ผมนั่งดู ศอฉ.ตั้งข้อกล่าวหาฉั้วๆ เรื่องขบวนการล้มเจ้าด้วยความขบขัน เพราะเป็นเรื่องเก่าโคตร และมั่วโคตร ขนาดลากเส้นให้หัวโตเป็นสายตรงพจมาน ชินวัตร
ที่เก่าโคตรก็เช่นโยงฟ้าเดียวกันกับหลานสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พูดกันมา 4 ปี ถามว่าตัวสุริยะตอนนี้อยู่ที่ไหน ใครเห็นสุริยะมีบทบาททางการเมืองบ้าง แม้แต่สื่อเสื้อเหลืองอย่าง ASTV ก็แทบไม่เคยกล่าวถึงสุริยะโยงใยทักษิณหรือม็อบเสื้อแดง แต่พูดถึงฟ้าเดียวกันทีไร เป็นต้องอ้างหลานสุริยะ
ที่ใหม่โคตรก็คือกล่าวหาบิ๊กจิ๋วกับสมชาย ฐานทำหนังสือขอเข้าเฝ้า แค่เนียะก็โดนรุมกระหน่ำว่าบังอาจ มิบังควร “ล้มเจ้า” เออ แล้วไอ้พวก ม.7 ที่ในหลวงตรัสว่า “อย่ามั่ว” ล่ะ ยังลอยหน้าลอยตากันอยู่ได้ (ตลกกว่านั้นคือบิ๊กจิ๋วนี่แหละ เป็นคนออกมาพูดเรื่อง “ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า”)
คำถามคือหาว่า “ล้มเจ้า” แล้วจะมีอะไรอีก
คำตอบคือไม่มี นี่คือข้อกล่าวหาทางการเมืองที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศนี้
ถามต่อไปว่า ถ้าใช้ข้อกล่าวหานี้แล้ว ยังสลายม็อบเสื้อแดงไม่ได้ คนเสื้อแดงยังลุกฮือทั่วประเทศ แล้วจะทำอย่างไร
เพราะนี่เป็นข้อหาที่ใช้มาแล้วเกือบ 5 ปี ตั้งแต่สนธิเปิดสวนลุมโจมตีทักษิณเรื่องวัดพระแก้ว จนนำไปสู่รัฐประหารด้วยข้อหา “หมิ่นเหม่” แต่ยิ่งกล่าวหาทักษิณ ยิ่งโจมตี “ขบวนการล้มเจ้า” ไหงกลับมีม็อบเสื้อแดงมากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนพวก Ultra-Royalist สมองกลวงแทบจะคลั่งใจตาย
สิ่งที่ผมประหลาดใจคือทำไม Royalist ที่มีสติ มีเหตุผล มองการณ์ไกล จึงมีน้อยเหลือเกินในประเทศนี้ ถ้าเป็น Royalist จริง ทำไมจึงปล่อยให้รัฐผลักคนร่วมครึ่งประเทศไปเป็น “ศัตรูสถาบัน”
การที่คนเสื้อแดงเติบโตขึ้น มีมวลชนมากขึ้น ถ้าคุณเป็น Royalist ที่มีหมอง คุณจะมองอย่างไร ระหว่างหนึ่ง อิ๊บอ๋ายแล้ว มีคนมากมายมหาศาลเข้าร่วมขบวนการล้มเจ้า ไม่เอาเจ้า หรือว่าสอง เพราะคนเขาเห็นเป็นข้อกล่าวหาที่ไร้เหตุผล และคนส่วนใหญ่ในเสื้อแดงเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
ถ้าคุณเชื่อข้อแรก คุณก็ไม่เชื่อมั่นในสถาบัน ไม่เชื่อมั่นพระบารมี อย่างที่ปากพูด
