WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, January 7, 2012

"มูราคามิเมืองไทย"แย้ง"สมเกียรติ"ลั่นหยุดซื้อมติชน-หรือเจ็บปวดที่หนังสือเป็นของปวงชน?

ที่มา ข่าวสด


วิวาทะเกี่ยวกับสื่อในเครือมติชน ที่น่าสน

มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายสมเกียรติ อ่อนวิมล นักสื่อสารมวลชนอาวุโส โพสต์รูปบทความไว้บนบันทึกในเฟซบุ๊กของตนเอง โดยบทความดังกล่าวมีหัวข้อว่า "ปีใหม่ 2555 หยุดซื้อ มติชน" ก่อนจะถูกโต้แย้งอย่างน่าสนใจผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดย "อนุสรณ์ ติปยานนท์" นักเขียนรุ่นใหม่ที่หลายคนขนานนามให้เป็น "มูราคามิเมืองไทย" ซึ่งรวมเรื่องสั้น "เคหวัตถุ" และ "นิมิตต์วิกาล" ของเขา เคยเข้ารอบสุดท้ายซีไรต์มาแล้ว 2 ครั้ง


ต่อไปนี้ คือ วิวาทะเกี่ยวกับสื่อในเครือมติชนของทั้งคู่


โปรดติดตามอ่านโดยระทึกในดวงหทัยพลัน


สมเกียรติ อ่อนวิมล


"มติชนสุดสัปดาห์" ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2554-5 มกราคม 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1637 เรื่องขึ้นปก ยกย่อง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็น "บุรุษแห่งปี" พาดหัวบนหน้าปกว่า :


บุรุษแห่งปี


COMING SOON


ไม่นานเกินรอ


เรื่องอยู่ในหน้า 7 เนื้อหาสั้นมาก ไม่เต็มหน้า ไม่มีสาระรายละเอียดอะไรเลย

"ไร้สาระ" ที่จะนำมาทำเรื่องขึ้นปก


เป็นบทความด้อยคุณภาพในระดับที่เป็นรายงานเรื่องใหญ่จากปก


กองบรรณาธิการมติชนไม่ทำการบ้าน ไม่ค้นคว้า ไม่มีหลักเกณฑ์ในการทำรายงานเรื่องบุรุษแห่งปีอะไรเลย คิดเอาเอง เขียนเอาเอง ตามจินตนาการที่สั้นมาก ๆ ด้วย โดยหลักแล้ว การทำงานเรื่องขึ้นปกนั้น ต้องถือเป็นงานสำคัญ งานใหญ่ ต้องเตรียมงานกันหลายคน หลายวัน อาจนานเป็นเดือน กองบรรณาธิการควรทำงานหนักกว่านี้ ต้องทำงานหนักจริง ๆ การมีความเห็นชื่นชมคุณทักษิณก็เป็นสิทธิและเสรีภาพของมติชน ผมไม่มีอะไรขัดข้องในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยในเนื้อหาสาระหรือไม่ก็ตาม แต่ผมอยากอ่านงานที่มีการค้นคว้าที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้


อยาก รู้ว่าการเป็นบุรุษแห่งปีของคุณทักษิณตามมาตรฐานของมติชนนั้นมีอะไรเป็น พิเศษบ้างแต่ผมก็หาสาระให้คล้อยตามหรือแม้ที่จะให้โต้แย้งก็ยังหาไม่ได้


บทความสั้นมากจนไม่ควรจะเป็นเรื่องขึ้นปก


หากมติชนมีมาตรฐานงานสื่อสารมวลชนเพียงเท่าที่เห็นนี้ คิดเงินผม 40 บาท สำหรับมติชนสุดสัปดาห์ และ 10 บาท สำหรับรายวัน ก็ไม่สมควรที่ผมจะเสียเงินอุดหนุนมติชนอีกต่อไป


ในช่วงวิกฤติการเมือง 3-5 ปีที่ผ่านมา การทำงานของหนังสือพิมพ์มติชน ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ ผมสรุปเป็นความเห็นส่วนตัวว่า คุณภาพงานข่าวสารของมติชนตกต่ำลงมาก ความคิดของกองบรรณาธิการสับสนอลวน แนวทางหลักเอียงไปทางสนับสนุนคุณทักษิณมาก โดยไม่แสดงนโยบายการบรรณาธิการให้ผู้อ่านได้รับทราบให้ชัดเจน ไม่แสดงความโปร่งใสต่อสาธารณชนในเรื่องการถือหุ้นจากกลุ่มการเมือง วิกฤติการเมืองภายในองค์กรของมติชนเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ละครั้งไม่ได้รับการชี้แจงให้หายกังขา


ผมอ่านมติชนมาตั้งแต่กำเนิดมติชนในปีแรก และซื้ออ่านโดยให้ส่งถึงบ้านทุกเช้าเสมอมาไม่เคยขาด เขียนบทความลงมติชนก็หลายครั้ง มติชนจะลำเอียงไปทางไหนผมไม่เคยถือเป็นเหตุสำคัญ เพราะผมวิเคราะห์ความอิสระหรือความลำเอียงของมติชนได้ ใครถือหุ้นในมติชนเท่าไหร่อย่างไรผมก็พอมีข้อมูล


ไม่ว่ามติชนจะเป็นกลาง หรือ ลำเอียงไปทางไหน ผมยินดีซื้อมติชนอ่านมาโดยตลอด


แต่พอมาพบความไม่ขยันในการทำงานค้นคว้าหาความจริงจากเรื่องขึ้นปกมติชนสุดสัปดาห์ฉบับล่าสุดนี้ ก็เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ผมตัดสินใจเด็ดขาดในวันนี้ ว่าจะหยุดซื้อมติชนอ่านจากวันนี้เป็นต้นไป


สาเหตุใหญ่มาจากความไม่ขยันทำงานค้นหาความจริงของมติชน มากกว่าจุดยืนทางการเมืองของกองบรรณาธิการ


เมื่อเย็นวันนี้คนส่งหนังสือพิมพ์มาเก็บเงินที่บ้านพอดีผมเลยบอกคนส่งหนังสือพิมพ์ให้ทราบว่า:


จากพรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไป ขอไม่เอามติชน (10 บาท).


เหลือไว้เพียง "โพสต์ทูเดย์" (15 บาท). ฉบับเดียวพอ.


ประหยัดเงินไปเดือนละ 300 บาท!


สมเกียรติ อ่อนวิมล


5 มกราคม 2555

----------


อนุสรณ์ ติปยานนท์


เรื่องการงดซื้อมติชนของ อาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมล นี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวโบราณครั้งบรมสมกัปป์ได้เรื่องหนึ่ง


ในอดีตนั้นตรงประตูเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์จะมีแผงหนังสือตั้งติดกำแพงอยู่แผงหนึ่ง


ที่ น่าสนใจคือในแผงนี้ล้วนมีแต่หนังสือหนักและยั่วยวนการแสวงหาของนักศึกษายุค นั้นเป็นหลักอีกทั้งยังเป็นแผงหนังสือที่เปิดเช้าราวสิบโมงและปิดแผงไปใน ช่วงบ่าย


...


ช่วงเวลาเที่ยงที่นักศึกษาออกมาหาอาหาร กลางวันทานแผงนี้จะขายดีแบบแทบไม่เห็นตัวเจ้าของช่วงเวลานั้นเองที่หนังสือ พิมพ์มติชนกำเนิดมาได้ไม่นานการวางเลย์เอาท์แบบหัวนอก ไม่มีรูปอาชญากรรม โป๊เปลือยเป็นจุดขาย ทำให้เป็นหนังสือพิมพ์ที่ขายยาก จะขายได้แต่เฉพาะนักศึกษาโดยเฉพาะที่แผงริมกำแพงนี้ หนังสือพิมพ์มติชนลงมาเท่าไหร่ทั้งนักศึกษาอาจารย์แย่งซื้อราวแจกฟรี และเป็นที่รู้กันว่าใครถือหนังสือพิมพ์มติชนเดินในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่พวกหัวก้าวหน้าก็ต้องเป็นนักกิจกรรมตัวเอ้


ข่าวใหญ่ๆ ที่มติชนเล่น และได้รับการตอบรับจากนักศึกษาช่วงนั้นมากมีหลายข่าวเช่นการคัดค้านการขึ้นค่ารถเมล์ หรือการคัดค้านเขื่อนน้ำโจนเป็นต้น


กาลเวลาผ่านไปแผงหนังสือนั้น ต้องล้มหายตายจากเพราะการปรากฎตัวของร้านดอกหญ้าที่แอร์เย็นและมีหนังสือให้ เลือกมากกว่าส่วนมติชนก็กลายเป็นหนังสือพิมพ์ที่ใครก็อ่านได้ไม่น่ากลัว เหมือนดังก่อน ทว่าสิ่งที่น่าสนใจคือมติชนสุดสัปดาห์ที่ถือว่าเป็นยอดของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่ครบทุกรส และดูจะเข้าถึงคนทุกกลุ่มมากกว่าในอดีตด้วยซ้ำ


กาลเวลาผ่านไปอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงความขัดแย้งที่ผ่านมา มติชนสุดสัปดาห์ กลายเป็นหนังสือที่ไม่ใช่สำหรับคนชั้นนำทางความคิดหากแต่กลายเป็นสื่อความคิดโดยแท้ ภาพของหญิงวัยกลางคนต่างอำเภอที่มาถามหามติชนถึงตลาดบางบัวทอง ภาพของชายวัยชราที่เพ่งอ่านมติชนสุดสัปดาห์ในรถโดยสาร ปาย-แม่ฮ่องสอน เป็นภาพที่ทำให้ผมหยุดมองและครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น


นี่อาจจะเป็นยุคสมัยที่แท้ที่มติชนคือมติ-ชนที่ชนและเป็นของปวงชนจริงๆ


จนอาจทำให้แฟนเก่าเฉพาะกลุ่มที่สงวนมติชนไว้ให้ตนเองกำลังเจ็บปวดกับการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ก็เป็นได้มิใช่หรือ?

นักล่าแม่มด Vs. น้องก้านธูป ผมอ่านความเห็นเธอแล้วเธอไม่ได้อ่อนแอเลย

ที่มา thaifreenews

โดย ลูกชาวนาไทย

เพิ่งอ่านบทสัมภาษณ์ของน้องก้านธูปในมติชน รู้ว่าเธอเจออะไรมากมาย ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ต้องเรียนล้าช้าไปถึงสองปี แต่จากที่เปิดใจ เธอไม่ได้อ่อนแอเลย เธอกลับเข็มแข็ง และเข้าใจโลกมากกว่าผู้ใหญ่วัย 80 ปี ขึ้นไปเลยอีก

เรียกว่าคนนั้น เมื่อคิดได้ มันก็ไม่เกี่ยวกับอายุ (สำนวนน้องก้านธูป) ก็เหมือนหุ่นยนต์ที่กลายเป็นมนุษย์ วันที่ตระหนักรู้ ก็ถือว่าถือว่าเติบโตขึ้นแล้ว

ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลังอย่างที่หลวงวิจิตรวาทการว่าเอาไว้

น้องก้านธูปคือปัญญาชนที่เติบโตขึ้นทางจิตวิญญาญในยุคแห่งการต่อสู้

เธอคงไม่ใช่คนเดียวที่มีปัญหากับ 112 (555 มีเพื่อนเยอะ) แต่เธออาจเป็นแม่มดที่เด็กสุดก็ว่าได้ ที่โดนล่าโดยนักล่าแม่มด

นัก ล่าแม่มด ผมยังสงสัยว่าพวกนี้จะอยู่รอดในสังคมที่มีแต่แม่มดมากมายได้อย่างไร ภารกิจของนักล่าแม่มดไม่มีทางบรรลุผลได้ ในสังคมที่มีความคิดแตกต่างกันมากมายมหาศาลแบบนี้ สุดท้ายนักล่าแม่มดจะรู้ตัวเองว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางแม่มดเต็มไปหมด

นัก ล่าแม่มด ในทางยุทธศาสตร์ตอนนี้ ถือว่า เป็นตัวคะตะลิสต์ ในการทำลายล้าง 112 เร็วยิ่งขึ้น ยิ่งล่าแม่มด ก็ยิ่งทำให้เหล่าแม่มดทั้งหลาย รวมตัวกันล่า 112 มากยิ่งขึ้น

เพราะจะปลอดภัยจากนักล่าแม่มดได้ มีแต่ต้องแก้ไข หรือยกเลิก 112 เท่านั้น

เป็นกำลังให้น้องก้านธูปครับ ตอนนี้เรียนให้จบก่อนก็แล้วกันนะครับ

เมื่อเราเติบโต ยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง เราก็มีอิสระอย่างสมบูรณ์ที่จะคิดและทำในสิ่งที่เราเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่

สบายใจได้เลยครับยุคนี้เป็นยุค Renaissance ฟื้นฟูปัญญาของคนไทย
ไม่ใช่ยุคมืด เป็นยุคที่นักล่าแม่มด ในที่สุดจะยืนอยู่ไม่ได้หรอกครับ

บุคลากรการเมืองของเพื่อไทยยังมีอีกมากมาย

ที่มา Voice TV



รายการ The Dauily Dose ประจำวันที่ 6 ม.ค. 2555

วิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขานุการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย "ประมาณสัก...ผมคิดว่าน่าจะ 50-60 คน ที่คิดว่ายังอยู่กับพรรคเพื่อไทย"


คำทำนาย…คำทำลาย!!!

ที่มา vattavan

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ทความ วันนี้ เป็นปฐมบทของ พ.ศ.ใหม่ ผู้เขียนไม่อยากให้มีความเข้มข้นมากนัก เนื่องจากยังเป็นเวลาสบายๆของคนไทยเรา จึงอยากนำเรื่องเบาๆ มาสนทนากับท่านผู้อ่าน ก่อนที่จะเขียนวิพากษ์วิจารณ์แบบตะลุมบอนเหมือนเดิม ในสัปดาห์ต่อๆไป

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ทำให้คนไทยดูจะยำเกรงธรรมชาติกันมากขึ้ง ทั้งๆที่พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติเรานั้น ได้สอนให้คนไทยรู้และเข้าใจธรรมชาติ อันเป็น
‘ธรรมะ’ สำคัญ แต่น่าที่เสียดายอย่างยิ่ง ที่แม้ชาวเราจะรู้ในข้อนี้ กลับดำรงชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ แถมยังบังอาจหักหาญ ทำลายธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง เพราะความ
โลภและหลง จนลืมความถูกต้องชอบธรรม จนในที่สุดธรรมชาติได้ส่งผลร้ายแรง
อย่างยิ่ง ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์กันแล้ว

พอน้ำแห้งลง เราก็พบ “ขยะ” จำนวน มหาศาล อย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งเป็นภาระที่ทั้งเจ้าของบ้าน และเทศบาล องค์กรท้องถิ่นต่างๆ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ประสพภัย จะต้องดำเนินการกำจัดไปตามหน้าที่แห่งตน
ทาง กทม.เองนั้น มีปัญหาเรื่องนี้ จนถึงขั้นต้องมีรายการ ปลดผู้อำนวยการเขต โทษฐานที่ไม่เอาใจใส่ ในการจัดการกับปัญหาขยะล้นเขต ในความรับผิดชอบของตนไปแล้ว 1 ราย

ท่ามกลางเสียงประชาชน ที่พากันบ่นเรื่องขยะล้นเมืองอย่างหนาหู แต่กลับมีรายงานข่าวว่า
บรรดาซาเล้งที่มีอาชีพเก็บขยะ มีรายได้เพิ่มจากเดิมหลายเท่าตัว ทำให้ใครก็ตาม ที่คิดว่างานเก็บขยะเป็นงานต่ำ แต่คนที่ร่ำรวยจากการค้าขายขยะ จนมีทรัพย์สินหลายสิบล้าน
บาท ก็มีให้เห็นกันแล้ว และที่น่าทึ่งมาก ก็คือ
ขยะเพียงจุดเดียว อย่างที่สถานีรถไฟจังหวัดพิษณุโลก มีคนจากสามครอบครัวมาเก็บขยะจากจุดนี้ สามารถเลี้ยงครอบครัวของพวกเขาได้เลย
น่าประหลาดใจนัก!

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

มหาอุทกภัยครั้งนี้ ถือเป็นความ “วิบัติ” โดยแท้ แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย จำคำของผมเอาไว้ให้ดี ว่า
เมื่อมี “วิบัติ” แล้วจะมี “อุบัติ” ควบคู่ไปด้วยกัน ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ
สิ่งที่ “อุบัติ” ขึ้นหลังน้ำท่วมครั้งร้ายแรงนี้ ทำให้เราเห็นทั่วกันคือ นวัตกรรมใหม่ๆที่เกิดจากภูมิปัญญาของคนไทย ทั้งจากผู้ประสบความเดือดร้อน และนักประดิษฐ์ทั้งสมัคร
เล่นและอาชีพ ที่มุ่งหวังจะช่วยพี่น้องชาวไทยด้วยกัน เช่น
ส้วมกระดาษ สุขาลอยน้ำ แผ่นพลาสติกห่อรถกันน้ำเข้า ประดิษฐ์กรรมจากของเหลือใช้ต่าง เช่น ขวดน้ำพลาสติก ฯลฯ
ผมฟังข่าวจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาว่า มีผู้ยื่นขอจดสิทธิบัตรนวัตกรรมใหม่ๆ อันเป็นผลมาจากน้ำท่วมครั้งนี้หลายรายแล้ว ซึ่งมีหลายรายการที่สามารถจดสิทธิบัตรได้
นี่คือ “อุบัติ” ที่เป็นผลมาจาก “วิบัติ” โดยแท้!

