทศคอสตาริกา ที่มีจีดีพีแค่ 48,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯได้อย่างสบายๆ จะซื้อประเทศ เอลซัลวาดอร์, โบลิเวีย หรือ อุรุกวัย ก็สบายมาก

วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก แม้ในปีนี้ความร่ำรวยจะหายไป 340,000 ล้านบาท แต่ก็ยังเหลือเงินในกระเป๋า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ 1.36 ล้านล้านบาท สามารถซื้อ ประเทศเกาหลีเหนือ ทั้งประเทศได้อย่างสบาย เพราะเกาหลีเหนือมีจีดีพีทั้งประเทศ 4 หมื่นล้านดอลลาร์เท่ากัน

อย่าง ประเทศบาห์เรน ที่มีจีดีพี 26,800 ล้านดอลลาร์ มหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกอย่าง เอลลิสัน ก็ซื้อได้อย่างสบาย เพราะมีเงินอยู่ 27,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ไมเคิล บลูเบิร์ก ผู้ว่าการนครนิวยอร์ก ที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 17 มีเงินอยู่ 17,500 ล้านดอลลาร์ ก็สามารถซื้อ ประเทศแซมเบีย ทั้งประเทศได้อย่างสบายเช่นกัน

ปีศาจการเงินอย่าง จอร์จ โซรอส ที่โจมตีค่าเงินบาทจนไทยล่มจมมาแล้ว หักขาดทุนจากวิกฤติการเงินสหรัฐฯวันนี้ยังเหลือเงินอยู่อีก 13,000 ล้านดอลลาร์ สามารถซื้อ ประเทศเฮติ มานอนเล่นนั่งเล่นได้อย่างสบาย แม้แต่เกาะสวาทหาดสวรรค์อย่าง บาฮามาส ที่มีจีดีพีแค่ 9,000 ล้านดอลลาร์ ขายเมื่อไรก็มีคนซื้อเมื่อนั้น

ดังนั้น การที่มีมหาเศรษฐีไทยไปซื้อเหมืองเพชรในประเทศเล็กๆ จึงไม่น่าแปลกอะไร ซื้อทั้งประเทศก็ยังไหว

แต่ไม่ว่าประเทศใหญ่หรือประเทศเล็ก ผมเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ทุกชาติไม่ยอมขายกันก็คือ "การขายชาติ" และ "การขายทรัพยากรที่เป็นสมบัติของชาติ" ในยุค "การล่าอาณานิคมยุคใหม่" การได้ทรัพยากรหลักของชาติไหนไปครอง ก็เหมือนได้ประเทศนั้นไปครอบครอง

ป.ล. หนังสือ "สมาธิเบื้องต้นสำหรับชาวบ้าน" ของ พระครูปลัดสุวัฒนธีรกุล ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศ ที่ผมแนะนำไปวันก่อน ซึ่งเป็นหนังสือแนะนำ วิธีฝึกสมาธิด้วยตัวเองสำหรับผู้ที่ไม่รู้จักสมาธิ ปรากฏว่าเดือนเดียวต้องพิมพ์ถึง 3 ครั้ง กลายเป็น หนังสือขายดีอันดับ 2 หลังวางแผงสองสัปดาห์จากการจัดอันดับของ ร้านซีเอ็ด หนังสือพิมพ์ครั้งที่ 3 มีจำหน่ายแล้ว ใครอยากรู้จักจิต อยากฝึกสมาธิจิต หรือ ฝึกให้ลูกมีสมาธิ ผมยังยืนยันคำแนะนำเดิมว่า สมควรซื้อไปอ่านเป็นอย่างยิ่ง ราคาถูกแค่เล่มละ 50 บาทเท่านั้น แต่ซื้อได้ในราคา 40 บาท ที่ บูธ F 05 ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ.

"ลม เปลี่ยนทิศ"

เอา รธน.ปี 40 คืนมา

ที่มา เดลินิวส์

ปลายฝนต้นหนาว ไข้หวัดหมู จะระบาดมากขึ้น แต่ทั้งสื่อและคนไทยแทบไม่สนแล้ว สาธารณสุขก็เพิ่งประกาศเลิกแถลงข่าวอาทิตย์ละครั้ง จะไปรายงานในเว็บไซต์สำนักระบาดวิทยาแทน

อ้างคนตายอยู่ที่ 165 คน ไม่เพิ่มขึ้น

แต่ยังพบระบาดหนัก 11 จังหวัด มี อุบลราชธานี อุดรธานี ร้อยเอ็ด เชียงราย ลำปาง พะเยา กำแพงเพชร ลพบุรี สระบุรี ชลบุรี และ ระยอง

นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดสาธารณสุข บอกว่า ต่อนี้ไป ต้องเฝ้าระวังโรคปอดบวมเป็น พิเศษ เพราะมีการติดเชื้อที่ปอดจากไข้หวัดหมูและไข้หวัดนก รวมทั้งช่วงน้ำท่วมมาก

ต้องระวังโรคแทรกซ้อนอย่าง ฉี่หนู โรคทางเดินอาหาร น้ำกัดเท้า ตาแดง ด้วย

รวมทั้งมีข่าวดี จากผลวิจัยเบื้องต้น ยังไม่พบไข้หวัดหมู มีการกลายพันธุ์ ยังเป็นไวรัสสายพันธุ์เดิม 2009 ที่พบเมื่อต้นปี แต่นั่นล่ะ ยังไงก็ขอให้ระวังตัว เป็นหวัด มีไข้สูง อย่านอนใจเด็ดขาด

ยังไง ขอให้ดูแลตัวเองดี ๆ อย่าหย่อนยาน เพราะประมาทชะล่าใจเชียว

จากโรคภัยไข้เจ็บ หันมาดูความคืบหน้าการแก้ไข รธน.ปิศาจบ้าง

ล่าสุด กฤษฎีกา ชี้แล้ว การทำประชามติ ต้องทำก่อนเสนอร่างแก้ไข เข้าสภาในวาระที่ 1 หากผ่านวาระ 1 ก่อน แล้วค่อยทำประชามติ ถือเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ

และเป็นแค่การทำประชาพิจารณ์ ไม่ใช่ประชามติ

ในเมื่อกฤษฎีกาชี้ทาง แถมแก๊ง 40 ส.ว. ลากตั้ง ชมรมผู้พิทักษ์ รธน.ปิศาจคาบไปป์ รวมทั้งล่าสุด พรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตร ประสานเสียงต่อต้านการแก้ไข รธน.สุดขั้ว

ก็ดีเลย ไปแก้ 6 ประเด็นทำไม ทำประชามติถามใจเจ้าของประเทศตัวจริงดีกว่า

จะเอา รธน.ฉบับประชาชน 2540 หรือ เอา รธน.ปิศาจคาบไปป์ของ คมช. เลือกเอาเถอะ

รธน. 2540 นั้นประชาชนมีส่วนร่วมมากสุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา ทำประชาพิจารณ์ 500-600 ครั้ง ในทุกกลุ่ม ส.ส.ร.ที่ ยกร่าง ก็เลือกตั้งทั้งหมด ไม่มีลากตั้ง

แม้มีจุดโหว่ ทุกฉบับก็มีทั้งนั้น แต่การได้มา เป็นประชาธิปไตย 100% ไม่ใช่เผด็จการสั่งมา เหมือนปี 50 จะอ้างว่า รธน.ปี 40 ทำเพื่อแม้วก็ไม่ได้ เพราะแม้แต่แม้วไปสมัคร ส.ส.ร.เชียงใหม่ ยังสอบตก

รธน.ปี 2540 จึงเป็นของคนไทยทุกคน ไม่ใช่คนใด คนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ถึงเวลาเอา รธน.ของประชาชนคืนมา เอา รธน.ปิศาจคาบไปป์ คืนไป

อย่าไปตกหลุมพราง ทำประชามติ 6 ประเด็น ตามเกมซื้อเวลาของรัฐบาลกันอีกต่อไปเลย.

ดาวประกายพรึก

โทรศัพท์ 3 G

ที่มา ไทยรัฐ

การเดินทางไปพบ ยายไฮ ของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ จ.อุบลราชธานี ก็ให้นึกถึง ยายเนียม จนบัดนี้ไม่รู้ว่านายกฯ อภิสิทธิ์ยังสวมแหวนยายเนียมอยู่หรือเปล่า ตั้งแต่ยายเนียมถึงยายไฮ โฟกัสให้เห็นถึงความพยายามทำทุกวิถีทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะชูนายกฯอภิสิทธิ์ชิงพื้นที่ในภาคอีสานให้ได้

ไม่แน่ว่าครั้งนี้ประชาธิปัตย์จะแทงไพ่ผิด เพราะบุคลิกภาพของนายกฯอภิสิทธิ์จะรุกพื้นที่ภาคอีสานได้หรือไม่ จะผิดฝาผิดตัวอย่างไร ไม่อยากวิจารณ์ให้เมื่อยตุ้ม ยิ่งเมื่อเทียบเคียงกับ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ด้วยแล้ว ในสายตาคนอีสานคงไม่ต้องไปถามหาคำตอบให้เสียเวลา

ไม่เข้าใจก็คือว่า ทำไมต้องพยายามฝืนธรรมชาติ คุณอิสสระ สมชัย รมต.ในพื้นที่ยอมรับว่าต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่อารักขาความปลอดภัยของนายกฯอภิสิทธิ์ในการลงพื้นที่อีสานครั้งนี้ถึง หมื่นคน ว้าเหว่ชะมัด

ตั้งใจจะคุยเรื่องของ โทรศัพท์ระบบ 3 จี เพราะดูทะแม่ง อย่างไรชอบกล ข้ออ้างต้องรอ กสช.หรือกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติดูหน่อมแน้มไปหน่อย

เหตุผลของ ศ.ประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.ระบุเอาไว้ชัด เพราะคลื่นความถี่ที่ใช้เป็นคลื่นความถี่ที่ได้จัดสรรแล้วเพื่อกิจการโทรคมนาคม ซึ่ง ครม. ได้อนุมัติให้กับ บมจ.ทีโอที บมจ.กสท.ให้รวมจัดตั้งเป็นบริษัทไทยโมบายไปครั้งหนึ่งแล้ว

ย้อนไปสมัยที่ คุณมั่น พัธโนทัย เป็น รมว.ไอซีทีเมื่อปี 2548 พูด ในวงสัมมนาไว้ว่า โทรศัพท์ระบบ 3 จี นั้น กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ใช้ หมดแล้ว ประเทศไทยก็สามารถที่จะเปิดใช้ได้ในปีนี้ ซึ่งหมายถึงปี 2548

เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.ไอซีทีคนปัจจุบัน ให้สัมภาษณ์หลังเข้าพบ พล.อ.ชูชาติ พรหม-ประสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการ กทช.ว่า ทีโอทีกำลังวางแผนธุรกิจการให้บริการอยู่ คาดว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 2 หมื่น 4 พันล้านบาท และมั่นใจว่าจะคืนทุนใน 3 ปี

และคาดว่าจะเปิดใช้บริการได้สิ้นปี 2552 นี้

โดยข้อเท็จจริงแล้ว มีการทดสอบการใช้ระบบ 3 จี ที่ว่าบ้างแล้ว ซึ่งภายใต้การดำเนินการของ เอไอเอส อาทิ ที่ จ.เชียงใหม่ หรือที่บริเวณสยามพารากอน มาบุญครอง เคยนำโน้ตบุ๊กไปทดสอบใช้อินเตอร์เน็ตผ่านระบบ 3 จี ความเร็วพอๆกับ wifi

โทรศัพท์ระบบ 3 จี ให้ ความแตกต่าง กับระบบ 2 จี ที่เราใช้ อยู่มากมาย โดยเฉพาะโหมดของระบบภาพและเสียง ซึ่งจะต่อยอดธุรกิจประเภทไอทีได้อย่างมหาศาล

มหาศาลทั้งประโยชน์การใช้งานและผลประโยชน์

ความไม่ชอบมาพากลในการชะงักงันต่อการเดินหน้าในการนำระบบ 3 จี มาใช้ในบ้านเราจนเพี้ยนไปได้ถึงขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร น่าติดตาม เศร้าใจก็ตรงที่ว่าประชาชนไม่มีสิทธิที่จะเลือกการบริการเหล่านี้ด้วยตัวเอง กลับถูกยัดเยียดให้ใช้งานเท่าที่ฝ่ายการเมืองและนักธุรกิจจะเห็นสมควร.

หมัดเหล็ก

เกม 'นายใหญ่' ล้มโต๊ะ

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_38595

"กลัวถูกปาปลาร้าเหมือนที่จังหวัดลพบุรีหรือไม่"

โดยบทโหมโรงของนักข่าวที่ยิงคำถามชวนสะดุ้งใส่นายวิฑูรย์ นามบุตร ผู้แทนฯ อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเจ้าของพื้นที่

ยิ่งกระตุ้นฉากเร้าใจในวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม

ตามโปรแกรมที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้คิว "รีเทิร์น" จังหวัดอุบลราชธานี ตามโปรแกรมมอบเงินชดเชยค่าเวนคืนที่ดินให้ "แม่ใหญ่ไฮ ขันจันทา"

ภาคสองต่อจากตำนาน "แหวนยายเนียม"

ท่ามกลางเสียงประกาศ "เตรียมตัวต้อนรับ" กองทัพม็อบเสื้อแดงนัดระดมพล ตั้งท่าแห่ตามประกบกันตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน

ส่งซิก นัดกันไม่ใส่เสื้อแดงเพื่อไม่ให้โดนกันเข้าถึงตัวนายกฯอภิสิทธิ์

และโดยอาการตื่นตัวของฝ่ายรักษาความปลอดภัย พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้บัญชาการตำรวจภาค 3 พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.อุบลราชธานี ได้ประชุมวางแผนความพร้อมรักษาความปลอดภัยให้นายกฯอภิสิทธิ์

ระดมตำรวจ 800-1,000 นาย เพื่อเตรียมรับกลุ่มเสื้อแดง

"อภิสิทธิ์" ลุ้นจะเจอกับอะไร

แต่คนที่ระทึกไม่แพ้กันก็คือนายชวน ศิรินันท์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี

ตามอารมณ์ฉุนๆของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ที่เพิ่งโกยฝ่าวงม็อบแดงล้อมกรอบที่อำเภอวารินชำราบ ได้แบบเฉียดฉิว คาดโทษล่วงหน้า จี้พ่อเมืองอุบลราชธานี ขยันเคลียร์ม็อบกันหน่อย

หลังนายกฯอภิสิทธิ์เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว "บุญจง" จะเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีอีกรอบ แล้วจะดูว่า ยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงอีกหรือไม่

คำตอบมันรู้กันอยู่แก่ใจอยู่แล้ว

สยบม็อบแดงในภาคอีสาน ว่ายข้ามแม่น้ำโขงไปกลับยังเป็นไปได้มากกว่า

ยิ่งเป็นอะไรที่อยู่ในห้วงเวลาโหมโรง รับ "พ่อใหญ่จิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี "เชนคัมแบ็ก" กลับมารับเป็นแม่ทัพค่ายเพื่อไทย

"นายใหญ่" เดินยุทธศาสตร์ยึดอีสาน

มันก็ยิ่งต้องปั่นกระแส แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ของกองทัพเสื้อแดงให้ดูร้อนแรง

รับมุกกับยุทธศาสตร์กองบัญชาการใหญ่กองทัพ นปช. ตามคิวที่ "ก๊วนสามเกลอ" ประกาศนัดชุมนุมใหญ่ตามโปรแกรม "แดงทั้งเดือนตุลา" เริ่มประเดิมกันในวันที่ 11 ตุลาคม โบกธงไล่

