WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, November 4, 2010

‘วิสุทธิ์’ประจัญบาน ทวงยุติธรรม-ศักดิ์ศรีตร.

ที่มา บางกอกทูเดย์

‘วิสุทธิ์’ประจัญบาน ทวงยุติธรรม-ศักดิ์ศรีตร.



ผ่าเกมดับเครื่องชนนักการเมือง
ชื่อชั้นของ “ผู้การวิสุทธิ์”หงอใครเสียที่ไหน

เมื่อจู่ๆถูกเด้งภาค9เข้ากรุแบบไม่สมเหตุสมผล จึงออกมาดับเครื่องชนนักการเมืองชุดใหญ่ ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการเด้งครั้งนี้

ซึ่ง สำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังยุครัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เรื่องของ 2 มาตรฐาน เรื่องของการเล่นพรรคเล่นพวก เรื่องของผลประโยชน์การเมือง และเรื่องของการล้วงลูกโผต่างๆ โดยเฉพาะโผตำรวจ

ถือเป็นเรื่องธรรมดา… ในยุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอยเช่นนี้

มือ ยาวสาวได้สาว... ด้านได้อายอด... กลายเป็นมอตโต้ของกระสือการเมืองกลุ่มใหญ่ที่อาศัยใบบุญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกปฏิบัติการล่าเหยื่อกันสลอน

นายอภิสิทธิ์ พยายามที่จะสร้างภาพเป็น “มิสเตอร์คลีน” เลยกลายเป็นน้ำยาฟอกขาวให้กับบรรดาคนใกล้ตัว คนร่วมพรรค คนชอบเสนอหน้าทั้งหลาย ใช้เป็นโล่บังให้หากินได้สะดวกโยธินมากขึ้น

แต่ ครั้งนี้การล้วงลูกโผตำรวจ ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (รองผบช.ภ.9) เปิดแถลงข่าวเอิกเกริก “ฉะ โผตำรวจ นักการเมืองล้วงลูก”

เปิดโปงการ แต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.) ถึงผู้บังคับการ (ผบก.) วาระประจำปี 2553 ซึ่งคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพิ่งพิจารณาแต่งตั้งไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการโยกย้าย พล.ต.ต.วิสุทธิ์จากรอง ผบช.ภ.9 เป็นรอง ผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี (รอง ผบช.กมค.)

เป็นการออกมาต่อสู้ให้พี่น้องประชาชน ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ

“สาเหตุ ที่ย้ายครั้งนี้ก็คือ ผมไปอยู่ที่ บช.ภ.9 ดูแล จ.สงขลา ตรัง สตูล พัทลุง มีบ่อนการพนัน อบายมุขทุกอย่าง ยาเสพติด โปปั่น โต๊ะพนันบอล หวย หุ้น น้ำมันเถื่อน ของหนีภาษี ยาเสพติด โดยเฉพาะยาแก้ไอสี่คูณร้อย ที่เอาไปผสมกระท่อมทำยาเสพติด ผมจับไปแล้วเกือบแสน ผมไปอยู่พอจับกุมก็มีนักการเมืองมาเคลียร์แต่เคลียร์ผมไม่ได้ และส่วนมากคนที่ทำคือนักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น ลิ่วล้อ หัวคะแนน ทำอย่างนี้ทั้งหมด เดือนหนึ่งหลายร้อยล้าน น้ำมันเถื่อนได้ส่วนต่างลิตรละ 8-10 บาท” พล.ต.ต.วิสุทธิ์ระบุ

และ ยังได้มีการย้ายตำรวจที่ละเลยจับกุมของผิดกฎหมายไปแล้ว 8 คน จาก 4 โรงพัก ที่ผ่านมาไม่เคยจับ พอไปจับสะเทือนทั้งวงการ เมื่อไปจับเรียกว่าทุบหม้อข้าวไม่พอ ไปทุบโรงสีอีก รื้อโรงสี นี่แหละสาเหตุที่ทำให้ถูกย้าย เพราะเป็นจระเข้ขวางคลอง ไม่ยอมนักการเมือง ลิ่วล้อนักการเมืองทำผลประโยชน์โดยมิชอบ ทุจริตกันทุกอย่างไม่ว่าเรื่องงบประมาณหรือเรื่องอะไรก็ตาม

สาเหตุสำคัญที่สุด เพราะไปทุบหม้อข้าวเลยเอาออก เพราะไปทำรายได้ของเถื่อนกว่า 100 ล้านต่อเดือน เหลือแค่ 20% รายได้หาย

ซึ่ง พล.ต.ต.วิสุทธิ์ บอกว่า เมื่อรู้ว่าจะต้องถูกย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. มีการประสาน พล.ต.ท.วีรยุทธ์ สิทธิมาลิก ผบช.ภ.9 ให้ปล่อยตัวมาลอยๆ เสร็จแล้วก็ปล่อยข่าวว่าเอามาอยู่ บช.ก. เพื่อให้ดูดี โยนหินดูท่าที แต่ผู้ใหญ่หลายคนติดต่อมาบอกว่าโดนแน่ เพราะ ผบ.ตร.ให้ ผบช.กมค.(พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์) ทำหนังสือขอตัวมา

“คนรักผมมีเยอะ ตำรวจดีดีรักผมเยอะ ตำรวจชั่วๆ เกลียดผม ก็ไม่เป็นไร ตำรวจหลายคนส่งข่าวให้ไปวิ่งเต้น ผมบอกเลยไม่วิ่งเพราะไม่อยากเป็นขี้ข้า ไม่อยากมีบุญคุณ เพราะเมื่อมีแล้วต้องไปทดแทน จะเป็นอย่างไรช่างมัน แน่จริงก็แต่งตั้งมั่วๆ มา รัฐบาลสะเทือน”

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ระบุด้วยว่า ตอนแรกคิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธาน ก.ตร.เอง เป็นคนตรง เป็นจอมหลักการ คงไม่ถูกย้าย รวมทั้งผบ.ตร.ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเคยออกรายการโทรทัศน์ปกป้อง แต่คิดผิด

ก่อนหน้า นี้เคยบอก ผบ.ตร.ว่า ที่นักการเมืองแต่งตั้งให้เป็น ผบ.ตร.นั้น ถือเป็นหน้าที่ของนักการเมือง ไม่ต้องไปตอบแทน เพราะเป็น ผบ.ตร.ได้รับโปรดเกล้าฯจากพระเจ้าอยู่หัว ให้ตอบแทนประชาชน แผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดิน เตือนแบบนี้ไปแล้ว

“ตอนนี้นักการเมืองล้วงลูกทุกอย่างขนาดผู้อำนวยการโรงเรียนยังล้วงลูก”

ใน ครั้งนี้การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่กำหนดตามกฎก.ตร.นั้น 33% ต้องให้คนอาวุโสเลื่อนขึ้น ให้ไปไล่ดูเลยกลุ่ม 33% ที่ไม่มีเส้นไปอยู่ในกรุ ยกตัวอย่าง พ.ต.อ.ศรายุทธ พูลธัญญะ รอง ผบก.ปราบปรามการค้ามนุษย์ เคยอยู่ทำงานใน บช.ก. จบนักเรียนนายร้อยตำรวจ จบปริญญาตรีและโท ด้านนิติศาสตร์ จบเนติบัณฑิต ได้แต่งตั้งขึ้นเอาไปเป็นตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เหมือนเข้ากรุ

“อย่างนี้เห็นว่าไม่ได้เอาคนที่ดี มีความรู้มาทำงานที่เหมาะสม เท่านั้นไม่พอบางคนคิดว่า ลูกพี่นายกฯเป็นคนดีธรรมะธัมโม ภาพเดินไปสวัสดี ไม่ใช่เลย อาศรมของท่านตั้งอยู่ใน บช.ภ.9 ซึ่งผู้บังคับการที่ไปเฝ้าบ้าน ไปเฝ้าอาศรมลูกพี่นายกฯคนนี้ เพิ่งครบ (หลักเกณฑ์แต่งตั้งเลื่อนขึ้น) 3 ปี ได้เป็นรอง ผบช.ภ.9 เท่านั้นไม่พอ ยังไปเอารอง ผบก.คนหนึ่งขึ้นมาสืบทอด ดูแลอาศรมต่อ มาเป็น ผบก.จว.นั้น แล้วอย่างนี้เรียกว่าล้วงลูกหรือไม่”

และ อีกรายหนึ่ง ผบก.ภ.จว.สตูล (พล.ต.ต.ธเนศ วารายานนท์) อายุ 59 ปีแล้ว มีผลงานมากที่สุด จับยาเสพติดมาตลอด แต่ว่าถูกลูกพี่นายกฯเอามาเป็น ผบก.ศูนย์ฝึกอบรม บช.ภ.1 เก็บกรุ

คำถามที่ว่าเพราะอะไรหรือ??? ก็เพราะนายกฯคาดการณ์ผิดมาหลายเรื่อง การคาดการณ์ของนายกฯที่เป็นผู้บริหารประเทศ มีวิชั่นวิสัยทัศน์แค่นี้หรือ การย้ายพล.ต.ต.วิสุทธิ์เข้ากรุ นายกฯคาดการณ์ผิดจริงๆ เพราะตนคือคนของประชาชนและแผ่นดินเป็นของจริง

การคาดการณ์ผิดต่อเนื่องเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าไม่มีวิสัยทัศน์

กรณี ผกก.สมเพียร (พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา) ที่มาร้องขอชีวิตต่อนายกฯ ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ปล่อยให้ไปทำงาน

“ผม ว่าวิญญาณของ พล.ต.อ.สมเพียร ยังวนเวียน เพราะรอนายกฯตามไปขอโทษ ถามจริงๆ ใครก็ทราบว่าท่านนายกฯทำได้ทั้งนั้น ตอนที่มาร้องขอถ้านายกฯสนใจสั่ง ผบ.ตร.ออกคำสั่งมาช่วยราชการที่ไหน ไกลพื้นที่ก็ได้”

ดังนั้นจึงขอ ถามว่านายกฯ ผบ.ตร.และ ก.ตร.ทั้งคณะน้อมนำกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติหรือ ไม่ พระองค์ท่านมีกระแสรับสั่งว่าให้สนับสนุนคนดีมีอำนาจมาปกครองบ้านเมือง สกัดกั้นคนไม่ดีอย่าให้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง แต่นี่มาสกัดผมไม่ให้มีอำนาจไปดูแลทุกข์สุขของประชาชน อยากถามนายกฯ ผบ.ตร.และ ก.ตร.ทั้งหมดว่าจะไปตอบพระองค์ท่านว่าเช่นไร

พล.ต.ต. วิสุทธิ์กล่าวว่า กล้าเดิมพันให้ไปทำโพลในพื้นที่ 4 จังหวัดที่ดูแล เอาเฉพาะ จ.สงขลา ไปถามเลยว่า พล.ต.ต.วิสุทธิ์เป็นตำรวจดีสมควรอยู่หรือไม่ หรือว่าเป็นคนไม่ดี ไม่สมควรอยู่ ถ้า 70% บอกว่าเป็นตำรวจดี สมควรอยู่จะว่าอย่างไร แต่ถ้าต่ำกว่านั้น จะลาออกจะไปกระโดดน้ำที่สะพานพระนั่งเกล้า แต่ถ้าคนสงขลาชอบตนสมควรอยู่ในพื้นที่เกิน 70% ทั้งนายกฯ และ ผบ.ตร.จะต้องมากราบตักตนงามๆ มาขอโทษแล้วบอกว่าย้ายผิดไป

ร้อนฉ่าถึงขนาดกล้าประกาศว่า

“ต่อ ไปนี้ผมจะมาแนวใหม่เมื่ออยู่ในกรุ จะดูแลงบฯลับของ ตร. การสั่งซื้อสั่งจ้างของตร. ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎกติกา และที่พูดวันนี้ใครอย่ามาสวน หากจะตอบโต้ต้องดูตัวเองก่อนว่าขาวบริสุทธิ์หรือไม่ และจะเอาลูกน้องไปถ่ายภาพหน้าบ้านว่ารับอะไรใครเท่าไหร่ เกิน 3,000 บาทหรือไม่ นี่คือ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ที่ต่อไปจะตรวจสอบการทำงานของ ตร.และรัฐบาล มั่วๆ แล้วตายแน่ ต่อไปข้าราชการไทยคนใดมีข้อมูลอะไรส่งมาให้ผม ติดต่อที่โทร.08-1834-6699 จะสืบต่อและจะจัดการฟ้องร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.)”

จริงๆแล้วพล.ต.ต.วิสุทธิ์ อยากให้ข้อมูลกระจ่างกว่านี้ แต่ขี้เกียจไปประกันตัว ฉะนั้นอย่ามาฟ้องหมิ่นประมาท และอย่ามาตั้งกรรมการฯ จะทำตนให้ดูตัวเองก่อน ไม่เช่นนั้นจะรื้อประวัติตั้งแต่เกิดตั้งแต่รับราชการมาเลย หลังจากนี้จะไม่ฟ้องร้องต่อศาลแต่ถือว่าได้ฟ้องร้องประชาชนแล้ว โดยไม่หวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการแต่งตั้งครั้งนี้

“บอร์ดกลั่น กรองทำอะไรไม่ได้เลย ทุกรายชื่อ ตร.ส่งมาหมดแล้ว มีบัญชีมาแล้ว ออกความเห็นไม่ได้เป็นแค่พิธีการเท่านั้น ถ้าคิดอะไรมากหัวหน้าหน่วยไปด้วย แต่งตั้งระดับ พ.ต.ต.-พ.ต.อ.ที่ผ่านมา ก็มีแต่ตั๋วส่งมาจน ผบช.ภ.9 บอกว่า ไม่อยากกลั่นกรองเลยตั๋วทั้งนั้น”

ส่วน เรื่องที่ว่าเป็นเพราะเสียผลประโยชน์หรือไม่จึงโวยวาย ยืนยันได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร แค่อยากบอกว่านักการเมืองรังแกข้าราชการ ต่อไปคนดีหมดขวัญกำลังใจทำงาน ผลตกกับประชาชน

ต่อไปนักการเมืองยึด ผู้ว่าราชการจังหวัด ยึด ผบก. ยึด ผกก.ได้ การเลือกตั้งก็สบายได้เปรียบคู่แข่งการเลือกตั้ง ซื้อเสียงก็ไม่มีใครจับ จับแต่ฝ่ายตรงข้าม

งามไส้ไปตามๆกัน

แน่นอนอาจจะมีการแก้เกี้ยวทำนองว่า นี่คือลีลาของ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ที่มักจะใช้สไตล์ดุเด็ดเผ็ดมันมาตลอด

แต่ หากมองให้ลึกในคราวนี้ นี่คือการออกมาชนกับนักการเมือง นี่คือการออกมาชนกับผู้มีตำแหน่งหน้าที่หัวโขนทางการเมืองตรงๆ ซึ่งถามว่า เสี่ยงแค่ไหนกับอนาคตการงานในการรับราชการ หากนักการเมืองเหล่านี้ยังสามารถที่จะอยู่ได้ เพราะลูกพี่ได้รับ “ตั๋วพิเศษ”ให้อยู่ต่อไปอีกระยะ

บรรดาคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำ หูร้อนฉ่า คงไม่มีทางที่จะให้อภัยกับถ้อยคำกร้าวๆ แฉแหลกของ พล.ต.ต.วิสุทธิ์แน่

ดัง นั้นมองกันให้ลึกๆ คนที่ยังมีอายุราชการ แต่กล้าออกมาแฉเหมือนคนที่ใกล้เกษียณเร็วๆนี้ จึงไม่ต้องเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ อีกต่อไปแล้ว

น่าจะสะท้อนชัดเจนว่าข้อมูลที่ว่ามีนักการเมืองมาล้วงโผ มีธุรกิจมืดของนักการเมืองในพื้นที่ จะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน

และ ถ้าข้อมูลไม่สร้างผลกระทบ ไม่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับธุรกิจการเมืองจริงๆ คงไม่เกิดภาพจับมือกันออกมากระหน่ำใส่ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ เช่นนี้ โดยเฉพาะการที่ใช้คารมเสียดสีไปถึงเรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องซึ่งไม่ได้ เป็นประโยชน์ต่อสังคมใดๆเลยนั้น

สะท้อนภาพชัดว่าสไตล์เช่นนี้ของนักการเมือง สังคมไทยควรที่จะยอมรับหรือไม่???