Royalist ที่แท้จริงควรมองให้ถูกจุดว่า การอ้างและดึงสถาบันลงมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งแตกแยกทางการเมืองต่างหาก ที่ส่งผลกระทบจนเกิดปรากฏการณ์ที่เห็นอยู่นี้
และสิ่งที่ควรมองให้มากที่สุดคือ พวกที่ “แปลงสถาบันเป็นอาวุธ” เนี่ยเป็น Royalist จริงหรือปลอม
เพราะผมเห็นว่ามี 2 พวก คือพวก Ultra ไร้สมอง กับพวก Royalist จอมปลอม ที่ไม่ได้แยแสเลยว่าการ “แปลงสถาบันเป็นอาวุธ” จะส่งผลกระทบต่อสถาบันสูงสุดของประเทศอย่างไรบ้าง
โอ้ ขนาดไอ้ห้อยก็ยังออกมา “ปกป้องสถาบัน” พวก Ultra คงเป็นปลื้มชื่นชมกันยกใหญ่ (ชื่นชมกันเข้าไป พรรคภูมิใจห้อยฉวยโอกาสชุลมุนย้ายข้าราชการ 2 กระทรวงแล้ว)
ผมจึงไม่ได้ตื่นเต้นกับข้อกล่าวหา “ล้มเจ้า” ที่เก่าโคตรและมั่วโคตร เพียงแต่สังเวชที่เห็น “อดีตสหาย” ออกมาปลุกกระแส “6 ตุลารอบใหม่” ซึ่งเท่ากับทำลายตัวเอง ต่อไปจะมีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ไหนคบ
เช่นกัน ผมมองว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังฆ่าตัวเอง ถ้าจะใช้ข้อกล่าวหาสูงสุดซ้ำรอย 6 ตุลา มาเป็นข้ออ้างสลายม็อบ เพราะทำเช่นนั้นเท่ากับเป็น “รัฐบาลหอย” ย้อนรอยออหมักเสียเอง ภาพลักษณ์ของอภิสิทธิ์-ที่พยายามอวดอ้างกับต่างประเทศว่าเป็นผู้ดี เป็นคนรุ่นใหม่ นักเรียนอังกฤษ แม่แบบประชาธิปไตย จะยับเยินไม่มีอะไรเหลือในสายตาสื่อต่างชาติ (แค่ถูก BBC ซักก็จนแต้มแล้ว)
ข้อกล่าวหา “ล้มเจ้า” ที่เก่าโคตรและมั่วโคตร ไม่มีผลอะไรต่อสังคมที่แตกแยกแล้ว พวกเสื้อแดงเขาก็ไม่เชื่อ และยิ่งโกรธที่ไปกล่าวหาเขา พวกคนชั้นกลางสมองกลวงที่เชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ไม่ต่างกับแม่ค้าฟังข่าวลือในตลาด (แต่ยังคิดว่าตัวเองมีหมองมากกว่า) ก็เชื่อฝังหัวอยู่แล้ว (อย่าไปเพิ่มความคลั่งให้เขาเลย) ขณะที่คนทั่วไปที่มีสติมีเหตุผลพอ จะกลับเห็นใจเสื้อแดงกับข้อกล่าวหาที่ไร้ตรรก
มีอย่างที่ไหน เรียกร้องให้ยุบสภา กลับกล่าวหาว่าล้มเจ้า
ฆ่าตัวตายร้ายแรงกว่า
ในขณะที่ข้อกล่าวหา “ล้มเจ้า” ดูรุนแรงมาดร้ายแต่ไม่น่ากลัวเท่าที่คิด ภาพที่ส่งผลเสียอย่างร้ายแรงกว่าต่อม็อบเสื้อแดง คือภาพที่ ร.พ.จุฬา ต้องขนย้ายผู้ป่วยลูกเด็กเล็กแดงคนเฒ่าคนแก่กันโกลาหล เพราะความบ้าคลั่งของแกนนำบางคนและการ์ดเสื้อแดง ที่บุกเข้าไปค้น ร.พ.จุฬาเมื่อวันพฤหัสบดี จน ร.พ.ต้องปิดการรักษาผู้ป่วย
อย่าอ้างว่าแค่เข้าไปขอตรวจดูว่าไม่มีทหารนะครับ ผมเนี่ยฟังจากคนที่เชียร์ม็อบเสื้อแดงเอง เพื่อนเขาเป็นพยาบาลโทรมาเล่าให้ฟัง ถึงความ “ถ่อย” ของการ์ดเสื้อแดงที่เข้าไปข่มขู่เขา
พฤติกรรมที่เกิดขึ้น แม้แต่คนที่เห็นใจม็อบเสื้อแดง ยังอดรนทนไม่ได้ (แม้แต่คนในม็อบที่ให้สัมภาษณ์ TPBS ก็ยังบอกว่าผิด) นี่มัน “ฆ่าตัวตาย” ทางการเมืองชัดๆ แกนนำที่ทำเรื่องนี้ไม่มีหัวคิด ไม่มีสมองแม้แต่ปลายนิ้วก้อยเลยหรือ
คุณหมออดิศร ภัทราดูลย์ ผอ.ร.พ.จุฬาฯ นี่ท่านก็อดกลั้นอดออมกับม็อบมามากนะครับ วงในเล่ากันว่าท่านค่อนข้างเห็นใจเสื้อแดง จนถูกพวกตรงข้ามหาว่าท่านเป็นเสื้อแดง แต่งานนี้ จะให้เห็นใจอยู่อย่างไรไหว
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือแกนนำเพียงแต่ขอโทษ แล้วก็อ้างว่าการกระทำของพายัพ ปั้นเกตุ ไม่ได้เป็นมติของแกนนำ (เหมือน พธม.เปี๊ยบตอนที่อ้างว่าบุก NBT ไม่ได้เป็นมติแกนนำ) คือถ้ามันเป็นการกระทำของการ์ดหรือมวลชน คุณยังอาจอ้างได้ว่าคุมไม่อยู่ แต่นี่แกนนำกันเอง ยังคุมไม่อยู่ แล้วจะนำการชุมนุมไปสู่จุดมุ่งหมายได้อย่างไร
มิหนำซ้ำ ตอนเย็นวันศุกร์ แกนนำสั่งให้เปิดทางเข้า ร.พ.จุฬา ถอยม็อบออกมาจากสี่แยกศาลาแดง แต่ไม่ทันไร เสธแดงก็มาสั่งให้กลับไปอยู่ตามเดิมอ้างว่าทหารจะบุก อ้าว ไหนว่าประกาศตัดหางเสธแดงไม่ให้เป็นแกนนำแล้วไงละครับ แบบนี้ สุรชัยก็โผล่มานำม็อบด้านประตูน้ำได้สิ
แกนนำเสื้อแดงขอโทษ ตำหนิพายัพ ถามว่าแล้วไง ที่ผ่านมา ผมก็เห็นแกนนำเสื้อแดงตำหนิอริสมันต์ที่บุกรัฐสภา แต่อีกไม่กี่วันถัดมาก็ยังส่งอริสมันต์จอมบู๊นำมวลชนไปผ่านฟ้ายามหน้าสิ่วหน้าขวาน (นี่อริสมันต์ก็ไปตรวจแนวตามเสธแดงสั่งอีก) เหมือนกันเลย อริสมันต์ เสธแดง แล้วก็พายัพ (ยังไม่นับขวัญชัยที่ชิ่งทิ้งมวลชน) อะไรคือความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น แกนนำจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าเป็นความผิดส่วนบุคคล ในเมื่อยังยอมให้คนเหล่านี้มีบทบาทต่อไป
ถ้าแกนนำเสื้อแดงตระหนักในผลเสียที่เกิดขึ้น จะต้องแก้ไขโดยด่วน คือถอยม็อบออกมาจากหน้า ร.พ.จุฬา ให้ ร.พ.เปิดรักษาต่อไปได้ ในเมื่อคุณไม่กลัวเขาปราบอยู่แล้ว (จริงๆ ก็อยากให้ปราบ) ทำไมจะต้องไปแย่งยึดพื้นที่แค่ตรงนั้น (ที่จริงต้องย้อนถามด้วยว่าทำไมงี่เง่าถึงขนาดไปบุก ร.พ.จุฬา ถ้ากลัวทหารจะแอบเข้าไปอยู่ คุณไม่รู้หรือว่าใน ร.พ.มีพนักงานเสื้อแดงตั้งเยอะ วันก่อนผมไปธุระส่วนตัว ได้ยินเขาคุยจ้อกับเพื่อน บอกว่าพวกหมอพยาบาลเป็นเสื้อเหลืองซะเยอะ แต่พวกคนงาน คนขับรถ เป็นเสื้อแดงซะเยอะ ถ้าทำงานมวลชนเป็น ก็ต้องจัดตั้ง “สปาย” เสื้อแดงใน ร.พ. และในสีลม)