"อภิสิทธิ์ออกไป เอารัฐธรรมนูญ 40 คืนมา"

คนเสื้อแดงได้เวลากลับมาโหมโรงการเมืองนอกสภา ชิงกระแส ยึดพื้นข่าว

เปิดเกมการเมืองบนถนน ใช้ยุทธศาสตร์มวลชนกดดันวัดใจ ตีคู่ประกบกับรายการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาที่ยังลูกผีลูกคน

กั๊กเหลี่ยม ไม่มีใครไว้ใจใคร

ในอารมณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลก็ระแวงพรรคประชาธิปัตย์เหยียบตีนเล่นกับม็อบพันธมิตรฯในคราบของพรรคการเมืองใหม่ ขณะที่วุฒิสภาสาย "ลากตั้ง" กับ "เลือกตั้ง" ก็แบ่งข้างถือหางสายใครสายมัน

แม้แต่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ก็ยังไปกันคนละทาง

สายหนึ่งฮึดฮัด ประกาศคว่ำบาตรไม่สังฆกรรมเกมแก้รัฐธรรมนูญ ไม่หลงตามเกมยื้อเวลาของรัฐบาล แต่อีกสายหนึ่งยังอะลุ่มอล่วย ยอมเดินตามแนวการแก้รัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็น ตามบทสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ

ล่าสุดก็เป็น "สารวัตรเหลิม" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ได้ร่อนหนังสือลาออกจากเก้าอี้ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย

สะท้อนอาการ "ขัดใจ" กันอย่างแรง

ในอารมณ์ขบเหลี่ยมกับคิวที่นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน ที่แถลงร่วมวงแก้รัฐธรรมนูญกับที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายต่อไป

เพื่อไทย "วงแตก" ก่อนเลย

ล่าสุดก็เป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขยอดีตนายกฯทักษิณ ออกมาแสดงความเห็นควรที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามแนวทางรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นหลัก

และไม่ควรนำเงิน 2,000 ล้านบาท ไปทำประชามติ ซื้อเวลา โดยไม่ถูกต้อง

ตีธงส่งสัญญาณตามแนว "นายใหญ่"

เร่งเกมล้มโต๊ะรัฐบาล มั่นใจกระแส มัดจำเสียงได้ล่วงหน้า

รอไปรื้อใหญ่รัฐธรรมนูญหลังเลือกตั้ง.

ทีมข่าวการเมือง

เสื้อแดงโห่ไกลๆป้องกันเข้มเข้าใกล้นายกฯ​

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_38662

ยายไฮ บายศรีต้อนรับ นายกรัฐมนตรี พร้อมอัดรายการเชื่อมั่นประเทศไทย ขณะเจ้าหน้าที่ป้องกันเข้ม เสื้อแดงถูกกัน อยู่ไกลกว่า 4 กม. ...

เมื่อเวลา 08.45 น. วันนี้ (10 ต.ค.) เฮลิคอปเตอร์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางลงจอดที่สนามโรงเรียนบ้านวังสะแบง ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี แล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้นั่งรถยนต์เดินทางต่อเข้าไปที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน จุดนัดพบในการมอบเงินค่าชดเชยให้กับ ยายไฮ ขันจันทา ซึ่งห่างออกไปประมาณ 500 เมตร โดยมีรถในขบวนประมาณ 30 คน

เมื่อไปถึง นายอภิสิทธิ์ ได้ลงรถ แล้วตรงเข้าไปวางพวงมาลัยสักการะอนุสาวรีย์คนจน ด้านหน้าศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน ก่อนเดินชมพิพิธภัณฑ์บริเวณชั้น 1 ของศูนย์ดังกล่าว ซึ่งรวบรวมความเป็นมาของกลุ่มสมัชชาคนจน โดยมี นายอิสสระ สมชัย รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.แบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และ นายชวน ศิรินันท์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกลุ่มสมัชชาคนจนกว่า 200 คน คอยต้อนรับ ก่อนเดินขึ้นไปที่หอประชุมชั้น 2 ของศูนย์ ซึ่งยายไฮ ขันจันทา และ กลุ่มสมัชชาคนจน ได้จัดเตรียมเครื่องบายศรีสู่ขวัญต้อนรับ โดย นายอภิสิทธิ์ ได้ยกมือไหว้ทักทายยายไฮ และชาวบ้านที่มาคอยต้อนรับ พร้อมทักทายยายไฮ ว่า เราเคยเจอกันแล้วครั้งหนึ่งในทีวี แล้วหมอพราหมณ์ ที่จัดเตรียมไว้ได้ประกอบพิธี ยายไฮ และตัวแทนกลุ่มสมัชชาคนจน รวม 9 คน ได้นำสายสิญจ์ที่พราหมณ์ทำพิธีมาผูกอวยพรให้ นายอภิสิทธิ์ โดยอาศัยหลักเลขมงคลเลข 9 เพื่อให้ มีความเจริญก้าวหน้า พัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองต่อไป

จากนั้นตัวแทนกลุ่มสมัชชาคนจน จึงได้มอบหนังสือข้อเรียกร้องของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาต่างๆ ของภาครัฐ กว่า 100 โครงการให้กับมือ นายอภิสิทธิ์ หลังจากนั้นจึงได้บันทึกเทปรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับ นายอภิสิทธิ์ ในวงบายศรี โดยมีอาจารย์นพพร พันธ์เพ็ง นักจัดรายการวิทยุชื่อดังของชาวอุบลราชธานี เป็นผู้ดำเนินรายการ ในฐานะตัวแทนชาวอุบลราชธานี ซักถามนายกฯ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวอุบลราชธานี ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

สำหรับการเดินทางมาถึงศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน ของนายกรัฐมนตรี เป็นไปด้วยดี โดยไม่พบกลุ่มคนเสื้อแดง เนื่องจาก ถูกกันให้อยู่ห่างจากพื้นที่ดังกล่าวประมาณ 4 กม. มีกำลังตำรวจดูแลความสงบของการชุมนุมอย่างหนาแน่น ในทุกเส้นทางที่จะเข้าสู่ศูนย์แห่งนี้ จะมีการตั้งจุดตรวจรถเข้าออกทุกคัน อย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงสามารถเล็ดลอดเข้ามาสร้างความวุ่นวายได้

14 ตุลา ชาญวิทย์ร่อนจดหมายถึงนายกฯทำ 4 ข้อ แก้ รธน. กู้นามสยาม จังหวัดธนบุรี และกู้ ปชต.

ที่มา ประชาไท

9 ตุลาคม 2552 นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนจดหมายเปิดผนึก เรียน ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ผ่าน บก.ประชาไท) เรื่อง ขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ-กู้นามของสยามประเทศ-กู้จังหวัดธนบุรี-และกู้ประชาธิปไตยของชาติ โดยระบุสถานที่ของจดหมายว่า “มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2552 ทั้งนี้รายละเอียดระบุว่า

“สืบเนื่องจากการที่มีกระแสสังคม ที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นนั้น กระผมใคร่ขอเสนอข้อแก้ไข เพิ่มเติม 3 ข้อ ดังต่อไปนี้ คือ
(1) ขอให้แก้นามของประเทศที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญว่า “แห่งราชอาณาจักรไทย” เป็น “แห่งราชอาณาจักรสยาม” และในภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนจาก The Kingdom of Thailand เป็น The Kingdom of Siam ทั้งนี้เพื่อความถูกต้องตามประวัติศาสตร์ และ เพื่อความ “รักสามัคคี” “สมานฉันท์” และ “ปรองดอง” และให้ประเทศของเรา ซึ่งมีประชากรกว่า 60 ล้านคนนั้นเป็นที่ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย ไท/ไต ยวน ลาว ลื้อ มลายู มอญ ขะแมร์ กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ แคะ จาม ชวา ซาไก มอแกน ทมิฬ ปาทาน เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทยใหญ่ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ/ละว้า ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า กำหมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ บรู โอรังลาอุต ฝรั่ง (ชาติต่างๆ) แขก (ชาติต่างๆ) ลูกครึ่ง ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ” กว่า 50 ชนชาติและภาษา”
(๒) ขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีเพียงสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร และมีเพียง สส. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ทั้งนี้โดยให้ยกเลิกการมีวุฒิสภา และยกเลิกการมี สว. ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประชาธิปไตยของชาติ (๓) อนึ่ง ขอให้ดำเนินการออกกฎหมายที่เป็นประชาธิปไตย เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตากสินมหาราช และคืนสถานะเดิมอันเป็น “ศักดิ์” และ “สิทธิ” ของ “จังหวัดธนบุรี” และชาวฝั่งธน ที่ถูกยุบทำลายลงด้วยประกาศคณะปฏิวัติของจอมพล ถนอม กิตติขจร ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง”
ในท้ายจดหมายยังได้ลงหมายเหตุที่อยู่เว็บไซต์ และเชิญชวนร่วมลงชื่อ “โปรดช่วยกันกู้สยามประเทศ-กู้จังหวัดธนบุรี-กู้ประชาธิปไตยของชาติ” คือ www.petitiononline. com/SIAM2008 และ www.petitiononline. com/siam2007

พลิกปูม40นักรบพรรคการเมืองใหม่!

ที่มา thaifreenews

เมื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ออกมายืนกลางแจ้งอีกครั้ง ในนามผู้นำพรรคการเมืองใหม่..เมื่อไปดู "สิ่งที่ติดตัว"มาด้วยแล้ว จัดว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาตั้งแต่ ปี2550 - ปัจจุบัน ถูกศาลตัดสินว่าผิด 5 คดีประกอบด้วย และยังเหลือที่จ่อขึ้นศาลอีก10คดี!

1.วันที่25 ธันวาคม 2550 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี ในคดีหมิ่นประมาททักษิณ

2.วันที่7 มีนาคม 2551 ศาลจ.เชียงราย พิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา คดีหมิ่นประมาท เก่งกาจ ศรีหาสาร นักวิชาการป่าไม้

3.วันที่ 10 กันยายน 2552 ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีหมิ่นประมาท ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

4.วันที่ 11 กันยายน 2552 ศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญา ในคดีหมิ่นประมาท "ภูมิธรรม เวชชยชัย"

5. วันที่ 2 ตุลาคม 2552 ศาลอาญาสั่งจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีหมิ่นประมาท "นพดล ปัทมะ"

- คดีความต่างๆ ที่พันธมิตรฯ ถูกดำเนินคดีช่วงการชุมนุม 193 วัน เมื่อปี 2551 ทั้งหมด 36คดี โดยมีคดีที่ขึ้นสู่ศาลแล้ว 17 คดี คดีที่ถูกแจ้งความไว้แล้ว 19 คดี รวมทั้งคดีบุกทำเนียบ และการเข้าไปชุมนุมที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ

- 17คดีที่ขึ้นศาลแล้วมี "สนธิ" เข้าไปเอี่ยวด้วย 10 คดี คือ1. ศาลจังหวัดมีนบุรี ทักษิณ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลกับพวก 6 คน 2. ศาลจังหวัดปทุมธานี ทักษิณ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลกับพวก 8 คน 3.ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ทักษิณ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลกับพวก 7 คน 4..ศาลอาญา ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลกับพวก 6 คน 5. ศาลจังหวัดชัยภูมิ ทักษิณ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลกับพวกรวม 8 คน 6..ศาลจังหวัดน่าน พรรคพลังประชาชน ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลกับพวก 7.ศาลแพ่ง ทักษิณ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลกับพวกรวม 3 คน 8.จตุพร พรหมพันธุ์ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวกรวม 11 คน 9.วีระ มุสิกพงศ์ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวกรวม 11 คน 10.ศาลอาญา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวกรวม 11 คน

- รัฐธรรมนูญมาตรา 48 กำหนด ไว้ชัดเจนว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์วิทยุกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ หรือโทรคม นาคม มิได้ ไม่ว่าในนามตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้หมายความเฉพาะ รัฐมนตรี แต่พรรคการเมือง และหัวหน้าพรรคก็ถือว่าเข้าข่ายเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง...สนธิจะฝ่าไปอย่างไร?





********
ใครเป็นใคร ใน 25กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่
********


1. นายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรค
เจ้าของสื่อ แกนนำพันธมิตรที่ชีวิตมีสีสันมากที่สุดคนหนึ่ง ทั้งคดีความที่จ่อรออีกมากมาย

2. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข รองหัวหน้าพรรค
เจ้าพ่อรถไฟจาก อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช เป็น เลขาธิการสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เมื่อพ.ศ. 2548

3. นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค
จาก เลขาธิการ ครป. สู่ผู้ประสานงานพันธมิตร แล้วก้าวผงาดในตำแหน่งแม่บ้านพรรคการเมืองใหม่

4. พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ เหรัญญิกพรรค
เตรียมทหารรุ่น9 อดีตผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการลำน้ำโขง (นปข.) รวมทั้งอดีตผู้บัญชาการเรือรบ ซึ่งปฏิบัติภารกิจตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วง การชุมนุมพันธมิตร 193 วัน เป็นผู้ร่วมจัดตั้ง คณะกรรมการพลังแผ่นดิน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกับ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ

5. นายบรรจง นะแส กรรมการบริหารพรรค
ขาใหญ่เอ็นจีโอใต้จาก สงขลา เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองทะเลไทย เคยต่อสู้ปัญหา โครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่อ.จะนะ สมัยทักษิณครองเมือง

6. นายประพันธ์ คูณมี กรรมการบริหารพรรค
เป็นหนึ่งในนักศึกษาที่เข้าร่วมทำงานร่วมกับสหพันธ์นักศึกษาเสรี และหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ได้หลบหนีเข้าป่า ร่วมงานกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทย

7. นายสุทธิ อัชฌาศัย กรรมการบริหารพรรค
NGOs ที่ทำงานกับชุมชนแออัด หรือสลัมใน กทม. โดยมีสุวิทย์ วัดหนู และจำนงค์ จิตนิรัตน์ เป็นพี่เลี้ยง ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เคยออกมาเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อมในระยองไม่ว่าจะกรณีคัดค้านโรงไฟฟ้า หรือกรณีเรียกร้องให้ มาบตาพุด ประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ

8. นายชาลี ลอยสูง กรรมการบริหารพรรค
รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) และ เลขาธิการสหพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคประเทศไทย ต่อสู้กับปัญหาแรงงานในทุกรัฐบาล ลงมาแก้ไขปัญหาการเลิกจ้าง มีส่วนร่วมกับ นโยบายลดเงินสมทบผู้ประกันตนจากฝ่ายนายจ้าง จาก 5% เหลือ 3%

9. นายชุมพล สังข์ทอง นายทะเบียนพรรค
เคยลงสมัครส.ส.สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ ที่ลงสมัคร ชัยภูมิ เคยเป็นทนายให้ ไทกร พลสุวรรณ เป็นประธานชมรมนักกฎหมายใต้ฟ้าข้าพระบาท ที่ ปรึกษากฎหมายของแกนนำอีสานกู้ชาติ คณะกรรมาธิการการยุติธรรมการตำรวจและสิทธิมนุษยชนสนช.และเป็นเลขานุการส่วนตัวของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ

10. นางสาวอาภารัตน์ ชาติชุติกำจร กรรมการบริหารพรรค
ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมืองภูเก็ต ร่วมขบวนเพื่อรักษาแผ่นดินพื้นที่ทับซ้อนเขาพระวิหาร อ.กันทราลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

11. นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรค
เป็นแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 2 เป็น สื่อมวลชน ชื่อดังในยุคก่อนหน้าวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548 - 2549 มีบทบาทเป็นพิธีกรและโฆษกของ เวทีพันธมิตรฯในการขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณและได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง สนช.

12. นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง รองเลขาธิการพรรค
แกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 2 เป็นนักแสดง พิธีกร

13. นางกิมอัง พงษ์นารายณ์ กรรมการบริหารพรรค
ชาวนา จ.ชัยนาท ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายองค์กรประชาชนแห่งประเทศไทย เลขาธิการเครือข่ายชาวนาภาคกลาง ผู้ต่อสู้การทำเอฟทีเอที่ไม่โปร่งใส ช่วง รัฐบาลทักษิณ จนมีผลในรัฐธรรมนูญมาตรา 190 รวมทั้งเป็น ผู้เริ่มที่จะดำเนินการปฏิรูประบบเกษตรกรรมและพัฒนาสิทธิเกษตรกร

14. นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก กรรมการบริหารพรรค
พ.ศ. 2549 เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรร่วมจัดรายการบนเวทีและในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร คอนเสิร์ตการเมือง เคย สมัครรับเลือกตั้งใน จ.สมุทรปราการ สังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน ปัจจุบันจัดรายการ "จับตา(ย)ประเทศไทย" ทางเอเอสทีวี

15 พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ กรรมการบริหารพรรค
อดีตผู้บังคับการตำรวจ ภาค 4 อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล โด่งดังและรู้จักกันในนาม "มือปราบตี๋ใหญ่"

16. นายเทิดภูมิ ใจดี กรรมการบริหารพรรค
อดีตผู้นำกรรมกร คู่กับ ประสิทธิ์ ไชโย การชุมนุมประท้วงความไม่เป็นธรรมกรณีต่างๆ ที่มีนักศึกษาประชาชนเข้าร่วม ดำเนินไปอย่างดุเดือด เข้มข้นในช่วง 3 ปีตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519

17. พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ กรรมการบริหารพรรค
อดีตผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม( สมัย ชวน หลีกภัย เป็นนายก) อดีตนายทหารราชองครักษ์เวร เมื่อปี2545 เป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตผู้สมัครลงเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์

18. นางลักขณา ดิษยะศริน ตะเวทิกุล กรรมการบริหารพรรค
ผู้จัดการโรงเรียนนานาชาติดิอเมริกันสกูลออฟแบงค็อก

19. นางเสน่ห์ หงส์ทอง กรรมการบริหารพรรค
ผู้ประสานงานสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เป็นผู้จัดรายการวิทยุรายการ เสียงจากกรรมกร ทางคลื่น F.M. 98.25 MHz และที่สำคัญที่สุดคือ เป็น ภรรยานายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.ร.ฟ.ท)คนปัจจุบัน

20. นายอมรเทพ อมรรัตนานนท์ กรรมการบริหารพรรค
อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนักเรียนนักศึกษาปี 2519 เคยสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย และลงเลือกตั้งในปลายปี พ.ศ. 2550 ในเขต 12 กรุงเทพ มหานคร ซึ่งประกอบด้วย เขตบางกอกน้อย ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง

21. นายพิชิต ไชยมงคล รักษารองเลขาธิการพรรค
รองเลขาฯสนนท.กลุ่มศึกษาพรรคการเมืองทางเลือกภาคประชาชน อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ปี 2546 ซึ่งถือว่าเป็น คนใกล้ชิดนายสุริยะใส ในฐานะคณะทำงานของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)

22. นายธัญญา ชุนชฎาธาร กรรมการบริหารพรรค
สามีนางมาลีรัตน์ แก้วก่า เป็นนักวิชาการ นักเขียน อดีตผู้นำนักศึกษา 1 ใน 13 กบฎรัฐธรรมนูญ จากเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 กำลังศึกษาในระดับ ปริญญาเอก สาขาผู้นำทางเศรษฐศาสตร์ การเมือง และสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นพิธีกรหลายรายการ ของทาง ASTV

23. นางทัศนีย์ บุญประสิทธิ์ กรรมการบริหารพรรค
แกนนำพันธมิตรฯ อุบลราชธานี เจ้าของสถานีวิทยุชุมชน อ.พิบูลมังสาหาร ทีมที่ปรึกษานายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และ ความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)

24. นายสราวุธ นิยมทรัพย์ กรรมการบริหารพรรค
แกนนำพันธมิตรฯ นครปฐม อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครปฐม และส.ส.หลายสมัย

25. นายรังษี ศุภชัยสาคร กรรมการบริหารพรรค
แกนนำเครือข่ายพันธมิตรฯ อุดรธานี




************
คณะที่ปรึกษาพรรคการเมืองใหม่ 15 คน ดังนี้
**************

1. ดร.สมปอง สุจริตกุล
-อดีตเอกอัครราชทูตไทย รักษาการคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ หนึ่งในทนายความของประเทศไทยที่ว่าความคดีปราสาทเขาพระวิหารต่อ ศาลโลกในปี 2505

2. ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช
อดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตประธานกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ปัจจุบันเป็นคอลัมนิสต์ใน หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ

3. นายอุดร ตันติสุนทร
อดีต ส.ว.ตาก อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

4. นายสมพจน์ ปิยะอุย
เครือโรงแรมดุสิตธานี

5. นายพิภพ ธงไชย
ด้วยประสบการณ์การเคลื่อนไหวมวลชนมานยาวนาน บวกกับบุคคลิกสุขุม สุภาพเรียบร้อย แต่แน่นด้วยเนื้อหาสาร เพื่อนพ้องมากมายทำให้เขากลายเป็น 1 ในแกนนำพันธมิตร และเป็นอีก 1 ใน คนใกล้ชิดอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์

6. พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์
อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4


7. พล.อ.อ.สามารถ โสตสถิตย์
อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ


8. ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์
อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรีหลายสมัย เคยดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการการประปานครหลวง


9. นายสมศักดิ์ อิสมันยี หรือ อ๊อด คีตาญชลี
สมศักดิ์ และ สุรินทร์ อิสมันยี (ริน) สองสามีภรรยาชาวเพชรบุรี เดิมใช้ชื่อว่า วง "สายทิพย์" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คีตาญชลี" ตามชื่อกวีนิพนธ์ของ รพินทรนาถ ฐากูร กวีชาวอินเดีย มีความหมายว่า "คารวะด้วยเสียงเพลง"

10. ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)

11. รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในนักวิชาการที่เข้าร่วมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ลาออกจากตำแหน่ง

12. รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สนิทสนมกับ.รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย

13. อาจารย์สมบัติ เบญจศิริมงคล
อดีตนายกสมาคมนักเรียนไทยในเยอรมัน เคยสมัคร สส. ปี 2548 ในนามพรรคมหาชน (อเนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นหัวหน้าพรรค)

14. ดร.ประยูร อัครบวร
อดีตผู้นำนักศึกษา 6 ตุลา อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

15. นายอัมรินทร์ คอมันตร์
นักวิชาการ ผู้ที่เคยนำต่อต้านกฎหมาย 11 ฉบับ ที่เรียกกันว่า กฎหมายขายชาติ ขึ้นเวทีพันธมิตรในปี พ.ศ. 2549

ที่มา Innnews www.innnews.co.th/specialnews.php

‘เพลงชาติไทย’ กับรัฐบาล “แดกได้-แดกดี”

ที่มา Thai E-News

โดย คุณวาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ที่มา เวบไซต์ vattavan
10 ตุลาคม 2552

ท่ามกลางกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพี่น้องประชาชนชาวไทย ถึงความไม่ชอบธรรม ในการดำเนินการตามแผนต่างๆ ของรัฐบาล

ตั้งแต่โครงการที่ชาวบ้านเขาขมขื่น แต่ถูกเรียกอย่างขำขัน ว่าเป็น “โครงการ-แดกไม่พอเพียง” จนเป็นเหตุให้พรรคดักดาน ของนายมาร์คมุกควาย จำต้องแก้ไขด้วยการเล่นละครกลบเกลื่อน ด้วยการให้สมาชิกที่มีข่าวไปพัวพันการทุจริต ออกไปจากพรรคพอเป็นพิธีแล้ว นั้น

พฤติกรรม “แดก” อย่างไม่เคยพอเพียง เพราะอดอยากปากไหม้มานาน ก็ไปปรากฏเป็นเรื่องอัปรีย์ โผล่หางแดงโร่ โชว์ชาวบ้านขึ้นมาอีก

คราวนี้เกิดที่กระทรวงคุณหมอ เพราะกลุ่มแพทย์เขาอดรนทนไม่ได้ ดาหน้าออกมาแฉโครงการก่อสร้างและจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่บรรดาไฮยีน่าจอมตะกละตะกลาม ทั้งตัวเมียและตัวผู้ สุมกบาลวางแผนการ เขมือบงบประมาณเอาไว้อย่างแยบยล จนกลุ่มหมาในพันธ์กาลี ต้องถอนตัวออกไปแบบ “ยกฝูง” คงเหลือแต่ไอ้ “จ่าฝูง” หัวโจก ยังนั่งหน้าทนอยู่บนหิ้ง ซึ่งกลุ่มคุณหมอและชาวบ้านที่สนใจ ก็กำลังดูอยู่ว่า มันจะ “ด้าน” ไปได้อีกสักกี่น้ำกัน!

ข่าวฉาวระยำโฉ่อย่างนี้ ทำให้ผู้คนและสื่อมวลชนต่างๆ เขาจับทางได้แล้ว ถึงกับพูดกันขรมไปว่า บ้านเมืองเรานี้ช่างอาภัพนัก เพราะต้องมาเจอนักกินเมือง ที่มีพฤติกรรมเหมือนฝูงเปรตที่หิวโหย คอยสูบเลือดสูบเนื้อบ้านเมือง ทั้งๆ ที่สยามประเทศยามนี้ ก็เสมือนคนป่วยที่ผอมแห้งแรงน้อย จนแทบจะทรงกายไม่ได้อยู่แล้ว

การเผยแพร่ข่าวสารอันไม่เป็นมงคล แถมยังอุดมด้วยการทุจริตชั่วช้า หลุดออกไปสู่การรับรู้ประชาชนอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง สร้างความตกต่ำให้กับพรรคดักดานและรัฐบาลโลซก จนถูกวิจารณ์อย่างประชดประชันว่า เป็น “รัฐบาล...แดกได้-แดกดี!”

ความตกต่ำอย่างที่เล่ามา ส่งผลไปถึงตัว มิสเตอร์มาร์ค มุกควาย หัวหน้ารัฐบาลต้องเบ้หน้า เพราะเรทติ้งจากโพลหลายสำนัก แสดงให้เห็นว่า เจ้าตัวได้รับ “เรทต่ำ”

เพราะโพลสำนักต่างๆ ดันทะลึ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า นายมาร์ค มุกควาย คนนี้ ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน อย่างที่พยายามโฆษณากัน เพราะผลสำรวจครั้งล่าสุด ความนิยมก็หล่นฮวบ เหลือไม่ถึงครึ่ง เป็นนักเรียนก็...สอบตก!

ที่แย่ที่สุด คือ เมื่อเขาจับไปเปรียบเทียบความนิยม ระหว่างนายมาร์คกับนายกฯทักษิณ คนที่ไปอยู่นอกประเทศนานแล้ว แต่ผลกลับปรากฏออกมาว่า มิสเตอร์มุกควาย กลับตกเป็นฝ่าย... พ่ายแพ้ทุกๆ โพล!!

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ขนาดเจ้าตัวเป็นรัฐบาลและมีอำนาจเต็ม แถมยังทุ่มเทเงินหลวง คืองบประมาณของชาติ ไปใช้ เพียงเพื่อการโฆษณาทั้งตัวเองและพรรคดักดานอย่างมากมาย แต่กลับไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง

นายมาร์ค มุกควาย จึงไม่มีทางเลือกอีกต่อไป นอกจากต้องด้านหน้าลากรัฐบาล ผุๆ พังๆ ไปให้ได้นานที่สุดเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงว่า ประเทศจะตกต่ำ ตนและพรรคจะเป็นที่รังเกียจของผู้คน

ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เหตุอื่นเลย หากเป็นเพราะ.... เพื่อมีโอกาสใช้งบประมาณ กันอย่างมันมือต่อไปอีก ระหว่างนี้ต้องหลีกเลี่ยงพูดถึง “การเลือกตั้ง” อย่างเด็ดขาด!!!

กลยุทธ์ที่รัฐบาลโลซกของนายอภิแสบ หยิบมาใช้ในการหันเหความสนใจของผู้คน ออกไปจากเรื่องบ้านเรื่องเมือง คือการใช้ “มุกควาย”

อย่างมุกโครงการร้องเพลงชาติตอนเย็น ซึ่งเป็นเวลาเชิญธงชาติลงจากเสา โดยให้ประชาชนจังหวัดต่างๆ ร่วมร้องเพลงเรียงตามลำดับอักษรของจังหวัด ตั้งแต่ “ก” คือกระบี่

ผู้คนเขาก็ไม่รู้ว่า ทำไมกะอีแค่ร้องเพลงชาติ จะทำให้ผู้คนในประเทศ หันหน้ามาสามัคคีได้อย่างไรกัน? ในเมื่อคนอย่างโฆษกส่วนตัว ของนายมุกควาย ก็ยังพูดทองแดงปร่าแปร่ง ยั่วยุ แหย่แยงตะแคงรั่ว ตอกย้ำ “ความแตกแยก” ให้ผู้คนในบ้านเมือง อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ผู้คนเขาก็ถือว่า นั่นเป็นการแสดงออกของนายมาร์ค หัวหน้ารัฐบาล เพียงแต่ยืมปากโสโครกของ “ไอ้เถบ” พูดแทนตัวนั่นเอง! จริงอย่างที่ผู้คนเขาสงสัย หรือเปล่าล่ะ? ...................................................


การถ่ายทอดสดการร้องเพลงชาติไทย ตามตัวอักษรทีละจังหวัดนั้น ก็เหมือนกับทุกโครงการ ของรัฐบาลพรรคดักดาน ที่จะต้องมีเรื่องการใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัดเลยแม้แต่น้อย ตลอดจนมีกรณีใช้เงินหลวงอย่างผิดทิศทาง ทั้งยังมีเรื่องการทุจริตเข้าหูประชาชนคนไทยมิได้ขาด จนต้องพากันอุดจมูก ด้วยสะอิดสะเอียนต่อกลิ่นอายคอรัปชั่น ที่ตามมาหลอกหลอนพี่น้องร่วมชาติ ในทุกๆ โครงการของรัฐบาลของพรรคดักดานดำเนินการ จนผู้คนเขาต้องอุทาน ด้วยความแปลกใจว่า

“ไอ้พวกนี้มัน ‘แดก’ กันเก่งจริงๆ!” ได้ยินแล้ว ให้เศร้าใจยิ่งนัก!!

