ที่มา vattavan
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ผมอ่านบทความของ อ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ ‘มติชน’ รายวันเสมอ เพราะท่านเขียนได้ดี มีหลายบทความที่ถูกใจผม
อาจารย์โกวิทฯเป็นนักเรียนวชิราวุธ วิทยาลัย รุ่นหลังผมหลายปี ท่านคุ้นเคยกับน้องชายผม และทราบจากน้องว่า อาจารย์ก็อ่านคอลัมน์ที่ผมเขียนเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจารย์เขียนบทความชื่อ น่าตกใจ รัฐต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 5 หมื่นล้านบาท ลงในมติชนรายวัน เมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงนำมาฝากท่านผู้อ่าน โดยจะสรุปย่อๆที่ท่านอาจารย์เขียน และขอต่อเติมความเห็นของตัวผมเอง ลงไปด้วย
อาจารย์โกวิทฯพูดถึงเรื่อง “มายาคติ” ว่าเป็นคำศัพท์ที่มีรากมาจากภาษากรีก คือ mythos แปลว่านิทานหรือตำนาน
ท่านบอกว่า “มายาคติ” ของคนไทยส่วนใหญ่มีอยู่ด้วยกัน 2 เรื่อง ที่น่ารำคาญและน่าจะเปลี่ยนความเชื่อที่ไม่เป็นความจริง (มายาคติ) นี้ ไปกับการเปลี่ยนของปีด้วยก็จะดี
มายาคติทั้ง 2 เรื่อง คือ
มายาคติเรื่องที่ 1: การพิมพ์ธนบัตรนั้นต้องมีทองคำเป็นประกัน
ตรงนี้อาจารย์เขียนว่า การพิมพ์ธนบัตรนั้น เดิมชาติที่จัดพิมพ์ต้องมีทองคำหนุนหลัง แต่สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ทำลายหลักการที่ใช้กัน แล้วประกาศให้สหรัฐอเมริกาออกจากมาตรฐานทองคำ โดยไม่เอาเงินดอลลาร์อเมริกันไปผูกติดกับทองคำอีกต่อไป ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่ วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2514
อาจารย์โกวิทฯ แสดงความเป็นห่วงใย เรื่องการพิมพ์ธนบัตรของสหรัฐอเมริกา โดยไม่มีทองคำหนุนหลัง เพราะหลังวิกฤติการเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐรอบหลังนี้ อเมริกายิ่งพิมพ์ธนบัตรของตัวเองออกมามากมาย จนดูเหมือนว่า ปริมาณของเงินดอลลาร์
จะล้นโลก!
ตรงนี้ ในฐานะผมที่เป็นผู้บรรยาย และเขียนตำราการสอบสวนคดีเศรษฐกิจ ออกมาเป็นคนแรกของประเทศ รวมทั้งเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “ฟอกเงิน” เอาไว้ อย่างที่เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้ว มีความเห็นเป็นส่วนตัวว่า
ในที่สุดแล้ว ธนบัตรดอลลาร์ที่สหรัฐพิมพ์ออกมา เป็นจำนวนมหาศาลนั้น ส่วนหนึ่งก็จะไหลย้อนกลับเข้าไป เพื่อซื้อทรัพย์สินในสหรัฐเอง!
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่รัฐบาลและเอกชนจากประเทศจีน ได้เข้าไปซื้อหรือเข้าไปถือหุ้นบริษัทใหญ่ๆในสหรัฐ เป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น จีนยังได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์ที่เป็นเงื่อนไข หรือปัจจัยที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ เช่น ท่าเรือ บริษัทขนส่ง บริษัทอุตสาหกรรมรถยนต์ ฯลฯ เป็นต้น
หากเหตุการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้ ในที่สุดประชากรอเมริกันจำนวนมาก ก็จะกลายเป็น “ลูกจ้าง” ของนายทุนจีน อีกทั้งบริษัทใหญ่ๆในสหรัฐ ที่ตกเป็นสมบัติของจีน หรือจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และจากนี้ไป บริษัทอเมริกันและคนอเมริกันจำนวนมาก ก็จะต้อง...