แล้วทำแค่นั้นยังไม่พอนะครับ ถ้าเสื้อแดงจะกู้ภาพจากความเสียหายที่เกิดขึ้น คุณยังต้องทำอีกหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น พายัพ ปั้นเกตุ ถ้ากล้าหาญจริง กล้ารับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น คุณต้องเดินออกจากม็อบไปมอบตัว รับข้อหาจากรัฐบาลทั้งหมดทั้งของเก่าของใหม่ กล้าไหมที่จะเสียสละเพื่อขบวน (ไม่มีทางเป็นไปได้)
เสื้อแดงยังควรจะพลิกสถานะจากที่ถูกรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย โดยรับข้อเสนอของกลุ่มสันติวิธีที่ขอเข้าไปตรวจอาวุธ เชิญผู้ดำรงตำแหน่งบางคนที่พอจะไว้วางใจได้ว่าไม่บิดเบือน เช่น ประธานวุฒิสภา รวมถึงทูตานุทูต เข้าไปตรวจให้เห็นว่าในม็อบเสื้อแดงไม่ได้ซ่อนอาวุธ อย่าไปกลัวว่าตรวจแล้วไม่เจออาวุธจะทำให้รัฐบาลกล้าใช้กำลังเข้าสลาย เพราะถ้าตรวจปุ๊บ แล้วเย็นนั้นหรือวันรุ่งขึ้นรัฐบาลเข้าสลาย ผู้ที่เข้าไปตรวจเขาก็จะต้องปกป้องคุณ ต้องประณามรัฐบาลว่าใช้เขาเป็นเครื่องมือ
ผมถือว่าตัวเองอยู่ในพวกเห็นใจเสื้อแดง เห็นด้วยกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คือโดยหลักการและโดยวิถีทาง ต้องถือว่าการต่อสู้ของเสื้อแดงเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้รับไม่ได้กับการนำของทักษิณ และแกนนำที่ไร้สติ
ถามว่าที่ผ่านมาการต่อสู้ของเสื้อแดง ผิดหลักการ ล้ำเส้น บ้างไหม ตอบอย่างไม่แถเลยก็คือล้ำเส้นสิครับ ผิดเต็มๆ ไม่ต่างจากพันธมิตร เพื่อนพ้องในพันธมิตรต่อว่าผมว่าทำไมไม่ด่าเหมือนพันธมิตรล่ะ ผมก็บอกว่าอ้าว มาตรฐานมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน แต่สิ่งที่พันธมิตรเคยทำ แล้วจะให้บอกว่าเสื้อแดงอย่าทำ มันห้ามกันยากกว่านะครับ
ผมเชื่อว่าจะเกิดมิคสัญญี เพื่อนพ้องก็บอกว่าแล้วทำไมไม่พยายามช่วยกันห้าม ผมยักไหล่ และบอกว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เหมือนกับคุณดัดไม้ให้งอไปอีกด้าน มันก็ต้องดีดกลับ ชนชั้นนำ คนชั้นกลาง ทหาร ตุลาการ ที่เข้ามาแทรกแซงประชาธิปไตย ก็ต้องเจอการดีดกลับมั่ง ให้สาสมกัน โดยที่คนบริสุทธิ์หรือแม้แต่ผม ก็อาจต้องพลอยซวยรับเคราะห์ไปด้วย แต่ทำไงได้