โครงการ “ห่วยๆ” อย่างเรื่องร้องเพลงชาตินี้ ก็ดันใช้เงินไปอีกหลายสิบล้านบาท บ้างก็บอกว่า ใช้เป็นค่ายิงสปอตโฆษณาเพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น บางคนก็บอกว่าเป็นร้อยล้าน แต่ผู้คนไม่สามารถล่วงรู้การปู้ยี้ปู้ยำเงินหลวง เพราะพรรคดักดาน ไม่กล้าเปิดเผยรายละเอียดของเงินที่ใช้จ่ายไป ให้กับประชาชนทราบแต่อย่างใด

นอกจากโครงการต่างๆ ของรัฐบาล จะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่โม้กันไว้แล้ว “มุก” เรื่องชวนชาวบ้านร้องเพลง อย่างที่รัฐบาลนายอภิแสบคิดขึ้นมา และผมระบุเอาไว้ในตอนต้นว่าเป็น “มุกควาย” นั้น

จึงอยากให้กระทรวงการต่างประเทศ เชิญท่านสมเด็จฮุนเซ็น ช่วยเป็นต้นเสียง ร้องเพลง “เขมรไล่ควาย” เพื่อเป็นเพลงนำ ในการไล่รัฐบาลของนายมาร์ค ที่มีเสนอแนวความคิดแบบ “กระบือๆ” อย่างนี้... ออกไปให้พ้น จากการบริหารประเทศของเรา เสียที! บ้านเมืองเราจะได้ปลอดคอรัปชั่น เจริญก้าวหน้าเหมือนชาติอื่นเขาบ้าง!!

ก่อนที่จะจบบทความในวันนี้ อยากจะกราบเรียนกับท่านผู้อ่านที่เคารพ ว่า การที่ให้ประชาชน ร่วมกันร้องเพลงในตอนเย็น ซึ่งเป็นเวลาเราเอาธงชาติลงจากเสา ผมดูแล้วมันพิกล เพราะหากจะถือกันในเรื่องโชคลาง ก็พอจะมองได้ว่า

ปกติการที่เราชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา นั่นหมายความว่า เรามีอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นๆ แต่การชักธงลงจากยอดเสา มาพับเก็บนั้น ในบางโอกาส กลับหมายความถึงการที่เราจะถอนตัวออกจากการครอบครองดินแดน เช่น อังกฤษเอาธงยูเนี่ยนแจ๊คลง เมื่อวันมอบคืนเกาะฮ่องกงให้จีนแผ่นดินใหญ่ เป็นต้น

หรือแม้แต่ชาติเราเองก็มีตัวอย่างให้เห็น คือ... จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็สั่งเอาธงชาติไทยลงจากปราสาทพระวิหาร เมื่อประเทศของเรา ต้องต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้คดีในชั้นศาลโลก จำต้องคืนปราสาทพระวิหาร ให้กับกัมพูชา

ผมยังจำได้แม่นว่า ท่านจอมพลฯคนสะดือแตก พูดออกวิทยุด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “วันหนึ่งข้างหน้า ข้าพเจ้าจะเป็นคนไปชักธงชาติไทยขึ้นเสา เหนือเขาพระวิหาร ด้วยตนเองอีกครั้ง!”

น่าสงสาร... จอมพลคนเมียมาก ไม่เคยมีโอกาสกลับขึ้นไปชักธงไตรรงค์เหนือปราสาทเขาพระวิหาร เพราะตายด้วยโรคม้ามเสียก่อน หากท่านจอมพล “คนพันเมีย” อยู่มาถึงวันนี้ และมีโอกาสขึ้นไปบนเขาพระวิหาร ท่านก็จะได้เห็นเป็นที่ประจักษ์กับสายตาว่า บัดนี้ ใช่แต่ตัวปราสาทเปรี๊ยะวิหารเท่านั้น แม้แต่พื้นดินแผ่นทรายรอบองค์ปราสาท อาณาเขตพื้นที่ 4.2 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีข้อขัดแย้งกันเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือดินแดน

เดิมไทยกับเขมรเคยหาทางออกอย่างสันติ ถึงขั้นตกลงที่จะพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน

แต่... เมื่อมาถึงรัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งมีคนของพันธมาร ยึดกุมตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

แต่... ...พื้นที่บริเวณที่เคยเป็นปัญหากัน นั้น ถึงวันนี้... รัฐบาลกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซ็น ได้สถาปนาการปกครองเหนือดินแดนดังกล่าว ได้อย่างสมบูรณ์แบบและมั่นคงแข็งแกร่ง เรียบร้อยโรงเรียนขะแมร์ไปแล้ว

ทั้งนี้เป็นเพราะ... ความไร้ฝีมือ ปนความโง่เง่าของนายกฯโลซก ที่บริหารบ้านเมืองล้มเหลว (เพราะทำงานไม่เป็น) กับไอ้รัฐบาล “แดกได้-แดกดี” นี่แหละ! จริงหรือเปล่าล่ะ!!?

สังคมข่าวชาวเสื้อแดง(10ต.ค.):อีกก้าวชาวใต้สีแดง/ซับน้ำตาภูมิซรอล/ต้อนรับนายกฯหุ่นที่อุบล

ที่มา Thai E-News

***สังคมข่าวชาวเสื้อแดง ประจำวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552 ตรงกับแรม 6 ค่ำ เดือน 11 "นักข่าวชาวรากหญ้า"นำข่าวคราวกิจกรรม ความเคลื่อนไหว ของพี่น้องชาวเสื้อแดง ฝ่ายประชาธิปไตยทั่วไทย และทั่วโลกมารายงานให้ทราบเช่นเคย จะได้เผยให้เห็นความคึกคักของชาวเราเจ้าของประเทศ***


***พาล่องใต้กันก่อนให้หรอยจังหู๊ "นกไฟ"สายข่าวคนขยันรายงานมาว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ทางกลุ่มรักประชาธิปไตยชาวใต้กลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มหาดใหญ่ สงขลา ได้เชิญท่าน อาจารย์สอาด จันทร์ดี พิธีกรรายการ"พบปะประชาชน"ทางช่อง people chanels มาบันทึกเทปโทรทัศน์ เพื่อออกรายการพบปะประชาชนในตอนเย็นวันเสาร์ และวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 17.00 น. ที่จะถึงนี้(วันที่ 10 และวันที่ 11) บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ใครเป็นใครดูกันเองตามภาพ***


***โดยได้มีการบันทึกเทปนอกสถานที่ด้วย โดยท่าน อ.สอาด ได้ร่วมเดินทางถ่ายทำนอกสถานที่กับหัวเรี่ยวหัวแรงที่ได้ทำให้งานนี้เกิดขึ้น คือ เจ๊รุ่งและลูกชาย(น้องหมู)ซึ่งเป็นตัวประสานงานให้กับกลุ่มต่างๆ บรรยากาศการถ่ายทำเป็นไปอย่างกันเองทั้งทางพิธีกรและผู้ร่วมงาน โดยไฮไลต์อยู่ที่ตัวลูกชายของเจ๊รุ่ง(น้องหมู)ที่ได้พูดขึ้นตอนนึงว่า "เราได้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และได้บ่งบอกว่าพวกเราจะไม่หลบอยู่ในกะลากันอีกแล้ว"***


***พร้อมกันนี้ก่อนเข้าช่วงเปิดรายการ(วันเสาร์)ได้มีโอกาสให้เยาวชนแสดงออกถึงความรักความห่วงแหนในระบอบประชาธิปไตยด้วยโดยการร้องเพลงให้กับคนที่ใครหลายๆคนคิดถึงและทางกลุ่มได้มอบของที่ระลึกให้กับ อ.สอาดด้วย คอยติดตามทางพีเพิลแชนัลน๊ะครับชาวเสื้อแดงทุกๆท่าน***

***ไปต่อกันที่อีสานใต้ชายแดนเขมรกันมั่ง เมื่อวานนี้ 9 ตุลาคมฤกษ์ดี อาสาพยาบาลคนเสื้อแดงRSRนำสิ่งของที่พี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงร่วมใจกันบริจาคเพื่อปลอบขวัญบำรุงกำลังใจชาวบ้านภูมิซรอล ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ถูกพันธมารอันธพาลการเมืองบุกรุกรานย่ำยีฆ่าฟันราวผักปลาที่ศาลากลางบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายสุพล ฟองงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะส.ส.พรรคเพื่อไทย ร่วมเดินทางมาพบปะกับชาวบ้านภูมิซรอล และ ชาวบ้านในเขตพื้นที่ติดเขาพระวิหาร ซึ่งถูกรุกรานถึงถิ่นโดยอันธพาลการเมืองล้าหลังคลั่งชาติพันธมิตร***


***ประชาชนในพื้นที่พร้อมใจกันใส่เสื้อแดงมาต้อนรับคณะอดีตนายกรัฐมนตรีคับคั่ง อดีตนายกฯสมชาย ได้มอบสิ่งของบริจาคและเงินค่าทำขวัญที่ชาวไทยทั้งประเทศร่วมบริจาคเป็นธารน้ำใจปลอบขวัญชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่ออันธพาลการเมืองพันธมิตรจำนวน 44 คน ซึ่งถูกอันธพาลการเมืองกลุ้มรุมทำร้าย และใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่ ทั้งผู้รับผู้ให้ต่างเห็นอกเข้าใจกันพร้อมตั้งปณิธานจะขออยู่กับเพื่อนบ้านอย่างฉันท์มิตร แต่พร้อมเตรียมต้านภัยผู้รุกรานล้าหลังคลั่งชาติอย่างพร้อมพรัก***

***ไปหาเสียงหนก่อนที่อุบลฯโดนอึปาลงหน้า1ไทยรัฐ หลังปล้นตำแหน่งมาไปหาแหวนหมั้นคนแก่ คนแก่ถึงกับตาย วันนี้มาร์กไปหายายไฮ ขันจันทา เอาเงิน4ล้านไปให้ แต่ค่ารักษาความปลอดภัยไม่หนีหลักสิบล้าน แถมไปจัดตั้งม็อบปากมูลหวังให้เป็นม็อบชนม็อบอีก.. อย่ามัวแต่กลัวเสื้อแดงรุมต้านหละ เพราะของจริงคือยายไฮนี่แหละ ดีไม่ดีโดนยายไฮต้อนต่อหน้ากล้องทีวีนี่มีถึงตายหน้าจอเลยเชียว เอาแค่อาหารยายไฮเตรียมไว้ต้อนรับเป็นเมนูอีสานขนานแท้ เจอลาบเลือดซุปหน่อไม้เข้าไป มาร์คจะไหวเรอะ มันไม่เหมือนน้ำซุปอิตาลีโรงแรม5ดาวนะเธอ***

***ภาคประชาชนขนานแท้และดั้งเดิม เริ่มขบวนการเรียกร้องมาเป็นกลุ่มแรกๆคือกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ เรียนเชิญเพื่อนสมาชิก เข้าร่วมงาน ครบรอบสามปี คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ จัดโดยเครือข่ายคนวันเสาร์ ในวันอาทิตย์ที่ 1 พ.ย.52 นี้ ณ ท้อง สนามหลวง เพื่อร่วมฉลองการเกิดขึ้นของการเมืองภาคประชาชนที่แท้จริง โดยจะพบกับแกนนำภาคประชาชนที่แท้จริงที่ร่วมต่อสู้มาตั้งแต่ที่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้ครับ งานนี้เอาให้ดีควรมีโฟนอินจากสุชาติ นาคบางไทร แกนนำที่อยู่ระหว่างเดินทางไปดูงานต่างประเทศเข้ามาหน่อยก็จะโก้ไม่หยอก แถมทำให้มิตรสหายคลายคิดถึงไปอีกโข รายละเอีดติดตามทางhttp://saturdayvoice.com***

***ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทยขยันจริงๆ หลังอบรมนักข่าวหัวเห็ดเผด็จศึกอำมาตย์หนแรกไปแล้วเมื่อปลายเดือนก่อน ตอนนี้เปิดอบรมรุ่น2แล้ว โดยคราวนี้จะเน้นการอบรมเชิงปฏิบัติการ(ทำเวิร์คช็อป)เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้มีประสบการณ์และทักษะ สามารถนำไปปฏิบัติการได้จริง***

***งานมีที่ที่ทำการชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย ถนนวิภาวดี เวลา 13.00-17.30น. วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม2552 (หนนี้จัดเฉพาะช่วงบ่ายนะครับ) งานนี้ฟรีไม่ต้องจ่ายตังค์ กิจกรรมหลักคือให้มืออาชีพวงการข่าวจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการงานเขียนข่าวลงบล็อกwww.blogger.com พร้อมแจก"คู่มือนักข่าวหัวเห็ดเผด็จศึกอำมาตย์"โดยจะสอนลงมือทำตั้งแต่การสัมภาษณ์แหล่งข่าว การค้นคว้าข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข่าวการนำเสนอเขียนข่าวลงเวบลงบล็อก การพาดหัวข่าว-การโปรยข่าวที่ดึงดูดใจคนอ่าน***

***จากนั้นคุณบังสุกุล ผู้ดูแลเวบถ่ายทอดวิทยุ+ทีวี20กว่าเวบสอนฝึกหัดให้ลงโปรแกรมถ่ายทอดสดทางวิทยุ+ทีวีภาคปฏิบัติ ดังนั้นคนที่มางานหากสะดวกก็พกโน้ตบุ๊คมาด้วย จะได้ลงโปรแกรมไปใช้งานได้ ปิดท้ายงานไพโรจน์ จันทรนิมิ ประธานชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทยจัดประชุมคณะกรรมการและสมาชิกที่เข้าอบรมเพื่อกำหนดกิจกรรม เช่น การร่วมมือระหว่างสมาชิก,เวบไซต์ต่างๆ,สื่อฝ่ายประชาธิปไตย,โครงการจัดตั้งศูนย์ข่าว หรือสำนักข่าวฝ่ายเสื้อแดงร่วมกัน และกิจกรรมต่างๆ***

***ท่านที่ประสงค์เข้าร่วมงานรีบตีตั๋วด่วนเหลือ5ที่นั่งสุดท้าย แจ้งความจำนง เล่าประวัติย่อ ประสบการณ์ และความตั้งใจไปที่freedompress9999@gmail.comหรือดูรายละเอียดที่www.thaifreedompress.blogspot.com***


***วันที่ 11 ต.ค.นี้เช่นกัน ซึ่งตรงกับวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 40 กลุ่มคนเสื้อแดง จะไปชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องและทวงคืนรัฐธรรมนูญปี 40 รัฐธรรมนูญประชาชนของจริง ท่านใดอยากให้กิจกรรมคึกคัก และถือโอกาสพบปะมิตรสหายฝ่ายประชาธิปไตยเจอกันตอนเย็นๆ***

***วันนี้ เวลา 09.๐๐ น.เป็นต้นไป ชมถ่ายทอดสดการอบรมผู้นำการพัฒนาประชาธิปไตย จากมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย ติดตามชมทางเจ้าเก่าขาประจำ www.newskythailand.us www.newskythailand.comชาวเสื้อแดงขอปรบมือให้ทั้งคนจัดและคนถ่ายทอดสดครับพ๊ม***

***พี่น้องฝ่ายประชาธิปไตย ชาวเสื้อแดงอยากฝากข่าว กิจกรรม งานสังคม งานมีทติ้งพบปะสังสรรค์ ทอดกฐิน ทำบุญสารพัดทั้งงานส่วนรวม ส่วนตัว หรือการทำมาค้าขาย ฝากข่าวโฆษณาใดๆเชิญส่งรูป หรือภาพข่าว คลิปข่าวมาเลยที่นักข่าวชาวรากหญ้า อีเมล์thaienews@googlegroups.comแล้วทางเราจะเผยแพร่ให้ฟรีๆไม่ต้องเสียสตังค์ เชิญเลยคร้าบ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ แถมทำให้พี่น้องเสื้อแดงที่ทราบข่าวมีกำลังใจสู้ๆอีกต่างหาก...***

อภิสิทธิ์-กษิต ต้นตอทำให้ไทยเสียดินแดนตัวจริง .. อย่านิ่งเฉยหน้าด้าน !!!