นวัตกรรมใหม่ที่ผมสนใจมากคือ หลังจากน้ำลดลง เมื่อเจ้าของบ้านที่ถูกน้ำท่วม เข้าฟื้นฟูบ้าน ก็พบกับปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะ “รา” ที่ขึ้นตามผนัง และเครื่องเรือนต่างๆ ซึ่งกำจัดได้ยากยิ่ง
ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เขาก็คิดค้นน้ำยากำจัดเชื้อราขึ้น และแจกให้ราษฎรผู้เดือดร้อน ไปรับได้ฟรีๆ ซึ่งเขาให้ชื่อได้ถูกใจคนเขียนมาก คือ
“รา-อเวย์”
คำว่า”อเวย์” เป็นภาษาฝรั่ง คือ Away ซึ่งแปลว่าไปทางอื่น หรือจากไป เมื่อเอามาตามหลังภาษาไทย คือคำว่า “รา” ก็คงมีความหมายว่า น้ำยาที่ทางสถาบันนี้ คิดค้นให้ผู้คนได้
ใช้กันนั้น จะทำให้ “เชื้อรา”ต้อนยอมจำนน และจากไปแต่โดยดี นั่นคือการกำจัด “รา” ที่ได้ผลนั่นเอง
เก๋ไก๋มาก ทั้งเรื่องน้ำยา และชื่อของผลิตภัณฑ์ ต้องขอ
ยกย่องไว้ ณ ที่นี้!
อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันได้บทเรียนสำคัญจากภัยพิบัติในครั้งนี้ และจะต้องมีแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมชัดเจนออกมา ให้ชาวบ้านเห็นเป็นรูปธรรม และที่
สำคัญคือ
มาตรการต่างๆที่จะมีติดตามมา จะต้องได้รับความเชื่อถือ และความมั่นใจจากพี่น้องประชาชน ที่สำคัญคือ จะให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ซ้ำอีกไม่ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึง...
‘จุดจบ’ ของรัฐบาลนี้ด้วย!

ปีใหม่ นี้ คนไทยดูจะมีความสุข ระหว่างการเปลี่ยนศักราชกันมากขึ้น อาจเป็นเพราะบ้านเรา เพิ่งผ่านปีที่เลวร้ายของมหาอุทกภัย ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็มีความหวังว่า ชาติไทยของเราจะต้องก้าวหน้ากันต่อไป ด้วยความรุ่งเรืองสดใสมากกว่าทุกๆปี
สำหรับตัวผู้เขียน นึกเสียดายที่ผมพลาดโอกาสที่จะไปยืนบนสันเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ตามคำเชิญชวนของทางผู้บริหารเมืองนั้น เพราะก่อนหน้ามีคำทำนายจาก ‘เด็กชาย
ปลาบู่’ ที่ตายไปนานหลายปีแล้ว แต่ข่าวบอกว่า บิดาของเด็กชายคนนี้ ได้นำคำทำนายของเด็กคนนี้ออกมาเปิดเผย โดยบอกว่า
เด็กได้ทำนายเหตุการณ์ร้ายๆไว้อย่างถูกต้อง แล้วสื่อที่ไม่ชอบรัฐบาลของนายกฯปู นำเอามาเปิดเผยกันเป็นที่ครึกครื้น
คำทำนายของ ‘เด็กชายปลาบู่’ ที่สร้างความฮือฮามากหน่อยก็คือการทายทักว่า เขื่อนภูมิพลจะแตกคืนวันปีใหม่ที่เพิ่งผ่านมา แต่ปรากฏว่า
เขื่อนสำคัญของบ้านเรา ยังมั่นคงดีอยู่ และคำทำนายก็กลายเป็นเรื่อง “ตอแหลตอหลด-ตดใต้น้ำ” ไป เหมือนอย่างคำทำนาย “ขยะ” อีกหลายๆเรื่องเคย แต่ครั้งนี้คนเมืองตากเขา
ไม่ยอม เลยมีการแจ้งความเอาผิดกับผู้เผยแพร่ข่าว ในความผิดฐาน
ทำให้ ‘ตกใจกลัว’ กันบ้าง!

เรื่องการออกมาเขย่าขวัญผู้คนอย่างนี้ พวกโหรหรือหมอดูทำเป็นประจำโดยผ่านคำทำนาย “ขยะ”ของพวกเขา และมักโดนด่าว่าเป็น ไอ้โหนต่องแต่งบ้าง โหนจังไรบ้าง โหนระยำบ้าง ฯลฯ แต่คนพวกนี้ก็ไม่เคยเข็ด หาเรื่องตอหลดตอแหลไปได้เรื่อยๆ ถึงแม้ว่าทางองค์การนาซ่า เขาแถลงออกมาเป็นเรื่องเป็นราวว่า
วันสิ้นโลก...เป็นเรื่องเหลวไหล!

แต่...ไอ้พวกนี้ก็คงไม่หยุด และคงต้องหาเรื่อง ‘แถ’ ไปจนได้
ไม่เชื่อก็คอยดูกัน!!

ผมสังเกตเห็นว่า บรรดานักพยากรณ์บ้านเรานั้น ได้แบ่งกันเป็นค่ายเป็นสี เหมือนกับวงการอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร เพราะแม้กระทั่งนักศึกษา ว.ป.อ. ซึ่งก็เป็นผู้ใหญ่ในวงราชการ วงการธุรกิจการค้า และอื่นๆ ยังแบ่งกันเป็นเหลือง-เป็นแดง แล้วอย่างนี้
จะสำมะหาอะไร กับวงการหมอเดา-หมอดู!
การแบ่งค่ายของคนกลุ่มนี้นั้น มีสื่อหนังสือพิมพ์คือ ‘มติชน’ นำมาลงเผยแพร่ให้ชาวบ้านรู้ แม้ไม่ได้บอกชัดเจนว่า คนไหนเป็นสีอะไรหรืออยู่ค่ายไหน แต่ก็พอเดากันได้ยาก
เพราะทางมติชนแยกประเภทไว้ จึงทำให้คนอ่าน มองเห็นสีของค่ายที่คนพวกสังกัด โผล่ขึ้นมาเอง ดังนี้

- หมอดูที่เชียร์รัฐบาลเก่า ก็จะมีคำทำนายออกมาว่า พรรคประชาธิเปรต จะได้เป็นรัฐบาลต่อไป แต่หมอดูฝ่ายตรงข้าม ก็ออกคำทำนายไปคนละทิศ
- หมอดูที่ไม่ฟันธง ว่าพรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาล แต่พูดออกเป็นกลางแบบนวลๆ โดยอาศัยตอหลดด้วยคำทำนายแบบมีเงื่อนไข เพื่อเปิดช่องเอาไว้ให้ตัวเองสามารถแก้ไข
หรือซ่อมแซมคำทำนายของตนได้ เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว
กลุ่มนี้...เป็นพวกเอาตัวรอด!
- หมอดูฟันธงขาดลงไปเลย ว่าคุณยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกฯอย่างแน่นอน ใครที่กล้าทำนายอย่างนี้ได้ ก็จะได้รับการยกย่องมาก แต่ที่เห็น....
ดูจะมีเพียงรายเดียวเท่านั้น ที่แม่นจน...ขนลุก!!

หมอดูที่ปั่นกระแสตัวเองขึ้นมาไม่นาน แต่มาทำนายทายทักผิดพลาดอย่างจัง ที่พอจะยกเป็นตัวอย่าง ก็คือ นายกรหริศ บัวสรวง ที่ทำนายว่า คุณยิ่งลักษณ์ฯจะไม่มีทางได้เป็นนายก แต่เมื่อผู้หญิงคนนี้ กลายเป็น ‘นายกฯปู’ ไปแล้ว อีตาคนนี้เลย
เสียหน้าอย่างแรงไป

content/picdata/342/data/photo2.jpg

ไม่น่าเชื่อว่า ขนาดดูผิดดูพลาดอย่างนาย กรหริศฯ ยังดันทะลึ่งผลิตทำคำนายที่น่ากลัว ออกมาเขย่าขวัญชาวบ้านอีกตอนช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยทำนายว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆนาๆ ผมไม่อยากนำมาเผยแพร่ซ้ำ แต่มีผู้มาถามความเห็นจากผม ว่า
มันจะเป็นความจริง ตามที่ไอ้เจ้านี่...มันทำนายหรือไม่?
จึงตอบเขาไปว่า

ในทัศนะส่วนตัวของผมแล้ว ที่ไอ้หมอเดาคนนี้มันพูด ไม่ใช่
‘คำทำนาย’ แต่น่าจะเรียกว่า ‘คำทำลาย’ เพราะการออกมาทำนาย ไม่เป็นมงคลอย่างนั้น และเมื่อย้อนหลังไปถึงคำทำนายเก่าที่ผิดพลาดของเจ้าตัว ทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้
นอกจากจะต้องบอกกัน ว่า
นี่เป็นการจงใจออก ‘คำทำลาย’ ความเชื่อมั่นรัฐบาลชุดปัจจุบัน และทำลายขวัญกำลังใจของประชาชน
อย่างแท้จริง!
ฉะนั้น ผมไม่มีวันเชื่อไอ้หมอเดาตัวนี้ เพราะมันทายผิดซ้ำๆซากๆแล้ว ยังเสือกหน้าด้าน ออกมาทำนายทายทักอีก!
ทุเรศ...ชิบหาย!!

ท่านที่ตามอ่านบทความของ ‘วาทตะวัน’ มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่า
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ‘คุณปู’ เธอจะเป็นนายกฯไปอีกยาวนาน ไม่ใช่แต่ผมว่าคนเดียวนะครับ แต่มีพระเกจิ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดถ้ำค้างคาว คือ พระครูวิจิตรสุธาการ หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า “พระอาจารย์นวย” ทำนายเอาไว้อย่างชัดเจน ก่อนการเลือกตั้งว่าคุณยิ่งลักษณ์จะได้เป็นนายกฯ และคำ
ทำนายนั้น
แม่นยำนัก!

พระอาจารย์รูปนี้ เป็นผู้เปลี่ยนชื่อให้นักเรียนเตรียมทหาร
รุ่นเดียวกับผม และนั่งเรียนติดกันตั้งแต่ปีแรก จากเดิมชื่อ “สมภพ” เป็น “สมทัต” ซึ่งต่อมาได้พระราชทานยศเป็นพลเอก และได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และผู้
บัญชาการทหารสูงสุด จนเกษียณจากราชการไปหลายปีแล้ว
นอกจากนั้น พระอาจารย์นวยยังเปลี่ยนชื่อให้นายทหารและนายตำรวจอีกหลายนาย ซึ่งโชคชะตาของผู้ได้รับการเปลี่ยนชื่อ ก็แปรไปในทางที่ดีขึ้นกันทั้งนั้น เช่น พล.อ.ณพล
บุญทับ (จากเดิมชื่อ “เรวัต”) อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และรอง ผบ.ทบ.เป็นต้น

ผมขอคัดข้อความจาก "มติชนออนไลน์" ซึ่งได้สัมภาษณ์พระครูวิจิตรสุธาการ หรือ “พระอาจารย์นวย” ในหลายประเด็นที่ผู้คนอยากรู้ โดยเฉพาะคำถามที่ทุกคนอยากทราบมากที่สุด คือ
ใครจะได้เป็น ‘นายกรัฐมนตรี’ คนต่อไป!?
“มติชนออนไลน์" ลงไว้ตั้งแต่ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ก่อนการเลือกตั้งเกือบ 2 เดือน ดังนี้

"พระครูวิจิตรสุธาราม" ตอบแบบฟันธงในทันทีว่า
"คุณยิ่งลักษณ์จะได้เป็นนายกฯ คนต่อไป ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม" คนไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ และจะได้นั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำประเทศถึง...2 สมัย!

“เพื่อไทยจะได้เสียงเกินครึ่ง คือ 250 เสียง ส่วนประชาธิปัตย์จะได้ไม่ถึง 200 เสียง เพราะคุณยิ่งลักษณ์มีพลังในตัวสูงถึงระดับ 19 เทียบเท่ากับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเลข 19 ในทางโหราศาสตร์ถือเป็นเลขดี เลขจักรพรรดิ ขณะที่ดวงชะตาของคุณอภิสิทธิ์ในช่วงนี้ไม่ค่อยดีนัก จะสู้กับใคร ก็แพ้เขาหมด เพราะฉะนั้น หลังจากแพ้การเลือกตั้ง คุณอภิสิทธิ์ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วเปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่ เพื่อให้สู้กับคุณยิ่งลักษณ์ได้ในสมัยหน้า"

อย่างนี้แหละครับ ที่ผมว่าแม่นจน... “ขนลุก”

อยากจะเรียน กับท่านผู้อ่านว่า

มีพวกที่ชอบ ‘ได้-เสีย’ จาก การพนันขันต่อ ซึ่งมีความมั่นใจในคำทำนายของพระครูวิจิตรฯ เท่าที่ผมเห็นก็สองคนแล้ว ซึ่งหอบเงินก้อนใหญ่ จากการต่อรองผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
เห็นคำทำนายของ ‘หลวงพ่อวัดถ้ำค้างคาว’ อย่างนี้แล้ว
ต้องฝากบอกไปยังไอ้พรรคฝ่ายค้านโลซก ให้รีบเปลี่ยนเอาไอ้
มุกควาย ออกไปจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสียที
จะเอานาย ‘กรณ์ เมียแก่’ หรือนาย ‘เทพไท ลูกถ้วย’ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคดักดาน ก็ยังมีโอกาสดีมากกว่า ‘มิสเตอร์
มุกควาย’ คนเก่า
หากบรรดาสมาชิกพรรคโลซก ยังขืนให้ไอ้หมอนี่ มันนำทัพสู้ศึกเลือกตั้งอีกกี่ครั้ง ก็คงจะแพ้ซ้ำๆซากๆต่อไปอีก เพราะนอกจากบริหารบ้านเมืองไม่เป็นแล้ว ชาวบ้านเขาชังน้ำ
หน้า เต็มประดาอีกด้วย!
เปลี่ยนเสียที...ดีกว่าไหม!!?

เผื่อว่า...หลังจากนายกฯที่สวมรองเท้า ส้นสูงสองนิ้วครึ่งคนปัจจุบัน อยู่ครบสองสมัย ตามคำทำนายของพระอาจารย์นวย เจ้าอาวาสวัดถ้ำค้างคาวแล้ว และเมื่อถึงการเลือกตั้งอีก...
เจ็ดปีกว่าๆ...ข้างหน้าโน้นนนนนนนนนนน...

พรรคดักดานจะได้ไม่ ‘แพ้’ ทะรูดทะราด จนดูน่าเกลียดน่าชังอย่างครั้งที่แล้ว หรือเปลี่ยนหัวหน้าแล้ว ดวงของพรรคอาจดีขึ้น พอมีโอกาส...

ลุ้นสู้กับ ‘นายกฯปู’ หรือหลานๆของเธอ ที่จะสมัครชิงตำแหน่ง นายกฯประเทศไทยคนใหม่อย่าง...
คุณน้อง “พิณทองทา” หรือ คุณหนู “แพทองธาร”ได้บ้าง!!!?

.......

