เสื้อแดงเตรียมเรดมาร์ช การต่อสู้ข้ามผ่านทักษิณ
"พัลลภ"ซัด รบ.กุข่าวสังหารนายกฯ หวังปลุกกระแสป้ายสีฝ่ายตรงข้าม ตร.ได้ภาพยิงเอ็ม 79 "ร.1พัน1รอ." แล้ว
"ทักษิณ"ท้านายกฯ ฟ้องคลิปเสียง พร้อมพิสูจน์ความจริง ซัดกก.สิทธิฯ "องค์กรฝักถั่ว"
สภาป่วน-ปิดฉากทางออกวิกฤต?
วัดใจทหาร
จอมชะเลียร์มาแล้ว
เรื่องเล่าจากบันนังสตา
แดงดีเดย์ พรุ่งนี้เคลื่อนขบวนทั่วกรุง
สนุกกับหนังม้วนเก่า
มาร์คทิ้งโอกาส
"หมอเหวง"คุยคาราวานดาวกระจายต้านรบ.ยาวที่สุดในโลก
ทักษิณ - อภิสิทธิ์
1 สัปดาห์‘คนเสื้อแดง’ ขับไล่อำมาตย์!
พระสงฆ์จากบุรีรัมย์ขึ้นเวที"เสื้อแดง"ขับไล่รัฐบาล
ต้นไม้ของพระภูมิ
แม้วยื่นอุทธรณ์ คดียึดทรัพย์ เร็วสุด22มี.ค.
"แม้ว"ลั้นลา โชว์รูปควง 2ลูกสาว-ลูกชาย ชมธุรกิจโรงแรมหรู ริมทะเลสวย ที่มอนเตเนโกร
เพื่อไทย
Friday, March 19, 2010
วันพฤหัสบดีที่ 18 และศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2553
แฉแพทย์พันธมิตรกรี๊ดลั่นก่อนตามบี้ลูกหมอเหวง วอนสอบทหารติดเครื่องหมายกาชาดยิงประชาชนมั่ง
ที่มา Thai E-News
แพทย์จุฬางานเข้า-(ภาพบน)นิสิตแพทย์จุฬาฯ น.ศพ.สลักธรรม โตจิราการ พาทีมแพทย์เจาะเลือดคนเสื้อแดงอย่างถูกหลักวิชาเพื่อประท้วงรัฐบาลโดยสันติ ถูกผู้อ้างเป็นศิษย์เก่าแพทย์จุฬายื่นเรื่องแพทยสภาไม่ให้ออกใบประกอบวิชาชีพแพทย์ให้ อ้างนำเครื่องหมายกาชาดไปใช้ในทางผิด (ภาพล่าง)กองกำลังทหารติดเครื่องหมายกาชาดบนไหล่ถือปืนออกยิงประชาชนเมื่อเมษาเลือดปีกลาย หลายฝ่ายวอนศิษย์เก่าแพทย์จุฬาให้รีบๆประท้วง เพราะผ่านมาเป็นปีแล้ว
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
19 มีนาคม 2553
*วีระประณามผู้อ้างเป็นศิษย์เก่าแพทย์จุฬ่ารังแกนักศึกษาแพทย์ลูกหมอเหวงช่วยเสื้อแดงเจาะเลือด
นายวีระ มุสิกพงษ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงเมื่อดึกคืนวานนี้ว่า ขอประณามการกระทำของผู้อ้างว่าเป็นศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯที่ออกมาระบุว่า ได้ร้องเรียนให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบกรณีนายสลักธรรม โตจิราการ บุตรชายของ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.ที่แต่งชุดมีเครื่องหมายของสภากาชาดไทย เจาะเลือดให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง เนื่องจากไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีวุฒิภาวะพอ ไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ไม่มีความคิด ไม่สมควรที่จะให้ประชาชนเคารพนับถือ
นายวีระ กล่าวว่านายสลักธรรม ตอนนี้เป็นนิสิตแพทย์ปี 6 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นบุตรชายของ น.พ.เหวง มาดูแลขั้นตอนการดำเนินการเจาะเลือดเพื่อให้ถูกต้องตามวิธีการและขั้นตอนสากลเพื่อให้เกิดความปลอดภัย กำลังจะถูกกลั่นแกล้งโดยกลุ่มแพทย์สายอำมาตย์และเตรียมชงเรื่องให้แพทยสภา เป็นการกลั่นแกล้ง ทั้งๆที่ความจริงไม่ได้กระทำความผิดใดๆ ทุกคนล้วนสมัครใจ และเป็นสิทธิส่วนบุคคล ประชาชนทุกคนเซ็นยินยอมก่อนเจาะเลือดทุกราย
เผย"หมอพีร์"สายพันธมิตร-อำมาตย์เป็นตัวตั้งตัวตี ส่งเสียง"กรี๊ด!"ก่อนเล่นงานลุกหมอเหวง
มีรายงานว่าแกนนำแพทย์จุฬ่าที่ดำเนินการเรื่องนี้ชื่อนายแพทย์พีร์ เหมะรัชตะ ซึ่งเวบไซต์ASTVผู้จัดการเคยนำมาลงยกย่องในฐานะบัณฑิตแพทย์ดีเด่นมูลนิธิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรฯ ตอนนี้เป็นอาจารย์คณะแพทย์จุฬาฯ โดยหมอพีร์เป็นผู้ที่สนับสนุนพันธมิตรฯอย่างเปิดเผย
มีผู้เขียนเล่าในเวบบอร์ดคนเหมือนกันว่า
เรื่องมีอยู่ว่าใน facebook ของหมอเสื้อเหลืองคนนึง ได้เขียนโน้ตเอาไว้ เพื่อทำการเรียกร้องให้คณะแพทย์จุฬาฯ ลงโทษ จนถึงขั้นไม่ให้ออกใบประกอบวิชาชีพ ให้กับลูกชาย ของหมอเหวง ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในปีที่หก (ปีสุดท้าย) ของคณะแพทย์จุฬาฯ เพราะกล่าวหาว่า เขาใส่เสื้อของจุฬาฯ (เสื้อตราสภากาชาด) ออกไป ช่วยเจาะเลือดให้กับเสื้อแดง เป็นการทำให้สังคมเข้าใจคณะแพทย์ จุฬาฯ ผิด ๆ และเป็นการผิดจริยธรรม ฯลฯ ใน facebook ก็มีพวกหมอเสื้อเหลืองออกมาแสดงความเห็นด่าทอ ตำหนิ นายสลักธรรม กันอย่างมากมาย ที่น่าเกลียดคือ หมอคนนี้ (ชื่อว่า นพ.พีร์ เหมะรัชตะ) เขาเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ ได้ทุน"อานันทมหิดล" ไปเรียนต่อที่อเมริกา เขาก็ได้พยายามจะดำเนินเรื่องให้เร็ว เพื่อที่จะเข้าไปสู่ที่ประชุมของอาจารย์จุฬาฯ ได้ทันเวลา เรียกว่าเป็นการใช้ความเป็นอาจารย์ (รุ่นเด็ก) ในการทำลายนิสิตแพทย์ เนื่องด้วยความไม่พอใจเป็นการส่วนตัวในบทบาททางการเมืองของเขา ที่ตลกคือหมอคนนี้เป็นพวกบ้าพันธมิตรเกลียดทักษิณ เหมือนกับหมอจาก ร.พ.จุฬาฯ หลาย ๆ คน
เท่าที่อ่านจากใน comment ก็มีคนบอกว่า เขาได้ไปแจ้งอาจารย์แล้ว แต่อาจารย์ที่ปรึกษา กลับบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของ นิสิตแพทย์สลักธรรม ทำให้พวกแพทย์เสื้อเหลืองไม่ค่อยจะพอใจ เลยพยายามรวบรวมรายชื่อ มีการประกาศไปยังสมาคมศิษย์เก่า ฯลฯ เพื่อจะเอาผิดกับ นศพ.สลักธรรมผู้นี้ให้ได้
ทั้งนี้มีผู้นำหลักฐานไปลงในเวบบอร์ดชุมชนคนเหมือนกัน(ดังภาพข้างบน)ว่าก่อนนายแพทย์พีร์ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีคราวนี้มีเพื่อนของหมอพีร์ที่เป็นพันธมิตรหัวรุนแรงนำเรื่องนี้ไปลงเฟสบุ๊ค แล้วหมอพีร์เข้ามาเขียนแสดงความเห็นว่า"กรี๊ดๆๆๆจริงเหรอเนี่ย น้องคณะฉานนนน ตัดขาดกันไปเลยดีไหมเนี่ย" จากนั้นก็มาออกหนังสือเคลื่อนไหวโดยน.พ.พีร์ ไปนั่งร่าง จม. เพื่อจะเอาไว้โจมตีลูกชายของหมอเหวง ทั้งในฐานะที่เป็นอาจารย์คณะแพทย์จุฬาฯ ที่มีคอนเน็คชั่น สามารถยื่นเรื่องได้ และในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์พันธมิตรชาตินิยม
สำหรับหนังสือที่ลงชื่อกันมีรายละเอียดดังต่อไปนี้เรียน คณะผู้บริหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ
เนื่องด้วยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อต่างๆ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต ได้เผยแพร่ข่าวนำเสนอว่า นายสลักธรรม โตจิราการ นิสิตปีหก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ไปตั้งตนเป็นแกนนำ ดำเนินการอำนวยความสะดวกในการเจาะโลหิตให้ผู้ประท้วงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งสื่อได้นำเสนอภาพของนายสลักธรรม สวมเสื้อกาวน์สั้น มีเครื่องหมายกาชาดและชื่อโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่อกเสื้ออย่างชัดเจนมือข้างหนึ่งถือแกลลอนพลาสติกบรรจุโลหิตของผู้ประท้วง
ภาพของนายสลักธรรมในเครื่องแบบของสภากาชาดไทย พร้อมทั้งเนื้อข่าวที่ระบุชัดเจนว่านายสลักธรรม เป็นนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางในทุกสื่อ และนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ว่าแท้จริงแล้ว คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีความเห็นชอบและสนับสนุนการเรียกร้องในลักษณะดังกล่าวของกลุ่ม นปช. หรือไม่ ทั้งนี้หากติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่า ก่อนหน้านี้ สถาบันการศึกษาที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์หลายสถาบัน ได้ออกมาแสดงจุดยืนว่าไม่สนับสนุนแผนการเรียกร้องในลักษณะดังกล่าวของกลุ่ม นปช. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนตามหลักจริยธรรมการแพทย์แล้ว การนำโลหิตของบุคคลใดออกจากร่างกาย เพื่อจุดประสงค์อื่นใดนอกเหนือจากเพื่อการวินิจฉัย รักษาพยาบาล หรือบริจาคให้ผู้ป่วยรายอื่นๆ นับเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ โลหิตยังจัดเป็นสิ่งมีค่ายิ่งสำหรับผู้ป่วยและแพทย์ที่ต้องให้การรักษา การนำโลหิตมาเททิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันอันมุ่งหมายที่จะผลิตแพทย์ที่มีความรู้คู่คุณธรรม ใฝ่รู้และมีเจตคติในการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ตามพันธกิจของคณะ รวมไปถึงสภากาชาดไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่บริหารจัดการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ย่อมต้องมีความเข้าใจในข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างดี