รับฟังนโยบาย...จากปักกิ่ง!
นอกจากนั้น การที่จีนมีเงินดอลลาร์อยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ในรูปของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และการครอบครองพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐจำนวนมหึมา มีผลกระทบถึงนโยบายต่างประเทศสหรัฐด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา วิกิลีกส์ได้เผยแพร่เรื่อง นายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ ของประเทศออสเตรเลีย พูดกับฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ และได้บอกกับฝ่ายสหรัฐว่า
ควรเตรียมใช้กำลังกับจีน หากเกิดความผิดพลาด!
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะออสเตรเลียอยู่ในปาซิฟิก กลัวการขยายตัวของกำลังรบทางทะเลของจีน ซึ่งกำลังจะนำเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าประจำการเร็วๆนี้ นายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ จึงมีความยำเกรงต่อแสนยานุภาพทางทะเลของจีน จึงได้แนะนำนางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ให้ดำเนินตามความคิดเห็นของตน
ลองหันไปดูทางคุณฮิลลารี่บ้าง…
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐที่เป็นสตรีคนนี้ ได้เคยพูดชัดเจนถึงกรณีที่จีนเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐ และหนี้สินของสหรัฐจำนวนมหาศาล ว่า
China Is Our Banker.
ผู้คนจึงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า
“แล้วอย่างนี้ ‘ฮิลลารี่’ จะไปพูดกดดันกับ Banker ของตัวเอง ได้อย่างไรกัน!?”
นี่แสดงให้เห็นว่า การออกจากมาตรฐานทองคำโลกของสหรัฐ ซึ่งเคยทำให้โลกตะลึง นั้น
บัดนี้ ได้ย้อนศร เข้าไปเล่นงานสหรัฐ ต้นตอของปัญหาเรียบร้อยแล้ว เพราะสหรัฐไม่ได้เป็นชาติที่มีความมั่งคั่งเหมือนเดิมอีกต่อไป!
มายาคติที่ตัวเองได้สร้างขึ้นเองนั้น มาบัดนี้ กลับหวนกลับมาหลอกหลอนคนสร้าง เข้าให้แล้ว!!
มายาคติเรื่องที่ 2 คือความห่วงใยของอาจารย์โกวิทฯ ในเรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่ถูกหลอกให้เชื่อคือ เรื่องของวิกฤตฟองสบู่แตก เมื่อ พ.ศ.2540
ในครั้งนั้น รัฐบาลไทยพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเอาหนี้สินของบรรดาบริษัทเอกชน และสถาบันการเงินต่างๆ จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท (เน้นตรง “ล้านล้านบาท” ไม่ใช่ล้านบาท) มาเป็นหนี้สินของรัฐแทน และรัฐจะต้องนำเอาที่เอาเงินภาษีอากรของคนไทยทั้งชาติ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่ได้ร่วมกู้เงินจำนวน 1.14 ล้านล้านบาทด้วย ไปชำระหนี้แทนเอกชนและสถาบันการเงินที่ต้องปิดตัวไป
อาจารย์โกวิทฯ ได้บอกต่อไปว่า
นอกจากนั้น รัฐบาลไทยยังขอกู้เงิน ไอ.เอ็ม.เอฟ. มาเพื่อค้ำประกันความน่าเชื่อถือของการเงินไทยเป็นเงิน 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินกู้ของ ไอ.เอ็ม.เอฟ.ไทยเราใช้คืนหมดแล้ว แต่อาจารย์บอกว่า
ทำไมเราถึงได้ไปแสดงความยินดีกันเอิกเกริก ทั้งๆที่หนี้ 1.14 ล้านล้านบาท ยังใช้ไม่หมด?
