เพื่อไทย
Saturday, November 1, 2008
'น.พ.ประชา' ย้ำคนไทยไม่เห็นด้วยกับแก๊งพันธมาร
'เทพไท' หนุน'ทักษิณ'โฟนอิน แก้วิกฤติการเมือง
เทพไท หนุนต่อสาย ทักษิณ เปิดโอาสให้อดีตนายกฯคลี่คลายปัญหาบ้านเมือง เชื่อทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า การจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร ที่จะมีการต่อสายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอดีตนายกฯควรใช้โอกาสนี้ ในการคลี่คลายปัญหา เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่ทำให้สถานการณ์ ดีขึ้นได้
นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนการแก้ไขปัญหาวิกฤติทางการเมืองที่นายกฯ ออกมาบอกว่า ส.ส.ร. 3 แก้วิกฤติได้นั้น คงไม่ใช่การแก้วิกฤติทางการเมือง
รายงานเหตุการณ์งาน "ความจริงวันนี้" 1 พ.ย. 51
ถ่ายภาพโดย แฟนประจำ กล่องออมสิน ss.hh ไม้ตะพด
1 พฤศจิกายน 2551
(ทีมงานกำลังอัพเดตหัวข้อข่าวนี้)
สถานีข่าวถ่ายทอดสด
Thai News Network หรือ TNN 24 (ทรูวิชั่นส์ 07) (แจ้งว่าจะเกาะติดสถานการณ์จนงานเลิก โดยถ่ายทอดข่าวเป็นช่วงๆ)
http://truemusic2.truelife.com/home/player/player_livetv.php?guid=8
สถานีเสรีชน
http://www.nvkfrl.com/Rachmangkala/index1.htm
http://www.serichon.com/
ชมรมฟ้าใหม่
http://www.newskythailand.com/
Thai People Voice
http://www.thaipeoplevoice.org/demo2.html
ความจริงวันนี้
http://www.todayfact.com/
คนไทยพิทักษ์ประชาธิปไตย
http://www.konthai.org/home/
เพิ่มเติม
http://uddtoday.ning.com/
หมายเหตุ: จะมีการแจ้งรายชื่อลิงก์ถ่ายทอดสดเพิ่มเติมเรื่อยๆ ทั้งนี้ท่านยังสามารถติดตามการถ่ายทอดสดออนไลน์ได้จากอีกหลายๆ แหล่งตามรายชื่อสถานีถ่ายทอดสดออไลน์ด้านขวามือของเว็บเรา
ภาพจากอุดรเมื่อคืนนี้
ภาพจากคุณ ss.hh เวลาประมาณ 20.30 น. แสดงให้เห็นประชาชนจำนวนมากจากจังหวัดอุดรธานี สวมเสื้อสีแดงเดินทางด้วยรถบัสเข้ามาที่กรุงเทพฯ
ภาพก่อนเริ่มงาน
ภาพจากคุณ "แฟนประจำ" แสดงบริเวณหน้างานช่วงเช้า และคุณ "กระปุกออมสิน" ถ่ายภาพหน้างานช่วงสาย
ภาพจากคุณ ไม้ตะพด ให้รายละเอียดของกิน ร้านค้าและบรรยากาศรอบๆ งานช่วงก่อนเที่ยง
คนแห่ซื้อเสื้อแดง-ตีนตบเนื่องแน่น
มาแล้ว‘คนเสื้อแดง’เดินทางรงมตัวที่สนามกีฬาราชมังคลาฯคึกคัก พบคนแห่ซื้อเสื้อแดงตีนตบเพียบ ด้านตร.ยันไม่รุนแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณโดยรอบสนามรัชมังคลาฯ เมื่อเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมมาข้างใน พบว่า สินค้าที่มีประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดคือ เสื้อยืดแดงและตีนตบ ซึ่งเรียกได้ว่า จุดไหนมีวางขาย จุดนั้นมีคนซื้อตลอด ส่วน"ตีบตบ" ที่ผลิตออกมาหลายเวอร์ชั่น ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ยังครองใจกลุ่ม นปช.ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่
จาการเฝ้าสังเกตการณ์ของผู้สื่อข่าว พบว่า ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจร่วมงาน "ความจริงวันนี้สัญจร" ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่คนชรา รวมทั้งชาวต่างชาติ และคนพิการ
เดินทางแสดงพลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก ช่วงเช้าวันนี้(1พ.ย.) ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน “ความจริงวันนี้ สัญจร”ครั้งที่ 2 ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้มีการจัด สถานที่ต่าง ไว้พร้อมรับการรวมตัวของกลุ่มนปช. แล้ว ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด
โดยล่าสุด เริ่มมี นปช. จากหลายจังหวัด อาทิ สมุทรปราการ เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ เดินทางมาถึงแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าไปในสนามฟุตบอลได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะเปิดให้เข้าได้ในเวลา 08.00 น. ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลและตำรวจนครบาล 4 จะเข้าตรวจวัตถุระเบิดก่อนเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมงาน
ผู้สื่อข่าวรายด้วยว่าบริเวณด้านหน้างานได้มีพ่อค้าแม่ค้านำของที่ระลึกมาวางขายเป็นจำนวนมาก เช่น ตีบตบ เสื้อสีแดง ผ้าโผกหัว ฯลฯโดยได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี
ด้าน พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. กล่าวว่า จากการประเมินคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุจำนวนมาก พร้อมทั้งได้ประสานพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ.ให้นำทหารมาร่วมรักษาความปลอดภัยด้วย แต่ยืนยันว่าจะไม่เกิดความรุนแรง เพราะเป็นการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ
เขตปลอดพันธมิตร
วานนี้(31ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สนามกีฬารัชมังคลากีฬาสถาน ได้มีการจัดเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับประชาชนผู้จะเดินทางเข้ามาร่วมรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร” ครั้งที่ 2 โดยมีการจัดเวทีขนาดใหญ่ ขึ้นข้อความด้านซ้ายมือว่า “ปกป้องรัฐประหาร” ส่วนตรงกลางขึ้นภาพพิธีกรรายการความจริงวันนี้ทั้ง 3 คนประกอบไปด้วย นายวีระ มุกสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธ์ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส่วนทางด้านซ้ายขึ้นข้อความ “ปกป้องประชาธิปไตย” นอกจากนี้บริเวณรอบสนามซึ่งเป็นชั้นทางเดินอัฒจรรย์ นั้นได้มีการขึ้นป้ายข้อความ “เขตปลอดพันธมิตร” เต็มบริเวณทุกชั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวทีขนาดใหญ่ได้ตั้งไว้ทางอัฒจรรย์ด้านทิศเหนือ ติดกับกระถางคบเพลิง โดยมีการนำเครื่องเสียงขนาดใหญ่มาติดตั้ง และ ปูพื้นลูกวิ่งยางซินเทติกด้วยผ้าใบ และนำแผ่นไม้มาปูทับจนเต็มในสนามกีฬา โดยการมีจัดวางเก้าอี้เอาไว้เต็มพื้นที่บริเวณดังกล่าวทั้งหมด
ทั้งนี้คณะทำงานได้คาดการณ์ว่าหากมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตย สวมเสื้อยืดสีแดง เข้าร่วมงานเต็มพื้นที่ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ภายในสนามกีฬารัชมังคลากีฬาสถานแห่งนี้ จะมีคนเข้าร่วมได้ประมาณถึง 1 แสนคน ซึ่งจะเป็นการจัดงานเพื่อประชาธิปไตยครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
การจัดงานครั้งนี้แป็นไปตามคำเรียกร้องของประชาชน หลังจากการจัดงานครั้งที่ผ่านมา ที่ อาคาร “ธันเดอร์โดม” อิมแพค เมืองทองธานี ได้มีผู้คนเข้าร่วมงานจำนวนมากจนล้นออกมานอกอาคาร ทำให้ประชาชนอีกนับหมื่นๆ คนไม่ได้เข้าไปชมรายการ ความจริงวันนี้ สัญจรครั้งที่ 1 ทำให้การจัดงานครั้งนี้ต้องหาสถานที่ใหญ่กว่าเดิม
ทีมงานเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะโทรศัพท์เข้ามาพูดคุยและทักทายกับประชาชนในรายการความจริงวันนี้สัญจร อย่างแน่นอน โดยใช้วิธีการโทรศัพท์ข้ามประเทศ และจะมีเซอร์ไพรซ์ในงานดังกล่าวอีกด้วย
กทม.-กรมศิลป์วุ่น พระรูปร.5 พิษปาก"สนธิ-โกเต๊ก"
"อภิรักษ์"สั่งตรวจสอบบริเวณฐานพระบรมรูปร.5 หลังมีคลิปว่อนทั่วเมือง แฉ"สนธิ" ฟุ้งบนเวทีเรื่องทำคุณไสย เอาโกเต๊กเปื้อนเลือดไปเช็ดที่ฐานพระบรมรูปเพื่อแก้เคล็ดหมอเขมร ทางด้าน"เสธ.แดง"เตรียมเคลื่อนไหวชักชวนศิษย์นายร้อยจปร.ลุกฮือเอาเรื่อง ม็อบนปช. ชุมนุมกลางกรุงที่สนามราชมังคลากีฬาสถานวันนี้ แกนนำยัน"ทักษิณ"โฟนอินแน่ แถมพ่วง"สมัคร"ด้วย ขณะที่คนเสื้อแดงหลั่งไหลจากตจว.เข้ากรุงตามนัด มั่นใจคนทะลักถึงแสน แม้จะโดนคว่ำบาตรไม่เอาด้วยจากกลุ่มเพื่อนเนวิน ขณะเดียวกัน คนตจว.ก็เฮโลมาสมทบม็อบพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบฯ เช่นกัน ตร.เครียดประสานทหารขอแรงมาตรึงป้องกันม็อบชนม็อบ ส่วนสธ.ก็เตรียมพร้อมทั้งรถพยาบาล-ร.พ.ไว้รอท่า เผื่อเกิดเหตุการณ์บานปลาย แฉ"แม้ว-อ้อ"บินจากอังกฤษมาอยู่ฮ่องกงแล้ว เตรียมพร้อมโฟนอิน ตุลาการเตรียมเก็บหลักฐานการโฟนอิน หากเข้าข่ายหมิ่นศาลเมื่อไรจะดำเนินคดีทันที
-แม้วโฟนอินสด-ส่วนหมักเปิดเทป
ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนกรณีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ จะมาร่วมรายการด้วยหรือไม่ นายวีระกล่าวว่า ตนติดต่อนายสมัครตลอด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะนำเทปบันทึกเสียงของนายสมัครมาเปิดให้ผู้ชุมนุมฟังด้วย เพราะถือเป็นความตั้งใจของตนที่อยากให้ผู้ชุมนุมได้ยินเสียงของนายสมัคร
ด้านนายพงศ์เทพให้สัมภาษณ์กรณีพ.ต.ท. ทักษิณจะโฟนอินมายังรายการว่า ตนไม่ทราบว่าพ.ต.ท. ทักษิณจะโฟนอินมาหรือไม่ เพราะยังไม่ได้รับการยืนยันจากพ.ต.ท.ทักษิณ เข้าใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณ คงประสานไปยังผู้จัดรายการแล้ว ทั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณสามารถโฟนอินได้ เพราะถือเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่มีสิทธิ์แสดงออกเช่นคนไทยทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่าสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณพูด จะไม่ทำให้เกิดปัญหาตามมา อย่างที่หลายฝ่ายวิตกกังวล
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลายฝ่ายเกรงว่าหากพ.ต.ท. ทักษิณโฟนอินเข้ามาจริง จะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยก นายพงศ์เทพกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนไทยที่รักประเทศไทย เชื่อว่าหากจะโฟนอินเข้ามาด้วยความที่เป็นคนไทยที่รักประเทศไทย คงไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ
-เมินคำวอนรักในหลวงให้อยู่บ้าน
เมื่อถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองของไทยขณะนี้อย่างไร โฆษกประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ตนไม่ค่อยได้โทรศัพท์พูดคุย เพราะเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่ต่างประเทศแล้ว จึงไม่อยากนำเรื่องที่คนไทยเหนื่อยใจและเครียดไปให้ พ.ต.ท.ทักษิณเครียดด้วย ตนจึงไม่เล่าและไม่สอบถาม เพราะอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณเกิดความสบายใจ ส่วน ความคืบหน้าการขอลี้ภัยนั้น ตนไม่ได้สอบถาม เพราะแถลงข่าวไปแล้ว ข้อมูลเป็นไปตามที่พ.ต.ท.ทักษิณแถลง ส่วนความคืบหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาฯ นั้น ต้องถามทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ต่อข้อถามถึงกรณีนายดิสธร วัชโรทัย ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชาชูปถัมภ์ ระบุถ้ารักในหลวงให้ทุกคนอยู่กับบ้าน ไม่ต้องออกมาชุมนุม นายพงศ์เทพกล่าวว่า ยืนยันว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดง ชุมนุมด้วยเจตนารมณ์ต่อต้านรัฐประหาร ที่สำคัญการชุมนุมดังกล่าวนี้ ชุมนุมกันไม่กี่ชั่วโมงก็กลับ ไม่ใช่พกอาวุธหรือปักหลักไปยึดสถานที่ราชการ
ส่วนการขว้างระเบิด และยิงกันตาย บริเวณใกล้กับสถานที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้น โฆษกของพ.ต.ท. ทักษิณกล่าวว่า เชื่อว่าเป็นฝีมือของบุคคลที่ 3 และคงไม่ใช่ฝีมือของกลุ่มพันธมิตรที่ต้องการสร้างสถานการณ์ เพราะฝ่ายพันธมิตรก็สูญเสียเช่นกัน แต่ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจมีผลต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่จะมาชุมนุมที่สนามราชมังคลาฯ ที่อาจเกิดความลังเล โดยเฉพาะความปลอดภัย
-แม้วมาซุ่มฮ่องกงเตรียมโฟนอิน
รายงานข่าวจากอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า การจัดงาน "ความจริงวันนี้สัญจร" ในวันที่ 1 พ.ย. ที่สนามราชมังคลาฯ นั้น ผู้จัดได้แบ่งสายในแต่ละภาคและแยกย่อยออกเป็นจังหวัดเพื่อขนคนเข้ามา โดยมีส.ส.และแกนนำของพรรคพลังประชาชนหรือพรรคไทยรักไทยเดิมเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับแกนนำในการวางแผนขนคนเข้ามาร่วมงานในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างนายยงยุทธ ติยะไพรัช และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ส่วนนายเนวิน ชิดชอบครั้งนี้ขอถอนตัวและไม่มีส่วนร่วมดำเนินการ โดยตั้งเป้าตัวเลขของผู้มาร่วมงานอยู่ที่ 1 แสนคน อยู่ในตัวสนามประมาณ 6 หมื่นคน ที่เหลืออยู่บริเวณสนามหญ้าโดยรอบ ทั้งนี้ คณะผู้จัดงานเป็นห่วงตัวเลขผู้มาร่วมงานที่มีจำนวนมาก และเกรงจะเกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะมีข่าวลือว่าจะมีมือดีเข้ามาสร้างความปั่นป่วน หรืออาจถึงขั้นปาระเบิดขวดหรือระเบิดเสียง เพื่อให้ประชาชนที่มาร่วมงานเกิดความแตกตื่นจนเกิดการเหยียบกันตาย คณะผู้จัดจึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่เพื่อเข้ามาดูแลความเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเขียนป้ายเข้า-ออก และจุดนัดหมายอย่างชัดเจน