โชคดี มีสุข ทุกท่านครับ
ด้วยความเคารพ

วาทตะวัน

**************

( ***บทความประจำสัปดาห์ ตอน คำทำนาย…คำทำลาย!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 7 มกราคม 2555)

เสียงจากอดีตนักศึกษา: ถึง...เธอ, ผู้นำเชียร์งานบอล

ที่มา ประชาไท

โหวกเหวกส่งเสียงดัง

ด้วยมุ่งหวังยังจุดหมาย

ซักซ้อมเหงื่อโทรมกาย

ฝันเฉิดฉายหมายชื่นชม

เร้าเรียกเสียง "รุ่นพี่"

ทั้งพูดดีทั้งพูดข่ม

"รุ่นน้อง" เหนื่อยตรอมตรม

ยืนแทบล้มยังสู้ไป

ป๊าบหนึ่ง-ป๊าบสอง-ป๊าบสาม [1]

ทำซ้ำทำตามมิสงสัย

มือตรงหน้าคงไว้

จะเด่นไกลใน "งานบอล"

โสภาแลงามงด

คือทั้งหมดที่พร่ำสอน

เหนือ "จุฬาลงกรณ์"

ไม่ง้องอนประชาชน

บ้านเมืองเป็นอย่างไร

ไม่สนใจไม่ใคร่สน

ขอทำหน้าที่ตน

สูงส่งล้นแห่ง "แดนโดม"

ปุจฉาชน

ณ ตึกกิจกรรมนักศึกษา ธรรมศาสตร์ ท่าพรจันทร์

4 มกราคม 2554

เมืองไทย 2555 อะไรรอเราอยู่ ตอน 7: คุยกับ “ซี.เจ. ฮิงกิ” ว่าด้วยเสรีภาพอินเทอร์เน็ตและการเซ็นเซอร์

ที่มา ประชาไท

ตรวจสอบสถานการณ์เสรีภาพอินเทอร์เน็ตในปี 2555 กับ “ซี.เจ. ฮิงกิ” (C.J. Hinke) ผู้ก่อตั้งกลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ในประเทศไทย (Freedom against Censorship Thailand – FACT) นักเคลื่อนไหวชาวอเมริกันผู้ถูกจับมาแล้วกว่า 30 ครั้งจากการรณรงค์ต่อต้านสงครามเวียดนามในสหรัฐช่วงทศวรรษ 1960 และภายหลังผันตัวมาเป็นนักวิชาการและนักรณรงค์เพื่อขับเคลื่อนเรื่องเสรีภาพ ในประเทศไทย โดยก่อตั้งกลุ่มรณรงค์ต่อต้านการเซ็นเซอร์ในประเทศไทยเป็นกลุ่มแรก ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า “FACT” ในปี 2549

ทั้งนี้ ข้อมูลที่รวบรวมโดย “FACT” และโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 รัฐบาลไทยได้บล็อกเว็บไซต์ไปแล้วทั้งหมด 777,286 เว็บเพจ (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2554) โดยกระทรวงไอซีทีใช้งบประมาณในการดำเนินการเฉลี่ยวันละ 1.5 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นคิดเป็นราว 950 ล้านบาทในระยะเวลาสองปี อาจกล่าวได้ว่า แต่ละเว็บเพจมีราคา 1,210 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้มาจากที่อื่นใดนอกจากภาษีประชาชน...

เมืองไทย 2555 อะไรรอเราอยู่ ตอน 7: คุยกับ “ซี.เจ. ฮิงกิ” ว่าด้วยเสรีภาพอินเทอร์เน็ตและการเซ็นเซอร์
ภาพโดย ขวัญระวี วังอุดม

คิดว่าแนวโน้มเรื่องเสรีภาพอินเทอร์เน็ตในปี 2555 จะเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับรอบปีที่ผ่านมา คิดว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร

ซี.เจ. ฮิงกิ: เมื่อเราก่อตั้งกลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ในประเทศไทย ในประเทศไทยขึ้นเมื่อปี 2549 การเซ็นเซอร์ไม่ใช่สิ่งที่สังคมไทยกำลังพูดถึงนัก ไม่มีใครถกเถียงในเรื่องนี้เลยแม้แต่ในมหาวิทยาลัย มันค่อนข้างเป็นประเด็นที่ปิดทีเดียวในขณะนั้น ผู้คนยังไม่เห็นว่าการเซ็นเซอร์จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาอย่างไร แต่ทันใดที่เราเริ่มเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา มันก็เสมือนว่าเรื่องนี้ถูกอัดอั้นอยู่ในจิตใจประชาชนมานาน เมื่อประตูเขื่อนได้เปิดออกและผู้คนเริ่มพูดคุยเรื่องการเซ็นเซอร์มากขึ้น มันก็กลายเป็นประเด็นร้อนเนื่องจากในเวลานั้นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารได้ สั่งปิดกั้นอินเทอร์เน็ต เพราะอินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งอันตรายต่ออำนาจของพวกเขา

อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และการพูดคุยระหว่างมุมมองต่างๆ ของสาธารณะ ซึ่งรัฐบาลกลัวเรื่องนี้มาก พวกเขากลัวว่าเมื่อเขาอนุญาตให้เราพูดคุยกัน มันจะทำลายฐานอำนาจของรัฐบาลทหาร

หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลทหารก็บล็อกเว็บไซต์ยูทิวบ์อย่างสมบูรณ์เป็นเวลาเจ็ดเดือน และนั่นก็ทำให้ประชาชนไทยตื่นตัวมากขึ้นในเรื่องการเซ็นเซอร์ ต่อมา หนังสือทางวิชาการว่าด้วยสถาบันกษัตริย์ของพอล แฮนด์ลีย์ “เดอะ คิง เนเวอร์ สไมลส์” (The King Never Smiles) ก็ถูกสั่งแบน ที่มันน่าสนใจเพราะว่าหนังสือดังกล่าวนี้สามารถหาได้ทางออนไลน์อยู่แล้ว และรัฐบาลไทยก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบล็อกหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ตาม ฉบับแปลภาษาไทยก็ได้กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต และมันก็ไม่เคยถูกสั่งแบนเลยด้วย ถึงแม้ว่าโจ กอร์ดอน ชาวไทย-อเมริกันจะถูกตัดสินจำคุกเนื่องจากทำลิงค์ไปยังฉบับแปลภาษาไทยก็ตาม

จริงๆ แล้ว กรณีของโจ กอร์ดอนนั้นน่าสนใจมากเพราะนี่เป็นคดีแรกที่ศาลเอาผิดกับตัวกลางในเรื่อง พื้นฐานที่สุดเช่นการไฮเปอร์ลิงค์ ในตอนแรก เขาถูกตั้งข้อหาด้วยการกระทำสองอย่าง คือการทำลิงค์ไปยังบทความสามตอนและบทนำของหนังสือ “เดอะ คิง เนเวอร์ สไมลส์” จากบล็อกของเขา และการถูกกล่าวหาว่าเป็นเว็บมาสเตอร์ของเว็บไซต์นปช. ยูเอสเอ ทีนี้ คุณอาจจะจำได้ว่าไม่กี่เดือนก่อนที่โจ กอร์ดอนจะถูกจับ ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ก็ถูกตัดสินจำคุก 13 ปี ด้วยข้อหาเป็นเว็บมาสเตอร์ของเว็บไซต์ นปช. ยูเอสเอ ฉะนั้น ใครเป็นเว็บมาสเตอร์ตัวจริงกันแน่? จะเป็นไปได้อย่างไรก็ที่คนสองคนถูกตั้งข้อหาเดียวกันในเวลาเดียวกัน มันเป็นเรื่องน่าขันที่สุด

เมื่อโจ กอร์ดอนถูกดำเนินคดี เขากลับไม่ได้ถูกตั้งข้อหาว่าทำลิงค์เชื่อมโยงไปยังเนื้อหาหมิ่นฯ แต่เขาถูกตั้งข้อหาว่าเป็นคนแปล “เดอะ คิง เนเวอร์ สไมลส์” ฉะนั้นนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจสำหรับผม สมมุติก็ได้ว่า การทำลิงค์ไปยังเนื้อหาหมิ่นฯ เท่ากับการผลิตซ้ำเนื้อหาหมิ่นฯ และมีความผิด ถึงแม้ว่าคนทำจะไม่ได้ผลิตเนื้อหาเองก็ตาม แต่ในการที่จะตัดสินว่ามันผิดจริงหรือไม่ คุณจำเป็นต้องอ่านเนื้อหานั้นก่อนเพื่อที่จะดูว่ามีเนื้อหาหมิ่นจริงหรือ เปล่า อยู่ดีๆ คุณจะมาพูดไม่ได้ว่า หนังสือ”เดอะคิง เนเวอร์ สไมลส์” เป็นหนังสือที่ไม่ดี ดังนั้นการทำลิงค์ไปยังหนังสือดังกล่าวเป็นอาชญากรรม มันไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดแล้วเราจึงเห็นว่า รัฐบาลพยายามจะไขว้เขวให้เราเชื่อในเรื่องผิดๆ โดยที่ไม่ได้มองข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง

หลักนิติรัฐควรเป็นเครื่องจักรที่มีความแม่นยำมาก กฎหมายจำเป็นต้องเที่ยงตรง มิฉะนั้นคุณอาจจะเอาคนบริสุทธิ์เข้าคุกหรือแม้แต่ประหารชีวิต ฉะนั้นกฎหมายจำเป็นต้องเที่ยงตรงอย่างที่สุด และจนกว่าเราจะสามารถไปให้ถึงประชาธิปไตยอย่างแท้จริงที่มีหลักนิติรัฐเป็น สิ่งสูงสุด และรัฐบาลเปิดเผยข้อมูลและโปร่งใสต่อประชาชน เราก็คงยังไม่มีประชาธิปไตย หากให้ผมมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ ก็พบว่า ในการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะเข้าสู่ระบอบเผด็จการนั้น มันจะถลำลงไปอย่างรวดเร็ว เช่นในสมัยเขมรแดง ก็เป็นไปภายในสองถึงสามเดือน ระบบเผด็จการในพม่า ก็ราวๆ หกอาทิตย์ หรือการล่มสลายของราชวงศ์ในลาว ก็เพียงสามเดือนเท่านั้น

ฉะนั้น สิ่งที่เราเห็นในตอนนี้ มีความคล้ายคลึงกับการเข้าสู่ระบบเผด็จการของประเทศเพื่อนบ้านของเราเป็น อย่างมาก ซึ่งในขณะนี้เรากำลังเห็นพม่าที่เริ่มจะเปิดประเทศมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีนักโทษการเมืองหลายหมื่นคน และเมื่อเรากลับมามองประเทศไทย เราก็กำลังซ้ำรอยความผิดพลาดแบบเดียวกัน ทั้งอำนาจของกองทัพที่เพิ่มสูงขึ้น ความใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกองทัพโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นเมื่อรัฐบาลตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดังนั้น เรากำลังเห็นการพึ่งพาระหว่างรัฐบาลและกองทัพ และยิ่งกองทัพมีอำนาจเพิ่มขึ้นเท่าไร คุณก็ยิ่งเสี่ยงต่อการถูกรวบอำนาจโดยกองทัพ และเสี่ยงต่อการเป็นรัฐทหารมากขึ้นเท่านั้น แต่ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังแทบไม่รู้ตัวในเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

แสดงว่าสำหรับประเทศไทย ระบอบเผด็จการมีความแนบเนียนกว่าที่อื่น?

ซี.เจ. ฮิงกิ: ใช่ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ คือรัฐบาลค่อนข้างระมัดระวังที่จะไม่ทำอะไรให้กระทบกระเทือนต่อกองทัพ และผมคิดว่าการที่กองทัพมีอำนาจและใช้ในทางที่ผิดนี้ ก็เป็นรากฐานของอำนาจของชนชั้นนำด้วย ฉะนั้น ในความเป็นจริง สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเฉพาะที่เริ่มมาจากหนังสือ “เดอะ คิง เนเวอร์ สไมลส์” ก็มาจากสาเหตุที่ว่าสถาบันฯ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพนั่นเอง ความคิดเห็นของผมก็คือว่า ถ้าหากสถาบันฯ ไม่ได้สนิทสนมกับกองทัพขนาดนี้ สถาบันฯ ก็คงจะไม่มีอำนาจสูงเท่าในปัจจุบันและอาจจะไม่สามารถอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ ได้ ฉะนั้นในแง่หนึ่งมันก็เป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพากันนั่นเอง

แต่สิ่งที่ทุกรัฐบาลพยายามทำเพื่อปกครองประชาชน ก็คือสร้างความกลัวให้ปกคลุมสังคม ไม่ว่าจะเป็นความกลัวต่อเรื่องการก่อการร้าย สงครามยาเสพติด หรืออะไรก็ตามแต่ พวกเขาพยายามจะทำให้เราเกิดความกลัวเพื่อที่จะควบคุมสาธารณชนได้โดยง่าย ผมคิดว่ามันเริ่มเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมา แต่ไม่ใช่ในแบบที่รัฐบาลกล่าวหา คือ รัฐบาลมักพูดถึงทฤษฎีสมคบคิดที่จะโค่นล้มสถาบันฯ ซึ่งผมคิดว่าไม่จริงเลยแม้แต่น้อย ผมพูดได้เลยว่าคนจำนวนมากที่ผมรู้จัก ที่เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพในการแสดงออกไม่ได้สนใจจะโค่นล้มสถาบัน กษัตริย์ ความจริงแล้วพวกเราหลายคนกลับเห็นว่าสถาบันฯ กลับเป็นสิ่งที่สร้างเสถียรภาพในสังคมไทย เราไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอย่างไร เพราะทุกสังคมย่อมควรมีสัญลักษณ์ หรือประมุข ซึ่งประเทศที่ยังคงมีสถาบันกษัตริย์ก็ทำหน้าที่เช่นนั้น ฉะนั้น ผมไม่เห็นว่ามันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างไร

ในความเป็นจริง มันไม่มีขบวนการเพื่อที่จะโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ มันไม่มีกระแสที่แรงกล้าเพื่อมุ่งเปลี่ยนประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ ที่จริงแล้ว มันจะมีความแตกต่างแค่ไหนกันเชียวหากเรามีประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรี ผมคิดว่ามันจะไม่มีความแตกต่างใดๆ ทั้งสิ้นต่อการดำเนินไปของสังคมไทยว่าเราจะมีสถาบันกษัตริย์หรือไม่มี อย่างไรก็ตาม สถาบันกษัตริย์ก็เป็นสัญลักษณ์ที่ค่อนข้างมีพลังและอำนาจ ฉะนั้น ผมจึงคิดว่ามันสำคัญมากที่เราได้ทำให้เรื่องการเซ็นเซอร์เป็นประเด็นร้อน และ FACT ก็เป็นองค์กรแรกในประเทศไทยที่นำเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาพูดคุย ในฐานะประเด็นหนึ่งของการเซ็นเซอร์

ตั้งแต่ การรัฐประหารในปี 2549 เป็นต้นมา แน่นอนว่าอำนาจของทหารก็มีสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างชัดเจน แต่หลังจากการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมปี 2554 และพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาล คุณคิดว่าเราจะสามารถหลุดพ้นออกจากอำนาจเก่าๆ ได้หรือไม่

ซี.เจ. ฮิงกิ: ตรงนี้ผมเห็นด้วยกับนักอนาธิปัตย์ชาวอเมริกัน เอมมา โกลด์แมน ที่พูดว่า “หากการลงคะแนนโหวตสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง มันคงจะผิดกฎหมายไปแล้ว” ตัวผมเองนั้นไม่มีศรัทธาใดๆ ต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผมไม่คิดว่าการเลือกตั้งจะเท่ากับประชาธิปไตย แต่การสามารถมีส่วนร่วมของประชาชนต่างหากที่หมายถึงประชาธิปไตย และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมรัฐบาลถึงเกรงกลัวอินเทอร์เน็ต เพราะมันเป็นรูปแบบของประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วม เพราะอินเทอร์เน็ตทำให้บทสนทนาระหว่างเราสามารถเกิดขึ้นได้

ฉะนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้มีคุณูปการต่อสังคมไทย คือการแยกและโดดเดี่ยวตนเองจากฐานเสียง นั่นคือมวลชนเสื้อแดง เวลาผมพูดว่าผมไม่สนใจในการเมืองแบบเลือกตั้ง ผมก็ไม่มีความสนใจในขบวนการเคลื่อนไหวแบบมวลชนเช่นเดียวกัน ผมคิดว่าทั้งขบวนการเสื้อเหลืองและเสื้อแดง มันอาจจะทำให้ประชาชนรู้สึกดีได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่มันไม่อาจจะทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงได้ คือบทสนทนาและการถกเถียง ฉะนั้นเราจึงควรมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

แล้วคุณมองว่าแนวโน้มของเสรีภาพอินเทอร์เน็ตในปี 2555 จะเป็นอย่างไร

ซี.เจ. ฮิงกิ: จริงๆ แล้วผมคิดว่ามันจะแย่ลงเรื่อยๆ นะ มันน่าสนใจเพราะว่า ทั้งในรัฐบาลประชาธิปัตย์และรัฐบาลเพื่อไทย เรามีรองนายกรัฐมนตรีที่เป็นนักเลง (Gangster) พวกเขาเป็นนักการเมืองผู้มีอิทธิพลและกว้างขวาง และถ้าคุณสังเกตดู ก็จะเห็นว่าหน้าที่ของพวกเขาก็คือการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต เพื่อไม่ให้เราสามารถพูดคุยกันได้ และตอนนี้รองนายกฯ เฉลิม อยู่บำรุง ก็พูดเรื่องการใช้งบประมาณ 400 ล้านบาทไปกับเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อเอาไว้บล็อกเว็บไซต์ต่างประเทศ

สิ่งที FACT ทำในทันที คือการเขียนจดหมายไปหารัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ฮิลลารี คลินตัน และประธานของสหภาพยุโรป เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลต่างประเทศหยุดขายเทคโนโลยีดังกล่าวแก่รัฐบาลไทย เพราะหากพวกเขาเชิดชูเสรีภาพอินเทอร์เน็ต แล้วเขาจะอนุญาตให้ประเทศตะวันตกขายเทคโนโลยีเหล่านี้แก่ไทยเพื่อจำกัดเสรี ภาพอินเทอร์เน็ตของเราได้อย่างไร

โดยรวมแล้วผมคิดว่าสถานการณ์จะยิ่งแย่มากขึ้นเรื่อยๆ ผมเห็นสิ่งที่เป็นลาดเลาในบ้านเราที่คล้ายกับสังคมภายใต้การควบคุมอย่าง เคร่งครัดในพม่า อาจจะไม่เท่ากับสมัยเขมรแดง แต่ก็คล้ายกับพม่าหลายอย่าง รวมถึงอำนาจของเผด็จการทหารที่มีมากขึ้น

คุณบอกว่าคุณไม่เชื่อในขบวนการเคลื่อนไหวแบบมวลชน แต่เชื่อในบทสนทนาและเสรีภาพในการพูด ทำไม? ช่วยขยายความหน่อยได้ไหม?