แต่จากเหตุการณ์ข้างต้น จะเห็นได้ว่า นายสลักธรรม ซึ่งเป็นนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลับแสดงพฤติกรรมที่สวนทางกับหลักกาชาดสากล และยังนำเอาสัญลักษณ์ของสภากาชาดไทย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ติดตัวออกไปนำเสนอต่อสื่อด้วย ซึ่งจัดเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และสร้างความเสียหายให้แก่ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นอย่างยิ่ง หากทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่กระทำการใดๆ เพื่อชี้แจงต่อสังคม ว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่ได้รับการสนับสนุนจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างถาวรต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กรต่อเนื่องไปได้
จากเหตุผลเหล่านี้ กลุ่มศิษย์เก่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเรียกร้องให้คณะผู้บริหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ นำตัวนายสลักธรรม โตจิราการ มาชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมรับการตักเตือนตามสมควร ต่อหน้าสื่อมวลชน และสมควรพิจารณาส่งเรื่องให้แพทยสภาเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมถึงความเหมาะสมในการรับใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่สนับสนุนการกระทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งเกียรติของพระนามจุฬาลงกรณ์ ตลอดจนชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมไปถึงศักดิ์ศรีความบริสุทธิ์ของวิชาชิพแพทย์อีกด้วย
จึงเรียนมาเพื่อทราบและโปรดพิจารณา
วอนเสื้อแดงอย่าเหมารวมเพราะจุฬาแดงก็มาก
จุฬาฯก็เสื้อแดง-จากกรณีดังกล่าว มีเสียงวิจารณ์เชิงเหมารวมว่าแพทย์จุฬาฯผิดจรรยาบรรณ โดยยกกรณีที่มีแพทย์จุฬ่าฯขึ้นป้ายไม่รับรักษาตำรวจ ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯปิดล้อมสภาเมื่อ7ตุลาคม2551 ทำให้คนเสื้อแดงมีอคติต่อจุฬาฯ
อย่างไรก็ตามชาวจุฬาฯจำนวนมากก็ยืนอยู่ฝ่ายประชาชน ทั้งนี้แพทย์ศิษย์เก่าจุฬาฯรายหนึ่งเขียนข้อความในกระทู้ที่เวบบอร์ดคนเหมือนกันว่าอาจารย์หมอบางคนมันก็เหี้ยได้ใจจริงๆหนะแหละ ผมก็จบแพทย์จุฬาฯรุ่น 53 ใครเข้าไปเรียนจะรู้ว่าที่นี่มันวัฒนธรรมศักดินาใช้ได้เลย
ยังไงๆก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องจบมาให้ได้ก่อนนะ มีรุ่นพี่แพทย์จุฬาฯเสื้อแดงเยอะแยะ เดี๋ยวแนะนำให้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่ทำงาน
เหตุผล7ประการ ทำไมคนกรุงเทพฯต้องร่วมขบวนคนเสื้อแดงเสาร์20มีนาคมเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ ?
ที่มา Thai E-Newsคนกรุงหนุนเสื้อแดงสู้-บรรยากาศคนกรุงเทพฯในย่านธุรกิจสุขุมวิท และเพลินจิตให้การต้อนรับและให้กำลังใจขบวนคนเสื้อแดงอย่างท่วมท้น ในวันเสาร์ที่ 20 มีนาคมนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะจัดขบวนเดินทางขอบคุณรอบกรุงและเชิญชวนชาวกรุงเทพฯร่วมขบวนเรียกร้องอภิสิทธิ์ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
โดย แนวร่วมคนเสื้อแดง
19 มีนาคม 2553
คนกรุงเทพฯ คนในเมือง คนชั้นกลาง ผู้รักความเป็นธรรม และรักประชาธิปไตย ทั้งหลาย ควรสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง เพื่อสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์
เพราะว่า
1.การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อรักษาระบบประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพหลักการและกติกาประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันของพลเมือง สะท้อนผ่านสิทธิในการออกหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเพื่อทำหน้าที่ในรัฐสภา มีวาระการเลือกตั้งผู้บริหารประเทศที่แน่นอน ภายใต้ระบบประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจรัฐ และร่วมกันพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทยให้ก้าวหน้าสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
2.รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้มาจากชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่เป็นพรรคการเมืองเสียงข้างน้อย แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์จะอ้างว่าเป็นรัฐบาลผสมของพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา แต่การเปลี่ยนขั้วกลับข้างของพรรคการเมืองเดิมที่เคยร่วมกับพรรคเพื่อไทย มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์เกิดจากการหนุนหลังของเหล่าอำมาตย์และกองทัพ การจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์จึงขัดกับเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่ผู้ออกเสียงเลือกตั้ง และสวนทางกับหลักประชาธิปไตยที่ให้รัฐบาลมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน การใช้อำนาจนอกระบบรัฐสภาเพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนขั้วย้ายข้างมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นการทำลายหลักการประชาธิปไตย และทำให้รัฐบาลอภิสิทธ์ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนจำนวนมาก
3. การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงได้เรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ข้อเรียกร้องนี้จึงแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของการต่อต้านการรัฐประหารอย่างสันติวิธี กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 มาจาการผลักดันของคณะรัฐประหารที่นิยมอำนาจแบบเผด็จการ ไม่ได้มาจากการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ให้อำนาจกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ เป็นกลุ่มคนในเครือข่ายของคณะรัฐประหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตยาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ 50 ได้ทำให้ระบบรัฐสภาล้าหลัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ประชาชนเลือกตั้งไม่มีความหมายแต่อย่างใด เพื่อให้การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นรัฐประหารครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และเพื่อให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยยุติการครอบงำการเมืองไทย
4. ระบบรัฐสภา ปัจจุบันถึงเวลาต้องปฎิรูปกันใหม่ ดังจะเห็นได้ว่า สภาล่มในหลายๆ ครั้ง เนื่องจากมีอำนาจนอกระบบรัฐสภาเข้าแทรกแซงนักการเมือง นักการเมืองบางส่วนบางพรรค มักการเล่นเกมชิงไหวชิงพริบทางการเมือง มากกว่าคิดถึงการแก้ไขปัญหาของประชาชน อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาทางการเมืองต้องแก้ด้วยระบบรัฐสภา ไม่ใช่แก้โดยการใช้อำนาจที่มาจากนอกระบบรัฐสภา
5.การบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก่อให้เกิดการคอรัปชั่น และใช้งบประมาณไม่เหมาะสม เช่น โครงการจัดซื้ออุปกรณ์ทางแพทย์ จนทำให้ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี การจัดซื้อ GT 200 ของกองทัพ ที่มีราคาแพงและไร้ประสิทธิภาพ
6. ทางออกต่อวิกฤตความขัดแย้งในสังคมการเมืองปัจจุบัน ต้องมีการขจัดเงื่อนไขต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เรื่องปัญหาความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม เรื่องปัญหาสองมาตรฐานในการใช้กฎหมาย การยุบสภาเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนในการตัดสินใจแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าว นับเป็นทางออกภายใต้ระบบ การยุบสภา เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปิดโอกาสไม่ให้มีการใช้อำนาจนอกระบบเข้ามาแก้ไขปัญหาทางการเมือง ปิดโอกาสไม่ให้มีการรัฐประหารซ้ำ ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งบานปลายมากขึ้น
7 และท่ามกลางการขับเคลื่อนในประเด็น แก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ 50 จะแก้ทั้งฉบับหรือบางมาตรา ที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคแต่ละส่วนมีข้อเสนอแตกต่างขัดแย้งกันอยู่นั้น ก็ควรให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเข้ามีส่วนร่วมตัดสินใจ โดยการผลักดัน ให้พรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงสถานการณ์การเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังมีการยุบสภานั้น ควรชูธงแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 หรือไม่ ? ว่าจะแก้ไม่แก้ไขอย่างไร ? มีกระบวนการมีส่วนร่วมเหมือนรัฐธรรมนูญปี40 ไหม? เพื่อเป็นนโยบายหาเสียงที่สำคัญเพื่อให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยพิจารณาเลือก และให้ประชาชนทุกคน ทุกฝ่ายการเมือง ต้องยอมรับผลการเลือกตั้งที่ยุติธรรม เพื่อยอมรับกติกาประชาธิปไตยในสังคมไทย
ดังนั้น ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงแสดงพลังประชาธิปไตยรอบกรุงเทพฯ วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม นี้ คนกรุงเทพฯ ควรออกมาร่วมชุมนุมแสดงพลัง หนุนช่วยด้านต่างๆ กับคนเสื้อแดง เพื่อเป็นพลังประชาธิปไตย โค่นอำมาตยาธิปไตย สร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์
เพื่อไม่ปล่อยให้รัฐบาลอภิสิทธิ์เมินเฉย และอ้างว่าคนเสื้อแดง เป็นเพียงคนส่วนน้อยในสังคมไทย
ทักษิณทวิตอ้างอยู่ดูไบ
ที่มา thaifreenews
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทวิตเตอร์ในช่วงเช้าที่ผ่านมา อ้างอยู่ดูไบ ส่งความปรารถนาดี หวังว่าประชาธิปไตยและความยุติธรรมจะคืนสู่สังคมไทย
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20100319/105895
ที่นี่
http://twitter.com/Thaksinlive/statuses/10706165437
มีแม่สื่อแบบนี้เรื่องก็ไม่จบ !!!
ที่มา thaifreenews
แถลงการณ์ว่า ประธาน( กสม.) และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
จะมาเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างมาร์ค กับ นปช.
และก็เห็นผู้หญิงผมขาวๆ นั่งข้างๆ มาร์ค ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอคือใคร ปัดโธ่เอ๋ย ที่แท้ก็คือ ศ.ดร.อมรา พงศาพิฃญ์
อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ทีีอดีตก็เคยเป็นตัวตั้งตัวตี ล่ารายชื่อ อาจารย์ นักศิกษามหาลัยจุฬา
เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ข้ิิอหาขาดความชอบธรรมและจริยธรรมของผู้นำ อันเนื่องมาจากวิกฤตหุ้นชิน
ภาพอดีตวันที่ 2 กุมภา 2549 ตั้งโต๊ะแถลงการล่ารายชื่อไล่ทักษิณ
เห็นข้อเท็จจริงอย่างนี้แล้วจะมาบอกสังคมว่าเป็นแม่สื่อคนกลาง
เจราจาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมได้อย่างไร
งานนี้ขอตั้งข้อสังเกตุว่าสงกะสัย กสม.คณะนี้คงจะมาเป็นที่ปรึกษาว่า มาร์คว่ามีวิธีการอย่างไรที่่
จะสลายการชุมนุมได้โดยไม่ให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
‘สันติอาสาสักขีพยาน’ฉันมา ฉันเห็น
ที่มา Thai E-Newsการได้เห็นความตั้งใจของคนกลุ่มหนึ่ง ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ และเกิดความเข้าใจมากขึ้น หรือช่วงหนึ่งเกิดความรู้สึกร่วมว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน ในฐานะเป็นคนบ้านนอกเหมือนกัน และเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศไทย จึงมองว่า หากรัฐบาลไม่ยอมรับฟังหรือจัดการกับกลุ่มเหล่านี้ มันอาจจะมีความรุนแรงเหมือนพื้นที่ภาคใต้ก็เป็นได้
โดย รอฮานี จือนารา
ที่มา ประชาไท
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:
-หน.โครงการสันติอาสาสักขีพยาน ระบุ 7 วันไร้ความรุนแรง
-รู้จักโครงการสันติอาสาสักขีพยาน ซึ่งเยาวชนจาก3จังหวัดชายแดนใต้ทำหน้าที่เป็นพยานข้อเท็จจริงจากที่ชุมนุมเสื้อแดง“เรามาเพื่อแสดงพลังอำนาจของประชาชน”
ผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงคนหนึ่ง เปรยกับเพื่อนที่นั่งอยู่บนฟุตบาทบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลังจากได้เดินขบวน ขณะที่หัวขบวนกำลังบุกล้อมกรมทหารราบที่ 11 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2553
วันแรก (วันที่ 14 มีนาคม 2553) รู้สึกหวั่น ๆ และหวาดกลัวเมื่อหัวหน้าโครงการ ‘นารี เจริญผลพิริยะ’ เสนอในที่ประชุมในห้อง “peace room” ว่า สันติอาสาสักขีพยาน จะเข้าไปสังเกตการณ์ แต่คิดกันว่า หากเราคนนอกพื้นที่จะเข้าไปในพื้นที่ของการชุมนุม คงต้องอาศัยคนในพื้นที่ที่ผู้ชุมนุมไม่สงสัย เช่นเดียวกับ การทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากคนนอกพื้นที่ ต่างศาสนา ต่างพื้นที่ จะเข้าไปเยี่ยม หรือสังเกตการณ์ในพื้นที่เสี่ยง ก็คงต้องการคนในพื้นที่ที่ได้รับความไว้วางใจระดับหนึ่ง หรือสามารถสื่อสารกับชาวบ้าน อีกทั้งเส้นทางก็เป็นสิ่งจำเป็น หากไม่อย่างนั้น อาจเป็นที่ต้องสงสัยของเจ้าหน้าที่ หรือชาวบ้านได้
อีกครั้งที่ได้เรียนรู้ว่า ความกลัว ความหวาดระแวง ที่ประสบนั้น หากจะให้เลือนหายไปได้ ก็คือ การได้สัมผัสกับความจริง เพราะเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรานั้น คงไม่เกินความสามารถของเรา ดั่งอัลกุรอานบทหนึ่ง ความว่า “อัลลอฮ์จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใด นอกจากตามความสามารถของชีวิตนั้นเท่านั้น (อัลลอฮ์ได้ทรงใช้ให้แต่ละคนปฏิบัติเท่าที่เขามีความสามารถเท่านั้น) อัลบากอเราะห์ อายะห์ ที่ 286
เป็นเวลา 3 วัน ที่คณะสันติอาสาสักขีพยานจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ไปสังเกตการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่บริเวณถนนราชดำเนิน สะพานผ่านฟ้า และวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสังเกตการณ์ ความกลัวที่บดบังเริ่มเลือนหายไป เมื่อได้เผชิญหน้ากับกลุ่มพี่ๆ เสื้อแดง แม้ว่าไม่ได้พูดคุยอะไรมากมาย แต่การได้เห็นความตั้งใจของคนกลุ่มหนึ่ง ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ และเกิดความเข้าใจมากขึ้น หรือช่วงหนึ่งเกิดความรู้สึกร่วมว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน
การรู้สึก ความเป็นกลุ่มเดียวกันนั้น คือ การแหกกฎ ทฤษฎีของการเป็นคนกลาง ซึ่งความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อออกจากที่ชุมนุม เห็นปฏิกิริยาของคนนอก อย่างเช่น คุณลุงซึ่งขับแท็กซี่คนหนึ่งบอกเตือนพวกเราอย่างเป็นห่วงว่า“อย่าไปสนใจกลุ่มนี้ (เสื้อแดง) หากเขาพูดอะไรมาก็อย่าโต้ตอบ …คนแก่ๆ กลุ่มเสื้อแดงทั้งนั้น ”
หากได้ฟังคำพูดเหล่านี้ปราศจากการเข้าไปสังเกตการณ์แล้ว เราอาจรู้สึกและเห็นด้วยเหมารวมกับคุณลุงด้วย แต่การได้ไปเห็นและไปสัมผัสกับผู้ชุมนุมนั้น พวกเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ลุงพูด บางคนเข้ามาพูดกับเราอย่างเป็นมิตร และพูดอย่างเป็นห่วงและยินดีให้พวกเราเข้าไปสังเกตการณ์ได้
ความเห็นใจที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเสื้อแดง อาจไม่เกิดขึ้นหากไม่ไปดูประชาชนที่ต้องเดินทางไกล ต้องทนกับแดดที่ร้อนจัด และไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ปรกติ ขณะที่ขึ้นรถเมล์ คนขับเกิดความหงุดหงิดเพราะเกรงว่า รถจะติด เพราะมีขบวนรถเสื้อแดงกำลังจะเคลื่อนกลับหลังจากที่ปิดล้อมกรมทหารราบที่ 11 และจะเคลื่อนไปอยู่ที่สะพานฟ้าเช่นเดิม รถคันหนึ่งพยายามจะแซงรถเมล์นี้ และทำให้คนขับเกิดความโมโห จนพูดขึ้นมาว่า “ดูๆ แดงทั้งคัน” เมื่อขับไปอีกสักพัก ก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ของเสื้อแดงบางคันขับอยู่บนถนน เขาก็พูดว่า “เอ้า ทำไมต้องขับผ่านทางนี้ คงไม่เคยเข้ากรุง” ตอนนั้นเริ่มรู้สึกเป็นห่วงกลุ่มเสื้อแดง เกรงว่าจะถูกทำร้าย เพราะดูอารมณ์ของคนนอกที่มีความเกลียดชัง และดูถูกเหยียดหยาม
ในฐานะเป็นคนบ้านนอกเหมือนกัน และเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศไทย จึงมองว่า หากรัฐบาลไม่ยอมรับฟังหรือจัดการกับกลุ่มเหล่านี้ มันอาจจะมีความรุนแรงเหมือนพื้นที่ภาคใต้ก็เป็นได้ สิ่งที่เสื้อแดงต้องระมัดระวัง คือ ข่าวลือที่อาจจะเกิดขึ้นทุกช่วงขณะ หากมีมือที่สามเข้าไปจุดไฟนิดหน่อย ก็ง่ายที่จะเกิดขึ้น
วันที่ไปสังเกตการณ์ที่สะพานผ่านฟ้าของวันที่ 15 มีนาคม 2553 ผู้ชุมนุมคนหนึ่งบอกว่า ให้ระวังตัวหน่อย เพราะเกรงว่าจะเกิดความรุนแรง เพราะตอนนี้มีการประกาศ พ.ร.ก. ภาวะฉุกเฉิน” ทั้งที่ยังไม่มีการประกาศจากรัฐบาล หรือการจัดการที่ค่อนข้างขาดระบบที่ดี
ในขณะที่ผู้คนที่เห็นต่าง ไม่ควรที่จะมองกลุ่มเสื้อแดงเป็นอื่น หากต้องคิดถึงความต้องการลึกๆ ของพวกเขาว่า ต้องการอะไรกันแน่ เพราะคงไม่มีใครอยากออกมาเผชิญกับความเดือดร้อน และเสียเวลาทำมาหากิน
อย่างไรก็ตาม หากแต่นั่งฟังเฉพาะคำปราศรัยของผู้นำเสื้อแดงอย่างเดียว ความรู้สึกเหล่านี้คงไม่ปรากฏ เพราะมีแต่การด่าว่าร้าย ป้ายสี ผู้อยู่ตรงกันข้าม จึงเห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงที่มีอยู่หลาย ๆ กลุ่ม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง คงต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้พูดบนเวที ถึงความเดือดร้อนที่เป็นเหตุเป็นผล โดยไร้ความโกรธ หรือการเหยียดหยามอีกกลุ่มหนึ่ง อย่างน้อยในที่ชุมนุม ควรมีการแจกเอกสาร ซีดี ประเด็นที่ไม่เป็นธรรม โดยเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสร้างให้ผู้คนเห็นอกเห็นใจ และเรียกมวลชนได้มากกว่า อย่างที่นักวิชาการหลายคนมองว่า กลุ่มเสื้อแดงควรต้อง ยกประเด็นความอธรรมที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ผู้นำเพียงคนเดียว
หากการต่อสู้ ปลุกระดม ที่ยกประเด็นประวัติศาสตร์อย่างเดียว โดยไร้ข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผล บวกกับอารมณ์ที่รุนแรง ย่อมยากที่จะเรียกมวลชนขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต่อสู้ผ่านการปลุกระดมโดยใช้ประวัติศาสตร์ความเจริญรุ่งเรืองในสมัยก่อน เกิดการต่อสู้กับอารมณ์ความรู้สึกที่เกลียดชังเจ้าหน้าที่ จนขาดการวิเคราะห์ สังเคราะห์ สิ่งที่เกิดขึ้น และไม่มีความชัดเจนในความต้องการที่แท้จริง จนกระทั่งไม่เห็นการต่อสู้ที่สร้างสรรค์
ทั้งนี้รัฐบาลควรต้องทำหน้าที่เปิดโอกาส และช่องทางให้ผู้คนที่ออกมาเรียกร้องความต้องการ มานั่งพูดคุยกัน คงไม่ใช่ให้ผู้คนที่ยอมสละลุกขึ้นต่อสู้มาโดยกลับไปแล้วไม่ได้อะไร เพราะจะทำให้ความต้องการที่คงอยู่ในใจ เปลี่ยนผันเป็นความรุนแรงที่ยากต่อการแก้ไขปัญหาได้
รอยเตอร์ตบหน้าสื่อหลักฝรั่งบ่ยั่นแห่เที่ยวไทยคึก
ที่มา Thai E-News
ตบหน้าสื่อกระแสหลัก-นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินขนสัมภาระสิ่งของที่ได้จากการช็อปปิ้งริมถนนใจกลางกรุงเทพฯเมื่อ18มีนาคม แม้ว่าจะเกิดเหตุชุมนุมต่อต้านรัฐบาลด้วยการเทเลือดหน้าบ้านพักนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่อาจหยุดชาวต่างประเทศนำเงินเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย รวมทั้งการซื้อหุ้นและพันธบัตร ค่าเงินบาททะยานสูงขึ้นในรอบ 22 เดือน ส่วนหุ้นไทยขึ้นสูงสุดในรอบ 20 เดือนเมื่อวันพฤหัสบดี(ภาพและคำบรรยาย:สำนักข่าวรอยเตอร์)
ทั้งนี้เมื่อวันที่18 มีนาคม นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ3,234ล้านบาท และหากนับรวมจากต้นเดือนมีนาคมถึงวันนี้ซื้อสุทธิรวม27,810ล้านบาท (ดูรายละเอียด)
-Foreign tourists walk with their belongings through a shopping street in central Bangkok March 18, 2010. Protesters poring blood on the steps of Prime Minister Abhisit Vejjajiva's home have not stopped foreign investors from pouring money into Thailand, including both stocks and bonds. Thai baht has surged to a 22-month peak and Thai stocks hit a 20-month high on Thursday.
REUTERS/Sukree Sukplang (THAILAND - Tags: POLITICS)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา สำนักข่าวรอยเตอร์
18 มีนาคม 2553
สื่อกระแสหลักของไทย รวมทั้งรายการเล่าข่าวยอดนิยมอย่าง"เรื่องเล่าเช้านี้"ในช่วงเช้าวันนี้ อ้างว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ทำให้การท่องเที่ยวไทยซบเซาลง อย่างไรก็ตามสำนักข่าวต่างประเทศชั้นนำของโลกคือรอยเตอร์ได้รายงานข่าวและภาพคำบรรยายไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ช็อปจนหมดแรง-นักท่องเที่ยวต่างชาติกับสิ่งของที่ช็อปปิ้งริมถนนในใจกลางกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 18 มีนาคม แม้ว่าจะเกิดเหตุชุมนุมต่อต้านรัฐบาลด้วยการเทเลือดหน้าบ้านพักนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่อาจหยุดชาวต่างประเทศนำเงินเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย รวมทั้งการซื้อหุ้นและพันธบัตร ค่าเงินบาททะยานสูงขึ้นในรอบ 22 เดือน ส่วนหุ้นไทยขึ้นสูงสุดในรอบ 20 เดือนเมื่อวันพฤหัสบดี(ภาพและคำบรรยาย:สำนักข่าวรอยเตอร์)
-Foreign tourists take a break from shopping in central Bangkok March 18, 2010. Protesters poring blood on the steps of Prime Minister Abhisit Vejjajiva's home have not stopped foreign investors from pouring money into Thailand, including both stocks and bonds. Thai baht has surged to a 22-month peak and Thai stocks hit a 20-month high on Thursday.