ถ้ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมคงไม่มีใครว่า

ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นน่าคิดว่า จริงๆแล้ว ฝ่ายใดกันแน่ที่เป็นฝ่ายสูญเสียผลประโยชน์

ยิ่งหากดูความวุ่นวายเกี่ยวกับโผตำรวจในยุคนี้ จะเห็นว่ามีมาตลอด และมีตัวละครทางการเมืองที่เกี่ยวข้องซ้ำๆอยู่ตลอดเช่นกัน

ตอน ที่เกิดเหตุกรณีพล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา หรือ “จ่าเพียรขาเหล็ก” คิดว่านักการเมืองที่เป็นต้นเหตุความวุ่นวายของโผตำรวจ จะรู้สึกละอายต่อบาปกรรมบ้าง จะเพลาๆมือลงบ้าง กลับกลายเป็นไม่ใช่เลย

เรื่องของพล.ต.อ.สมเพียรยังไม่จางไปจากความทรงจำของสังคม ก็มามีเรื่องของ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ขึ้นมาอีกแล้ว

แถม ตัวการล้วงโผ และสั่งโยก พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ก็ดูจะเป็นคนๆ เดียวกันกับที่เคยใช้บารมีกีดกัน พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา นั่นเอง... อะไรจะอย่างหนาปานนี้

แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะออกมาแก้เกี้ยวในเรื่องนี้ว่า “ไม่ทราบ การเมืองที่ไหน”

ถ้า พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ระบุว่าเป็นนักการเมืองภาคใต้ ก็ขอให้เอาข้อเท็จจริงมา... โดยลืมไปว่า จนป่านนี้กรณีย้ายสลับ พล.ต.อ.สมเพียร ซึ่งอุตส่าห์มาขอชีวิตกับนายอภิสิทธิ์โดยตรงนั้น ยังไม่มีความกระจ่างออกมาให้สังคมได้รับรู้ความจริงเลยว่า เป้นฝีมือใคร

แล้วแบบนี้ใครยังจะเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ได้อยู่อีก

เพราะ ต้องไม่ลืมว่า ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในรัฐบาลปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยเสียงครหาในเรื่อง 2 มาตรฐานจนอื้ออึงไปหมดนั้น แทนที่รัฐบาลจะพยายามทำให้เห็นว่าระบบยุติธรรมยังสามารถพึ่งพาได้ ยังสามารถเชื่อมั่นได้

กลับปล่อยให้เกิดเหตุทั่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในฝ่ายตุลาการ ในฝ่ายอัยการ และในฝ่ายตำรวจ

ใน สายธารระบบยุติธรรมนั้น ตำรวจถือเป็นต้นธารของระบบยุติธรรม ในฐานะของพนักงานสอบสวน จากนั้นจึงไปสู่ระบบอัยการซึ่งเป้นระบบยุติธรรมในส่วนกลาง สุดท้ายปลายทางกระบวนการยุติธรรมก็จะเป็นชั้นศาล

แต่เมื่อระบบตำรวจ เจอความอยุติธรรมเสียเอง เจอการล้วงลูกจัดโผโดยนักการเมือง แล้วแบบนี้ประชาชนจะหวังพึ่งกระบวนการยุติธรรมที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร???

ลำพังแค่ในสังคม หากชุมชนใด ตำรวจรู้เห็นเป็นใจกับนักเลง กับผู้มีอิทธิพล ชาวบ้านก็ซวยสาหัสแล้ว

แต่ถ้าประเทศใด ตำรวจกลายเป็นเครื่องมือให้นักการเมือง ประเทศนั้นก็พัง

ดัง นั้นบางกอก ทูเดย์ มองว่าการต่อสู้ของ พล.ต.ต.วิสิทธิ์ วานิชบุตร ในครั้งนี้ ไม่ควรจะมองว่าเป็นการต่อสู้เพื่อตนเอง แต่สังคมจะต้องมองว่านี่คือการต่อสู้เพื่อสังคม เป็นการทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศจะได้ต้นธารแห่งระบบยุติธรรม ที่มีความยุติธรรมจริงๆ ไม่ถูกกดปุ่มโดยนักการเมือง

ขณะเดียวกันแม้ แต่ตำรวจทั้งประเทศ ที่เอือมระอากับพฤติกรรมนักการเมืองบางคนบางกลุ่มที่ล้วงลูกโผตำรวจจนล่ำซำ ก็ควรที่จะช่วยกันทวงคืนศักดิ์ศรีของตำรวจทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่นเดียวกับที่ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ทำ หรืออย่างน้อยก็ควรจะสนับสนุนข้อมูลของ พล.ต.ต.ตรีวิสุทธิ์

อยากรู้เหมือนกันว่า ที่นายอภิสิทธิ์ บอกว่าหากมีข้อมูลว่านักการเมืองทำไม่ดีก็เอามา โดยเฉพาะนักการเมืองภาคใต้นั้น หากตำรวจทั้งประเทศช่วยกันขุดคุ้ยข้อมูลออกมาตีแผ่ ดูซิว่านายอภิสิทธิ์จะทำหน้าอย่างไร

จะกล้าฟันนักการเมืองเหล่านั้นจริงๆหรือไม่?

และพรรคประชาธิปัตย์จะสะดุ้งโหยงกันสักขนาดไหน!!!

เปิดหลักเกณฑ์"สอบบรรจุ" เจ้าหน้าที่ศาล รธน.ฉบับ"คลิปฉาว"

ที่มา มติชน



พลันที่เกิดเรื่องโฉ่ "คลิปฉาว ภาค 2" ทิ้งบอมบ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 รายที่เข้าไปพัวพันกับการหารือร่วมกับ "นาย พ."

เพื่อ แก้เกมที่ตุลาการอาจมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการนำข้อสอบการเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ ศาลรัฐธรรมนูญระดับ 3 มาป้อนให้บุคคลใกล้ชิดที่อาจเป็นลูกหลานของตุลาการได้ดูก่อนสอบ ทำเอา "ศาลรัฐธรรมนูญ" สั่นคลอนไม่น้อย

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการประกาศรับสมัครเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ระดับ 3 ที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมในขณะนี้

พบว่า มีการเปิดรับสมัครสอบขึ้นในช่วงต้นปี 2552 ตามประกาศสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง รับสมัครสอบแข่งขันบุคคลทั่วไป เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการสังกัดสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกประกาศ ณ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2552 ลงนามโดย นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญขณะนั้น

ประกาศดังกล่าว องค์กรกลางบริหารงานบุคคลในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (อ.ศร.) มีมติเห็นชอบให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับสมัครขึ้น

มีตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร คือ

1.ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 3

2.ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 3

สำหรับ หน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 3 ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น งานธุรการ งานบุคคล งานจัดระบบงาน งานงบประมาณ งานการเงินและบัญชี งานพัสดุ งานสถานที่และยานพาหนะ งานจัดพิมพ์และแจกจ่ายเอกสาร งานระเบียบแบบแผน งานรวบรวมข้อมูลสถิติ งานสัญญา งานนโยบายและแผน ร่างโต้ตอบหนังสือ จดบันทึกและเรียบเรียงรายงานการประชุมทางวิชาการ เป็นต้น

ขณะที่ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 3 ปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น ช่วยทำหน้าที่ในการค้นหารวบรวมข้อมูลกฎหมายและวิชาการและจัดเก็บประเด็น ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นทางการเมืองที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับศาลรัฐธรรมนูญ ตรวจรับคำร้องเรื่องที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้บริการข้อมูลต่างๆ และปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้อง

คุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง "เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 3" ต้องได้รับปริญญาตรีทุกสาขาวิชาหรือเทียบได้ไม่ต่ำกว่านี้ โดยเป็นวุฒิที่ ก.พ.หรือ อ.ศร.รับรองแล้ว

ส่วนตำแหน่ง "เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 3" ได้รับปริญญาตรีหรือเทียบได้ไม่ต่ำกว่านี้ทางกฎหมายหรือทางรัฐศาสตร์หรือทาง อื่นที่ อ.ศร.กำหนดให้ใช้เป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนี้ได้

ค่าธรรมเนียมการสอบ ผู้สมัครสอบต้องชำระค่าธรรมเนียมสอบคนละ 300 บาท

ส่วนหลักสูตรและวิธีการสอบ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการสอบแข่งขันผู้ที่ผ่านคุณสมบัติแล้วโดยการทดสอบ 3 ส่วนดังนี้

1.ภาคความรู้ความสามารถทั่วไป 100 คะแนนเต็ม ทดสอบความสามารถในการคิดและหาเหตุผล โดยใช้ข้อมูลทางเศรษฐกิจสังคมและการเมือง

2.ภาคความรู้ความสามารถทั่วไปในตำแหน่ง 100 คะแนนเต็มในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 3 และเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 3

และ 3.ภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง 100 คะแนนเต็ม

ทั้ง นี้ การประเมินบุคคลเพื่อพิจารณาความเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่จากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน และพฤติกรรมที่ปรากฏทางอื่นของผู้เข้าสอบ และจากการสัมภาษณ์ โดยพิจารณาจากส่วนต่างๆ เช่น ความสามารถ ประสบการณ์ อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติ จรรยาบรรณของข้าราชการ เป็นต้น

ขณะที่ "เกณฑ์การตัดสิน" นั้น ผู้ที่ผ่านการสอบแข่งขันได้จะต้องเป็นผู้ที่สอบได้คะแนนในแต่ละภาคตามหลัก สูตรต้องได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 โดยรวมผลคะแนนจากภาคความรู้ความสามารถทั่วไป ภาคความรู้ ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง และภาคความเหมาะสมกับตำแหน่งแล้วจัดเรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย

สำหรับ "การบรรจุแต่งตั้ง" นั้น ผู้สอบแข่งขันได้จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงาน ทั่วไป 3 และเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 3 ตามลำดับที่ในบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ โดยได้รับเงินเดือนตามคุณวุฒิที่กำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้น และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไม่ประสงค์จะรับโอนผู้สอบเข้าแข่งขันได้ที่เป็นข้า ราชการหรือพนักงานของหน่วยงานอื่นของรัฐ

ต่อมามีการออกประกาศราย ชื่อ ผู้มีสิทธิสอบเข้าภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการสังกัดสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญในตำแหน่ง ดังกล่าว ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ลงนามโดยนายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญขณะนั้นว่า ทางสำนักงานได้ดำเนินการตรวจสอบข้อสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงประกาศรายชื่อ ผู้มีสิทธิสอบภาคความเหมาะสมกับตำแหน่งหรือสอบสัมภาษณ์ (ผู้ที่สอบได้ คะแนนในภาคความรู้ความสามารถทั่วไปและภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะ ตำแหน่ง ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของทั้ง 2 ภาค) ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 3 และตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 3 ในจำนวน 100 คน

ก่อนที่จะมาสอบสัมภาษณ์ เพื่อคัดกรองอีกรอบให้เหลือประมาณครึ่งหนึ่ง ก่อนบรรจุเข้าทำงานในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญพบว่าผู้สอบผ่าน มีชื่อลูกคนดังสอบติดในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 3 หลายคน

หนึ่งในนั้นมีชื่อนายชัยธร หัตถกรรม บุตรชายนายจรัญ หัตถกรรม อดีตตุลาการรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลปกครองสูงสุด

"จตุพร"จี้"บุญจง-เกื้อกูล"ทิ้งเก้าอี้รมต.ลงเลือกตั้งซ่อม ชี้อย่าเอาเปรียบคนอื่น โวพท.ชิงพื้นที่คืน

ที่มา มติชน

นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงวันที่ 4 พฤศจิกายนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ 6 ส.ส.พ้นสมาชิกภาพ โดยมี 2 คน ที่เป็นรัฐมนตรี คือนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย อดีตส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม อดีตส.ส.อยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา ว่าทราบว่าทั้ง 2 จะลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.

ฉะนั้น ควรจะลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีก่อน เพื่อมาต่อสู้กับคนอื่น เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ลาออกจากรองนายกรัฐมตรี โดยทั้ง 2 ไม่ควรจะเอาเปรียบคนอื่น ซึ่งนายบุญจง ที่ผ่านมาก็เห็นๆกันอยู่ ว่าเป็นอย่างไร

ส่วนตำแหน่งที่ว่างลง ก็ให้รัฐบาลเว้นไว้ให้ ส่วนพรรคเพื่อไทยก็จะส่งผู้สมัครลงแข่งขันกับนายบุญจงด้วย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พรรคได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะคว้าชัยชนะให้ได้ เพราะเป็นพื้นที่เดิมของไทยรักไทย ส่วนที่จ.อยุธยา พรรคก็จะส่งผู้สมัครลงแข่งกับนายเกื้อกูลด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว และที่ผ่านมานายเกื้อกูลก็หลุดเข้ามาได้เพียงคนเดียว

แตก

ที่มา ข่าวสด

เหล็กใน




แรกเริ่มตอนตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ใหม่ๆ ฝ่ายพันธมิตรฯจะแสดงอาการเป็นพวกเดียวกันค่อนข้างชัด

ต่อมา เริ่มมีปัญหากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โจมตีนายสุเทพอย่างรุนแรง แต่ละเว้นนายอภิสิทธิ์เอาไว้

นายอภิสิทธิ์มาโดนเนื้อๆ เน้นๆ ก็ช่วงที่ประกาศพร้อมยุบสภาเพื่อเลือกตั้ง ระหว่างการเจรจากับแกนนำนปช.