ที่มา Thai E-News

โดย คุณอัคนี คคนัมพร
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
9 ตุลาคม 2552

ตอนที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กรณีออกมติ ครม.สนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น นายกล้าณรงค์ จันทิก แถลงว่า ป.ป.ช. พิจารณาจากคำร้องของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส. พรรคนั้น 141 คน

ความข้อนี้ ท่านผู้อ่านโปรดจำไว้ให้ดี ที่ต้องขอให้ช่วยจดจำกันไว้ก็เพราะ นายอภิสิทธิ์และคณะทำหน้าที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ที่ต้องพิทักษ์ผืนแผ่นดินไทย กลัวว่า การไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมฯ จะทำให้ไทยสูญเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบๆ เขาพระวิหารไปอีก หลังจากที่เราเสียพระวิหารไปเมื่อปี 2505 คำกล่าวอ้างนี้ เป็นความชอบธรรม ใครๆ ก็ฟังขึ้น

ยิ่งนายอภิสิทธิ์ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ได้แสดงความเห็นในที่ต่างๆ บอกว่า ที่เสียไปในปี 2505 คือตัวพระวิหาร ส่วนพื้นดินใต้พระวิหาร หรือพื้นดินที่รองรับพระวิหารนั้น ยังถือว่าเป็นของเราด้วยแล้ว ก็ยิ่งถูกใจพวกคลั่งชาติหนักเข้าไปอีก

ปัญหามีอยู่ว่า ตอนนี้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ไม่ใช่ผู้นำฝ่ายค้านที่จะทำหน้าที่ด้วยการพูดอย่างเดียว

ดังนั้น การที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เคยยกมาเป็นประเด็นถามในสภาว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์เข้ามาทำหน้าที่นายกฯ และนายกษิต ภิรมย์ มาทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แล้วกัมพูชาได้สร้างถนนคอนกรีตอย่างดีขึ้นพระวิหาร ผ่านพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร และทางทหารคือกองกำลังสุรนารี ได้ทำหนังสือแจ้งกระทรวงการต่างประเทศให้ทำการประท้วงคัดค้าน เหตุใดรัฐบาลจึงมิได้กระทำ

การปล่อยปละละเลยจนกระทั่งเขาสร้างถนนเสร็จ จะมิเท่ากับเป็นการสละสิทธิในพื้นที่ทับซ้อนดอกหรือ?

ประเด็นนี้ นายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ไม่เคยตอบให้ชัดเจนแม้แต่สักครั้งเดียว ไม่ว่าจะในสภา หรือต่อสื่อมวลชน

ด้วยเหตุนี้ ต่อมานายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในผู้จัดรายการ “ความจริงวันนี้” ได้ออกมาทวงถามอีกครั้งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ข้อมูลจากทางทหารยืนยันว่า ได้ทำหนังสือมายังรัฐบาลถึง 9 ฉบับ แต่ไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด จนกระทั่งกัมพูชาทำถนนเสร็จจึงจะมีการกระดิกตัว

ประเด็นนี้ นายณัฐวุฒิถามว่าเป็นความจริงหรือไม่?

หากเป็นความจริง (ซึ่งตรวจสอบแล้วว่าจริง) จะมิเท่ากับว่า เราได้เสียดินแดนส่วนนี้ ไปแล้วดอกหรือ

ขอให้นายอภิสิทธิ์ตอบให้ชัดเจน เพื่อขจัดความสงสัยของคนไทยทั้งปวง

ความสงสัยของทั้ง นายจตุพรและ นายณัฐวุฒิ ไม่เคยได้รับคำตอบจากรัฐบาล ให้เกิดความกระจ่าง คงมีแต่การเล่นสำนวนว่า ไม่มีปัญหาอะไร มีบางคนที่ไม่ใช่นายอภิสิทธิ์และนายกษิต ตอบหยันๆ เสียอีกว่า ไม่เป็นไร เขาสร้างถนนเสร็จแล้ว เมื่อมีการเจรจาเราก็ได้ถนนมาฟรี

ผู้เขียนยกเรื่องนี้ขึ้นมาฉายซ้ำในวันนี้ ด้วยเจตนาเดียวกับที่นายจตุพรและนายณัฐวุฒิ ออกมาทวงถามจากรัฐบาล เพราะพฤติการณ์ที่ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายกษิตกระทำนั้น สุ่มเสี่ยงยิ่งกว่าการกระทำของนายสมัครและนายนพดลเป็นไหนๆ

เรื่องของนายสมัครและนายนพดลนั้น ถึงบัดนี้ใครๆ ก็เห็นแล้วว่า ไม่ใช่เรื่องของการเสียดินแดน เราไม่ได้เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และแถลงการณ์ร่วมฯนั้น ก็ไม่ได้มีฐานะเป็นสนธิสัญญา แต่ทั้ง 2 คนก็ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ขั้นถอดถอน และดำเนินคดีอาญาตาม ม. 157 ไปแล้ว

ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไรยังไม่รู้

แต่การเพิกเฉยของนายอภิสิทธิ์และนายกษิต ต่อคำเตือนของฝ่ายทหารถึง 9 ครั้ง 9 หนนั้น มันหมายความว่าอย่างไร

แม้แต่นายกษิตเอง มีอยู่วันหนึ่ง ที่เดินทางไปตรวจสถานที่จริงที่เขาพระวิหาร กลับมา ก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม เพราะไม่อาจปฏิเสธได้

ทั้งนี้เพราะฝ่ายทหาร ได้เข้าไปให้การต่อกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรไว้สิ้นไส้สิ้นพุงแล้ว และข้อเท็จจริงในพื้นที่ก็ยันอยู่ทนโท่

รัฐบาลนี้ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง แต่ใช้วิธีนิ่งเฉยแบบหน้าด้าน ตอบไม่ได้ ก็ใช้วิธีการเงียบ ผิดวิสัยของผู้บริหารประเทศ

ขอเตือนอีกครั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณต้องตอบคำถามนี้ มิฉะนั้นข้อกล่าวหาว่า นายสมัครและนายนพดลขายชาติ จะย้อนกลับเข้าสู่ตัวคุณ

Friday, October 9, 2009

ร.ต.อ.เฉลิม ลาออกจากประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย

ที่มา MCOT News


กรุงเทพฯ 9 ต.ค.- ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ส่งเอกสารลาออกจากตำแหน่งประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาให้สื่อมวลชน โดยในใบลาออก ระบุว่า “ตามที่ ส.ส. กรรมการบริหารพรรค และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กรุณามอบความไว้วางใจให้กระผมทำหน้าที่ในตำแหน่งประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นั้น บัดนี้ กระผมได้ทำหน้าที่ดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาอันสมควร ประกอบกับกระผมมีภารกิจอันสำคัญ ซึ่งจะทำให้การทำหน้าที่ขาดประสิทธิภาพ กระผมจึงขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคได้คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมาทำหน้าที่แทนต่อไป”

ทั้งนี้ การลาออกดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แถลงไม่เข้าร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่พรรคเพื่อไทยกลับเข้าร่วมกับวิป 3 ฝ่าย.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2009-10-09 13:35:02

ลากเกมไปข้างถนน?

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_38398

โดยปรากฏการณ์ที่โลกกำลังจ้องมองประเทศไทยตาไม่กะพริบ

ล่าสุด เจ้าชายแอนดรูว์ คริสเตียน เอ็ดเวิร์ด ดยุคแห่งยอร์ก ที่เสด็จเยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะ และในฐานะผู้แทนพิเศษด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ได้เสด็จฯยัง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า นักลงทุน สหราชอาณาจักรส่วนใหญ่แสดงความเป็นห่วงเสถียรภาพทางการเมืองของไทยในขณะนี้

อังกฤษทักกันเป็นนัยๆ


และก่อนหน้านั้นนายอีริค จี. จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้เดินทางเข้าพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้จัดการใหญ่รัฐบาล พร้อมทั้งได้สอบถามเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศไทย

อยากรู้ว่าแนวโน้มการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร

สหรัฐอเมริกาก็น่าจะจับสัญญาณอะไรได้

2 มหาอำนาจของโลก ทั้งสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา แสดงอาการตื่นตัว เกาะติดสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทย เหมือนจะได้กลิ่นแปร่งๆ

แล้วก็ได้เวลาสำแดงฤทธิ์เดชกันจริงๆ

ม็อบพันธมิตรฯที่นัวเนียๆกับฉากของพรรคการเมืองใหม่ ประกาศขู่ดังๆออกอากาศ พร้อม จะเกณฑ์ม็อบเสื้อเหลืองออกมาชุมนุมใหญ่

คัดค้านการรื้อรัฐธรรมนูญฉบับ “หน้าแหลมฟันดำ”

วันเดียวกับคิวที่ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำทีม ฝ่ายค้าน ต่อสายม็อบเสื้อแดง แถลงคว่ำบาตร

ไม่ร่วมสังฆกรรมแก้ไขรัฐธรรมนูญ


ตามสัญญาณที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อไทย สั่งการลูกข่าย อย่าหลงตามเกมของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล

หลอกประชามติแก้รัฐธรรมนูญยื้อเวลาลากยาวอำนาจ

ขณะที่วิปวุฒิสภา ก็เริ่มยึกๆยักๆ ชักแถวถอยไปตั้งหลักดูทิศทางลม

ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย คว่ำบาตร ม็อบพันธมิตรฯขู่อาละวาด วุฒิสภาเริ่มกั๊ก

รายการรื้อรัฐธรรมนูญส่อเค้าฟาวล์ตั้งแต่ออกสตาร์ต

ในอารมณ์ที่อ่านกันง่ายๆ ผลประโยชน์ขัดกันก็บรรลัย

ขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯก็ต้องยื้อเงื่อนไขได้เปรียบในรัฐธรรมนูญฉบับ “หน้าแหลมฟันดำ” ไว้ เพื่อบล็อก “นักเลือกตั้ง” เปิดทางให้ “นักลากตั้ง” เข้าสภา

ขณะที่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ก็อ่านแต้มแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเกมแก้รัฐธรรมนูญที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลวางเกมรื้อ 2 ปมหลัก คือ การทำสนธิสัญญาไม่ต้องผ่านรัฐสภา และการกลับไปเลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว

ตรงกันข้ามในจังหวะได้เปรียบของค่ายใหญ่ พรรคเพื่อไทยได้ยี่ห้อ “ทักษิณ” ตีกินกระแสได้ทั้งในภาคอีสาน

ภาคเหนือ รวมไปถึงภาคกลางและกรุงเทพฯรอบนอก

ลาก ส.ส. “พวงใหญ่” เข้าสภาได้เนื้อๆเน้นๆ


ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องไปหลงตามเกมยื้อเวลาของพรรคร่วมรัฐบาล

ในเมื่อเป้าหมายอยู่ที่ “นิรโทษกรรม” อุ้ม “นายใหญ่” กลับเมืองไทยแบบไร้มลทิน

พรรคเพื่อไทยมั่นใจ มัดจำแต้มได้ รอกลับมารื้อใหญ่หลังเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดในการประชุมวิป 3 ฝ่าย นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน ยืนยัน ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ยังสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น แต่ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ


พร้อมทั้งชี้ว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมแถลงว่าพรรคเพื่อไทยไม่ร่วมสังฆกรรม แก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงเทคนิคการเมือง กระตุ้นให้รัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญเร็วขึ้น

ว่ากันไปคนละทิศละทาง เหมือนยังไม่สะเด็ดน้ำ

แม้แต่แกนนำอย่างพรรคประชาธิปัตย์เองก็โดนระแวงว่าเล่นสองหน้า ทางหนึ่งเออออกับพรรคร่วมรัฐบาล อีกทางก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้ม็อบพันธมิตรฯออกมาอาละวาดขวางลำไม่ให้รื้อรัฐธรรมนูญ

เหยียบตีนกันเล่น ตบตาเพื่อน

ลึกๆก็รู้กันอยู่ว่า ประชาธิปัตย์ก็ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ กั๊กความได้เปรียบเลือกตั้งพวงใหญ่ และการจัดบัญชีเลือกตั้งระบบสัดส่วนที่เอื้อประโยชน์ให้เต็มๆ

นับไปนับมาก็เหลือแค่พรรคร่วมรัฐบาลที่ลุ้นกันหืดจับ ภูมิใจไทย เพื่อแผ่นดิน ชาติไทยพัฒนา รวมใจไทยชาติพัฒนา กิจสังคม ช่วยกันเข็นลำพังคงไม่ไหว

แทบจะปิดเกมแก้รัฐธรรมนูญในสภา

ไปว่ากันที่เกมกดดันการเมืองข้างถนน.

วัยวุฒิ

ที่มา ไทยรัฐ

ข่าวลือถึงอาการป่วยของ อดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช ในทางร้ายเมื่อวันก่อน ทำให้นึกถึงผู้อาวุโสทางการเมืองที่เคยรู้จักหลายท่าน เพราะวิกฤติการเมืองวันนี้พัดพาเอาชื่อเสียงเกียรติยศของแต่ละท่านไปในทางที่มัวหมอง นักการเมืองรุ่นเด็กบางคนก็เสื่อมตั้งแต่ยังไม่โต

คุณธรรมทางการเมืองจึงต่ำลง

พูดถึงคุณสมัคร ต้องยอมรับว่ามีประสบการณ์ทางการเมืองมาทุกรูปแบบ มีเอกลักษณ์รูปแบบของตัวเองตรงไปตรงมา จึงมีทั้ง คนชังและคนชอบ นอกจากเรื่องของอาหารการกินแล้ว เรื่องเล่าในอดีตฝีมือการเขียนหนังสือคุณสมัครก็ไม่เป็นรองใคร เป็นตั้งแต่คอลัมนิสต์ ไปจนถึงเจ้าของหนังสือพิมพ์

วันนี้ยังได้อ่านข้อเขียนของคุณสมัครอยู่ใน หนังสือต่วย' ตูน ปักษ์แรกของเดือนนี้ คุณสมัครเขียนถึงเรื่องกล้วยๆ เรื่องต้นไม้ยอดดีมีคุณค่าแต่ถูกคำพังเพยดูแคลน เอาไว้ได้ทั้งสาระความรู้และรอยยิ้ม

น่าเสียดายว่าหลังเจ็บไข้ได้ป่วย หลังจากที่เจ็บจากวิกฤติการเมือง คุณสมัครตัดสินใจหันหลังให้กับสังคม ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข

การก้าวย่างของผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้ามาเป็นสมาชิกในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเชื่อว่าในที่สุดก็จะขึ้นเป็นหัวของพรรคเพื่อไทย นำทัพสู้กับมรสุมการเมืองในสไตล์ของ พล.อ.ชวลิต อ่อนนอกแข็งใน แต่การกลับมาครั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขมากมายและเป็นการกลับมาลบคำปรามาสที่เกิดจากวิกฤติการเมืองเช่นกัน

เท่าที่เกาะติดข่าว เท่าที่ดูการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิตก็ต้องบอกว่า ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา วันนี้ พล.อ.ชวลิตที่เคยคิดจะทอดทิ้งการเมืองไว้ข้างหลัง เกิดแรงฮึดกลับมากอบกู้ภารกิจเพื่อชาติอีกครั้ง เพื่อย้ำถึงคำว่านายทหารประชาธิปไตยและฉายาขงเบ้งแห่งกองทัพ

เสียดายถ้าข่าวที่ว่า คุณเสนาะ เทียนทอง จะอำลาการเมืองไปอีกคน จะชั่วดีถี่ห่างอย่างไรคุณเสนาะก็ยังยึดหลักคุณธรรมทางการเมืองลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ คุณเสนาะเคยไปชวนคุณสมัครตั้งพรรคการเมือง สมัยที่ตัดสินใจออกจากพรรคไทยรักไทย และคุณเสนาะ คุณสมัครก็เคยไปชวน พล.อ.ชวลิต

ตัดบัวยังเหลือเยื่อใย สายน้ำตัดไม่ขาด ไม่แน่ว่า คุณเสนาะจะพลิกการตัดสินใจ เข้ามาทวงศักดิ์ศรีอดีตผู้จัดการรัฐบาลที่เกิดจากแรงกดดันวิกฤติการเมืองอีกกระทอก

และ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ก็ถือว่าเป็นอดีตผู้จัดการรัฐบาลอีกท่านหนึ่ง วันนี้ พล.ต.สนั่น สวมเสื้อพรรคชาติไทยพัฒนาของ คุณบรรหาร ศิลปอาชา ฟังว่า ระยะหลังความบาดหมางทางการเมืองในอดีตถูกลบให้เจือจางด้วยวิกฤติทางการเมืองเนื่องจากตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

ทำให้ พล.อ.ชวลิต คุณบรรหาร คุณเสนาะ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พูดภาษาเดียวกัน พลันเกิดกระแสคุณบรรหารยอมรับเป็นคนกลางเจรจาให้ พล.อ.ชวลิตเข้ามาสร้างความปรองดองให้บ้านเมือง เพียงแต่ว่าคุณบรรหารไม่ได้เล่าต่อไปว่า ได้เจรจากับใครอีกบ้างเท่านั้น อย่ากะพริบตา.

