สกลนคร 12 ก.ค. - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังมอบนโยบายให้กับผู้ว่าฯ และหัวหน้าส่วนราชการ จ.หนองคาย ในช่วงเช้าวันนี้ (12 ก.ค.) แล้ว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางต่อมายัง จ.สกลนคร เพื่อมอบนโยบายให้กับผู้ว่าฯ และหัวหน้าส่วนราชการ จ.สกลนคร ตามกำหนดการเดินสายชี้แจง และมอบนโยบายการปฏิบัติราชการในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคอีสาน ระหว่างวันที่ 9 – 16 กรกฎาคม โดย ร.ต.อ.เฉลิม ยังคงเน้นย้ำให้เข้มงวดกับปัญหายาเสพติด ปัญหาความยากจน ปัญหาบุกรุกพื้นที่ป่า และการจัดระเบียบสังคม โอกาสนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ชี้แจงถึงการเดินทางไปตรวจการบุกรุกพื้นที่ป่า และที่ดินของรัฐ ที่ จ.ภูเก็ต และ กระบี่ และมีผู้มาชุมนุมประท้วง จนต้องหลบออกมา ว่า เป็นเพราะกลุ่มที่บุกรุกพื้นที่ป่าและที่ดินของรัฐ เกรงจะเสียประโยชน์ จึงเกณฑ์คนมาประท้วง ทั้งจาก จ.ภูเก็ต พังงา และสุราษฎร์ธานี การที่หลบออกมา เพราะเกรงจะถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง หากเกิดการปะทะกับผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า จะเดินหน้าตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่า และที่ดินของรัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคใต้ เช่น จ.ภูเก็ต และกระบี่ ที่มีการบุกรุกหลายพันไร่ นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังยอมรับว่า ได้เชิญ ส.ส.ในพื้นที่มาร่วมประชุม ระหว่างการมอบนโยบาย เพราะนักการเมืองกับข้าราชการในพื้นที่ ต้องประสานความร่วมมือ ทั้งการทำงาน และการแก้ไขปัญหาของประชาชน ตลอดจน การยื่นญัตติของบประมาณเพิ่ม เพื่อสนับสนุนการทำงานของจังหวัด สำหรับภารกิจของ ร.ต.อ.เฉลิม เย็นวันนี้ หลังจากมอบนโยบายที่ จ.สกลนคร เสร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปพักค้างคืนที่ จ.นครพนม เพื่อมอบนโยบายให้กับผู้ว่าฯ และหัวหน้าส่วนราชการ ที่ จ.นครพนม และช่วงบ่าย จะเดินทางไป จ.มุกดาหาร. -สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-07-12 16:36:21
เพื่อไทย
Saturday, July 12, 2008
ร.ต.อ.เฉลิม ยืนยันจะตรวจสอบบุกรุกที่ดิน จ.ภูเก็ต – พังงา ต่อ
มท. 1 เดินหน้ากำชับทุกฝ่ายแก้ปัญหาของปชช. ย้ำรัฐบาลไม่มีเจตนาละเมิดรธน.
ในการเดินสายชี้แจง และมอบนโยบายการปฏิบัติราชการในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 9 - 16 ก.ค. ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยวันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้มอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการ จ.หนองคาย ที่ ศาลากลางจังหวัดหนองคาย แบบไร้การชุมนุมขับไล่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภาคอีสาน โดยมีประชาชนประมาณ 200 คน มาให้กำลังใจ และสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล
ทั้งนี้ ในการมอบนโยบาย ร.ต.อ.เฉลิม ขอให้ตำรวจและฝ่ายปกครอง วางมาตรการดูแลแนวชายแดน และด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด เพราะ จ.หนองคาย มีสะพานเชื่อมต่อไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และมีรายงานการลักลอบขนยาเสพติด และคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองอย่างต่อเนื่อง ส่วนการบุกรุกพื้นที่ป่าใน จ.หนองคาย แม้จะไม่รุนแรง แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องตรวจสอบ หากพบการบุกรุก ไม่ว่าพื้นที่ป่าหรือที่ของรัฐ จะต้องติดตามนำกลับมา
นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังขอให้จังหวัดเร่งจัดทำงบประมาณ เพื่อใช้ในการดูแลรักษาตลิ่ง แก้ปัญหาการกัดเซาะตลิ่งริมแม่น้ำโขง หากงบประมาณไม่เพียงพอ ขอให้เร่งเสนอของบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้การก่อสร้างเขื่อนริมตลิ่งเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ร.ต.อ.เฉลิม เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายดูแลปัญหาของประขาชน ทุกส่วนราชการต้องบริหารงานอย่างบูรณาการ โชว์ศักยภาพ มีพัฒนาการในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องการหาเสียงให้กับพรรคพลังประชาชน แต่เป็นการมาประชุมในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ เพื่อให้การทำงานเกิดผลเป็นรูปธรรม และถือเป็นเรื่องปกติ ที่จะมี ส.ส.ในพื้นที่มาร่วมประชุมด้วย ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็ต้องทำเช่นนี้ และยิ่งกลุ่มพันธมิตรฯ ภาคอีสาน ออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้ จะไม่ให้ ส.ส.ในพื้นที่มาช่วยดูแล คงจะไม่ได้ โดยยืนยันว่า ต้องการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน โดยเน้นให้ทุกฝ่ายดำเนินการแก้ปัญหายาเสพติด กำหนดให้ต้องหมดไปภายใน 180 วัน และปัญหาความยากจนต้องดีขึ้น สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนต้องเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม แสดงความชื่นชมการทำงานของตำรวจ และฝ่ายปกครอง ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการจัดระเบียบสังคม และสถานบันเทิง และกำชับให้ผู้ว่าฯ และตำรวจ ประสานและร่วมมือกันทำงาน เพื่อให้การแก้ปัญหาต่างๆ เห็นผลโดยเร็ว กรณีเครือข่ายพันธมิตรฯ เริ่มชุมนุมขับไล่รัฐมนตรีต่างๆ ที่ลงพื้นที่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ต้องอดทน และต้องทำงาน และว่าการออกมาชุมนุมเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขต ชูป้ายคัดค้านก็พอแล้ว ไม่ใช่ชุมนุมด้วยการข่มขู่ และต้องการให้เอาข้อเท็จจริงมาพูด อย่างไรก็ตาม ได้ย้ำเจ้าหน้าที่ไม่ให้ใช้ความรุนแรง และดูแลไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า ระหว่างผู้สนับสนุนกับพันธมิตรฯ ส่วนการเดินทางไป จ.ชัยภูมิ บ่ายวันนี้ ไม่น่าเป็นห่วง แม้ได้รับรายงานว่ามีผู้มาชุมนุมขับไล่เป็นจำนวนมาก โดยจะยังเดินทางไปมอบนโยบายตามกำหนดการต่อไป
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงการยื่นถอดถอนรัฐมนตรีด้วยว่า การเมืองมีหลายมุม ต่างคนต่างคิด แต่ยืนยันว่าจะไม่ลาออก เพราะรัฐบาลไม่มีเจตนาละเมิด หรือขัดรัฐธรรมนูญ กรณีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก พร้อมย้ำว่า ได้มีการสอบถามผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้องแล้ว เมื่อถามว่า จะมีการยุบสภา หรือ ปรับคณะรัฐมนตรีอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกับนายกรัฐมนตรี
“หมอเหวง” ชี้รธน. 50 คือวิกฤติบ้านเมือง
น.พ.เหวง โตจิราการ หนึ่งในคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550(คปพร.) เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวต่อสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ว่า เป็นเรื่องที่ ทางกลุ่มเองเฝ้าติดตามอยู่ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ดูร้อนแรงขึ้น ดังนั้น คณะกรรมการหลายคนจึงเห็นควรจัดให้มีการประชุมประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อกำหนดเป็นแนวทางในการเคลื่อนไหวต่อไป เพื่อร่วมกันคิดหาวิธีหยุดเงื่อนไขของเผด็จการ คัดค้านระบบตุลาการเข้ายึดอำนาจ และแก้ไขวิกฤติของชาติบ้านเมือง อีกทั้งวิกฤติของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นปัญหาในการบริหารประเทศของรัฐบาล
น.พ.เหวง ยังกล่าวอีกด้วยว่า นอกจากนี้ยัง ในการประชุมครั้งนี้ ยังได้ร่วมกันประเมินสถานการณ์ของพันธมิตรฯ โดยประการแรกคือ กรณีที่พันธมิตรฯละเมิดอำนาจศาลย้านที่ชุมนุมเหมือนจงใจตะแบงคำสั่งศาลแพ่ง และกรณีที่พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ที่แต่งเครื่องแบบทหารขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ โดยการกระทำดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ประการที่สองคือ การที่พันธมิตรฯสร้างความยุ่งเหยิงให้กับการบริหารงานของรัฐมนตรีมหาดไทย โดยส่งคนไปก่อกวน ซึ่งแน่นอนเป็นการกระทำโวยการจ้างวานของพันธมิตรฯนั้นเอง
ส่วนประการที่สาม การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทาง คปพร.ได้ยื่นรายชื่อที่ได้รวบรวมเอาไว้จำนวน 2 แสนกว่ารายชื่อ ให้กับนายชัย ชิดชอบ ประสภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการต่อไปแล้ว โดยนายชัย ได้กล่าวกับทาง คปพร.หลังจากที่ตนได้เข้าพบเพื่อสอบถามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดอยู่ คาดว่าน่าจะใช้เวลาตรวจสอบแล้วเสร็จราว 1 เดือน น่าจะได้รับข่าวดี
"ปองพล"แจ้นพบ หน.ปชป.ยันไม่เสียดินแดน
หลังจากที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับยืนยันว่าสื่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำลงไปนั้นเป็๋นสิ่งถูกต้อง มั่นใจว่าได้ปกป้องอธิปไตยของชาติ
นายปองพล อดิเรกสาร ประธานคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เดินทางมายังพรรคประชาธิปัตย์พร้อมเอกสารในมือ เพื่อเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายปองพล กล่าวว่า ตนเองเป็นคนติดต่อเพื่อชี้แจงในรายละเอียดที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเอง โดยย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไทยไม่ได้ถือว่าสูญเสียดินแดนอย่างที่มีการพยายามปลุกปั่น ย้ำการมาในครั้งนี้ไม่ได้หวังผลทางการเมืองให้มีการถอดถอนใครออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด ทั้งนี้ ตนเองพร้อมไปชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวทุกเวที หากใครยังต้องการข้อมูลเพื่อไม่ให้นำเรื่องดังกล่าวไปพูดแบบไม่รู้จริงก่อให้เกิดการเข้าใจผิด และยิ่งทำให้สถานการณ์ในประเทศยิ่งบานปลาย จนเกิดเป็นผลเสียแก่ประเทศ
ส่วนข้อกังขาเรื่องที่จะให้คณะกรรมการ 7 ชาติมาบริหารพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้น นายปองพล กล่าวว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ ต้องดำเนินการให้ได้ความชัดเจน ส่วนตนเองเกี่ยวเฉพาะในเรื่องมรดกโลกเท่านั้น
นปก. พร้อมเดินหน้า แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.2) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเร่งด่วนที่จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ว่า ขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองกำลังมาถึงทางตันแล้ว ไม่มีทางออกอื่นใด ดังนั้นพวกเราที่ประชาชนที่อยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยควรจะออกมาต่อสู้ปลดล็อกโซ่ที่พันธนาการรัฐบาลเพื่อการบริหารประเทศเป็นไปได้มากกว่านี้
“การที่กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) จะมีการหารือเพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เพราะเล็งเห็นที่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง และต้องการที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย”
ดร.เมธาพันธ์ กล่าว่า การที่เรายังคงนิ่งเฉยอยู่โดยยังไม่ทีท่าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่เช่นนี้ รัฐบาลก็เหมือนตกอยู่ในสภาพที่ทำงานอะไรหรือบริหารงานได้ยากลำบาก ดังนั้นจำเป็นที่ คปพร.จะนำรายชื่อที่ได้รวบร่วมไว้เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 แสน 6 หมื่นรายชื่อเข้ายื่นต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเข้าสู่กระบวนการในการแก้ไขต่อไป
ดร.เมธาพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า ตนอยากที่จะข้อเรียกร้องให้ประชาชนที่กำลังต่อสู้เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ควรที่จะออกมาเรียกร้องและผนึกกำลังเพื่อกดดันให้เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างด่วนที่สุด เพราะสำคัญที่สุดอย่างที่ตนได้กล่าวไปก่อนนี้ว่า ต้นตอของความทุกข์ร้อนของประชาชนไม่ว่าจะเป็น ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง เกิดมาจากการที่รัฐบาลโดนมัดมือมัดเท้าขยับทำสิ่งใดไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญเป็นโซ่ลามเอาไว้
“นายกฯ”ลงนามสั่งสอบด่วน “ปฐมพงษ์” ขึ้นเวทีพธม.กองทัพเสียหายร้ายแรง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ใส่เครื่องแบบทหารไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ โจมตีรัฐบาล ว่า วันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้นำเอกสารเป็นคำชี้แจงของกองทัพไทย ที่เป็นหน่วยงานต้นสังกัดของ พล.อ.ปฐมพงษ์ ระบุว่าการกระทำของพล.อ.ปฐมพงษ์ ดำเนินการขัดต่อคำสั่ง รวมทั้งขัดต่อพ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 และรัฐธรรมนูญมาตรา 74 ซึ่งผู้บังคับบัญชาของ พล.อ.ปฐมพงษ์ ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพล.อ.ปฐมพงษ์ยังยืนยันว่าจะสวมเครื่องแบบทหารขึ้นเวทีพันธมิตรฯอีก
ดังนั้นเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ลงนามในหนังสือกระทรวงกลาโหม เลขที่ 0100/4 อนุมัติให้กรมพระธรรมนูญ กรมเสมียนตรา และกองบัญชาการกองทัพไทย ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ตามที่ พล.อ.อุดมชัย องคสิงห เลขาธิการ รมว.กลาโหมเสนอ โดยให้ตรวจสอบว่าการกระทำของ พล.อ.ปฐมพงษ์ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แบบธรรมเนียม และข้อบังคับต่างๆของกระทรวงกลาโหม หรือกองบัญชาการกองทัพไทยหรือไม่ และมีแนวปฏิบัติต่อกรณีนี้อย่างไร
“นอกจากนี้ควรชี้แจงทำความเข้าใจให้ส่วนราชการในกระทรวงกลาโหมยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ ทั้งนี้จะต้องรายงานผลการตรวจสอบให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ” นายณัฐวุฒิ กล่าว