มาตอนนี้ นายอภิสิทธิ์กลายเป็นเป้าหมายหลักของพันธมิตรฯไปแล้ว

ถึงขั้นประณามว่า"ขายชาติ"

จากการเมินเฉยต่อข้อเรียกร้องปัญหาแผนที่ไทย-กัมพูชา

ลักษณะเด่นของกลุ่มพันธมิตรฯ คือเชื่อมั่นอย่างแรงในความคิดของตัว

แนวทางก็มักยึดโยงต่อการเป็นปฏิปักษ์ ต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย

แม้แต่สมเด็จฮุนเซนของกัมพูชา ก็เป็นศัตรูของพันธมิตรฯ นับตั้งแต่จับมือกับพ.ต.ท.ทักษิณเล่นเกมล้อมประเทศไทย

แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน ที่เคยไม่กินเส้นกับนายอภิสิทธิ์

สมเด็จฮุนเซนก็กลับมาพูดคุยดีด้วย ตามมาตรฐานผู้นำเพื่อนบ้าน

สัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างผู้นำไทยกับกัมพูชา สร้างความมั่นใจจนนายอภิสิทธิ์กล้าเอ่ยปากขอตัว"อริสมันต์"

แต่สิ่งเหล่านี้สร้างความหวาดระแวง ว่าจะเป็นการสมคบกันเกี่ยวกับเรื่องดินแดนสำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ

กลายเป็นนายอภิสิทธิ์ตระบัดสัตย์ ขายชาติ

ที่น่าประหลาด นายกษิต ภิรมย์ ที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นรัฐมนตรีโควตาของพันธมิตรฯ

เคยกล้าเสียผู้เสียคน จากคำพูดยกย่องปฏิบัติการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ (อาหารดี ดนตรีไพเราะ)

ตอนนี้ ออกมาจวกพันธมิตรฯแบบไม่ไว้ไมตรี

ใช้ถ้อยคำแรงตอบโต้กลับไปว่า เป็นพวกคลั่งชาติ!

บ่นว่าขนาดคุยชี้แจงนอกรอบ จนเหมือนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

พอคล้อยหลัง แกนนำพันธมิตรฯ ก็ยืนกระต่ายขาเดียวเหมือนเดิม "ไทยเสียดินแดน"

มีการก่อกระแส จะชุมนุมปิดสะพานมัฆวานฯ กันอีกแล้ว

นอกจากเตรียมประท้วงปิดถนน ในข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ยังมีไปถึงกองทัพด้วย

เรียกร้องให้ขับไล่ทหารและคนเขมร ในพื้นที่พิพาท

พูดง่ายๆ ให้ทำสงครามกับกัมพูชา

รัฐบาลอภิสิทธิ์เวลานี้ จึงเหมือนโดนกระหนาบ จากศัตรู 2 สี แดงกับเหลือง

โจทย์ของนายอภิสิทธิ์คือจะทำอย่างไร หากมีการก่อม็อบปิดถนนกลางกรุงกันอีก ทั้งที่ยังมีพ.ร.ก. ฉุกเฉินบังคับใช้อยู่?

ขณะที่ทางกองทัพนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อในจุดยืนปกป้องสถาบันของเสื้อเหลืองสักเท่าไร

ในสถานการณ์ที่ไมตรีขาดสะบั้น น่าเชื่อว่าการปิดถนนตั้งเวทีชุมนุม

อาจไม่ง่ายเหมือนคราวก่อนๆ?

เปิดคำวินิจฉัยศาลรธน. ฟัน6ส.ส.ถือหุ้นต้องห้าม

ที่มา ข่าวสด

รายงานพิเศษ



เวลา 15.00 น. วันที่ 3 พ.ย. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดยนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ประธานวุฒิสภาและประธานสภาผู้แทน ราษฎร ส่งความเห็นกกต. ให้วินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพของ ส.ว.และส.ส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 (6)

เนื่องจากกระทำการต้องห้ามตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4) ประกอบมาตรา 48 กรณีถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อสารมวลชน โทรคมมาคม หรือบริษัทที่เป็นคู่สัญญา และเป็นสัมปทานกับรัฐหรือไม่

มีตุลาการออกนั่ง 8 คน ขาดนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ลาพักร้อนไปต่างประเทศ โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 ให้สมาชิกภาพความเป็นส.ส.ของ

1.นายสมเกียรติ ฉันทวานิช ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ 2.นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา และรมช.คมนาคม 3.นางมลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อแผ่นดิน

4.นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และรมช.มหาดไทย 5.ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส. ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย และ 6.ม.ร.ว.กิติวัฒนา (ไชยันต์) ปกมนตรี ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน

สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 (6) เนื่องจากถือครองหุ้นในธุรกิจที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ หรือคู่สัญญากับรัฐ และธุรกิจสื่อโทรคมนาคม ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265 (2) (4) ประกอบมาตรา 48

เนื่องจากขณะถือครองหุ้นดังกล่าว ผู้ถูกร้องทั้ง 6 คนมีสถานะเป็นส.ส.แล้ว โดยเริ่มนับตั้งแต่ 23 ธ.ค.50 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง

โดย นายบุญส่ง กุลบุปผา และนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยระบุเหตุผลของศาลว่า กกต.มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว และให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแสดงหลักฐานเพื่อโต้แย้งแล้ว

ขณะ ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติห้ามการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ระบุถึงการห้ามครองหุ้นในบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐทั้งทางตรงและ ทางอ้อม

ซึ่งมีความหมายว่า ต้องไม่ให้สมาชิกรัฐสภากระทำการใดๆ ที่จะเป็นการใช้อำนาจเข้าไปบริหารงาน หรือไปใช้อำนาจ

รวม ไปถึงบริษัทที่แม้ไม่รับสัมปทานโดยตรง แต่เข้าไปถือหุ้นในบริษัทในจำนวนมากพอที่จะมีอำนาจบริหารงาน หรือครอบงำกิจการได้ หรือที่เรียกว่า ′โฮลดิ้งคอมปานี′ ก็ต้องถือว่าเป็นการกระทำโดยอ้อม

แต่การต้องห้ามถือหุ้นตามมาตรา 265 คำนึงว่า ต้องไม่กระทบสิทธิเสรีภาพเกินความจำเป็น ไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพเกินวัตถุประสงค์ของกฎหมาย

ศาล ยังเห็นว่า การถือหุ้นต้องห้ามไม่ได้มีความหมายรวมไปถึงก่อนการเข้าดำรงตำแหน่งสมาชิก รัฐสภา เพราะหากรัฐธรรมนูญมีเจตนาเช่นนั้น ต้องบัญญัติไว้ เช่น การห้ามคงไว้ซึ่งหุ้นของนายกฯ และรัฐมนตรี ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 269 ด้วย

ซึ่ง หากพิจารณามาตรา 269 มิได้ห้ามนายกฯคงถือหุ้นไว้อย่างเด็ดขาด เพราะยังบัญญัติว่าหากประสงค์จะถือหุ้นดังกล่าวไว้ ก็ให้แจ้งต่อประธาน ป.ป.ช. ทราบใน 30 วัน ทั้งที่นายกฯ ใช้อำนาจบริหารและแสวงหาประโยชน์ได้มากกว่าสมาชิกรัฐสภา

ดังนั้นการห้ามถือหุ้นของฝ่ายนิติบัญญัติ จึงน่าจะเบาและผ่อนคลายกว่า

อีก ทั้งถ้ารัฐธรรมนูญจะประสงค์ห้ามคงไว้ ต้องเขียนเอาไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับอื่นที่เคยบัญญัติไว้ แต่ในรัฐธรรม นูญปัจจุบันต้องการให้เหมือนฉบับปี 2540 ซึ่งไม่มีบัญญัติห้ามการคงไว้

การที่รัฐธรรมนูญมาตรา 265 (2) (4) ประกอบมาตรา 48 บัญญัติให้เป็นเหตุแห่งการสิ้นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. และ ส.ว. ดังนั้นการจะพิจารณาว่าการกระทำตามมาตรา 265 ถือเป็นความผิดแล้วหรือไม่

ต้องหมายความว่า ส.ส.และส.ว.ต้องมีสมาชิกภาพเสียก่อน จึงจะกระทำการต้องห้ามได้

อีก ทั้งเมื่อพิจารณาถึงลักษณะต้องห้ามของส.ส.และส.ว. มิได้บัญญัติห้ามการถือครองหุ้นในบริษัทดังกล่าวเป็นคุณสมบัติต้องห้ามในการ สมัครเป็น ส.ส.และส.ว.

หากจะตีความว่า ให้รวมถึงการห้ามคงไว้ ย่อมไม่เป็นธรรมเพราะสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. และ ส.ว. จะเริ่มเมื่อวันเลือกตั้ง หรือเมื่อ กกต.ประกาศผลการสรรหาเป็นส.ว.

ดัง นั้นหากจะตีความให้หมายรวมถึงการคงไว้ด้วย ผู้สมัคร ส.ส.และส.ว. หรือผู้สมัครรับการสรรหาก็ต้องขายหุ้นก่อนวันเลือกตั้ง หรือก่อนจะประกาศผล มิเช่นนั้นผู้ได้รับเลือกตั้งจะสิ้นสมาชิกภาพทันที

ซึ่งจะเป็นการตีความตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จนทำให้เกิดผลประหลาดเกินควรและเกินความได้สัดได้ส่วน

ศาล จึงมีความเห็นด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 ว่าการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4) ประกอบมาตรา 48 ต้องกระทำหลังจากมีสมาชิกภาพเป็นส.ส.และส.ว.แล้ว

ส่วน บริษัทต้องห้ามตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4) ประกอบมาตรา 48 ต้องมีลักษณะอย่างไรนั้น ศาลเห็นว่ากิจการตามมาตรา 48 จะต้องประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุ วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม

ขณะ ที่กิจการต้องห้ามตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4) คือกิจการที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ หรือเป็นคู่สัญญากับรัฐ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน และการรับสัมปทานคือให้สิทธิในการใช้ทรัพยากรของชาติ ดังนั้นสัมปทานจึงรวมถึงการประทานบัตรไว้ด้วย

ซึ่งผู้ถูกร้องทั้ง 45 คน จะกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรม นูญหรือไม่ ศาลเห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 105 บัญญัติให้สมาชิกภาพเริ่มขึ้นตั้งแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งวันเลือกตั้งส.ส. มีขึ้นในวันที่ 23 ธ.ค.50 รวมถึงการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 20 ม.ค.51

ส่วน ส.ว. รัฐธรรมนูญมาตรา 117 บัญญัติให้สมาชิกภาพเริ่มขึ้นตั้งแต่วันเลือกตั้ง คือ 2 มี.ค.51 และวันที่กกต.ประกาศผลการสรรหา คือ 29 ก.พ.51

ส่วนนี้ ข้อเท็จจริง ปรากฏว่า นายกำธร คู่สมรสของนางนิภา พริ้งศุลกะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ตามคำร้องอ้างว่าถือหุ้นบมจ.ทางด่วนกรุงเทพ แต่ข้อเท็จจริงที่รับฟังได้คือนายกำธรไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว แต่ถือหุ้นในบมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพมาก่อนนางนิภาได้รับเลือกตั้ง

จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

เช่น เดียวกับส.ส.และส.ว.ที่ถูกร้องอีก 37 คน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าถือหุ้นมาก่อนได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.และส.ว. และก่อนได้รับการสรรหาเป็นส.ว. แม้จะยังคงถือไว้ขณะดำรงตำแหน่งก็ไม่เข้าลักษณะต้องห้าม

กรณี นายสมเกียรติ พบว่าซื้อหุ้นบมจ.ปตท. วันที่ 2 ม.ค.51 และ 23 ม.ค.51 ครั้งละ 20,000 หุ้น และวันที่ 18 ม.ค.51 อีก 10,000 หุ้น

นางนลินี ด่านชัยวิจิตร คู่สมรสนายเกื้อกูล ซื้อหุ้นบมจ.ปตท.สผ. 1,000 หุ้น เมื่อ 21 ม.ค.51

นา งมลิวัลย์ ซื้อหุ้นบมจ.ปตท. วันที่ 28 พ.ค.51 จำนวน 500 หุ้น และวันที่ 29 ก.ค. วันที่ 30 ก.ค. และ 1 ส.ค. 51 ครั้งละ 300 หุ้น ต่อมา 1 ธ.ค.51 ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 1,000 หุ้น

และยังพบว่าเข้าไปซื้อหุ้นใน บมจ.ปตท.สผ. ในวันที่ 6 ส.ค.51 จำนวน 1,000 หุ้น จากนั้น 4 ก.ย.51 ซื้อหุ้น 500 หุ้น วันที่ 6 ม.ค.52 ซื้อหุ้น 2,000 หุ้น และ 28 พ.ค.51 ซื้อหุ้นของบมจ.ทีทีแอนด์ที อีก 50,000 หุ้น

นางกาญจนา วงศ์ไตรรัตน์ คู่สมรสของนายบุญจง ซื้อหุ้นบมจ.ปตท.สผ. ในวันที่ 9 พ.ค. วันที่ 15 พ.ค. และ 10 มิ.ย.51 ครั้งละ 10,000 หุ้น และ 13 พ.ค.51 จำนวน 20,000 หุ้น

ส่วน ร.ท.ปรีชาพล ซื้อหุ้นบมจ.ปตท. ช่วงเดือนมิ.ย.51 จำนวน 30,000 หุ้น และ ม.ร.ว.กิติวัฒนา ซื้อหุ้นบมจ.ทีทีแอนด์ทีเมื่อ 2 ม.ค.51 จำนวน 50,000 หุ้น

การถือครองหุ้นของผู้ถูกร้องทั้ง 6 เป็นการถือหลังจากเป็นส.ส.แล้ว จึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าบริษัทที่ผู้ถูกร้องหรือคู่สมรสเข้าไปถือนั้น ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

ศาลเห็นว่าบมจ.ปตท. ประกอบกิจการค้าขายเชื้อเพลิง แม้ไม่ได้รับสัมปทานแบบผูกขาด แต่ลงทุนในบริษัทอื่นในลักษณะ โฮลดิ้งคอมปานี โดยเข้าไปถือหุ้นในปตท.สผ. รับสัมปทานการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมในอัตราส่วนร้อยละ 45

อีก ทั้งยังเข้าไปถือหุ้นในบมจ.ปตท.เคมิคอล ได้รับสัมปทานจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่ผลิตจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำประปาในสัดส่วนร้อยละ 49.16 ถือเป็นหุ้นจำนวนมากพอครอบงำกิจการได้

ดังนั้น การถือหุ้นบมจ.ปตท. จึงเป็นการถือหุ้นบริษัทต้องห้ามโดยทางอ้อม

ส่วน บมจ.ทีทีแอนด์ที ประกอบกิจการให้บริการโทรศัพท์ ได้รับสัมปทานจากองค์การโทรศัพท์ฯ ต่อมาแปลงสภาพเป็นบมจ.ทีโอที อีกทั้งยังประกอบโทรคมนาคมด้วย จึงมีลักษณะอันต้องห้ามตามมาตรา 265 (4)

รัฐ ธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่า การถือหุ้นเท่าใดเรียกว่าครอบงำกิจการ ดังนั้นการถือเพียงหุ้นเดียวก็เป็นการถือตามความหมาย แม้ไม่มีอำนาจบริหารก็ตาม เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติชัดเจน ป้องกันไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีช่องทางจะใช้หรือถูกใช้ตำแหน่ง หน้าที่ไปหาประโยชน์

แม้ว่าจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร ก็ต้องห้าม

การ์ตูน เซีย 04/11/53

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_123954

การ์ตูน เซีย 04/11/53

กวีประชาไท: อาจท่วมท้นถึงยอดพระสุเมรุ

ที่มา ประชาไท

ความแค้นคลั่งดั่งหนามแหลมแทงดวงจิต
หลายชีวิตสิ้นลงตรงเบื้องหน้า
แผ่นดินแดงด้วยเลือดอาบพสุธา
ช้ำเกินกว่าจะจำนรรศพเรียงราย