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณได้บินเงียบจากอังกฤษมาพักที่ฮ่องกง โดยเดินทางมาส่งบุตรชายและบุตรสาว คือนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร ที่จะเดินทางกลับประเทศไทย
อ่านรายละเอียด ข่าวสด
คลิป นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัยกรณีพระบรมรูปทรงม้า
"เชาวริน"เผยอดีตผู้นำมาฮ่องกง ม็อบเสื้อแดงคึกทะลุ"8หมื่น"แน่
"แม้ว"โฟนอินแน่-ลุ้น"สมัคร"อีกคน
ขณะที่แกนนำผู้จัดรายการครอบครัวความจริงวันนี้สัญจร ร่วมกันแถลงเมื่อเวลา 14.30 น. โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ กล่าวยืนยัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการจัดรายงาน ที่ขณะนี้เตรียมการเรียบร้อยปกติกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้ที่จะขึ้นปราศรัยนั้นนำโดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ทุกคน เพื่อแสดงจุดยืนว่าบ้านนี้เมืองนี้จะต้องใช้กฎหมายเพื่อให้สันติภาพเกิดขึ้น หากใครมีความเป็นห่วง เรื่องการขนคน จนถึงความปลอดภัยให้มาพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง สำหรับการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นจะไม่เพิ่มหรือลดเวลา แล้วแต่ความสบายใจและเหมาะสม ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดในรูปแบบใด และโฟนอินเข้ามากี่โมง แต่ขอให้ดูช่วงที่ตนเป็นคนขึ้นเวทีปราศรัยเป็นหลัก โดยจะมีกิจกรรมพิเศษในเวลา 13.00 น. คือการสาปแช่งผู้ทำลายประชาธิปไตย โดยพราหมณ์จากนครศรี ธรรมราชเป็นผู้ทำพิธี
นายวีระปฏิเสธไม่ทราบกระแสข่าว พ.ต.ท. ทักษิณเดินทางมาปักหลักที่ประเทศฮ่องกง "แต่ที่รู้คือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ลังเลใจหรือมีความคิดว่าจะเปลี่ยนใจไม่โฟนอินเลย ซึ่งเราพยายามกันทุกอย่าง แม้กระทั่งนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีที่หมอห้ามไม่ให้ขึ้นเวทีปราศรัย เราก็พยายามที่จะประสานอยู่ขอให้นายสมัครได้โฟนอินมาพูดคุยกับประชาชนสัก 10 นาทีก็ยังดี" นายวีระกล่าว
คุยเคเบิลทีวีมะกันยิงสดไปสหรัฐ
นายวีระกล่าวว่า ไม่วิตกเลยว่า พ.ต.ท. ทักษิณปราศรัยแล้วจะส่งผลไม่ดีกับประเทศ เพราะเชื่อมั่นในวุฒิภาวะว่าการพูดครั้งนี้จะมีแต่ความสร้างสรรค์ แต่สำหรับผู้นำเหล่าทัพที่วิตกกังวลหรือเป็นห่วงเป็นใยการชุมนุมนั้น ก็อยากจะถามว่าผู้นำเหล่าทัพไม่เคยดูสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีเลยหรือ ทั้งๆ ที่ด่าอยู่ทุกคืน แล้วผู้นำเหล่าทัพไปหูหนวก ตาบอดอยู่ที่ไหน
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน (พปช.) กล่าวว่า ทางแกนนำได้เตรียมการเรื่องความปลอดถัยไว้ทุกด้าน โดยได้ประสานไปยังตำรวจนครบาลเพื่อขอกำลังมาช่วยนับพันนาย ซึ่งครั้งแรกตำรวจประสานกลับมาว่าจะขอกำลังทหารมาช่วยเสริมรักษาความปลอดภัย แต่ได้แจ้งกลับไปว่ายังไม่ต้องให้ทหารออกมา และขอให้ทหารอยู่ในที่ตั้งไปก่อน เพราะแค่กำลังตำรวจกับอาสาสมัครจากนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะพื้นที่โดยรอบสนามราชมังคลากีฬาสถานจะมีกล้องวงจรปิดหมดทุกจุด และตำรวจจะปิดพื้นที่รอบๆ สนามราชมังคลาฯ เพื่อเคลียร์ทุกอย่างในเวลา 03.00 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน แล้วจะเปิดให้คนเข้าในเวลา 08.00 น. พร้อมกันทั้งหมด ซึ่งขณะนี้มีการประสานขอถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์จากหลายที่ แต่ที่แน่นอนแล้วคือสถานีโทรทัศน์ไอพีทีวี ซึ่งเป็นเคเบิลทีวีของอเมริกาจะถ่ายทอดสดไปยังอเมริกาอย่างแน่นอน
กลุ่มเนวินไร้ผล-เชื่อ8หมื่นร่วม
นายจตุพรกล่าวกรณี ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน ไปแจ้งให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยับยั้งการเคลื่อนประชาชนเสื้อแดงเข้ากรุงเทพฯว่า สอบถามไปยังกลุ่มเพื่อนเนวินแล้ว ทราบว่าต้องการให้งานนี้เป็นของประชาชนที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่อยากให้การเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง แบบที่ว่าใครใช้ให้ออกมาก็ออกมา หรือใครไม่ให้ออกมาก็ไม่ออกมา ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรกับการชุมนุมอยู่แล้ว และยังเชื่อว่าประชาชนจะมาร่วมเต็มพื้นที่สนาม ซึ่งได้เตรียมไว้ทั้งเก้าอี้บนอัฒจันทร์และพื้นหญ้ารวมทั้งลู่วิ่ง รวมประมาณ 8 หมื่นคน
นายจาตุรนต์กล่าวว่า จะร่วมขึ้นปราศรัยและร้องเพลงด้วย โดยจะเน้นหนักไปที่การให้เหตุผลเรื่องประชาธิปไตยและการคัดค้านการรัฐประหาร ซึ่งที่ผ่านมาเราได้จับตากันว่าจะมีการรัฐประหารก่อนงานนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ วันนี้น่าจะเหลือโอกาสในการเกิดขึ้นได้น้อยมากเพราะเหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้น นอกจากนั้นก็จะเป็นเรื่องของประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย รวมทั้งทางออกจากวิกฤตในขณะนี้
แม้วอาจเปลี่ยนใช้"วีทีอาร์"แทน
ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พปช. ทราบมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกจากประเทศอังกฤษไปยังเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อทำธุระมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางมาพำนักที่เกาะฮ่องกง ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
รายงานข่าวจาก พปช.แจ้งว่า ภายหลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการโฟนอินทางโทรศัพท์ในงานความจริงวันนี้ ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการโฟนอิน เป็นการทำวีทีอาร์บันทึกภาพและเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อนำมาเปิด เล่าสารทุกข์สุกดิบกับผู้เข้าร่วมงานแทน เนื่องจากวิธีการดังกล่าวจะทำให้ภาพเกิดความนุ่มนวลกว่าวิธีการแรก เพราะผ่านการพิจารณาจากมาหลายขั้นตอน
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โฆษกส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องการโฟนอิน แต่เชื่อว่าหากจะโฟนอินเข้ามาด้วยความที่เป็นคนไทยที่รักประเทศไทย คงไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ
อ่านรายละเอียด มติชน
ส.ส.ปากน้ำยันไม่ได้เกณฑ์คนร่วม "ความจริงวันนี้"
‘ประชา’ยืนยันชัดเจนพลังเสื้อแดงวันนี้มารวมพลังโดยไม่ได้เกณฑ์ แต่มาเพราะต้องการแสดงพลังเพื่อคัดค้านการกระทำเหนือกฏหมายของพพันธมิตรฯ
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า วันนี้ตนจะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อติดตามรายการความจริงวันนี้ต้านรัฐประหาร ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
ทั้งนี้ยืนยันว่าตนไม่ได้เกณฑ์คนเข้าร่วมงานแต่อย่างใด เพราะประชาชนไปด้วยความสมัครใจ และเชื่อว่าคนในเขตพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลจะเดินทางไปร่วมจำนวนมาก
“ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะข้อเสนอการเมืองใหม่ จึงเดินทางมาเพื่อแสดงออกร่วมกัน ขอยืนยันว่าการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจะไม่มีการเคลื่อนพลไปปะทะกับพันธมิตรฯ อย่างเด็ดขาด”นายประชา กล่าว
ด้านนางอรุณ จันทร์วงศ์ อายุ 70 ปีเดินทางมาจากจังหวัดนครปฐมให้สัมภาษณ์ว่า ตนเดินทางมาพร้อมสามี 2 คนและสาเหตุที่มาร่วมงาน‘ความจริงวันนี้ ครั้งที่ 2 ’เพราะต้องการสนับสนุนให้มีการนำเสนอความจริงในสังคมไทยที่ถูบิดเบือนโดยพันธมิตรฯมาโดยตลอด
“รู้สึกปราบปลื้มใจมากที่มีงานในวันนี้ เพราะที่ได้ติดตามรายการนี้มาเห็นว่าเนื้อหาเข้าใจง่าย ตีแผ่เรื่องจริงให้คนที่ถูก พวกพันธมิตรมอมเมามานานและที่สำคัญไม่มีคำหยาบคาย”คุณยายวัย 70 ปี กล่าว
อย่างไรก็ตามนางอรุณ กล่าวด้วยว่า หากถ้าจัดงานนี้อีกตนก็พร้อมจะมาร่วมชุมนุมด้วย
‘พลังเสื้อแดง’ทยอยรวมพลราชมังคลาฯคึกคัก
มาแล้ว‘คนเสื้อแดง’เริ่มทยอยเดินทางรงมตัวที่สนามกีฬาราชมังคลาฯคึกคัก พบคนแห่ซื้อตีนตบเพียบ ด้านตร.ยันไม่รุนแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก ช่วงเช้าวันนี้(1พ.ย.) ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน “ความจริงวันนี้ สัญจร”ครั้งที่ 2 ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้มีการจัด สถานที่ต่าง ไว้พร้อมรับการรวมตัวของกลุ่มนปช. แล้ว ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด
โดยล่าสุด เริ่มมี นปช. จากหลายจังหวัด อาทิ สมุทรปราการ เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ เดินทางมาถึงแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าไปในสนามฟุตบอลได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะเปิดให้เข้าได้ในเวลา 08.00 น. ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลและตำรวจนครบาล 4 จะเข้าตรวจวัตถุระเบิดก่อนเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมงาน
ผู้สื่อข่าวรายด้วยว่าบริเวณด้านหน้างานได้มีพ่อค้าแม่ค้านำของที่ระลึกมาวางขายเป็นจำนวนมาก เช่น ตีบตบ เสื้อสีแดง ผ้าโผกหัว ฯลฯโดยได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี
ด้าน พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. กล่าวว่า จากการประเมินคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุจำนวนมาก พร้อมทั้งได้ประสานพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ.ให้นำทหารมาร่วมรักษาความปลอดภัยด้วย แต่ยืนยันว่าจะไม่เกิดความรุนแรง เพราะเป็นการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ
เขตปลอดพันธมิตร
วานนี้(31ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สนามกีฬารัชมังคลากีฬาสถาน ได้มีการจัดเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับประชาชนผู้จะเดินทางเข้ามาร่วมรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร” ครั้งที่ 2 โดยมีการจัดเวทีขนาดใหญ่ ขึ้นข้อความด้านซ้ายมือว่า “ปกป้องรัฐประหาร” ส่วนตรงกลางขึ้นภาพพิธีกรรายการความจริงวันนี้ทั้ง 3 คนประกอบไปด้วย นายวีระ มุกสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธ์ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส่วนทางด้านซ้ายขึ้นข้อความ “ปกป้องประชาธิปไตย” นอกจากนี้บริเวณรอบสนามซึ่งเป็นชั้นทางเดินอัฒจรรย์ นั้นได้มีการขึ้นป้ายข้อความ “เขตปลอดพันธมิตร” เต็มบริเวณทุกชั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวทีขนาดใหญ่ได้ตั้งไว้ทางอัฒจรรย์ด้านทิศเหนือ ติดกับกระถางคบเพลิง โดยมีการนำเครื่องเสียงขนาดใหญ่มาติดตั้ง และ ปูพื้นลูกวิ่งยางซินเทติกด้วยผ้าใบ และนำแผ่นไม้มาปูทับจนเต็มในสนามกีฬา โดยการมีจัดวางเก้าอี้เอาไว้เต็มพื้นที่บริเวณดังกล่าวทั้งหมด
ทั้งนี้คณะทำงานได้คาดการณ์ว่าหากมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตย สวมเสื้อยืดสีแดง เข้าร่วมงานเต็มพื้นที่ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ภายในสนามกีฬารัชมังคลากีฬาสถานแห่งนี้ จะมีคนเข้าร่วมได้ประมาณถึง 1 แสนคน ซึ่งจะเป็นการจัดงานเพื่อประชาธิปไตยครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
การจัดงานครั้งนี้แป็นไปตามคำเรียกร้องของประชาชน หลังจากการจัดงานครั้งที่ผ่านมา ที่ อาคาร “ธันเดอร์โดม” อิมแพค เมืองทองธานี ได้มีผู้คนเข้าร่วมงานจำนวนมากจนล้นออกมานอกอาคาร ทำให้ประชาชนอีกนับหมื่นๆ คนไม่ได้เข้าไปชมรายการ ความจริงวันนี้ สัญจรครั้งที่ 1 ทำให้การจัดงานครั้งนี้ต้องหาสถานที่ใหญ่กว่าเดิม
ทีมงานเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะโทรศัพท์เข้ามาพูดคุยและทักทายกับประชาชนในรายการความจริงวันนี้สัญจร อย่างแน่นอน โดยใช้วิธีการโทรศัพท์ข้ามประเทศ และจะมีเซอร์ไพรซ์ในงานดังกล่าวอีกด้วย
‘พันธมาร’ระแวงเพิ่มกำลังรปภ.