เมื่อถามว่าวางกรอบเวลาในการตรวจสอบเรื่องนี้ไว้เท่าใด นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีระบุว่าให้ทำโดยเร่งด่วน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาจากนี้ประมาณ 1 สัปดาห์ โดยสาเหตุที่ต้องดำเนินการโดยเร็ว เนื่องจากต้องการตักเตือนให้ฝ่ายทหารทำตามระเบียบวินัย แต่หากยังมีการฝ่าฝืนอีก ก็อาจจะดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร ฐานทำผิดคำสั่งผู้บังบัญชา
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า การสวมเครื่องแบบนายทหาร ไม่ใช่เครื่องแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันหรือแสดงจุดยืนเพื่อความรักชาติ ประชาชนที่อยู่ในชุดอื่นๆก็เป็นคนไทยในใต้ร่มพระบารมีเช่นเดียวกัน และอยากถาม พล.อ.ปฐมพงษ์ว่าการแต่งเครื่องแบบทหารไปปิดถนน และขึ้นเวทีร่วมกับกลุ่มคนที่กำลังขับไล่รัฐบาลของประชาชน และเป็นกลุ่มคนที่ประกาศการเมืองใหม่ที่ไม่ได้ส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ถือว่าเหมาะสมและสมควรหรือไม่
“นอกจากนั้นอย่าพยายามตอกลิ่มความขัดแย้งระหว่างคนไทยและกัมพูชาด้วยข้อความที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงกรณีปราสาทพระวิหาร หาก พล.อ.ปฐมพงษ์ลืมข้อเท็จจริงกรณีนี้ ให้หาโอกาสดูรายการถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป.4 ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 จะทำให้มีความรู้และได้ข้อเท็จจริง” นายณัฐวุฒิ กล่าว
Friday, July 11, 2008
เมื่อไรจะลุกขึ้นสู้
คอลัมน์ : ละครชีวิต
5 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเดินหน้า 3 ก้าว ถอยหลัง 4 ก้าว
ทุกก้าวที่เดินหน้า ก็จะถูกท้าตีท้าต่อย หาเรื่องหาราว ถูกล้อมกรอบทั้งจากกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคฝ่ายค้าน โดยมีกลุ่มเชื้อชั่วไม่เคยตาย หรือคณะเผด็จการภายใต้การชี้นำและกำกับการแสดงของ “มือที่มองไม่เห็น” เป็นทั้งแนวร่วมและกองหนุน
หลายครั้งหลายคราที่รัฐบาลทำท่าทำทางว่าจะเอาจริง จะปักหลักสู้ จะชูกำปั้นเข้าแลกหมัดกับกลุ่มการเมืองทั้งในระบบและนอกระบบ ที่จับมือกันกลุ้มรุมทำร้าย แต่สุดท้ายก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม รับความเจ็บปวดไว้แต่เพียงผู้เดียว นำมาสู่ ความคับข้องใจ ขัดเคืองใจ และไม่เข้าใจของประชาชนที่ให้การสนับสนุน ซึ่งเจ็บปวดหัวใจยิ่งกว่าที่เห็นรัฐบาลถอยไม่เป็นท่า เช่นที่ผ่านมา
5 เดือนที่ผ่านมา ศัตรูของรัฐบาลได้ใจ เหิมเกริม ปฏิบัติการรุนแรงและก้าวร้าว ละเมิดกฎหมายหนักข้อขึ้นทุกวัน และปลุกระดมมวลชนให้มาร่วมกันทำผิดกฎหมายอย่างเมามัน ไม่ยอมรับกระทั่งคำสั่งศาล และยังบังอาจจะรวบรวมรายชื่อ 20,000 คน ถอดถอนผู้พิพากษาที่ไม่ยอมตกอยู่ใต้อิทธิพลของตนเองอีกด้วย
5 เดือนที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนของรัฐบาลซึ่งเป็นประชาชนผู้ให้กำเนิดรัฐบาลนี้ขึ้นมา อยู่ในอาการอ่อนระโหยโรยแรง และมีความคิดความเห็นขัดแย้งกับรัฐบาล ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะอยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการนำความสงบมาสู่บ้านเมือง และกำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินที่คอยปั่นป่วนก่อกวนบ้านเมืองจนวุ่นวาย ไม่ใช่ยอมให้ด่า ยอมให้ทุบตีอยู่ข้างเดียว
5 เดือนที่ผ่านมา เครดิตของรัฐบาลลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะท่าทีและการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด ไม่เด็ดเดี่ยว ประเดี๋ยวทำท่าจะรุก ไม่ทันข้ามวันก็ถอยกรูด รัฐมนตรีบางคนดีแต่พูดท้าตีท้าต่อย แต่พอเจอกันจริงแบบประจันหน้า ก็ล่าถอยไม่เป็นขบวน ละทิ้งหน้าที่การงานที่ตั้งใจไปทำ หนีเอาชีวิตรอดกลับกระทรวง แบบที่เรียกว่า “เผ่นป่าราบ”
การประกาศกร้าวของนายกรัฐมนตรี ที่จะไม่ให้ม็อบพันธมิตรฯ ปิดถนน ขวางเส้นทางเสด็จฯ ทำผิดกฎหมายให้บ้านเมืองเสียหาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 1 เดือน ที่ คำเตือน คำประกาศกร้าวของนายกรัฐมนตรี ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีหน่วยงานใดรับไปปฏิบัติ ม็อบพันธมิตรฯ ยังคงปิดถนนขวางเส้นทางเสด็จฯ ในขณะที่ประชาชนต้องอดทนรับความลำบาก และหาทางสู้กับม็อบพันธมิตรฯ ด้วยตัวเอง โดยที่รัฐบาลไม่ได้เข้ามาดูแลแก้ไขให้
กรณีกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่ถูกปั่นกระแสขึ้นมา จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ทางการเมือง และเป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชน 2 ชาติ เหมือนกับ ผีดิบที่ตายไปแล้ว 45 ปี ถูกปลุกขึ้นมาบีบคอรัฐบาล จนหายใจติดขัด อึดอัดราวกับจะขาดลมหายใจอยู่ในเวลานี้ ก็เพราะการเดินหน้า 3 ก้าว ถอยหลัง 4 ก้าว ของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เรื่องธรรมดาสามัญที่กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการต่อเนื่องกันมา 3 ปีเศษ กลายเป็นเรื่องที่มีพิรุธ มีจุดสังเกต และกลายเป็นเหตุให้คนเข้าใจผิดว่า ไทยต้องเสียปราสาทเขาพระวิหาร เสียดินแดน เสียอธิปไตยอีกครั้ง ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลนี้ ที่เพิ่งเข้ามารับผิดชอบได้เพียง 4 เดือน และเป็น 4 เดือนที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากทั่วโลกรับทราบว่า ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชามา 46 ปีแล้ว
ประเด็นใบแดงของ ยงยุทธ ติยะไพรัช ที่นำมาสู่การคาดหมาย “ยุบพรรคพลังประชาชน” จนทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ไม่ได้รับความไว้วางใจทั้งจากประชาชนในประเทศ และต่างประเทศว่า รัฐบาลยังมีความเข้มแข็งมากพอที่จะบริหารประเทศได้ ในภาวะที่สารพัดปัญหารุมเร้า ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และความแตกแยกของคนในชาตินั้น อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เรื่องใหญ่ หรือเรื่องที่ต้องตื่นตระหนกตกใจและพากันวิเคราะห์ไปต่างๆ นานา
ใบแดงของ ยงยุทธ ติยะไพรัช ได้รับมาตั้งแต่ชั้น กกต. แล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพียงแต่รับรองการวินิจฉัยของ กกต. เท่านั้น ในขณะที่เรื่องการยุบพรรคพลังประชาชนยังมีเวลาต่อสู้คดีกันอีกหลายยก แต่ คนในรัฐบาล ในพรรคพลังประชาชน กลับยกมือยอมแพ้ด้วยความตื่นกลัว ราวกับว่าพรรคจะถูกยุบกันวันนี้ พรุ่งนี้ ร้องแรกแหกกระเชอ เผยไต๋ ไขความนัยออกมาจนหมดเปลือกว่า ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากยุบสภา กับลาออก ยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ และสถานะของรัฐบาลทรุดต่ำลงไปอีก แม้แต่คนในยังไม่เชื่อมั่น คนนอกจะวางใจได้อย่างไรว่ารัฐบาลจะไปรอด
การขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ก็เป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งที่แสดงให้เห็นอาการเดินหน้า 3 ก้าว ถอยหลัง 4 ก้าว และการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด ยอมโอนอ่อนผ่อนตามให้แก่ศัตรู แต่ดูจะขัดใจผู้สนับสนุนของรัฐบาล ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เปรียบเสมือนผลไม้พิษ ที่เผด็จการ คมช. บังคับให้กินและกลืนลงคอ และวันนี้ก็สำแดงฤทธิ์ให้ห็นแล้ว
กฎหมายสูงสุดของประเทศกลายเป็นปัญหาอุปสรรคสำคัญที่สุดของการบริหารประเทศ อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตกอยู่ใต้การวินิจฉัยตีความของอำนาจตุลาการ ซึ่งเป็นอำนาจเดียวที่ประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนตรวจสอบ
ทั้งนายกรัฐมนตรีและพรรคพลังประชาชน ตลอดจนพรรคการเมืองทุกพรรค ก็เคยประกาศไว้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งว่า จะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมีปัญหา และจะก่อให้เกิดปัญหามากมาย แต่สุดท้ายเมื่อถูกกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ข่มขู่ ก็กลัวหงอกันไปหมด หัวหดอยู่ในกระดอง
โดยเฉพาะ ส.ส. พรรคพลังประชาชน นอกจากไม่กล้าโผล่หัวแล้ว ยังไม่กล้าเปิดตาอีกด้วย ไม่กล้ากระทั่งเงยหน้ามองประชาชนกว่าแสนคนที่ถูกตัวเองชักชวนให้มาร่วมลงชื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550
ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีแก่ใจว่าเภทภัยต่างๆ ทั้งที่เกิดไปแล้ว กำลังเกิดขึ้น และจะเกิดอีกในอนาคตอันใกล้และไกล ที่จะนำมาสู่การยุบพรรค ล้มรัฐบาล และดับชีวิตทางการเมืองของตนเอง ไปจนถึงการต้องจบชีวิตในคุกตะราง เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญที่เป็นกับดักของเผด็จการ คมช. แต่รัฐบาล และพรรคพลังประชาชน ก็ยังไม่กล้าลุกขึ้นมาสู้กับศัตรูที่ใช้รัฐธรรมนูญและอำนาจตุลาการเป็นอาวุธ เป็นเครื่องมือฟาดฟันเอาชีวิต
ผมได้แต่ภาวนาว่า คำพูดของนายกรัฐมนตรีที่บอกว่า “จะไม่ปอด ไม่ถอย” จะเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาด และเป็นการเริ่มต้นสู้อย่างจริงจังเสียที หลังจากที่ปล่อยให้ประชาชนผู้สนับสนุน คอยเก้อ เงื้อค้างมานานแล้ว และจะเป็นการยุติคำถามที่ประชาชนผู้ให้การสนับสนุนและให้กำเนิดรัฐบาลนี้ขึ้นมา ที่หนาหูขึ้นเรื่อยๆ ว่า...
“เมื่อไรจะลุกขึ้นสู้” เสียที
นายกอ
กกต. ต้องเที่ยงธรรม
คอลัมน์: บทบรรณาธิการ
คดีเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา ยังคาราคาซังอีกหลายร้อยคดี ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ยังวินิจฉัยไม่เสร็จ ทั้งที่เวลาเนิ่นนานมากว่า 7 เดือนแล้ว มีพรรคการเมืองที่กรรมการบริหารพรรคเกี่ยวข้องกับการโดนใบแดง ซึ่งมีปัญหาทางกฎหมายว่าจะถูกยุบพรรคหรือไม่ แทบจะทุกพรรคการเมือง
มีคำถามค้างคาใจ ทำไมกรณี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคดีความที่เกี่ยวข้องกับ รองหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็น ตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ในขณะนั้น ได้ ทำการแจกตั๋วหนัง จัดการปราศรัยในโรงหนังก่อนภาพยนตร์จะฉาย ซึ่งเป็นการกระทำที่ส่อว่าจะผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างชัดเจน แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในคดีที่ว่านี้แม้แต่น้อย
เรื่องดังกล่าวมีการร้องเรียนและผ่านความเห็นชอบจาก กกต. ประจำจังหวัดมาแล้ว ส่งเรื่องมาที่ กกต. ใหญ่ กว่า 2-3 เดือน แต่กลับไม่มีการตัดสินคดีความนี้
เป็นเรื่องน่าแปลกไหม???
ต้องการจะดึงเรื่องเอาไว้หรืออย่างไร???
ต้องการต่อรองอะไรกันอีกหรือไม่???
ต้องการจะช่วยพรรคใดพรรคหนึ่งหรืออย่างไร???
งานนี้ กกต. ต้องบอกกับสาธารณชนให้ได้ว่า ทำไมเรื่องการตัดสินคดีความนี้จึงล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น มีการดำเนินการในช่วง 2-3 เดือนนี้ไปถึงไหนอย่างไร มีอะไรที่เป็นข้อมูลหักล้างใหม่ๆ มาหรือไม่ หรืออยู่ในแฟ้มเข้ากล่อง ไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หากตอบไม่ชัดเจน คนจะยิ่งสงสัยไม่มีวันสิ้นสุด
เพราะเรื่องที่ จ.เพชรบูรณ์ ช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง มีการจับเงิน 1.2 ล้านบาท ในการช่วยผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ เป็นข่าวครึกโครมพอสมควร
แต่กลับไม่แจกใบแดง
ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ได้ “ใบเหลือง” แต่ให้ยึดเงินของกลางเอาไว้
สังคมงุนงง สงสัย กับมาตรฐานของ กกต. ในขณะนั้นว่า มีเจตนาช่วยเหลือเจือจุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรืออย่างไร หรือว่าเป็นมือใหม่หัดขับ ทั้งที่จับเงินได้มากมายขนาดนั้น
มาถึงกรณีที่ จ.อุบลราชธานี ที่อยู่ๆ เรื่องก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆไปเสียเฉยๆ !!!
ทั้งที่หลักฐานภาพจากวีซีดีฟ้องอยู่คาหนังคาเขา!!!
วิญญูชนยังมองออกว่า หลักฐานกรณีนี้ชัดเจนยิ่งกว่ากรณีของรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนด้วยซ้ำไป
ขนาด “ลีน่า จัง” ที่เคยสมัครชิงชัยในตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร เอาดาราขึ้นรถแห่ ในวันที่ไปจับสลากเลขหมาย ยังมีมาตรฐานของ กกต. ว่าทำผิด เพราะเป็นการแสดง “มหรสพ” โดนใบแดงไปตามระเบียบ
แต่...แจกตั๋วดูหนัง ปราศรัยแนะนำตัวผู้สมัครก่อนภาพยนตร์จะฉาย ไม่ใช่ มหรสพ หรืออย่างไร? ไม่ใช่การจูงใจให้คนไปใช้สิทธิเลือกตั้งใช่ไหม? จะได้เป็นบรรทัดฐานในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป
วันนี้เราจะเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ตัดคณะกรรมการบริหารพรรคเหลือเพียงไม่กี่คน เพื่อไม่ให้เป็นข้อสงสัยในทางกฎหมายต่อไป
วันนี้เราจะเห็นว่า รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ท่านนี้ ไม่แสดงบทบาททางการเมืองเหมือนปกติ พอๆ กับคนที่เกี่ยวข้องกับการจ้างพรรคเล็ก ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในภาคใต้ แล้วรอดพ้นคดียุบพรรค ที่ไม่แสดงบทบาททางการเมืองเลย เพื่อไม่ให้เป็นจุดโฟกัส พอผ่านคดียุบพรรคแล้วกลับมีบทบาทสูงมาก เป็นข้อพิรุธเชิงพฤติกรรมที่น่าสงสัยยิ่ง
วันนี้ กกต. ต้องมีความชัดเจนในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนที่คนจะสงสัยไปในทางเสียหายกว่านี้อีกว่า กกต. ชุดนี้มีความเที่ยงธรรมหรือไม่ หรือเป็นกรรมการที่ต้องการเข้าข้าง ใคร ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกันแน่?
ยังไม่จบ...ก็นับศพได้เลย
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ
แม้ใครจะบอก...สงครามไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร
แต่ตอนนี้ กวาดสายตานับเลขในใจไปพลางๆ ก่อนก็ได้ ไม่ผิดกติกา
ที่ “ซี้แหงแก๋” ไปแล้วเรียบร้อยอย่างไม่ต้องรอลุ้นปั๊มหัวใจ ที่นับนิ้วได้ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 3 คน
ซวยแรก จากการอภิปรายบางหัวข้อในต่างประเทศ
ซวยต่อมา ด้วยฤทธิ์ใบแดงจาก กกต.
และซวยด้วยคน จากการลืมแจ้งบัญชีทรัพย์สินของคนในครอบครัว
ไล่เลียงร่วงผล็อยกันรายหัว คงมีใครหวัง “สั่นสะเทือน” ไอ้ที่เหลืออยู่ให้อกสั่นขวัญแขวน
แต่เมื่อยังรบไม่เสร็จ อย่าเพิ่งนับศพ...
เพราะก็ยังตั้งเค้าจ่อคิว “ร่วง” อีกประมาณหนึ่ง
เรียกว่าถ้าเป็นนกที่ไม่ยอมปลดปีกตัวเอง ก็เห็นทีจะมีคนสามัคคีกันเข้ามาหักปีกให้เป็นแน่...