ซี.เจ. ฮิงกิ: ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ในช่วงที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เมื่ออำนาจของรัฐบาลในการควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินหมดลงในวันที่ 23 ธันวาคม 2552 มันควรจะยกเลิกการเซ็นเซอร์ทุกอย่างตามกันไปด้วย มันไม่ควรจะมีอะไรถูกเซ็นเซอร์อีกต่อไปแล้วในอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยังไม่มีเว็บไซต์ใดซักแห่งเดียวที่ถูกยกเลิกการปิดกั้น ฉะนั้น เราจะเห็นว่ามันมาพร้อมกับวาระที่ซ่อนเร้น

ผมคิดว่า พื้นฐานของความคิดที่ก้าวหน้าในสังคมใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันไม่มีการเซ็นเซอร์ หากคุณสามารถพูดอะไรก็ได้ ทุกคำพูดสามารถแสดงออกได้อย่างเสรี มันก็เท่ากับสนับสนุนประชาชนให้ดูถูกหรือเหยียดหยามคนอื่น แต่ถ้าคุณไม่ชอบ คุณก็ไม่ต้องไปมองหรือไปฟังมัน นั่นต่างหากคือการเซ็นเซอร์ที่แท้จริง ถ้าอะไรทำให้คุณโกรธหรือไม่ชอบใจ ถ้าการ์ตูนเกี่ยวกับกษัตริย์ของคุณทำให้คุณไม่ชอบใจ คุณก็แค่ไม่ต้องไปมองมัน แค่นั้นเอง ทำไมคุณจะต้องดิ้นรนในสิ่งที่จะไม่ได้อะไรขึ้นมาด้วย มันไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อย

ฉะนั้น ผมอยากจะเห็นเราเริ่มใหม่กันตั้งแต่ศูนย์ และดูว่าสังคมเราจำเป็นจะต้องมีการเซ็นเซอร์ขนาดไหนเพื่อที่จะให้มันทำงาน ได้ เราอาจจะตัดสินใจว่าเราไม่ต้องการมีการเซ็นเซอร์ใดๆ เลยก็ได้

ดูตัวอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เชิดชูสิทธิและ เสรีภาพในการพูดสิ แน่นอนว่าสหรัฐมีการเซ็นเซอร์ มีการเซ็นเซอร์กระแสหลักในสหรัฐตั้งมากมาย และก็มีการเซ็นเซอร์ในอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวกับหนังโป๊เด็กหรือเรื่องของ ลิขสิทธิ์ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จริงแล้ว ผมไม่คิดว่ามีสังคมไหนที่ไม่มีการเซ็นเซอร์อยู่เลย แต่ผมคิดว่าสังคมไทยมันมากเกินไปหน่อย ในที่สุดแล้ว รัฐบาลกำลังบอกพวกเราอยู่ว่าเราโง่เกินกว่าที่จะคิดอะไรได้ด้วยตัวเอง ว่าเราต้องมีพี่เลี้ยงเด็กในรูปแบบของรัฐบาล เสมือนว่ารัฐบาลต้องการจะเล่นบทตำรวจที่คอยควบคุมศีลธรรมอันดี หากแต่พวกเขาไม่สมควรจะเป็นตำรวจศีลธรรม พวกเขาไม่ได้มีจิตใจที่สูงส่งไปกว่าพวกเราเท่าไหร่หรอก

แล้วทาง FACT มีข้อเรียกร้องหรือข้อเสนอต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างไร

ซี.เจ. ฮิงกิ: ผมเคยพูดแล้วว่า ในประเด็นนี้ พวกเรามีความอ่อนไหวกันเกินไป สิ่งที่คนมักยกขึ้นมาพูดในการถกเถียงเรื่องนี้ คือการบอกว่า “พระมหากษัตริย์คือพ่อของเรา และพระราชินีคือแม่ของเรา” เยี่ยม! โอเค คราวนี้คุณลองมานึกแบบเดียวกันกับพ่อแม่ของคุณเองบ้าง คิดถึงพ่อและแม่ของคุณ ว่าหากมีใครมาดูหมิ่นพ่อและแม่ของคุณเองในหนังสือพิมพ์หรือในอินเทอร์เน็ต คุณจะเอาปืนและมายิงพวกเขาหรือจับพวกเขาเข้าคุกหรือเปล่าล่ะ มันคงจะบ้าที่สุดเลย

ฉะนั้น ข้อแนะนำของผมต่อหลายๆ คนก็คือว่า “อย่าหน้าบางมากเกินไป” อย่าอ่อนไหวเกินไปนักเลย ผมหมายถึงว่า มันก็เป็นแค่คำพูดเท่านั้นเอง เมื่อคุณเห็นวีดีโอในยูทิวบ์ที่ทำล้อเลียนราชวงศ์ มันก็เป็นเค่เรื่องไร้สาระ ทำไมเราต้องคิดว่ามันสำคัญอะไรด้วย พวกเรากำลังให้ค่ามันมากเกินไปหรือเปล่า และผมคิดว่าการที่รัฐบาลปฏิบัติต่อเรื่องนี้มากเกินกว่าเหตุ พวกเขาก็กำลังทำลายสถาบันกษัตริย์ด้วย

ผมได้ยินทฤษฎีสมคบคิดในระยะนี้มาว่า รัฐบาลมีวาระมุมกลับที่พยายามจะทำลายสถาบันกษัตริย์ด้วยการทำให้เราพูดถึง เรื่องกฎหมายหมิ่นฯ มากขึ้น เมื่อคุณมาลองคิดดู มีผู้พิพากษาที่ได้รับการศึกษาสูงๆ ตัดสินจำคุกชายคนหนึ่ง 20 ปี แน่นอนว่าเขาต้องคิดได้ว่ามันต้องมีผลกระทบส่งกลับมาแน่ๆ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่ได้คิดในแง่นี้ และพิจารณาเรื่องบทลงโทษอย่างเดียว ฉะนั้น ผมฟันธงเลยว่าผู้พิพากษาผู้นั้นต้องมีความผิดด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นเดียวกัน

มันยังทำให้ผมคิดด้วยว่า การวิพากษ์วิจารณ์ศาลที่ถูกนับว่าเป็นการหมิ่นศาลนั้น เป็นเรื่องที่ผิดปรกติอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้พิพากษาก็เป็นคนเหมือนๆ กับเรา ไม่ใช่เทวดาที่ไหน และในความจริงแล้ว มันเป็นบทบาทที่สำคัญของเสรีภาพในการพูดของเราในการกำหนดกลไกทางนิติบัญญัติ ตุลาการ และบริหาร เพื่อที่นักการเมืองจำเป็นต้องปฏิบัติตามในนามของประชาชน และผู้พิพากษาจำต้องปฏิบัติตามประโยชน์ของสาธารณะ

ทาง FACT เรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ จริงๆ ในกรณีของ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มันเป็นอะไรที่แตกต่างกันนิดหน่อยเพราะก่อนหน้าที่จะมี พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มันจะต้องมีอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ เนื่องจากคุณจะสามารถบังคับใช้กฎหมายได้ก็ต่อเมื่อมันมีอาชญากรรมให้ได้ จัดการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์เรียกว่าเป็น “อาชญากรรม” นั้น สามารถใช้กฎหมายอาญาที่มีอยู่แล้วจัดการได้ทั้งหมด และทีจริง การเซ็นเซอร์ก็ไม่ใช่วิธีการที่จะแก้ไขปัญหานั้นด้วย

เช่นในกรณีของหนังโป๊ ปัญหาคือไม่ใช่ตัวของหนังโป๊เอง แต่ปัญหาคือการเอาเปรียบผู้หญิง และมันก็มีกฎหมายที่เพียงพอแล้วในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว ฉะนั้น คุณไม่ควรจะมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คุณไม่ควรจะมาพูดว่า “ปัญหานี้เป็นผลมาจากการเอาเปรียบสตรี ดังนั้นมันจึงต้องถูกเซ็นเซอร์” สิ่งที่ควรจะทำ คือการแก้ปัญหาที่การเอารัดเอาเปรียบเสตรี การพนันออนไลน์ หรืออะไรก็ตามแต่ คุณไม่ควรจะมาเริ่มแก้ที่อินเทอร์เน็ต คุณควรจะเริ่มที่ต้นตอของปัญหาในสังคมต่างหาก

คุณจะกล่าวอะไรกับคนที่บอกว่า การเสนอให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เท่ากับการล้มสถาบันกษัตริย์?

ซี.เจ. ฮิงกิ: ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก คือผมคิดว่า การที่ผู้นำคนใดๆ จะอยู่รอด มันขึ้นอยู่กับสามารถของเขาเอง ผมคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองราชย์มากว่า 60 ปี และท่านก็ทรงทำหน้าที่ได้อย่างดีมาก โดยส่วนตัว ผมไม่มีปัญหาอะไรต่อสถาบันกษัตริย์ แต่การบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เข้มงวดมากในตอนนี้ เป็นเพราะพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป และเป็นเพราะการสืบสันตติวงศ์ ฉะนั้น รัฐบาลก็พยายามจะแสดงว่าพวกเขาจงรักภักดีต่อราชวงศ์มาก ด้วยการจับกุมประชาชนและเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต

ในแง่หนึ่ง การถกเถียงเรื่องการเซ็นเซอร์ถูกลดทอนให้เหลือแต่เรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพ ซึ่งที่จริงแล้ว มันเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของยอดน้ำแข็งเท่านั้น ผมคิดว่าการที่คนไทยยอมรับว่าการเซ็นเซอร์เป็นสิ่งที่จำเป็นในการปกครองโดย รัฐเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

FACT จำแนกการเซ็นเซอร์ที่มีอยู่ในสังคมไทยในแง่มุมต่างๆ ได้เกือบ 60 ชนิด ตั้งแต่การเซ็นเซอร์ในเกม การแต่งกาย ไปจนถึงการเซ็นเซอร์ทางศาสนา วัฒนธรม และสังคม เราเองถูกเซ็นเซอร์อยู่เสมอในทุกระดับ และเราแทบไม่รู้ตัวหรือสังเกตเลยด้วยซ้ำ

ในรอบปีที่ผ่านมา หากคุณต้องให้รางวัลบุคคลแห่งปีในวงการที่ต่อสู้เรื่องเสรีภาพหนึ่งคน คุณจะยกรางวัลนี้ให้แก่ใคร

ซี.เจ. ฮิงกิ: ผมคงจะยกรางวัลนี้ให้กับ ส.ศิวรักษ์ ผมเองใกล้ชิดกับเขาพอสมควร และผมคิดว่าเขาได้ทำอะไรมากมายเพื่อต่อสู้กับผู้มีอำนาจในสังคม คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาเป็น หรือสิ่งที่เขาพูดทั้งหมด และที่จริงมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายหมิ่นฯ เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเคยถูกตั้งข้อหาด้วยกฎหมายนี้มาแล้วหลายครั้ง และถึงแม้หนังสือของเขาจะถูกแบนด้วยกฎหมายหมิ่นฯ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่มันเกี่ยวกับไอเดียว่าด้วยเรื่อง “พุทธศาสนาที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม” (Socially engaged Buddhism) ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ต่อสังคมที่มาจากการตระหนักรู้จากมโนสำนึกของตนเอง และผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการไม่เกรงกลัวในการทำตามจิตสำนึกที่ถูกต้อง และสามารถกระทำโดยปราศจากความกลัว

นอกจากนี้ ผมยังคิดว่าในปีที่ผ่านมา การขึ้นมาของแกนนำสันติวิธีในกลุ่มเสื้อแดง นับเป็นเหตุการณ์ที่ความสำคัญตั้งแต่การปราบปรามประชาชนที่ราชประสงค์ เช่น การขึ้นมามีบทบาทของสมบัติ บุญงามอนงค์ของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ผมคิดว่าเขามีความคล้ายกับ ส.ศิวรักษ์โดยบังเอิญ สำหรับผมแล้ว เมื่อคุณเปรียบเทียบสมบัติกับอริสมันต์ (พงษ์เรืองรอง) คุณจะเห็นว่ามันมีความแตกต่าง โดยเขาเป็นคนที่ยินดีที่จะฟังเสียงของประชาชน รับฟังความต้องการของมวลชน และเคารพสาธารณะ จริงๆ ผมหวังว่าสมบัติจะไม่ลงเลือกตั้งเป็นนักการเมืองนะ เพราะว่ามันจะทำลายสิ่งที่เขาสร้างมา ในความเป็นจริง ผมคิดว่า เขาเป็นผู้นำคนหนึ่งที่มีพลังมากทีเดียว และเป็นบุคคลหนึ่งที่ผมให้การเคารพนับถือ

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าจับตา คือการที่สุภิญญา กลางณรงค์ ได้รับเลือกเป็นกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยทั่วไปแล้ว เมื่อมีใครคนหนึ่งได้รับเลือกเข้าสู่ตำแหน่งเช่นนั้น เขาอาจจะเลือกที่จะสมยอม เหลิงอำนาจ หรือทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจจากภายในองค์กร เพื่อสนับสนุนให้เกิดเสรีภาพในการแสดงออก และผมก็หวังว่าเธอจะทำเช่นนั้น ผมรู้ว่าสุภิญญาได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์จากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิและ เสรีภาพพอสมควร แต่ผมเองสนับสนุนเธอเต็มที่ในหน้าที่การทำงาน เมื่อมีใครสักคนที่ตระหนักถึงคุณค่าในเสรีภาพการแสดงออก และอยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพลเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง และสามารถทำให้คนอื่นๆ ในกลุ่มข้าราชการและนักการเมืองตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว มันก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะผมเชื่อว่าพวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง"พระองค์ภา"อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคุ้มครองสิทธิฯ

ที่มา ประชาไท

มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการอัยการ

ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา รองอัยการจังหวัดหนองบัวลำภู (ข้าราชการอัยการชั้น ๓) ให้ทรงดำรงตำแหน่ง อัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน(ข้าราชการอัยการชั้น ๔) ตั้งแต่วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔

ประกาศ ณ วันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 07/01/55 เย็บปากถาวร...ห้ามโต้ ห้ามตอด

ที่มา blablabla

โดย

ภาพถ่ายของฉัน



    • หัดคิดดี มีคุณธรรม ย้ำเดินหน้า
      หวังนำพา บ้านเมือง รุ่งเรืองไสว
      สร้างความสุข ทั่วถิ่น แผ่นดินไทย
      อยู่ใกล้ไกล ก็หน้าบาน สราญรมย์....

      งบประมาณ หว่านไป ให้ทั่วถึง
      เสมิอนหนึ่ง ไม่จำเพาะ ดูเหมาะสม
      ทำมุบมิบ อวดโอ้ เพราะโง่งม
      เสพอาจม จนทรนง หลงระเริง....

      คิดแบบมาร คือระยำ ทำเจ็บปวด
      คงกลัวชวด เคยบ้าบิ่น กินจนเหลิง
      งบก้อนโต พอจับได้ ไล่กระเจิง
      กลับเตลิด เปิดเปิง เริงระยำ....

      ควรไม่ควร หัดรู้ ดูเสียบ้าง
      คิดสวนทาง ย้อนยอก คอยตอกย้ำ
      คุณค่าควร คือสืบสาน การกระทำ
      ใช่เหยียบย่ำ จิกตอด ยอดสามานย์....

      หรือหาแต่ ช่องโหว่ ไว้โต้ตอบ
      รู้ผิดชอบ หรือโง่ อวดโวหาร
      คิดก่อนพูด ดีหรือแย่ แค่สันดาน
      เทพหรือมาร เลือกเอา เราหรือใคร?....

      ๓ บลา / ๗ ม.ค.๕๕

เก็บตกเรื่องขำขัน: เมื่อวรกรพยายามรีแบรนดิ่งพรรคประชาธิปัตย์ด้วยมุขสุดขำ

ที่มา Thai E-News

Q: ทำไมถึงมีคนเรียกพรรคประชาธิปัตย์ว่า "แมงสาบ"
A: เพราะหัวหน้าพรรคเดินไปไหนก็มีแต่เสียงผู้หญิงกรี๊ด.......