แก๊งมือตบสั่งเจ้าหน้าที่เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้นแน่นหนา ยันไม่เคลื่อนผู้ชุมนุมออกจากรัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาล ช่วงเช้าวันนี้ (1 พ.ย.) ว่า ตลอดคืนที่ผ่านมา แกนนำพันธมิตรฯ ได้ สั่งปิดถนนโดยรอบทำเนียบฯ โดยห้ามรถสัญจรผ่านไปมาโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันกลุ่มตรงกันข้ามก่อกวนสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย รวมทั้ง วางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา และติดตั้งกล้องวงจรปิดตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยทุกประตูเข้า - ออกทำเนียบรัฐบาลนอกจากนี้ ยังมีการจัดกำลังตามประกบติด รักษาความปลอดภัยให้แกนนำพันธมิตรฯ ทุกคน
นายสุริยะใส กตะศิลาแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า พันธมิตรจะไม่เคลื่อนไหวออกจากที่ตั้ง ไปต่อต้านและได้มีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุด รวมทั้ง ต้องจับตาการโทรศัพท์สายตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะเป็นการประกาศสงครามเคลื่อนไหวมวลชน เผชิญหน้าอย่างเปิดเผย
ตำรวจนับพันนายอารักขา‘คนเสื้อแดง’เข้ม
ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 ยืนยันระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยนับพันนาย เชื่อรับมืออยู่ เผยหากไม่ไหวพร้อมเรียกชุดพรางหนุน
พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 เปิดเผยถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยและ การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร บริเวณการจัดงาน “ความจริงวันนี้ สัญจร” ที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน ว่า มีการเตรียมเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ดูแลเรื่องจราจรประมาณ 200 นาย จากสน.หัวหมาก กอง บก.น. 4 และ จราจรกลางช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ประตู 1 และ 2 จะให้เข้าวันเวย์ และประตู 3 และ 4 จะเปิดให้เข้าทูเวย์ และจะมีการตรวจยานหนะอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำประชาชนที่มาร่วมงานว่าให้นั่งรถโดยสารสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่ เข้ามาภายในงาน
ทั้งนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกประมาณ 1,000 นาย เพื่อตรวจการเข้าออกของบุคคล โดยจะใช้เครื่องแสกนโลหะ ตรวจกระเป๋า หาอาวุธ มีดคัตเตอร์และของผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ยืนยัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม หากกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอสามารถเรียกเจ้าหน้าที่ทหารมาช่วยได้อีก โดยเฉพาะหากมีเหตุการเคลื่อนคนปะทะกัน แต่หากไม่มีการเคลื่อนขบวนตำรวจก็ดูแลความเรียบร้อยได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจราจรบริเวณรอบสนามกีฬาฯ การจรารจรเริ่มติดขัดแล้ว
ความผิด 4 ข้อที่ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหาร ..
โดย ประดาบ
ความผิด4ข้อที่ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหาร
18/09/07
1 ปีที่ผ่านมา ผมนั่งทบทวนอยู่หลายครั้ง และนั่งฟังเพื่อนพ้องน้องพี่สนทนากันอยู่หลายครา เกี่ยวกับชะตากรรมของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ว่าด้วยเวรกรรมวิบัติซ้ำอันใดเล่าที่ทำให้ คนที่ทุ่มเททำงานเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน และจงรักภักดีอย่างนายกฯทักษิณ ชินวัตร ต้องกลายมาเป็นคนอัตคัตแผ่นดินอยู่อาศัยในเวลานี้
365 วันที่ผันผ่านมา กับการมองทุกมุม คิดทุกด้าน อ่านทุกประเด็น เห็นเกือบทุกเรื่อง ผมขอสรุปไว้ตรงนี้เลยว่า เหตุที่นายกฯทักษิณ ชินวัตร ต้องถูกคณะรัฐประหารยึดอำนาจ เพราะความผิดพลาด 4 ข้อ คือ
1. เป็นผู้จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เกินหน้าเกินตา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ผู้ที่อ้างว่าจงรักภักดียิ่งกว่าชีวิต แต่กลับคิดใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้อื่น อยู่ตลอดเวลา
ความจงรักภักดีของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่แสดงออกให้ประชาชนชาวไทยและประชาชนทั่วโลก ได้เห็นและตระหนักถึง ก็คือ การจัดงานเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ พระราชา พระราชินี พระราชาธิบดี จากประเทศต่างๆ เข้าร่วมถวายพระพร เป็นจำนวนมากที่สุด เป็นการชุมนุมพระราชวงศ์ทุกพระราชวงศ์ของโลกในประเทศไทย อย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นที่ใดมาก่อน และทุกพระราชวงศ์ที่มาร่วมชุมนุมกันในครั้งนี้ ก็มีพระราชประสงค์ตรงกันคือ เพื่อถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทั่งสื่อมวลชนต่างชาติ ถวายพระราชสมัญญานาม “พระราชาแห่งราชา” หรือ “King of The King”
ความจงรักภักดีของนายกฯทักษิณ ชินวัตร และ การจัดงานถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความทุ่มเท นี้ นอกเหนือจากเป็นการจัดงานถวายเพื่อเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี แล้ว ยังเป็นการจัดงานที่ทำให้คนไทยทั้งชาติ ที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะปัญหาการเมือง มีความสมัครสมานสามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในรอบ 1 ปี อีกทั้งยังเป็นงานที่ทำให้คนไทยทุกคนมีความสุข ปลาบปลื้มปีติ ยิ้มทั้งน้ำตา และรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย รู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร รู้สึกมีเกียรติที่อยู่ในประเทศไทยที่มีพระราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรม เป็นที่ยอมรับของพระมหากษัตริย์ทั่วโลก
ก่อนที่การจัดงานจะเริ่มขึ้น ในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 มีข่าวใหญ่ปรากฎบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงประธานการจัดงานเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติ 60 ปี จาก นายกฯทักษิณ ชินวัตร เป็น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยอ้างแหล่งข่าวจากบุคคลผู้ใกล้ชิด พล.อ.เปรม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอิจฉาริษยาของผู้ให้ข่าว และผู้อยู่เบื้องหลังการให้ข่าวนั่นเอง ในเวลาต่อมาก็ปรากฎว่าหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ถูกนายกฯทักษิณ ฟ้อง ข้อหาหมิ่นประมาท และนำเสนอข่าวอันเป็นเท็จทำให้ได้รับความเสียหาย ศาลชั้นต้นตัดสินว่าหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น มีความผิด เนื่องจากมีเจตนาไม่สุจริตในการนำเสนอข่าว และทำให้นายกฯทักษิณ เสื่อมเสียชื่อเสียง
ความจงรักภักดีของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่แสดงออกให้ประชาชนคนไทยได้ประ จักษ์ ผ่านการจัดงานเฉลิมฉลองครองสิริราชย์สมบัติ 60 ปี ถูกบุคคลบางกลุ่มนำไปบิดเบือนว่าเป็นการกระทำด้วยอาการเสแสร้ง ไม่ได้จงรักภักดีจริง และกระทำการไม่เหมาะสมหลายกรณีด้วยกัน มีการส่งอีเมลล์กล่าวหานายกฯทักษิณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปยังประชาชนจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ขอบใจรัฐบาลและประชา ชนชาวไทยทุกคนที่มีส่วนร่วมในการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ครั้งนี้
แต่ความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่แสดงออกผ่านการจัดงานเฉลิมฉลองครองสิริราชย์ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับการกล่าวขานจากนานาชาติได้เพียง 3 เดือนเศษ หรือ 100 วันเท่านั้น ก็กลายเป็นความย่ำแย่ในสายตาของนานาชาติทันที เมื่อ คณะรัฐประหาร ที่มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นหัวหน้า ก่อการรัฐประหารขึ้น และ ยังสร้างความเสื่อมเสียแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการทำให้คนไทยและคนทั่วโลก เข้าใจผิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุน หรือ อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร
เสียงแซ่ซ้องชื่นชมประเทศไทยหายวับไป พร้อมกับการเข้ามาของเสียงล้อรถถังบดกับถนนที่เคลื่อนออกมาก่อการรัฐประหาร
พฤติกรรมของคณะรัฐประหาร ที่อ้างว่าเป็นผู้จงรักภักดียิ่งกว่าใครๆ ในแผ่นดินนี้ ที่แสดงออกมาด้วยการก่อการรัฐประหาร ในปีมหามงคล ในปีที่ทั่วโลกสรรเสริญว่าพระมหา กษัตริย์ไทย ทรงเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย และกษัตริย์นักพัฒนา และที่กำลังแสดงอยู่ในขณะนี้ ผ่านการเตรียมการจัดงานเฉลิมฉลองในพระราชวโรกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษา ซึ่งจนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นวี่แววการจัดงานที่จะทำให้คนไทยทั้งชาติได้ชื่นชมพระบารมี และได้มีความ สุขเหมือนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 แม้แต่น้อย
การแสดงออกถึงความจงรักภักดีของนายกฯทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไทยและทั่วโลก ในวันนั้นเอง คือ ข้อผิดพลาดสำคัญประการที่หนึ่งที่ทำให้คณะทหารและพล.อ.เปรม ต้องก่อการรัฐประหาร โค่นล้มนายกฯทักษิณ เพราะไม่ต้องการเห็นใครก็ตามเป็นผู้ได้ชื่อว่าจงรักภักดียิ่งกว่าตนเองและพรรคพวก ที่ต้องการผูกขาดความจงรักภักดี เพื่อประโยชน์ของตนเอง
2. ปล่อยปละละเลยให้มีการสร้างความแยกในชาติ โดยไม่ดำเนินอย่างเด็ดขาด กับผู้สร้างความแตกแยกนั้น เพราะมัวแต่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย คิดไปในทางที่ดีว่า ผู้สร้างความแตกแยกในชาติ เป็นเพียงผู้มีความแตกต่างทางความคิด และต้องการแก้ปัญหาตามแนวทางประชาธิปไตย เท่านั้น
หาก นายกฯทักษิณ ชินวัตร ปฏิบัติกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และ เครือข่ายพันธมิตรฯ ตลอดจนบริวารในสื่อเครือผู้จัดการ ด้วยความเด็ดขาด ไม่ปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ไม่ละเลยให้มีการละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอยู่เนืองๆ จนทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ เครือข่าย บริวาร ได้ใจ กระทำตนเป็นอันธพาล สร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง นึกอยากจะปิดถนนสายใดก็ปิดได้ตามอำเภอใจ นึกอยาจะไปชุมนุมสถานที่แห่งใด ก็ไปได้ตามใจชอบ เหตุการณ์บ้านเมืองก็จะไม่ระส่ำระสาย คณะทหารก็จะไม่มีเงื่อนไขในการก่อการรัฐประหาร แล้วอ้างเหตุว่าเพื่อป้องกันบ้านเมืองแตกแยก
การปล่อยปละละเลยให้ผู้กระทำความผิด อยู่เหนือกฎหมาย ของนายกฯทักษิณ เป็นเหตุให้คนดีถูกล้อมกรอบจากคนชั่ว ผู้ถือกฎหมาย ไม่กล้าใช้กฎหมายในมือจัดการกับผู้กระทำความผิด กระทั่งก่อให้เกิดเป็นแฟชั่น เกิดค่านิยมผิดๆ ในสังคมไทย ว่าการชุมนุมประท้วงขับไล่นายกรัฐมนตรี ด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย เป็นเครื่องหมายที่แสดงออกถึงความกล้าหาญใน ทางการเมืองของประชาชน เป็นการแสดงออกถึงการเป็นวีรชน เป็นคนกล้า เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มีอุดมการณ์ รวมไปถึงการสนับสนุนให้ทหารก่อการรัฐประหาร ล้มล้างระบอบประชาธิป ไตย ก็นับเป็นผู้รักประชาธิปไตย
เพราะปล่อยให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล และเครือข่าย บริวาร กระทำการได้ทุกอย่างตามใจชอบ ประพฤติตนเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมาย อย่างยาวนานร่วมปีนี้เอง ที่ทำให้ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ต้องประสบพบเจอกับการรัฐประหาร และต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน ไประเห็จเร่ร่อนอยู่ต่างแดน
อย่างไรก็ตาม 1 ปีที่นายกฯทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย และ คนไทยถูกปกครอง ถูกตีกรอบ ถูกครอบงำจากคณะรัฐประหาร ในนาม คมช. ความแตกแยกของประชา ชนคนในชาติ ก็หาได้ยุติลงไม่ แต่กลับขยายตัวรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะการกระทำของคมช. เองทั้งหมด ที่เลือกปฏิบัติกับคนไทยด้วยกัน เห็นคนบางกลุ่มเป็นพวก เห็นคนบางกลุ่มเป็นศัตรู ยกย่องคนกลุ่มหนึ่ง แต่จ้องกำจัดคนอีกกลุ่มหนึ่ง นำมาสู่ความแตกแยกของคนในชาติ ที่ยากจะเยียวยา ประหนึ่ง แก้วที่แตกร้าว ยากจะประสานเป็นเนื้อเดียวกันได้อีก