ตรงนี้...ผมเห็นต่างไป
ผมว่าการเป็นหนี้ ไอ.เอ็ม.เอฟ.นั้น ทำให้ประเทศของเราต้องถูกตราหน้าจากสังคมระหว่างประเทศว่า ฐานะทางเศรษฐกิจของไทยเรายังตกต่ำอยู่ ครั้นรัฐบาลจะไปพูดเจรจาต๊ะอ้วยกับประเทศอื่น ก็มองหน้าเขาไม่สนิท คำพูดก็ไม่มีน้ำหนัก
ทักษิณฯจึงตัดสินใจ ที่จะชำระหนี้ก้อนนี้ก่อน!
สำหรับหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ภายในประเทศ เราก็ผ่อนไปใช้ไป แม้ว่าจะต้องใช้กันอีกหลายปี และดอกเบี้ยสูง จนทำให้งบประมาณที่นำมาพัฒนาประเทศมีน้อยลง แต่มันก็ยังเป็นเรื่องภายในของเรา
ลำดับความสำคัญเร่งด่วน คือเรื่องการเป็นหนี้ ไอ.เอ็ม.เอฟ. ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะว่า
ทำให้ ‘ศักดิ์ศรี’ ของประเทศ ด้อยลงไปแยะ!
ถ้าจะเปรียบให้เห็นกันชัดๆ แบบชาวบ้าน การเป็นหนี้ไอ.เอ็มเอฟ.ก็เหมือนกับเป็น “หนี้แขก” ที่ออกเงินกู้ ชาวบ้านเขารู้กันหมด เพราะไอ้บังมันมายืนทวงหนี้ ที่หน้าบ้านแต่เช้าทุกวัน ทำให้เพื่อนบ้านซุบซิบนินทากันได้ว่า บ้านเรานี้ฐานะไม่ดี ถึงกับต้องไปกู้เงินแขก โดยยอมเสียดอกแพงๆ แต่การเป็นหนี้ภายในประเทศนั้น เหมือนการเป็นหนี้ ธ.ก.ส. หรือหนี้ธนาคารออมสินนั้น ยังไงๆก็ดีกว่ากันเยอะเลย
การที่คุณทักษิณฯมาเป็นรัฐบาล ต่อจากพรรคประชาธิเปรตเขาจึงเร่งใช้หนี้ ไอ.เอ็ม.เอฟ. จึงเป็นเรื่องถูกต้อง
แล้วผลเป็นอย่างไรเล่า?
ถ้าหากท่านย้อนไปอ่านคำให้สัมภาษณ์ของ คุณเตช บุนนาค ในบทความของผมสัปดาห์ก่อน ก็จะเห็นกันชัดๆได้เลยว่า
หลังจากที่ใช้หนี้ไอ.เอ็ม.เอฟ.แล้ว ทักษิณฯเดินเกมรุกในต่างประเทศ จนในปีพ.ศ. 2547 นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนนี้ ก็ได้พาประเทศไทย ก้าวเข้าสู่ความเป็น ‘ผู้นำ’ ในกลุ่มประเทศอาเซียน และทำให้ประเทศไทยที่รักของเรา เฉิดฉายในเวทีต่างประเทศ ซึ่งคุณเตช บุนนาค ได้ให้สัมภาษณ์ยกย่องเอาไว้
แต่มาถึงวันนี้ ซึ่งเป็นยุคสมัยรัฐบาลโลซกของ นายมาร์ค มุกควาย ได้ทำให้กิจการต่างประเทศของเราล้มเหลว จนทำให้คุณเตชฯ กลุ้มอกกลุ้มใจยิ่งนัก ถึงกับบอกว่า
กิจการต่างประเทศของเรา...ตกต่ำสุดๆ!