ความขมขื่นของทุกคนครั้งครานี้
หากไหลรี่ดั่งสายธารหลายร้อยสาย
หลายพันถิ่นที่เจ็บช้ำมิวางวาย
เป็นดั่งสายนทีที่เกรียงไกร

ความชอกช้ำระกำจิตที่ท่วมท้น
ย่อมเอ่อล้นท้นฝั่งเกินขานไข
ท่วมแผ่นดินสิ้นสมจมลงได้
กว้างเพียงไรไหลไปถึงทุกถิ่นนาม

แม้นภูผาสง่างามตระหง่านฟ้า
อาจเปื่อยตมล่มลาน้ำล้นหลาม
ค่อยค่อยเซาะเจาะพื้นจนลุกลาม
ก็พังพาบดั่งสนามลงพังภิณ

ยิ่งจับฆ่ายิ่งสะสมระทมเพิ่ม
ยิ่งสร้างเสริมก่อขยายเกินถวิล
เป็นมหาสมุทรสุดแดนดิน
ยิ่งไหลรินยิ่งเอ่อล้นเหลือคณา

อาจท่วมท้นถึงยอดพระสุเมรุ
เทวดาจะหลบเร้นที่ใดหนา
เขาอาจยุบอาจล่มถล่มมา
เทวดาจะไปไหนเมื่อไร้ทาง

แถลงการณ์ ม.เที่ยงคืน : ความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว

ที่มา ประชาไท

4 พ.ย. 2553 - กลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแถลงการณ์เรื่อง "ความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว" จากกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกตั้งคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ สั่นคลอนความไว้วางใจของสาธารณชน โดยทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้แสดงความเห็นว่า "บัดนี้ความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่ของผู้วินิจฉัยได้ อย่างชอบธรรมอีกต่อไป"

เนื้อความในแถลงการณ์ของ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จึงเสนอขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้เกิดการแสดงความรับผิดต่อ ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยประการแรก ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดต่อปัญหา ที่เกิดขึ้น และประการที่สอง คือ ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว

มหาวิทยาลัย เที่ยงคืนกล่าวในแถลงการณ์อีกว่าแม้สถาบันตุลาการจะเป็นหนึ่ง ในอำนาจอธิปไตย แต่ก็ควรได้รับการตรวจสอบ และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม มิเช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นสถาบันที่สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น ในทางตรงข้ามการมีสถาบันตุลาการที่เป็นอิสระและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง จะมีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมการเมืองไทย


แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เรื่อง ความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว

แม้ว่าข้อกล่าวหาต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏในปัจจุบัน อาจยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่ก็มีผลสั่นคลอนความไว้วางใจของสาธารณชนที่มีต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อย่างรุนแรง ซึ่งตลอดเวลานับตั้งแต่เกิดคำถามขึ้นกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กลับไม่เคยมีการชี้แจงหรือการอธิบายที่จะช่วยสร้างความมั่นใจแก่สาธารณชนใน เรื่องความเป็นอิสระ (Independence) และความเที่ยงธรรม (Impartiality) ของตุลาการแต่อย่างใด

สถาบันตุลาการมีความสำคัญยิ่งต่อการวินิจฉัยข้อพิพาทต่างๆ ในสังคม ความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรมของตุลาการเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญ ต่อการสร้างความเชื่อมั่นกับผู้คนในสังคม ว่าข้อขัดแย้งต่างๆ จะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามาตรฐานทางจรรยาบรรณในการปฏิบัติหน้าที่ของ ตุลาการอยู่ในระดับที่สูงกว่าบุคคลหรือข้าราชการโดยทั่วไป การที่ตุลาการถูกตั้งคำถามในเรื่องของความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรมจึงมี ผลกระทบรุนแรงโดยไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ถูก-ผิด การกระทำที่มัวหมองหรือชวนให้เกิดข้อสงสัยก็ถือได้ว่าเป็นเหตุที่ทำให้บุคคล ที่ดำรงตำแหน่งตุลาการไม่สมควรจะทำหน้าที่ในฐานะของผู้วินิจฉัยชี้ขาดอีกต่อ ไป

ยิ่งในห้วงเวลาที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองสูงมาก ความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรมของสถาบันตุลาการยิ่งมีความสำคัญต่อการทำให้ เกิดความไว้วางใจและการยอมรับของสาธารณะต่อคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้น หากสถาบันตุลาการถูกตั้งคำถามและปรากฏข้อสงสัยอย่างกว้างขวางดังเช่นที่ ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน ก็เป็นที่คาดหมายได้ว่าคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ไม่เพียงแต่จะยุติข้อขัดแย้งไม่ได้เท่านั้น หากยังอาจกลายเป็นเงื่อนไขซ้ำเติมความขัดแย้งในสังคมไทยให้ยกระดับสูงขึ้น อีกโสดหนึ่งด้วย

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีความเห็นว่า บัดนี้ความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงและ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่ของผู้วินิจฉัยได้อย่าง ชอบธรรมอีกต่อไป มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้เกิดการแสดงความรับผิดต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนี้

ประการแรก ให้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนลาออกจาก ตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสร้างความสงสัยต่อความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรมของตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญ โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจให้ความกระจ่างแก่ปัญหาดังกล่าวได้

ประการที่สอง ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว เพราะถึงแม้จะมีการสับเปลี่ยนตัวบุคคลที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ปัญหาพื้นฐานสำคัญประการหนึ่งก็คือ สถาบันตุลาการในสังคมไทยเป็นองค์กรที่ปราศจากระบบการตรวจสอบทั้งจากสังคมและ ระบบการเมือง ซึ่งเมื่อปราศจากการตรวจสอบ การปฏิบัติหน้าที่ก็อาจไม่ได้ดำเนินไปบนหลักการหรือมาตรฐานที่ถูกต้องชอบ ธรรม

สถาบันตุลาการเป็นสถาบันหนึ่งของอำนาจอธิปไตย แต่ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นองค์กรที่พ้นไปจากการตรวจสอบและความรับผิดแต่ อย่างใด ในระยะยาวจึงจำเป็นต้องสร้างระบบการตรวจสอบที่สัมพันธ์กับสังคมให้เกิดขึ้น เพื่อทำให้สถาบันตุลาการสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเที่ยงธรรมและเป็นที่ ยอมรับอย่างกว้างขวางในสังคม

หากปล่อยให้สถาบันตุลาการทำงานโดยไม่ มีการตรวจสอบ ปราศจากความรับผิดชอบ และไม่มีความชอบธรรม สถาบันตุลาการจะกลายเป็นองค์กรที่สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น แต่การมีสถาบันตุลาการที่เป็นอิสระและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง จะมีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมการเมืองไทย สังคมจึงต้องตระหนักและร่วมกันผลักดันทั้งในกรณีความรับผิดของตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในอนาคต

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
4 พฤศจิกายน 2553

สุชาติ นาคบางไทร เปิดใจลอดซี่กรงคุกคดีหมิ่น:ไม่ตั้งทนาย ไม่ประกัน ไม่ขออภัยโทษ ขอให้ทุกคนสู้ต่อ

ที่มา Thai E-News


ฝาก การ์ตูนเก่าๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้น้าชาติ เพื่อนร่วมรบ ก่อนจะมาเป็นคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ / จาก GAG LASVEGAS รหัสDcode' USA.702'

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
4 พฤศจิกายน 2553



"น้า ชาติจะพยายามปรับตัวให้ใช้ชีวิตอยู่ในคุกให้ได้ อาจจะใช้เวลาที่อยู่ในคุก ไปในการเขียนหนังสือ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน สู้ไปตามวิถีของตัวเองต่อไป"สมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการที่ไป เยี่ยมรายงาน


สมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ รายงานความคืบหน้าการจับกุมนายสุชาติ นาคบางไทร แกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า ได้พร้อมกันกับภรรยาและลูกสาวของนายสุชาติไปเยี่ยมเขาที่ศาลอาญา รัชดาฯ โดยถูกนำตัวมาจาก สน.ชนะสงครามส่งที่ศาลในเวลาราว 10.30น.วันที่ 2 พฤศจิกายน

พ.ต.ท.ณฐกร คุ้มทรัพย์ รองผกก.สส.สน.ชนะสงคราม ควบคุมตัวนายวราวุธ ฐานังกรณ์ หรือสุชาติ นาคบางไทร อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาขออำนาจศาลอาญา ฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน

ส่วนคำร้องฝากขัง สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2551 เวลา 18.05 -18.15 น. ผู้ต้องหาได้กล่าวปราศรัยบนเวที ที่ท้องสนามหลวง แขวงบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม. ด้วยถ้อยคำที่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาจากศาลอาญา ก่อนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้เมื่อ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ตามคำร้อง

บรรยากาศที่ศาล มีนักข่าวมาถ่ายรูปจำนวนมาก นายสุชาติดูค่อนข้างอิดโรย อาจเป็นเพราะเครียด และนอนไม่หลับ แต่ก็ยังดูเข้มแข็งและมีกำลังใจดี

เมื่อมาถึงศาล เจ้าหน้าที่นำตัวเขาเข้าไปอยู่ในห้องขังที่เป็นกรง ผู้ไปเยี่ยมรายงานว่า ก็ได้ตะโกนคุยกันนิดหน่อย ระหว่างที่นายสุชาติกินข้าวกลางวันไปด้วย

นายสุชาติแจ้งกับผู้ไปเยี่ยม ว่า ขอให้คนที่สนับสนุนเขา หยุดการต่อสู้ทางคดีไว้ทั้งหมด เพราะเขาได้ยอมรับสารภาพไปทั้งหมดแล้ว
ไม่ ขอทนาย ไม่ขอประกัน ไม่ขออภัยโทษ ดังนั้นจะไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องกับคนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองเรียกร้องประ ชาธืปไตยทั้งสิ้น ขอให้พวกเราทุกคนสบายใจ และดำเนินชีวิตไปตามปรกติ และต่อสู้ต่อไปตามวิถีของตัวเอง

"น้าชาติจะพยายามปรับตัวให้ใช้ชีวิต อยู่ในคุกให้ได้ อาจจะใช้เวลาที่อยู่ในคุก ไปในการเขียนหนังสือ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน สู้ไปตามวิถีของตัวเองต่อไป"สมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์ที่ไปเยี่ยมรายงาน

หลัง จากนั้นประมาณบ่าย 2 โมง นายสุชาติพร้อมกับผู้ต้องหาคนอื่นๆประมาณ10กว่าคน ถูกนำตัวขึ้นรถบัสของคุก ที่เป็นกรงขังและปิดกระจก เพื่อส่งตัวไปฝากขังต่อที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่เดียวกับนางสาวดารุณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ"ดา ตอปิโด"ซึ่งถูกดำเนินคดีหมิ่นฯไปก่อนหน้านี้

มี รายงานว่าจะเป็นการฝากขังเป็นผลัดละ 12 วัน ได้อีกประมาณ 7-8 ผลัด จนกว่าอัยการจะทำสำนวนฟ้องเสร็จ จึงจะถูกนำตัวกลับมาพิจารณาคดีที่ศาลอาญาอีกครั้ง

สำหรับการไปเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้เยี่ยมในเวลาราชการ ตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30น. - 17.00น.
ให้ เข้าเยี่ยมได้ครั้งละ 5 คน ระยะเวลาในการเยี่ยม 15 นาที วันละ 1 ครั้งเท่านั้น รอบเช้า หรือ รอบบ่าย "ดังนั้นหากใครอยากไปเยี่ยม ให้นัดกันล่วงหน้าก่อน แล้วไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประสานกับทางครอบครัวก่อนได้จะดีมาก เพราะครอบครัวคงไปเยี่ยมทุกวัน หากมีใครไปเยี่ยมตัดหน้าก่อนแล้ว ครอบครัวจะเยี่ยมอีกไม่ได้ในวันเดียวกัน"

ดร.สม ศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการ เขียนแสดงความเห็นในกระดานสนทนา คนเหมือนกันว่า..ความจริง มีคนบอกผมมาสักพักนึงแล้วว่า คุณสุชาติ กลับเข้ามาเมืองไทย ตอนแรกที่ผมได้ยิน ก็ตกใจและแปลกใจเหมือนกัน เห็นคนที่บอก เขาว่า เข้าใจว่าคุณสุชาติอาจจะคิดว่า ถ้าอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรให้เป็นข่าว ก็อาจจะอยู่ได้ นี่แสดงว่า ตำรวจอาจจะได้ยินข่าวคราวขึ้นมา?

เรื่องไม่สู้คดี "สารภาพ" (ไม่อุทธรณ์ ฎีกา ไม่เอาทนาย) ผมก็อ่านจากข่าวเช่นกัน

ผม เดาว่า คุณสุชาติ คงคิดในแง่ว่า ถ้าทำในลักษณะนี้ มีโอกาสที่ภายในประมาณ 2 ปี ก็สามารถเป็นอิสรภาพได้ ในกรณีที่โดนตัดสิน แล้วยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ทำนองเดียวกับคุณสุวิชา ท่าค้อ และคุณบุญยืน (ดูเหมือนจะประมาณ 2 ปีนับจากถูกจับทั้งคู่)

ดังที่ผมเคยเขียนไป ก่อนหน้านี้ เช่นกรณีคุณสุวิชา เรื่องคดี ม.112 นั้น ต้องแล้วแต่ แต่ละคนที่ต้องคดีจะตัดสินใจตามสภาพของตัวเอง (และครอบครัว) ผมไม่มีความเห็นอะไร ลักษณะของคดีนี้ มันไมใช่คดีธรรมดา โอกาสที่ ถ้าถึงขั้นฟ้องศาลแล้ว จะสู้คดี แล้วชนะ เป็นไปได้ยากมากๆ (ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าศาลตัดสินใจว่า ไม่ผิด จะไม่ยิ่งเป็น "ตัวอย่าง" ให้กับคนอื่น) ดังนั้น อย่างกรณีคุณสุวิชา คุณบุญยืน ที่ตัดสินใจในลักษณะนั้น ก็คงพอเข้าใจได้ คุณสุชาติ ก็อาจจะคิดในลักษณะคล้ายกัน

อย่างกรณีคุณดา (ตอปิโด)คงอีกหลายปี กว่าจะผ่านขั้นอุทธรณ์ และถ้าตัดสินยืนว่าผิดอีก ก็คงอีกเป็นปี กว่าจะถึงขั้นฎีกา ฯลฯ และถ้าผิดอีก ? ถึงตอนนั้น จะขอพระราชทานอภัยโทษได้หรือไม่ โอกาสอาจจะน้อยลง สรุปแล้ว มีความไม่แน่นอนสูงมาก

*********
รายงานเกี่ยวเนื่อง:สดุดีวีรประวัติ 4 ปีการลุกขึ้นสู้ของภาคพลเมือง สดุดีอิฐก้อนแรก สุชาติ ณ บางไซ

Wednesday, November 3, 2010

รอดหรือร่วง ลุ้นศาลรธน.