พฤติกรรมของคมช. ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าเป็นพฤติการณ์ของ ผู้ดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน ที่กำลังทำลายชาติ อย่างให้อภัยไม่ได้ และต้องได้รับโทษอย่างสาสมแก่ความผิดที่ได้ก่อแก่ประเทศชาติ ประชาชน และราชบัลลังก์
3. ปล่อยให้มีการแทรกแซงและครอบงำอำนาจตุลาการ และ กระบวนการยุติธรรม ทุกระดับ ทั้ง ศาล อัยการ และ ตำรวจ ไม่สามารถป้องกันกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม นำอำนาจตุลาการ ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนได้
อำนาจตุลาการ เป็นหนึ่งในสามอำนาจที่ประกอบเป็นอำนาจอธิปไตย ซึ่งต้องเป็นอำ นาจที่อิสระ ปราศจากการแทรกแซงและชี้นำจากบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือองค์กรหนึ่งองค์กรใด แต่ในรัฐบาลที่ผ่านมา จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดไม่อาจทราบได้ อำนาจตุลาการกลับถูกแทรกแซง และชี้นำโดยกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม และคนในวงการตุลาการบางคนก็ไปรับใช้ ไปร่วมขบวนการกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนายกฯทักษิณ ชินวัตร นำอำนาจตุลาการไปเป็นเครื่องมือให้กับคณะรัฐประหาร ในการกำจัดคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อสกัดกั้นไม่ให้การเลือกตั้งดำเนินการไปได้ ทั้งๆ ที่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้ว
ความผิดพลาดของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่สามารถสกัดกั้นการแทรกแซงอำนาจตุลาการ และไม่สามารถป้องกันบุคคลในอำนาจตุลาการไปรับใช้ขบวนการโค่นล้มรัฐบาล ได้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ นายกฯทักษิณ และรัฐบาล ถูกทำให้เสื่อมศรัทธาลงได้อย่างรวดเร็ว จากการประทับรับฟ้องคดีความต่างๆ ที่มีผู้ฟ้องร้อง ซึ่งทั้งผู้ฟ้องร้องและผู้ประทับรับฟ้อง ล้วนแต่เป็นคนในขบวนการเดียวกัน และการใช้อำนาจตุลาการเพื่อแทรกแซง กำจัดคู่แข่ง หรือ ศัตรูทางการเมือง ยังคงดำเนินมาจนถึงขณะนี้ และมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในอนาคตอีกด้วย[/color]
การปรากฎตัวของจรัล ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะของกลุ่มพันธมิตรฯ หลังการรัฐประหารสิ้นสุดลง โดยมีพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมฉลองชัยชนะด้วย เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่างอำนาจตุลาการ กับขบวนการโค่นล้มรัฐบาล และคณะรัฐประหาร อย่างแจ่มชัด
การรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หลังการรัฐประหารของ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ อดีตประ ธานศาลฎีกา ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในขบวนการตุลาการภิวัฒน์ และคำพิพากษาจำคุกกรรมการการเลือกตั้ง เป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประมุขของฝ่ายตุลาการ กับคณะรัฐประหาร และสะท้อนถึงการตอบแทนซึ่งกันและกันระหว่างนายชาญชัย กับ คณะรัฐประหาร โดยที่ยากจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกัน
ขบวนการตุลาการภิวัฒน์ ไม่ได้ยุติบทบาทและการขับเคลื่อนเพื่อทำลายล้างนายกฯทักษิณ ชินวัตร ถึงแม้ว่าจะได้รับชัยชนะจากการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 แล้วก็ตาม หากแต่เพิ่มความเข้มข้น และขับเคลื่อนอย่างหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะใช้กฎหมาย และอำนาจตุลาการที่อยู่ในมือ จำคุกนายกฯทักษิณ ชินวัตร ให้ได้ ดังจะเห็นได้จากคดีความต่างๆ ที่ถูกนำขึ้นสู่ศาล ซึ่งมีการวางแผนกระทำการกันอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในคดีที่นายกฯทักษิณ และครอบครัว ฟ้องร้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ กรรมการคตส. ศาลจะยกฟ้องเป็นส่วนใหญ่ แต่ในคดีที่มีการฟ้องร้องนายกฯทักษิณ และครอบครัว ศาลจะประทับรับฟ้องเกือบทุกคดี แม้แต่คดีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และศาลประทับรับฟ้องแล้ว อัยการยังถอนฟ้อง โดยอ้างเหตุเพื่อความสมานฉันท์ แต่ไม่คำนึงถึงพระบรมเดชานุภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ถูกดูหมิ่น และทำให้เสื่อมเสีย
ปัจจุบันนี้อาจจะกล่าวได้ว่า อำนาจตุลาการ ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนคนไทย และศาลไทยซึ่งเคยเป็นที่เชื่อถือของนานาชาติ มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเช่นในอดีต ความเชื่อถือในความเที่ยงตรง เป็นธรรม และอิสระ ลดน้อยลงอย่างมาก เนื่องจากการนำอำนาจตุลาการไปรับใช้ขบวนการที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง และใช้อำนาจตุลาการเพื่อแสวงหาอำนาจของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มนั่นเอง
4. การป้องกันไม่ให้ข้าราชการในระบอบอำมาตยาธิปไตย มีโอกาสโกงกินคอรัป ชั่น และไม่ได้รับคอมมิชชั่น จากที่เคยได้รับในอดีต โดยลดอำนาจการสั่งซื้อ สั่งจ้างของข้าราชการประจำ ให้น้อยลง และเพิ่มอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนองค์กรภาคประชาชนมีอำนาจมากขึ้น เช่น ลดงบประมาณกองทัพ เพิ่มงบประมาณของอบต. อบจ. และ กองทุนหมู่บ้าน ให้ประชาชนตัดสินใจแก้ไขปัญหาของตัวเองได้
รัฐบาลนายกฯทักษิณ ชินวัตร เน้นการพัฒนาประเทศ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและตัดสินใจ และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทำให้อำนาจของข้าราชการที่เคยมีมาในอดีตถูกกระทบ และลดน้อยลง อาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลนายกฯทักษิณ พัฒนาระบอบประชาธิปไตย แต่บอนไซระบอบอำมาตยาธิปไตย
ในกรณีของกองทัพ การจัดซื้ออาวุธ ซึ่งมีค่าคอมมิชชั่น เป็นรายได้พิเศษของผู้บัญชา การ หรือ ผู้บังคับบัญชาระดับสูง หลายยุคหลายสมัยในอดีต ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นจารีตประเพณีของกองทัพ ถูกนายกฯทักษิณ ปรับเปลี่ยนนโยบาย จากการซื้อขายเงินสด เป็นการบาร์เตอร์เทรดกับสินค้า และใช้ระบบเคาน์เตอร์เทรด มาแทน เป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ทำให้ ค่าคอมมิชชั่นที่เคยได้รับ หายไป เป็นเหตุให้กองทัพไม่พอใจนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ไปขัดผลประโยชน์ของตนเอง
เห็นได้ว่าหลังการรัฐประหาร กองทัพเป็นใหญ่ ทหารเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ มีการเพิ่มงบประมาณของกระทรวงกลาโหม จาก 80,000 ล้านบาท เป็น 150,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากไม่ได้รับงบประมาณจัดซื้ออาวุธ และพัฒนากองทัพ มานานแล้ว
น่าสังเกตว่าตัวเลข 70,000 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นของงบประมาณกระทรวงกลาโหม เป็นจำนวนเงินที่ใกล้เคียงกับงบประมาณที่รัฐบาลนายกฯทักษิณ ตั้งไว้สำหรับกองทุนหมู่บ้าน ในโครงการ S M L ที่เตรียมการจัดสรรเงินให้ประชาชน มีอำนาจตัดสินใจใช้เงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาหมู่บ้าน กันเอง แต่ถูกตัดทิ้งไปแล้วหลังการรัฐประหาร
การจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยาง ที่ฉาวโฉ่ ของกองทัพบก ซึ่งพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน กำหนดสเปกให้ออกมาเป็นรถหุ้มเกราะล้อยางของยูเครน และจะเอาให้ได้ ทั้งๆ ที่ขัดต่อระเบียบการจัดซื้อ เป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ว่า นายทหารของกองทัพ มีสภาพไม่ต่างจากเสือหิว ที่อดอยากมานาน ทั้งๆ ที่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ ก็ยังไม่ลดละ จะกินให้ได้ จนถูกสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีพฤติกรรมไม่โปร่งใส
ในห้วงเวลาของการปกครองโดยคณะรัฐประหาร และ รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งของคณะทหาร การคอรัปชั่นโดยระบอบอำมาตยาธิปไตย ทั้งจากรัฐมนตรี และข้าราชการ เป็นไปอย่างกว้างขวางและโฉ่งฉ่างอย่างยิ่ง กรณีการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษมูลค่า 800 ล้านบาท ของ บริษัททีโอที หรือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ในอดีต ทั้งๆ ที่ขัดต่อคำสั่งและนโยบายของกระทรวงไอซีที แต่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ด ก็ยังฝ่าฝืนที่จะดำเนินการให้ได้
การเข้าไปหาประโยชน์ผ่านขบวนการตรวจสอบในบริษัทท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. ด้วยลีลาการแบล็กเมล์ หรือตบทรัพย์ ผู้ประกอบการธุรกิจในสนามบินสุวรรณภูมิ อันเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่ เครือข่ายคณะรัฐประหาร เข้าไปสูบเลือดสูบเนื้อจน ประสบภาวะขาดทุนทั้งผู้ประกอบการ และ ทอท. ก็เป็นฝีมือของพล.อ.สพรั่ง หนึ่งในแกนนำคณะรัฐประหาร นั่นเอง
ต้องยอมรับว่าการบริหารประเทศของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ทำให้ประชาชนมีความพึงพอใจอย่างมาก ประชาชนได้รับอำนาจในการตัดสินใจ กำหนดชีวิตตัวเอง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน การบริหารของนายกฯทักษิณ ก็ไปทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตย ที่เคยมั่งคั่งทั้งเงินทอง และอำนาจ สูญเสียผลประโยชน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อำนาจที่เคยมีมากมาย หลุดมือไปอยู่ในมือของประชาชน จึงทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตย ที่นำโดยทหาร ไม่พอใจ และเมื่อได้จังหวะที่รัฐบาลอ่อนแอ เพลี่ยงพล้ำทางการเมือง จึงออกมาก่อการรัฐประหาร และยึดอำนาจกลับคืนไปทันที
4 ข้อนี้คือ ความผิดพลาด ของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ในห้วงเวลา 5ปีเศษของการบริหารประเทศ และเป็นความผิดพลาดที่ทำให้ถูกรัฐประหาร โดยหัวหน้าขบวนการระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่รู้สึกสูญเสียอำนาจไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่ประชาชนเลือกและมอบอำนาจให้ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนท่วมท้น
ผมเชื่อว่าความผิดพลาด 4 ข้อนี้ เป็นความผิดพลาดที่นายกฯทักษิณ กระทำขึ้น ด้วยความตั้งใจ เพราะทั้ง 4 ข้อนี้คือความผิดพลาดที่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลแก่ประชาชนคนยากจนทั่วประเทศ ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เป็นความผิดพลาดในสายตาของระบอบอำมาตยาธิปไตย แต่ เป็นความถูกต้องในสายตาของประชาชนคนยากจนทั่วประเทศไทย และเป็นการเปิดมิติใหม่ทางการเมืองให้ประชา ชนคนยากจน ได้รู้ว่าประชาชนทุกคนเป็นผู้มีอำนาจจริง เป็นผู้มีสิทธิที่จะกำหนดชีวิตตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยให้ระบอบอำมาตยาธิปไตย มากำหนดชีวิตของตัวเอง เช่นในอดีตที่ผ่านมา
หากนายกฯทักษิณ ไม่ทำความผิดพลาด 4 ข้อนี้ ไม่ทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตย เสียประโยชน์ ก็คงไม่ถูกรัฐประหาร แต่นายกฯทักษิณ ก็จะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่แตกต่างจากนายก รัฐมนตรีคนอื่นๆ และคำกล่าวที่ว่า “ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และจะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง” ก็คงจะเป็นเพียงคำกล่าวลอยๆ ที่ไร้ความหมาย
แต่จากความผิดพลาด 4 ข้อนี้เอง จึงทำให้นายกฯทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในความทรงจำของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำการเปลี่ยน แปลงมาสู่ชีวิตของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ในฐานะ นายกรัฐมนตรีในดวงใจของประชาชนคนยากจนทั้งแผ่นดิน
ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะมีนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นอีกกี่คนในวันข้างหน้า แต่ประชาชนคนยากจน จะไม่มีวันลืมนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร
ประดาบ
อาจจะเก่าไปหน่อยนะคะ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านค่ะ
จาก thaifreenews
อย่าทะลึ่ง เจราสงบศึก กลายเป็นเรื่อง กูไม่กลัวมึงหรอก ภาค 2
อย่าทะลึ่ง เจราสงบศึก
กลายเป็นเรื่อง กูไม่กลัวมึงหรอก ภาค 2 สานต่อข่าว
อย่าทะลึ่ง เจราสงบศึก ที่นาย
ขึ้นเวทีปราศรัยอัดกลับ ดร.สุเมธ (วันที่ 29 ตค.)
หลังจากนั้นไม่เกิน 2 วัน ข่าว กูไม่กลัวมึง ก็เป็นที่ฮือฮา หา อะไรนะ
กู ไหน? มึง ไหน? .....