ผมจึงต้องย้ำเตือนกับท่านผู้อ่าน ให้จดจำความอัปยศอดสู ที่ไอ้รัฐบาลโลซกปัจจุบัน มันได้ทำให้ประเทศเราขายหน้าแม้กระทั่งชาติอย่าง “เขมร-ดงเค็งกระเด็งราง” มันยังหยามน้ำหน้าเอาได้
ทุเรศชิบหายเลย จริงๆนะ...ไม่ได้แกล้งพูด!
สำหรับเรื่องหนี้สินของประเทศนั้น ซึ่งอาจารย์แสดงความเป็นห่วง โดยบอกว่ารัฐบาลปัจจุบันมีภาระหนี้ต้องชำระ ถึงห้าหมื่นล้านบาทต่อปีนั้น
ผมเองก็มีความห่วงใย เหมือนกับอาจารย์โกวิท และเคยเขียนถึงเรื่องนี้เอาไว้ แต่ที่พูดถึง เป็นหนี้ที่รัฐบาลพรรคประชาธิเปรต ก่อไว้ครั้งใหม่นี้ ซึ่งเป็นคนละก้อนกับหนี้กองทุนฟื้นฟู เพราะทันทีที่ได้เข้าบริหารประเทศ ไอ้พรรคดักดานนี้ ก็ก่อหนี้ก้อนโตอีกครั้ง ซึ่งภาระดอกเบี้ยและค่าจัดการนั้นสูงมาก โดยผมเขียนตั้งแต่ 18 กรกฎาคม 2552 อย่างนี้ครับ
...รัฐบาลตั้งท่ากู้เงิน 1 ล้าน/ล้าน บาท (แผนการกู้เต็ม 1.5 ล้าน/ล้าน) ก็จะเสียดอกเบี้ยและค่าการจัดการ (Management Fee) สูงถึงปีละ 50,000 ล้านบาท นี่ยังไม่รวมหนี้เก่าและภาระการผ่อนชำระเงินต้น แต่รัฐบาลจะไถ่ถอนพันธบัตรและจ่ายดอกเบี้ยครบถ้วน ให้กับประชาชนผู้ซื้อพันธบัตรตามกำหนดระยะเวลา หรือไม่นั้น? ยังเป็นเรื่องอนาคต เพราะ...
Government Bond ที่ออกไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เงินก้อนใหญ่ที่กู้ประชาชนมา กลับถูกถลุงกันอย่างที่เห็นอย่างนี้...
ผมยังแสดงความห่วงใยพันธบัตรที่รัฐบาล ที่ออกไปเป็นจำนวนมากมาย และได้เล่าให้ฟังว่า แม้แต่ประเทศใหญ่ๆ ยังมีปัญหาการชำระหนี้คืน โดยเขียนเอาไว้ว่า
...แม้แต่รัฐบาลประเทศใหญ่ๆเอง ก็เคยชำระเงินคืนให้ผู้ซื้อพันธบัตรไม่ได้ มีให้เห็นอย่าง รัสเซีย, อาร์เจนติน่า เป็นต้น จนประชาชนที่ไม่ได้รับเงินคืน ต้องเอาพันธบัตรไปแปะข้างฝา เอาไว้เตือนใจตนด้วยความเจ็บช้ำ ใครไม่เชื่อผมลองไปค้นคว้าดูได้ และเรื่องอย่างนี้ ก็ไม่มีใครสามารถรับประกันว่า จะไม่มีวันเกิดขึ้นในเมืองไทยของเรา?
การที่กู้เงินมาเป็นจำนวนมากอย่างนี้ ผมได้ยินผู้ดำเนินรายการวิทยุหลายแห่ง พูดแสดงความห่วงใยในทำนองเดียวกัน ว่า รัฐบาลจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายดอกเบี้ยสูงๆ และจ่ายคืนเงินต้น แต่ผมอยากส่งสัญญาณ เพิ่มเติมอีกว่า
ในขณะนี้ มีคำเตือนออกมาแล้ว จากชาติเศรษฐกิจใหญ่อย่างญี่ปุ่น ที่ออกมาบอกว่าหากเศรษฐกิจจะพลิกฟื้น แต่ก็อย่าหวังว่า เมื่อฟื้นแล้วเศรษฐกิจจะดีเหมือนอย่างที่เคยเป็น เพราะฉะนั้น ใครที่คาดหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาสดใส ดีเหมือนยุคทักษิณนั้น คงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งได้รัฐบาลประชาธิปัตย์มาบริหารบ้านเมืองแบบสะเปะสะปะ มีเรื่องคดโกงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างนี้...