ภายใต้คำว่า...ต้องแสดงความรับผิดชอบ
ฝ่ายค้านเหมือนจะปรานี เพราะโผตอนนี้มีแค่ 2 ชื่อ
หนึ่งคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นพดล ปัทมะ
อีกหนึ่งคือตำแหน่งมดนางพญา นายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช
แต่ที่ปรานีคือ “รัฐบาล” หรือ “พรรคร่วมรัฐบาล” กันแน่...ต้องดูให้แน่ใจ
เพราะกระแสโยนหินถามทางไปยังพรรคร่วม ว่าให้ย้ายขั้วมาจับมือกับฝ่ายค้าน จัดตั้งรัฐบาลใหม่...ยังมีให้ได้ยินอยู่
แม้ว่าจะยังอ่อนแรงกว่ากระแส “ยุบสภา” ซึ่งเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่อยู่ในมือนายกฯ ก็ตามที
ต่างจากฝั่ง สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. กลุ่มหนึ่ง
ที่เสนอว่า ให้ยุบทั้งคณะรัฐมนตรีไปเลยจะดีที่สุด
แกนนำร่วมแถลงก็ไม่ใช่ใครอื่น ส.ว. คำนูณ สิทธิสมาน ที่นั่งเคียงคู่กับ ส.ว.กทม. รสนา โตสิตระกูล อย่างแฉล้มแช่มชื่น
ข้อเสนอให้หายวับไปเลยทั้ง ครม. จึงไม่ต้องสงสัย
แต่...จนถึงป่านนี้ “ลุงหมัก” ก็ยังมีอาการ “ขำขำ”
รอเก็บตกจากการ “ฟัง” ให้หมด และให้มาก...แต่ยังไม่พูด
นอกเสียจากบอกว่า สถานการณ์ยังปกติดี...จะต้องตัดสินใจอะไรตอนนี้หรือ
“ปากหนัก” แบบนี้ ผิดลักษณะนายกฯ หมัก โดยแท้
ตีความได้ว่า อาจไม่มีอะไรน่าหนักใจสำหรับท่านนายกฯ จริงๆ
หรือไม่ก็...รอฟัง รอคิด รอดูท่าทีอะไรบางอย่างอยู่
รีๆ รอๆ พอกันกับบรรดา เก๋าเก๋า ของเหล่าพรรคร่วม
ที่ว่าจะย้ายไปจับอีกขั้วหรือเปล่านั้น ก็ยังต้องรอดูทีท่านายกฯ
แต่ตอนนี้ยัง “กั๊กๆ” กันไว้ก่อน...
อย่าเพิ่งนับศพทหาร แต่บวกลบคูณหารในใจกันล่วงหน้าไว้เลย
“ยุทธการสันดานมาร”
คอลัมน์: รายงานพิเศษ
ในห้วงอารมณ์แห่งความคุกรุ่นทางการเมือง ในห้วงอารมณ์แห่งการเลือกข้าง แบ่งฝักแบ่งขั้ว ...ใครคิดต่างคือ “ศัตรู” ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ระบบความมั่นคงทางการเมือง ทางสังคม และเพื่อนมนุษย์ สั่นสะเทือนโดยใช่เหตุ คงไม่มากเกินหากขอยกคำนิยามปรากฏการณ์ “ยุทธการสันดานมาร”
เนื่องด้วยผู้เขียนทำการประมวลพฤติกรรมของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่กระทำการ “เอาความคิดตนเป็นใหญ่” ปิดล้อม โห่ขับไล่ หรือแม้แต่จะรุมประชาทัณฑ์ คนละพวก..คนละขั้ว กับตนให้สลบตายคาเท้าก็ไม่ปาน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่ จ.ขอนแก่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังคงเดินสายมอบนโยบายให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการ 14 จังหวัดภาคอีสาน ตามนโยบายที่กำหนดไว้ โดยต่อสู้กับเสียงตะโกนไล่ของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น ที่ยังคง “ตะแบง” อย่างไม่เลือกวัน เวลา สถานที่ และความเหมาะสม
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังแสดงทรรศนะทางกฎหมายต่อพฤติกรรมการชุมนุมแบบนี้ว่า “การตะโกนโห่ขับไล่ถือเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ด้วย อย่าทำในลักษณะข่มขู่ เพราะจะทำให้เสียภาพลักษณ์ของจังหวัด ผมเป็นรัฐมนตรีจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ถือสา แต่อย่าคิดว่าคนอื่นๆ จะเห็นด้วยทั้งหมด”
ขณะที่ขบวนการขับไล่ยังคงดำเนินไปอย่างสอดรับเสมอๆ จนเป็นเหตุให้การปฏิบัติราชการต้องสะดุดอย่างไม่น่าจะเป็น โดยในการตรวจราชการในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคอีสานครั้งนี้
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใน จ.เลย เตรียมพร้อมขับไล่ ร.ต.อ.เฉลิม ตลอดเส้นทางที่รถยนต์ที่คณะ มท.1 ต้องขับผ่าน!!!
โดยมีการแบ่งกลุ่มประชาชนให้ยืนชุมนุมตามจุดแยกต่างๆ โดยรับการสั่งการผ่านการถ่ายทอดสัญญาณ ASTV จากกรุงเทพมหานคร จากสะพานมัฆวานสังสรรค์ โดยหัวหอกในครั้งนี้คือ จีระศักดิ์ น้อยกล่ำ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จ.เลย ฝากผ่านระดมพลพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ต้องการร่วมขับไล่ มท.1 ผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 089-6211-388
สร้างภาระให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายพื้นที่ของ จ.เลย เช่น สภานีตำรวจภูธรวังสะพุง และอีกมากมาย ต้องตระเตรียมกำลังพลเพื่อทำการสลายม็อบ
เหตุการณ์ครั้งที่ครึกโครมสำหรับพฤติกรรมเยี่ยงนี้ เมื่อคราวที่ มท.1 เดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการที่ จ.กระบี่ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯ กว่า 150 คน โห่ไล่ตั้งแต่ท่าอากาศยานนานาชาติ จ.กระบี่ โดยเดินทางมารวมตัวกันที่หน้าประตูทางออกอาคารรับรองผู้โดยสาร ซึ่งมีการถือกระดานป้ายข้อความที่ด่าทอด้วยคำหยาบคาย ส่อสกุล กำพืด รากเหง้า อย่างเช่น
“ชาวกระบี่ไม่ต้อนรับสมุนทรราชย์” “ไอ้เป็ดเหลิมออกไป”
พร้อมกันนี้กลุ่มดังกล่าวยังปฏิบัติการวิชามาร ยกทัพไปปักหลักรวมตัวเพื่อปิดล้อม ด่าทอเป็นระลอกที่ 2 ที่โรงแรมมารีไทม์ ปาร์คแอนด์สปารีสอร์ท อ.เมือง จ.กระบี่ รวมทั้งมีการตั้งเวทีปราศรัยกันที่บริเวณหน้าโรงแรม โดยมีผู้ร่วมกลุ่มกว่า 200 คน เป็นการปักหลักข้ามวันข้ามคืน เพื่อไม่ต้องการให้มีการพักผ่อนอย่างสบายใจ
เป็นเหตุการณ์ที่ฉาวโฉ่มากที่สุดสำหรับครั้งนี้ เพราะโรงแรมที่รัฐมนตรีทำการพำนักนั้น เป็นของ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่มีการยับยั้งการกระทำเยี่ยงนี้ของกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด
น่าแปลกที่ผู้ประการธุรกิจเอกชนปล่อยให้เกิดความไม่สะดวกสบายแก่ผู้ใช้บริการ หรือลูกค้ารายอื่น ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หรือนี่จะเป็นการ “จงใจ” พร้อมกันนี้ยังมีหลักฐานชัดเจนครั้นเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมตั้งกลุ่มขับไล่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่บริเวณสนามบิน จ.กระบี่ นั้น ปรากฏภาพ นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ยืนอยู่บริเวณชั้น 3 ของอาคารสนามบิน และกำลังแอบยืนถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือ
โดย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ทำการแถลงข่าว เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พร้อมแสดงภาพคลิปวิดีโอ ซึ่งอ้างว่ามีประชาชนที่ จ.กระบี่ ได้ส่งมาให้ ขณะเดียวกันนายสาครได้ออกมาแก้ต่างให้กับตนเอง และท้าเดิมพันด้วยตำแหน่ง โดยระบุว่า หากตนเป็นคนบงการจริง ก็พร้อมจะลาออก และท้าทายให้รองโฆษกฯ ลาออกจากตำแหน่งเช่นกัน หากพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง
การทำงานที่สอดรับ...พฤติกรรมที่สอดคล้องเช่นนี้ จะให้ประชาชนคิดอ่านประการใด??
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และเอาหัวเป็นประกันว่าต้องไม่ใช่หนสุดท้าย ที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะกระทำเยี่ยงนี้กับรัฐมนตรีชุดรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช
เมื่อต้นสัปดาห์ นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ จ.นครราชสีมา ร่วม 200 คน ทำการรุมทึ้งที่หน้ารั้วประตูบ้านเลขที่ 79 ม.3 บ้านแฝก ต.สามเมือง อ.สีดา จ.นครราชสีมา นำโดย อิทธิ ขวัญอุดมพร แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ โคราช เพื่อขับไล่ให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสีย อ้างว่าเนื่องจากเป็นปฐมเหตุให้ประเทศไทยเสียดินแดนปราสาทเขาพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชา
บ้านที่ไม่มีนายนพดลพำนักอยู่ มีแต่ นางสำเนียง ปัทมะ อายุ 54 ปี พี่สาวแท้ๆ อาศัยอยู่เพียงลำพังเท่านั้น แต่กลุ่มพันธมิตรฯ สู้อุตส่าห์สร้างกระแสข่าวให้กับตนเอง เพื่อหวังสร้างบารมีให้กับแกนนำทั้ง 5 ให้ดังคับประเทศ
แต่ทว่าเหมือนดังคำที่สิงห์เหลิมเตือนไว้ “อย่าคิดว่าคนอื่นจะเห็นด้วยทั้งหมด” เพราะเกิดเหตุการณ์ที่ กำนัน ต.สามเมือง อ.สีดา ได้ประกาศผ่านหอกระจายข่าว เรียกชาวบ้านในหมู่บ้านและชาวบ้านหมู่บ้านใกล้เคียง ออกมาต่อต้านและขับไล่กลุ่มพันธมิตรฯ ให้ออกไปจากหมู่บ้านกว่า 300 คน ทำให้เกิดการเผชิญหน้า เกือบเกิดเหตุการณ์เลือดตกยางออก
ขณะเดียวกัน ปัญหาการแยกขั้วทางการเมืองยังกลายเป็นไฟลามทุ่ง มายังอาชีพดารา-นักแสดง หลังจากที่มีกลุ่มดาราและนักร้องหลายคน ขึ้นเวทีไฮปาร์ก อาทิ “ตั๊ว-ศรัณยู วงศ์กระจ่าง" “จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค" "สุกัญญา มิเกล" หรือแม้แต่ “หรั่ง ร็อคเคสตร้า” ร็อกเกอร์รุ่นเก๋าชื่อดัง
นักแสดงก็มีเลือดเนื้อ ชีวิต จิตใจ และคงไม่มีใครเห็นพ้องกับกลุ่มคนเหล่านี้เสียหมด จึงเป็นที่มาของการแตกหักอันร้อนระอุ ระหว่าง “ตั๊ว-ศรัณยู” กับ “หนุ่ม” ศรราม เทพพิทักษ์ พระเอก และนักร้องชื่อดัง ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงกรณีไม่ได้เดินทางมาร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ โดยให้เหตุผลว่า
“ไม่อยากทำให้พ่อหลวงนอนไม่หลับ”
อีกทั้งยังพาดพิงถึงดาราและศิลปินที่มาร่วมชุมนุม และขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ว่าคิดคนละอย่างกับตน คงอยากให้ในหลวงนอนไม่หลับ จนสร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มพันธมิตรฯ สิงห์บุรี จนถึงกับประกาศลั่นว่า ความคิดของนักร้องหนุ่มเป็นความคิดตื้นๆ พร้อมกับมีการโห่ไล่ไม่ต้อนรับสมทบอีกระลอก
ไม่เข้าใจว่ากลุ่มพันธมิตรฯ สิงห์บุรี เอามาตรฐานใดมาวัด “ความรักในหลวง” ของคนไทยธรรมดาคนหนึ่งว่าเป็นความคิดตื้นๆ
ส่วนพระเอกรุ่นเก๋าอย่าง ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ขึ้นเวทีตอบโต้ว่าไม่ให้ความสำคัญกับคำพูดดังกล่าว พร้อมบอกเตือนว่า “ไม่เข้าใจอะไรแล้วอย่า...สอใส่เกือกพูด” เป็นการโจมตีอย่างรุนแรงสำหรับคนที่เคยร่วมงานรักใคร่กันมา
ไม่ว่าจะเป็นการขัดขวางการตรวจราชการของรัฐมนตรี หรือแม้แต่ดารา-นักแสดง สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่กระด้างด้วยศีลธรรม และจรรยาบรรณของการเป็น “เพื่อนมนุษย์” ผู้ซึ่งมีสิทธิเท่าเทียมกันในสังคม ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทย ผู้ซึ่งใช้ภาษาและวัฒนธรรมแบบเดียวกัน
หากมองในแง่หลักการบริหารจัดการควบคุมแล้ว นับว่าแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง 5 คน คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และ นายพิภพ ธงไชย “เหลวแหลกอย่างรุนแรง”
“เหลวแหลก” อันเนื่องมาจากว่า แกนนำทั้ง 5 คนไม่สามารถควบคุมกำลังพลในสังกัดของตนเอง ที่แตกแขนงแยกสาขาในทั่วภูมิภาค ผู้ซึ่งแกนนำทั้ง 5 คนได้หยิบยกขึ้นอ้างมาอย่างต่อเนื่องว่า “ประชาชนคนไทย” โดยมีความฉลาดทางอารมณ์ หรือระบบอีคิวต่ำ (EQ : Emotionnal Quotient) ซึ่งหมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ที่จะช่วยให้การดำเนินชิวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความฉลาดทางสังคม ที่ประกอบด้วยความสามารถในการรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น สามารถแยกความแตกต่างของอารมณ์ที่เกิดขึ้น และใช้ข้อมูลนี้เป็นเครื่องชี้นำในการคิดและการกระทำสิ่งต่างๆ
พฤติการณ์แสดงออกเช่นนี้ เป็นบทเรียนให้สังคมไทยได้ตระหนักว่า เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับประชาชนคนไทยกันแล้ว คนบ้านเดียวกันที่จะใช้มีดกรีดข้อมือกี่ครั้งกี่หนก็เลือดสีเดียวกัน ข้นเหมือนกัน แล้วเพราะเหตุใดถึงได้ปฏิบัติพฤติกรรมเยี่ยงมารเช่นนี้
อย่าลืมว่า เมื่อคราวที่กลุ่มพันธมิตรฯ จัดการประชุมครั้งใหญ่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 2 มีการตอบโต้ระหว่าง 2 กลุ่มที่คิดต่าง จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้คนบางคนที่อยู่คนละฟากกับบ้านพระอาทิตย์ เสียชีวิตมาแล้ว
กฎหมายอยู่ตรงไหน ความยุติธรรมอยู่ที่ใด แล้วใครจะช่วยตอบให้เกิดความกระจ่างให้คลายความสงสัยเสียที กับยุทธการพันธมาร ที่กระเหี้ยนกระหือรือเยี่ยงนี้
ร่วมบริจาคสนับสนุนเว็บไซต์ประชาไท เว็บไซต์เพื่อประชาธิปไตย
คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป
พลังของชุมชนบนโลกไซเบอร์ เป็นพลังและอาวุธอันทรงพลังที่บรรรดาเผด็จการทหาร เมื่อครั้งทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ปฏิเสธไม่ได้
อินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการต่อกร ต่อสู้กับเผด็จการ รวมทั้งเป็นแหล่งข้อมูลทางปัญญาที่สำคัญในการต่อสู้เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตย
หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ และถูกเผด็จการปิดกั้น ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ทางอินเตอร์เน็ต ความคิดต่าง ความเห็นต่างจากเผด็จการ คือขุมกำลังทางปัญญา และกลายเป็นปฏิบัติการของหลายกลุ่มที่ต่อต้านเผด็จการ มาจากบทความดีๆ ของคนหลายคนที่เขียนผ่านอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์
ประชาไท เป็นเว็บไซต์หนึ่งที่เป็นสื่อทางเลือกให้แก่ประชาชน ที่รวมพลคนต่อต้านเผด็จการ สร้างวัคซีนป้องกันระบอบประชาธิปไตย และมักจะเปิดเผยข้อมูลความเห็นของความคิดที่ต่างกันสุดขั้ว 2 ฝ่ายเสมอ เพื่อจะให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณของตนเองพินิจพิเคราะห์ และตัดสินจากอัตวินิจฉัยของตน
จึงไม่แปลกใจที่เวทีพันธมาร โดยนักวิชาการสุดหยาบคาย เล่นงานประชาไทบนเวที และอาจจะส่งผลต่อแหล่งทุนที่ประชาไทได้รับอยู่ในเวลานี้
ขอเชิญเพื่อนพ้องน้องพี่ที่รักและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ร่วมกันบริจาคตามแต่อัตภาพ เพื่อรักษาสื่อทางเลือกบนเว็บไซต์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งอย่างประชาไท ตามคำชี้แจงของประชาไทดังต่อไปนี้
เรียน ผู้อ่าน/เพื่อนสมาชิกประชาไท
ตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่ประชาไทอยู่รอดมาได้ คำถามที่ถูกถามบ่อยๆ คือ "ประชาไทอยู่ได้อย่างไร" ความหมายของผู้ถามมีทั้งที่เป็นนัยอันเนื่องด้วยการอยู่รอด ทั้งที่สถานการณ์สังคมการเมืองเชี่ยวกราก บนขีดขั้นความขัดแย้งในสังคมไทยที่ไต่ระดับสูงขึ้นทุกที และยังอาจรวมถึงว่าเอาเงินที่ไหนมาทำงาน
ตอบไปตามตรงว่า...ประชาไทอยู่ด้วยเงินทุนสนับสนุนโครงการ (ที่เสนอขอไป) จากแหล่งทุนทั้งภายในและต่างประเทศทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์...