ที่มา บางกอกทูเดย์



คดีหุ้น44ส.ส.-ส.ว.
ต้องบอก เลยว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในยามนี้ ยิ่งกว่าเผชิญกับภาวะอุทกภัยครั้งใหญ่เสียอีก เพราะเปียกปอนกระเซอะกระเซิงอย่างยิ่งกับกรณีคลิปฉาว

ทำให้มีทั้งคำถาม มีทั้งการจับตามองการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างมากมาย จนทำให้หลายฝ่ายต่างรู้สึกไม่สบา ยใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ล่า สุดนอกจากจะโดนกดดันเรื่องความพยายามเบี่ยงประเด็นไปเน้นถึงที่มาของ คลิปดังกล่าว พร้อมกับพยายามที่จะเอาผิดกับคนที่เอาคลิปมาเปิดเผย

โดยเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเนื้อหาและข้อเท็จจริงภายในคลิป

ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก

เพราะ คำถามก็คือ หากมีการเผยแพร่คลิปนักการเมืองมีการทุจริตคอรัปชั่น มีภาพปรากฏว่ามีการหารือเจรจากันว่าต้องจ่าย 30% หรือ 35% แล้วมีการจ่ายเงินกัน บังเอิญมีผู้พบเห็นแล้วถ่ายคลิปเอาไว้

แต่ บังเอิญเป็นที่รู้กันว่านักการเมืองรายนี้เป็นผู้มีอิทธิพล ผู้ที่มีหลักฐานไม่อยากเสี่ยงออกมาแฉพฤติกรรมอย่างเปิดเผย เพราะเกรงอันตรายจะมาถึงตัว จึงใช้วิธีเอาภาพทุจริตออกมาเผยแพร่

แล้วจะกลายเป็นว่ามาเอาผิดกับคนเผยแพร่คลิป โดยที่ไม่พูดถึงพฤติกรรมของนักการเมืองในคลิปเลย ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ตลกอย่างมาก

ซึ่งกรณีของคลิปที่เกี่ยวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่น่าที่จะแตกต่างกันแต่อย่างใด

ก็เพราะแบบนี้แหละที่สังคมทุกฝ่ายพากันจับตามองในเรื่องนี้อย่างเขม็ง ว่าสุดท้ายจะมีความกระจ่างให้กับสังคมอย่างไร

สำคัญที่สุดหากสังคมเชื่อในสิ่งที่เห็นจากคลิปว่ามีมูล ตรงนี้จะกระทบกับภาพลักษณ์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมากที่สุด

เนื่องจากขณะนี้ทางตำรวจกลับไปเน้นประเด็นที่ว่า คลิปที่ออกมานั้น ใช้กล้องอะไรถ่าย???

โดย เมื่อหลายวันก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เข้ามาตรวจดูแลทำเหตุการณ์ จำลองเหมือนในคลิป ก็ยังไม่เข้าใจกันอยู่ว่าถ่ายมาจากอะไร ทางตำรวจจึงพยายามที่จะไขปริศนาว่าใช้วิธีการทางเทคนิคอย่างไรในการแอบถ่าย ครั้งนี้

จนทำให้มีการตั้งข้อสังเกคุว่า ที่อยากรู้ว่าใช้เทคนิกอะไรถ่าย เพื่อจะเอาไว้ใช้ในการป้องกันในอนาคต จะได้ไม่ถูกแอบถ่ายอีกเช่นนั้นหรือ!!!

ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนให้คนมีความเชื่อในคลิปเหบ่านั้นมากขึ้นไปอีก ว่าแบบนี้น่าจะเป็นคลิปจริง เพราะขนาดตำรวจยังจัดฉากไม่ได้เลย

ดัง นั้นต่อให้แม้ว่าจะจับตัวนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กลับมาได้ และยอมรับมีการดำเนินคดีว่าแอบถ่ายคลิปดังกล่าวก็ตาม แต่ถ้านายพสิษฐ์ยืนยันว่า แม้จะเป็นการแอบถ่ายแต่ก็เป็นคลิปที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริงๆ

ตรงนี้แหละจะยิ่งกระเทือนภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหนักขึ้นไปอีก

จึงไม่แปลกที่เริ่มมีเสียงสะท้อนให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเกิดขึ้นมาเป็นระยะๆแล้วในขณะนี้

และ ยิ่งภายในองค์กรศาลรัฐธรรมนูญเริ่มมีปัญหากันเอง เช่นกรณีที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกมาโวยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ต้องรีบออกมาชี้แจงรายละเอียดเพราะถือเป็นเรื่องสำคัญต่อองค์กรมาก

การนิ่ง เฉยของนายเชวนะจึงถูกนายวสันต์มองว่าไม่ปกป้องสถาบัน

ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่อง ไฟในนำออก ไฟนอกนำเข้า... หนักยิ่งขึ้นไปอีก

ขณะเดียวกันคดียุบพรรคประชาธิปัตย์นอกจะงวดใกล้เข้ามา ทุกทีแล้ว จากรกร๊คลิปที่เกิดขึ้น จึงทำให้ทุกภาคส่วนในสังคมตื่นตัวและหันมาจับตามองในเรื่องนี้อย่างใก้ชิด ว่าสุดท้ายแล้วคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไรกันแน่

อย่างไรก็ตาม ได้มีการออกเอกสารสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมาชี้แจงว่า กรณีคลิปวีดิโอพาดพิงศาลรัฐธรรมนูญ ขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย การตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดำเนินคดีกับผู้หมิ่นประมาท ข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางราชการนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และการแจ้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ควบคุมการเผยแพร่คลิปวีดิโอ

และขณะนี้ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้ เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ บล็อกเว็บไซต์ยูทูบ เพื่อไม่ให้บุคคลที่อยู่ในบริเวณศาลรัฐธรรมนูญเข้าเว็บไซต์ยูทูบผ่าน เซิร์ฟเวอร์ของศาลรัฐธรรมนูญ ทำผู้ที่เข้าไปดูคลิปลับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านเว็บไซต์ยูทูบไม่ได้ตลอดทั้งวัน

เลยทำให้ข้าราชการของศาลรัฐธรรมนูญวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันมากว่า เป็นการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของคนในศาลรัฐธรรมนูญ
ขณะ ที่นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง และทีมกฎหมายคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้ปรากฏตัวอยู่ในคลิปเกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า หากดูทั้งหมดจะเห็นว่าคลิปดังกล่าวไม่เกี่ยวกับพรรค เพราะนายวิรัชไปพบนายพสิฐษ์เป็นการส่วนตัว ไม่ได้บอกให้คนในพรรคทราบแม้แต่คนเดียว จึงไม่มีผลต่อการพิจารณาในคดียุบพรรคแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามคณะ กรรมการฯได้มีการสรุปออกมาว่านายวิรัช มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำไม่ถูก ไม่ควรไปพบกับนายพสิษฐ์ และเมื่อถูกถามนำก็ไม่ควรตอบให้เกี่ยวพัน โยงใยถึง ขนาดนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่านายพสิษฐ์ เป็นเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่ตัวเองเป็นทีมกฎหมายของพรรค ยิ่งไม่ควรไป เพราะผูกโยงกันอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดผลกระทบต่อพรรค ทำให้คนรู้สึกคลางแคลงใจสับสนในพรรคว่าเป็นอย่างไรกันแน่

ส่วน บทลงโทษจะกระทบต่อตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคของนายวิรัชหรือไม่นั้น อยู่ที่ดุลพินิจของหัวหน้าพรรคที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรคข้อที่ 79 คือ การตักเตือน หรือภาคทัณฑ์

ดังนั้นไม่ว่างานนี้สุดท้ายแล้วตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั่นแหละ ที่จะถูกกระทบในเรื่องภาพลักษณมากที่สุด

ดังนั้นสังคมจึงมีการจับตา มองว่า สำหรับคดีดังอีกคดีหนึ่งที่จะมีการตัดสินในวันนี้ ( 3 พ.ย.) เวลา 15.00 น. นั่นจะเป็นการทดสอบภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก่อน ที่จะถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

นั่นก็คือ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นประธาน จะร่วมกันลงมติและแถลงผลการวินิจฉัยคดีหุ้นสัมปทานของรัฐของ ส.ส.และ ส.ว. ซึ่งเป็นอีกคดีหนึ่งที่สังคมไทยจับตามองมาตลอด

โดยคดีดังกล่าวยื่น โดยประธานวุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้ร้องส่งความเห็นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ศาลวินิจฉัยความเป็นสมาชิกภาพของ ส.ส.และ ส.ว. 44 ราย ในฐานะผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

เนื่องจากกระทำการ ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ประกอบมาตรา 265 (2) และ (4) ถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อและบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ

ทั้ง นี้ ส.ส. ผู้ที่มีชื่อเข้าข่ายจะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้สิ้นสุดความเป็นสมาชิกภาพ มีทั้งสิ้น 28 ราย โดยเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ 12 ราย พรรคชาติไทยพัฒนา 1 ราย และพรรคภูมิใจไทย 2 ราย รวม 15 ราย

โดย มี ส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย คือนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก และรมว. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วนและรองนายกรัฐมนตรี นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา และ รมช. มหาดไทย นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม 

อย่างไรก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ต้องพ้นสภาพ ส.ส. ก็ไม่มีผลทำให้ 4 รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะมาตราดังกล่าวไม่มีผลผูกพันต่อการเป็นรัฐมนตรี เป็นแค่การสิ้นสภาพ ส.ส.เท่านั้น ขณะที่ฝ่ายค้านมี ส.ส .จากพรรคเพื่อไทย 8 ราย พรรคเพื่อแผ่นดิน 3 ราย โดยเป็น ส.ส.ในกลุ่มสามพี พรรคประชาราช 2 ราย

ดังนั้น จึงเท่ากับว่าหากศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ ส.ส.ทั้งหมดต้องพ้นสมาชิกสภาพ เสียง ส.ส.ซีกรัฐบาลจะหายไป 15 เสียง ส่วนเสียง ส.ส.ซีกฝ่ายค้านจะหายไป 13 เสียง จึงไม่มี ผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลในสภาฯมากนัก

ขณะที่ในส่วนของ ส.ว. ซึ่งมีชื่อถูก กกต.ส่งเรื่องมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มีทั้งสิ้น 16 ราย โดยมีทั้ง ส.ว.สรรหา และ ส.ว.เลือกตั้ง อาทิ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา นางตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา นายถาวร ลีนุตพงษ์ ส.ว.สรรหา นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล ส.ว.กาฬสินธ์ุ เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัทที่ กกต.เคยมีมติว่า เข้าข่ายเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อ และเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐตามนัยมาตรา 265 (2) (4) มีทั้งสิ้น 22 บริษัท อาทิ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัททีพีไอโพลีน จำกัด มหาชน บริษัทชินคอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัททรูคอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ในฐานะผู้ยื่นคำร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบการสิ้นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.และ ส.ว. กล่าวว่า แม้จะเป็นผู้ยื่นคำร้องแต่คงไม่เดินทางไปฟังคำตัดสิน เนื่องจากถือว่าไม่ใช่คู่กรณีโดยตรง การตัดสินกรณีดังกล่าวจะถือเป็นบรรทัดฐานตลอดนับจากนี้ไป เพราะกรณีเรื่องการถือครองหุ้นของ ส.ส.และ ส.ว. เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีการวางบรรทัดฐานมาก่อน อีกทั้งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการถือครองหุ้น โดยเฉพาะมาตรา 265 และมาตรา 267 จะได้มีความชัดเจน

โดยเฉพาะกรณีการถือครองหุ้นมาก่อนหรือหลังรับตำแหน่ง

เพราะ เดิมมีเนื้อหาระบุเพียงว่า ห้ามมิให้ ส.ส.และ ส.ว.ถือครองหุ้นที่เป็นสัมปทานกับรัฐโดยเด็ดขาด ไม่ได้มีการระบุข้อยกเว้นเหมือนกับมาตรา 269 ที่บังคับกับบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ยกเว้นให้สามารถถือครองได้ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ หรือสามารถโอนฝากไว้ที่ลูกหลานและเครือญาติได้

"ถ้าศาลตัดสินว่ามีความผิด ส.ส.ที่เป็นระบบสัดส่วน ถ้าพรรคการเมืองนั้นไม่มีให้เลื่อนขึ้นมา ก็จะต้องเว้นว่าง แต่ถ้าเป็น ส.ส.ปกติก็ต้องจัดเลือกตั้งหลายเขต ซึ่งจะมีวาระเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น ส่วนถ้าเป็น ส.ว.สรรหา ก็ต้องมาเริ่มกระบวนการคัดเลือกกลั่นกรองตัวบุคคลที่มีคุณสมบัติมาดำรง ตำแหน่งกันใหม่ ซึ่งก็มีวาระอยู่ได้ไม่ถึง 6 เดือน ดังนั้น จึงอาจไม่คุ้มค่ากับงบประมาณของหลวง หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแบบนี้ผมเห็นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ควรจะประหยัดงบประมาณแผ่นดิน ด้วยการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ไปในคราวเดียวกันเลย" นายเรืองไกรกล่าว

ม.ร.ว.กิติวัฒนา ไชยยันต์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน 1 ใน 28 ส.ส. กล่าวว่า ในวันที่ 3 พ.ย. คงขอลาประชุมสภาฯหนึ่งวันเพื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัด เพราะรู้สึกเครียดมากกับคดีนี้ หากไปร่วมฟังด้วยอาจจะช็อกคาศาลรัฐธรรมนูญก็ได้

ศาลอนุมัติหมายจับ2สาวเสื้อแดงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ-"ผบ.ทบ."ย้ำหมิ่นสถาบันต้องจัดการขั้นเด็ดขาด

ที่มา มติชน

พ.ต.อ.ทรง พล วัฒนชัย รองผู้บังคับการกองอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบก.อก.บชน.) แถลงผลการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) วันที่ 2 พฤศจิกายนที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ว่าที่ประชุมได้พิจารณาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณอนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมในวันนั้นมีภาพผู้หญิง 2 คน ได้เขียนข้อความไม่สมควร หรือไม่บังควร


พ.ต.อ.ทรงพล กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.น.ได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับบุคคลตามภาพถ่าย และศาลได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้งสองแล้วในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งได้มอบหมายให้ฝ่ายสืบสวน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำภาพถ่ายพกติดตัวไปดำเนินการสืบสวนในทุกด้านที่ คาดว่าจะปรากฏตัว เบื้องต้นผู้หญิงทั้งสองมีความผิดส่วนบุคคล แต่จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่อไปว่า จะมีการเชื่อมโยงอย่างไรต่อไป หรือแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงสนับสนุนหรือไม่ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้กำชับในเรื่องการหมิ่นสถาบันในที่ประชุม ศอฉ.ว่า หากผู้ใดทำผิดต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด


ด้าน พ.ต.ท.ณฐกร คุ้มทรัพย์ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม ควบคุมตัวนายวราวุธ ฐานังกรณ์ หรือสุชาติ นาคบางไทร อายุ 52 ปี แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน มายื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขออำนาจศาลในการฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบพยานเพิ่มเติมอีก 2 ปาก และรอผลสอบประวัติอาชญากรผู้ต้องหา พร้อมคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงและเกี่ยวข้องกับความ มั่นคง

ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ตามคำร้อง


คำ ร้องฝากขังสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551 เวลา 18.05-18.15 น. ผู้ต้องหาได้กล่าวปราศรัยบนเวที นปช.ที่ท้องสนามหลวง ด้วยถ้อยคำที่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาจากศาลอาญา ก่อนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้บริเวณศูนย์อาหารชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าเดอะแพลทินั่ม แฟชั่นมอลล์ แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กทม. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

ทำไมต้องขึ้นศาลโลก

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




กระบวนการการทวงความยุติธรรมของคนเสื้อแดงเริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว

หลัง นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของ นปช.ได้ทำรายงานเบื้องต้นส่งถึงอัยการประจำศาลอาญาระหว่างประเทศ

รายงานดังกล่าวเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่นายโรเบิร์ตพยายามโน้มน้าวให้อัยการเห็นว่าแม้ไทยไม่ได้ลงสัตยาบันไว้กับศาลอาญาระหว่างประเทศ

แต่เหตุการณ์การสลายม็อบแดงเมื่อเดือนเม.ย.และพ.ค.ที่ผ่านมาจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบสองพันราย ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ปกติ

เป็นการใช้อำนาจรัฐในการปราบปรามประชาชน

เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรง

เข้าข่ายขอบเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ

อีก ทางหนึ่ง แกนนำ นปช.นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด 1 ในเหยื่อสังหารหมู่ภายในวัดปทุมวนาราม ได้เข้ายื่นหนังสือต่อตัวแทนของ นายบัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติไปในเวลาไล่เลี่ยกัน

การร้องเลขาฯ ยูเอ็นเพื่อต้องการให้ยูเอ็นหันมาให้ความสนใจต่อคดีปราบปรามประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย

หลักฐานสำคัญที่นายจตุพรมอบให้เป็นซีดีเหตุการณ์สลายการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.เรื่อยไปจนถึงวันที่ 19 พ.ค.