REUTERS/Sukree Sukplang (THAILAND - Tags: POLITICS BUSINESS TRAVEL)
ฝรั่งบ่ยั่นม็อบ-นักท่องเที่ยวต่างชาติแลกเปลี่ยนเงินในใจกลางกรุงเทพฯเมื่อ18มีนาคม แม้กลุ่มเสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ในเมืองหลวง แต่ก็ไม่อาจหยุดนักลงทุนต่างประเทศให้นำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ รวมทั้งการลงทุนในหุ้นและพันธบัตร ค่าเงินบาททะยานแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 22 เดือน ส่วนหุ้นไทยขึ้นสูงสุดในรอบ20เดือน(ภาพและคำบรรยาย:สำนักข่าวรอยเตอร์)
-Tourists change money in central Bangkok March 18, 2010. Protesters poring blood on the steps of Prime Minister Abhisit Vejjajiva's home have not stopped foreign investors from pouring money into Thailand, including both stocks and bonds. Thai baht has surged to a 22-month peak and Thai stocks hit a 20-month high on Thursday.
REUTERS/Sukree Sukplang (THAILAND - Tags: POLITICS BUSINESS TRAVEL)
Photo Tools
การชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง
ที่มา thaifreenews ใจ อึ๊งภากรณ์ “เสื้อแดงสังคมนิยม” และสมาชิกคนเสื้อแดงอังกฤษ(แสดงทัศนะส่วนตัว) การชุมนุมครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงในเสาร์อาทิตย์ 13/14 มีนาคม เป็นการสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ของขบวนการประชาธิปไตยไทย มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าคนเสื้อแดงจะไม่หายไปไหน และเราไม่ใช่แค่ตัวแทนของคนส่วนน้อยในสังคมอีกด้วย การชุมนุมครั้งนี้ช่วยถล่มนิยายว่าคนกรุงเทพฯเป็นเสื้อเหลืองหรือไม่สนใจประชาธิปไตย เพราะเราเห็นภาพเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาล คนงานก่อสร้าง คนงานโรงงาน พระสงฆ์ และประชาชนโดยทั่วไปในกรุงเทพฯ ที่ออกมาร่วมการชุมนุม สื่อมวลชนต่างประเทศบางฉบับถึงกับเสนอว่าภาพการชุมนุมครั้งนี้เป็นภาพของขบวนการ “ปลดแอกประชาชนกรุงเทพฯ จากอำนาจเผด็จการ” การชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะคนธรรมดานับแสน ร่วมกันทุ่มเทเงินทอง เวลา และพลังงานในการมาร่วม มีการเรี่ยรายเงินและทรัพยากรในชุมชนต่างๆ มีการแจกอาหารและเงินค่าน้ำมันโดยประชาชนธรรมดาในกรุงเทพฯ มันเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้และเพื่อหวังล้มอำมาตย์ และทั้งๆที่คนเสื้อแดงจำนวนมากรักทักษิณมากกว่าผู้นำชั้นสูงอื่นๆ ความรักนี้มีเหตุผล มันมาจากนโยบายรูปธรรมของพรรคไทยรักไทย มันไม่ได้มาจากความโง่เขลา และคนเสื้อแดงไม่ได้ถูกจูงถูกจ้างมาประท้วง เขาไม่ใช่เครื่องมือของทักษิณ และเขาสู้เพื่ออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าทักษิณ ขบวนการเสื้อแดงตอนนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นขบวนการที่คนยากคนจนทั่วประเทศร่วมสร้างขึ้นและมีส่วนร่วมสูงในสังคมเปิด ไม่ใช่การเคลื่อนไหวในป่าหรือในที่ลับ ขบวนการนี้มีตัวตนชัดเจนทั้งในเมืองและในชนบท ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต และมันมีลักษณะถาวรกว่าขบวนการประชาธิปไตยอื่นๆ เช่นขบวนการนักศึกษา พฤติกรรม สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แสดงท่าที่อ่อนหัตถ์ทางการเมืองและเน้นการต่อสู้แบบปัจเจก เพราะในขณะที่มีการประท้วงอันยิ่งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ของมวลชนเสื้อแดง อ.สุรชัยไม่เสริมสร้างกำลังใจให้มวลชนเลย ไม่มองว่าเขาคือพลังหลักในการเปลี่ยนสังคม ไม่มองว่าเขาเป็นมิตรที่ต้องถนอมรัก และไม่แนะนำทางต่อสู้ต่อไปในลักษณะสร้างสรรค์ มีแต่พูดในทำนองที่จะทำลายจิตใจคนเสื้อแดง และตัดความมั่นใจให้เสียขวัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อ.สุรชัย ไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมกับมวลชนนับแสนที่ออกมาสู้ แต่อยากจะหันหลังให้มวลชน เพื่อเดินตามแนว “วีรชนเอกชน” ของการ “จับอาวุธ” ต่อสู้กับอำมาตย์ที่เคยประกาศ มันเป็น “การปฏิวัติแบบเด็กเล่น” ซึ่งจะแค่จบลงด้วยความพ่ายแพ้และความตายเท่านั้น ส่วนเสธ. แดง ก็เป็นอันธพาลสามัญ ที่อาจสร้างความเสียหายให้ขบวนการเสื้อแดงได้ โดยการสร้างภาพเพื่อเอามัน ซึ่งจะจบลงด้วยละครตะลกท่ามกลางความพ่ายแพ้เท่านั้น ก้าวต่อไป? เราไม่ควรลืมว่าแกนนำ โดยเฉพาะสามเกลอ เป็นผู้ที่จุดประกายไฟให้เกิดคนเสื้อแดงแต่แรก และมีส่วนสำคัญในการชักชวนให้คนเสื้อแดงออกมาเป็นแสนที่กรุงเทพฯ แต่ในการต่อสู้ทุกขั้นตอนต้องมีการทบทวนประเมิน ทั้งยุทธวิธีและแกนนำด้วย แกนนำที่จะนำมวลชนไปสู่ชัยชนะ อาจเป็นแกนนำเดิมตลอด หรือจะเป็นแกนนำใหม่ก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องศักดิ์สิทธิ์ มันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความสามารถในขั้นตอนต่างๆ สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับคำพูดของแกนนำปัจจุบันในการเคลื่อนไหวที่พึ่งผ่านมา คือมีการพูดถึงประเด็น“ชนชั้น” มากขึ้นอย่างชัดเจน การต่อสู้กับอำมาตย์เพื่อสร้างประชาธิปไตยเป็นการต่อสู้ทางชนชั้น ระหว่างคนชั้นล่างที่เป็นกรรมาชีพและเกษตรกร กับชนชั้นปกครองที่เป็นอภิสิทธิ์ชน แต่ประเด็นที่เราทุกคนต้องมาร่วมกันคิดอย่างรวดเร็วคือ ก้าวต่อไปควรจะเป็นอย่างไร? เพราะการชุมนุมสองสามวันยากที่จะล้มอำมาตย์และจัดการกับอำนาจกองทัพได้ และการยืดเยื้อเสี่ยงกับการที่คนจะทยอยกลับบ้านและหมดกำลังใจ แกนนำต้องไม่สร้างภาพนิยายของชัยชนะที่จะเกิดง่ายๆ ต้องไม่พามวลชนเดินไปในทางการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มากเกินไป และต้องรู้จักถนอมกำลังกายและใจของมวลชน เพื่อให้เราสามารถสู้ในเกมส์ใหญ่ระยะยาวได้ รู้จักศัตรู ศัตรูของประชาชนและศัตรูของประชาธิปไตยคืออำมาตย์ แต่อำมาตย์คืออะไร? มันเป็นระบบ มันประกอบไปด้วยหลายสถาบัน และมันมีลัทธิหรือชุดความคิดที่ใช้สร้างความชอบธรรมให้มัน ศัตรูไม่ใช่แค่พรรคประชาธิปัตย์หรือรัฐบาลอภิสิทธิ์ และไม่ใช่แค่องค์มนตรี การยุบสภาเป็นสิ่งที่เราอยากเห็น แต่มันจะไม่สะเทือนอำนาจอำมาตย์เลย เราได้บทเรียนจากรัฐบาลพรรคพลังประชาชนไปแล้ว อำนาจสำคัญของอำมาตย์คือกองทัพ ถ้าเราไม่เอาใจใส่ตรงนี้เราจะไม่ชนะ และอำนาจซ่อนเร้นสำคัญของฝ่ายเรา คืออำนาจในการนัดหยุดงาน ถ้าช่วง 13/14มีนาคมที่ผ่านมา มีการหยุดเดินรถต่างๆ หยุดก่อสร้าง หยุดทำงานในโรงงานและสถานที่ทำงานต่างๆ เราจะเห็นพลังของคนเสื้อแดงในอีกมิติที่สำคัญ และถ้าทหารยิงประชาชนการหยุดแจกจ่ายไฟฟ้าหรือน้ำก็จะมีพลังด้วย ยุทธ์วิธี 4 ข้อ สำหรับการต่อสู้ในปัจจุบัน 1. ชนกับอำมาตย์ในเรื่องนโยบายการเมืองที่เป็นรูปธรรม 2. ชนกับอำมาตย์ด้วยลัทธิความคิด 3. ขยายฐานคนเสื้อแดง 4. สร้างหน่ออ่อนของอำนาจคู่ขนาน เพื่อแข่งกับอำมาตย์ 1.1. ชนกับอำมาตย์ในเรื่องนโยบายการเมืองที่เป็นรูปธรรม การเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเรียกร้องต่อไป แต่เราต้องเพิ่มความเข้มข้นของนโยบายการเมืองที่จะใช้ชนกับอำมาตย์ เราจะต้องประกาศอย่างชักเจนว่าถ้าฝ่ายคนเสื้อแดงชนะ เราจะนำนโยบายใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่คนชั้นล่างมาใช้ และเราจะต้องท้าอำมาตย์ให้แสดงจุดยืนต่อนโยบายดังกล่าว เพราะเรารู้ดีว่าเขาไม่มีทางสนับสนุนสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนชั้นล่าง นโยบายสำคัญที่เราควรประกาศคือการสร้าง รัฐสวัสดิการ ในรูปแบบที่ให้สวัสดิการครบวงจร และถ้วนหน้าสำหรับประชาชนทุกคน ไม่ใช่แค่สวัสดิการให้ทานกับคนจน และเราต้องประกาศว่าเราจะใช้งบประมาณจากการเก็บภาษีอย่างดุเดือดกับเศรษฐีและคนรวย คนที่รวยที่สุดด้วย โดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนคนชั้นกลางและคนจนจะไม่มีการเก็บภาษีเพิ่ม เราควรเสนอนโยบายเป็นรูปธรรมสำหรับเกษตรกรรายย่อย เช่นการตัดผลประโยชน์ของบริษัทซีพี(ของอำมาตย์) และเพิ่มประโยชน์ให้ชาวไร่ชาวนา ตัวอย่างเช่นการตั้งองค์กรของรัฐขึ้นมาเพื่อทำเกษตรพันธสัญญากับเกษตรกรรายย่อย คือองค์กรรัฐช่วยในการลงทุน ที่ดิน การพัฒนาเทคโนโลจี การรักษามาตรฐาน และการตลาด และเกษตรกรจะทำการผลิตส่งให้รัฐ แต่องค์กรรัฐนี้ต้องบริหารร่วมกันโดยผู้แทนเกษตรกร และผู้แทนของรัฐบาลประชาธิปไตย เราควรเสนอนโยบายรูปธรรมสำหรับการสร้างสันติภาพในภาคใต้ โดยการถอนทหารตำรวจออกจากชุมชน และการเสนอเขตปกครองพิเศษพร้อมกับการใช้ภาษาท้องถิ่นในสถานที่ราชการ ชุมชนต้องมีอำนาจในการกำหนดระบบการศึกษา ต้องมีการลงโทษพวกทหารระดับสูงที่ทรมานและฆ่าประชาชนด้วย ในระดับชาติควรมีการส่งเสริมวันสำคัญของอิสลาม และชักชวนให้นักศึกษาเรียนรู้ภาษายะวีหรือภาษามาเลย์ ทั้งหมดนี้จะเป็นนโยบายก้าวหน้าที่ตัดฐานสนับสนุนของประชาธิปัตย์ในภาคใต้ได้ เราต้องเสนอให้มีการปฏิรูประบบศาลยุติธรรมแบบถอนรากถอนโคน ปลดศาลและผู้พิพากษาของอำมาตย์ที่รังแกประชาชนออกไป และนำคนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ความยุติธรรมเข้ามา พร้อมกันนั้นต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยมีระบบลูกขุน 2. ชนกับอำมาตย์ด้วยลัทธิความคิด เราควรดึงทหารเกณฑ์มาเป็นพวกโดยประกาศปฏิรูปกองทัพแบบถอนรากถอนโคน พวกนายพลกาฝากที่แสวงหาอำนาจและความร่ำรวยผ่านการทำรัฐประหาร การคอร์รับชั่น และการยิงประชาชน เราต้องเอาออกให้หมด ต้องลดงบประมาณทหารด้วยการปลดนายพลและลดการซื้ออุปกรณ์ทางทหาร แต่ในขณะเดียวกันต้องเพิ่มเงินเดือนให้ทหารเกณฑ์ ต้องพัฒนาสภาพชีวิตของเขา ต้องมีโครงการฝึกฝีมือและพัฒนาทหารระดับล่างให้มีลักษณะมืออาชีพที่ใช้กู้ภัยในสังคมแทนการปราบประชาชน ในสำนักงานตำรวจก็ควรจะปฏิรูปแบบนี้ด้วย เพื่อให้ตำรวจรับใช้ประชาชนและไม่รีดไถคนจน ในทุกพื้นที่ที่คนเสื้อแดงเป็นคนส่วนใหญ่ เราควรท้าทายอำนาจราชการในรูปแบบเล็กๆ น้อยๆ เช่นตั้งระบบยุติธรรมและความปลอดภัย หันหลังให้ศาลและการบัญชาการของรัฐส่วนกลาง ขยายสื่อมวลชนของเรา เข้าไปมีอำนาจบริหารโรงเรียนและศูนย์พยาบาล จัดตั้งระบบคมนาคมง่ายๆ ฯลฯ แล้วแต่ความสามารถและเหมาะสม เพื่อค่อยๆ ลดอำนาจศูนย์กลางของรัฐอำมาตย์ และเพื่อทำให้ง่ายขึ้นที่จะยึดอำนาจรัฐมาเป็นของประชาชนในอนาคต ในสงครามทางการเมืองกับอำมาตย์ เราต้องก้าวไปข้างหน้า แต่เราต้องเข้าใจว่าจะไม่แพ้ชนะกันง่ายๆ ในวันสองวัน ที่สำคัญคือมวลชนคนเสื้อแดงเป็นแสนๆ และจุดยืนทางการเมืองจะเป็นเรื่องชี้ขาด -- Giles Ji Ungpakorn UK mobile:+44-(0)7817034432 UK landline +44(0) 1865-422117 http://siamrd.blog.co.uk/ http://wdpress.blog.co.uk/ http://redsiam.wordpress.com
กสม. แม่สื่อเจรจา นายกฯ-นปช. สองฝ่ายยังตั้งแง่
ที่มา thaifreenews ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ หวังกระบวนการทำงานต่าง ๆ จะนำไปสู่สันติภาพในสังคมโดยเร็ว ย้ำชัด ระยะแรกพ.ต.ท.ทักษิณยังไม่จำเป็นเข้าสู่การเจรจา ขณะที่รัฐบาลตอบรับไม่ขัดข้อง มีข้อแม้อย่าคาดคั้นรูปแบบการพูดคุย วันนี้ (18 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.20 น. ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และคณะ ได้แถลงข่าวถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่ง ชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวแสดงความชื่นชมที่รัฐบาลมีความอดทนในการดูแลสถานการณ์บ้านเมือง เคารพเสรีภาพในการชุมนุมที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นการชุมนุมของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ทางรัฐบาลได้ใช้ความพยายามในการดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุมมาโดยตลอด และได้มีการประสานกับผู้ชุมนุมอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ทางผู้ชุมนุมยังมีความกังวล และฝากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาหารือกับรัฐบาลว่า อยากจะมีพื้นที่ที่จะคุยกันด้วย ดังนั้น ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงได้นำข้อเสนอของผู้ชุมนุมมาหารือกับ นายกรัฐมนตรี ศ.ดร.อมรา ประธาน กสม. ศ.ดร.อมรา กล่าวว่า รัฐบาลได้ใช้ความอดทนในการดูแลสถานการณ์การชุมนุม แต่ขณะนี้ยังมีความกังวลอยู่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีหลายกลุ่ม และวิธีการนำของผู้ชุมนุมก็มีหลายรูปแบบ ไม่มีเอกภาพ ทำให้การดูแลผู้ชุมนุมยากลำบากทั้งในเรื่องความปลอดภัย และความสงบ ซึ่งกรรมการฯ ได้นำข้อเสนอเชิงข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมหลัก คือ จะชุมนุมโดยสงบ และรัฐบาลจะดูแลด้วยความสงบเรียบร้อย โดยมีข้อตกลงร่วมกันคือการไม่ปิดล้อม สถานที่ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรัชทายาท รวมทั้งสถานที่ราชการ โรงพยาบาล สนามบิน และสถานเอกอัครราชทูต องค์การสหประชาชาติ แต่รัฐบาลขอเพิ่มว่าน่าจะมีการตกลงว่าจะต้องไม่มีการ ปิดล้อมบ้านพักของนายกรัฐมนตรี ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการปิดล้อมบ้านพักของบุคคลย่อมเป็นการละเมิดสิทธิ “ รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่ใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือจะใช้ก็ต่อเมื่อกรณีที่จำเป็นจริง ๆ และถ้าจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็จะไม่ทำให้กระทบสิทธิพื้นฐานของประชาชน จะดำเนินการตามหลักสากล และคำวินิจฉัยของศาลปกครอง นอกจากนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะเปิดให้มีการเจรจา หากการเจรจานั้นจะนำไปสู่ข้อยุติทางการเมือง และความสงบ โดยต้องมีการเคารพกติกาด้วยกันทุกฝ่าย ทั้งนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และรัฐบาลเห็นพ้องกันว่าการพูดหรือยั่วยุให้เกิดความรุนแรง การข่มขู่คุกคาม ส่งเสริมให้ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง หรือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานด้วย” สุดท้ายในนามของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะพยายามทำหน้าที่เป็นตัว เชื่อมกับรัฐบาลและผู้ชุมนุมและฝ่ายต่าง ๆ ในสังคม และหวังว่ากระบวนการทำงานต่าง ๆ เหล่านี้จะนำไปสู่สันติภาพในสังคมโดยเร็ว จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทางประธานและกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ และว่า ถ้าการเคลื่อนไหวชุมนุมอยู่ในกติกา รัฐบาลไม่ขัดข้องในการที่จะมีการพูดคุย เพราะว่าประเด็นทางการเมือง การจะหาคำตอบทางการเมืองรัฐบาลก็ยอมรับกระบวนการของการมีส่วนร่วมและต้องรับ ฟังทุกฝ่ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสามารถที่จะนำคำตอบนี้ไปพูดคุยกับผู้ชุมนุมได้ “ในชั้นนี้กรุณาอย่าคาดคั้นว่ารูปแบบของการพูดคุยนั้นจะต้องเป็นใคร โดยใครอย่างไร เพื่อประโยชน์ในการที่จะทำให้กระบวนการเกิดขึ้นได้ ถ้าเราคาดคั้นในเรื่องรายละเอียดกันมากเกินไปในขณะนี้ ก็จะเป็นปัญหาสำหรับคนทำงาน ผมมีความจริงใจในการที่ให้มีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล แต่บนเงื่อนไขของการชุมนุมที่อยู่ภายใต้กติกา ถ้าการชุมนุมซึ่งนอกจากกติกาแล้ว ผมไม่อาจที่จะเข้าสู่กระบวนการในการพูดคุย ได้ เพราะไม่อาจที่จะทำให้สังคมต้องอยู่ภายใต้หรือเดินตามการข่มขู่ คุกคาม แต่ถ้าสังคมเห็นการมาของพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ที่อยู่บนแนวของสันติ รัฐบาลก็มีหน้าที่รับฟัง” นายกรัฐมนตรี กล่าว ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของรูปแบบการเจรจาที่จะเกิดขึ้นนี้คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลา เท่าไร และถ้าหากว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจาแล้ว สามารถที่จะหาข้อยุติร่วมกันได้หรือเปล่า ศ.ดร.อมรา กล่าวว่า การเจรจาเริ่มแล้ว การเจรจาเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและหลายขั้นตอน จะต้องกลับไปกลับมา เพราะฉะนั้นส่วนนั้นคงเป็นระยะหลัง ๆ ระยะแรก ๆ ยังไม่ได้จำเป็น เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หมายถึงว่าสุดท้าย พ.ต.ท.ทักษิณก็ควรจะเข้าสู่การเจรจานี้ด้วยถึงจะได้บทสรุปที่ชัดเจนใช่ไหม ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ กล่าวว่า ไม่จำเป็น แล้วแต่สถานการณ์จะเคลื่อนตัวไป การคุยจะล้ำไม่ได้ จะค่อย ๆ เคลื่อนไป ไม่มีสูตรสำเร็จและไม่มีตัวชี้วัด สถานการณ์จะนำไปสู่ขั้นต่อ ๆ ไป กำหนดล่วงหน้าไม่ได้ www.thaireform.in.th/news-political/802-2010-03-18-08-45-07.html นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย(พท.) แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ พร้อมเปิดทางเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมว่า นายอภิสิทธิ์ต้องรู้สถานะของตัวเองว่า ได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม ถ้ามีเงื่อนไข การเจรจาก็ไม่เกิดขึ้น โดยท่วงทำนองของนายอภิสิทธิ์ ควรเป็นท่วงทำนองของนายกฯ การเจรจาควรเปิดกว้างแล้วค่อยคุยกัน และการเจรจานั้น นายอภิสิทธิ์ต้องทำใจด้วยว่า ต้องฟังข้อเสนอของทางผู้ชุมนุม ส่วนจะเอาหรือไม่ขึ้นกับการพิจารณา แต่ไม่ใช่การมากำหนดขีดเส้นแบบนี้ "นปช.พร้อมเจรจากับนายอภิสิทธิ์คนเดียวเท่านั้น บนพื้นฐานการเจรจาแบบเสมอภาค ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปกครองหรือผู้อยู่ใต้การปกครอง ส่วนสถานที่ที่จะใช้เจรจา ควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน" นายจตุพร กล่าว นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช.กล่าวว่า กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนยังให้การสนับสนุนการชุมนุม และยืนยันข้อเสนอเดิมคือ การยุบสภา หากนายกฯจะเจรจาก็พร้อมเจรจาด้วย อย่างไรก็ตาม ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เวลา 21.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในแกนนำ นปช. ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุการไม่ยอมเปิดเจรจากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อยุติปัญหาว่า การเจรจาจะเกิดขึ้นได้เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีความเท่าเทียมกัน แต่วันนี้รัฐบาลยังให้สื่อของรัฐออกข่าวโจมตี ใส่ร้ายป้ายสีพวกตน และคนเสื้อแดงว่า เป็นพวกล้มเจ้า คิดลอบสังหารนายกฯ ทำให้กลายเป็นผู้ร้ายของสังคม แล้วตนจะไปนั่งเจรจาทำไม ถ้ารัฐบาล อยากเจรจาอย่างจริงใจ ก็ควรเปิดพื้นที่ให้พวกตนมีโอกาสชี้แจงนำเสนอข้อเท็จจริงต่อพี่น้องประชาชน ทั่วประเทศผ่านสื่อของรัฐเป็นเวลา 2 ชั่วโมงในช่วงวันเดียวก็พอ แต่คิดว่ารัฐบาลคงไม่กล้า เนื่องจากประชาชนจะเห็นด้วยกับคนเสื้อแดงและจะออกมาร่วมเคลื่อนไหวเป็นจำนวน มาก เพราะวันนี้ประชาชนในสังคมมีวิจารณญาณ มีสติมากพอที่คิดวิเคราะห์ได้เอง แต่รัฐบาลยังมัวคิดว่าประชาชนโง่คิดเองไม่ได้ ทั้งนี้ มติชนนออนไลน์ ได้รายงานคำกล่าวของนายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและแกนนำคนเสื้อแดงประกาศทำสงครามชนชั้น โดยใช้คำว่า "อำมาตย์" กับ "ไพร่" ว่า โอกาสที่จะนำแนวคิดของระบอบคอมมิวนิสต์เมื่อ 30 ปีที่แล้วมา เป็นเงื่อนไขนั้นเป็นไปได้ สิ่งที่รัฐบาลพยายาม คือการอธิบายให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับประชาชนว่า ความหมายของทั้งสองคำคืออะไร โดยให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงไปชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือคนยากจน ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาหนี้สินที่รัฐบาลกำลังแก้ไขอยู่ โดยนายกฯ สั่งการในที่ประชุม ศอ.รส. ชี้แจงเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นระบบทั้งผ่านสื่อ และผ่านเครือข่ายในต่างจังหวัด โดยมี กอ.รมน.รับผิดชอบ และจะให้นักวิชาการทำความใจกับประชาชน เพราะถือเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้งที่จะนำมาประเทศกลับไปสู่สงคราม คอมมิวนิสต์ "นายกฯสั่งการในที่ประชุม ศอ.รส. เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลมีแนวทางแก้ปัญหาคนยากจน เช่นกว่า 3 ล้านครอบครัวที่เข้าสู่กระบวนการประกันรายได้ หลายสิบล้านคนเข้าสู่กระบวนการเรียนฟรี 15 ปี และแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน" นายสาทิตย์ กล่าว ที่มาประชาไท และ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย
แนวรบสำคัญของ เสื้อแดงมีสองแนวรบ มันไม่ต้องสัมพันธ์ หรือร่วมมือกันตอนนี้
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
ก็มีัคนที่ไม่ใช่เสิ้อแดงถามผมหลายคนว่า คนเสื้อแดงกำลังทะเลาะกันหรือแตกกันหรือ ผมเลยถามว่าแตกกันตรงไหน เขาก็บอกว่า เห็นสามเกลอด่า เสธ.แดง และกรณีสุรชัย
ผมก็งงๆ เพราะผมไม่ถือว่า เสธ.แดงนั้นเป็นแกนนำเสื้อแดงแต่อย่างใด ส่วนกรณีสุรชัย ผมไม่ได้ให้น้ำหนักในฐานะแกนนำเสื้อแดงมากนัก เขาอาจมีกลุ่มแดงสยาม แต่ผมยังไม่เห็นมวลชนของกลุ่มนี้ อาจมีคนเห็นด้วย แต่คนที่เห็นด้วยก็ยังรวมอยู่กับ นปช. เป็นส่วนใหญ่
การที่แกนนำ นปช. ทะเลาะกับสองคนนี้ ผมไม่ถือว่าเป็นเสื้อแดงแตกกัน
หาก ณัฐวุฒิทะเลาะกับวีระ หรือ จตุพรทะเลาะกับณัฐวุฒิ หรือ อริสมัน แรมโบ้ กลุ่มนี้ทะเลาะกันซิครับ ผมจึงจะถือว่า แกนนำเสื้อแดงทะเลาะกัน
(อ.ชูพงษ์ ถี่ถ้วน หรือ ชูพงษ์ เปลี่ยนระบอบ)
สุรชัย เสธ.แดง สองคนนี้ ไม่ใช่ นปช. (จะเป็นคนเสื้อแดงก็เป็นกลุ่มอื่นๆ ที่มีหลายร้อยกลุ่ม แต่ไม่ใช่ นปช.)