อย่างไรก็ตาม ทีมงานประชาไทตระหนักดีว่า เราจำเป็นที่จะต้องแสวงหาทางเลือกและที่มาของรายได้ ที่จะช่วยให้ประชาไททำงานต่อไปได้ มากกว่าจะพึ่งพิงเงินทุนสนับสนุนโครงการเพียงอย่างเดียวตลอดไป เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคงยากที่ประชาไทจะอยู่รอดได้จริง
แล้วเวลาที่ทีมประชาไทหวั่นกลัวก็มาถึงแล้วจริงๆ ตอนนี้ประชาไทกำลังประสบปัญหาขาดแคลนงบประมาณในการดำเนินงาน อันเนื่องมาจากการเสนอโครงการขอทุนมาทำงานไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ที่สุดของวิกฤติคือ ประชาไทไม่มีเงินทุนดำเนินงานในระยะสั้นระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2551
ในแต่ละเดือนประชาไทใช้เงินดำเนินงานประมาณ 4 แสนบาท โดย 2 แสนเป็นเงินเดือนของพนักงานประจำ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่มีคือ 13 คน และอีกราว 2 แสนเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ที่เหลือ อาทิ ค่าเช่าสำนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทาง ค่าติดต่อประสานงาน และค่าตอบแทนข่าว/บทความ ที่ส่งมาจากบุคคลภายนอก และอื่นๆ
ด้วยภาวะวิกฤติเช่นนี้ ประชาไทจึงจำเป็นที่จะต้องประกาศขอรับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากผู้อ่าน/เพื่อนสมาชิก ที่เห็นว่าสื่อเล็กๆ อย่างประชาไทมีคุณค่าพอที่จะให้ยังมีอยู่ในสังคมไทย
ด้วยความเคารพ
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท
ภายใต้มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน
สนใจบริจาคเพื่อช่วยให้ประชาไทอยู่รอดต่อไป
สอบถามเพิ่มเติมที่ โทรศัพท์ 0-2690-2711
หรือบริจาคได้ตามข้อมูลรายละเอียดการบริจาค ดังนี้
โอนเข้าบัญชีชื่อ: มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน เลขที่บัญชี 091-0-10432-8 ธนาคารกรุงไทย สาขารัชดาภิเษก-ห้วยขวาง และส่งโทรสารสำเนาการโอนมาที่ โทร.0-2690-2712
**หมายเหตุ: การบริจาคนี้ไม่สามารถนำไปหักภาษีได้
ในวิกฤติย่อมมีโอกาส
คอลัมน์: โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่พุ่งทะยานสูงขึ้น มาจากสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล พยายาม “เติมเชื้อ” เพื่อทำลายความเชื่อถือศรัทธา เพราะต้องการให้สังคมมองว่า รัฐบาลไม่มีความ “จริงใจ” ในการแก้ปัญหาของประชาชน
ถ้ามองและคิดด้วยใจเป็นธรรมแล้ว จะเห็นว่ารัฐบาลพร้อมจะเดินหน้าทำงาน สานต่อนโยบายที่รัฐบาลไทยรักไทยได้วางรากฐานและดำเนินการ จนได้รับ “ความไว้วางใจ” อย่างถล่มทลายมาแล้ว
หลายโครงการรอการสานต่อและต่อยอด แต่ถูกขัดขวางโดยกลุ่มคนที่เรียกการกระทำของตัวเองว่า เป็นการกู้ชาติ มีการ “ลองของ” รัฐธรรมนูญที่ตั้งธงไว้แล้วว่า ไม่ต้องการให้รัฐบาลมีความเข้มแข็ง ซึ่งเปิดช่องให้เกิดปัญหาความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นในสังคม
เปิดช่องให้ “อันธพาลทางการเมือง” หยิบมาเป็นของเล่น จับมายื่นตีความกันจนเลอะเทอะ
ถามว่าวันนี้ประเทศชาติวิกฤติพอหรือยัง
ถ้าเรามองไปที่ “รากหญ้า” คนยากคนจน คนที่ด้อยโอกาส คนที่รอคอยโอกาส ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องปากกัดตีนถีบในยุคข้าวยากหมากแพง เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด
ความจริงแล้วคนเหล่านี้ เขาพร้อมที่จะช่วยเหลือตัวเอง คงไม่มีใครคิดต่างไปจากนี้ เพราะ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” มีอยู่ในตัวของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา มีบารมี มีเงินมีทอง เป็นเศรษฐี หรือแม้แต่พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอย ไปจนถึงคนที่ด้อยโอกาส คนที่ยังถูกทอดทิ้งให้เผชิญชีวิตตามลำพัง
การสร้างงานสร้างรายได้ เป็นความปรารถนาอย่างยิ่ง
รัฐบาลนี้มีนโยบายชัดเจนว่า ต้องการเพิ่มศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านและชุมชน ให้เป็นแหล่งเงินหมุนเวียนในการลงทุน สร้างรายได้ลดรายจ่ายของประชาชน และสามารถต่อยอดไปสู่การเป็นธนาคารหมู่บ้านและชุมชน
สิ่งที่ได้รับคือ เขาสามารถเข้าถึงแหล่งเงิน เป็นการลดการพึ่งพาแหล่งการเงินนอกระบบ
นอกจากนี้ ให้สถาบันการเงินของรัฐ สนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม ที่จะก้าวไปสู่วิสาหกิจชุมชน การสนับสนุนสินค้าโอทอป ที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น ที่คนไทยมีความสามารถผลิตสินค้ามาประกวดประชันกันจนได้ 4 ดาว 5 ดาว เป็นสินค้าส่งออกนำรายได้เข้าประเทศ
รวมทั้งการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน การเรียนรู้อย่างจริงจัง
นี่เป็นบางส่วนของนโยบายที่ดีของรัฐบาล สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อน ปัญหาปากท้องของชาวบ้าน โดยเฉพาะในระดับ “รากหญ้า” ได้ แต่ยังไม่ได้มีการเดินหน้าไปอย่างที่ควรจะเป็น
การที่จะปล่อยให้คนเหล่านี้ดิ้นรนช่วยตัวเอง ออกไปรับจ้าง แบกปูน แบกหิน แบกทราย ก็มีปัญหา เพราะอสังหาริมทรัพย์ งานก่อสร้าง ถูกเงินเฟ้อเล่นงาน จนผู้ประกอบการหดหายไปกว่าครึ่ง
มีคำถามว่า ผู้จัดการชุมนุมประท้วงในขณะนี้ ได้รับเงินจากไหนมาเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งน่าจะไม่ใช่ก้อนเล็กๆ มีใครหยิบยื่นหรือต่อท่อมาจากใครที่ไหนอย่างไร
ปัญหาของบ้านเมืองที่ประสบอยู่นี้ คนอย่างอดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวีรพงษ์ รามางกูร พูดไว้ชัดว่า การเมืองส่งผลโดยตรงในการฉุดเศรษฐกิจ และมีความเห็นจาก นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานเอ็กซิม แบงก์ ที่บอกว่ารัฐบาลต้องดูแลเรื่องปากท้องของประชาชนโดยเร็วที่สุด
การที่จะยุติวิกฤติได้ก็ต้องมีสติ ต้องคิด และคิดถึงบ้านเมืองให้มาก ต้องให้โอกาสรัฐบาลทำงานช่วยเหลือเรื่องปากท้องของประชาชนก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องของคดีความก็ว่ากันไปตามขั้นตอนกระบวนการ
เลิกกันเสียทีได้ไหม สำหรับการเมืองที่ต้องการล้างผลาญทำลายกัน ทำลายความศรัทธาความเชื่อถือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ให้มาทำหน้าที่บริหารจัดการบ้านเมืองอย่างเต็มที่ จนคนรากหญ้าต้องทนทุกข์ระทม
ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่วันนี้ การเมืองถูกแปลความเป็น “การเมืองใหม่” มีกลุ่มคนอ้างว่า ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ขณะเดียวกัน ไปละเมิดสิทธิสาธารณะ
ภาพของผู้ชุมนุมประท้วงที่ออกอาการถูกอกถูกใจ ปรบมือโห่ร้องด้วยความดีใจสะใจ กับถ้อยคำโจมตีกล่าวหาเพื่อล้มล้างรัฐบาลของผู้ปราศรัยบนเวที
ถือเป็นความสุขบนความทุกข์ของเพื่อนร่วมชาติ ไม่ใช่หรือ
แต่ก็ยังเชื่อว่า...ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ
บิ๊กโบ๊ต
เดินหน้าคดีเลดี้ดั๊กเพิ่มหลักฐานป.ป.ช.ปัดส.ว.ลากตั้งแจม
จากกรณีที่กลุ่มติดตามการปฏิรูปการเมืองและต่อต้านการคอร์รัปชั่น ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ถึงความไม่ชอบมาพากลในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จากกรณีการจัดจ้าง บริษัท ออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด เข้ารับงานจัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ของ สตง. ด้วยวิธีพิเศษ โดยไม่มีคู่แข่ง และยังปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวได้เช่าอาคารสำนักงานจาก นายทรงเกียรติ เมณฑกา สามีของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งส่อว่าอาจเข้าข่ายเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
รวมทั้งต่อมายังได้เข้าร้องเรียนต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้มีการตรวจสอบการก่อสร้างคฤหาสน์หรูของคุณหญิงจารุวรรณ ที่ประมาณการว่ามีมูลค่าราว 50 ล้านบาท โดยตั้งข้อสังเกตว่าร่ำรวยผิดปกติ แต่ทั้ง ป.ป.ช. และตัวคุณหญิงเองก็ยังเงียบเฉย และทางกลุ่มติดตามฯ เคยคิดที่จะนำเรื่องเข้าสู่ระบบรัฐสภา เพื่อหาวิธีดำเนินการตรวจสอบต่อไปนั้น
ล่าสุด นายวันชัย จงจรูญหิรัญ หัวหน้ากลุ่มติดตามการปฏิรูปการเมืองและต่อต้านการคอร์รัปชั่น เปิดเผยว่า เรื่องที่ทางกลุ่มเคยเตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนให้มีการตรวจสอบความร่ำรวยผิดปกติของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา โดยจะเสนอเรื่องดังกล่าวผ่านทางคณะกรรมาธิการที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ทำการตรวจสอบนั้น
เมื่อวันจันทร์ ที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุติธรรมและการตำรวจ วุฒิสภา ได้ส่งหนังสือมาเชิญตนให้ไปให้ปากคำและนำส่งหลักฐานที่ทางกลุ่มมีทั้งหมดให้เพื่อที่จะทำการตรวจสอบ จึงได้สอบถามกลับไปว่าใครเป็นประธานกรรมาธิการชุดนี้ และได้รับคำตอบว่าคือ นายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว. สรรหา ทำให้รู้สึกว่าไม้ต้องการที่จะให้กรรมาธิการชุดดังกล่าวทำการตรวจสอบในเรื่องนี้ จึงได้ตอบปฏิเสธไป เพราะคิดว่าอาจจะเกิดความไม่เป็นธรรม เพราะ ส.ว. สรรหา ก็มีรากที่มาจากเผด็จการยึดอำนาจ
นายวันชัย กล่าวต่ออีกว่า ตนไม่ต้องการสนับสนุนที่จะให้ชุดทำงานของ ส.ว. ลากตั้งมารับผิดชอบงานนี้เกรงว่าจะไม่ได้ความถูกต้องที่แท้จริง และไม่ชอบที่ ส.ว. ที่มาจากอำนาจนอกระบบมารับผิดชอบงานใดๆ เลย ซึ่งที่มาของ ส.ว. ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยโดยแท้ และจะไม่ขอสนับสนุนผู้ที่มาจากระบอบเผด็จการโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ดีในวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เชิญตนไปเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติ่มเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมมากยิ่งขึ้นเพื่อดำเนินการเอาผิดกับคุณหญิงจารุวรรณ ตามที่ตนได้ไปร้องเรียนกับทางดีเอสไอ โดยดีเอสไอได้ทำการซักถามเพิ่มเติ่มและให้ตนเซ็นรับรองในเอกสารหลักฐานและคำให้การด้วย เพื่อให้หลักฐานมีน้ำหนักชัดเจนยิ่งขึ้น
ซึ่งความคืบหน้าของเรื่องดังกล่าวนั้น ตนได้รับการบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอว่าต้องการทำให้สำนวนมีน้ำหนักมากที่สุด ก่อนที่จะส่งเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ทาง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตรวจสอบต่อไป
‘ปฐมพงษ์’อ้าง’ป๋าเปรม’ตอบรับ ขึ้นเวทีแสดงออกแทนคุณชาติ
จากกรณีที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด แต่งเครื่องแบบ ขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม และมีการเรียกร้องให้ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สอบสวนดำเนินการในเรื่องนี้
ได้รับการชี้แจงจาก พล.อ.บุญสร้างว่า แม้จะเป็นการแสดงออก แต่การแสดงออกทางประชาธิปไตยด้วยการสวมเครื่องแบบที่เป็นการแสดงสัญลักษณ์เช่นนี้ บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นทหารในแง่ขององค์กรหรือกองทัพ หากคนกลุ่มหนึ่งแต่งเครื่องแบบไปมันเหมือนเป็นตัวแทนองค์กร เป็นการไม่ยุติธรรมกับคนที่ไม่เห็นด้วย และว่าทหารทั้งหลายมีความจงรักภักดี มีความหวงแหนแผ่นดิน จะไปแสดงออกหรือไม่แสดงออกก็หวงแหน แต่การสวมเครื่องแบบขึ้นไปพูด มันจะมีนัยเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกของความเหมาะสม
ทางด้านรัฐบาล โดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวเรียกร้องให้ พล.อ.บุญสร้าง เอาผิดทางวินัยทหารถึงที่สุด กรณีที่สวมเครื่องแบบทหารขึ้นเวทีที่ขับไล่รัฐบาล กรณีกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร และยังระบุว่ามีพฤติกรรมส่อไปในทางผิดวินัยทหาร มาตรา 5 ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และที่สำคัญยังปลุกระดมให้ทหารออกมาขับไล่รัฐบาล ถือเป็นการสร้างความแตกสามัคคีในคณะทหาร และไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในกองทัพและเป็นเรื่องที่ทหารไม่น่าทำ หากปล่อยไว้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีได้