เป็นซีดีที่ไม่มีการตัดต่อ

เชื่อว่า นายบัน คีมุน จะได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ภาพประชาชนถูกสไนเปอร์กระหน่ำยิงตายศพแล้วศพเล่า

ภาพอาสาพยาบาลถูกยิงดิ้นทุรนทุรายในเต็นท์กาชาด

ภาพนักข่าวต่างประเทศโดนฆ่ากลางถนน

ภาพคนเสื้อแดงใช้หนังสติ๊กยิงสู้กับปืนสงครามของเจ้าหน้าที่ สู้กับรถหุ้มเกราะ

ภาพเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบอยู่บนรางบีทีเอสเล็งปืนใส่ประชาชน

นอกจากคนเสื้อแดงแล้ว ยังมีองค์กรสิทธิมนุษยชนโลก เช่น ฮิวแมนไรต์ วอชต์ ก็ยื่นหนังสือถึงเลขาฯ ยูเอ็นเช่นกัน

เรียกร้องให้ยูเอ็นเร่งรัดให้รัฐบาลไทยตอบรับคณะทำงานของยูเอ็นที่ต้องการเข้าไปสังเกตการณ์การสอบสวนเหตุสลายม็อบในเมืองไทย

เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลนายกฯ มาร์คปฏิเสธข้อเรียกร้อง ดังกล่าว

การเคลื่อนไหวทั้งหมดจะไม่มีผลเลย หากกระบวนการสอบ สวนของไทยเป็นไปด้วยความเที่ยงตรงและโปร่งใส

แต่ที่ผ่านมาเกือบครึ่งปี รัฐบาลไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับญาติพี่น้องของผู้สูญเสียชีวิตเลย

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ขนาดตัวประธานยังบ่นอุบ หน่วยงานรัฐไม่ให้ความร่วมมือ

กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ก็อืดอาดล่าช้า ล่าสุดยังขยายเวลาการชันสูตร 91 ศพออกไปไม่มีกำหนดเสียอีก

นายกฯ มาร์คที่ประกาศปาวๆ ว่าอยากจะปรองดอง แต่กลับปล่อยให้ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตอกย้ำความแตกแยก

กล่าวหาเสื้อแดงฆ่ากันเอง

ทั้งหมดนี้เป็นข้อยืนยันได้ชัดเจนว่าการทวงความยุติธรรม 91 ศพในเมืองไทยไม่มีวี่แววเลยว่าจะบรรลุผล

ทั้งหมดนี้ยังตอกย้ำว่าหนทางเดียวก็คือต้องพึ่งศาลอาญาระหว่างประเทศ ต้องพึ่งสหประชาชาติ

ในเมื่อนายกฯ มาร์คยืนยันมาตลอดว่าไม่ใช่คนสั่งฆ่าประชาชน

ก็ต้องยอมรับการตรวจสอบในศาลโลกและยูเอ็น

ยังจะมัวบิดพลิ้วอยู่ทำไม

การ์ตูน เซีย 03/11/53

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_123652

การ์ตูน เซีย 03/11/53

ชำนาญ จันทร์เรือง: หากจะยุบศาลรัฐธรรมนูญ ต้องยุบศาลปกครองด้วย

ที่มา ประชาไท

หลัง จากที่มีการเผยแพร่ "คลิป” เกี่ยวกับคดีการยุบพรรคประชาธิปัตย์และการสอบคัดเลือกเจ้าหน้าที่ ศาลรัฐธรรมนูญออกมา ได้สร้างความสั่นสะเทือนต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญและศาลอื่นๆ ด้วย มีการเสนอให้มีการปฏิรูปศาลทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นที่มาที่ไปของบุคคลากรและองค์ประกอบขององค์กร การสรรหาและการตรวจสอบจากรัฐสภาและประชาชน

อย่างไรก็ตามการปฏิรูปศาล ทั้งระบบนั้นเป็นเรื่องใหญ่และต้องถกเถียงกัน อีกมาก เพราะแรงต้านจากองค์กรที่จะถูกปฏิรูปคงมีอย่างแน่นอนและเป็นหนังเรื่องยาว ชนิดหลายตอนจบ แต่ก็ต้องทำเพราะโลกได้หมุนไปข้างหน้ามากแล้วแต่เรายังไปไม่ถึงไหน ทั้งๆที่ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกามีเลือกตั้งผู้พิพากษากันแล้ว แต่ของเราอย่าว่าแต่เลือกตั้งผู้พิพากษาเลยแค่เพียงการตรวจสอบหรือวิพากษ์ วิจารณ์จากประชาชนยังทำได้ยากเลย

ประเด็นที่น่าสนใจเป็นปัญหาเฉพาะ หน้าขณะนี้ก็คือ การเสนอให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญให้ไปรวมกับศาลอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตัว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางนายเองที่อยากให้ยุบไปรวมกับศาลฎีกาหรือศาลปกครอง เสียให้สิ้นเรื่องหากยังยุ่งนัก ประเด็นการยุบรวมนี้ดูเผินๆอาจจะดูง่ายๆ เพราะแก้กฎหมายเสียก็เป็นอันใช้ได้ แต่อันที่จริงแล้วการมีหรือไม่มีศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องใหญ่เพราะเป็น เรื่องของระบบศาลของประเทศนั้นๆเลยทีเดียว

แต่ก่อนที่จะไปถึง ประเด็นที่ว่าไทยเราควรยุบหรือไม่ยุบศาลรัฐธรรมนูญ นั้น เรามาเข้าใจกันเสียก่อนว่าระบบศาลในโลกนี้มีอยู่ ๒ ระบบ คือ ระบบศาลเดี่ยวกับระบบศาลคู่

ระบบศาลเดี่ยว (Single Court System ) หมายถึงประเทศนั้นไม่มีการจัดตั้งศาลขึ้นมาพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับ กฎหมายมหาชนเป็นการเฉพาะ ซึ่งศาลที่ใช้กฎหมายมหาชนที่ประกอบไปด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครองก็ คือศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองนั่นเอง เมื่อไม่มีการจัดตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ในประเทศที่ใช้ระบบศาลเดี่ยวซึ่งได้แก่ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์(Common Law) ได้แก่ประเทศอังกฤษและประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศอังกฤษก็จะใช้ศาล ยุติธรรมทำหน้าที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองแทน

โดยศาลสูงสุดของ แต่ละประเทศก็จะทำหน้าที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ เช่น สหรัฐอเมริกาใช้ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (the U.S. Supreme Court) หรือศาลสูงสุดของรัฐบาลกลาง (the Federal Supreme Court) เป็นศาลรัฐธรรมนูญ อังกฤษใช้ศาลยุติธรรมสูงสุดของอังกฤษ ซึ่งหมายถึง ศาลสภาขุนนาง (House of Lords) และญี่ปุ่นก็ใช้ศาลสูงสุดของญี่ปุ่น (The Supreme Court of Japan) เป็นศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจของ ศาลปกครองนั้นจะอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมซึ่งอาจจะตั้งเป็นแผนกคดีปกครอง เป็นการเฉพาะหรือในลักษณะศาลพิเศษ(Tribunal)ขึ้นมา แต่ยังสังกัดศาลยุติธรรม

ส่วน ประเทศที่ใช้ระบบศาลคู่ (Dual Court System) นั้น หมายถึงประเทศที่มีการจัดตั้งศาลขึ้นมาพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายมหาชน เป็นการเฉพาะแยกอิสระจากศาลยุติธรรมในลักษณะคู่ขนาน ฉะนั้น คำว่าศาลคู่ในที่นี้จึงหมายความถึงคู่ขนานมิใช่ในความหมายของคำว่า”สอง” ประเทศที่ใช้ระบบศาลคู่จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีเพียงสองศาล อาจจะมีมากกว่าสองก็ได้ เช่น ในไทยเรามีทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครองและศาลทหาร และเช่นเดียวกันคำว่าศาลเดี่ยวก็ไม่จำเป็นต้องมีเพียงศาลเดียว เช่น ไทยเราก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี ๔๐ เราใช้ระบบศาลเดี่ยว แต่เราก็มีทั้งศาลยุติธรรมและศาลทหาร

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือหากประเทศใดใช้ระบบศาลคู่ก็จะต้องมีศาลปกครองกับศาลรัฐธรรมนูญ หากประเทศใดใช้ระบบศาลเดี่ยวก็จะไม่มีศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองนั่นเอง ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าขำที่มีการเสนอให้ยุบรวมศาลรัฐธรรมนูญเข้ากับศาล ยุติธรรมโดยยังคงเหลือศาลปกครองไว้

แต่ที่น่าตลกที่สุดก็คือการเสนอ ให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญไปอยู่กับศาลปกครอง เพราะโดยศักดิ์แล้วศาลรัฐธรรมนูญมีสถานะเหนือกว่าศาลปกครองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอำนาจหน้าที่ ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยว่ากฎหมายในระดับพระราชบัญญัติใด ขึ้นไปขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่ศาลปกครองมีอำนาจวินิจฉัยกฎหมายเพียงระดับกฎหมายรองคือกฎหมายในระดับที่ ต่ำกว่าพระราชบัญญัติลงมาเท่านั้น อาทิ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ฯลฯ

ในระดับตัวผู้นำขององค์กรก็ เช่นกัน ในงานพิธีต่างๆ ลำดับอาวุโสของตำแหน่งจะเรียงจากประธานศาลฎีกาก่อน ต่อด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ แล้วจึงมาถึงประธานศาลปกครองสูงสุด ฉะนั้น การที่ ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบรวมศาลฎีกาก็ยังพอฟังได้ แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะไปยุบรวมเป็นแผนกหนึ่งของศาลปกครองจึงเป็นข้อเสนอ ที่ตลกเอามากๆ

ในความเห็นของผมนั้น ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการการยุบศาลรัฐธรรมนูญเพราะนอกเหนือจาก เหตุผลที่ว่าประเทศเราใช้ระบบศาลคู่แล้ว ผลงานที่ผ่านมาตั้งแต่ปี๔๑ศาลรัฐธรรมนูญทำได้ดีพอสมควรในเรื่องของการปกป้อง คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยในหลายๆ ประเด็น อาทิ การยุบพรรคการเมืองต่างๆ หรือการตีความในกรณีรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๙๐ ฯลฯ เพราะการที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีที่มาอย่างหลากหลายย่อมทำให้การวินิจฉัย ตีความรัฐธรรมนูญย่อมทำได้ดีกว่าการที่มีที่มาจากแหล่งเดียว

เป็น ธรรมดาอยู่เองที่การใช้อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญของทุกประเทศ ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐ เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการ ใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐ เช่น รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมตลอดทั้งสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการควบคุมตรวจสอบ เป็นต้น

กอปรกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นที่สุดและเด็ดขาด มีผลผูกพันบุคคล องค์กร และหน่วยงานของรัฐทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ฉะนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องได้รับแรงเสียดทานและวิชามารจากฝ่ายการเมือง ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าตัวตุลาการเองจะต้องมีจรรยาบรรณ ความสุจริต ไม่เอาความชอบความชังส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และต้องกล้ายืนหยัดในความถูกต้อง ที่สำคัญที่สุดต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบได้ด้วย ซึ่งก็รวมถึงการถูกยื่นถอดถอนจากวุฒิสภาด้วยหากจะมีขึ้น

กล่าวโดย สรุปก็คือหากจะยุบศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาจริงๆแล้วก็ต้องยุบศาล ปกครองไปด้วย เพราะในเรื่องของระบบศาลนั้นศาลรัฐธรรมนูญกับศาลปกครองเป็นของคู่กัน แต่จะให้ดีที่สุดก็คือยังคงไว้ทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองเพราะเป็นศาล ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ส่วนตัวบุคคลก็ว่ากันเป็นรายๆ ไป เพราะกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ใครทำกรรมใดไว้ก็ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น นั่นเอง

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

สังคมข่าวชาวเสื้อแดง:ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน

ที่มา Thai E-News


ช็อตเด็ดวันนี้ ประชาชนต้องรอก่อน-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พุ่งความสนใจไปยังแผ่นภาพอะไรสักอย่าง คล้ายฟิล์มเอ็กซเรย์ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่แพทย์ ไม่รู้ว่าดูแล้วจะรู้เรื่องไหม ระหว่างเยี่ยมโรงพยาบาลหาดใหญ่โดนน้ำท่วม โดยปล่อยให้คนป่วยนอนให้น้ำเกลืออยู่บนพื้นเบื้องหน้า มีญาติดูแลกันตามมีตามเกิด ราวกับว่าไม่ได้รับความใส่ใจใยดีจากนายกฯเลย (ภาพข่าว:REUTERS)

โดย นักข่าวชาวรากหญ้า
3-7 พฤศจิกายน 2553

***ส่งไม้ต่ออนุชน

ภาพเก็บตกงานรำลึก4ปีวีระประชาชนนวมทอง ไพรวัลย์ ในภาพลูกชายและหลานสาวของลุงนวมทอง มาร่วมกิจกรรมรำลึกที่อนุสรณ์สถาน14ตุลาฯ...***

***รำลึกวีรชนชุมชนบ่อนไก่


ภาพเก็บตกงานที่ชาวชุมชนบ่อนไก่จัดกิจกรรมรำลึกผูกผ้าแดง จุดเทียนรำลึกแก่วีรชนบ่อนไก่ที่ถูกสังหารในช่วงการชุมนุมเดือนพฤษภาคม (ภาพโดย:คุณบุหลันแรม)


***กิจกรรมงานวิชาการที่ไม่น่าพลาดอย่างยิ่ง เชิญร่วมสัมมนาเรื่อง “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านหลังกรณี เม.ย.–พ.ค. 53:การแสวงหาความจริง-การรับผิด-ความยุติธรรม-ความปรองดอง” วันที่ 4 พฤศจิกายน 2553 ณ ห้อง ร.103 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดโดย ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)