เป็นวิทยากร บรรยาพิเศษเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตามโครงการสัมมนา เวทีเติมหัวใจให้สังคมเชื่อมร้อยใจเครือข่ายจากภูเขาสู่มหานที (ชื่อย๊าวยาวอ่านจนเหนื่อย) จัดครั้งที่ 1 ที่จ.ชุมพร
โดยนายดิสธร กล่าว
"ถ้ารักในหลวงให้อยู่ชุมพร ไม่ต้องไปที่อื่น รักในหลวงให้อยู่บ้าน รักในหลวงให้กลับบ้าน คุณไปแสดงพลังตรงนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย รังแต่จะทำให้เกิดความแตกแยก ผมกล้าพูดตรงนี้เพราะผมเป็นตัวจริงเสียงจริงนะครับ รับพระราชกระแสมาเอง
ว่า พวกเราต้องขยาย ทำอย่างไรให้เขาทราบว่า เรามีหน้าที่และทำหน้าที่อะไร ผมไม่ได้เข้าข้างใคร ผมไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก ผมรู้อย่างเดียวว่า ผมอยู่พรรคในหลวง และพรรคนี้ใหญ่โตมาก"
อุ อุ เอาแล้วไหมหล่ะ รักนายหลวงไม่ต้องไปทำนาที่ทำเนียบ และแล้ว
ข่าวอย่างนี้ทำให้ นาย
โต้กลับ กูไม่กลัวมึง กูของปลอม เอ้ย กูของจริง
เมื่อเรื่องใกล้จบ (มันเอาอะไรมาคิดว่าเรื่องใกล้จบ)
ฝ่ายตรงข้ามก็จะทำทุกอย่างที่ไม่เคารพกฎหมาย เล่นนอกกติกา รัฐที่ต้องมีหน้าที่รักษากฎหมาย กลับเป็นโจรเสียเอง หรือสนับสนุนสร้างกองกำลังโจร แต่ขณะเดียวกัน ทำให้เรามีกำลังใจสู้เพราะพิสูจน์ว่าเดินมาไม่ผิดทาง
“เวลานี้มีการออกข่าวทางสื่อมวลชนบอกว่าให้สมานฉันท์ แต่เมื่อเช้ามีการขว้างระเบิดใส่เรา ไอ้นักวิชาการบางคนที่ชื่อโคช้ำ โคหลับอะไรนั่น ทำไมไม่ออกมาพูดบ้าง”
“ผมอยากจะเตือนนักวิชาการพวกนี้ รัฐบาลและทหาร รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าพวกเราถูกรังแกจนทนไม่ไหวแล้วติดอาวุธมั่ง พวกคุณจะเหนื่อย
และเวลานั้นใกล้จะมาถึงแล้ว หากยังถูกรังแกแบบนี้ อย่าคิดว่าอหิงสาแล้วสู้ไม่เป็นและเราจะลุกฮือขึ้นทั่วประเทศ” นายสนธิ กล่าว
“การต่อสู้มา 159 วัน มันพิสูจน์ว่าไม่ได้ผิดเลยว่า เราสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จริงๆ เพราะการเมืองทุนสามานย์สัตว์นรกมันทำลายชาติ เราสู้ไม่ให้ฉ้อราษฎร์บังหลวง ให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ไม่เหมือน พ.ต.ท.
นายสนธิ กล่าวว่า มีขบวนการทำร้ายราชบัลลังก์ แต่เพราะการชุมนุมของพวกเราแบบปักหลัก ทำให้ผู้มีอำนาจต้องออกมาพูดให้มีการจัดการกับผู้ที่จาบจัวงสถาบันพระมหากษัตริย์
“เวลานี้มีวิชามารบอกว่า ผมของจริงของแท้ อ้างว่า ถ้ารักในหลวงให้อยู่ที่บ้าน เราอยู่ที่บ้านไม่ได้หรอก เพราะชาติกำลังถูกกลืน ผมไม่อยากพูดว่าบางคนที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทที่รับเงินของระบอบทักษิณเดือนละ 5 แสนบาทมานานหลายปีแล้ว เพื่อเป็นสปาย อย่าให้เอ่ยชื่อว่าใคร แต่ถ้าติดตามมาตลอดจะรู้ว่าเป็นใคร บางคนเวลาขึ้นเครื่องบินก็ไปเบ่งกับการบินไทยขอเอาไวน์ที่กินเหลือเพื่อจะเอากลับบ้าน อย่าให้ผมเปิดโปงมากกว่านี้ ทำแอ็กว่าเป็นของจริง ตัวผมเองไม่มีเครื่องราชฯ เป็นแค่ลูกเจ๊กธรรมดา แต่กูไม่กลัวมึงหรอก”
นายสนธิระบุและว่า บางคนบอกว่า รักพ่ออย่าทะเลาะกันหรือรักพ่อให้สามัคคี สามัคคีไม่ได้หรอก เพราะมันจะฆ่าพ่อ ดังนั้นจึงสามัคคีกับลูกทรพีไม่ได้หรอก
นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อรู้ว่าเป็นอย่างนี้ มีวิชามารอย่างนี้ ก็อย่าไปท้อ เพราะกว่า 5 เดือนที่เราออกมาสู้ได้สร้างคุณูปการให้กับบ้านเมือง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างนี้และย้ำว่า พันธมิตรฯ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เทิดทูนแต่ปาก น้องโบว์ และ สารวัตรจ๊าบ ที่เสียชีวิตไปก็เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์ว่าพันธมิตรฯ ไม่ใช่ของแท้หรอกหรือ แต่คนที่มาพูดแบบนี้นั่นแหละคือของปลอม และถ้ายังไม่หยุดตนก็จะเปิดโปงเบื้องหลังให้ได้รับทราบกัน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000129152
ในที่สุด เราก็รู้แล้วว่า กูคือ สนธิ มึงคือ ดิสธร
สรุปข่าว กูไม่กลังมึงหรอกภาค 2 “ ทำให้คนอ่านข่าวอย่าง ice angel กลัวถูกมึงหลอก”
เพราะนึกไปถึง ข่าว 2ข่าว...ข่าวไหนของจริง
ข่าวไหนของปลอม
1.งานศพม๊อบ พันธมิตร ในงานศพน้องโบว์ ปิงปอง พระราชินีท่านเสด็จ และพระราชินีท่านบอกในงานศพน้องโบว์ว่า “น้องโบว์เป็นเด็กดี ปกป้องสถาบัน และเรื่องทั้งหมดในหลวงท่านทรงทราบหมดแล้ว”
2. เทียบกับข่าว ของนาย
ไม่ต้องไปทำนาในทำเนียบ ผมเป็นตัวจริงเสียงจริงนะครับ รับพระราชกระแสมาเอง”
Friday, October 31, 2008
พันธมิตรกับแนวทางสันติ
คอลัมน์ : ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
โดย -ศุภชัย ใจสมุทร-
เมื่อวันอาทิตที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่กรมประชาสัมพันธ์เครือข่ายเสวนาเพื่อสันติธรรม ได้มีการประชุมใหญ่ โดยในวันนั้นได้เชิญ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ขึ้นกล่าวปาฐกถาหัวข้อ “ยุติความรุนแรง แสวงสันติด้วยการเสวนา”
นายสุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง ต้องช่วยกันหันมารักษาบ้านเมืองให้ปลอดภัย เกิดความสงบสุขของคนในชาติ พร้อมอันเชิญพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานไว้หลังเกิดเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 บางตอนที่ว่า
“ประเทศของเราไม่ใช้ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากัน แก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วจะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ”
แต่พลันที่นายสุเมธ ตันติเวชกุล ได้แสดงปาฐกถา ดังกล่าว ในคืนวันที่ 27 ตุลาคม นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลับออกมากล่าวโจมตีบนเวทีพันธมิตรฯ
ประเด็นที่สำคัญที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวก็คือ ให้ นายสุเมธ ตันติเวชกุล หยุดพูดและหยุดแสดงความคิดเห็น แล้วหันมายืนข้างฝ่ายถูกต้องมากกว่าจะมาสอนให้สามัคคีกัน
นอกจากนี้ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังได้แถลงด้วยว่า ตามที่กลุ่มวิชาการและองค์กรภาคส่วนต่างๆ เสนอใช้เวทีสานเสวนาเพื่อคลี่คลายวิกฤตนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มองว่าความขัดแย้งดำเนินมาไกลเกินกว่าจะมีการเสวนาเกิดขึ้นได้ เครือข่ายคนรักทักษิณ และนปช. ไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาล อีกทั้งยังจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงไม่สามารถนำมาพูดคุยในวงเสวนาได้ พันธมิตรฯยังคงยืนยันว่า ทางออกของวิกฤตมีทางเดียวคือรัฐบาลนอมินีต้องลาออก แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม จึงอยากให้กลุ่มบุคคลที่เสนอสานเสวนายอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วย หากจัดสานเสวนาขึ้น สังคมจะเกิดข้อกังขาว่าเหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่กระทำความผิดและถูกคำตัดสินของศาลยังไม่ถูกดำเนินคดี
และนี่คือท่าทีอันชัดเจนนขอพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อแนวทางสานเสวนาเพื่อแสวงสันติ ที่หลายฝ่ายได้พยายามริเริ่ม เพื่อหาแนวทางยุติความัดแย้งในบ้านเมือง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อการแสดงท่าทีที่เป็นการปฏิเสธเช่นนั้น ย่อมแสดงให้เห็นได้ชัดเจนกันว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มิได้มีแนวคิดในการเจรจาหรือเสวนา หากแต่ยังมีแนวทางการใช้ความรุนแรง เพื่อให้เกิดคามแตกหัก ดังที่เคยสำแดงให้ปรากฏอย่างต่อเนื่อง นับแต่การชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549 จนถึงปัจจุบันก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าบุคคลเช่น นายสุเมธ ตันติเวชกุล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ยอมรับว่า ทำงานใกล้ชิดเนื้องพระยุคลบาท จะเป็นผู้เสนอและเรียกร้องให้ใช้แนวทางสันติวิธีก็ตามที แต่ที่สุดแล้วก็ได้หามีคุณค่าพอที่จะทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเปลี่ยนท่าทีและท่วงทำนองได้แต่อย่างใด ถึงแม้กระนั้นก็ตามเชื่อว่า เครื่อข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม คงไม่คิดถอดใจ หากแต่คงต้องหาแนวทางใดที่จะทำให้เกิดความสอดคล้องต้องตรงกัน ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพื่อให้ความสามัคคีเกิดขึ้นจริง
ในส่วนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น การได้แสงดงคำพูดที่ปฏิเสธแนวทางการเจรจาครั้งนี้ ยิ่งทำให้เห็นได้ว่า แท้ที่จริงแล้วที่กล่าวอ้างเหตุผลที่ชักจูงให้ประชาชนได้ยินได้ฟังถึงความจำเป็นในทางชุมนุมนั้น กลับสวนกับการแสดงให้ปรากฏว่า พันธมิตรฯ เองคือผู้ปฏิเสธแนวทางสันติวิธี และเห็นได้ว่าความอยากความใฝ่ปรารถนาของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่โยงเข้ามาหาตัวตน อยากเพื่อตัวเอง เป็นการอยากได้อยากเอา อยากให้ผลเกิดขึ้นแก่ตนเอง ไม่ว่าจะไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งใดก็เพื่อให้สิ่งนั้นอำนวยผลประโยชน์ให้แก่ตน ซึ่งหากกล่าวในเชิงศาสนาแล้ว สิ่งที่พันธมิตรฯ มีก็คือ ตัญหานั้งเอง และเมื่อยิ่งพิจารณาถึงพฤติการณ์การกระทำ วิธีคิด และการพูดจาแสดงออกมาของบรรดาแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งหลายก็ยิ่งพบว่าบรรดาท่านทั้งหลายดูเหมือนความอยากให้ตัวเองยิ่งใหญ่ ความอยากได้อำนาจ หรือที่เรียกเป็นศัพท์เฉพาะ “มานะ” ยิ่งกว่านั้นยังมีความอยากที่ต้องการเสนอความยึดถือของตัวเอง ตัวเองยึดถืออย่างไรก็จะต้องให้เป็นอย่างนั้นให้ได้ มีอาการคลั่งลัทธิและยึดถืออุดมการณ์อย่างรุนแรง ซึ่งก็คือการมี ทิฐิ โดยความอยากที่ว่าทั้งหมดหาใช่สิ่งซึ่งเป็นความอยากที่เป็นกุศลที่เรียกกันว่า “ฉันทะ” อันเป็นสิ่งที่งดงามสำหรับบ้านเมือง
ดังนั้น ตราบเท่าที่ความอยากของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เราอาจเรียกกันโดยง่ายๆ ว่า “ความเห็นแก่ตัว” ยังเกาะติดแน่นติดตรึงหัวใจอยู่เช่นนั้นแล้ว จึงมิใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะให้การสานเสวนาเกิดขึ้นได้ แม้นั่นคือความต้องการจากประชาชน
แต่การที่พันธมิตรฯ ได้ประกาศยืนยันชัดเจนออกมาเช่นนี้ก็นับว่าดี เพราะจะทำให้ผู้คนที่หลงใหลได้ปลื้ม ชื่นชมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประดุจดั้งพระผู้มาโปรด จะได้รู้เช่นเห็นชาติและตัวตนของพันธมิตรฯ ว่า คำว่า “สันติวิธี” มิได้เคยอยู่ในสารบบของพันธมิตรฯ หรอก จะบอกให้
‘เสธ.แดง’ชี้มีคนหมั่นไส้จ้องหวด‘พันธมาร’เพียบ
‘นักรบใบกระท่อม’กร่างจนได้เรื่อง‘เสธ.แดง’ระบุชัด เชื่อที่ผ่านมาแค่เตือนพันธมิตรไม่หวังชีวิตผู้บริสุทธิ์ มีหวังรอบหน้าอาจเจอเอ็ม 79-อาร์พีจี คุย‘นัดรบพระเจ้าตาก’ฝีมือพระกาฬ
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงเหตุระเบิดที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ บริเวณเขตรักษาความปลอดภัยของการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า คงไม่สามารถระบุได้ว่ามือระเบิดเป็นกลุ่มใด แต่แน่นอนว่าขณะนี้มีหลายกลุ่มที่ไม่พอใจพฤติกรรมของแกนนำพันธมิตรฯ และนักรบศรีวิชัย พร้อมจะปฏิบัติการให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล
“น่าจะมีคนจองกฐินเล่นงานพันธมิตรฯ หลายกลุ่ม แต่ครั้งนี้น่าจะหนักกว่าทุกครั้ง เพราะเป็นอาวุธสงครามเป็นของจริง มั่นใจว่าน่าจะเป็นระเบิดเอ็ม 67 เป็นลูกเกลี้ยงแบบขวาง ระยะหวังผล 200 – 300 เมตร ระเบิดรุ่นนี้มี 2 ขนาด ถ้าเป็นอเมริกันจะลูกใหญ่ อีกรุ่นผลิตให้กับคนฝั่งเอเชีย ซึ่งให้เหมาะกับกำลังในการขว้างสู่เป้าหมาย ผู้ที่จะใช้ระเบิดประเภทนี้ได้แค่ฝึกฝนวิธีถอดสลัก รู้น้ำหนัก ระยะทาง รวมทั้งใจกล้า ก็ทำได้”พล.ต.ขัตติยะกล่าว