หมัดเหล็ก

ทักษิณโชว์กึ๋น เย้ยมาร์ค DNAมีปัญหา

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_38551

วิดีโอลิงก์"ทักษิณ"ลุยแฉกระบวนการคอรัปชั่นรัฐบาล"มาร์ค"ชี้มีนิสัยเป็นสัปเหรอมากกว่าเป็นหมอ ปูดผู้ว่าฯวิ่งซื้อตำแหน่ง 9 ล้าน ดีเดย์ทีวีโอชาแนล 1พ.ย.นี้...

วันนี้(9 ต.ค.)เวลา 14.10 น.ที่โรงแรมเอสซีปารค์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์ภาพและเสียงเข้ามาเป็นวิทยากรงานสัมมนา"ทางรอด วิกฤติเอสเอ็มอีไทย"ที่จัดขึ้นโดยพรรคเพื่อไทย ภาค กทม.โดยได้ท้าวความที่เคยเป็นเอสเอ็มอีมาก่อน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ผ่านการเห็นสวรรค์และนรก ทั้งภาคธุรกิจและภาคการเมืองมาพร้อมกัน ช่วงนี้พวกท่านมีความลำบากเป็นพิเศษ เพราะอยู่ในช่วงการเมืองแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขอให้มีกำลังใจสู้ เรียนรู้อย่าหยุด รวมถึงด้านเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต เพราะโลกข้างหน้าคนเป็นผู้นำต้องนั่งอยู่บนอินเตอร์เน็ต ที่ถือเป็นห้องสมุดของโลก

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์เอ็สเอ็มอีธนาคารยังไม่ปล่อยกู้ ที่เลวร้ายได้ข่าวว่า มีการซักใต้โต๊ะ มีปากถุง ถ้าตนเป็นรัฐบาล จะเรียกภาคเอกชนเป็นรายๆมาคุยเรื่องหนี้ และแปลงหนี้ให้เป็นทุน แบบนี้เอสเอ็มอีฟื้น รัฐเก็บภาษีได้ เศรษฐกิจก็ฟื้น ส่วนธุรกิจรายใหญ่ไม่ต้องไปดูแล แล้วเอายาโด๊ปให้ทำไม สังคมทุนนิยมมีนิสัยเป็นสัปเหรอมากกว่าเป็นหมอ สัปเหรอทำงานนับศพ หมอมีหน้าที่ทำให้คนรอดตาย

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น่าเห็นใจนายกรัฐมนตรี ไป จ.อุบลราชธานี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอารักขา 3-4 พันคน เพียงไปจ่ายเช็คให้ยายไฮ ถ้าเอาเบี้ยเลี้ยง 3-4 พันคนนี้ไปให้ยายคนอื่น จะไปได้อีกหลายยาย รัฐบาลนี้แก้ไขปัญหาไม่ได้หรอก เพราะดีเอ็นเอมีปัญหา เริ่มจากปลดนายกรัฐมนตรี 2 คนโดยใช้ศาลรัฐธรรมนูญ ตะแบงข้อกฎหมาย ซื้อส.ส. ซื้อตำแหน่งรัฐมนตรี ต่อมาขายตำแหน่งข้าราชการ และเอาไปคลอดก่อนกำหนดในค่ายทหาร เด็กเลยไม่แข็งแรง มันก็ไม่สามารถช่วยคนอื่นให้แข็งแรงได้

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า เหมือนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น มานั่งเถียงกันอยู่ได้ มาแก้ไขความวุ่นวายก็ไม่จบ เพราะประเด็นที่แก้ไม่เห็นมีอะไรทำเพื่อประชาชน และยังใช้งบประมาณอีก 2 พันล้านบาท ทำประชามติ ทำให้รัฐบาลอยู่ได้นานอีกนิด ได้ประโยชน์อะไร นำงบดังกล่าวมาให้เอสเอ็มอีกู้ดีกว่า ได้คืนด้วย ของดีมาอยู่แล้ว คือรัฐธรรมนูญ 2540 แล้วไปฉีกทิ้ง รัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดไปไม่ได้ อยากแนะนำรัฐบาล แต่กลัวบอกซ้ายแล้วไปขวา

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ตอนนี้คอสคอรัปชั่นสูงมาก โดยผู้ว่าราชการจังหวัดก็ 9 ล้านบาท แล้วผู้ว่าราชการจังหวัดไปเอาเงินผู้รับเหมามาจ่ายก่อน แบบนี้ภาคเอกชนตาย เพราะกลไกของรัฐ อยากให้ทำให้ภาคเอกชน และประชาชนเข้มแข็ง โดยทำไทยแลนด์แบรนให้เอสเอ็มอีเกาะไปด้วย ส่วนการทำทีวีโอชาแนล 100 ช่องผ่านดาวเทียมนั้น จะเริ่มออกอากาศเกี่ยวกับการเสนอสินค้าเอสเอ็มอีวันที่ 1 พ.ย.2552 ก่อนที่จะเสนอซื้อขายผ่านรายการต่อไป ดังนั้นใครมีเอสเอ็มอีที่น่าสนใจให้เชิญเราไปถ่ายทำได้ สุดท้ายขอให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ ต้องมีความหวัง ดำน้ำให้อึด โผล่มาก็หายใจ อดทนอีกนิด ถ้าตนทนได้ พวกท่านก็ต้องทนได้ ตนเป็นเอสเอ็มอียี่ห้อนกขมิ้นเดินทางไปเรื่อยๆ แต่ว่าไปได้มากกว่านายกรัฐมนตรี ที่ไปได้เฉพาะที่ภาคใต้.

ธนาธิปไตย (Plutocracy)

ที่มา ประชาไท

อริสโตเติลนักปราชญ์ชาวกรีกหากมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้คงกลุ้มใจจนแทบคลั่งเป็นแน่ เพราะตามทฤษฎีที่เขาได้ตั้งไว้ ที่บรรดานักรัฐศาสตร์ทั้งหลายพากันยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชารัฐศาสตร์นั้น แทบจะต้องเผาตำรากันทิ้งไปเลยเมื่อเห็นรูปแบบการปกครองของไทยเรา เพราะแต่เดิมนั้นอริสโตเติลได้แบ่งรูปแบบการปกครองทั้งที่ดีและไม่ดีเอาไว้ ๖ ประเภท คือ

ระบอบที่ดี
ผู้ปกครองคนเดียว monarchy = ระบบกษัตริย์หรือราชาธิปไตย
กลุ่มผู้ปกครอง aristocracy = ระบบขุนนางหรืออภิชนาธิปไตย
คนหมู่มาก polity = ระบบโพลิตี หรือ ระบบที่ปกครองโดยชนชั้นกลาง

ระบอบที่ไม่ดี
ผู้ปกครองคนเดียว tyranny = ระบบทรราชย์
กลุ่มผู้ปกครอง oligarchy = ระบบพวกพ้องหรือคณาธิปไตย
คนหมู่มาก democracy = ระบบประชาธิปไตย

ทางฝ่ายระบอบที่ดีนั้น อริสโตเติลถือว่าราชาธิปไตยดีที่สุด เพราะถ้าคนคนหนึ่งดีและมีความสามารถแล้ว ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ราษฎรในรัฐได้มาก ส่วนอภิชนาธิปไตยรองลงมา เพราะการปกครองรัฐระบอบนี้ ต้องมีจำนวนชนชั้นปกครองมากขึ้น ย่อมจะให้ดีทีเดียวเลยไม่ได้ แต่ก็อาจรักษาคุณธรรมของคณะคนกลุ่มน้อยได้ง่ายกว่าระบอบโพลิตีหรือชนชั้นกลาง

ทางฝ่ายที่ไม่ดีนั้น ระบอบทรราชย์หรือทรราชาธิปไตยเลวที่สุด เพราะเมื่อคนสูงสุดเลวร้ายเสียแล้ว ย่อมเลวร้ายถึงที่สุด ส่วนคณาธิปไตยเลวร้ายน้อยลงไป เพราะพวกเศรษฐีเป็นเพียงพวกกลางๆ และมีจำนวนหลายคน ถึงจะรวมหัวกันทำความชั่ว ก็ไม่เลวร้ายเท่าคนๆ เดียวที่วางแผนและ บงการอยู่อย่างมีอำนาจสิทธิ์ขาดเป็นเอกเทศ โดยที่ประชาธิปไตยย่อมเลวร้ายน้อยที่สุด เพราะอย่างน้อยก็ทำความเลวเพื่อพวกตน ซึ่งเป็นคนหมู่มาก เท่ากับว่าคนหมู่มากย่อมได้ผลประโยชน์พลอยได้อยู่ด้วย

จะเห็นได้ว่าอริสโตเติลมีทัศนะเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ดีเท่าใดนัก เพราะเขามองว่าประชาธิปไตย (ในรูปแบบของสภา) เป็นระบอบการปกครองที่ไม่คำนึงถึงประชาชน ปล่อยให้อำนาจทางการเมืองขึ้นอยู่กับกรรมการหรือสภา ซึ่งชอบใช้อำนาจอย่างฟุ่มเฟือย หากแต่การปกครองแบบโพลิตี (polity) นั้นคือการปกครองโดยชนชั้นกลาง โดยอาศัยรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครอง จะเป็นการปกครองที่ดีกว่าหากจะต้องใช้รูปแบบการปกครองโดยคนหมู่มาก

สาเหตุที่เขานิยมชมชอบในชนชั้นกลางเนื่องจากเขาพบว่า รัฐทั่วๆ ไปมักจะประกอบไปด้วยคน ๓ ชั้น คือ พวกร่ำรวย ซึ่งมักจะมีจำนวนไม่มาก เห็นแก่ตัวและขาดความเห็นอกเห็นใจและไม่มีเหตุผล พวกยากจน ซึ่งมีจำนวนมาก แต่มีความต้องการที่ไม่สิ้นสุดและมีความละโมบ จึงเป็นกลุ่มที่ขาดเหตุผลเช่นเดียวกัน ถ้าให้คนสองกลุ่มอยู่ร่วมกันในรัฐจะเกิดการปะทะระหว่างสองกลุ่ม ดังนั้น ชนชั้นกลางจึงเป็นกลุ่มคนที่มีเหตุผลมากกว่าเพื่อน เพราะไม่เห็นแก่ตัวแบบคนมั่งมีและไม่ละโมบแบบพวกยากจน

เมื่อเราหันกลับมามองการเมืองในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งของไทยเรานั้นเรียกได้ว่าอยู่นอกเหนือตำราหรือทฤษฎีของอริสโตเติลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เพราะเป็นประสมปนเปกันเกือบทุกระบบดังกล่าวข้างต้น เป็นอย่างละนิดละหน่อย เช่น เป็นระบอบประชาธิปไตย (เสี้ยวเดียว) อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขโดยมีรัฐบาลที่เกิดจากการหนุนหลังของขุนศึกและอำมาตยาเสนาธิปไตย ฯลฯ แต่ที่เป็นมากๆ นอกเหนือจากตำราหรือทฤษฎีที่อริสโตเติลกล่าวถึงก็คือการเมืองในระบอบธนาธิปไตย (plutocracy) ซึ่งหมายถึงการปกครองโดยคนมีเงินหรือวิธีปกครองให้คนมีเงินมีอำนาจ หรือในศัพท์รัฐศาสตร์สมัยใหม่เรียกว่า money politics นั่นเอง

ในยุคปัจจุบันที่เกือบทุกประเทศในโลกตกอยู่ภายใต้กระแสทุนนิยม ทำให้นายทุนเข้ามาผูกขาดอำนาจทางการเมือง เมื่อนายทุนหันมาเล่นการเมืองจึงกลายเป็นว่าอำนาจทางธุรกิจจะผูกยึดตัวอยู่กับโครงสร้างของอำนาจทางการเมือง นักธุรกิจจึงเข้ามากุมชะตากรรมของบ้านเมืองและใช้เงินเป็นปัจจัยในการเข้าสู่อำนาจรัฐ และใช้อำนาจหาเงิน การเมืองไทยจึงเป็นประชาธิปไตยแต่เพียงรูปแบบแต่เนื้อแท้ก็คือ ธนาธิปไตย ซึ่งเป็นการเมืองเพื่ออำนาจ ผลประโยชน์ และอภิสิทธิ์ของกลุ่มคนที่มีอำนาจในทางการเมือง

ธนาธิปไตยส่งผลทำให้เกิดปัญหาใหญ่ทางการเมืองรวม 3 ปัญหา คือ การทุจริตเชิงนโยบาย การทุจริตเลือกตั้ง และการขาดจริยธรรม ธนาธิปไตยทำให้เกิดการคอร์รัปชั่น นักการเมืองส่วนใหญ่จึงร่ำรวยอย่างรวดเร็วและเริ่มยึดติดกับตำแหน่งทางการเมือง มีการใช้เงินในการซื้อเสียงเลือกตั้ง เมื่อชนะการเลือกตั้งแล้วก็ถอนทุนในภายหลัง การเลือกตั้งครั้งต่อๆ มาจึงมีการชื้อขายเสียงที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่ตามมา คือ นักการเมืองที่เข้าสภามาส่วนใหญ่ก็จะเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณภาพและขาดจริยธรรม

วิวัฒนาการของการเมืองไทยเป็นการต่อสู้ของกลุ่มอำนาจสามกลุ่มใหญ่โดยเริ่มจากการเปลี่ยนอำนาจจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) มาสู่ระบอบอำมาตยาธิปไตย (aristocracy) และธนาธิปไตย(plutocracy) ในที่สุด ซึ่งกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองต่างพยายามยื้อยุดอำนาจไว้ให้อยู่กับตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่ก็ทานกระแสทุนนิยมที่เชี่ยวกรากนี้ไม่ไหว ตัวอย่างล่าสุดก็คือผลการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ที่มีการสาดกระสุนสีเทากันปลิวว่อนจนในที่สุดตำแหน่งทั้งนายกเล็ก นายกใหญ่ (อบจ.) ต่างก็ตกอยู่ในอุ้งมือของคนตระกูลเดียวที่มั่งคั่งของเมืองเชียงใหม่

ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาหาวิธีกันอย่างจริงจังที่จะต่อสู้กับระบอบธนาธิปไตยอันเลวร้ายนี้ ลำพังเพียงแค่การแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่นั้นยังไม่เพียงพอต่อการต่อสู้ระบอบธนาธิปไตยนี้ หากเรายังปล่อยปละละเลยอยู่เช่นนี้ เราไม่มีทางได้เห็นนักการเมืองที่มาจากคนชั้นล่างที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม เช่น โอบามาได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งเป็นแน่

การปฏิวัติรัฐประหารหรือการหวังพึ่งระบอบอำมาตยาธิปไตยมิใช่หนทางที่จะทำลายระบอบธนาธิปไตยลงได้เพราะต่างก็มีความเลวร้ายเช่นเดียวกัน เราต้องช่วยกันสร้างจิตสำนึกว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของคนทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน มิใช่ตกอยู่ในมือของเศรษฐีที่มั่งคั่งเท่านั้น เราต้องให้บทเรียนต่อผู้ที่ใช้อำนาจเงินเข้าสู่อำนาจด้วยการออกมาใช้สิทธิใช้เสียงเพื่อให้ระบอบธนาธิปไตยถูกทำลายลง มิใช่เป็นแต่เพียงพลังเงียบที่ไม่มีประโยชน์รังแต่จะเป็นภาระของโลกที่ต้องแบกรับน้ำหนักของคนที่ไร้สำนึกเช่นนี้


หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๒

9 เดือนแห่งความสุข นี่คือรัฐบาลที่เราคัดสรรให้พวกเจ้าแล้ว

ที่มา thaifreenews

โดย สายลมรัก

บอกตรง ๆ ว่าผมรู้สึกปริ่มความสุขจนสำลัก กับรัฐบาลเทพประทาน ที่ได้เข้ามาบริหารประเทศนี้กว่า 9 เดือน

สมกับคำยินดีของผู้หลักบักใหญ่ในบ้านในเมืองนี้ได้กล่าวไว้ว่า “ประเทศไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้คุณอภิสิทธิ เวชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี "

เรา คงเป็นหนี้บุญคุญพวกท่านอย่างไม่รู้ลืม กับการที่ท่านอุตส่าห์สละเวลาเข้ามาปลอบประโลมใจเราด้วยคำพูดหวาน ๆ ดูดี มีชาติตระกูลผ่านโพเดียม ทุกงานไม่ว่าระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ไปยันงานปิดทองฝังลูกนิมิตตามวัด ชนิดที่ว่าหากนายกรัฐมนตรีเห็นโพเดียมพร้อมไมค์ตั้งอยู่หละก็

"จะเกิดอาการตาลอยเดินไปหยิบมาพูดแบบไม่รู้ตัว"

ฉายา "รัฐบาลนกนางแอ่น" ที่สื่อมวลชนบางค่ายสุดจะทนกับการทำงานด้วยปาก สร้างผลงานด้วยน้ำลาย นี้คงไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่เป็นฉายาที่ ประชาชนทั่วประเทศพยักหน้าพร้อมกันอย่างไม่ตั้งใจว่า "เออใช่" อย่างที่มัน (สื่อ) ด่าจริง ๆ

นับแต่วันแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ สมใจนึกบางลำพู ของแม่ยกค่อนประเทศ

วันนี้ พณท่านอภิสิทธิ ได้นำรัฐนาวา แสดงบทบาทให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การทำงานแบบ ”กู้มาแดรกกันแหลกราญ” นั้น เขาทำกันอย่างไร

แค่ เดือนแรกที่เข้ามาเถลิงอำนาจพวกท่านมูมมามกันรับประทานจน รัฐมนตรีท่านหนึ่งต้อง ”เดทห่า”ไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ด้วยโรคปลากระป๋องเป็นพิษ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ต่อจากนั้นภาพยนตร์เรื่องแดรกอย่างเป็นระบบ ภาคสอง ภาคสาม และภาคสี่ ได้ฉายให้ประชาชนคนไทยเห็นมาตลอดกับการทำงานของรัฐบาล

ไม่ ว่าจะจับไปตรงไหน ในโครงการของรัฐบาล ร่องรอยของการทุจริตมันโผล่มาให้เห็นชนิดไม่ต้องไปตามนักสืบเอกชนที่ไหนมา ชี้จุด โครงการชุมชนแพงเพียบก็ดี โครงการเครื่องมือแพทย์พอเพียงก็ดี จนมาถึงกลิ่นตุ ๆ ในกระทรวงศึกษาเรื่องโรงเรียนกว่า 20 แห่งในโคราชขออาคารเรียน แต่อนุมัติห้องประชุมมาให้แทนก็ดี (ฮา)

ที่ สำมะคัญหนะ ยัดห่ากันได้โจ่งแจ้งมาก เสาธงชาติสูง 20 เมตร ราคากลางที่จะจัดซื้อให้โรงพยาบาลราคากลางแมร่งหย่อนห้าแสนบาทไปนิดเดียว แบบนี้มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะพี่ ต้อง"โง่บัดซบอย่างรุนแรงด้วย" ถึงจะซื้อได้

เงินที่กู้มาทำโครงการไทยเข้มแข็ง มันกำลังจะกลายเป็นประชาชนอ่อนแอ (เพราะต้องใช้หนี้กันหัวโตแล้ว)

แต่ที่มันเข้มแข็งหนะพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลนะ

บริโภคกันบริบานสะดือบาย บริบายสะดือด่วน เสมือนเงินทองพิมพ์ออกมาใช้กันได้เอง ทั้งที่กู้เขามาทั้งนั้น

อาทิตย์นี้ของเมิงเอาไปซื้อเรือดำน้ำ หมื่นล้าน ยิ้มกว้างๆ

อาทิตย์หน้าอันนี้ของเมิงเอาไปเช่ารถเมล์ 10 ปี 4 พันคัน ล่อไป 8 หมื่นล้าน ยิงฟันยิ้ม

อันหน้าของพวกตรูนะ อย่าขวาง เห็นอะไรก็ให้เฉย ๆ ไว้ ขยิบตา ขยิบตา

มัน แบ่งเค๊ก กันหน้าตายปล่อยให้ประชาชนนั่งดูกันตาปริบ ๆ ชนิดที่ไม่กลัวโรคเบาหวาน หรือโคเรสเตอรอลในเส้นเลือดสูง กันบ้างเลยนะไอ้แสรด....

ปัญหาสังคมไม่ต้องพูดถึงจะยกพวกฆ่ากันตาย ทั้งประเทศเพราะระบบมาตรฐานของระบบยุติธรรม มันตายห่าไปตั้งแต่มีรัฐประหารแล้ว นาทีนี้ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครเคารพคำตัดสิน ไม่มีใครเชื่อถือใคร มีแต่การชี้หน้ากันว่าเมิงพวกโน้น กูพวกนี้

ยาเสพติด หวยใต้ดิน เจ้าแม่เงินกู้ ผู้มีอิทธิพล กลับมาอยู่คู่เคียงข้างกับสังคมไทยอีกครั้ง เหมือนสิ่งคุ้นเคย

ความ สมานฉันท์ คือการที่รัฐบาลเอาสื่อในมือออกมาด่า ทักษิณ ชินวัตร รายวัน รายชั่วโมง รายนาที รายวินาที ได้แต่เพียงฝ่ายเดียว ถ้าอีกฝ่ายไปออกสื่อไหน ต้องโดนจองล้างจองผลาญ เพราะถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง (ฮา)

สมานฉันท์ บ้านบิดาเมิงสิ ที่ทำกันแบบนี้

วันนี้ เศรษฐกิจยังดิ่งหัวอยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะเงยขึ้น เงินในกระเป๋าลดลง คดีตีชิงวิ่งราวเพิ่มขึ้น ชนิดที่นั่งขี้อยู่ในห้างดี ๆ อาจมีมือดีมาสอยกางเกงไปได้ รวยกระจุก จนกระจายกลับมาให้เห็นอีกครั้ง

9 เดือนผ่านไป ไม่สงสัยตัวเองบ้างหรือว่า ทำไมด่า ตามล่า ตามล้างตามเช็ด มา 9 เดือน แล้วคนไทยยังไม่ลืมทักษิณ ไปส่องดูกระจก ชะโงกดูเงาตัวเองบ้างว่า ทำห่าอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับคนไทยบ้างหรือยัง

ถ้ามีฝีมือ มีกึ๋น มีสมอง มีวิสัยทัศน์ มืออาชีพ

ไม่ต้องส่งตลกคาเฟ่ อย่างไอ้คึก (เทพไท) นังบุญยอด ช่า ช่า ช่า หรือ สาธิต ปิตุเดชะ ออกมาด่าทักษิณรายชั่วโมงหรอก

ทำงานดี เก่ง เป็นมืออาชีพคนเขาก็ลืมทักษิณไปเอง

หึ หึ หึ หึ หึ หึ รัฐบาลเทพประทาน สงสัยจริง ๆ ว่า ตอนประทานมาเทพแมร่งเมาใบกระท่อมหรือเปล่าว๊ะ

แทนที่จะส่งระดับ MD มาช่วยนำพาประเทศ เสือกส่งเด็กส่งเอกสารฝึกงานมาให้

มันถึงได้อิบอ๋ายกันทั่วหน้าอย่างนี้งัย

ตอดนิด - ตอดหน่อย

ที่มา บางกอกทูเดย์

อย่างหนาตราช้าง!!
โทษเป็นผลงาน “บิ๊กแม้ว” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกแล้ว..ตามความ งี่เง่า! งุ่นง่าน! หงุดหงิด! ที่ท่านได้ยกมาอ้าง??ไม่รู้ใครหนอ ไปสาระแน แถกันฉันใด “นายกฯ นกนางแอ่น”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงได้งงก๊ง หลงประเด็นถึงปานนี้ฟาดงวงฟาดงา “หลุดโลก” ไม่เหลือคุณภาพ “แห่งน้ำดี”เมื่อเข้ารกเข้าพง ว่าการทุจริตฉาวไปทั่วทั้งแผ่นดิน กรณีซื้อ “ครุภัณฑ์เครื่องมือการแพทย์” ของ “กระทรวงสาธารณสุข เป็นความบัดซบ ห่วยแตก ของ รัฐบาลเก่า” ที่ตั้ง “ดับเบิลล์โปรเจ็กต์” กันขึ้นมา!!!แท้จริงความริยำตำบอน....มีการเขมือบ มีการขย้อน!...ตอน “มาร์ค” ใหญ่มากกว่า??
✮✮✮✮✮
ยิ่งกว่า “ถั่วงอก”ยามต้อง “น้ำ”!!
แตกตัว “ความชั่ว” พากันผุดหัว ออกมาซ้ำซ้ำ??หรือด้วยความ เป็น “พรรคฝ่ายค้านดักดาน” หิ้วไส้กิ่วมานมนาน อีกทั้งเกรงไม่มี “กระสุนดินดำ” สู้ศึกเลือกตั้ง ที่ทำท่าจะกลับมาใหม่อีกหน“ทุจริต” ถึงได้บานฉ่ำ ตอกย้ำออกมาจาก กระทรวงที่“พรรคประชาธิปัตย์” คอนโทรลทั้ง “นมเด็กบูด-ปลากระป๋องเน่า-เช็คช่วยชาติ 2 พัน- ต้นกล้าอาชีพ-กองทุนหมู่บ้าน-ชุมชนพอเพียง-ไทยเข้มแข็ง” ..และที่สามานย์ที่สุด“ซื้อครุภัณฑ์เครื่องมือการแพทย์” ใช้สำหรับ “ช่วยชีวิตมนุษย์” ท่านตะกละตะกลาม กินกรุบกรับ อย่าง เกรียวกราว จนพาให้ชาติล้มเหลว!!“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”......อย่ามาทำเงอะงะ?...เสียขจัด “เศษสวะ” เสียโดยเร็ว??
✮✮✮✮✮
“ยิงคำพูด” ได้อย่าง“เข้าเป้า”!!!
พฤติการณ์ กึ่งสำเร็จรูป ของ “เดอะลิ้ม” สนธิ ลิ้มทองกุล เขา??จากเกลอเก่า “เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์” เอกยุทธ อัญชัญบุตร ที่ออกมาล่อ ต่อว่า “เดอะลิ้ม” อย่างเมามันส์แรกๆ “เชลียร์” เชียร์กันอย่างสุดๆ ..ถ้าไม่ได้สิ่งต้องประสงค์ก็ด่ากันแหลกลาญ“รัฐบาลทักษิณ” อุ้มยิ่งกว่าไข่ในหิน พอขออะไรไม่ได้ ก็ “แว้งใส่” อย่างจมเขี้ยว..รวมไปถึง “ปฏิวัติ คมช.” ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ได้..ก็หันมาใส่ไฟเต็มคราบ... “รัฐบาลเขายายเที่ยง” พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ขอเป็นวรรคเป็นเวร..พอไม่สมใจนึก..ก็ประกาศเป็นข้าศึก เข้าโจมตี...ตอนนี้ เชลียร์ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แต่ขอแล้วเริ่มจะไม่ได้...จึงเบนเข็มทิศเข้าโจมตี!!“เอกยุทธ” กล้าออกมาแฉ...ถึงพฤติการณ์ธาตุแท้?....ที่แก้ไม่หาย ของ “เดอะลิ้ม” สักที????
✮✮✮✮✮
“ศึกนอกศึกใน”ใส่กันเต็มเกียร์!!
“ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยไม่ยอมอ่อนข้อ และไม่ยอมเคลียร์??กับ “ท่าน นายกฯ นกนางแอ่น” ผู้ใช้น้ำลายเป็นอาวุธ อย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ท่านก็ไม่ยอมถอยยันถ้า “ประมุขทำเนียบไทยคู่ฟ้า” ยังกล้า เสนอ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ”เป็น “ผบ.ตร.” ก็ต้องชนกันหน่อยอีกทั้ง “ศึกในกระทรวง” ระหว่าง “มท.3” ถาวร เสนเนียม แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีเรื่อง “เหยียบตาปลา” กรณีการแต่งตั้ง “รองอธิบดีกรมที่ดิน” ที่ “รัฐมนตรีถาวร” จะตั้งคนในคาถาเป็นให้ได้...แต่ทว่า “ปู่จิ้น”ก็ไม่ยินยอมพร้อมใจ ลูกเดียว!!!“แบ็ก” ของ “ปู่จิ้น” ไม่ธรรมดา....ใครชนกับท่านขึ้นมา?....ดูแล้วชะตามีเสียว??????
✮✮✮✮✮
นึกว่าจะ “ราบรื่น” ยืนบน“ทางเลียบ”!!
ของแท้ของจริง “ท่านสามสี ภูเขาทอง” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ยังมีคนจ้องเหยียบ??นึกว่าเรียบร้อยโรงเรียนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ “ท่านไตรรงค์” จะได้ไปเป็น “ห้องเครื่อง” บัญชาการงาน ในฐานะ “รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ”แต่แล้ว ทำท่าจะไป ไม่ถึงฝั่งฝัน ตามที่หลายคน เขาคิดเมื่อมีการผุดแผนใหม่ ที่จะไปดึง “กูรูมือเศรษฐกิจ” จาก “คนนอก” เข้ามาเสริมทัพ...โดยทั้งนี้ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้เปลี่ยนใจวันละสามเวลาหลังอาหาร ก็เห็นด้วย พร้อมกับเอออวยด้วยอย่างเสร็จสรรพ!!ถ้า “ไตรรงต์” ตกรถไฟ เที่ยวนี้...... “ปอชอปอ” เห็นที?....ต้องมีศึกใหญ่ แน่นอนเลยล่ะครับ?????