แนวรบที่สำคัญในการต่อต้าน อำมาตย์ ผมเห็นว่ามีสองแนวรบในเวลานี้ (คนอื่นจะเห็นอย่างไรก็ได้)
1. แนวรบเปิดเผย คือ คนเสื้อแดงมี นปช. เป็นแกนนำ มีการสร้างมวลชนอย่างเปิดเผย เป้าหมายหลักคือ โค่นล้มระบบอำมาตย์ โดยโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์และ พล.อ.เปรม ต้องการปฎิรูปการเมืองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ต้องไม่มีการแทรกแซงทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
2. แนวรบใต้ดิน ผมไม่ทราบว่ามีกี่กลุ่ม แต่ที่ผมให้น้ำหนักมากที่สุด และทำงานได้ผลคือ"นปช.ยูเอสเอ + อ.ชูพงษ์" เป็นการโจมตีใต้ดินที่รุนแรงและเฉียบขาด แม้ไม่มีการใช้อาวุธใดๆ ทางกายภาพ แต่อาวุธคือ "ซีดีเนื้อหา" ที่ "รุนแรงระดับเดียวกับระเบิดนิวเคลียร์" เป้าหมายคือ ทำลายลัทธิซาบซึ้ง หรือ ระบอบราชาธิปไตย แต่ต้องการระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเช่นกัน และยังคงสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ แต่ต้องมีการปรับปรุงมากมายในเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
แนวรบสองแนวนี้ คงไม่ได้มีการประสานกัน หรือทำงานร่วมกัน
แต่แนวทางมันสอดประสานกันโดยอัตโนมัติ และก่อให้เกิดเป็นพลังอย่างรุนแรง
แนวรบ นปช. หยุดอยุ่ที่เปรม เพราะเป็นแนวรบเปิดเผย สามารถทำได้อย่างมากก็แค่นี้ แต่ คุณูปการอันยิ่งใหญ่คือ "การรวมคน จัดตั้ง และมีมวลชนมหาศาล"
ข้อจำกัดของ แนวรบ นปช. คือ เขาไม่าสามารถโจมตีไปที่เป้าหมายที่แท้จริงได้ เพราะมีข้อจำกัดทางวัฒนธรรมหลายประการ รวมทั้งข้อจำกัดทางกฎหมายต่างๆ
แนวรบที่สอง นปช.ยูเอสเอ/ชูพงษ์ เป็นการ "สร้างความตาสว่าง" หรือให้การศึกษาแก่มวลชนเสื้อแดงของ นปช. ไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำอย่างเปิดเผย ขึ้นเวที ปราศรัยอย่างเปิดเผย เมื่อมันเป็นงานใต้ดิน ก็ต้องทำอยู่ใต้ดิน
ผมเชื่อว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากก็รับ "เนื้อหาของ นปช.ยูเอสเอ/ชูพงษ์ ด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งซีดีหรืออินเตอร์เน็ต หรือคลิป อย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนแดงสยาม หรือ แดงขัติยะ (เสธ.แดง) นี้ ผมยังไม่ให้น้ำหนักมากนัก และสร้างความสับสนมากกว่า
แดงสยาม แนวทางยังไม่ชัดเจนอะไร เนื้อหาที่นำเสนอ ก็คงเป็นเนื้อหาเดียวกับ อ.ชูพงษ์ ซึ่ง อ.ชูพงษ์ทำได้ดีกว่า เพราะสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้อง อุปมาอุปไมย แต่นี่มันเป็นงานใต้ดิน พูดบนเวทีไม่ได้ ก็ต้องเป็นงานใต้ดิน จะมาขยายบนดินได้อย่างไร ทำให้เป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบเอามาทำลายอีก
บทบาทแดงสยามในสายตาผม ไม่ควรมาทำงานบนดิน หากคิดจะช่วยเหลือคนเสื้อแดง ก็ต้องไปเร่งทำงานขยายเครือข่ายของการรับรู้ของ นปช.ยเอสเอ
สามเกลอเขาก็สร้างมวลชนไป นปช.ยูเอสเอ/ชูพงษ์ก็ผลิตเนื้อหา ป้อนมวลชนเสื้อแดงในช่องทางอื่นๆ ไป
นี่เป็นช่องทางที่สมบูรณ์แล้ว เป็นแนวรบที่สอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แล้ว
แม้ว่า นปช. ในทางเปิดเผยจะไม่ยอมรับ แต่เขาก็ไม่เอ่ยถึงหรือพูดถึงแต่อย่างใด เพราะมันเป็นงานที่ นปช. ไม่จำเป็นต้องไปพูดถึง "มันสอดประสานกันเอง โดยธรรมชาติอยูแล้ว
เรื่องของสุรชัย และแดงสยาม ผมขี้เกียจติดตามจริงๆ ผมเบื่อและรำคาญ เพราะเนื้อหาที่เอาขึ้นมาบนดิน มันอันตรายต่อการตอบโต้
ผมเห็นว่า นปช.ประกาศตัดญาติขาดมิตร กับ เสธ.แดงและ อ.สุรชัยนั้นถูกต้องแล้ว เพื่อไม่ให้ยุทธศาสตร์ของ นปช. เสียหาย ก็ต้องทำอย่างนั้น
สุรชัย คิดและอยากทำอะไร ก็ไปทำเอง
เสธ.แดง คิดและอยากทำอะไร ก็ไปทำเอง ไม่เกี่ยวกับ นปช.
บางคนคิดว่า แดงสยามจะมีบทบาทในอนาคตได้มากทีเดียว เพราะสามารถเคลื่อนไหวบนดินได้ ไม่ต้องอยู่แต่ใต้ดินเหมือนอาจารย์ชูพง
บทบาทในอนาคตก็ต้องทำในอนาคตครับ ไม่ใช่มาทำกันในตอนนี้ ในแนวรบที่ นปช. เขารบอยู่ นอกจากจะสร้างความสับสนแล้ว ยังทำให้ศัตรูเห็นจุดอ่อนเอามาโจมตีได้ เมื่อคิดกันว่าควรมีบทบาทในอนาคต ก็ต้อง "คอยกาละและเทศะ" ที่มันเหมาะสม
ที่จริงควรไปขยายเครือข่าย เผยแำพร่เนื้อหาของ นปช.ยูเอสเอ เสียมากกว่า
งานที่ต้องทำตอนนี้คือ "สร้างความตาสว่างให้กับคนเสื้อแดง" ซึ่งทำอย่างเปิดเผยไม่ได้
ผมย้ำ นะครับว่าทำอย่างเปิดเผยไม่ได้
จะขึ้นเวที ก็ต้องอ้อมไปอ้อมมา นอกจากสร้างความสับสนแล้วมันยังไม่ได้ประโยชน์อะไร
เอาอย่างที่ เปรียบเทียบกันว่า สามเกลอเขาต้องการไปแค่ "นครสวรรค์" แต่ "แดงสยามต้องการไป เชียงใหม่"
แต่วันนี้มันยังถึงแค่ ลพบุรี ยังไม่ใช่ เวลาแหละหน้าที่ของแดงสยาม ให้สถานการณ์และเหตุการณ์มันเลยนครสวรรค์ไปก่อน
ไม่อย่างนั้น รถไฟก็ตกราง "ตายกันตรงเลยลพบุรี" นี่แหละ"
ผมรำคาญ สุรชัยก็ตรงนี้ ตรงไม่รู้จักกาละเทศะ ของสถานการณ์
ผมเชื่อว่า หากสถานการณ์ถึงนครสวรรค์แล้ว ผมเชื่อว่า นปช.กับสามเกลอ เขาก็อาจขึ้นรถไฟต่อไปถึงเชียงใหม่
แต่เขาไม่จำเป็นต้องพูด ให้ฝ่ายอำมาตย์ มางัดรางรถไฟ ตรงลพบุรีนี่แหละ