ขณะที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวถึงการไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ว่า ได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรไปถึงผู้บังคับบัญชา เพื่อขอความเห็นในการไปแสดงออกแล้ว รวมทั้งทำหนังสือถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษด้วย แต่ไม่ได้รับคำตอบจากผู้บังคับบัญชา มีแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่เห็นว่าสามารถแสดงออกได้ ถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณแผ่นดิน แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคำสั่งจาก พล.อ.เปรม แต่อย่างใด
สิ่งที่ไม่สบายใจทำให้ต้องไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ มาจากกรณีการหมิ่นเบื้องสูงและกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เห็นว่าสร้างเป็นความเสียหายของประเทศชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเคยออกมาแสดงความคิดเห็นและทักท้วงแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ ยังดึงดันดำเนินการต่อไป
ทางด้านต่างจังหวัด กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ นครพนม พร้อมด้วยมวลชนกลุ่มไม่เอาพันธมิตรฯ ประมาณ 1,000 คน ได้รวมตัวกันที่โรงแรมไอโฮเต็ล เพื่อขับไล่และผลักดันให้กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งนำโดย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะไปขึ้นเวทีปราศรัยให้ออกจาก จ.นครพนม จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนำรถยนต์มารับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากโรงแรมที่พักอย่างทุลักทุเล
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังรั้นย้ำจุดยืนของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ต้องการให้รัฐบาลลาออกจากตำแหน่งทั้งคณะ แม้ว่านายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะแสดงความรับผิดชอบต่อการลงนามในแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ด้วยการลาออกจากตำแหน่งก็ตาม อีกทั้ง ส.ส.และส.ว.เตรียมยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีนั้น ก็เป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังจำเป็นต้องปักหลักชุมนุมต่อไป
ส่วนการที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ และมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากนั้น พล.ต.จำลอง เห็นว่าเป็นเรื่องความแตกต่างทางความคิด เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ปฐมพงษ์ พยายามส่งจดหมายเรียกร้องให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพออกมาแสดงความรักชาติ แต่ไม่เกิดผล จึงต้องออกมาเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง อีกทั้งเวทีพันธมิตรฯ ก็ไม่ใช่สถานที่อโคจร ที่ไม่ควรใส่เครื่องแบบราชการมา
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ วันนี้ แม้จะมีฝนตก แต่ก็ยังคงมีผู้ชุมนุมที่ปักหลักจับจองที่นั่งด้านหน้า เพื่อติดตามการปราศรัยบนเวทีอย่างต่อเนื่อง
‘นพดล’ยืดอกลาออกแล้ว ย้ำโปร่งใส-ไม่เสียดินแดน
หลังจาก นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ได้เดินทางไปร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศแคนาดา และมีการเห็นชอบในหลักการว่าปราสาทเขาพระวิหารควรได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตามคำขอของประเทศกัมพูชา จนทำให้เกิดกระแสข่าวว่านายนพดลจะแสดงสปิริตเพื่อลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น
* “นพดล”ย้ำไทยไม่เสียดินแดน
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังเดินทางกลับจากประชุมที่ประเทศแคนาดาว่า การดำเนินการเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร ได้ดำเนินการอย่างสุจริต โปร่งใส ไม่เสียดินแดน ตรงกันข้ามได้พยายามปกป้องดินแดนของประเทศ และทำดีที่สุดแล้ว แต่เสียดายที่มีหลายฝ่ายนำประเด็นนี้มาปลุกเร้ากระแสชาตินิยม หวังผลกันเกินควร ตนอยากเห็นคนไทยรักกัน และรักเพื่อนบ้าน
ส่วนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ที่มีมติว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ตนเคารพคำวินิจฉัยของศาล รธน. และคำวินิจฉัยนี้จะเป็นคำวินิจฉัยที่จะเป็นกรณีศึกษาของนักกฎหมาย และนักศึกษาในอนาคต
"กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามกรมสนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศ ทุกประการ ไม่มีใครจงใจทำผิดกฎหมาย แต่เมื่อประเด็นนี้ถูกนำมาเป็นประเด็นการเมืองทั้งในและนอกสภา มีกลุ่มไม่หวังดีนำประเด็นนี้ไประรานพี่สาวผมที่.นครราชสีมา มาปลุกเร้าให้แตกแยกระหว่างไทย-กัมพูชา ผมมั่นใจว่าเวลาจะเป็นตัวตัดสิน ว่าผมและกระทรวงการต่างประเทศทำถูกต้อง ไม่ได้ขายชาติ ผมรักชาติเท่าคนไทยทุกคน ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียหาย และผมอยากให้รัฐบาลเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาประเทศชาติ แทนที่แก้ปัญหาการเมือง ผมอยากให้เกิดความสมานฉันท์ ดังนั้นเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ถึงแม้ผมไม่ทำผิด ผมขอแสดงสปิริต ด้วยการลาออก ตั้งแต่วันที่14 ก.ค. 2551 เป็นต้นไป " นายนพดล กล่าว
* “ชูศักดิ์”ชี้ควรมีการปรับ ครม.
ด้าน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีของนายนพดล ที่เรียกร้องให้รับผิดชอบด้วยการลาออกนั้น ตนไม่สามารถตัดสินใจแทนได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายนพดล ส่วนผลการประชุมกรรมการบริหารพรรคนั้นในที่ประชุมมีการประเมินสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ และมีผู้เสนอแนวทางหลายแนวทาง แต่ในที่สุด นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ยืนยันว่า สามารถประคับประคองบ้านเมือง และบริหารบ้านเมืองในช่วงนี้ไปได้
ส่วนปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ในฐานะทีมกฎหมายกำลังเร่งแก้ปัญหาตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งไม่น่ามีปัญหา พร้อมกันนี้ ส่วนตัวเห็นว่าควรปรับคณะรัฐมนตรี ตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่างก็หาคนใหม่มาดำรงตำแหน่งแทน
อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นถอดถอนตนเองนั้น ก็สามารถทำได้ แต่ยังไม่ทราบว่ามีความผิดตรงไหนถึงโดนยื่นถอดถอน นอกจากนี้ ที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นรัฐบาลแล้วนั้น ส่วนตัวเห็นว่าเป็นผลพวงมาจากก่อนการเกิดรัฐประหาร รัฐบาลต้องทำงานอย่างเต็มที่ โดยไม่ให้ความสำคัญกับการเมืองมากนัก จึงจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้
* “สมัคร”ให้รอฟังวันอาทิตย์นี้
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมกองทัพอากาศ โดยมี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ให้การต้อนรับ โดยทันทีที่เดินทางมาถึงนายสมัครได้เดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ และวางพานพุ่มสักการะอนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ พระบิดากองทัพอากาศ ก่อนที่จะเข้าฟังบรรยายสรุปโดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง
จากนั้นนายสมัครกล่าวว่า เรื่องการเมืองให้ไปฟังในรายการสนทนาประสาสมัคร วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้
* ยันนายกฯ ไม่ยุบ-ไม่ออก
ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากการฟังความเห็นหลายฝ่าย ทั้งภาคเอกชน และพรรคการเมือง ยังไม่อยากเห็นการสะดุดหยุดลงในการทำงานของรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่มีใครอยากเห็นการยุบสภา เพราะจะทำให้เกิดสุญญากาศในการบริหารราชการแผ่นดินไปอย่างน้อย 3 เดือน แต่ควรช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประคับประคองเศรษฐกิจต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการยุบสภานั้น นายกรัฐมนตรีย้ำมาแล้วหลายครั้ง ว่ายังไม่มีความคิดใดๆ ที่จะยุบสภา และเรื่องการลาออกก็เช่นเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังไม่มีแนวคิดเรื่องดังกล่าว เมื่อเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ไม่มีการลาออก ไม่มีการยุบสภา รัฐบาลก็เชื่อว่าการปรับคณะรัฐมนตรีจะทำให้มีทีมงานที่เข้ามาร่วมทำงานและสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เดินหน้าต่อไปได้
เชื่อโดนยุบล้านเปอร์เซ็นต์
ขณะที่ พรรคพลังประชาชนได้มีการประชุมด่วนวาระพิเศษ โดยบริเวณภายนอกที่ทำการพรรค ได้มีกลุ่มประชาชนประมาณ 100 คน นำโดย นายนพพร นามเชียงใต้ แกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ฯ โดยสวมเสื้อแดง พร้อมนำป้ายให้กำลังใจพรรคพลังประชาชน อาทิ ไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคพลังประชาชน ก็พร้อมจะให้การสนับสนุนพรรค กลับมาเป็นรัฐบาลต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ตนจะเสนอแนวทางต่อนายสมัคร จำนวน 3 ข้อ 1 .ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ยังเล่นแรง ก็จะส่งผลให้กระบวนการยุบสภาเกิดเร็วขึ้น 2 หาก กกต. เร่งพิจารณายุบพรรคพลังประชาชนมากเท่าไร ก็จะไปสู่การยุบสภาเร็วเช่นกัน 3 .เรื่องของคดีต่างๆ เช่น เรื่องของคดีจะปราสาทเขาพระวิหารก็ไม่มีปัญหา เพราะนายนพดลได้ลาออกแล้ว เพราะฉะนั้นปมปัญหาต่างๆ จะไปอยู่ที่มือที่มองไม่เห็นหมดหรือยัง ถ้ายังไม่หมดก็ต้องคืนอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศตัดสินใหม่ เพราะการยุบพรรคกันแบบเล่นขายของ ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน ยกเว้นประเทศด้อยพัฒนา โดยแนวทางหลักที่จะเสนอต่อหัวหน้าพรรคคือเรื่องการยุบสภา แต่รัฐบาลจะอยู่ได้นานหรือไม่ก็อยู่ที่นายสมัครตัดสินใจ
"ส่วนตัวเห็นว่า ส.ส. ในพรรคก็รู้อนาคตว่าถูกยุบพรรคแน่ล้านเปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องดูพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาประชาธิปไตยด้วยว่าจะรอดหรือไม่ ถ้ารอดพลังประชาชนก็รอด แต่เชื่อว่าไม่รอด" พ.ต.ท.กานต์ กล่าวและว่า
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่จะยุบสภาก็อยู่ที่สถานการณ์ ว่าฝ่ายค้านเล่นรุนแรงหรือไม่ พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวหรือไม่ และ กกต. เร่งพิจารณากรณีของพรรคพลังประชาชนหรือไม่ เพราะการให้ใบแดงนายยงยุทธ เท่ากับเป็นการเดดล็อกพรรคพลังประชาชนอยู่แล้ว
นักก.ม.บี้กกต.แจง ดองคดีช่วยปชป.
* จี้คลายข้อสงสัย-อย่าทำตัวเป็นองค์กรลับ
นักกฎหมายเรียงหน้าจี้ กกต. แจงต่อสังคมให้ชัด พร้อมเปิดหลักฐานเอกสารทุกอย่าง กรณีรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “วิฑูรย์ นามบุตร” พร้อมผู้สมัคร ส.ส.อุบลฯ ของพรรค ทุจริตเลือกตั้ง แจกตั๋วหนัง เปิดเวทีหาเสียง “หน้าจอ” แต่เรื่องกลับเงียบหายไม่มีการสอบสวนต่อ ขณะที่พรรคกาครเมืองร่วมรัฐบาลโดนสอยกันถ้วนหน้า ระบุต้องชี้แจงให้หายสงสัย อย่าทำตัวเป็นองค์กรลับ เพราะจะทำให้ยิ่งน่าเชื่อว่าเป็นหนึ่งในขบวนการจองเวรกลุ่มอำนาจเก่าและจ้องทำลายรัฐบาล ส.ส.พปช. ระบุทวงถามหลายครั้งแต่ก็ยังไม่คืบหน้า แนะประชาชนออกมาช่วยกันตรวจสอบ กกต.
จากกรณีปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า นายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรค และ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันแจกคูปองเพื่อแลกบัตรชมภาพยนตร์ในโรงหนังเนวาด้า มัลติเพล็กซ์ พร้อมกับมีการเปิดปราศรัยหาเสียงในโรงหนังมีหลักฐานเป็นวีซีดี และมีพยานบุคคล โดยเรื่องดังกล่าวถูกส่งไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นานแล้ว แต่เรื่องก็ยังเงียบหาย ทั้งที่พรรคพลังประชาชน และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลหลายพรรคกลับโดนพิจารณาใบแดงและเข้าข่ายถูกยุบพรรคกันถ้วนหน้า จนเป็นที่ครหาว่า มีความพยายามช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันกับขบวนการจ้องล้มล้างรัฐบาลนั้น
กกต.ไม่จริงใจสอบ “วิฑูรย์”
นายสมบัติ รัตโน ผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคพลังประชาชน ได้แสดงความเหนื่อยหน่ายที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าวเนื่องมาจากได้ติดตามเรื่องมาแล้วหลายครั้ง โดยกล่าวว่าขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาของคณะอนุกรรมการ กกต.อุบลราชธานี ซึ่งก็ต้องรอว่ามติจะออกมาอย่างไร ขึ้นอยู่กับ กกต. ว่ามีบรรทัดฐานในการสอบสวนอย่างไร แม้ในขณะนี้ กกต.กลางจะรับเรื่องไปแล้วก็ตาม
ต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมที่มองว่า กกต. กำลังอุ้มพรรคประชาธิปัตย์ให้หลุดพ้นทุจริตการเลือกตั้งต่างๆ นายสมบัติ กล่าวว่าอาจจะไม่ใช่การอุ้มอย่างเห็นได้ชัด แต่จะสอบให้พรรคประชาธิปัตย์หลุดรอดไป อย่างประธาน กกต. อุบลราชธานี มีลักษณะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เรียกเข้าไปชี้แจงก็ให้แจงรายละเอียดแบบผ่านๆ เท่านั้น ทั้งนี้ ต้องการวอน กกต. ว่าให้มีความจริงจังในการสอบข้อเท็จจริงด้วย
เล่นกันทั้งนอกสภา-ในสภา
“ภาพออกมาอย่างนั้น เหมือนเป็นการรวมกันทั้งนอกและในสภา ที่จ้องจะทำยังไงก็ได้ให้รัฐบาลล้ม ข้างในก็ประชาธิปัตย์ ข้างนอกก็พันธมิตรฯ แต่ผมไม่อยากพูดอะไรมาก ยังไม่อยากกล่าวหา แต่ว่ากันไปตามที่เห็น”
อย่างไรก็ตาม นายสมบัติ ยังกล่าวฝากไปถึง กกต. วอนขอให้ กกต. ใช้มาตรฐานเดียวกันในการตรวจสอบทุกพรรค อย่าง จ.อุบลราชธานี ก็ขอให้เอาจริงเอาจังมากกว่านี้ และเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมาได้มีการนำประเด็นดังกล่าวเข้าหารือกับที่พรรคพลังประชาชนว่าจะมีการดำเนินการต่อเรื่องดังกล่าวอย่างไร ในเบื้องต้นจะหารือกันว่าสมควรจะนำหลักฐานไปเปิดเผยต่อสื่อมวลชนหรือไม่
จี้ กกต.ออกมาแถลงให้ชัดเจน
นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และนักวิชาการอิสระ กล่าวถึงกรณีที่ นายสมบัติ รัตโน ผู้สมัครพรรคพลังประชาชนนำเอกสารหลักฐานที่เป็นวีซีดีกรณีที่ นายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกพรรคปราศรัยหาเสียงที่ จ.อุบลราชธานี พร้อมมีการแจกตั๋วหนัง ส่งไปยัง กกต. ก่อนที่เรื่องของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาฯ จะไปถึงว่า เรื่องดังกล่าวนี้อาจมีด้วยกัน 4 ประเด็น คือ
1.เรื่องที่ยื่นไปยัง กกต. นั้นมีหลักฐานชัดเจนเมื่อไร หากชัดเจนก่อนที่เรื่องของนายยงยุทธไปถึง ก็ต้องตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใด กกต. ไม่นำมาพิจารณา ดังนั้นจึงอยากให้ กกต. ออกมาแถลงข้อมูลให้ชัดเจน
2.หากมีปัญหาว่าพรรคใดที่แข่งขันกัน เมื่อมีกรณีวินิจฉัยออกมา กกต. ต้องแสดงออกซึ่งความเป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ ต้องมีการชี้แจงด้วยว่า เหตุใดถึงไม่พิจารณา คดีดังกล่าว 3.ถ้าพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งมีการแข่งขันกัน เมื่อกรรมการบริหารพรรคมีการซื้อสิทธิขายเสียง หากยึดตามรัฐธรรมนูญว่าให้มีการยุบพรรค มันร้ายแรงเกินไป และส่งผลกระทบให้พรรคต้องโดนยุบ อีกทั้ง กกต. ต้องแถลงเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดพรรคที่เป็นปฏิปักษ์ถึงมีคนร้องเรียนเยอะ
อย่าทำตัวเป็นองค์กรลับ
4.ดังนั้น กกต. บอกได้ไหมว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีการทุจริต ต้องแถลงด้วย ไม่ใช่ดองเรื่องไว้ และมันไม่ใช่เรื่องแปลกการที่คนจะสงสัยว่าเหตุใด ส.ส.พรรคทั้ง 168 คน ไม่โดนคดีสักคน แต่พรรคเล็กพรรคน้อยอย่างพรรคประชาราช พรรคมัชฌิมาธิปไตยยังโดนกันระนาว จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าพรรคใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ไม่โดนสักคน
อดีต สสร. กล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นสื่อหรือองค์กรที่ตรวจสอบต้องยื่นคำร้องไปที่ กกต. แถลงว่าคนได้ใบแดงเป็นเพราะสาเหตุใด และที่ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุใด อีกทั้ง กกต. ต้องบอกด้วยว่า คดีของนายวิฑูรย์มีการสรุปไปแล้วหรือยัง เหตุใดจึงไม่มีการเปิดเผย
ซึ่งเรื่องทั้งหมดเกิดมาจากว่า กกต. ทำตัวเหมือนเป็นองค์กรลับ ไม่มีการเปิดเผยสักเรื่อง จึงเป็นไปได้ว่า กกต. เลือกปฏิบัติ จะดำเนินการไปโดยบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากมีเรื่องอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง
ย้อนกลับไปดู กกต. มาจากไหน
เมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้ต้องถาม กกต. ว่ามาจากไหน เพราะหลังปฏิวัติก็มีการยกเลิก กกต. ที่มาจากรัฐธรรมนูญไป ซึ่ง กกต. ชุดนี้มาจากการปฏิรูปการปกครองที่มีหน้าที่จัดการและดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มอำนาจเก่า
หากมีข้อสงสัยตามที่ตนกล่าวมา 4 ข้อนั้น กกต. ก็ต้องถูกมองว่ามาจากคณะปฏิรูปการปกครองหรือเปล่า และตราบใดที่ กกต. ยังไม่สร้างความกระจ่าง จะต้องมีคนตั้งข้อสงสัยอย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะที่ตัดสินคดีมาแต่ละกรณีเป็นไปโดยสุจริตหรือเปล่า อีกทั้งตนอยากให้เปิดเอกสารหลักฐานหมดทุกอย่าง ว่าขั้นตอนสืบสวนไปถึงไหน ไม่เช่นนั้นก็ต้องถูกมองว่าทำไมเรื่องบางเรื่องจึงรีบดำเนินการ แต่บางเรื่องกลับล่าช้า ทั้งนี้ตนยังสังเกตอีกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ทำการอุ้ม กกต. ชุดนี้ตามมาตรา 309 อยู่
กกต.อย่าจ้องทำลายรัฐบาล
ด้าน ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) รุ่น 2 กล่าวว่า จากที่หลายคนได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องของ กกต. ไว้ว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหลายอย่างกับประธาน คมช. โดยเฉพาะตัวประธาน กกต. เองที่มีการเชื่อมสัมพันธ์อันดีด้วยนั้น น่าจะทำให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจาก กกต. นั้นไม่มีความเป็นกลาง เลือกปฏิบัติ จ้องแต่จะทำลายพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด เอาแต่ให้ความช่วยเหลือกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยยื้อเวลาออกไปเพื่อให้การดำเนินการกับพรรคร่วมทั้งหลายให้เสร็จสิ้น เพื่อเบนความสนใจออกจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะเห็นได้ชัดจากกรณีเงิน 1 ล้าน 3 แสนบาท ที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่ให้คำตัดสินเพียงแค่ใบเหลืองทั้งควรที่จะได้ถึงขั้นใบแดง
เรียกร้อง ปชช. ช่วยกันจี้ กกต.
ขณะนี้ กกต. ควรที่จะเห็นแก่หน้าที่ได้รับมอบหมายมาให้ตรวจสอบการเลือกตั้ง ซึ่งตนอยากที่จะเรียกร้องให้เห็นแก่ประชาชนมากกว่าพวกเผด็จการ ควรเร่งสอบสวนให้ความกระจ่างในกรณีดังกล่าวเร็วที่สุดเพื่อสงสัยให้ชัดเจนและนำเสนอต่อสังคม
ดร.เมธาพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า ชนวนเหตุอีกอย่างหนึ่งก็คือสื่อที่ไม่เป็นกลางคอยแต่จะนำเสนอข่าวเพื่อโจมตีใส่สีให้มีแต่ความมัวหมอง สื่อมวลชนควรที่จะตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่ต้องนำเสนอข้อมูลให้เป็นกลางไม่ควรทำตัวเป็นเครื่องมือ และตนอยากที่จะเรียกร้องให้ประชาชนควรออกมาร่วมกันจี้ให้ กกต. ทำงานเต็มที่เสียที เพราะคงหวังพึ่งสื่ออย่างเดียวไม่ได้แล้ว
ชี้ กกต. ต้องเร่งหาข้อเท็จจริง
ทางด้าน นายคารม พลทะกลาง ทนายความชมรมนักกฎหมายเพื่อประชาชน กล่าวว่า ตามกฎหมายการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นระบบ ส.ส. หรือ ส.ว. ถ้าในเขตการเลือกตั้งมีความเป็นได้ว่าการเลือกตั้งไม่เป็นความสุจริต เมื่อทาง กกต. ได้รับเรื่องแล้วก็ต้องติดตามและตรวจสอบหาข้อเท็จจริง จะต้องมีการปฏิบัติเหมือนกันทุกพรรคการเมืองเมื่อได้รับการร้องเรียน หรือถ้ามีคนกล่าวหาว่าการเลือกตั้งในครั้งนั้นไม่เป็นไปตามสุจริต ก็อาจจะเข้าข่ายได้ว่า การกระทำในการเลือกตั้งครั้งนั้นไม่มีความชอบธรรมหรือเข้าข่ายผิดกฎหมายได้ ส่วนหลักฐานที่จะนำมายื่นเพื่อเป็นข้อมูลนำไปฟ้องร้องนั้น หลักฐานทุกชิ้นที่มีเจตนาว่าเข้าข่ายในการเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองใดก็สามารถนำมาประกอบเป็นข้อมูลเพื่อเอาผิดทางกฎหมายได้
ซัด กกต. ลำเอียงเห็นชัดเจน
ส่วน นายวันชัย จงจรูญหิรัญ หัวหน้ากลุ่มติดตามการปฏิรูปการเมืองและต่อต้านการคอร์รัปชั่น ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นที่มีหลักฐานเชื่อมโยงว่า รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้องการทุจริตการเลือกตั้งว่า ในกรณีดังกล่าวนั้นตนคิดว่าทาง กกต. นิ่งเฉยมากเกินไปที่จะดำเนินการเอาผิดกับทางพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งส่อให้เห็นถึงเจตนาที่ลำเอียง ไม่มีความเป็นธรรม เพราะ กกต. มีหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องนี้โดยตรง แต่กับเล็งที่จะดำเนินการเอาผิดกับพรรคที่เป็นของฝ่ายรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัดเจน และเลือกที่จะช่วยพรรคที่ให้การสนับสนุนระบอบเผด็จการ
“ทักษิณ” แสดงความยินดี อุ๊งอิ๊ง รับปริญญาบัตร
ทั้งนี้ทักษิณ ได้กล่าวสั้น ๆ หลังได้ยินคำถามจากสื่อมวลชนว่า จะมอบอะไรให้เป็นของขวัญกับอุ๊งอิ๊ง "ความรัก"
ก่อนหน้านี้ เวลา 15.25 น. คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้เดินทางมารอก่อน จากนั้น คนใกล้ชิด โอ๊ค เอม
นายภูมิธรรม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พาณิชย์ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ส่วนอดีตนักการเมืองพรรคไทยรักไทย พล.ต.อ.ชิดชัย , พล.ต.ท.จำลอง เอี่ยมแจ้งพันธุ์ , น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล
ส่วนพรรคพลังประชาชน นายกลม บันไดเพชร, นายเอนก อุตังคบดี , นายพดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตเลขาส่วนตัวทักษิณ
ศัน พล.ต.อ.เพรียมพันธ์ ดามาพงษ์ รอง ผบ.ตร. , นายบรรพจน์ ดามาพงษ์ , นายพวงเพชร ดามาพงษ์ มาร่วมงานด้วย
ทั้งนี้บุตรสาวของนายพวงเพชร ได้สำเร็จการศึกษาเป็นบัณทิตรุ่นเดียวกับ อุ๊งอิ๊ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทักษิณ ได้ออกมาคุยกับอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย เป็นเวลา 5 นาที
16.25 น. พ.ต.ท. ทักษิณ ได้เดินทางมายังอาคารเกษมอุทยานิน เพื่อมาร่วมถ่ายภาพกับ อุ๊งอิ๊ง ทั้งนี้ได้กล่าวกับสื่อมวลชน หลังได้ยินคำถามว่า จะมอบของขวัญอะไรให้กับอุ๊งอิ๊ง ........กล่าวว่า ให้ "บิ๊กฮัก" เพราะตอนที่ตนมาเป็นนักการเมืองมีเรื่องมาก เขาเรียนรัฐศาสตร์ก็มีเรื่องการเมืองเยอะหน่อย พอดีตนเป็นนักการเมืองก็มีเรื่องเข้ามามากหน่อย และเขาก็เรียนหนักหน่อย โดยเฉพาะช่วงปฏิวัติ เขาเหนื่อยและอดทนมาก และใช้ความอดทนมาก ถือว่าเขาอดทนมาก
ถามว่า อุ๊งอิ๊งเคยบ่นบ้างหรือไม่ เขาไม่เคยบนกับตน เพราะเขารู้ว่าตนมีเรื่องมาก มีเรื่องเยอะ แต่บางทีเขาก็พูดกับพี่เขา
ถามว่า แสดงว่าอุ๊งอิ๊งยอมรับว่า เรียนอยู่ภายใต้แรงกดดันมาก ๆ เลย วันหนึ่งตอนที่อยู่ปีหนึ่งขึ้นปี 2 รุ่นพี่มานั่งแล้วให้รุ่นน้องสอบถามรุ่นน้องคนหนึ่งถามว่า " พี่อิ๊ง รู้สึกอย่างไรเวลาอาจารย์วิจารณ์พ่อ อิ๊งบอกว่า ทีแรกทำใจไม่ค่อยได้ ตอนหลังเข้าใจได้ว่า คนที่พี่เรียกว่าพ่อ คนอื่นเรียกนายกฯ เขาเลยต้องเข้าใจว่า บุคคลสาธารณะต้องถูกวิจารณ์ได้ เขาก็เข้าใจและอดทนได้ "
"หมอเลี้ยบ" ยันนายกฯ ไม่ยุบ-ไม่ออก แต่จะปรับ ครม.
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีปฏิญาณตนคนบวชใจ งดเหล้าเข้าพรรษา ทำความดี ถวายในหลวง ที่วัดสระเกศฯ ถึงกรณีการยุบสภา ว่า วันนี้จากการฟังความเห็นหลายฝ่าย ทั้งภาคเอกชน และพรรคการเมือง ยังไม่อยากเห็นการสะดุดหยุดลงในการทำงานของรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่มีใครอยากเห็นการยุบสภา เพราะจะทำให้เกิดสุญญากาศในการบริหารราชการแผ่นดินไปอย่างน้อย 3 เดือน แต่ควรช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประคับประคองเศรษฐกิจต่อไป
โดยเฉพาะเรื่องการยุบสภานั้น นายกรัฐมนตรีย้ำมาแล้วหลายครั้ง ว่ายังไม่มีความคิดใดๆ ที่จะยุบสภา และเรื่องการลาออกก็เช่นเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังไม่มีแนวคิดเรื่องดังกล่าว เมื่อเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ไม่มีการลาออก ไม่มีการยุบสภา รัฐบาลก็เชื่อว่าการปรับคณะรัฐมนตรีจะทำให้มีทีมงานที่เข้ามาร่วมทำงานและสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เดินหน้าต่อไปได้
“สมัคร” ลั่น รอฟัง “สนทนาประสาสมัคร” อาทิตย์นี้ เผยตอบทุกประเด็น
เมื่อเวลา 13.00 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมกองทัพอากาศ โดยมี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก ผบ.ทอ. พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ให้การต้อนรับ
โดยทันทีที่เดินทางมาถึงนายสมัครได้เดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ และวางพานพุ่มสักการะอนุสาวรีย์กรมหลวงจักรพงษ์ภูวนาท พระบิดากองทัพอากาศ ก่อนที่จะเข้าฟังบรรยายสรุปโดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง
จากนั้นเวลา 14.15 น. นายสมัคร ได้แถลงว่า การเดินทางมาตรวจเยี่ยมกองทัพอากาศอย่างกระทันหันในวันนี้เนื่องจากมีกำหนดการที่จะไปตรวจเยี่ยมเรือรบหลวงจักรีนฤเบศ ซึ่งวันนี้ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เท่าที่ฟังบรรยายสรุปถือว่าการปฏิบัติงานของกองทัพอากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกอย่างไว้วางใจได้ ขณะที่ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องการเมืองโดยให้ไปฟังในรายการสนทนาประสาสมัครวันอาทิตย์นี้
ต้องดู 'ลุงหมัก' กล้ามั้ย
ไม่แน่ใจว่า เอาเคล็ดหรือเป็นเรื่องบังเอิญ กับการที่พรรคเพื่อไทยซึ่งมีข่าวว่า จะเป็นพรรคสำรอง หากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 111/1 อาคารนวสร ถนนพระราม 3 แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ
เลขที่บ้านบาดหัวใจ
ช่างพอดิบพอดีกับปมอดีตของ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่โดนโทษดองเค็มทางการเมือง
หนีเลขอาถรรพณ์ไม่พ้น
และที่แน่ๆนาทีนี้อะไรๆก็ลางร้ายไปซะหมด ช่วงเย็นวันที่ 9 กรกฎาคม พายุฝนพัดกระหน่ำ จนต้นคูนข้างตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ล้มครืนแบบถอนรากถอนโคน
ไล่เลี่ยๆกับนาทีที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ไม่แจ้งการถือครองหุ้นของคู่สมรสต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 269
ถือว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่ได้รับการแต่งตั้ง
“ไชยา” กระเด็นไปอีกหนึ่ง
และวันถัดมาก็ถึงคิวของนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ที่บินตรงกลับจากประเทศอังกฤษเพื่อเปิดแถลงข่าวใหญ่
“ผมขอย้ำว่า ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ผมขอแสดงสปิริตและความรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป”
สังเวยปราสาทพระวิหาร
“นพดล” ทนเสียงโห่ไล่ไม่ไหว โดดทิ้งเก้าอี้หนีไปแบบบอบช้ำ
วิบากกรรมรายวัน เครือข่ายรัฐบาลมีอันเป็นไปติดๆกัน
ที่แน่ๆจากรายของนายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ถึงคิวของนายไชยา ตามติดด้วยรายของนายนพดล
3 เก้าอี้รัฐมนตรีที่ว่างลง
ล่าสุดก็เป็น “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและ รมว.คลัง ยืนยันการปรับคณะรัฐมนตรี ต้องมีการดำเนินการอย่างแน่นอน
เพราะมีตำแหน่งคณะรัฐมนตรีว่างลง ต้องหาผู้มีคุณสมบัติและความน่าเชื่อถือ เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีการปรับให้ เหมาะสม
ไม่ใช่เฉพาะคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
สำทับด้วยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายพรรคพลังประชาชน ออกมาย้ำไปในทิศทางเดียวกันว่า ขณะนี้มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลงหลายตำแหน่งจึงต้องมีการปรับ ครม.