ที่มา เฟซบุ๊คส่วนตัวของวรกร จาติกวณิช



-------------------------------------------------------------

ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ของแมลงสาบ


แมลงสาบ

อายุ: 125 ล้านปี
Period: Cretaceous
Location: Santana Formation, Araripe Basin, Brazil

แมลงสาบเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ท้าทายการสรุปความของพวกนิยมทฤษฎี วิวัฒนาการ ฟอสซิลของแมลงสาบในรูปด้านบนอายุเก่าถึง 125 ล้านปี โดยที่แมลงสาบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย การขุดค้นซากฟอสซิลทั้งหมดในทุกช่วงเวลาล้วนแสดงให้เห็นว่าแมลงสาบไม่มี การวิวัฒนาการ และสิ่งดังกล่าวทำให้สรุปได้ว่าไม่มีการวิวัฒนาการใดๆเลยในแมลงสาบ (ที่มา halunyayah)


-------------------------------------------------------------

"ก้านธูป" เปิดใจมติชนออนไลน์ครั้งแรก!

ที่มา Thai E-News


"หนูไม่มีปัญหาถ้าจะอยู่กับคนที่แตกต่าง (แต่) เขาจะมีปัญหาหรือเปล่าถ้าจะมาอยู่กับความแตกต่างอย่างหนู"


6 มกราคม 2555

ที่มา มติชนออนไลน์


สัมภาษณ์โดย ฟ้ารุ่ง ศรีขาว

แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงของโลกจะเดินทางผ่านยุคแห่งการลงโทษโดยปราศจากการพิสูจน์ความผิดไปแล้ว แต่ในสังคมไทยยังมี "ข้อกล่าวหาต้องห้าม" ที่ใครก็ตามซึ่งถูกกล่าวหา ก็มักจะถูกสังคมพิพากษาจนแทบจะไม่ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ความผิด

"มติชนออนไลน์" สัมภาษณ์ "ก้านธูป" นักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ถูกหมายเรียกในกระบวนการยุติธรรม และเป็นจำเลยของสังคมในคดี "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ซึ่งถูก "ล่าแม่มด" ตั้งแต่ เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ จนถึงขณะนี้ ชีวิตของเธอผ่านความพลิกผันมากมาย จากที่เคยทำคะแนนสอบข้อเขียนเข้ามหาวิทยาลัยได้ 3 แห่ง แต่ท้ายที่สุด ก็มีเงื่อนไขที่ทำให้เธอไม่สามารถเป็น "นิสิต-นักศึกษา" ใน 3 สถาบันดังกล่าวได้

ไม่มีใครบอกได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาขีดกำหนดไว้ตั้งแต่แรก เพราะปัจจุบัน เธอกลายมาเป็น "ลูกแม่โดม" ที่มีบุคคลที่เธออยากเจริญรอยตามคือ "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" นักประวัติศาสตร์ผู้อำนวยให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมและถูกมองว่าเป็นนักวิชาการที่รวบรวม "ข้อมูล" ได้อย่างมีน้ำหนักในการท้าทายกับความคิดและความเชื่อของคน ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

สัมผัสทรรศนะของ "ก้านธูป" ได้ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้


@ตั้งแต่จบมัธยมปลาย สอบติดที่ไหนบ้าง

ปี 52 ติดที่คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และไปสอบสัมภาษณ์ตามปกติ แต่ผลออกมาไม่ผ่าน แล้วในปีเดียวกันก็ติด (รัฐศาสตร์) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่เดินทางไปสัมภาษณ์แล้ว ตัดสินใจไม่เข้าไปสัมภาษณ์ เพราะดูจากสถานการณ์ที่มีคนมาเยอะ คิดว่าตัวเองอาจจะไม่ปลอดภัย และหนูก็ไปคนเดียว จึงสละสิทธิ์ไม่ไปสัมภาษณ์ ส่วนปี 53 สอบติดที่ มศว.ประสานมิตร แต่เมื่อเข้าไปสัมภาษณ์แล้ว อาจารย์ไม่แฮปปี้กับการที่หนูสอบติด เมื่อไปสอบสัมภาษณ์ยังไม่ทันเสร็จอาจารย์เขาก็ให้กลับไปรอผลสัมภาษณ์ ก็ปรากฏว่าสอบสัมภาษณ์ ที่ มศว. ไม่ผ่าน จากนั้นปี 54 ก็มาสอบติดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


@วันสอบสัมภาษณ์ที่ม.เกษตรศาสตร์ คือก่อนหน้านั้นมีคนโพสต์ในเวบไซต์ให้ไปต่อต้านใช่หรือไม่

ใช่ค่ะ


@ที่บอกว่าอาจารย์ผู้สอบสัมภาษณ์ไม่แฮปปี้ คือมีปฏิกิริยาอย่างไร

ที่ม.ศิลปากรไม่มีปฏิกิริยา และสัมภาษณ์ตามปกติทุกอย่าง ส่วนที่ประสานมิตร พอ เราเดินเข้าไปก็แนะนำตัว แนะนำตัวยังไม่ทันจบ อาจารย์เขาก็เบรกแล้วบอกว่า ครูก็พอจะรู้ว่าเธอทำอะไรไว้บ้าง เพราะฉะนั้นก็กลับไปรอลุ้นผลสัมภาษณ์ที่บ้าน


@เปลี่ยนชื่อตอนไหน

ตอนสอบเข้า ม.ศิลปากรยังไม่เปลี่ยนชื่อ แต่ตอนมา มศว. เปลี่ยนชื่อแล้ว


@ความรู้สึกตอนสอบเข้า มธ. คิดว่าจะซ้ำรอย 3 มหาวิทยาลัยที่ผ่านมาไหม

ก็ลุ้นพอสมควรค่ะ ก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว ถ้าไม่ผ่าน


@เคยเจอผู้บริหารอย่าง อ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ และอ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุลไหม

ไม่เคยเจอเป็นการส่วนตัว แต่เคยเรียนกับอ.ปริญญา ในวิชา TU100 ต้องเจออาจารย์ในคาบเรียน


@ตอนรับเพื่อนใหม่ ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีจริงหรือไม่

ไม่ จริงค่ะ เป็นการยืนกันกลางสนามบอล ต่อให้ใครไม่ยืนก็ต้องมีการกดดันจากคนรอบข้างอยู่แล้ว ต่อให้หนูหรือใครก็ตามก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ยืน


@ทราบหรือไม่ว่ามีข่าวลือว่าน้องไม่ยืน

ทราบ ค่ะ เห็นข่าว รู้สึกว่าไม่ make sense (สมเหตุสมผล) ที่เอาเรื่่องนี้มาโจมตี เพราะว่ามันไม่มีมูลความจริง แล้วลองจินตนาการดูก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว


@มาอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูก Sanction หรือไม่

ก็ มีบ้าง โดยการเสียดสีประชดประชัน เอาไปพูดกลางชั้น แล้วที่หนักสุดคือปารองเท้าใส่ เหตุการณ์เกิดในช่วงแรกๆ ของการเข้ามาในธรรมศาสตร์


@ช่วยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังหน่อย

ตอน นั้นเป็นช่วงกลางคืนแล้วมีกลุ่มนักศึกษากลับมาจากออกค่ายโดยมี อาการเมามาเป็นกลุ่ม เมื่อลงจากรถบริเวณที่พวกหนูนั่งทำงานอยู่กับเพื่อนๆ เขายืนคุยกันอยู่ แล้วรองเท้าก็ลอยมาโดนเรา แล้วเขาก็วิ่งเข้ามาเก็บแล้วบอกว่ารองเท้าหลุด


@เขารู้หรือไม่ว่าเป็น "ก้านธูป"

คือตั้งแต่เขาลงมาจากรถก็มีเสียงซุบซิบนินทาแต่แรก และฮือฮาเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนนั่งอยู่ตรงนี้


@แสดงว่าทุกคนรู้จักและรู้ว่าเคยมีคดี

ก็รู้ เพื่อนที่คณะทุกคนก็รู้


@คำพูดประชดเหน็บแนมคืออะไร

ก็เช่นว่า ใครไม่รัก...ก็ออกไปจากประเทศนี้ซะ แนวๆ เดียวกับท่าน ผบ.ทบ.ที่ไล่คนออกนอกประเทศ


@ด้านดีของบรรยากาศในธรรมศาสตร์คืออะไร

ทุก คนมีความแตกต่าง และหนูมองว่าการที่ทุกคนแตกต่างเป็นสิ่งสวยงามของโลกใบนี้ และหนูไม่เคยหันกลับไปทำร้ายคนอื่น หรือไปแซงค์ชั่นกลับ หรือกระทั่งไม่ได้โกรธเพื่อนๆ ที่ทำอย่างนั้นกับหนู เพราะหนูเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเขาได้รับข้อมูลมาอีกอย่างหนึ่ง


@ครอบครัวว่าอย่างไรบ้างเมื่อมีคดีขึ้นมา

ก็ให้กำลังใจกันดี


@เคยขึ้นเวทีเสื้อแดงจริงหรือเปล่า

จริง ค่ะ เคยขึ้นเวทีเสื้อแดงตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม เป็นเวทีในกรุงเทพฯ ช่วงรวมพล ไปที่บ้านป๋าเปรม เป็นปีที่มีการสลายม็อบเสื้อแดงรอบแรกในเดือนเมษายน (2552)


@ทุกวันนี้ ยังทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย

ทำ กิจกรรมในมหาวิทยาลัยเหมือนที่นักศึกษาทั่วไปทำตามปกติคะ เป็นกลุ่มอิสระที่ทำงานร่วมกับทุกกลุ่มได้ และทำงานร่วมกับกลุ่มนอกมหาวิทยาลัยได้ด้วยซ้ำ


@ไม่เข็ดหรือไม่กลัวกับการโดนคดีอีกหรือ

หนู รู้สึกว่า ทำกิจกรรมไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองเสมอไป เพราะฉะนั้น คำว่า ไม่เข็ด ก็เลยไม่รู้จะตอบยังไง เพราะบางกิจกรรมก็ไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย


@ทำกิจกรรมอะไรบ้าง

เกี่ยวกับต่อต้านการรับน้องการโซตัส การใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย


@ทำกิจกรรมตอนน้ำท่วมหรือไม่

ก็พยายามจะไปช่วยให้ได้มากที่สุด เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง เพราะที่บ้านก็เป็นห่วง หนูก็เคยไปช่วยที่ศูนย์พักพิงที่ธรรมศาสตร์ แต่นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็มีคนเอากล้องมาถ่ายรูป หนูก็เลยไปทำที่อื่น เช่นที่ดอนเมืองแทน


@ครอบครัวห้ามทำกิจกรรมหรือไม่

ก็เตือน ก็ห้าม ไม่อยากให้ทำกิจกรรมมาก


@ทำไมยังอยู่ในเส้นทางการทำกิจกรรม ทั้งที่ถูกกล่าวหาในคดีร้ายแรง

ก็ อยากจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่อยากให้มันมีอิทธิพลกับชีวิตมากนัก เพราะไม่ว่ายังไง ชีวิตเราก็ต้องดำเนินต่อไป ส่วนคดี ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ


@ที่บ้านเป็นเสื้อแดง หรือเปล่า

ไม่ได้เป็นค่ะ


@แล้วเขาทำยังไงกับเรื่องนี้

เขา ก็ห้าม ก็เตือน พยายามจะดึงกลับไป หนูก็เข้าใจที่บ้านว่า ทำไมถึงพยายามจะห้าม แต่ที่สุดแล้ว ก็ทนไม่ได้กับความไม่เป็นธรรมในสังคมนี้ คือต่อให้ไม่ใช่หนู แต่เป็นคนอื่น เขาก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน ถ้าเขาได้เห็นอะไรแบบที่หนูได้เห็น ได้สัมผัส

@จุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดแบบนี้

มีหลายจุดมากคะ คือ คน ที่ติดตาม การเมือง คงจะรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมนี้ ที่มันเป็นมาอยู่ตลอด ไม่ว่าจะ 2 มาตรฐาน หรือการใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม มันทำให้เราไม่สามารถหยุดเพื่อเอาตัวรอดได้


@ตอนที่ถูกกล่าวหาอายุ 17 ปี ชีวิตช่วงนั้นรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมด้วยหรือเปล่า

หนูรู้สึกว่า "การคิดได้" มันไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุค่ะ ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ถ้าคนมันจะคิดได้มันก็คิดได้


@อนาคตอยากทำงานอะไร

อยากเป็นอาจารย์ อยากเป็นครู อยากเจริญรอยตามอาจารย์สมศักดิ์ (เจียมธีรสกุล)


@ชอบเรียนวิชาอะไร

ตอนนี้หนูเพิ่งเรียนแค่ 6 ตัว ก็รู้สึกสนุกกับทุกวิชาที่ได้กำลังเรียนรู้อยู่


@ลงทะเบียนเรียนกับอาจารย์สมศักดิ์ด้วยหรือเปล่า

ก็ ไปนั่งซิทอินเฉยๆ (ฟังบรรยาย โดยไม่ได้ลงทะเบียนเรียน) เมื่อเทอมที่แล้วอาจารย์สมศักดิ์ สอนที่รังสิตตัวเดียว ก็เลยไปนั่งซิทอินตัวนั้น ตัวเดียว เป็นวิชาประวัติศาสตร์รัสเซีย


@ไปซิทอินวิชาอื่นด้วยหรือเปล่า

ก็ไปนั่งซิทอินกับ คณะนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์

@เรียนกับ "คณะนิติราษฎร์" ด้วยหรือเปล่า

ยังค่ะ ยังไม่มีโอกาส


@ ทำไมถึงเลือกเรียนคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์

เพราะ หนูเคยทำกิจกรรมจิตอาสา แล้วรู้จักพี่คนหนึ่งที่เขาเป็นรุ่นพี่เรียนคณะนี้เหมือนกัน แล้วรู้สึกว่าทัศนคติของเขาในการมองสังคมสวยงามมาก จรรโลงใจ คือ หลักการคณะนี้ ทำให้เขาคิดได้ขนาดนี้ มันรู้สึกแฮปปี้กับความคิดเขา ก็เลยอยากเข้ามาเรียนรู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาคิดแบบนี้


@ถูกกล่าวหาในข้อหารุนแรงในช่วงนี้ คิดว่าเกิดจากอะไร

การ ใช้ข้อกล่าวหานี้มาโจมตีกันทางการเมือง... คือมันก็เคลื่อนไปตามกระบวนการของมัน เพราะว่าการเมืองมันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว


@คิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อ หรือว่าเป็นปรากฎการณ์ที่สะท้อนสังคมนี้หรือเปล่า

หนู รู้สึกว่าต้องให้คนอื่นคิดกับหนูมากกว่า เพราะว่าหนูก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของหนู ก็ไปกินข้าว ไปดูหนัง ไปเที่ยวเล่นและทำกิจกรรมตามปกติ


@ถูกขบวนการล่าแม่มดแล้วมีคนที่เรารู้จักส่วนตัวในขบวนการนั้นไหม

ไม่ ได้รู้จักใครเป็นการส่วนตัว หรือต่อให้รู้จักส่วนตัว ก็ไม่ทราบว่าเขาอยู่ในขบวนการนั้นหรือเปล่า แล้วก็ไม่มีปัญหา ถ้าจะคบกับคนเหล่านั้น


@ทำไมคิดว่าเราสามารถคบกับคนที่ตามล่าเราได้

คือ คณะสังคมสงเคราะห์ สอนให้หนูเรียนรู้แล้วก็อยู่ร่วมกับความแตกต่างในสังคมอยู่แล้วค่ะ เพราะฉะนั้น หนูก็เลยไม่มีปัญหา ถ้าจะอยู่กับคนที่แตกต่างกับหนู ขึ้นอยู่กับว่า คนคนนั้นเขาจะมีปัญหาหรือเปล่า ถ้าจะมาอยู่กับความแตกต่าง สิ่งที่แตกต่างอย่างหนู


@มีอะไรเป็นหลักในการดำเนินชีวิตสำหรับสิ่งที่เจอในอายุแค่นี้

มัน ก็เป็นแค่การเรียนรู้ เพราะทุกอย่าง สิ่งที่เข้ามาในชีวิต เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วมันก็จะกลายมาเป็นบทเรียนเรา ที่ยังไงก็ต้องเรียนรู้ต่อไป มันต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้คะ


@เคยเครียดไหม

ก็เครียดเป็นปกติ ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็มีเครียดเรื่องเรียน เรื่องสอบ เรื่องอื่นๆ ด้วย


@ครอบครัวไม่อยากให้น้องมาทำกิจกรรม แล้วสามารถประนีประนอมกับครอบครัวยังไง

หนู ก็มาทำกิจกรรม โดยไม่ให้มีผลกระทบ แล้วหนูก็พยายามทำอยู่หลังไมค์ (เบื้องหลัง) ไม่ออกหน้ามาก พยายามจะไม่ให้มีชื่อเข้าไปในกิจกรรม แต่ก็ยังทำอยู่ตามปกติ


@อยากเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงไปแบบไหน

หนูคิดว่ามันก็กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ค่ะ ก็อยากให้เปิดกว้างกว่านี้ ยอมรับกันมากขึ้น เรียนรู้กันมากขึ้น


@คิดว่าทำไมต้องเป็นเรา ที่ถูกข้อกล่าวหานี้ด้วย

ข้อหานี้ใช้กล่าวหากันได้ง่ายมาก แล้วต่อให้ไม่เป็นหนู เดี๋ยวก็มีคนอื่นโดน แล้วมันก็กำลังมีอยู่เรื่อยๆ


@ขอเลื่อนพบเจ้าหน้าที่ สน.บางเขน ในวันที่ 11 ม.ค. นี้ เพราะอะไร

ติดสอบปลายเทอมที่ 1 คะ ยังสอบไม่เสร็จ เลื่อนสอบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ไปเป็น 11 ก.พ.