ยิ่งมืดมนอนธการ...หนักเข้าไปอีก!
(อ่านรายละเอียดใน พวกมัน “หิวโหย” กันแค่ ไหน!?http://vattavan.com/detail.php?cont_id=160 และบทความที่เกี่ยวข้อง “ อภิสิทธิ์กับ ‘รัฐบาล-โลซก’ มันยื่น ‘นรก’ ให้คนไทย!!!” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=156)
เฉพาะหนี้เก่าบวกหนี้ใหม่ ภาระการจ่ายดอกเบี้ยคงอานบานทะโรค คือ
น่าจะเฉียดๆ...แสนล้านบาทเอาเสียด้วย!
เห็นตัวเลขก็กลุ้มใจแล้ว เอาไว้รอให้แผนการงบประมาณประเทศปี พ.ศ.2555 ออกมาให้เห็นก่อน จะมีตัวเลขที่ชัดเจน แล้วคงจะต้องพูดถึงกันอีกครั้ง
ผมขอแสดงความเห็น ที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆของชาติ ไว้แต่เพียงเท่านี้ แต่อยากให้ท่านดูภาพเด็กเยอรมันเอาเงินมาเล่นเป็นตัวต่อแทน Lego หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเงินเยอรมันเฟ้อจนไร้ค่า ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เป็นชาติที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และอำนาจกำลังรบเป็นที่ยำเกรง แต่เมื่อสิ้นสุดสงคราม บ้านเมืองก็ยับเยิน
ดังนั้น ไอ้พวก “เงี่ยน” สงครามบ้านเรา ต้องจำใส่กบาลกันไว้ และอยากให้ย้อนไปอ่านบทความ “คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=242 เพื่อเตือนใจกันไว้อีกสักครั้ง
ก็คงจะดี!
ก่อนจะจบบทความในวันนี้ ผมจะขอพูดถึงเรื่อง “มายาคติ” นอกเหนือไปจากที่ท่านอาจารย์โกวิทฯพูดถึง เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนไทย และผู้บริหารประเทศ ซึ่งพอมีสติปัญญา นำไปพิจารณากัน กล่าวคือ
เมืองไทยของเรานั้น มีมายาคติที่ผมคิดว่า เป็นคุณสมบัติหรือมูลค่าแฝงเร้น อันวิเศษของคนไทย หรือที่เราเรียกว่า Mystic value
ขอฉายภาพตัวอย่างให้พอเห็น เช่น
โรงแรมโอเรียลเต็ล กับโรงแรมริมฝั่งเจ้าพระยาด้วยกัน เมื่อเปรียบเทียบราคาค่าที่พัก อาหาร เครื่องดื่มกันแล้ว โอเรียลเต็ลดูจะสูงกว่าโฮเต็ลอื่นมาก ทั้งๆที่ห้องพักโรงแรมอื่นอาจดูใหม่กว่า เพราะสร้างขึ้นมาที่หลัง วัสดุที่ใช้อาจดูทันสมัยกว่า หรืออาจจะดูดีกว่า แต่เหตุที่โรงแรมโอเรียลเต็ล สามารถกำหนดราคาได้สูงกว่าได้ นั่นเป็นเพราะ
แขกผู้มาพักโรงเขามองเห็นคุณค่า หรือมูลค่าที่แฝงเร้นของโรงแรมโอเรียลเต็ล ซึ่งมีชื่อเสียงยาวนานทั้งด้านการบริการ และด้านอื่นๆ สามารถสร้างความประทับใจให้กับแขกผู้มาพัก เป็นเวลายาวนานนับศตวรรษ
นี่เองที่ทำให้โรงแรมโอเรียลเต็ล มีคุณค่าแฝงเร้นหรือ Mystic value ที่เหนือกว่าโรงแรมอื่นๆ อันมีผลไปสนับสนุนราคาค่าบริการให้สูงขึ้น