ผมเชื่อว่าแกนนำเสื้อแดงอยากให้เกิดมิคสัญญี ซึ่งต่อให้ผมอยากห้ามก็ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรคำนึงก็คือ ถ้ามันก็จะเกิดก็ต้องเกิด “มิคสัญญีโดยชอบธรรม” หรือโดยธรรมชาติ ไม่ใช่พวกคุณจงใจเจตนาซะจนชัดแจ้งอย่างนี้ แส่หาให้มันเกิด เกินธรรมชาติของมัน ฉะนั้น ผมจึงเห็นว่าปรากฏการณ์ที่มวลชนต่างจังหวัดปิดถนนยึดรถทหารตำรวจ เป็นปรากฏการณ์ที่มีด้านดี ในแง่ความกล้า ความตื่นตัว แต่ไอ้ประเภทที่ออกอาละวาดเพื่อยั่วยุให้รัฐบาลปราบม็อบนี่ มีแต่เสียกับเสียนะครับ
และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ การแคร์ชีวิตมวลชน ซึ่งผมเห็นด้วยกับหัวโตเลยว่า แกนนำเสื้อแดงและทักษิณไม่ได้แคร์ชีวิตมวลชน แกนนำบางคนอ้างว่ามวลชนพร้อมสู้ตาย ใช่เลย เขาพร้อม แต่คุณเอาชีวิตเขามาใช้ไม่ได้
อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการต่อสู้ระยะยาว เดือนเมษาปีที่แล้ว วีระ มุสิกพงษ์ ได้รับการยกย่องจากทุกฝ่ายที่ยอมสลายการชุมนุมเพื่อรักษามวลชน จนสถานะการนำของวีระโดดเด่นขึ้น
ผมเสนอให้เสื้อแดงหาทางลงมาก่อนนี้แล้ว แต่เมื่อเขายังตื๊ออยู่เพื่อท้าทายให้รัฐบาลปราบ ก็ทำไงได้ ผมไม่ใช่แกนนำนิ ยอมรับว่ามันหาทางลงยากเหมือนกัน เพราะมวลชนยังโกรธแค้นกรณี 10 เมษา การอยู่ต่อมามันก็มีทั้งด้านบวกด้านลบ คือสร้างภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เกิดสภาพที่กลไกอำนาจรัฐพิการ เป็นการแข็งขืนต่ออำนาจรัฐจนทำให้ประเทศเป็นอัมพาต
ที่จริงการแข็งขืนต่ออำนาจรัฐ จะได้ผลดีกว่านี้ถ้าแกนนำ “คุมกันอยู่” (ซึ่งผ่านมาเป็นปีๆ ไม่ควรจะเป็นข้ออ้าง) ทำให้มวลชนทั้งหมดเป็น “กบฎ” ด้วยจิตสำนึกทางการเมือง มีวินัยในการจัดตั้ง แต่ไม่ใช่ปล่อยให้มีคนส่วนหนึ่งออกไปเป็น “กองโจรอิสระ”
ถ้ายังทำกันแบบนี้ เกิดผลเสียมากๆ เข้า ก็เข้าเป้าอภิสิทธิ์ ที่ต้องการ “นวด” เสื้อแดง ไม่เพียงเพื่อสลาย แต่หวังสูงกว่าในชัยชนะทางการเมือง เพราะถ้าอภิสิทธิ์ยุบสภาวันนี้ ไม่แน่แล้วว่าเพื่อไทยจะชนะ ในเมื่อรัฐบาลยึดจอโฆษณาข้างเดียวมาเป็นเดือนๆ และพฤติกรรมของเสื้อแดงก็ทำให้แม้แต่พัดลมยังส่ายหน้า