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเห็นการ์ดพันธมิตรฯ กร่างมาตลอด แต่เจอของจริงอย่างนี้ก็เงียบไปเยอะ คนทำก็คงหวังสั่งสอนพวกการ์ดที่ทำตัวเป็นอันธพาล ไม่ได้หวังชีวิตผู้มาชุมนุม ที่สำคัญเป็นการเตือน และสร้างความกลัวไม่ให้คนเข้ามาชุมนุมที่ทำเนียบฯ ทั้งนี้ เชื่อว่าคนที่จองกฐินงานนี้ ต้องงัดอีกหลากหลายวิธีการมาจัดการแน่ ต่อไปก็คงเจอระเบิดเอ็ม 79 หรือ อาร์พีจี ที่ใช้ปืนยิงสู่เป้าหมาย ซึ่งระยะในการยิงได้ระยะทางไกลกว่า 700 เมตร หรืออาจจะมีการเผารถที่จอดไว้แถวนั้น เพื่อสร้างความหวาดกลัว ไม่ให้ผู้ชุมนุมหวาดกลัว ไม่มาชุมนุม
“การจะยิงเข้าไปนั้น ไม่ใช่ยิงเข้าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า โดนคนบริสุทธิ์หมด ถ้าคนคิดจะทำมันต้องดูพิกัด ตรวจสอบจากกูเกิ้ลเอิร์ธ ตั้งศูนย์การยิงในตำแหน่งที่พอเหมาะ รับรองไอ้พวกนักรบศรีวิชัยที่กร่างๆ โดนแน่ ส่วนกรณีที่ชายคนที่ถูกยิงอย่างปริศนาที่บริเวณถนนพิษณุโลกติดกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ เหตุระเบิดที่บ้านของนายจรัญ ภักดีธนากุล คงไม่ใช่กลุ่มเดียวกับที่ขว้างระเบิดกลุ่มพันธมิตรฯ สองกรณีนี้เป็นพวกแขกไม่ได้รับเชิญ น่าจะมาแบบร่วมด้วยช่วยกัน”พล.ต.ขัตติยะกล่าว
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ตนไม่ขอออกความเห็นกรณีที่มีข่าวว่า เป็นฝีมือของสมาชิกนักรบพระเจ้าตากที่ออกปฏิบัติหน้าที่ หลังจากที่ตัวเองได้ฝึกฝนมาอย่างดี แต่ยอมรับว่าในการฝึกนั้น นอกจากฝึกท่าเตรียมอาวุธตามพื้นฐานแล้ว ก็มีการขว้างระเบิดด้วย ซึ่งคนเหล่านี้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีบัญชีหนังหมาในสารบบตำรวจ ดังนั้น ออกไปทำอะไรหวังผลได้อย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝึกที่สนามหลวงแล้ว ก็อยากแย่งกันไปปฏิบัติจริง
‘เสธหนั่น’เสนอพปช.-ปชป.รวมขั้วตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาชาติ
พล.ต.สนั่นแนะทางออกประเทศให้รวมพปช.รวมขั้วปชป.ตั้งรัฐบาล ให้พรรคร่วมเป็นฝ่ายค้าน เชื่อ ‘ทักษิณ’ไม่พูดให้สังคมแตกแยก
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทย กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะโทรศัพท์ข้ามประเทศเข้ารายการ "ความจริงวันนี้สัญจร ต้านรัฐประหาร" ในวันพรุ่งนี้(1 พ.ย.) ว่า ตนไม่ทราบว่าพ.ต.ท.จะต่อสายโทรศัพท์มาพูดเรื่องอะไรบ้าง แต่อยากให้ทุกฝ่ายมองเป็นมุมที่ดีก่อน ทั้งนี้เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่มีความคิดดี ย่อมพูดในสิ่งที่ไม่ทำให้สังคมแตกแยก
ส่วนกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยกชุด โดยหาคนดีมาเป็นรัฐมนตรีแทน พล.ต.สนั่นกล่าวว่า บุคคลสำคัญหลายคนรวมถึง นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เคยให้ข้อเสนอมาแล้วเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ แต่ทำไม่ได้ และข้อเสนอของ พล.อ.ชวลิต ก็ทำไม่ได้ รวมทั้ง พล.อ.ชวลิต มีมุมมองที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้น น่าจะเสนอหนทางที่ทำได้และสำเร็จด้วย
“ในความคิดของผม คือ หาก 2 พรรคการเมือง คือ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชาชนต้องการที่จะทำให้บ้านเมืองสงบจริงๆ ก็ให้ 2 พรรคนี้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน และให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน โดยรัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาใหม่จะบริหารประเทศไปอีก 3 ปี ก็จะแก้ไขปัญหาของชาติได้”
"ผมขอร้องให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน แนวทางนี้จะทำให้ความขัดแย้งระหว่าง กลุ่ม นปช. และพันธมิตร ยุติลง จากนั้นให้เสนอในสิ่งที่ต้องการ เพื่อให้รัฐบาลใหม่แก้ไข ในส่วนของพรรคชาติไทยยินดี เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศ"พล.ต.สนั่น กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้แล้วหรือไม่ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทย กล่าวว่า ยังไม่ได้ปรึกษาหารือกับนายบรรหาร แต่คิดว่านายบรรหาร ต้องเห็นด้วย หากทำให้ความสงบของชาติเกิดขึ้น
‘บาฮามาส’ยก'ทักษิณ'เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์
รัฐบาลบาฮามาส ออกโรงจี้รัฐบาลอังกฤษไม่ควรส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน มั่นใจรัฐบาลจะดูแลทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องพลเมืองชั้นดีของบาฮามาส
สถานีโทรทัศน์ ZNS Bahamas ของรัฐบาลบาฮามาส รายงานข่าวโดยระบุว่า นาย ฮิวเบิร์ท อเล็กซานเดอร์ อิงแกรห์ม วัย 61 ปี นายกรัฐมนตรีของบาฮามาส ได้สั่งการให้ นาย ธีโอดอร์ เบรนท์ ซิมโมเน็ทท์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมาย และการเมืองอังกฤษเป็นอย่างดี ให้เตรียมหาช่องทางในการให้ความช่วยเหลือต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย หากถูกทางการอังกฤษตัดสินให้ส่งตัวกลับประเทศไทย ในฐานะของผู้ร้ายข้ามแดน
ทั้งนี้ในรายงาน ระบุว่า นาย อิงแกรห์ม ยืนยันว่า รัฐบาลบาฮามาสจะทำทุกวิถีทาง เพื่อปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีสถานะเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของบาฮามาส อย่างถึงที่สุด เพราะถือว่าอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เปรียบเสมือนเป็นชาวบาฮามาสไปแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ชาวบาฮามาส โดยกำเนิดก็ตาม ในเมื่อ ดร. ทักษิณ เป็นพลเมืองบาฮามาส เราก็มีหน้าที่ในการปกป้องพลเมืองของเราอย่างถึงที่สุดและทางอังกฤษไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะส่งตัวบุคคลที่มีสถานะเป็นพลเมืองบาฮามาสของเรา ไปรับโทษในประเทศอื่น
ก่อนหน้านี้นายเคน แฮรรีย์ คลาร์ก วัย 68 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีมหาดไทยของอังกฆษ ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนเมษายนปี 1992-พฤษภาคมปี 1993 ในสมัยของอดีตนายกรัฐมนตรี นายจอห์น์ เมเจอร์ จากพรรคอนุรักษ์นิยม(Conservative Party) ออกมาให้ความเห็นต่อการที่ฝ่ายตุลาการของไทย กำลังมีความพยายามที่จะนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยกลับไปดำเนินคดีในประเทศ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ว่า ผู้เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย จะต้องพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนก่อนว่า การนำตัวอดีนนายกฯของไทย กลับไปดำเนินคดีในครั้งนี้ไม่ได้มีปัจจัยทางการเมืองซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง
ทั้งนี้ยังต้องแสดงให้เห้นว่า กระบวนการยุติธรรมของไทย มีมาตรฐานดีเพียงพอ ที่จะให้ความเป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยไม่ถูกชี้นำจากฝ่ายใด หรือสถาบันใด ซึ่งหากไทยไม่สามารถสร้างความกระจาย ในเงื่อนไขทั้ง 2 ประการ ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ตัวอดีตนายกฯของไทยกลับไปดำเนินคดีในประเทศ
‘ไข่มุกดำ’ลมออกหูจวก‘สนธิ’อย่าโยนบาปขว้างบึ้ม
ย้อนให้‘พันธมาร’มองดูการกระทำยึดทำเนียบที่เหนือกฏหมาย ชี้อย่ากล่าวหาโบ้ยมือบึ้มเป็นคนระบอบ‘ทักษิณ’ ด้าน‘พงษ์เทพ’เผยไม่เคยต่อสายคุยส่วนตัวกับอดีตนายกฯ เชื่อรัฐบาลไม่ป้องคนผิดเหตุระเบิดป่วนพัธมิตร
นายวีระ มุกสิกพงษ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงความพร้อมในการจัดงาน ความจริงวันนี้ สัญจรในวันพรุ่งนี้(1 พ.ย.)ว่า ขณะนี้พร้อมแล้ว 90 เปอร์เซนต์ ทั้งสถานที่และเจ้าหน้าที่ ส่วนในเรื่องของมาตราการรักษาความปลอดภัยนั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 1,000 นาย ให้การรักษาความเรียบร้อยทุกประตูทางเข้าออก ซึ่งจะมีการตรวจอาวุธและวัตถุระเบิดต่างๆโดยเครื่องมือของตำรวจ เพราะฉะนั้นยืนยันว่ามีความปลอดภัย 100 เปอร์เซนต์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของ นปช.เองจะคอยตวรจสอบปัญหาและให้บริการอีกกว่า 500 คน
ส่วนกรณี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะต่อสายโทรศัพท์ผ่านทางรายการ โดยจะเป็นการพูดให้คนไทยเข้าใจผิดหรือเกิดความแตกแยกนั้น นายวีระ กล่าวว่า เชื่อว่าสิ่งที่ พ.ต.ท. ทักษิณ จะพูดนั้นจะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ เพราะเป็นคนที่มีดุลยพินิจในการพูดที่เพียงพอว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด ทั้งนี้เชื่อว่าภายหลังการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองดีขึ้น
“คนที่เป็นห่วงเป็นใยก็ต้องขอขอบคุณ ส่วนใครที่ห้ามปรามนั้น ขอถามว่าท่านรู้จักสิทธิเสรีภาพของคนอื่นหรือไม่ ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยฉะนั้นคนไทยย่อมมีสิทธิที่จะพูดจา และมีสิทธิที่จะสื่อสารถึงกันด้วย แต่จะดีหรือไม่ดีควรประเมินหลังจากนั้น ไม่ควรประเมินล่วงหน้า ไม่ถูกต้อง”นายวีระ กล่าว
สำหรับการชุมนุมในวันพรุงนี้นั้น นายวีระกล่าวยืนยันว่า จะไม่มีเหตุการชุลมุนอย่างแน่นอน เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามอยู่กันคนละพื้นที่ รวมทั้งวัตถุประสงค์คนละอย่าง การชุมนุมในวันพรุ่งนี้เป็นการชุมนุมที่ถูกกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ และได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญทุกอย่าง ที่สำคัญคือมีวัตถุประสงค์เพื่อการสันติ และเรียกร้องประชาธิปไตย หากผู้นำเหล่าทัพจะมาร่วมฟังหรือจะส่งลูกน้องมานั่งฟังก็สามารถทำได้เราไม่ปิดกั้น บางทีหูตาอาจทำให้หูตาสว่างขึ้นก็ได้
นอกจากนี้ นายวีระยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวหาว่ากลุ่มคนร้ายที่ปาวัตถุระเบิดใส่บ้าน นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำของกลุ่มคนในระบอบทักษิณ ว่า สำหรับเรื่องนี้ต้องถามว่าประชาชนในขณะนี้ยังเชื่อพันธมิตรอยู่หรือไม่ เนื่องจากมีการกล่าวหาคนในบ้างเมืองว่าเป็นผู้สร้างเหตุการณ์นี้ขึ้น ทั้งที่ไม่ได้มีการสอบสวนหรือสืบสวนแต่อย่างใด แต่กลุ่มตนเองที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองอยู่ขณะนี้กลับเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น ดังนั้นคำกล่าวหา หรือข้อกล่าวหาที่พยายามตั้งให้บุคคลอื่นนั้น ไม่น่ารับฟัง จนกว่าจะสลายตัวกลับบ้านหรือไปชุมนุมในที่ชอบด้วยกฎหมายจึงน่าฟัง
'จตุพร'เชื่อจัด'ความจริงวันนี้'ราบรื่น
วันนี้ (31 ต.ค.) นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน (พปช.) กล่าวถึงรูปแบบการจัดรายการความจริงวันนี้ว่าจะเป็นการพูดการร้องและเชื่อว่าการจัดรายการในวันพรุ่งนี้ (1 พ.ย.) จะเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งผู้ชมจะได้ทั้งเนื้อหาสาระและข้อมูลทางการเมืองและจะมีการปราศรัยเกี่ยวกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยและคัดค้านการรัฐประหารซึ่งเมื่อมีกระแสขึ้นมาก็ต้องพูดกันในเรื่องนี้เพื่อจะพาบ้านเมืองไปสู่ประชาธิปไตยเพื่อเป็นทางออก
อย่างไรก็ตาม รายการความจริงวันนี้จะไม่มีการถ่ายสดแน่นอน หากผู้ที่อยากจะมาร่วมงานต้องการทราบข้อเท็จจริงทางการเมืองก็ให้มาร่วมงานในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ส่วนช่วงเวลาที่จะต่อสายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น นายจตุพร กล่าวว่า จะเป็นช่วงเวลาช่วงหัวค่ำที่มีนายวีระ ขึ้นเวทีปราศรัยแต่รูปแบบการสนทนายังไม่ได้กำหนด ซึ่งขณะนี้ได้เช็คระบบที่ทางโทรศัพท์ไว้หมดแล้ว ซึงหากมีการตัดสัญญาณจริงตามกระแสข่าว เราจะมีแผนการรับรองเหตุการณ์ นอกจากนี้ นายจตุพร ยังกล่าวถึงระบบการรักษาความปลอดภัยว่า ไม่ถึงขั้นต้องนำกำลังทหารมาดูแล เพราะเชื่อกำลังตำรวจและอาสาสมัครที่มีอยู่เพียงพอ