ผมคิดว่านายกฯทักษิณ ชินวัตร มองเรื่อง Mystic value นี้ชัดเจนมาก จึงได้นำนโยบายเรื่องโอทอปมาดำเนินการ เพราะเขาเห็นคุณค่าของงานฝีมือไทย ว่าอะไรก็ตามที่ตกมาอยู่ในมือของคนไทย ไม่ว่าเดิมจะเป็นของใดหรือมีรากฐานมาจากไหนก็ตาม หากตกมาอยู่ในมือของคนไทยแล้ว พวกเราก็สามารถประดิดประดอย ให้ดูดีกว่าของเดิม จนดูสวยงามแปลกตาได้เสมอ
นี่เป็น Mystic value ที่ทรงเสน่ห์ของคนไทย!
การที่ทักษิณฯมองเรื่อง Mystic value ออก อาจเป็นเพราะเขาถือกำเนิดเกิดมาในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีช่างฝีมือดีๆเป็นจำนวนมาก เป็นแหล่งผลิตทั้ง ร่ม ผ้าทอ เครื่องเรือน งานฝีมืออื่นๆ ฯลฯ อีกทั้งตระกูลของเขา ก็ดำเนินธุรกิจเหล่านี้มาก่อนด้วย
นี่เองทำให้ทักษิณฯ ผลักดันโครงการโอทอป จนกลายเป็น “เสาหลัก” ทางเศรษฐกิจอีกต้นหนึ่ง ของประเทศไทยไปแล้ว
ตัวผมเองสังเกตมานานแล้วว่า มายาคติที่แฝงเร้นและทรงคุณค่าหรือมีมูลค่าที่เป็น Mystic value ของคนทางภาคอีสานนั้น สร้างความประทับใจให้กับคนต่างด้าวท้าวต่างแดนมาก โดยเฉพาะความมีเสน่ห์ที่เร้นลับของคนอีสาน ดูจากสาวอีสาน ที่ฝรั่งมังค่ามาติดพัน จนกระทั่งมาตั้งบ้านเรือนและอยู่กันเป็นชุมชน หรือหมู่บ้าน เช่น
กรณี “บ้านจาน-สวิส” ที่ผมเคยเขียนเล่าเอาไว้ใน กาแฟขม-ขนมหวาน ตอน ‘เมียเช่า’-‘เมียฝรั่ง’…มองกันอีกมุม! http://vattavan.com/detail.php?cont_id=167 ซึ่งน่าแปลกใจมาก เพราะการไปตั้งบ้านเรือนของพวกฝรั่งหลายชาติเหล่านั้น จนกระทั่งกลายเป็นหมู่บ้าน หรือชุมชน กลับไม่ปรากฏว่ามีขึ้นในภาคอื่นๆด้วย คงมีแต่เฉพาะภาคอีสานเท่านั้น
หากท่านถามว่า ทำไมคนอีสานถึงมีเสน่ห์นัก?
ตรงนี้ผมต้องตอบว่า มันเป็น Mystic value มาแต่บรรพบุรุษ สะสมมา และฝังอยูในวัฒนธรรมอีสาน ส่งผลให้คนอีสานมีความน่ารัก มองคนในแง่ดี มีความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์
ขอให้เข้าใจว่า วัฒนธรรมอีสานนั้น ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย และวัฒนธรรมอีสานนั้น สามารถขยายไปในลักษณะ Globalize ได้โดยง่ายด้วยซ้ำไป ดังเราจะเห็นได้ว่า
ในกรุงลอนดอนอังกฤษตอนนี้ วัฒนธรรมลาบส้มตำได้เผยแพร่เข้าไปอย่างกว้างขวาง และมีเรื่องเล่าที่ว่า มีอาจารย์ของ London School of Economics ถึงกับบอกด้วยความประหลาดใจว่า
เมืองอังกฤษจะถูกวัฒนธรรม ‘ลาบส้มตำ’ ของคนอีสาน รุกราน และยึดไปเสียแล้ว!