ไม่จำเป็นต้องรอ 3 รัฐมนตรีในคดีหวยบนดินที่ศาลฎีกานัดฟังคำสั่งว่าจะรับพิจารณาคดีหรือไม่ ในวันที่ 28 กรกฎาคม
โดยสัญญาณที่ถูกส่งออกมา คิวปรับ ครม.จะต้องเกิดขึ้นก่อนจะไปว่ากันอย่างอื่น
รับมุกกับท่าทีของ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่เล่นบทนิ่งเก็บอาการ ประกาศเสียงแข็งด้วยความมั่นอกมั่นใจ
จะไม่ยุบสภา ไม่ลาออกแน่
และไม่ได้พูดอย่างเดียว “ลุงหมัก” ยังสั่งเรียกประชุม ส.ส.พรรคพลังประชาชน นั่งหัวโต๊ะปลุกขวัญลูกน้อง 2 วันติดๆ
ให้กอดคอสู้ต่อไป
โดยท่าทีที่สะท้อนออกมา รัฐบาลพรรคพลังประชาชนยัง ขอลุ้นต่ออีกเฮือก
ก่อนอื่นเลยก็ต้องลุ้นกันว่า “ลุงหมัก” จะกล้าขนาดไหน “นายใหญ่” จะเปิดทางหรือไม่ ลุยยกเครื่องกันใหม่ โละทิ้งไอ้ห้อยไอ้โหน สลัดภาพขี้เหร่ ดึงเอามืออาชีพเข้ามากู้ศรัทธา
ใช้โอกาสปรับ ครม. “ปั๊มหัวใจ”
ก่อนจะหลับยาวไม่มีโอกาสฟื้น.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ทิ้งไพ่ตาย
การเมืองไทยกำลังวิ่งไปเจอซอยตัน
หลังจากศาลฎีกาฯ พิพากษายืนตาม กกต.ให้ใบแดง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” แม่ทัพใหญ่ฝ่ายรัฐบาล
เท่ากับยื่นกุญแจเปิดประตูไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน
เป็นวิบากกรรมซ้ำรอยจากการยุบพรรคไทยรักไทย
ยุบหนอ พองหนอ ปลงซะเถอะโยม
งานนี้ “ยงยุทธ” เสียท่าถูกลูกน้องเก่าดัดหลังซะงอมพระราม
เพราะคนที่เป็นหัวเรือใหญ่ชักชวนกำนันอำเภอแม่จัน 10 คน ให้เดินทางไปพบ “ยงยุทธ” ที่ กทม. ดันกลายเป็นพยานเล่นงานตัวเอง
เข้าตำรา อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะโดนใบแดง??
อย่างไรก็ตาม มหกรรมล้างสต๊อกพรรคพลังประชาชนยังต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 4 เดือน!!
เพราะยังมีกระบวนการยุบพรรคอีก 6 ขั้นตอน
1, เริ่มจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองส่งคำตัดสินคดีใบแดง “ยงยุทธ” ให้ กกต.
2, กกต.ตั้งกรรมการพิจารณายุบพรรคพลังประชาชนตามมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ
3, กกต.ส่งสำนวนคดียุบพรรคให้อัยการสูงสุดพิจารณาไม่เกิน 30 วัน
4, ถ้าอัยการสูงสุดเห็นขัดแย้งกับ กกต. ต้องตั้งกรรมการร่วม 2 ฝ่าย เพื่อแก้ไขอีก 30 วัน
5, ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาหลักฐานเบื้องต้นก่อนลงมติรับคดี (เช่นเดียวกับคดียุบพรรคชาติไทยและคดียุบพรรคมัชฌิมาฯ)
6, ศาลรัฐธรรมนูญจะเปิดการไต่สวนข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่ายก่อนนัดฟังคำตัดสินต่อไป
กว่าจะครบ 6 ขั้นตอน จึงต้องใช้ เวลาอย่างเร็ว 4 เดือน หรืออย่างช้า 6 เดือนนับจากนี้ไป
แต่ไม่ว่าตายช้าตายเร็วก็ตายหมู่อยู่ดี
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เขียนล็อกไว้ หมดทุกประตู
ถึงแม้มองไม่เห็นทางรอด แต่รัฐบาลชิมไปบ่นไปของนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ก็ยังไม่ยอมคายฟันยาง
เพราะเมื่อ “ยงยุทธ” ถูกใบแดง ก็เลื่อนผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วนลำดับถัดไปคือ “ถาวร ตรีรัตนณรงค์” เสียบแทนตำแหน่งที่ว่างลง
ส่วน “ละออง ติยะไพรัช” ส.ส.เขต 3 เชียงราย ที่ได้ใบเหลืองพร้อมพี่ชาย ก็ยังมีสิทธิลงเลือกตั้งซ่อมเหมือนเดิม
แถมมีแนวโน้มชนะเลือกตั้งแบเบอร์!!
สำหรับการที่ ส.ส. และ ส.ว.จะยื่นถอด ถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ข้อหาจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 190 (ไม่ส่งแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ให้ที่ประชุมสภาฯพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนาม)
แต่การถอดถอนก็ยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนก่อนจะถูกเช็กบิล
ยังมีเวลาเหลือพอที่รัฐบาลจะวางแผนรับมือ
เสือเฒ่าอย่าง “น้าหมัก” คงไม่นั่งรอเวลาตายผ่อนส่งโดยไม่ต่อสู้ป้องกันตัว
เพราะการยุบพรรคไทยรักไทย ขุนพลใหญ่ถูกฆ่าหมู่ไปแล้ว 111 คน
ถ้ายุบพรรคพลังประชาชน ก็จะตายหมู่ไปอีก 37 คน!!
รวมทั้งรัฐมนตรีชุดปัจจุบันที่เป็น กก. บริหารพรรคพลังประชาชนจะต้องเว้นวรรคการเมือง 5 ปี อีก 9 คน!!
เท่ากับไม่เหลือขุนพลเอาไว้ทำพันธุ์ แม้แต่คนเดียว
“สมัคร” จะรอให้ยุบพรรค? หรือจะชิงจังหวะยุบสภาฯ?
“สมัคร” จะยอมให้ถอดถอน ครม.ทั้งชุด? หรือจะชิงจังหวะลาออกเอง?
วันนี้ “สมัคร” ยังมีไพ่ในมืออีก 2 ใบ
จะเลือกทิ้งไพ่ใบไหนเดี๋ยวก็รู้ละโยม.
แม่ลูกจันทร์
“ทักษิณ” แสดงความยินดี อุ๊งอิ๊ง รับปริญญาบัตร
น.ส.แพทองธารกล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนเข้าหอประชุมอย่างอารมณ์ดีว่า เมื่อคืนรู้สึกตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ หลังจากรับปริญญาแล้วปีหน้าจะเดินทางไปศึกษาต่อด้านการบริหารจัดการที่ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 2 ปี โดยใช้เวลาเรียน 1 ปี และฝึกงานอีก 1 ปี ผู้สื่อข่าวถามว่า คุณพ่อจะให้อะไรเป็นของรางวัลที่เรียนจบ น.ส. แพทองธารหัวเราะ แล้วบอกว่า “มาหลอกถามกันอีกแล้ว”
ปลื้มลูกเรียนจบท่ามกลางความกดดัน
ต่อมาเวลา 15.30 น. คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางมาถึงคณะรัฐศาสตร์โดยมี นายพานทองแท้ ชินวัตร น.ส.พิณทองทา ชินวัตร พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ตลอดจนอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยจำนวนมากทยอยตามมาสมทบ อาทิ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล จนกระทั่งเวลา 16.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมาถึงคณะรัฐศาสตร์โดยเข้าไปพักรอบุตรสาวอยู่ที่ร้านกาแฟ
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ถาม พ.ต.ท.ทักษิณว่าได้มอบอะไรเป็นของขวัญให้บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า “BIG HUG” เพราะตอนที่เป็นนักการเมืองมีเรื่องมากและเขาเรียนรัฐศาสตร์ ก็เลยมีเรื่องการเมืองมากหน่อย ยิ่งตนเป็นนักการเมือง เลยต้องเรียนท่ามกลางชีวิตที่หนัก โดยเฉพาะช่วงปฏิวัติเขาต้องเหนื่อยและใช้ความอดทนมาก เมื่อถามว่าได้ให้กำลังใจกันอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่าเขาคิดว่าสิ่งที่เขาโดนยังเบากว่าสิ่งที่พ่อโดน เพราะพ่อโดนมากกว่าเยอะ ดังนั้น ต้องอดทน ยอมรับว่า “อุ๊งอิ๊ง” เรียนท่ามกลางความกดดันมากๆ มีวันหนึ่งตอนขึ้นปี 2 มีรุ่นน้องมาถามว่ารู้สึกอย่างไรที่อาจารย์วิจารณ์คุณพ่อ “อิ๊ง” ก็บอกว่าทีแรกทำใจไม่ได้ แต่ตอนหลังเข้าใจว่าคนที่เขาเรียกว่าพ่อแต่คนอื่นเรียกว่านายกฯ เป็นบุคคลสาธารณะต้องถูกวิจารณ์ได้ เขาก็เข้าใจและอดทนได้
ส่งกำลังใจทุกฝ่ายให้บ้านเมืองสงบ
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ไปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกครั้งว่าได้ให้กำลังใจนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่กำลังเผชิญปัญหาการเมืองหรือไม่ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่ายังไม่ได้เจอท่านเลย แต่ขอให้กำลังใจทุกฝ่ายเพื่อให้บ้านเมืองเรียบร้อย เมื่อถามว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้จำเป็นต้องปรับ ครม. เพื่อลดแรงกดดันหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า ไม่ทราบ ต้องไปถามนายสมัคร วันนี้ถามเรื่องลูกสาวได้เรื่องเดียวเรื่องอื่นไม่รู้เรื่อง จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว
ต่อมาเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจะเดินทางกลับได้มีนิสิตคณะรัฐศาสตร์นำน้ำดื่มมาขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณช่วยซื้อเพื่อนำเงินไปสมทบทุนคณะ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณได้ซื้อน้ำเปล่า 2 ขวด โดยมอบเงินให้ 2,000 บาท ก่อนที่จะเดินทางกลับ
“อุ๊งอิ๊ง” น้ำตาคลอครอบครัวร่วมยินดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่ พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์เสร็จเป็นจังหวะเดียวกับที่ น.ส.แพทองธารเสร็จจากพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและเดินกลับมาที่คณะพอดี เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเห็นหน้าบุตรสาวได้ยิ้มอย่างดีใจแล้วบอกว่า “มาแล้วลูกรัก” พร้อมกับพุ่งเข้าไปกอดลูกสาวทันที โดยมีคุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทายืนร่วมแสดงความดีใจอยู่ข้างๆ ทำให้ “อุ๊งอิ๊ง” ถึงกับน้ำตาคลอ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณได้ลูบหัวบุตรสาวพร้อมกับบอกว่า “เก่งมากๆ” จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวพร้อมด้วยอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยได้ไปถ่ายรูปแสดงความยินดีร่วมกันที่บริเวณคณะรัฐศาสตร์ เป็นเวลา 20 นาที ท่ามกลางความสนใจของบรรดานิสิตตลอดจนประชาชนทั่วไปที่มายืนดูจำนวนมาก
จับตาการพิจารณายุบพรรคมัชฌิมาฯ-ชาติไทย เพื่อสรุปส่งฟ้องศาล รธน.
กรุงเทพฯ 11 ก.ค. - ความเคลื่อนไหวทางการเมืองวันนี้ จับตาการพิจารณายุบพรรคมัชฌิมาธิปไตยและชาติไทย เพื่อสรุปส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ
โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จะประชุมร่วมกับอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาหาข้อสรุปคดียุบพรรคมัชฌิมาธิปไตยและชาติไทย ว่า อัยการสูงสุดจะมีคำสั่งฟ้องคดีนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากไม่ฟ้อง ทาง กกต. จะดึงสำนวนคดีกลับมาฟ้องร้องเองต่อไป
ขณะเดียวกัน ก็มีความเคลื่อนไหวจากกลุ่ม 77 ส.ว. นำโดย น.ส.รสนา โตสิตระกูล ที่นัดหารือ ในเวลา 12.00 น. วันนี้ ที่รัฐสภา เพื่อสรุปประเด็นในการยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภาไปยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ให้ดำเนินคดีกับ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จากการดำเนินการบริหารราชการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ไม่นำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ให้รัฐสภามีมติเห็นชอบก่อน หากได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในวันนี้ ก็จะส่งคำร้องให้ประธานวุฒิสภา วันจันทร์หน้า ทันที.
ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-07-11 09:44:56
รายงานพิเศษ "เปิดใจรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ"
หลังจากที่ได้แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจากกรณี ปราสาทเขาพระวิหาร
พิธีการ : มีคนมองเหมือนกันว่าท่านเองก็เป็นนักกฏหมายแท้ ๆ และจะว่าไปเป็นนักฏหมายมือ 1 ของประเทศก็ว่าได้แต่ทำไหม เรื่องของแถลงการร่วมเซ็นต์ ก็น่าจะทราบว่าเกี่ยวข้องกับเขตแดนอนุสัญญาดังนั้นน่าจะเข้าสภา..
นพดล : คือ.. นักกฏหมายก็ตีความอย่างที่เห็นประจำใช่ไหมคับ ศาลบ้างทีก็มีความเห็นข้างน้อยหรือความเห็นข้างมาก เรื่องเราต้องยึดถือของกรมสนธิสัญญาและกฏหมายซึ่งเข้ารวมเจรจาร่วมทำงานกันนะครับ ก็ถือว่าแถลงการร่วมคือเอาความเห็นของเราก่อนนะครับ แบบว่าไม่เป็นสนธิสัญญาและขณะเดียวกัน มันไม่มีผลกระทบกับเขตแดนกับที่เราไปเซ็นต์กับกัมพูชา เราเป็นการสงวนเขตแดนของเราไว้ ไม่ให้มีผลกระทบต่อพื้นดิน พื้นที่ทับซ้อนของเรา ก็คือไม่ได้ไปยกเขตแดนหรือมีผลกระทบกับเขตแดนนะครับ อันนี้ความเห็นของเรา
พิธีการ : ด้วยเหตุนี้เองฝ่ายค้านว่าการจงใจขัดกับมาตรา 190...