@หมายมาตรา 112 อ้างข้อเท็จจริงเหตุการณ์ในปีไหน

น่า จะเป็นปี 53 คือมีคนเผยแพร่ข้อความในอินเตอร์เน็ต โดยการแคปภาพในเฟซบุ๊กหลายอันมาลงในฟอร์เวิร์ดเมล์ ซึ่งไม่แน่ใจว่า การนำภาพตัดแปะในอินเตอร์เน็ต มาเป็นหลักฐานในการฟ้องแล้วจะเป็นหลักฐานฟ้องร้องได้จริงหรือ ในเมื่อมันตัดต่อยังไงก็ได้


@สรุป คือ มีข้อเท็จจริงว่ามีการตัดต่อภาพพร้อมข้อความ กล่าวหาว่า "ก้านธูป" โพสต์ข้อความบางอย่างแล้วนำมาเผยแพร่ จากนั้นก็มีการตามล่า ใช่หรือไม่

ใช่ค่ะ


@แล้วมหาวิทยาลัยดูแลอย่างไร

อาจารย์ ที่ปรึกษาที่คณะ ก็โทรมาสอบถามด้วยความเป็นห่วง อาจารย์บอกว่า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของมัน เรื่องความปลอดภัยอาจารย์ก็ช่วยดูแลให้


@เหตุที่ย้ายบ้านจากจังหวัดหนึ่งไปอีกจังหวัดหนึ่งตอน ม.4 เพราะถูกคุกคามหรือเปล่า

ไม่ได้ถูกคุกคามค่ะ แต่ครอบครัวย้ายอยู่แล้วก็ย้ายตามครอบครัว


@นอกจากการคุกคามในโลกอินเตอร์เนตแล้ว ในชีวิตจริง มีการคุกคามด้วยหรือไม่

ก็ มีบ้าง อย่างปีที่แล้ว ก็มีคนตามไปบ้านที่จังหวัดเดิม มีคนไปสอบถามแถวบ้านว่ารู้จักหรือเปล่า โดยมีคนอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่บ้าง เป็นคนทั่วไปบ้าง


@ฝ่ายที่ให้กำลังใจ เขาพูดกับเราว่าไงบ้าง

เขา บอกว่า "เป็นกำลังใจให้" หนูว่าแค่คำนี้คำเดียว ทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว หนูว่าเรื่องกำลังใจสำคัญที่สุด เพราะสิ่งที่ทำให้หนูหยัดยืนได้ ก็คือกำลังใจจากเพื่อนๆ กำลังใจจากอาจารย์ที่รัก


@ได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วรู้สึกประทับใจอะไรหรือเปล่า

ก็รู้สึกว่ามหาวิทยาลัยนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างที่สุด ในบรรดามหาวิทยาลัยที่หนูเคยสอบได้มา ก็รู้สึกประทับใจตรงนี้มาก


@นิยมชมชอบบุคคลในประวัติศาสตร์ไหม

อืม หนูไม่บูชาบุคคลในประวัติศาสตร์ค่ะ ชอบที่จะชื่นชมคนที่เรารู้จักตัวจริงๆ มากกว่า เพราะเชื่อว่าถ้าเป็นคนที่หนูรู้จัก หนูจะชื่นชมชื่นชอบได้อย่างสนิทใจ หรือรักได้อย่างสนิทใจมากกว่าบุคคลในประวัติศาสตร์ค่ะ


@หมายความว่าเรื่องราวของคนที่ถูกบอกเล่าโดยที่เราไม่เคยสัมผัสส่วนตัว - เราไม่ได้เชื่ออะไรแบบนั้น

ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญมากถึงขนาดเอาไปเคารพบูชาหรือรักใคร่ เราไม่ได้เชื่อ


@ชอบอ่านหนังสืออะไร

หนังสือประวัติศาสตร์และก็นวนิยาย


@ชอบเขียนเรื่องอะไรเก็บเอาไว้

ก็เขียนพวกกลอน เพราะหนูก็ถนัดแต่งกลอน แต่งโคลง ก็ไม่ได้เขียนแค่เรื่องการเมือง เขียนเรื่องความรัก เพ้อเจ้อ ธรรมชาติ ก็เขียนค่ะ


@มีกลอนอะไรที่อยู่ในใจตลอดเวลา

(หัวเราะ) ก็มีกลอนของพี่วิสา คัญทัพ แต่รู้สึกว่าพี่วิสาเขาก็..(หัวเราะ) เขาก็มีความเปลี่ยนแปลงอะไรไปแล้ว

ถนนประชาธิปไตย ๒๕๕๕ ปีแห่งการรุกของพลังประชาธิปไตย

ที่มา Thai E-News

โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ที่มา เฟสบุค สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ


ปี พ.ศ.๒๕๕๕ ถือเป็นปีมะโรงตามนัขษัตร ได้รับการกล่าวถึงในลักษณะต่างๆ บ้างก็ว่าจะเป็นปีมังกรทอง ที่ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว บ้างก็ว่าเป็นปีมังกรน้ำ เพราะจะเกิดน้ำท่วมมากกว่าปีก่อน นอกจากนั้นยังมีประเภทคำทำนายว่า จะเกิดภัยพิบัติ หรือเป็นปีโลกแตก แต่ที่กล่าวมาส่วนมาก ล้วนแต่เป็นคำทำนายอันเหลวไหล นึกเดาเอาเอง โดยไม่มีรากฐานจากข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะคาดการณ์สถานการณ์ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ ที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ในบทความนี้ จะขอลองคาดการณ์จากข้อมูลที่เป็นจริงและขอนำเสนอว่า ปีนี้จะเป็นแห่งการรุกของฝ่ายประชาธิปไตย


การคาดการณ์ นี้ มาจากข้อสรุปอย่างกว้างว่า ความหมายของ ปี พ.ศ.๒๕๕๓ คือ ปีแห่งการต่อสู้ของประชาชนคนเสื้อแดง ปี พ.ศ.๒๕๕๔ คือ ปีแห่งการฟื้นตัวของขบวนการประชาธิปไตย โดยเฉพาะชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อเดือนกรกฎาคม ถือว่ามีความหมายสำคัญในทางประวัติศาสตร์อย่างมาก

ทั้งนี้คงต้องขยาย ความให้ชัดเจนมากขึ้นว่า สถานการณ์ตั้งแต่หลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ที่มีการโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นมา คือ สถานการณ์แห่งความขัดแย้งระหว่างพลังฝ่ายอำมาตยาธิปไตย และพลังฝ่ายประชาธิปไตยของประชาชน ในระยะแรก ฝ่ายอำมาตย์มีความได้เปรียบ เพราะเป็นฝ่ายควบคุบกำลังทหาร ควบคุมกลไกรัฐ กลไกศาล และครอบงำความคิดด้วยสื่อมวลชนกระแสหลัก ฝ่ายอำมาตย์ได้ตั้งรัฐบาลเผด็จการของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ มาควบคุมสถานการณ์ตั้งแต่แรก โดยไม่คำนึงถืงเจตนารมย์ของประชาชนส่วนข้างมาก และวาดภาพผีทักษิณขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ฝ่ายตน ต่อมา เมื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง ประชาชนก็ได้แสดงเจตนารมย์ชัดเจน โดยการเลือกพรรคพลังประชาชน ที่ได้รับการสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาบริหารประเทศ ฝ่ายอำมาตย์ไม่พอใจ จึงโอบอุ้มเอาพรรคประชาธิปัตย์ที่พ่ายแพ้การเลือกตั้ง มาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ประชาชนจำนวนมากจึงได้รวมตัวกันเป็นขบวนการคนเสื้อแดง ภายใต้การนำของ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.) และต่อสู้คัดค้านตลอดมา ฝ่ายอำมาตย์ตอบโต้โดยการใช้กำลังทหารเข้ากวาดล้าง และจับกุมคุมขังทั้งด้วยข้อหาก่อการร้าย ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา ๑๑๒ และ ข้อหาอืนๆ รวมทั้งใช้สื่อกระแสหลักโจมตีทำลายภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดง ให้เป็นพวกเผาบ้านเมือง แต่ก็ไม่ประสบผล เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ประชาชนก็เลือกพรรคเพื่อไทยอย่างท่วมท้น ฝ่ายอำมาตย์ต้องถอยทางยุทธศาสตร์อีกครั้ง โดยยอมให้พรรคพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ

แต่กระนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงอยู่ ฝ่ายอำมาตย์ก็ยังคงมีมหิธานุภาพ โดยเฉพาะยังคงควบคุมกองทัพแห่งชาติ โดยอาศัย พรบ.กลาโหม ที่ออกในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ จุลานนนท์ เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้าไปจัดดำเนินการ นอกจากนี้ก็ยังควบคุมอำนาจตุลาการ และรองรับความชอบธรรมด้วยรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.๒๕๕๐ ที่เปิดทางให้ฝ่ายตุลาการเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองได้อย่างเปิดเผย และ ยังใช้อำนาจตามมาตรา ๑๑๒ ข่มขู่คุกคามประชาชนไม่ให้มีความเห็นต่างจากพวกอำมาตย์ และฝ่ายอำมาตย์ยังคงควบคุมกำหนดกรอบสำหรับสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่มอมเมาประชาชนและปกป้องพวกอำมาตย์ ดังนั้น ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยจึงเป็นเพียงจังหวะก้าวแรก จะต้องมีการรุกทำให้ในขั้นตอนต่อไป จึงจะทำให้สังคมไทยบรรลุเป้าหมายประชาธิปไตยที่แท้จริงได้

ใน ยุทธศาสตร์ระยะยาวของการต่อสู้ เป็นที่แน่นอนว่า พลังฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุผลประการแรกคือ ประชาธิปไตยเป็นกระแสการเมืองของโลกนานาชาติ ประเทศสำคัญในโลกต่างก็สนับสนุนแนวทางประชาธิปไตยทั้งสิ้น ไม่มีประเทศใดเลยที่อำมาตยาธิปไตยได้รับชัยชนะ ประการที่สอง ประชาชนไทยมีความตื่นตัวมากขึ้น ปรากฏการณ์ตาสว่างขยายตัว ผู้คนเห็นธาตุแท้อันหลอกลวงของฝ่ายอำมาตย์มากขึ้น ประการที่สาม ระบอบศักดินานั้น เป็นยาหมดอายุ ย่อมพ่ายแพ้ต่อกาลเวลา

คำถามสำคัญในขณะนี้ คือ พลังฝ่ายประชาธิปไตยจะทำการรุกอย่างไร จึงจะทำให้สถานการณ์พัฒนาไปในทางที่เป็นคุณแก่ขบวนการประชาชน

ใน ขณะนี้ เราก็จะเห็นได้แล้วว่า ใน พ.ศ.๒๕๕๕ นี้จะมีประเด็นหลักที่นำไปสู่การต่อสู้ทางความคิดและทางการเมืองอย่างแหลมคม อย่างน้อย ๒ เรื่อง คือ เรื่องแรก กระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งได้เขี่ยลูกแล้ว โดยพรรคเพื่อไทย แนวทางการแก้ไขที่เป็นไปได้ในขณะนี้ คือ การตั้งสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขึ้นมารับหน้าที่ เป้าหมายเฉพาะหน้า คือ ต้องผลักดันการตั้ง สสร.ที่เป็นประชาธิปไตย เช่น ให้ประชาชนเป็นผู้เสือกสมาชิก สสร.ทางตรง และถ้าหากว่า จะต้องมีนักกฏหมายหรือนักวิชาการเข้าร่วม ก็จะต้องไม่เป็นเนติบริกรที่เคยรับใช้รัฐประหาร เช่น การกำหนดคุณสมบัติว่า ผู้ที่เคยเข้าร่วมในรัฐบาล สภานิติบัญญัติ และ สภาร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหาร ไม่มีสิทธิเข้าเป็นสมาชิก เป็นต้น นอกจากนี้ คงต้องถกเถียงในเชิงข้อเสนอ เช่น เรื่องการยกเลิกวุฒิสมาชิกลากตั้ง การนำอำนาจตุลาการกลับคอกศาล การเพิ่มอำนาจรัฐสภา และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การยกเลิกองคมนตรี เป็นต้น

แต่ประเด็นที่แหลมคมยิ่งกว่านั้น คือ กระแสการรณรงค์เรื่องการแก้ไขมาตรา ๑๑๒ เพราะในหลายปีที่ผ่านมา ได้เห็นแล้วว่า ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้กลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายอำมาตย์ในการใส่ร้าย ป้ายสี จับกุมคุมขังประชาชน และทำลายปัญญาชนฝ่ายประชาธิปไตย และการดำเนินคดีเหล่านี้ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกระบวนการศาล การคัดค้านการใช้มาตรา ๑๑๒ จึงกลายเป็นกระแสใหญ่ และใน พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ จะเป็นกระแสใหญ่มากขึ้น ชวนผู้คน รวมทั้งปัญญาชนฝ่ายอนุรักษ์นิยมออกมาถกเถียง อันจะเป็นการขยายความรู้เชิงวิพากษ์แก่สังคมมากยิ่งขึ้น

ในการณรงค์ ประเด็นเหล่านี้ จะเห็นได้ว่า บทบาทการเป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวของ นปช.จะลดลง ตราบเท่าที่ นปช.ไม่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขมาตรา ๑๑๒ พลังของฝ่ายปัญญาชนที่ก้าวหน้า ที่มีกลุ่มนิติราษฎร์เป็นแกนกลาง จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น เพราะข้อเสนอของฝ่ายนิติราษฎร์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลบล้างผลพวงรัฐประหาร และปฏิรูปมาตรา ๑๑๒ เป็นข้อเสนอที่ชัดเจนและเป็นธรรม กลุ่มประชาชนคนเสื้อแดงหลายกลุ่มจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวเช่นนี้

สำหรับ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย การสนับสนุนและความนิยมอาจจะตกต่ำลงในกลุ่มคนเสื้อแดง ตราบเท่าที่ยังคงล่าช้าในการเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ในกรณีเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ และยังวางเฉยในการช่วยเหลือพี่น้องคนเสื้อแดง ที่ยังถูกดำเนินคดีและจำคุก เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลควรทำ นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และดำเนินโครงการตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และควรที่จะออกกฏหมายนิรโทษกรรม นำพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลจากกรณีการเมืองออกมาจากคุก โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ให้เข้าใจว่าคนเหล่านี้เสียสละและต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลประชาธิปัตย์ จึงสมควรที่จะได้รับการช่วยเหลือ

และ ที่สำคัญที่สุด รัฐบาลเพื่อไทยอย่าไปตามรอยความผิดพลาดของรัฐบาลชุดที่แล้ว เช่นการปราบปราบเข่นฆ่าประชาชน การละเมิดสิทธิมนุษยชน และไล่จับกุมประชาชนที่เห็นต่างตามอินเตอร์เนต ซึ่งเป็นวิธีการอันไม่ศิวิไลซ์ และเป็นการทำลายฐานของฝ่ายตนเองอย่างโง่เขลา ประเทศไทยจะก้าวหน้าต่อไปในทางประชาธิปไตย ก็ต่อเมื่อไม่มีนักโทษการเมือง และไม่มีนักโทษทางความคิด

ในลักษณะเช่นนี้ ปี พ.ศ.๒๕๕๕ ประชาชนก็จะมีความสุขโดยทั่วกัน

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

Friday, January 6, 2012

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ: ตอบคำถาม "เพลงสรรเสริญฯ" ในโรงหนังนั้น มีมาแต่หนใด

ที่มา Thai E-News

โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

(เขียนเมื่อ 23 เมษา 2551)


ที่มา
Charnvit Ks

ดร.ชาญ วิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดี ธรรมศาสตร์ ตอบคำถาม เรื่องธรรมเนียมการยืนเคารพเพลง สรรเสริญพระบารมี ในโรงหนัง ในเมล์ลิสต์ ของนักวิชาการและนักกิจกรรมกลุ่มหนึ่ง ดังนี้


ต่อคำถามที่ว่า ธรรมเนียมการยืนเคารพเพลงสรรเสริญ พระบารมี ในโรงหนัง มีมาแต่เมื่อไร และมีขึ้นเพราะเหตุใดนั้น ขอตอบว่าธรรมเนียมนี้ สยามประเทศ (ไทย) ลอกเลียนมาจากอังกฤษ เมื่อประมาณเกือบ 1 ร้อยปีมาแล้ว