‘พงศ์เทพ’ชี้‘ทักษิณ’มีสิทธิ์โฟนอิน
นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีเกิดเหตุคนร้าย ปาระเบิดใส่เวทีชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า เรื่องนิ้เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตรวจสอบให้ละเอียด รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรเองก็ต้องให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ ว่าความจริงเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้กระทำ เชื่อว่ารัฐบาลจะต้องลงโทษผู้กระทำผิด
อย่างไรก็ตามบริเวณดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดน่าจะตรวจสอบความจริงได้ไม่ยาก อีกทั้งหลักฐานจากกองพิสูจน์หลักฐานก็จะสามารถบอกได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเหตุการณ์เป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ปกป้องคนผิด
ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหาว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์นั้น นายพงษ์เทพ กล่าวว่า หากมีการกล่าวหา รัฐบาลควรจะออกมาชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ควรนิ่งเฉยปล่อยให้พันธมิตรพูดจากล่าวว่า เพราะประชาชนที่ฟังเรื่องราวอาจหลงเชื่อในคำกล่าวหา หากไม่มีการชี้แจง
ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่นั้น นายพงษ์เทพ กล่าวว่า ปกติการสร้างสถานการณ์จะไม่มีการบาดเจ็บของกลุ่มตัวเอง เว้นแต่กรณีที่ไม่ใช่การสร้างสถานการณ์แต่เกิดเหตุขึ้นนั้นอาจจะเป็นบุคคลมือที่สามที่ต้องการให้เกิดความแตกแยก แต่ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์อื่นๆ นั้นเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ ควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ตรวจสอบหาพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิด
นอกจากนี้ นายพงษ์เทพ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จะต่อโทรศัพท์สายตรงผ่านรายการความจริงวันนี้ สัญจร ในวันพรุ่งนี้(1พ.ย.)แต่หลายฝ่ายออกมาวิพากวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องไม่ควร ว่า เรื่องนี้นั้น พ.ต.ท. ทักษิณ ท่านก็ยังเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิ์เสรีภารในการออกมาแสดงออกเหมือนคนทั่วไป ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะเดือดร้อนอะไรหากคนไทยคนหนึ่งจะแสดงความคิดเห็นบ้าง ไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ ส่วนจะมีการต่อสายจริงหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบเนื่องจากไม่ได้เป็นผู้จัดงาน“เรื่องนี้ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะโดยส่วนตัวไม่ได้ต่อสายพูดคุยเป็นการส่วนตัวมานานแล้ว”
'โคทม-ปลื้ม'บอกปัดไม่คุยการเมือง
นายโคทม อารียา ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรมีการตอบโต้คำพูดของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล และนายดิษธร วัชโรทัย อย่างรุนแรงว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ไม่ควรจะมีการแอบอ้าง แต่ถามว่ากลุ่มไหนจะมีการแอบอ้างนั้นต้องลองไปถามกลุ่มพันธมิตรดูว่าแอบอ้างจริงหรือไม่ ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรมีการพาดพิงถึงตนนั้น ตนไม่รู้ว่าหมายถึงตนหรือไม่ก็ให้ไปถามกลุ่มพันธมิตรดูเอง
ด้านม.ล.ณัฐกรณ์ เทวกุล พิธีกรชื่อดังในช่วงนี้บอกว่าตอนของดให้สัมภาษณ์เรื่องการเมืองในทุกๆกรณี
เชื่อพันธมิตรบึ้มพวกตัวเอง ป้ายสีรัฐบาล-จูงจมูกปฏิวัติ
จากเหตุการณ์ช่วงเช้ามืดวันที่ 30 ตุลาคม ที่มาผ่าน ได้มีการขว้างระเบิดที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ และมีการก่อเหตุซ้ำที่สะพานชมัยมรุเชฐ ทำให้มีการ์ดของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บจำนวน 9 คน และมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตที่หลังกองบัญชาการตำรวจนครบาลนั้น
กรณีดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นที่มีความพยายามพุ่งเป้าเข้าใส่รัฐบาลอย่างน่าสงสัย ทั้งการ์ดพันธมิตรฯ ที่ออกมาให้การเป็นฉากๆ ทั้งที่ปกติไม่เคยเคารพและคิดอาศัยกระบวนการของรัฐ อีกทั้งการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ละเอียดยิบราวกับอยู่ในเหตุการณ์
โดยการ์ดพันธมิตรฯ ให้การว่า เข้าเวรเป็นการ์ดอาสาสมัครพันธมิตรฯ ตั้งแต่เวลา 00.00 -06.00 น. จนกระทั่งช่วง 01.00 น. เห็นชายฉกรรจ์สวมชุดดำ สวมแจ็กเกตสีดำ กางเกงสีดำ สวมหมวกนิรภัย ขี่รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน ขับขี่มาวนเวียนอยู่หน้าบริเวณสะพานมัฆวานฯ 2 รอบ โดยเริ่มขับขี่มาจากบริเวณจากแยก จปร. ใช้เส้นทางถนนราชดำเนินกลาง จนมาถึงบริเวณแยกสะพานมัฆวานฯ จึงเลี้ยงขวาไปทางถนนกรุงเกษม จากนั้นวนไปวนมาอีก 2 รอบ โดยทิ้งระยะห่างรอบละประมาณครึ่งชั่วโมง
จากนั้นในรอบที่ 3 พบว่า ชายคนดังกล่าว ขับกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มีผู้ซ้อนท้ายมาด้วย 1 คน แต่งกายในลักษณะเดียวกัน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ได้หยุดรถที่บริเวณทางแยกสะพานมัฆวานฯ จากนั้นคนที่ซ้อนท้าย ก้าวลงจากรถ แล้วขว้างระเบิดใส่บริเวณสถานที่การ์ดพันธมิตรฯ ยืนรักษาการณ์อยู่ จากนั้น กลับไปขึ้นรถที่เพื่อนยังคงติดเครื่องรออยู่เพื่อหลบหนีไป
ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวหาว่าขณะนี้ฝ่ายรัฐบาลกำลังทำสงครามเต็มรูปแบบ ฆ่าประชาชนผู้รักชาติทั้งในที่ตั้งและนอกที่ตั้ง พร้อมกันนี้ พล.ต.จำลอง ยังเล่าเรื่องในมุมนู้นมุมนี้เป็นฉากๆ ราวกับเป็นเรื่องละคร หรือนิยายที่มีการแต่งเนื้อเรื่องไว้แล้ว พร้อมทั้งยังพูดจาเต็มปากเต็มคำราวกับตาเห็นว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของ นปก. ที่เป็นไปตามคำสั่งรัฐบาล
นอกจากนี้ยังระบุว่าคนที่ถูกยิงเสียชีวิตด้านหลัง บช.น. นั้นไม่ใช่คนของพันธมิตรฯ
ซึ่งการพูดดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อไม่ใช่คนของพันธมิตรฯ ก็หมายความว่าพันธมิตรฯ เป็นคนยิงอย่างนั้นหรือเปล่า และเรื่องดังกล่าวยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มพันธมิตรฯ เอง เนื่องจากพบพิรุธหลายอย่าง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ทราบดี แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก
ทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตกันด้วยว่าก่อนการระดมคนของพันธมิตรฯ ทุกครั้ง มักจะมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นก่อนเสนอ เพื่อเป็นเหตุในการระดมคน
รวมทั้งยังเชื่อว่าพันธมิตรฯ กลัวคนเสื้อแดงที่จะมีการรวมตัวกันในวันที่ 1 พฤศจิกายน บุกทำเนียบรัฐบาล จึงต้องมีการระดมคน เพราะจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณการว่าในคืนวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา มีผู้ร่วมชุมนุมเพียงประมาณ 200 คนเท่านั้น
2 ปี นวมทอง ไพรวัลย์ พลีชีพ : ประชาธิปไตย สู้ตาย!
คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ
โดย สุวิทย์ เลิศไกรเมธี
กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย
“ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก”
ยังจำประโยคนี้ได้ไหม ยังจำชายชราคนที่ขับแท็กซี่ชนรถถังได้ไหม ฯลฯ และยังจำได้ไหมว่า นักวิชาการสันติวิธีผู้โด่งดังแห่งรั้วธรรมศาสตร์ เคยกล่าวว่า รัฐประหารไม่รุนแรง แล้วการตายของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ จะเรียกว่าอะไรดี การตายของ ณรงศักดิ์ กรอบไธสง จะให้เรียกว่าอะไร รวมทั้งของฝ่ายพันธมิตรฯ อีก 2 ศพบาดเจ็บอีกหลายร้อย จะให้เรียกว่าอะไร ยังไม่นับความเลวร้ายที่ฝ่ายเผด็จการทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าอีกมากมาย ทั้งหมดนี้คือผลพวงของการรัฐประหารและการต่อสู้ของ 2 ฝ่า ยตลอด 2 ปีเศษที่ยังคงก่อความรุนแรงอย่างลึกซึ้งมาถึงทุกวันนี้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแต่ทางกายภาพเท่านั้น แต่มีความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม บลาๆๆๆ อย่างที่นักสันติวิธีและราษฎรอาวุโสชอบใช้ภาษาทำนองนี้
ผมเชื่อว่าการตายของลุงนวมทองสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้รักประชาธิปไตยไม่น้อย และผมก็เชื่อว่าการพลีชีพครั้งนั้นสร้างแรงบันดาลใจในการต่อสู้ไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็เป็นการตบหน้าพวกนักสันติวิธี นักประชาธิปไตย และนักสิทธิมนุษยชนจอมปลอมทั้งหลาย นักวิชาการ สื่อมวลชน นักการเมือง ชนนั้นนำ รวมทั้งเหล่าทรราชภาคประชาชน และอีกมากมายหลายวงการที่สนับสนุนการรัฐประหาร คนพวกนี้ล้วนมีส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการฆ่าลุงนวมทองทั้งสิ้น ที่เลวร้ายไม่แพ้กันคือ หลังจากลุงนวมทองตายไปแล้วก็ยังถูกกระทำย่ำยีใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนซ้ำอีก นับเป็นการฆ่าซ้ำสองอย่างเลือดเย็น ต่างกันลิบลับกับการตายและเจ็บของฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ก่อเหตุรุนแรงเมื่อ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ผมเดาว่าความตายของลุงนวมทองอาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ หากมีการต่อต้านรัฐประหารเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทันทีจากหลายๆ ฝ่าย แต่กลับตาลปัตร มีการต่อต้านน้อยมาก มีแต่ฝ่ายสนับสนุนเป็นส่วนใหญ่ เราจึงได้เห็นปฏิบัติการเดิมพันชีวิตสู้ตายกับเผด็จการด้วยการขับแท็กซี่พุ่งชนรถถัง หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันก็ตามมาด้วยการผูกคอตายประท้วงที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ผมเดาเอาว่ารัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คงทำให้ลุงนวมทองตายไปเกือบจะพร้อมๆ กับระบอบประชาธิปไตย ก่อนหน้าวิญญาณจะออกจากร่างเมื่อคืนสุดท้ายของเดือนตุลาคมเสียอีก
31 ตุลาคม 2551 ครบ 2 ปีการจากไปของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ น่าจะได้มีการผลักดันอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นบ้าง เท่าที่สติปัญญาผมพอจะคิดออก ซึ่งผมได้เคยเสนอไปบ้างแล้วตอนที่ขึ้นเสวนาที่สนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 23 ธันวาคม 2550 โดยผมได้นำเสนอต่อแกนนำ นปช. เพื่อไปเสนอต่อรัฐสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเช่นกัน และจะขอนำเสนอในที่นี้อีกครั้ง
ผมอยากจะพุ่งเป้าเสนอไปที่รัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาผู้แทนราษฎร (วุฒิสภาจะเอาด้วยผมก็ไม่ขัดข้อง) ควรจะได้ร่วมกันมีมติยกย่องเชิดชูเกียรติคุณลุงนวมทองเป็น "รัฐบุรุษหรือวีรบุรุษประชาธิปไตย" ทำนองเดียวกับการมีมติให้วันที่ 14 ตุลาคม เป็นวันประชาธิปไตย (ต่อมามีมติเปลี่ยนเป็นวัน 14 ตุลา ประชาธิปไตย) เพื่อเป็นการยืนยันว่าลุงนวมทองคือบุคคลสำคัญของประเทศที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยหวังว่าจะกลายเป็นประเพณีที่รัฐสภายกย่องเชิดชูบุคคลสำคัญที่ทำประโยชน์ให้กับระบอบประชาธิปไตย และประเทศชาติในอนาคตข้างหน้าต่อไป สมควรอย่างยิ่งที่รัฐสภาต้องยกย่องคนธรรมดาสามัญที่จิตใจยิ่งใหญ่ไม่แพ้รัฐบุรุษจอมปลอมบางคน ที่ทั้งชีวิตไม่เคยอยู่ข้างประชาธิปไตย มีบางคนเสนอมาว่าให้รัฐสภามีมติให้วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญ อาจใช้ชื่อว่าวันนวมทอง หรือวันต้านรัฐประหารแห่งชาติอะไรทำนองนี้ด้วยซ้ำ เหตุที่ผมพุ่งเป้าไปที่รัฐสภาเพราะรัฐสภาเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความชอบธรรมสูงสุดในระบอบประชาธิปไตย เพราะมีมือของประชาชนทั้งประเทศหนุนหลังอยู่นั่นเอง การยกย่องด้วยวิธีนี้จึงสมศักดิ์ศรีสมเกียรติสูงสุดยิ่งกว่าการยกย่องจากบุคคลหรือสถาบันใดๆ