8.30 - 9.00 น. ลงทะเบียน

9.00 - 9.15 น. กล่าวเปิดงาน โดย ผศ.ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอ่านบทความนำการสัมมนาเรื่อง “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านกับกรณีของประเทศไทย” ของ ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล

9.15-12.00 น. อภิปรายเรื่อง “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน: กรณีศึกษาจากต่างประเทศ”

วิทยากร
- กรณีเกาหลีใต้ โดย ดร. พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- กรณีอาร์เมเนีย โดย ดร. แดนทอง บรีน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)

- กรณีอาร์เจนตินา โดย ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักเขียนอิสระ

- กรณีกัมพูชา ชิลี แอฟริกาใต้ และกรณีเปรียบเทียบ โดย อ.ประจักษ์ ก้องกีรติคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดำเนินรายการ โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ

12.00 - 13.00 น. พักรับประทานอาหาร

13.00 – 13.15 น. สรุปเนื้อหาการอภิปรายช่วงเช้า โดย รศ.ดร. กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

13.15 - 16.30 น. เสวนาเรื่อง “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านแบบไทยๆ”วิทยากร

- ดร. ศรีประภา เพชรมีศรี ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล
- พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กรณี เม.ย.-พ.ค. 2553
- ประธานคณะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการการกฏหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร หรือตัวแทน*
- ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือตัวแทน*
- กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
- ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์*
- อนุดิษฐ์ นาครทรรพ พรรคเพื่อไทย
ดำเนินรายการ โดย ผศ. เวียงรัฐ เนติโพธิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


* หมายเหตุ อยู่ระหว่างติดต่อ***

***กำหนดการสวดศพศุขปรีดา พนมยงค์ บุตรชายคนเล็กนายปรีดี พนมยงค์

นาย ศุขปรีดา พนมยงค์ บุตรชายคนเล็กนายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ถึงแก่กรรมด้วยวัย 75 ปี เมื่อ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยได้บริจาคร่างกายให้ร.พ.ธรรมศาสตร์ พิธีศพจัดที่วัดประชาธิปไตย(วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน) 29 ต.ค.-4พ.ย. 18.30น. และจะจัดพิธีรำลึกที่สถาบันปรีดีฯ (ชมวิดิโอ หวนอาลัยศุขปรีดา พนมยงค์)

ขอ เชิญผู้ที่เคารพนับถือ ญาติมิตร ร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมศพในเวลา 18.30 น. ที่ศาลา 9/1 ก่อนจะนำร่างกายไปบริจาคที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ตามความประสงค์ของนายศุขปรีดาต่อไป (อ่านบทสัมภาษณ์ศุขปรีดา เขาพยายามทำลายชื่อเสียงผู้ก่อการ เขามีทั้งกำลังคนกำลังทรัพย์แน่นหนามาก )***


***เวบไซต์www.serichon.com จั ดกิจกรรมโยนโบว์ลิ่ง หา ทุนสนับสนุนวิทยุออนไลน์เสรีชน ที่เมเจอร์โบว์ล ชั้น6 อิมพีเรียล ลาดพร้าว เสาร์ที่ 6 พฤศจิกายนนี้ 09.00-13.00 ค่าสมัครทีมละแค่1500(3ท่านต่อทีม)ชิงถ้วยนายกฯทักษิณ หากหาทีมไม่ได้ เจ้าภาพจัดหาให้ที่หน้างาน (มาท่านเดียวแค่500)ฝีมือไม่เกี่ยว ไม่ต้องพกมา พกมาแค่ความฮากับพกเพื่อนรู้ใจ สมัครหรือขอรายละเอียดที่serichonteam@yahoo.com โทร087-0570640***


***คอนเสิร์ตใจประสานใจแจ้งย้ายสถานที่จัดงานจาก ถ.พระราม 2 สมุทรสาคร เป็น อิมพีเรียล ฮอลล์ชั้น 6 ในวันเสาร์ที่ 6 พ.ย.2นี้ เวลา 12.00 - 24.00 น. ผู้ร่วมรายการ 111 ไทยรักไทย + 37 + เพื่อไทย + นักประชาธิปไตย + นปช. จัดโดย..คณะผู้นำการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) รุ่น 1- 4 ร่วมกับ คณะวิชาการเพื่อประชาธิปไตย

ค่าบัตรเพียง 120บาท รายได้มอบให้กับพี่น้องที่ได้รับผลกระทบในเหตุชุมนุมทางการเมืองและผู้ประสบภัยน้ำท่วม***

***กลุ่ม Red Cyber "คนเสื้อแดงไม่ทิ้งกัน" จัด งานกอล์ฟการกุศล "คนเสื้อแดงไม่ทิ้งกัน" วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ที่สนามกอล์ฟเมืองเอกรังสิต ชิงถ้วย ท่าน พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรและท่านอื่น ๆ อีกมากมาย ราคาก๊วนละ 10,000 บาท สำหรับท่านที่ไม่ตีกอล์ฟ ก็ไปงานเลี้ยงตอนเย็น ราคาท่านละ 300 บาท สนใจติดต่อปุ้ยได้เลยค่ะ..โทร 082-6301700 ***


***เสื้อแดงนิวยอร์ค สหรัฐ อเมริกา ซึ่งเคยต้อนรับทองม้าร์คตอนไปประชุมUNอย่างถึงอกถึงใจเมื่อเดือนกันยายนที่ ผ่านมา จัดกิจกรรมแดงช่วยแดง วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 5.30-11.30pm ที่new broadway seafood restaurant พบปะสังสรรค์ร่วมรับประทานอาหาร และร่วมใจกันบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บจากเหตุการณ์ทรราชสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ภายในงานพบการโฟนอินจาก...(อุ๊บ!) และกิจกรรมRED POSTCARD เขียนข้อความให้กำลังใจคนเสื้อแดงทางเมืองไทย เพื่อให้รับรู้ว่ามีคนไทยในต่างแดนรักประชาธิปไตยร่วมต่อสู้ ช่วยเหลือเป็นกำลังใจให้พี่น้องเราตลอดไป รายละเอียดคลิกดูตามโปสเตอร์ข้างบน***

***เสื้อแดงเดนมาร์ค

ภาพ กิจกรรมประชุมพบปะสังสรรค์ของนปช.เดนมาร์ค กลุ่มอิสระเสรีชนที่กรุงโคเปนเฮเก้น เสื้อแดงเวลานี้มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก เพื่อเคลื่อนไหวสนับสนุนเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับมาตุภูมิ***


***กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย แนวร่วมพลเมืองไทย กลุ่มแดงเชียงใหม่ ร่วมกันจัดงาน"ลอยกระทงรักไทขับไล่อภิสิทธิ์"ขึ้นที่เวียงกุมกาม อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศร่วมงานในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ เวลา 18.00-23.30น.

โดยจุดหมุ่งหมายของงานให้สะท้อนผลงานอันอัปยศของนายอภิสิท ธิ์เวชชาชีวะ ซึ่งในงานจะมีกิจกรรมแห่กระทงการเมืองเผาอภิสิทธิ์เผา เทียนเล่นไป ปล่อยโคมลอย รำวงย้อนยุค และมีการประกวดนางนพมาศ โดยคนเสื้อแดงจะ ส่งนางนพมาศทุกอำเภอมาประกวดในงาน และจะมีการปราศรัยจากกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และปราศรัยจากกลุ่มเชียงใหม่แดง***

***ส่วนเสื้อแดงกรุงเทพฯและปริมณฑล แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ [นปช. FACEBOOK แดงทั้งแผ่นดิน] เชิญร่วมลอยกระทงชาวเสื้อแดงที่ ท่าน้ำสะพานพระราม 7 ฝั่งโรงไฟฟ้าบางกรวย (สุดสายรถเมล์ สาย 50) 21 พฤศจิกายน 6 โมงเย็นเป็นต้นไป

โดย ปกติสถานที่ดังกล่าวจะมีการจัดงานด้วยอยู่แล้ว (งานคล้ายงานวัด) เพียงแต่ครั้งนี้ เราก็ไปร่วมกันลอยกระทงที่ท่าน้ำนั้น และเดินเที่ยวงาน ถ้าเราไปกันเยอะๆ ก็เหมือนงานเสื้อแดงที่เคยจัดที่ห้างอิมพีเรียล หรือครั้งที่เราไปร่วมงานที่สวนรถไฟ ของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง งานนี้กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงร่วมด้วย***

***เแดงเถิดเทิง เริงลมหนาว ตาสว่าง


พบ กับบรรยากาศงานวัดย้อนยุค รำวงลีลาศ, แข่งยิงหนังสติ๊ก, ปาเป้า, แข่งขันร้องเพลงคาราโอเกะ (เพลงเสื้อแดง), สินค้า OTOP, เสวนาการเมือง นำทีมโดย อ.สุรชัย แซ่ด่าน, คุณโด่ง อรรถชัย พร้อมทีมเสรีชน, ศิลปิน แป๊ะ บางสนาน, ชายอิสระชน, อเล็กซ์ คนใต้, หมอลำส้มโป๊ะ, วง The Red

วัน ที่ 26-28 พ.ย 2553 ตั้งแต่เวลา 10.00 -23.00 น. ณ ตลาดไทยสุขดี คลองสี่ ลำลูกกา จ.ปทุมธานี รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย นำไปช่วยเหลือพี่น้องในเรือนจำ, สนับสนุนวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง, ช่วยแดงสู้ลมหนาว บัตรผ่านประตูเพียงท่านละ 10 บาท

โดยทีมงาน Red Cam frog, Red Cyber, สถานีวิทยุชุมคนไทยหัวใจเดียวกัน FM 102.75 MHz ติดต่อ Mivakoe Jang FB, 089-823 7143 Fullmoonnight***


เส้นทางสีแดงเดินทัพทางไกล1700กม.สู่18จังหวัดอีสาน ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมปาก

เริ่มเดินทัพทางไกล-คน เสื้อแดงเริ่มเดินทางไกลด้วยการปั่นจักรยาน และเดินทางเท้า 1700 กิโลเมตร นาน 1 เดือน โดยออกจากจุดสตาร์ท แยกราชประสงค์ ปลายทาง 18 จังหวัดภาคอีสาน เมื่อช่วงบ่าย 31 ตุลาคม กิจกรรมจะสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ (ชมภาพชุดการปล่อยขบวนจากราชประสงค์ทางface book)



โครงการ กิจกรรมเดินและปั่นจักรยานเส้นทางสีแดง 1,700 กิโลเมตรจากราชประสงค์-ปลายทางประเทศลาว ระยะเวลา 1 เดือนจาก 31 ตุลาคม ถึง 30 พฤศจิกายน โดยมีกำหนดการ และมีหลายวาระ หลายช่องทางให้คนเสื้อแดงได้มีส่วนเข้าร่วมกิจกรรม ดังกำหนดการต่อไปนี้


กำหนดการเดินทาง เส้นทางสีแดง ( Red Path Project )
18 จังหวัด 22 จุดแวะพัก ระยะทาง 1,700 กม.


วันที่ ต้นทาง ปลายทาง ระยะทาง (กม.)

31 ตค. ราชประสงค์ / คลองเปรม ปทุมธานี 46 กม.
1 พย. ปทุมธานี อยุธยา 53
2 พย. อยุธยา มวกเหล็ก 100
3 พย. มวกเหล็ก มวกเหล็ก
4 พย. มวกเหล็ก ลำตะคอง 26
5 พย. ลำตะคอง นครราชสีมา 94
..................
กิจกรรมที่โคราช

5 พ.ย. แวะไหว้หลวงพ่อโต สีคิ้ว ค้างแรม สูงเนิน
6 พ.ย. ไหว้ย่าโม เวทีคอนเสริท์ ค้างโคราช
7 พ.ย. ร่วมช่วยเหลือโรงเรียนและวัดที่ถูกน้ำท่วม ค้างโคราช
8 พ.ย. เดินทางไปบัวใหญ่
6 พ.ย. กิจกรรมแกนนอน บก.ลายจุด ร่วมเวที ค้างโคราช
7 พ.ย. ร่วมช่วยเหลือโรงเรียนและวัดที่ถูกน้ำท่วม

.............


9 พย. บัวใหญ่ ชัยภูมิ 55
10 พย. ชัยภูมิ ชุมแพ 108
11 พย. ชุมแพ ขอนแก่น 82
12 พย. ขอนแก่น ขอนแก่น
13 พย. ขอนแก่น กาฬสินธ์ 77
14 พย. กาฬสินธ์ มหาสารคาม 44
15 พย. มหาสารคาม ร้อยเอ็ด (สุวรรณภูมิ) 98
16 พย. ร้อยเอ็ด (สุวรรณภูมิ) ยโสธร 48
17 พย. ยโสธร ศรีษะเกษ (ราศีไศล) 66
18 พย. ศรีษะเกษ (ราศีไศล) ศรีษะเกษ (ราศีไศล)
19 พย. ศรีษะเกษ (ราศีไศล) อุบลราชธานี 95
20 พย. อุบลราชธานี อำนาจเจริญ 75
21 พย. อำนาจเจริญ มุกดาหาร 88
22 พย. มุกดาหาร นครพนม (ธาตุพนม) 161
23 พย. ธาตุพนม สกลนคร 48
24 พย. สกลนคร พังโคน 54
25 พย. พังโคน อุดรธานี 118
26 พย. อุดรธานี อุดรธานี
27 พย. อุดรธานี หนองคาย 51
28 พย. หนองคาย สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 12
29 พย. หนองคาย หนองคาย -
30 พย. ลาว ร่วมทอดกฐินสามัคคีพี่น้องไทย-ลาว ชมคอนเสิรท์ใหญ่ แป๊ะ คนบางสนาน และศิลปินเสื้อแดง
1 ธค. เดินทางกลับโดยรถไฟ รถด่วนขบวนที่ 762 ออกจากหนองคาย 06.00 น. ถึงหัวลำโพง 17.10 น. สิ้นสุดขบวนเดินทางที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเวลา 18.00 น. (ถ่ายรูปกับคนเสื้อแดง สื่อมวลชนถ่ายรูป ทำข่าว)


หมายเหตุ : 1. ตารางการเดินทางอาจมีการปรับเปลี่ยนในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

2. สื่อมวลชนต้องการทำข่าว ติดต่อ 081-583 6964 E-mail : red_truth_only@hotmail.co.th Face Book : เรดทรู้ธ

ผู้ต้องการสมทบทุนโครงการเส้นทางสีแดง (Red Path Project) โอนเงินสมทบได้ที่ ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาอิมพีเรียลเวิล์ด ลาดพร้าว ชื่อบช.'นายสุพิน ชินบุตร และ/หรือ นายธนะสิทธิ์ พิพุฒ และ/หรือ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บช.ออมทรัพย์เลขที่ 224-241343-5'

กิจกรรมนี้มีกันทั่วโลก ต่างประเทศ นำโดยคุณคอนเนอร์ เพอร์เซล ชาว ออสเตรเลียที่ติดคุกในไทยเพราะขึ้นปราศรัยเวทีเสื้อแดงที่ผ่านมา และได้ออกจากคุกแล้ว จัดงานพร้อมกันกับที่ขบวนแรลรี่ปั่นจักรยานโครงการเส้นทางสีแดง


โครงการ เส้นทางสีแดง (Red Path Project) เป็นโครงการด้านมนุษยธรรมเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการสังหารหมู่ใน วันที่ 10 เมย.และ 13-19 พค.ที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนชาวไทยที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โครงการนี้ดำเนินการโดยไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดๆ

โดยโครงการ นี้มีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวแกนนำนปช.และผู้ต้องขังในคดี ชุมนุม เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปฏิบัติ 2 มาตรฐานทางกฏหมาย และเรียกร้องให้นานาชาติได้หันมาตระหนักและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการละเมิด สิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงหลังรัฐประหาร 19 กย. 2549

โครงการนี้มี คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ (แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง) และอาจารย์ธิดา โตจิราการ เป็นที่ปรึกษาโครงการในประเทศไทย และมีคุณพอร์แชล คอนเนอร์ (อดีตนายทหารบกออสเตรเลียที่ถูกจับกุมคุมขังและถูกซ้อมอย่างทารุณในเรือนจำ คลองเปรม) เป็นสมาชิกกลุ่มและที่ปรึกษาโครงการในต่างประเทศ

โครงการ เส้นทางสีแดงประกอบด้วยคนเสื้อแดงที่รักความเป็นธรรมและมีความมุ่งมั่นที่จะ นำน้ำใจและความช่วยเหลือมอบให้แก่พี่น้องเสื้อแดงที่อีสานซึ่งได้รับผลกระทบ จากการสังหารหมู่ มากที่สุด คนเสื้อแดงในภาคอีสานจำนวนมากถูกสังหาร บาดเจ็บ พิการ และสูญหายอีกจำนวนมาก สมาชิกโครงการจะร่วมกันเดินเท้าและปั่นจักรยานเพื่อไปเยี่ยมเยียน เยียวยา และให้กำลังใจบุคคลที่น่าเห็นใจเหล่านี้ได้มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป และไม่ย่อท้อที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงที่พวกเขาโหยหามาชั่ว ชีวิต***

*************



สดุดีวีรประวัติ 4 ปีการลุกขึ้นสู้ของภาคพลเมือง สดุดีอิฐก้อนแรก สุชาติ ณ บางไซ
***เมื่อ 1พ.ย.53ตำรวจกองปราบฯ นำกำลังเข้าจับกุม นายวราวุธ ฐานังกรณ์ หรือ สุชาติ นาคบางไทร อดีตแกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มการเมืองภาคประชาชนกลุ่มแรกที่เปิดตัวต่อต้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ความ บังเอิญอยู่ที่สุชาติถูกจับในวันที่ 1 พฤศจิกายนปีนี้ อันตรงกับวันแรกที่เขาเปิดตัวเป็นผู้นำกลุ่มคนวันเสาร์เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2549 หรือครบรอบ 4 ปีแห่งการต่อต้านรัฐประหาร
ตำรวจ อ้างเหตุการจับกุมว่า สืบเนื่องจากนายสุชาติ ได้ขี้นกล่าวปราศรัยเวที นปช.ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551 โดยมีเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง

การเข้าจับกุมตัวสุชาติได้ เมื่อวานนี้ ขณะกำลังนั่งรับประทานอาหาร ที่บริเวณศูนย์อาหาร ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าแพลททินั่มแฟชั่นมอลล์ สอบถามผู้ต้องหา ให้การยอมรับเป็นบุคคลตามหมายจับจริง ซึ่งในวันนี้ได้กลับมาหาลูกที่ กทม. และนัดมารับประทานอาหารด้วยกัน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม เพื่อดำเนินคดีต่อไป***

***สุชาติจะหมิ่นหรือไม่หมิ่นฯตามข้อกล่าวหา สิ่ง ที่เราอยากเรียกร้องจากกระบวนการยุติธรรมคือต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ประกัน ตัว ไม่ใช่จับยัดคุกขังลืมเหมือนดา ตอร์ปิโด หรือใครๆที่โดนคดีนี้ และเขาจะผิดหรือถูกนั่นเป็นเรื่องที่ต้องว่ากันตามกระบวนยุติธรรมที่เป็นธรรม...ดังนั้นวันนี้มารำลึกวีรประวัติการต่อสู้เบื้องแรกของภาคประชาชน ก่อน จะคลี่คลายขยายตัวมาเป็นเสื้อแดงทั่วไทย ฝ่ายประชาธิปไตยทั่วมุมโลกอย่างที่เห็นกันเวลานี้ ซึ่งจะทำให้เห็นคุณูปการอันสำคัญของสุชาติกับกลุ่มคนวันเสาร์...

***หลังรัฐประหาร19 กันยายน 2549 คนแรกที่ออกมาต้องบันทึกเป็นเกียรติยศแก่ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร และทวี ไกรคุปต์ นักการเมืองอาวุโส แต่เพราะมาน้อยเป็นวีรชนลุยเดี่ยว เลยโดนพวกมันหิ้วขึ้นรถตู้ไปเก็บที่เซฟเฮาส์ทันควัน***

***พอวันรุ่งขึ้น กลุ่มเครือข่าย19กันยาต้านรัฐประหาร ซึ่งเป็นการรวมตัวกันหลวมๆของนักกิจกรรมนักศึกษาเก่าค่ายธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ บวกกับบก.ลายจุด และอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ ก็พากันแต่งดำไป ยกป้ายประท้วงที่ห้างแห่งหนึ่ง ไม่สนกฎอัยการศึกห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน เพราะไปกัน5คนพอดี แม้แต่การจัดชุมนุมที่สนามบอลธรรมศาสตร์ไปกันเป็นร้อย แต่ก็ซอยแบ่งเป็นวงละ5คน รวมแล้วก็ไม่เกิน5 ไม่ผิดกฎหมายเผด็จการ...นี่เป็นตำนานบทแรกของการลุกขึ้นสู้"ภาคพลเมือง"คือประท้วงแบบ"ดื้อแพ่ง"เชิงสัญลักษณ์ต่อกฎเกณฑ์เผด็จการ***

***ต่อมาพวกคณะรัฐประหารก็สะดุ้งเฮือกไปมา แล้วหาว่าทักษิณมี"คลื่นใต้น้ำ"จะต่อต้านการรัฐประหาร แต่ก็ไม่เห็นโผล่ซักที มีกระทาชายนายหนึ่งโผล่มาจากรู ใช้ชื่อแฝงว่า"เตมูจิน"คุย คำเขื่องว่าจะระดมคนมาต้านคมช.เป็นหมื่น ฝ่ายประชาธิปไตยก็เห็นหน่วยก้านพอพึ่งพาได้ เลยโดดจะไปร่วม แต่ก็ออกอาการแปลกๆคือไปจัดแถลงข่าวที่โรงแรมรอยัลก็ให้พวกกองเชียร์ควักค่า ห้องประชุมแถลงข่าว ค่ากาแฟด้วย พอจะไปหา"บังสนธิ"หัว หน้า คณะรัฐประหารเพื่อยื่นข้อเรียกร้อง ก็ไม่องอาจมาดผู้นำการต่อต้าน หากแต่"กุมไข่"เข้าไป"ขอรับๆๆ"เป็นหลัก พอวันนัดหมายที่สนามหลวงที่ว่าจะมีคนขนมาเป็นหมื่นก็หาย นายเตมูจินเลยกลายเป็น"คลื่นใต้น้ำลวงโลก" บรรดากองเชียร์ก็เลยเลิกพึ่งพาอาศัย แล้วหันมาพึ่งตัวเองแทน***

***1 พฤศจิกายน 2549 หลังรัฐประหาร 19 กันยายนไม่นานนัก และหลังลุงนวมทอง ไพรวัลย์ "เสียสละ"ไป1วันเพื่อปลุกสังคมไทยให้ออกมาต้านเผด็จการและทวงประชาธิปไตย กลุ่มคนใส่ชุดดำก็ ปรากฎตัวที่ท้องสนามหลวงฝั่งธรรมศาสตร์ มีเก้าอี้เล็กๆ 1 ตัว โทรโข่ง 1 อันไม่มีใครมีชื่อเสียงบิ๊กเนม เป็นผู้นำอะไรมาก่อนทั้งนั้น มีสิ่งเดียวคือหัวใจที่จะขับไสเผด็จการ เรียกร้องประชาธิปไตยคืนมา***

***เนื่องจากกลุ่มคนที่ไปรวมตัวต้านรัฐประหารที่สนามหลวงนี้เป็นคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ วันปกติต้องทำมาหากิน พอวันอาทิตย์เป็นวันfamily dayก็เลยนัดหมายเจอกันทุกวันเสาร์ นั่นคือปฐมบทของ"คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ"

แกน นำก็ต้องหาชื่อแฝงไปก่อน จะสมศักดิ์ สมชาย สมหญิง หรือสุชาติก็ว่ากันไป และเนื่องจากเป็นภาคพลเมืองของแท้ไร้การจัดตั้งใดๆ ก็เปรียบเสมือนการต่อสู้ของชาว"บางระจัน" เพียงแต่บางระจันยุคนี้มันเป็นยุค"ไซออน"แล้ว ก็เลยกลายเป็นรหัสวงในนัดหมายกันว่าพวกเขาคือชาว "บางไซ(ออน)" พอนักข่าวมาถามแกนนำที่ถือโทรโข่งบนเวทีว่าชื่อแซ่อะไรไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาตอบไปว่า"ผมชื่อ สุชาติ ณ บางไซ" นักข่าวเลยส่งเข้าไปที่โรงพิมพ์เป็น"สุชาติ นาคบางไทร" ที่ไปที่มาจุดเริ่มต้นของคนวันเสาร์ ขบวนการที่เป็นหน่อเนื้อเสื้อแดงในเวลาต่อมา ก็เริ่มต้นจากตรงนั้นนั่นเอง***

***การต่อสู้ของภาคประชาชนเบื้องต้นก็ต้องบอกว่าใครคิดอะไรได้ก็ทำไป ดังที่ปรากฎว่าขณะที่"สุชาติ นาคบางไทร"กำลังเหยียบเก้าอี้หัวโล้นอยู่ท่ามกลางพี่น้องนับร้อยที่สนามหลวง เมื่อ 1 พฤศจิกายน 49 นั้น ภายในธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์เองทางบก.ลายจุดและเครือข่าย19กันยาต้านรัฐประหารก็รวมพลคนกลุ่มหนึ่งอยู่แถวสนามบอลธรรมศาสตร์แล้วพอได้ที่ก็เคลื่อนขบวนออกจากธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์เพื่อไปประท้วงที่หน้ากองทัพบก

ระหว่างเดินผ่านสนามหลวงที่สุชาติ นาคบางไทรกำลังยืนบนเก้าอี้ใช้โทรโข่งด่าคมช.นั้น ก็มีเสียงหนึ่งแทรกมาว่า"เฮ้ยๆนั่นใช่พวกเราพวกต้านรัฐประหารใช่มั๊ย เห็นใส่เสื้อดำเหมือนกัน"ทาง ฝ่ายที่กำลังเดินขบวนบอก"ใช่" พวกสนามหลวงก็ยุติการอภิปรายแล้วแห่เข้ามาร่วมเดินขบวนไปยังหน้ากองทัพบก คนตอนนั้นนับช่วยแล้วเต็มที่คือซัก 300 คนเห็นจะได้..แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นให้มีเสื้อแดงเรือนแสนเรือนล้านเป็นไฟ ลามทุ่งในเวลาต่อมา***

***นั่นเป็นการเดินขบวนหนแรกที่จัดการโดย เครือข่าย 19 กันยาต้านรัฐประหาร เป็นวันแรกที่เป็นจุดกำเนิดคนวันเสาร์ ทั้ง2กลุ่มหลอมรวมไปหน้ากองทัพบกโดยมิได้นัดหมาย และประการสำคัญทั้งที่ปลายฝนต้นหนาวแล้วก็ตาม พอขบวนเคลื่อนไปถึงหน้ากองทัพบก ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ เปียกกันมะล้อกมะแล้กไปตามๆกัน ฝนยังอยู่คู่ฝ่ายประชาธิปไตยเรื่อยมา บางทีหลายครั้งก็มานอกฤดูหน้าตาเฉย!

แต่ภาคประชาชนอย่างเครือ ข่าย19กันยาฯ และคนวันเสาร์ฯค่อยลดบทบาทลง เมื่อทัพหลวงอย่าง3เกลอเริ่มออกศึกในปีถัดมา...แต่เมื่อไหร่ที่ภารกิจเรียก ร้อง แน่นอนว่า ภาคประชาชนไม่ได้ลี้กายสลายตัวไปไหน พวกเราจะกลับมา ด้วยวุฒิภาวะที่แกร่งกล้า ประสบการณ์ที่แกร่งกร้าน และยุทธวิธีที่จัดเจนขึ้นกว่าเมื่อแรก เป็นแน่***

***และควรบันทึก ไว้เป็นวีรประวัติการต่อสู้ของภาคพลเมืองไทยด้วยว่า นับจากจุดเริ่มต้นการลุกขึ้นสู้ของภาคพลเมืองเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 สิงหาคม 2550 ก็เป็นครั้งแรกที่ภาคพลเมืองผู้เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยพากันใส่"เสื้อแดง"ออกสู่ท้องถนนปรากฎต่อโลกเป็นครั้งแรก

โดยจุดเริ่มต้นไอเดียมาจากใครยังต้องตามหาเพื่อให้"เครดิต"กันต่อไป แต่คนแรกที่กำหนดสีสัญลักษณ์และนำพาการรณรงค์คือบก.ลายจุด-สมบัติ บุญงามอนงค์ โดยตอนนั้นฝ่ายอำมาตย์จะเข็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ2550ให้ผ่านจงได้ ฝ่ายประชาธิปไตยจึงใช้สัญลักษณ์สีแดง เหมือนกับ"ไฟแดง"ไม่ให้ผ่านออกมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญ

ผลสรุปจบลงที่ฝ่ายอำมาตย์ใช้อำนาจทุกทางผ่านได้ฉิวเฉียด51:49% และสีแดงได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้อันสง่างามและมีเกียรตินับแต่นั้น***

Monday, November 1, 2010

สามพี่น้องลูก"ทักษิณ"แจกของช่วยน้ำท่วมกรุงเก่า น้ำตาซึมเห็นเสื้อแดงชูรูปพ่อ

ที่มา มติชน



ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. คณะของสถานีโทรทัศน์ ดาวเทียม วอยซ์ทีวี นำโดยนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค นางสาวพินทองทา ชินวัตร หรือเอม และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำสิ่งของบรรเทาทุกข์มาแจกจ่ายพี่น้องประชาชนชาว ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ถูกน้ำท่วมอย่างหนักนานกว่า 6 สัปดาห์แล้ว โดยมีนายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย นำชาวบ้านจำนวน 1,300 ครัวเรือของตำบลรับแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์


ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านที่สวมเสื้อแดง และพี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนมาก สวมเสื้อแดงและถือป้ายเขียนข้อความอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย และชูป้ายภาพของอดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมตะโกนขอบคุณท่านทักษิณที่สนใจประชาชนถูกน้ำท่วมและอยากให้ท่านกลับ ประเทศโดยเร็วที่สุด ทำให้นางสาวแพทองธาร ถึงกับน้ำตาซึมและบอกกับพี่สาวว่า "หนูเห็นภาพพ่อแบบนี้ หนูคิดถึงพ่อมาก"