กล่าวคือ เมื่อประมาณทศวรรษ 1910 เมื่อเริ่มต้น มีโรงหนังนั้น เมื่อฉายหนังจบ อังกฤษ ก็ให้มีการฉายพระฉายาลักษณ์ ของคิงยอร์ชแล้วก็ให้บรรเลงเพลง God Save the King ธรรมเนียมนี้ เกิดขึ้นในยุคสมัยที่อังกฤษ ต้องการปลุกระดมลัทธิชาตินิยม และความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ ตามคำขวัญว่า God, King, and Country

สมัยนั้น อังกฤษต้องต่อสู้กับเยอรมนี และอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กษัตริย์อังกฤษ ต้องทำตนให้เหมือน เป็นอังกฤษแท้ๆ ต้องเปลี่ยนนามราชวงศ์ ที่ฟังดูเป็นเยอรมันคือ 'Saxe-Coburg-Gotha' ให้ฟังดูเป็นอังกฤษ คือ 'Windsor'

ธรรมเนียมนี้ ปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด ในเมืองแม่ และถูกนำไปใช้บังคับในอาณานิคมทั่วโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในอินเดีย สิงคโปร์ มลายา และพม่า

ธรรมเนียมดังกล่าว ตกทอดมาจนถึงตอนต้นๆ ของรัชสมัยควีนอลิซาเบธ แต่ปัจจุบันนี้ อังกฤษได้ยกเลิกไปแล้ว เพราะเมื่อประมาณปลายทศวรรษ 1950 กับต้นทศวรรษ 1960 บรรดานักศึกษาชั้นนำ ของทั้งออกซฟอร์ด และเคมบริดจ์ เริ่มประท้วงไม่ยอมยืนเคารพ แถมยังเดินออกจากโรงหนัง เมื่อหนังจบอีกด้วย ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ และเจ้าของโรงหนัง ต้องแก้ไขด้วยย้ายการบรรเลงเพลงสรรเสริญ/การฉายภาพมาไว้ ก่อนหนังฉาย แต่ก็ไม่ได้ผล ตกลงเลยต้องยกเลิกธรรมเนียมนี้ไป เมื่อประมาณ 30 หรือ 40 ปีมานี้เอง

สำหรับสยามประเทศ (ไทย) ของเรา ก็ได้ลอกเลียนธรรมเนียมนี้มาจากอังกฤษ โดยบรรดา "พวกหัวนอก/นักเรียนอังกฤษ" กับ "เจ้าของโรงหนัง" แต่เดิม ก็บรรเลงเพลง/ฉายภาพ เมื่อหนังเลิกส่วนก่อนหนังฉาย ก็มักจะมีโฆษณาสินค้า แต่เมื่อสักประมาณทศวรรษ 1970 ได้ดัดแปลงธรรมเนียมนี้ใหม่คือ ย้ายการเปิดเพลง "ข้าวรพุทธฯ" มาไว้ตอนก่อนหนังฉาย กระทั่งทุกวันนี้

เข้า ใจว่าในปัจจุบัน ธรรมเนียมดังกล่าว ถูกยกเลิกไปหมดแล้ว ในประเทศในยุโรป รวมทั้งก็ได้ยกเลิกไปจากโรงหนัง ในอดีตอาณานิคมทั้งหลายเช่นกัน



รวมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า . . .


พลงสรรเสริญพระบารมี มีมาแต่หนไหน
แต่เดิม ไทยสยาม ไม่มีเพลงเช่นว่านี้
แต่เมื่อต้องคบหากับฝรั่งเจ้าลัทธิอาณานิคม ก็รับทำเนียมฝรั่งมา
และในสมัยรัชกาลที่ 4 และต้นรัชกาลที่ 5
ก็เคยยืม God Save the Queen (วิกตอเรีย) มาใช้


ต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2431 (1888) กลางสมัยรัชกาลที่ 5
ทรงเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะทำให้ดูเหมือนสยามเป็น มลายู/สิงคโปร์
จึงทรงจ้างฝรั่งรัสเซีย นาม ปโยตร์ ชูรอฟสกี้ (Pyotr Schurovsky)
ประพันธ์ทำนอง


แล้วโปรดให้ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นิพนธ์ เนื้อร้องขึ้น
(เนื้อร้องเดิม ลงท้ายด้วยคำว่า "ฉนี้" ก่อนถูกเปลี่ยนเป็น "ชโย")
cK@Singhapura

กิจกรรมต่างๆ เดือนมกราคม 2555

ที่มา Thai E-News

โดยทีมข่าว ไทยอีนิวส์
6 มกราคม 2555

ทาง ทีมงานไทยอีนิวส์ จะทยอยนำกิจกรรมต่างๆ เพื่อประชาธิปไตยในเดือนมกราคมมาขึ้นนำเสนออย่างต่อเนื่อง หากต้องการเผยแพร่ข่าวสารกิจกรรมคนเสื้อแดง "รักประชาธิปไตย หัวใจเสรีภาพ" สามารถแจ้งข่าวกิจกรรมมาให้เราได้ที่ thaienews99@googlegroups.com

- - - - - - - - - - - -


7 ม.ค. 55 - ร่วมฟังปราศรัยและลงชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ


จัด โดย สภาประชาชนไทยเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 291 + สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) +เครือข่ายประชาธิปไตย (คปต.) และกลุ่มองค์กรต่าง ๆ

ขอ เชิญชวนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านร่วมฟังปราศรัยและลงชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 ม.ค. 55 หน้ารัฐสภา เวลา 17.30 น.เป็นต้นไป รายละเอียดดังนี้

7 ม.ค. 55
17.30 น. รวมตัวหน้ารัฐสภาและร่วมลงชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้นำสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านมาประกอบการลงชื่อด้วย

18.00 น. ฟังการปราศรัยใหญ่ "ทำไมประชาชนต้องขอแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ" พร้อมเผยยอดผู้ร่วมลงชื่อฯ ใกล้ครบ 50,000 ชื่อ ซึ่งจะเตรียมยื่นต่อรัฐสภาในวันที่ 12 ม.ค. 55 นี้

11 ม.ค. 55
13.30 น. การประชุมร่วมระหว่างสภาประชาชนไทยเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ระหว่างองค์กร/แนวร่วมต่างๆ ก่อนนำยื่อนต่อประธานรัฐสภาในวันที่ 12 ม.ค. 55 ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว

17.30 น. ปราศรัยร่างแก้ไขที่ "สภาประชาชนไทยเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291” อภิปรายและลงมติในร่างแก้ไขก่อนที่จะนำยื่นต่อประธานรัฐสภา

0 0 0 0 0


8 มกราคม 2555 - ร่วมขบวนแรลลี่เส้นทางสีแดงในกรุงเทพมหานคร

ขอ เชิญร่วมขบวนแรลลี่เส้นทางสีแดงในกรุงเทพมหานคร (ราชประสงค์-เรือนจำพิเศษกรุงเทพ) เพื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเพื่อส่งขบวนจักรยานเส้นทางสีแดงเพื่อสันติภาพสู่กัมพูชา อาทิตย์ 8 ม.ค. กำหนดการ ดังนี้

10.00 น.ตั้งขบวนแรลลี่ รถจักรยาน มอเตอร์ไซด์ รถทุกชนิดหน้าเวิลด์เทรด

12.00 น. เคลื่อนขบวนทั่วกรุงเทพ เส้นทาง ราชประสงค์ ประตูน้ำ เพชรบุรี หลานหลวง ราชดำเนิน อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ราชวิถี อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สะพานควาย ลาดพร้าว พหลโยธิน เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 16.00 น.ผูกผ้าแดง ปล่อยนกพิราบ หน้าเรือนจำ รอบมอบน้ำใจและสิ่งของบริจาคให้พี่น้องชาวอีสาน

สอบถาม 081-5836964



0 0 0 0 0



วันที่ 8 มกราคม 2555 คอนเสิร์ต คนแดนไกลเติมใจครอบครัวแดง

เวลา 12.00-24.00 น.

โครงการ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ถูกคุมขังจากการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย พ.ศ. 2555 -2557

โดย UDD THAI OF EUROPE ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงปี 2552-2553 ที่ถูกคุมขัง ในเรือนจำเท่านั้น แต่จากการได้ลงพื้นที่ ระหว่างเดือน พ.ย-ธค 54 นอกจากได้ทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ของผู้ถูกคุมขังการเมืองและได้ทำการเยียวยาแล้ว ยังพบว่าครอบครัวของบุคคลเหล่านั้น ประสบปัญหาด้านการเงิน อันเนื่องมาจากขาดบุคคลผู้เป็นกำลังสำคัญในการหารายได้มาจุนเจืออีกด้วย

ดัง นั้นทาง UDD THAI OF EUROPE จึงประชุมคณะกรรมการฯ และมีมติจากที่ประชุม ให้จัดทำกิจกรรมระดมทุน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของผู้ถูกคุมขังทางการเมืองอีกทางหนึ่ง

โดย การจัดกิจกรรม ฟรีคอนเสิร์ต “คนแดนไกลเติมใจ ครอบครัวแดง” เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาครอบครัวผู้ถูกคุมขังทางการเมือง ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ชื่อกิจกรรม : คอนเสิร์ต คนแดนไกลเติมใจครอบครัวแดง

ระยะเวลาดำเนินงาน : วันที่ 8 มกราคม 2555 เวลา 12.00-24.00 น.


ผู้รับผิดชอบกิจกรรม : UDD THAI OF EUROPE

วัตถุประสงค์
1. เพื่อหาทุนแก่ญาติผู้ถูกคุมขัง ฯ ซึ่งกำลังเดือดร้อนเนื่องจากขาดรายได้
2. เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ถูกคุมขังฯ

วิธีดำเนินการ
1. จัดคอนเสิร์ตการกุศล ภายในอิมพีเรียลฮอลล์ ชั้น 6 ศุนย์การค้าอิมพีเรียลลาดพร้าว
2. เชิญแกนนำเสื้อแดง – รมต. -สส พรรคเพื่อไทย -แขกรับเชิญ ผู้ร่วมงาน ฯลฯ ร่วมบริจาคเงินและร้องเพลงตาม โอกาส
3. ถ่ายทอดทาง เอเชียอัพเดท
4. มีการแจ้งยอดเงินและรายนามผู้บริจาคตลอดรายการ



สอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ 0848721926

วิเคราะห์ความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ต่อศาล ICC ของท่านทนายความโรเบิร์ต อัมเสตอร์ดัม

ที่มา Thai E-News

ทีม ข่าวไทยอีนิวส์ต้องขออภัยมิตรรักนักเขียนทั้งหลาย ที่ในช่วงปีใหม่ ทีมงานหลายคนติดภาระกิจ - ทั้งเรื่องเป็นเรื่องตาย และทั้งเรื่องครอบครัว - ทำให้การขึ้นข่าวสารต่างๆ อาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่เราก็จะจะทยอยขึ้นข่าวต่างๆ ตามมาเรื่อยๆ

ขอ นำจดหมายเปิดผนึกของคุณดวงจำปาตั้งคำถามเรื่อง ICC ต่อคุณโรเบิร์ต อัมเตอร์ดัม ซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับ ICC ซึ่งอาจจะเป็นข้อสงสัยร่วมของหลายๆ คน มาฝากทุกท่าน


6 มกราคม 2555
โดย Doungchampa Spencer

เขียนเมื่อ 1 มกราคม 2555

วันนี้ เป็นวันขึ้นปีใหม่ เป็นการเริ่มต้นของ ปี พ.ศ. 2555

ประการ แรก ก็ขออำนาจของคุณความดีอันประเสริฐ จงช่วยบันดาลและปกป้องให้ท่านผู้อ่านประสบความสุข สดชื่น สมหวัง คิดสิ่งใด จงสมปรารถนาในสิ่งเหล่านั้น

(ขอใช้คำว่า คุณความดี เพราะใช้ได้กับทุกๆ ศาสนาค่ะ)

หวนไปถึงปีที่แล้ว (พ.ศ. 2554) มีเหตุการณ์หนึ่งซึ้่งเป็นที่ประทับใจอยู่จนถึงทุกวันนี้

นั่นก็คือเหตุการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554 (11 เดือนแล้วนะคะ ปลายเดือนนี้ก็ครบหนึ่งปีเต็ม)

จำได้ว่า มีการประกาศทางหน้าเวปว่า จะมีการถ่ายทอดวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ จากกรุงโตเกียว นำโดย คุณทนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม นั่นเอง

ดิฉันจำได้ว่า มี อาจารย์เสื้อแดงทั้งสามท่าน คือ คุณหวาน, คุณจา และ คุณตุ้ม ช่วยแปลข้อความต่างๆ ที่คุณ อัมสเตอร์ดัมได้กล่าวไว้

รวม ไปถึง punch line ที่กล่าวถึง การฟ้องคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะบุคคลที่มีสัญชาติอังกฤษ ซึ่งทำความตกตะลึงแบบประทับใจให้กับผู้ฟังทุกๆ ท่าน

คำแถลงการณ์ของคุณอัมสเตอร์ดัมอยู่ที่นี่: Press Release: International Justice for Thai Impunity ดิฉันหาคำแถลงการณ์เป็นภาษาไทยไม่ได้ ก็เลยทำการแปลจากภาษาอังกฤาเป็นภาษาไทยเอง และโพสต์ไว้ที่นี่ค่ะ:

บทความแปล: แถลงการณ์: เรียกร้องขอความยุติธรรมจากนานาอารยะประเทศในเรื่องของการได้รับการละเว้นโทษของไทย

ใน เวลาช่วงเดียวนั้น (ปลายเดือนมกราคม ถึง ต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554) ท่านรองประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ คือท่านผู้พิพากษาคาอูล ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อทำการปาถกฐาให้กับพี่น้องคนไทยได้ฟังกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อเรื่อง ศาลอาญาระหว่างประเทศ – คุณสมบัติสำคัญ, สถานการณ์ในปัจจุบันและการท้าทายต่อปัญหา ข่าวนี้เป็นข่าวที่เงียบมากๆ จนกระทั่งคุณอัมเสตอร์ดัม ได้เขียนบทความว่า ให้ทางศาล ICC พิจารณาไม่ให้ท่านผู้พิพากษาคาอูลเข้ามาตัดสินในคดีที่ท่านได้ยื่นส่งไป เนื่องจากว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน จดหมายของคุณอัมสเตอร์ดัม เขียนส่งให้กับศาล ICC อยู่ที่นี่:คำร้องขอให้ตัดสิทธิ์ผู้พิพากษาฮันส์-ปีเตอร์ คาอูล (Hans-Peter Kaul)ในการพิจารณาคดีคนเสื้อแดง จดหมายของคุณอัมสเตอร์ดัม ส่งไปให้ท่านอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การ ไฟล์เรื่องกับทางศาลอาญาระหว่างประเทศทั้งสองครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากการไฟล์เรื่องครั้งแรกโดยฝ่ายทีมงานของคุณอัมสเตอร์ดัม เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เรียกว่า รายงานเบื้องต้น ตามลิ้งค์ที่คุณอัมสเตอร์ดัมได้แถลงการณ์ไว้นะคะ Thailand, the ICC, and Crimes Against Humanity ตัวต้นฉบับนั้นเป็นภาษาอังกฤษ อยู่ที่นี่ค่ะ ชื่อว่า Preliminary Report into the Situation of the Kingdom of Thailand With Regard to the Commission of Crimes Against Humanity แปลเป็นภาษาไทยว่า สถานการณ์ของราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

ดิฉัน ได้อ่านบทความและรายงานที่ทีมงานของคุณอัมเสตอร์ดัมได้ยื่นส่งให้กับศาลอาญา ระหว่างประเทศ เป็นรายงานที่มีการวิเคราะห์และอ้างอิงได้อย่างดีเยี่ยมในระดับโลกเลยที เดียว รายละเอียดต่างๆ ไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะมีความครบสมบูรณ์อยู่ในเนื้อหาและตัวของมันเองแล้ว

ถึง แม้ว่า รายงานฉบับนี้ จะเอาผิดได้แต่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแต่เพียงผู้เดียว (ในฐานะสัญชาติอังกฤษ ที่สหราชอาณาจักรเป็นรัฐภาคีในธรรมนูญอนุสัญญากรุงโรม) รายงานได้รวมไปถึงการฆาตกรรมพี่น้องประชาชนมือเปล่าอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งเข้าขอบเขตของคำว่า “อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

อย่าง ไรก็ตาม เวลาได้เนิ่นนานมาเกือบหนึ่งปีเต็ม (มากกว่า 4 เดือนถ้านับโดยการบริหารของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำ) รัฐบาลของประเทศไทย ก็คงยังไม่ได้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเลย หลังจากที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้เลือกเข้ามาบริหารราชการบ้านเมือง นั่นก็คือ:

1. การยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ ในเรื่องคดี 91 ศพ (เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณสุนัย จุลพงศธร ได้เข้าไปยื่น เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2549 แต่ ทางรัฐบาลไทยยังไม่ได้ยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ) หรือ

2. การให้สัตยาบัน หรือ Ratification เพื่อเป็นรัฐภาคีกับศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เพื่อผู้กระทำการเหล่านี้จะต้องถูกตัดสินภายใต้อำนาจของศาล ICC


บทความวิเคราะห์อยู่ที่นี่ค่ะ: ประเทศไทย กับ ศาลอาญาระหว่างประเทศ

ทั้ง สองเรื่องนี้ รัฐบาลของประเทศไทยจะต้องยอมรับอำนาจของศาล ICC ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีการส่งเรื่องไปที่องค์กรใดๆ ก็ตาม (ดิฉันได้ข่าวมาว่า จะส่งให้ทาง United Nations หรือสหประชาชาติเข้าช่วย) แต่เราก็ต้องไม่มั่ว ถือถามตนเองว่า ใครหรือองค์กรใดที่จะเป็นผู้ตัดสินคดีล่ะ? คำตอบก็คือ ICC นั่นเอง สุดท้ายมันก็ตกมาถึงคำถามในเรื่อง อธิปไตยของประเทศอยู่ดีว่า ประเทศไทย มีความสามารถและมีความยินยอมที่จะตัดสินคดีแบบนี้หรือไม่ ก่อนที่จะนำ ICC เข้ามาพิจารณาคดี? ซึ่งทาง ICC เอง เขามีหลักการเรียกว่า การเสริมเขตอำนาจภายในประเทศอยู่แล้ว หรือที่ภ่าษาอังกฤษเรียกว่า Complementary

เมื่อกระบวนการตุลาการ ของประเทศไทย ต้องกระทำการตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มันก็เลยดูเหมือนว่า การตัดสินคดีต่างๆ (โดยเฉพาะเรื่องเหตุการณ์เมษายน และ พฤษภาคม พ.ศ. 2553) จะต้องได้รับการยินยอมจากพระองค์หรือเปล่า? ดิฉันไม่ทราบในเรื่องนี้ ก็แปลความตามความเข้าใจค่ะ (เพราะตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญนั้น พระองค์ท่านทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยนั้น โดยทางรัฐสภา, คณะรัฐมนตรี และ ศาล) ดูไปแล้วมันก็เลยเหมือนกับว่า มันขัดหลักการกันในเรื่องการยอมรับอำนาจของศาล ICC แบบที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมเขาหยิบยกขึ้นมาอ้างกัน

ตามหลักการณ์จริงๆ แล้ว การยอมรับอำนาจศาล ICC สามารถทำได้โดยทางฝ่ายรัฐบาลไทยยินยอมเท่านั้น ในฐานะของการกระทำฝ่ายเดียวหรือ Unilateral Act แต่คงจะมีพวกอนุรักษ์นิยม พร้อมกับสื่อชั่วๆ ช่วยกันกระหน่ำ สร้างมาตรฐานใหม่ จนรัฐบาลไม่ยอมแตะเรื่องเหล่านี้อีก โดยอ้างถึงคำว่า “การทำแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” เท่านั้นแหละ รัฐบาลก็สั่นเป็นลูกนกไปแล้ว รวมทั้งพวกหยิบยกอ้างนู้นอ้างนี้ เพื่อให้องค์กรที่สั่งได้กระทำการตีความว่า รัฐบาลกระทำผิดหลักการ ฯลฯ

ด้วยเหตุผลหลายๆ ซึ่งเป็นขวากหนาม หรือ อุปสรรคอย่างที่กล่าวให้ท่านทั้งหลายได้ทราบมา เพราะ ฉะนั้น ดิฉันจึงมั่นใจว่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในปัจจุบัน จะไม่กระทำการในเรื่องหนึ่งเรื่องใดให้กับศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC อย่างเด็ดขาด โดยอ้างหลักการของรัฐธรรมนูญ และเป็นการก้าวก่ายพระราชอำนาจ รวมไปถึงการยอมให้อำนาจอธิปไตยของประเทศ ได้ถูกย่ำยีโดยกระบวนการจากต่างประเทศ (ฝ่ายอนุรักษ์นิยม และสื่อชั่วๆ คงจะอ้างเหตุผลได้มากกว่าดิฉันเป็นแน่ ตามที่กล่าวมาแล้ว) ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็น่าจะประกาศออกมาโดยตรงเลยนะคะ ไม่ต้องทำเป็นหน่อมแน้มในเรื่องนี้ เพราะประชาชนเขารู้ทันว่า พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการดำเนินการในนโยบายเรื่องนี้ (และสามารถอ้างได้เต็มปากว่า พรรคเพื่อไทย ไม่เคยให้คำมั่นสัญญากับประชาชนในเรื่องการลงสัตยาบันนี้แต่อย่างใดด้วย)

เรื่อง นี้ น่าจะเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองในอนาคต คงจะเข้าท่ากว่า แต่มันเหมือนกับว่า พูดอย่างทำอย่าง เพราะถ้าเลือกเข้าไปจริงๆ ก็คงกระทำไม่ได้อยู่ดี ตามเหตุผลที่กล่าวไว้แล้ว

----------------------

ขอ วกกลับไปที่คุณอัมสเตอร์ดัมอีกครั้งหนึ่ง เพราะดิฉันอยากจะเปรียบเทียบบางสิ่งบางอย่างให้ท่านผู้อ่านได้คิดและได้ฟัง กัน (ขออ้างอิงก่อนว่า เรื่องนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคลคือตัวดิฉันเองแต่เพียงผู้เดียว ท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่ แล้วแต่วิจารณญาณค่ะ)

เมื่อ วานนี้ (31 ธันวาคม 2554) เป็นวันสิ้นปี (ที่ USA เป็นวันทำงานธรรมดา ไม่ใช่วันหยุดทางการ) ดิฉันไปที่ US Postal Service (หรือ USPS) หรือเทียบเท่ากับไปรษณีย์ไทยนั่นแหละ เพื่อไปส่งพัสดุชิ้นหนึ่งให้กับคุณแม่ที่ แคนาดา โดยใช้ระบบของ USPS with Signature Confirmation คือการยืนยันว่าได้รับพัสดุด้วยลายเซ็นต์ เหมือนกับทาง EMS ที่ประเทศไทยใช้กัน ที่เราสามารถติดตามหรือ track ได้ว่า ตอนนี้ พัสดุอยู่ที่ไหน ถึงจุดหมายปลายทางแล้วหรือยัง เพื่อนๆ ผู้อ่านหลายท่านก็คงจะทราบว่า ระบบเหล่านี้ สามารถเช็คทางคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย

ตอนขับรถกลับมาที่บ้าน ก็เลยนั่งคิดเรื่อยเปื่อย จนคิดในเรื่องที่จะเขียนเกี่ยวกับ ICC พยายามวิเคราะห์ดูว่า ทำไมเคสของ ICC มันถึงได้นานขนาดนี้ แล้วเมื่อไรเขาจะรับพิจารณาเคสของคุณอัมสเตอร์ดัมบ้าง แล้วนี่มันเกือบปีแล้วนะ ตั้งแต่ยื่นเรื่องไป เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า

ทำไมทีมงานของคุณอัมสเตอร์ดัม ถึงไม่แสดงจดหมายให้ประชาชนเขาเห็นกันเลยว่า ทาง ICC ได้รับเคสหรือเอกสารจากคุณอัมสเตอร์ดัมเมื่อไร? พอไปค้นในเวปของคุณอัมเสตอร์ดัม ก็ไม่พบอะไรเลย นอกเสียจากว่าเป็นการสื่อสารของคุณอัมสเตอร์ดัม ให้กับทาง ICC อยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว

เมื่อเอาเรื่องการส่งพัสดุของดิฉันเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คิดว่า ทางทีมงานของคุณอัมสเตอร์ดัมน่าจะส่งเอกสารเหล่านี้ไปตั้งนานแล้ว ควรมีการ confirm หรือยืนยันว่า ทางฝ่าย ICC เขาได้รับเอกสารที่คุณอัมสเตอร์ดัมส่งไปอย่างแท้จริง เพราะตามปรกติ ถ้าส่งจากแคนาดาหรือจากสหรัฐอเมริกา ไปที่เนเธอร์แลนด์ ก็คงได้รับภายในหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ยิ่งสำนักงานคุณอัมเสตอร์ดัมอยู่ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก็คงจะเร็วกว่านั้นอีกด้วย

(เปรียบเสมือนตอนที่เราสมัคร งานทางเวป เมื่อเราคลิ๊ก Submit Application แล้ว บางทีเราก็จะได้ auto-generated email หรืออีเมล์ที่ออกมาโดยอัตโนมัติว่า ตอนนี้ ทางบริษัทได้รับข้อมูลของท่านแล้ว เขาจะติดต่อท่านกลับมาเมื่อท่านมีคุณสมบัติตามที่บริษัทเขาต้องการ ฉันใดก็ฉันนั้น บางทีก็ได้รับเป็นจดหมายตอบกลับเป็นลายลักษณ์อักษรมาเลย ภายในวันสองวัน)

เท่าที่อ่านมานั้น ทีมงานของคุณอัมสเตอร์ดัม ได้ติดต่อกับ ICC อย่างน้อยที่สุดสามครั้ง ตามที่ดิฉันได้ลำดับเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นๆ อยากให้ฝ่ายทีมงานของท่าน นำเอาจดหมายของ ICC มาลงยืนยันให้ประชาชนเขาทราบได้ไหมคะ ว่าทางองค์กร ICC นั้นได้รับเอกสารของท่านโดยเรียบร้อยแล้ว?

ท่านทำใน นามขององค์กร นปช อย่างน้อย ทาง นปช ก็ควรจะออกมากล่าวให้ประชาชนทราบว่า ทาง ICC เขาได้ยืนยันว่า เอกสารได้รับแล้ววันที่เท่าไรเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วมันก็ไม่น่าเป็นความลับ เพราะสมาชิกของ นปช ก็คือ ประชาชนเราๆ นี่แหละ หรือท่านจะบอกให้ ทาง นปช เขาแสดงจดหมายเอง ก็น่าจะแถลงให้ทราบทั่วกัน

ดิฉันไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด ถ้าท่านบอกว่า ทีมงานของท่าน ได้ส่งเอกสารที่มีมูลค่าขนาดนี้ โดยปราศจากการลงทะเบียน เอกสารแบบนี้ต้องส่งแบบระวังอย่างมากที่สุด เพราะเขาจะสามารถตรวจสอบได้แน่ว่า ท่านส่งไปวันที่เท่าไร ได้รับเมื่อไร และใครเป็นผู้เซ็นต์รับ

ดิฉันเชื่อว่า องค์กร ICC เขาไม่ได้ทำงานชุ่ยๆ หรอกค่ะ เอกสารระดับนี้ เมื่อพวกเขาได้รับ ก็จะต้องมีการส่งการยืนยันกลับมาให้ท่านเป็นลายลักษณ์อักษรว่า เขาได้รับแล้ว และ กำลังทำอะไรอยู่ในขั้นต่อไป รวมทั้งยืนยันความสมบูรณ์ว่า ไม่มีการขาดตกบกพร่องใดๆ อาจจะมีข้อมูลเพิ่งเติมว่า จะส่งต่อไปให้ส่วนงานไหนต่อ รวมไปถึงบุคคลที่สามารถติดต่อเพื่อความคืบหน้าด้วย ส่วนใหญ่จะมี Letterhead หรือตราประทับว่า การสื่อสารนั้น ออกมาจาก ICC จริง และคงไม่ใช่อีเมล์เพียงอย่างเดียว

ขอให้ท่านกรุณาช่วยโพสต์ให้ประชาชนเขาเห็นได้ไหมคะ ว่า ศาล ICC เขาได้รับเอกสารจากสำนักงานของท่านเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะมีหลายๆ ท่าน รวมทั้งดิฉัน อาจจะเริ่มความคิดและสร้างทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด หรือ (conspiracy theories) คล้ายๆ อย่างที่จะกล่าวให้ทราบแบบนี้ (อย่างหนึ่งอย่างใด หรือหลายๆ อย่างรวมกัน) ก็ได้ นั่นก็คือ:

1. อาจจะมีการตอบรับโดยทาง ICC มาตั้งนานแล้วว่า ทางองค์กร ICC ไม่สามารถรับพิจารณาคดีที่ยื่นไปได้ เนื่องจากว่า ประเทศอังกฤษยังต้องตีความเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องสัญชาติของคุณอภิสิทธิ์ หรือ ขัดกับหลักการอื่นๆ ของ ICC แต่ทางสำนักงานของคุณอัมสเตอร์ดัม ยังต้องเก็บไว้ เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนในประเทศไทยเขาเสียกำลังใจ หรือ ต้องเก็บไว้เพื่อเป็นเครื่องมือของการต่อรองฐานอำนาจกับอีกฝ่ายอำมาตย์อยู่ หรือ

2. อาจจะมีการดึงเรื่องเพื่อเป็นการต่อรองกับอีกฝ่ายอำมาตย์จริงๆ ซึ่งไม่ได้เป็นความคิดมาจากคุณอัมเสตอร์ดัม แต่ถูกสั่งมาจากผู้ว่าจ้างคุณอัมสเตอร์ดัมเองนั่นแหละ ถ้าเป็นอย่างนี้ มันดูเหมือนกับ “หลอก”ให้ผู้คนเขาคิดกันว่า เคสกำลังอยู่ในการพิจารณาในเวลาขณะนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีการส่งเคสหรือเอกสารใดๆ ให้กับองค์กร ICC เลย

ถ้าเป็น อย่างนั้น มันดูเหมือน “ลิเกลวงโลก” กับพี่น้องประชาชนเขานะคะ โดยเฉพาะการเอาคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์มาเป็นตัวประกันเพื่อผลประโยชน์ ทางการเมืองส่วนตัวของผู้ว่าจ้างคุณอัมเสตอร์ดัม

และ

3. หลังจากวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 (วันที่ทีมงานคุณอัมเสตอร์ดัมส่งสารให้กับทาง ICC เรื่องการขอให้นำท่านผู้พิพากษาคาอูลออกจากการพิจารณาความ) ได้มีคลิปวิดีโอลับต่างๆ ว่อนออกมาตามอินเตอร์เนทเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงรูปถ่ายในเหตุการณ์ หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล แต่คลิปหรือข้อมูลที่มีเพิ่มเติมนั้น ไม่มีข่าวว่า ทางทีมงานของคุณอัมสเตอร์ดัมได้ส่งพยานวัตถุเหล่านี้เพิ่มเติมเป็นพยานหลัก ฐานให้กับทาง ICC เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการสัมภาษณ์วิดีโอของ สำนักข่าวบีบีซี ในหัวข้อ Justice Under Fire หรือ ความยุติธรรมที่ปลายกระบอกปืน ซึ่งดิฉันมีความเห็นว่า เป็นตัวบ่งบอกพยานหลักฐานได้อย่างดีทีเดียว (ยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งเป็นการดีเท่านั้น ไม่ใช่หรือคะ?)

เพื่อนๆ ในกลุ่มของดิฉันหลายคนเริ่มสงสัยว่า ที่เป็นอย่างนี้ เนื่องจากว่า เราเห็นการสื่อสาร เพียง “ฝ่ายเดียว” จากทางฝ่ายคุณอัมเสตอร์ดัมไปถึง ศาล ICC เท่านั้นเอง ดิฉันคิดว่า มันไม่น่าจะยากเย็นเข็ญใจอะไรเลย ในการนำเอาจดหมายหรือการสื่อสารจาก ICC ออกมาเผยแพร่ว่า ทางศาล ICC เขาได้รับเคสของท่านเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2554 นะคะ อย่างน้อย ก็ทำให้ประชาชนเขาทราบและอุ่นใจด้วยว่า ในขณะนี้ เคสยังอยู่กับทางฝ่ายอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ ส่วนทาง ICC เขาจะทำอย่างไรต่อไปนั้น ก็เป็นเรื่องทางองค์กรของเขาเอง เพราะคุณอัมสเตอร์ดัม ได้กระทำหน้าที่ของทนายความระดับโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว

สรุปแล้วก็คือ: ถ้า คุณอัมเสตอร์ดัมมีจดหมายหรือการสื่อสารซึ่งยืนยันจาก ICC ซึ่งตอบรับในเรื่องเอกสารซึ่งทางทีมงานได้ส่งไปแล้ว เรื่องความสงสัยเหล่านี้ ก็คงจะจบสิ้นลงค่ะ เราก็จะรอดูความคืบหน้าต่อไปด้วยความมั่นใจว่า มีบุคคลอย่างคุณอัมสเตอร์ดัมที่อุทิศตนเอง เพื่อสังคมและความยุติธรรมระหว่างประเทศโดยแท้จริง

ด้วยความนับถือและยกย่องในความสามารถของคุณอัมเสตอร์ดัมที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายค่ะ


Doungchampa Spencer