การบูร

GT200 คนหรือเครื่องที่ผิดพลาด

ที่มา บางกอกทูเดย์

จีที 200 เป็นเครื่องมือตรวจหาสารวัตถุระเบิดที่ผลิตจากประเทศอังกฤษ โดยใช้หลักการของสนามแม่เหล็กเชื่อมโยงกับสารไดอาร์พาราและสสารที่ต้องการจะตรวจจับ เช่นวัตถุระเบิด ยาเสพติดเมื่อตรวจพบสารวัตถุระเบิดเสาอากาศก็จะชี้ไปยังทิศทางที่ตรวจพบกลายเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบหาสาเหตุให้ชัดเจนอีก 1 เรื่อง...สำหรับเรื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200ที่เกิด “เจ๊ง” ขณะตรวจหาระเบิดกลางเมืองสุไหงโก-ลกนราธิวาส เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านเป็นเหตุให้เกิดระเบิดคาร์บอมบ์...คร่าชีวิตประชาชนไปแล้ว 1 รายเรื่องนี้เองหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างกองทัพภาคที่ 4 โดย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่ต้องรับหน้าที่เคลียร์ ปมปริศนา ว่าเหตุใดเจ้าเครื่อง จีที 200 จึงไม่ทำงานปฏิบัติงานจนพลาดเป้าได้มากมายขนาดนี้!พล.ท.กสิกร คีรีศรี ผู้บัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจทหาร (ผบ.พตท.) กล่าวว่า...เครื่องจีที 200 ที่นำมาใช้ในพื้นที่เป็นเครื่องที่ทำงานขึ้นอยู่กับไฟฟ้าในตัวคนเพราะฉะนั้นมีโอกาสที่ว่า...บางครั้งคนที่ใช้ร่างกายจะอ่อนแอ เมื่อไฟฟ้าในร่างกายน้อยลงทำให้ประสิทธิภาพในการใช้เครื่องน้อยลง ซึ่งได้มีการสั่งการให้ทุกหน่วยจัดเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 2 คน ประจำเครื่องในพื้นที่ภาคใต้ เครื่องจีที 200 ถือเป็นตัวช่วยอีกหนึ่งตัว

ที่สามารถให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น และยังสะดวกในการทำงานกับพื้นที่เสี่ยงภัยเพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ปิดล้อมหรือตรวจค้นแหล่งต้องสงสัย จีที 200 จะสามารถบีบพื้นที่กว้างๆ ให้เหลือ “พื้นที่ต้องสงสัย” ว่า...จะมีวัตถุระเบิดในวงจำกัดได้ ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ประหยัดเวลาและมีความปลอดภัยมากขึ้นปัจจุบันมี เครื่องจีที 200 กระจายอยู่ในพื้นที่ประมาณ48 เครื่อง และจะมีการ “จัดซื้อเพิ่มเติม” อีกตามนโยบายของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)ซึ่งเห็นว่าทุกหน่วยควรจะมีไว้ใช้งานสนนราคาของตัวเครื่องบวกกับการ์ด อยู่ที่ 1.1-1.6ล้านบาท!อย่างไรก็ตาม...แม้เครื่องจีที 200 จะมีประสิทธิภาพสูงลํ้า แต่หากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานไม่ได้ผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดีก็จะไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและร้ายกว่านั้นอาจทำให้เกิดความ “ผิดพลาด”จนส่งผลกระทบต่อ “ผู้บริสุทธิ์” ได้โดยเจ้าหน้าที่ของไทยที่ผ่านการฝึกอบรมกับผู้เชี่ยวชาญจากประเทศอังกฤษมีเพียง “กรมสรรพาวุธทหารบก”เท่านั้นแต่ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอ แต่อยากมีเครื่องจีที 200 ไว้ใช้งานจึงก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด ที่สันนิษฐานว่าอาจมาจากเครื่องที่ไม่พร้อมทำงานและการใช้งานของกำลังที่อาจจะไม่พร้อมสอดคล้องกับ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมซึ่งมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญการใช้เครื่อง จีที 200ให้ข้อมูลว่า...เครื่องมือชนิดนี้จัดเป็น “เครื่องชี้เป้า”ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความแม่นยำสูงมาก

โอกาสที่ตรวจแล้วไม่เจอเป็นไปได้ 2 อย่างเท่านั้นคือ
1.ผู้ใช้มีความเหนื่อยล้า ไม่มีความพร้อมเพียงพอ กับ
2.ใส่การ์ดผิดชนิด

“เรื่องใส่การ์ดผิดชนิดคงเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เพราะระยะหลังมีการฝึกอบรมการใช้งานเครื่องจีที 200 อย่างชัดเจนแล้ว ฉะนั้นสาเหตุของความผิดพลาดน่าจะมาจากตัวผู้ใช้ที่อาจมีความเหนื่อยล้า เนื่องจากจีที 200 ใช้พลังสนามแม่เหล็กจากตัวคนใช้เพื่อค้นหาสนามแม่เหล็กของสสารที่ต้องการตรวจจับ ด้วยเหตุนี้คนใช้งานต้องมีร่างกายพร้อม ถ้าเหนื่อยล้า อดนอน หรือเมื่อคืนไปดื่มเหล้ามาจะใช้ไม่ได้ผลเลย” หมอพรทิพย์ กล่าวเรื่องนี้ทำให้ฝ่ายปกครองอย่าง สมเกียรติ สุวรรณนิมิตร นายอำเภอสุไหงโก-ลก ได้ออกมา ระบุว่า...ประชาชนเป็นหัวใจที่มีส่วนสำคัญในการเฝ้าระวังเหตุไม่สงบขณะที่เครื่องจีที 200 เป็นหัวใจด้านเทคนิคเครื่องมือในการตรวจตราการทำงาน ทั้งสองสิ่งนี้ต้องสอดรับกันอย่างมีระบบเพื่อให้มีประสิทธิภาพขึ้น ขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพของเครื่องมือด้วยขณะที่แหล่งข่าวจาก พตท.ที่ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงความบกพร่องของเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่ อ.สุไหงโก-ลกเผยว่าผลสอบเบื้องต้นออกมาแล้วว่า ความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากตัวเครื่อง“เครื่องมือไม่ได้เสียแน่นอน เพราะก่อนออกปฏิบัติการก็ยังทดลองใช้อยู่ พบว่าใช้ได้ และหลังจากเกิดเหตุระเบิดไปแล้ว ได้นำเครื่องเดียวกันมาทดลองใช้อีกครั้ง ปรากฏว่าเครื่องมือทำงาน ฉะนั้นความผิดพลาดน่าจะเกิดจากตัวผู้ใช้ แต่ก็อยากให้สังคมเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด” แหล่งข่าว กล่าวแม้ผลตรวจสอบอย่างเป็นทางการจะออกมาเช่นใดทั้งผิดที่เครื่อง หรือผิดที่คน ล้วนแต่เป็นความผิดพลาดที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นทั้งสิ้นบทเรียนราคาแพงครั้งนี้คงจะทำให้กองทัพนำมาปรับปรุงการทำงานให้ดีต่อไป! 

ทำไมมองข้ามร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมของ คปพร.

ที่มา บางกอกทูเดย์

แม้ว่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายจะชิงชังรังเกียจรัฐธรรมนูญฉบับ คปค.หรือ ฉบับ คมช.ที่รู้จักกันทั่วไปว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ก็ตาม แต่ก็ยังให้ความเคารพและปฏิบัติตามครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ โดยเฉพาะมาตรา 291 ที่กำหนดวิธีที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเอาไว้ซึ่งสามารถที่จะทำได้สามหนทางด้วยกันคือ หนทางแรกโดยคณะรัฐมนตรี หนทางที่สองโดย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ส.บวก ส.ว.) มีจำนวนไม่ตํ่ากว่าหนึ่งในห้าของแต่ละส่วน เช่น ส.ส.จำนวน 96 ท่านขึ้นไป หรือส.ส.บวก ส.ว.จำนวน 126ท่านขึ้นไป และหนทางที่สาม ก็คือประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจำนวนห้าหมื่นชื่อขึ้นไปหลังจากที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคลื่อนไหวสร้างความรุนแรงขึ้นในบ้านเมืองตลอดช่วงปี 2551 ทำให้รัฐบาลสมัคร และส.ส.บวก ส.ว.ที่แสดงเจตจำนงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอำมาตยาธิปไตยฉบับ 2550ต้องถอยหลังกรูดต่อแรงกดดันอนาธิปไตยของพวกพันธมิตรฯองค์กรผู้รักประชาธิปไตยที่มาจากวงการต่างๆ จำนวนหนึ่งจึงได้ก่อตั้งคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550ขึ้นมา และได้ดำเนินการพบปะประชาชนทั่วทุกภาคของประเทศขอความคิดเห็นและรวบรวมรายชื่อเพื่อมาดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา291 ดังกล่าวในที่สุดก็ได้รับความร่วมมือกับประชาชนทุกภาคของประเทศรวบรวมรายชื่อมาได้กว่าสองแสนรายชื่อ ภายหลังจากที่ได้นำไปยื่นต่อประธานรัฐสภาแล้ว หน่วยงานเลขาธิการของสภาผู้แทนราษฎรได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของเอกสารที่ได้มาพบว่าครบถ้วนตามกฎหมายจำนวนกว่าเจ็ดหมื่นชื่อขึ้นไป ซึ่งก็มากเกินกว่าที่มาตรา 291 ได้กำหนดไว้จึงเป็นอันว่า ประธานรัฐสภาได้นำเอาญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ2550 ของ คปพร.บรรจุไว้เป็นวาระที่หนึ่งตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2551

เป็นต้นมาแต่ก็ปรากฏว่า ให้มีอันต้องมีญัตติรีบด่วนอื่นๆ มาชิงแทรกเบียดญัตติแรกให้ร่นถอยเป็นวาระถัดไปอยู่เรื่อยมา แม้แต่ภายหลังเหตุการณ์เมษาเลือด สงกรานต์เลือดแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรเร่งด่วนสำคัญพอที่จะแทรกเบียดให้ญัตติแรกร่นถอยไปได้อีก ก็น่าจะได้รับการพิจารณาจากที่ประชุมร่วมของสองสภาเสียทีแต่ก็มีอันจนได้ เพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ใช้ความเหนือชั้นทางการเมือง ตั้งกรรมการขึ้นมาสองชุด จนที่สุดก็ได้ข้อสรุปจากคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในหกประเด็นแต่กว่าที่รัฐบาลประชาธิปัตย์จะยอมนำเอาหกประเด็นของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ มาพิจารณาอย่างจริงจังก็ต้องมีการกดดันทางการเมืองจากหลายฝ่าย จึงมาสู่ข้อสรุปเบื้องต้นที่ให้กรรมการสมานฉันท์ฯไปยกร่างหกประเด็นดังกล่าวมา แต่ก็ยังมีลูกเล่นพราวต่อไปอีกไม่ว่าเรื่องจะต้องทำเป็นร่างเดียวหรือหกร่าง จะต้องทำประชามติหรือไม่ รวมทั้งพยายามจะให้ตั้ง สสร.3และตั้งกรรมการอิสระไปศึกษาอีกคงเห็นชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ชุดนี้ไม่ได้มีความตั้งใจจริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550 ให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย เพราะข้อเสนอหกข้อของกรรมการสมานฉันท์ฯ มีอยู่อย่างครบถ้วนในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของคปพร.ที่นอนรอในวาระแรกตั้งแต่เดือนตุลาคม2551 ที่ผ่านมาแล้ว หากท่านทั้งหลายจริงใจก็เพียงแต่รับรองให้พิจารณาร่าง คปพร.ในการประชุมร่วมสองสภาที่เกิดขึ้นในครั้งต่อไปทุกอย่างก็เดินหน้าไปได้ในทันทีซึ่งท่านก็อาจจะโหวตให้ควํ่าไปก็ได้หากท่านมีเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายให้ประชาชนจำนวนไม่ตํ่าสองแสนคนที่ลงรายชื่อมายอมรับได้หรือหากท่านรับรอง ท่านก็ยังอาจจะแก้ไขเพิ่มเติมได้อีกในวาระที่สองวาระที่สามท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ท่านมองข้ามร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของคปพร.ไปได้อย่างไรครับ 

น.พ.เหวง โตจิราการ

วาจา

ที่มา บางกอกทูเดย์

ในระบอบประชาธิปไตยนั้น...วาจาถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่จะนำมนุษย์ขึ้นมาสู่อำนาจ..ไม่ว่า..อับบราฮัมลิงคอนล์...จอห์นเอฟ เคเนดี้..บิล คลินตัน..หรือ โอบามาชวน หลีกภัย หรือ ทักษิณ ชินวัตรเพราะ..ประชาธิปไตย คือการพูดให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า...ผู้พูดจะทำให้ผู้ฟัง มีความสุขและสมหวังในสิ่งที่ยังขาดแคลนและเป็นความเดือดร้อนวาจาจึงมีความสำคัญยิ่งนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ผู้ทำหน้าที่สรุปการอภิปรายไม่ว่าจะโต้ตอบกับพรรคฝ่ายค้านหรือเป็นฝ่ายค้านนับได้ว่าเป็นผู้มีวาจาเป็นเอกผู้หนึ่งภาษาที่สะสวย..เสียงที่ชัดเจนต่อเนื่องและฟังได้ง่าย...การลำเลียงข้อความที่ไหลลื่นจากต้นจนจบ..เขาจึงเป็นกระบี่อันดับ 1 ของพรรคที่มากมายไปด้วยขุนพลนักพูดอย่างพรรคประชาธิปัตย์วาจาทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...เดินข้ามผู้อาวุโสของพรรค คนแล้วคนเล่าจนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค..และจากหัวหน้าพรรค สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..แห่ง ประเทศไทยเหมือนเดินขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของยอดเขา...สิ่งที่เหลืออยู่ข้างหน้าคือทางลง...แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่...ผู้สามารถจำนวนมาก..ใช้เวลาอยู่บนนั้นได้เท่าที่เขาต้องการหรือ กฎหมายอนุญาติ...เพียงเพราะคนยังเชื่อในสิ่งที่เขาพูดและได้รับในสิ่งที่เขาทำแต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...คนที่น่าจะใช่...กลับไม่ใช่..เขาทำตัวเขาซึ่งไม่มีปัญหา..เข้ามาเดือดร้อนอย่างยิ่ง เขาสร้างปัญหาขึ้นมาและหาทางออกไม่ได้..แทนที่จะบอกกล่าวความจริงกับประชาชน...เขาทำตรงกันข้าม..เขาพูดในสิ่งที่ประชาชนและคนที่เกี่ยวข้องทั้งหลายรู้ว่าเขาโกหกเขาพูดแทน..พล.ต.อ. พัชรวาท..วงษ์สุวรรณ..ในสิ่งที่คนที่ถูกพูดถึงจะต้องปฏิเสธ...เขาพูดแม้แต่ในเรื่องที่เขาเองก็รู้ว่าไม่จริง..อย่างเรื่องใบลาออกของ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ไม่มีอะไรจะทำร้ายทำลายนักการเมืองหรือผู้นำประชาชนได้แน่นอนเท่ากับ...การพูดเท็จ...เมื่อพล.ต.จำลอง ศรีเมือง..ผู้ซึ่งประกาศว่า..จะอดข้าวจนตาย..หันกลับไปกินอาหาร...อวสานของท่านก็มาถึงเรื่องง่ายๆ อย่างการแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ..ท่านยังไม่สามารถ....แล้วปัญหาของชาติท่านจะเอาปัญญามาจากไหน..รักพรรค รักชาติ รักประชาชน..ลาออกไปเถอะครับ