สิ่งที่ควรจะตามมาหลังจากรัฐสภามีมติยกย่องแล้วก็คือ การสร้างสิ่งที่สามารถรำลึกถึงได้ เช่น สร้างอนุสรณ์สถาน ณ บริเวณสะพานลอยหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ทำบริเวณนั้นให้เป็นสถานที่สำคัญ อาจจะเปลี่ยนชื่อสะพานเป็นสะพานนวมทองก็ยังได้ ทุกครั้งที่คนเดินผ่านสะพานลอยจะได้นึกถึงวีรกรรมของลุงนวมทอง จัดสรรงบประมาณตามสมควรให้จัดงานทุกปี ฯลฯ การสร้างอะไรต่อมิอะไรที่ผมกล่าวมา รัฐสภาควรเป็นเจ้าภาพร่วมกับหลายฝ่าย เช่น องค์กรประชาธิปไตย ประชาชนทุกกลุ่มที่ประสงค์จะมีส่วนร่วม รวมทั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐด้วยที่ลุงนวมทองให้เกียรติมาเสียชีวิตที่นั่น ไม่เว้นแม้แต่พรรคการเมืองและนักการเมืองทั้งที่อยู่ในประเทศและที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เพราะนักการเมืองทุกคนได้รับประโยชน์โดยตรงจากการต่อสู้ของผู้รักประชาธิปไตยมาตลอด การร่วมกิจกรรมทางการเมืองทำนองนี้ถือเป็นการขอบคุณประชาชนผู้รักประชาธิปไตยไปด้วยในตัว
นอกจากนั้น รัฐบาลควรดูแลครอบครัวลุงนวมทองให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ได้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อชดเชยกับความสูญเสียให้กับครอบครัว ผมจำได้ว่ารัฐบาลเผด็จการสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เคยไปสัญญิงสัญญาเอาไว้ว่าจะให้ความช่วยเหลือ ก็ไม่รู้ว่าได้มีการช่วยเหลือจริงหรือไม่ ผมคิดว่าคงไม่มีใครไปต่อว่าอะไรถ้ารัฐบาลจะทำการช่วยเหลือเยียวยากรณีนี้ ขนาดว่ามีการจัดสรรงบประมาณเยียวยาให้กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ยังทำมาแล้ว ถ้าจะทำเรื่องนี้อีกก็ไม่เห็นจะเสียหาย เพราะพูดกันให้ถึงที่สุดแล้วต้องบอกว่าการเสียชีวิตของลุงนวมทองมีสาเหตุโดยตรงมาจากการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั่นเอง
ข้อเสนอที่กล่าวมาทั้งหมด ที่จริงแล้วไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการคืนความเป็นธรรมให้กับลุงนวมทอง (และครอบครัว) ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนมาตลอดตั้งแต่ขับรถแท็กซี่ชนรถถังใหม่ๆ จนกระทั่งตายไป เช่น หาว่าแกถูกจ้างมาบ้างล่ะ หาว่าสติไม่ดี เมา และอีกสารพัดคำดูถูกดูแคลน นักหนังสือพิมพ์ใหญ่บางคนถึงขนาดเขียนแสดงความรู้สึกขำขัน พร้อมกับดูถูกดูแคลนการพลีชีพว่าเป็นวีรชนง่ายเกินไป เป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยง่ายไป ฯลฯ
นักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่าการพลีชีพของลุงนวมทองน่าจะเป็นกรณีแรกที่จงใจพลีชีพเพื่อประชาธิปไตย (ประท้วงเผด็จการ) ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการพลีชีพที่มีลักษณะจงใจเช่นนี้มาก่อน จะมีแต่การพลีชีพด้วยเหตุผลอื่น เช่น กรณี คุณสืบ นาคะเสถียร ชาวนาผูกคอตายประท้วงรัฐบาล เป็นต้น การคืนความเป็นธรรมด้วยการเขียนประวัติศาสตร์เสียใหม่ให้ถูกต้องจึงสำคัญที่สุดเสียยิ่งกว่าการสร้างอนุสรณ์ใดๆ แม้จะไม่สามารถนำชีวิตลุงนวมทองกลับคืนมาได้ แต่ก็เปรียบได้กับการเกิดใหม่ของลุงนวมทองในหน้าประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และลุงนวมทองจะมีชีวิตอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์นี้ไปอีกนาน และผมก็ยังหวังอีกว่าจะมีการชำระประวัติศาสตร์คืนความเป็นธรรมให้กับคนและเหตุการณ์อื่นๆ ในอดีตด้วยเช่นกัน
ขอปิดท้ายเพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของลุงนวมทองอีกครั้ง ด้วยบทกวี “เขาชื่อ...นวมทอง” ของ จิ้น กรรมาชน
นวมทองขอพลีชีพ จุดประทีปแห่งสมัย
เกิดมาเพื่อรับใช้ พิทักษ์ไว้อุดมการณ์
เชื่อมั่นต่อจุดยืน เขาลุกขึ้นอย่างกล้าหาญ
คัดค้านเผด็จการ รัฐประหารน่าชิงชัง
เป็นเพียงสามัญชน พุ่งรถยนต์ชนรถถัง
หนึ่งคนมิอาจยั้ง เกินกำลังจะประลอง
วีรชนไม่ตายเปล่า หากปลุกเร้าเราทั้งผอง
คนซื่อชื่อนวมทอง จักเรียกร้องความเป็นธรรม
และสุดท้ายของสุดท้าย ผมก็หวังเช่นเดียวกับลุงนวมทองว่า “ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก” แต่อย่างไรเสีย ชาตินี้ขอสู้ตายเพื่อประชาธิปไตยก่อนก็แล้วกัน
//////////////////////////////////
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกลุ่ม
“นวมทอง ไพรวัลย์” วีรบุรุษประชาธิปไตย
คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง
โดยเอกฉัตร
00หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ สื่อทางเลือกของประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ร่วมต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มาจากปากกระบอกปืน กากเดนของเผด็จการ ฉบับวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2551 เอกฉัตร เข้าเวรประจำการตามปกติ ท่ามกลางกลิ่นตุๆ เขียวขี้ม้ามากระทบจมูก ที่คนบางพวกบางกลุ่มสร้างสถานการณ์ ยังเดินหน้ายั่วยุ ยุแยงให้ทหารออกมา เพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง หวังใช้การเมืองใหม่ ที่คนในทำเนียบสุมเศียรจินตนาการกันขึ้นมา จนถึงวันนี้รูปแบบที่เปิดเผยออกมายังสับสนหาข้อสรุปไม่ได้ เป็นแค่ลัทธิ ไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ทั่วโลกใช้ในการปกครองประเทศ ระเบิดปริศนาเมื่อคืนวันวานนั่นคือตัวจุดชนวนนัดสุดท้าย เหมือนกับที่เคยประกาศสงครามครั้งสุดท้าย
00วันนี้เมื่อสองปีที่ผ่านมา ผู้ร่วมขบวนการต่อต้านรัฐประหาร มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยในหัวใจ คงจำกันได้ว่า ได้สูญเสียวีรบุรุษประชาธิปไตย ตัวจริง เสียงจริง ที่ชื่อ “นวมทอง ไพรวัลย์” อดีตพนักงานการไฟฟ้างบางกรวย แต่จิตใจสูงส่งกว่าคนที่ทำงานด้วยกัน ที่เป็นผู้นำสหภาพ ปากบอกว่ารักประชาธิปไตย แต่ไปขึ้นเวทีเรียกหาเผด็จการ ขณะที่ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ยอมสละชีวิตเพื่อต่อต้านการทำรัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตรย์ เป็นประมุข ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ เมื่อวันที่ 19 กันยายน ปีเดียวกัน
00คำว่า วีรบุรุษประชาธิปไตยตัวจริงเสียงจริง ที่ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเอง แต่ได้รับการเชิดชูจากผู้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพราะการกระทำที่หาญกล้า เมื่อวันที่ 30 กันยายน หลังประชาธิปไตยถูกปล้นไป 11 วัน ทนเห็นภาพบาดตาคาใจไม่ได้ จึงขับรถแท็กซี่คู่ชีพ พุ่งชนรถถังที่จอดให้ประชาชนผู้หลงผิดได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก วันนี้คงจะนึกได้แล้วว่า ครั้งหนึ่งเคยร่วมทำร้ายประเทศชาติ โดยการมอบดอกไม้ให้กำลังใจผู้ร่วมกันทำลายประชาธิปไตย
00การสร้างวีรกรรมเพื่อต้องการให้โลกรับรู้ คนไทยไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับคณะเผด็จการทั้งประเทศของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ แทนที่ผู้ร่วมขบวนการทำลายประชาธิปไตย จะสำนึกฉุกคิดสักนิดว่าผิดไปแล้ว และ เอ่ยคำขอโทษขออภัยกับวีรบุรุษประชาธิปไตยตัวจริงเสียงจริงที่ยังมีลมหายใจ เพื่อโหยหาประชาธิปไตย พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษกคณะรัฐประหาร กลับเยาะเย้ยถากถาง เอาความคิดและสามัญสำนึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง สบประมาทว่าไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้เหมือนกันที่ทหารปฏิญาณตนว่า จะยอมสละชีวิตเพื่อชาตินั้น เป็นแค่การท่องจำที่ทำต่อๆ กันมาหรือไม่ ก็ในเมื่อสบประมาทผู้มีจิตวิญาณประชาธิปไตยได้หน้าตาเฉย ประชาชนมีสิทธิ์ตั้งข้อสงสัย ในคืนวันที่ 31 ตุลาคม 2549 รถถังกลับที่ตั้ง ไม่มีให้ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ได้ปฏิบัติการซ้ำสอง จึงต้องใช้วิธีผูกคอตายบนสะพานลอย
00สองปีจากการจากไปของวีรบุรุษประชาธิปไตยตัวจริงเสียงจริง เพื่อให้ผู้มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ได้รำลึกถึงวีรกรรมที่ทำให้ทั่วโลกประจักษ์ในการต่อต้านเผด็จการ เอกฉัตร ต้องขอบคุณ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่งถือว่าเป็นมนุษย์ดวงแข็งแห่งปี ถูกยิงปางตาย แต่มีภารกิจใหญ่รออยู่ข้างหน้า ทำให้เกิดแรงฮึด ร่างกายกลับเข้าสู่ปกติในเวลาไม่กี่วัน จึงเป็นแม่งานใหญ่ทำเรื่องเสนอให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้กำหนดวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันต่อต้านการรัฐประหารแห่งชาติ” ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหมขอรับ
00แน่นอน หากกำหนดวันที่ 31 ตุลาคม วันสละชีวิตของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ เป็น วันต่อต้านการทำรัฐประหารแห่งชาติ ถือว่าเหมาะสมทั้งความรู้สึกและวันเวลา เพราะทุกๆ ปีของเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นฤดูการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีของข้าราชการทุกหน่วยงานแต่ที่ประชาชนจับตามองเป็นพิเศษคือการแต่งตั้งโยกย้ายทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ โดยมีข่าวลือปฏิวัติรัฐประหารกระหึ่มเป็นอาหารเสริมกันตั้งแต่ต้นเดือนยันปลายเดือน หากกำหนดวันต้านรัฐประหารแห่งชาติขึ้นมาได้ ในอนาคตมีการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นมา ผู้ร่วมขบวนการทำลายประชาธิปไตยจะได้เตรียมตัวเตรียมใจล่วงหน้ากับการชุมนุมคัดค้านต่อต้านรัฐประหารประจำปี
00วันนี้วันสุดท้ายของ เดือนข่าวลืออัปมงคลปฏิวัติรัฐประหาร โดยบรรดาหมอดูหมอเดาหลายสำนักสู่รู้คอยผสมโรง สร้างสีสันการเมืองให้ตื่นเต้นเร้าใจตลอดทั้งเดือน หากวันนี้ผ่านไปโดยไม่มีอะไรขับเคลื่อนผิดปกติ และพรุ่งนี้วันที่ 1 พฤศจิกายน งานพบปะครอบครัวความจริงวันนี้ ครั้งที่ 2 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก สามารถดำเนินการไปได้ตามโปรแกรมที่วางไว้ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะส่งเสียงโฟนอินข้ามทวีปเข้ามายังเวทีปราศรัยตามที่ได้สัญญาใจกันไว้ วงการหมอดูน่าจะสังคายนากันใหม่ หรือ จะให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำให้วิตกจริตช่วยชำระสะสาง
๐๐ ในที่สุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ได้ใช้ความกล้าหาญตัดสินใจครั้งสำคัญในการเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ยอมตัดสินชี้ขาดคดีผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.อุบลราชธานี ถูกร้องเรียนกล่าวหาทุจริตเลือกตั้งภายในชาตินี้ ผลการชี้ขาดที่ออกมา ใครเป็นแฟนประจำหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ คงจำได้ เคยพาดหัวข่าวไว้เมื่อฉบับวันที่ 15 สิงหาคม จากวันนั้นถึงวันนี้สองเดือนครึ่งพอดี ผลการตัดสินชี้ขาดกับที่หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์พาดหัวไว้ 1 แดง 2 เหลือง 1 ขาว ตรงกันเป๊ะ เอกฉัตร จึงกราบขออภัยท่านผู้มีอุปการคุณ ที่นำข่าวเก่าฉบับวันที่ 15 สิงหาคม มาให้ท่านอ่านอีกในฉบับวันที่ 30 ตุลาคม