ใช่แต่ลอนดอนเท่านั้น ปรากฏการณ์เช่นนี้ยังเกิดในประเทศอื่นๆ รวมทั้งสหรัฐด้วย
เป็นเรื่องที่น่าแปลก และผมสังเกตเห็นคือ เมื่อคนอีสานไปอยู่ต่างถิ่น โดยเฉพาะในต่างประเทศ พวกเขาสามารถสร้างชุมชนชาวอีสานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมอีสานที่แข็งแกร่ง อันเป็น Mystic value ทรงคุณค่านี่แหละ เป็นส่วนเสริมสร้างสังคมของคนอีสานขึ้นได้อย่างง่ายดาย และเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในต่างแดนด้วย
ผมประหลาดใจที่นักวิชาการ นักการเมือง ชอบเขียนหรือพูดในทำนอง “คนอีสาน-ซื้อได้” หรือ “คนอีสาน-ไม่มีความรู้” เหมือนอย่าง ส.ส.ที่น่าขยะแขยง ของพรรคดักดานเคยพูดถูกคนอีสาน จนโดนด่าแหลกลาญไปแล้ว
ไอ้พวกที่พูดอย่างนี้ เพราะมันฝังความคิดอย่างนี้ในหัวกบาลมานาน ซึ่งผมว่ามัน “โง่” เอามากๆ เพราะไม่แหกตาดูโลก เพราะมหาวิทยาลัยรามคำแหงเอง เขามีสถิติจดเอาไว้ว่า
บัณฑิตที่จบออกไปจากรามคำแหง จำนวนแปดแสนคนนั้น เป็นคนอีสานเสียกว่า...สี่แสนคน!
เกิน “ครึ่งหนึ่ง” ของทุกภูมิภาครวมกันทีเดียว!!
ใครที่ไปท่องเที่ยวอีสานตอนนี้ มองเห็นความเจริญก้าวหน้าของภูมิภาคนี้แล้ว
ท่านคงแปลกใจ!
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งคนอีสานได้ผสมกลมกลืน กับเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง อย่างคนจีน หรือที่เรียกกันว่า “จ.ป.ล” (จีนปนลาว) และ “ก.ป.ล” (แกวปนลาว) ลูกหลานของคนเหล่านี้ ก็ได้กลายเป็นหัวหอก ในการสร้างความเจริญให้อีสานเป็นอย่างมาก
ผมว่ารัฐบาลที่เฉลียวฉลาด จะต้องไม่มุ่งสร้างความสามารถในการแข่งขัน แต่เพียงอย่างเดียว เพราะเราจะไปสู้ชาติอย่างสิงคโปร์ คงจะยาก แต่การเน้นในเรื่องการส่งเสริม “คุณค่าหรือมูลค่าที่แฝงเร้น” หรือ Mystic value ให้เปล่งประกายจนเฉิดฉายออกมา น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะชาติอย่างสิงคโปร์ หรืออีกหลายชาติ
ไม่มีคุณสมบัติอันวิเศษนี้!!
ผมก็ได้แต่แนะนำไปเท่านั้น แต่ไอ้รัฐบาล ‘โลซก’ สกปรกเลอะเทอะ ของนายมาร์ค มุกควาย
มันคง ‘ไม่ฟัง’ หรอกครับ!!!
.........................
(บทความประจำสัปดาห์ Mystic value ‘คุณค่าหรือมูลค่าแฝงเร้น’ ของไทย ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ.2554)