นพดล : อ่า.. คุณจอมคิดว่า เอ่อ..ผมจะทำไปเพื่ออะไร ผมได้เงินมาไหม ผมได้ผลประโยชน์อะไรมาไหม และขณะเดียวกัน ถ้ามันไม่ชอบมาพากลเนี่ย ถามว่าเพื่อนร่วมกระทรวงการต่างประเทศซึ่งมีความรู้มีเกียรติเนี่ย เขาจะเอาเกียรติยศมาทิ้งเพื่อผมไหม เราต้องถามเพราะว่าเรียนตรงครับว่า โดยความบริสุทธิ์ใจและก็เจตนาของผมเนี่ย ไม่มีเจตนาที่จะผูกมิตรจิตสัมพันธ์ หรือสร้างนิติสัมพันธ์ เหมือนการพอประชุมเสร็จแล้วเราแก้ปัญหารวมกันเราก็มีแถลงการณ์ร่วมกันทางการเมือง รองนายกท่านก็ไม่มีเจตนาที่จะสร้างนิติสัมพันธ์ใด ๆ ครับ แค่นั้นเอง เพราะงั้น เหมือนเราอยู่บ้านด้วยกันนะ สมมติคุณจอมเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชายเนี่ยอยู่บ้านด้วยกันไม่มีเจตนาที่จะแต่งงานกันแต่คนบอกว่าเราอยู่ด้วยกัน ก็น่าจะแต่งงานกัน ทั้งที่เราไม่มีเจตนาที่จะแต่งงานกัน เป็นต้น เพราะงั้นคนนอกมองอย่างไรมันอยู่ที่เจตนาของผู้กรณีด้วย
NBT
จาก thai-grassroots
อย่าตกใจ อย่าท้อแท้ เรายังมีเวลาึสู้ และิคิดอีกนานครับ ประชาชนส่วนใหญ่ยังอยู่ข้างเรา
ตอนนี้เราต้องตั้งสติให้ดีครับ แล้วคิดวิธีรับมือกับปัญหาที่ละขั้นตอนครับ และคิดวิธีการที่มีความเป็นไปได้ ปฏิบัติได้ เพราะเรื่องบางเรื่อง แม้เราอยากให้เป็น อยากทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ในทางเป็นจริงมันทำไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์มันไม่สุกงอม การพยายามที่จะปลิดผลไม้ใดๆ ออกจากขั้วที่ยังไม่แก่พอ มีแต่แต่จะเกิดผลเสีย
ผมว่าตอนนี้ คนไทยแบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน คือ "คนในชุมชนหมู่บ้าน" และ "คนในชุมชนเมือง" ทั้งสองกลุ่มนี้มีกรอบวิธีคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน คนในชุมชนเมืองคือ "คนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่" แต่มีกลุ่มคนจนในชุมชุนเมืองที่เป็นคนชั้นล่าง ส่วน "คนในชุมชนหมู่บ้าน" คือ ชาวรากหญ้าทั้งหมด มีคนชั้นกลางเล็กน้อย เช่นพวกครู หรือข้าราชการที่ไปทำงานในระดับหมู่บ้าน
ประเทศไทยแบ่งออกเป็นแบบนี้ กระแสแนวคิดและความเข้าใจต่างๆ ตอนนี้ "มาจากชุมชนเมือง" เท่านั้น
หาก แบ่งตามฐานเลือกตั้ง "คนในชุมชนหมู่บ้าน" ยกเว้นภาคใต้ แล้ว เลือก พปช. แทบทั้งหมด มีบางเขตเท่านั้นที่เลือกตัวบุคคล พรรคอื่นๆ เช่นชาติไทย เป็นต้น
ส่วนในชุมชนเมืองอาจเลือก ปชป. เช่นใน กทม. แต่ คนพวกนี้ก็ไม่ได้เลือก ปชป. ทั้งหมด พวกเป็นกลางที่เรากำลังพูดกันคือ "คนในชุมชนเมือง" ที่ยังไม่เลือกข้าง ซึ่งหลายฝ่ายพยายามแย่งมาเป็นพวก แต่ผมไม่คิดว่าตรงนี้จะสำคัญนัก เพราะคนชุมชนเมือง มีประชากรเพียง 30% ของประเทศเท่านั้น และมีเฉพาะ กทม. เท่านั้น ที่เป็นเขตชุมชุนเมืองทั้งหมด มี สส.ได้ 37 คน แต่ที่เหลือคนชุมชนเมืองเวลาเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งจะไปทับซ้อนกับคนชนบท คนในสังคมหมู่บ้าน ทำให้พลังของชุมชนเมืองไม่มากนัก จะมีก็แต่ เชียงใหม่เท่านั้นที่เขตเทศบาล อาจมี สส.ได้ 1 คน ดังนั้น ผลกระทบต่อการเลือกตั้งของ “คนในชุมชนเมือง” มีไม่มากนัก แต่คนเหล่านี้เสียงดังผ่านสื่อเท่านั้นเอง
มวลชนส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่กับ พปช. การแย่งชิงมวลชน ทำได้แค่ในกลุ่มคนชั้นกลางเท่านั้น ในชนบท ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย เจาะเข้าไปไม่ได้ ตอนนี้ พปช./ทรท. คุมเสียงแทบทั้งหมดแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่ายุบสภา ยุบพรรค เราก็ยังไม่อับจนสิ้นหนทาง เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่ได้โดนยุบไปด้วย ฐานเสียงเรายังอยู่ แม้ "ผู้แทนของคนรากหญ้า" จะโดนสังหารทิ้งทางการเมืองไป แต่ คนรากหญ้า เข้าก็ส่ง "ผู้แทนชุดใหม่" มาสู้ได้อีก
การเมืองมันไม่ได้เป็นเรื่องของคนชั้นนำอีกต่อไป แต่มันคือการต่อสู้ของพลังระหว่าง “ชุมชนเมือง” กับ “ชุมชนหมู่บ้าน” การทำลายล้าง "ผู้แทนของประชาชนทั้งสองกลุ่มนี้ไม่มีผลอะไร เพราะเขาก็จะส่งผู้แทนชุดใหม่เข้ามาสู่สภาอีก
ภาพที่เราเห็นชัดเจนมานานคือ การเมืองในต่างประเทศ เช่นการเมืองของสหรัฐอเมริกา ผู้เลือกตั้งหรือประชาชนได้แบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน คือ พวก Democrat กับพวก Republican ประชาชนทั้งสองกลุ่มนี้จะหนุนพรรคการเมืองของตน ผู้แทนของทั้งสองพรรคนี้ ก็เหมือนตัวแทนของคนทั้งสองกลุ่มนั้น ดังนั้น แม้ว่าจะมีผู้มีอำนาจบารมีเพียงใด สังหารผู้แทนของ ประชาชนที่นิยม Democrat หรือ Republican ทิ้งหมด ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากนัก เพราะพวก Democrat หรือ พวก Republican ยังอยู่กันเต็มประเทศ พวกเขาก็จะส่งผู้แทนชุดใหม่ ที่ยังมีแนวคิดและนโยบายทางการเมืองเหมือนเดิมมาอีก การสังหาร หรือการตัดสิทธิ์ผู้แทนไม่ให้เล่นการเมือง จึงไม่มีทางกำจัดความขัดแย้ง การแตกแยกความคิดทาการเมืองได้
ปัญหาของประเทศไทยทั้งหมดเวลานี้จึงอยู่ที่ "ผู้เลือกตั้ง" ที่ตื่นแล้ว ไม่ใช่ "ทักษิณ" หรือ สมัคร แต่อย่างใด การห้ามสองคนนี้เล่นการเมือง การตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคการเมือง จึงไม่มีทางที่จะทำให้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยได้อำนาจทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะประชาชนที่แบ่งออกเป็นสองขั้วแล้วจะไม่มีทางไปสนับสนุนขั้วตรงข้ามอย่างแน่นอน
สถานการณทางการเมืองตอนนี้เราอาจเศร้า เราอาจท้อแท้ได้ครับ เพราะเราเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เหมือนคนทั้งหลาย ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่เราไม่อาจทำให้ความเศร้า ความท้อแท้มาบั่นทอนพวกเราได้เราอาจเสียเวลาร้องไห้พักหนึ่ง แต่เมื่อร้องไห้ให้กับแผ่นดินนี้เสร็จแล้ว เราต้องมาต่อสู้กันต่อไป เพื่อให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้อย่างสมบูรณ์ครับ เพื่อให้ "เสียงของประชาชนนั้นศักดิ์สิทธิ์และทรงพลัง"
จงแปรความโกรธ ความเศร้า และความท้อแท้ให้เป็นพลังครับ
สังคม เรากำลังเปลี่ยนแปลง ถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจดึงให้คนส่วนใหญ่ของประเทศย้อนกับไปเหมือนเดิมได้ เหมือนลูกหลานที่โตแล้ว "ปู่ย่า" ทั้งหลาย ก็ต้องทำใจ ให้ลูกหลานเติบโตต่อไป จะดึงให้พวกเขาเป็นเด็กต่อไปไม่ได้แน่นอน
ขอเอาคำพูดหลวงวิจิตรวาทการ มาปลุกใจนะครับ
"ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง อุปสรรคคือความสำเร็จอันดีงาม
ชีวิตที่ไม่เคยประสพการต่อสู้ ย่อมเป็นชีวิตที่อ่อนแอ
คนที่ไม่เคยมีศัตรู ย่อมจะเป็นผู้เข็มแข็งไปไม่ได้
งานใดที่สำเร็จราบรื่นไปโดยไม่มีอุปสรรค ย่อมเป็นงานที่ไม่หนักแน่นและถาวร"
ประชาธิปไตย ที่ไม่ได้มาจากการต่อสู้ของประชาชน ย่อมเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เข็มแข็ง ประชาชนย่อมไม่ห่วงแหนมัน เพราะมันได้มาโดยง่าย ประชาธิปไตยที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาอย่างยากแค้น เลือดตาแทบกระเด็น ย่อมเป็นประชาธิปไตยที่เข็มแข็ง ยั่งยืนและถาวร
นี่เป็นอุปสรรคเล็กๆ น้อย ๆ เท่านั้นครับ
บางคนคิดไปไกลสุดโต่งว่าทำไมไม่ใช่วิธีรุนแรง โดยการทำรัฐประหารตัวเอง แล้วเอารัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ ผมว่าการทำรัฐประหารจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากยิ่งขึ้น เพราะฝ่ายโน้นเขาก็ระดมพลขึ้นมาสู้ หากนองเลือดมันก็เสียชื่ออยู่ดี เพราะถึงอย่างไร ฝ่ายประชาธิปไตยก็ยังเป็นคนกุมอำนาจรัฐ การใช้วิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยนั้น มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
สิ่งที่เราต้องการอยากให้เกิดขึ้น กับสิ่งที่เป็นไปได้มันไม่เหมือนกันครับ การเสนอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดนะครับ นอกจากปลอบใจเราเองเท่านั้น
จงอย่าคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จงสู้คิดในสิ่งที่ทำได้ดีกว่าเราอาจโกรธ โมโห แต่การกระทำจริงๆ มันต้องทำในสิ่งที่ทำได้
ขณะนี้พวกเขารอให้เรา "ทำผิดกฎหมายอยู่แล้ว" เข้าทางเขาพอดี พวกเขาจะได้ใช้กฎหมายจัดการเราได้ อย่าลืมเรามีแค่ประชาชน และความชอบธรรม เท่านั้นที่อยู่ข้างเรา หากประกาศยกเลิก รธน. เหมือนทำรัฐประหารตัวเอง จะมีความผิดฐานกบฏทันที มันไม่สำคัญว่าใครเป็นรัฐมนตรี ใครเป็นนายกฯ มันสำคัญที่ "ใครคุมกำลังทหาร" และ คนคุมกำลังทหารเขาเชื่อใคร
การจะทำรัฐประหารตัวเองได้ มันต้องกุมอำนาจทุกอย่างไว้แบบทหารพม่าครับ
ยิ่งช้ความรุนแรง พวกเราก็ยิ่งขาดความชอบธรรมครับ และสุดท้ายก็แพ้เขาอยู่ดี
ตอนนี้สิ่งที่ประชาชนจะทำได้ดีที่สุดคือ การไปกาเบอร์ลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชน ในชื่อใหม่ นี่คือหนทางที่เป็นไปได้มากที่สุดครับ และผมเชื่อว่ามันจะออกแบบนี้ครับ เพราะสิ่งที่คาดว่าจะเกิด เมื่อมีการยุบพรรคคือ ตั้งพรรคใหม่ แล้วหานายกฯ ที่เหมาะสม ซึ่งก็ไม่ยากครับ เพราะ สส. พปช. ที่เป็น กรรมการบริหารพรรคมีประมาณ 10 คนเท่านั้นครับ ซึ่งจะต้องสิ้นสภาพ ก็หาคนที่เราคิดว่าจะเอาเป็นนายกฯ มาลงเลือกตั้งแทนคนเหล่านี้ (เช่น นายอุกฤษ์ มงคลนาวิน) เป็นต้น
ทุกคนที่เหลือก็ย้ายไปพรรคใหม่ พรรคชาติไทยซวยหน่อยเพราะ สส.เป็นกรรมการบริหาร ถึง 15 คน ก็ต้องเลือกตั้งซ่อมส่วนนี้ ที่เหลืออาจมาเข้าพรรคใหม่ของ พปช. หรือบางส่วนอาจไป ปชป. แต่คนที่อยู่ในเขตภาคกลางหรือภาคอีสาน หากย้ายไปสังกัดพรรค ปชป. ก็เกิดยากอย่างแน่นอน เมื่อนายบรรหารกับครอบครัว และคนดังในชาติไทย โดนห้ามเล่นการเมืองทั้งหมด ผมเชื่อว่า 15 ตำแหน่ง ของชาติไทยที่เลือกใหม่ พรรคพลังประชาชนในชื่อใหม่ จะกวาดไปได้หมด
เชื่อผมเถอะว่าพรรค พปช. ชื่อใหม่ แม้ไม่ยุบสภาก็ใหญ่กว่าเดิมครับ เพราะจะรวม สส.พรรค มัชฌิมา และชาติไทยมาด้วย และพรรคเพื่อแผ่นดินที่อยู่ในคิวจะต้องโดนยุบต่อไป ก็จะย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชาชนชื่อใหม่เกือบทั้งหมด
" ความเสี่ยงคือ" พวกอำมาตย์ อาจมาซื้อ สส.พรรคพลังประชาชนในช่วงที่กำลังหาพรรคใหม่สังกัด ไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคที่เขาตั้งขึ้นรองรับ แล้วไปจับมือกับ ปชป. ตั้งรัฐบาล แต่ต้องซื้อไปได้ไปไม่ต่ำกว่า 50 คนนะครับ ปชป. จึงจะมีโอกาสตั้งรัฐบาลได้
แต่ สส.ที่ทรยศแบบนี้ จะโดนประชาชนสังหารทิ้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่ครับ แต่หากเห็นสัญญาณไม่ดี เราก็ยุบสภาก็ได้ครับ
ไม่ต้องสนใจว่าจะต้องต่อสู้อะไรรุนแรงครับ ไม่มีการนองเลือด ไม่มีความวุ่นวาย เพราะสุดท้ายมันต้องตัดสินที่ "เรา ผู้เลือกตั้ง" ทั้งหลาย สิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดคือ "ทำให้ผู้เลือกตั้ง" อย่างเรา เกลียดทักษิณ แล้วหันไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์ของเขาเท่านั้นเอง
หากพวกอำมาตย์ คิดว่าจะทำรัฐประหารแล้วนำเอาระบบ 70/30 มาใช้ ก็เท่ากับ "ร่นเวลาล่มสลายของศักดินาอำมาตยาธิปไตย" ให้เร็วยิ่งขึ้นครับ เพราะคนไทยมีประสบการณ์ กับการต่อต้านระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบมานานแล้ว ตั้งแต่ยุค พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ แล้ว และสุดท้ายก็เกิด รธน.ปี 2540 หากพวกเขาทำอย่างนั้น ก็ต้องทำรัฐประหารก่อน เพื่อเอา รธน. ฉบับใหม่มาใช้ การทำรัฐประหาร หากทำได้พวกเขาทำไปแล้วครับ แต่พวกเขากลัวการต่อต้านจากประชาชน และกลัวการ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากนานาชาติ พวกเขาจึงไม่กล้าทำ
หากไม่ทำรัฐประหาร ก็ต้องแก้ไข รธน. ปี 50 ตามระบบปกติ ซึ่งมันมีความเป็นไปไม่ได้เลยครับ
หากพวกเขาทำรัฐประหาร ก็ยิ่งโดนต่อต้านสูง เชื่อผมเถอะว่า เขาใช้อาวุธสุดท้ายคือ ตุลาการวิวัฒน์ จุดมุ่งหมายคือ "ไม่ต้องการให้ประชาชนเลือกพรรคนิยมทักษิณอีก"
แต่ พวกเขาทำไม่ได้หรอกครับเชื่อเถอะ เพราะพวกเขาวิเคราะห์สังคมไม่แตก วิเคราะห์ไม่กระจ่าง จึงทำผิดพลาดมาตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 แล้ว
จาก thaifreenews