WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, August 2, 2010

5_กิจกรรมวันอาทิตย์.flv

ที่มา Voice TV



1_ขอคืนพื้นที่ความจริงตอน14.flv



รายงานพิเศษขอคืนพื้นที่ความจริงเมษา - พฤษภา 53 ตอนที่ 14 วันนี้ เป็นความสูญเสียจากเหตุปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับกองกำลังทหารในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

10_Flashforword010853_WEB.flv



ประเด็นร้อนทางการเมืองสัปดาห์นี้ นอกจากเรื่องปัญหาการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนบนปราสาทพระวิหาร จนทำให้ชายแดนไทย- กัมพูชาตึงเครียดแล้ว ยังมีระเบิดการเมืองอีกอย่างน้อย 2 ลูกที่ทำให้บรรยากาศการเมืองอยู่ในภาวะอึมครึม และดูท่าทีว่ารัฐบาลจะยังต้องคงพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพฯต่อไป

ตีตรวนนปช.ตีแสกหน้ารัฐบาล

ที่มา Asia Update TV



สรุปข่าวในรอบวัน 01-08-53



คอลัมน์อัพเดท 01-08-53



เลขามูลนิธิผู้บริโภค ตำหนิแพทยสภาไม่ปกป้อง

"เพื่อไทย"แฉพิรุธ"เขาแพง"อีก พบ 2 ปม"จำลอง"หลุดปากส.ค.1เลขที่97 นำไปออกน.ส.3ก.ให้ลูก"สุเทพ"ได้อย่างไร

ที่มา มติชน


นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย คณะทำงานติดตามตรวจสอบการถือครองที่ดินกรณีเขาแพง แถลงที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ว่า จากการตรวจสอบการยึดครองที่ดินเขาแพง ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีความคืบหน้ามาก โดยพบว่ามีทั้งนักการเมืองและผู้มีอิทธิพล ใช้ทุกวิถีทางเพื่อเข้าไปยึดครองที่ดินบนเขาแพง ล่าสุด จากการตรวจสอบจากเอกสารที่กรมที่ดินส่งมาให้ ปรากฏว่า ส.ค.1 บางฉบับและเป็นฉบับที่สำคัญ คือ ฉบับที่ 97 ที่เจ้าของที่แท้จริง คือ นายเชื่อม ศรีแผ้ว ซึ่งจากหลักฐานที่กรมที่ดินส่งมาแสดงให้เห็นว่า ส.ค.1 เลขที่ดังกล่าว ได้นำไปออกเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 84 แล้ว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2519 แต่นายจำลอง โพธิ์เพชร หัวหน้าสำนักงานที่ดินสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ว่าที่ดินแปลงของ ส.ค.1 เลขที่ 97 ได้นำไปออก น.ส.3 ก. ให้นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นแปลงที่อยู่ตรงกลางของผืนใหญ่ทั้งหมด ส่วนเอกสารการออกเอกสารสิทธิและ ส.ค.1 ได้หายไปจากสารบบ คำชี้แจงของนายจำลองคือพิรุธสำคัญที่หาไม่เจอ เพราะเอาไปออก น.ส.3 ก. เลขที่ 84 ให้นายเชื่อมแล้วใช่หรือไม่ โดยในการประชุม กมธ.สัปดาห์นี้ จะได้ตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป


นายประเกียรติกล่าวว่า นอกจากนี้ สำหรับวิธีการพลิกแพลงให้นายทุนเข้าครอบครองที่ดินกรณีของนายแทนยังพบว่า ตามปกติแล้วขั้นตอนการออก น.ส.3 ก. ที่นำ ส.ค.1 มาออกนั้น จะระบุเนื้อที่ของที่ดินตั้งต้นจาก ส.ค.1 ไว้ ว่ามีกี่ไร่ แต่กรณีของนายแทน จากเอกสารทะเบียนการครอบครองที่ดินที่กรมที่ดินส่งมา พบว่าในการออก น.ส.3 ก. เลขที่ 1894, 1895 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 ซึ่งออกจาก ส.ค.1 ได้เนื้อที่ในขั้นออก น.ส.3 ก. จำนวน 83 ไร่ ซึ่งทั้งหมดได้ตัดแบ่งให้นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในภายหลัง ซึ่งพบว่ามีการลบเนื้อที่ตั้งต้นออก ถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ภาษาราชการเรียกว่า ปลอมแปลงเอกสาร (ดูภาพประกอบ) ดังนั้น เมื่อพบการกระทำความผิดชัดเจนเช่นนี้ ขอเรียกร้องไปยังอธิบดีกรมที่ดิน ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวทั้งหมดภายใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นคณะทำงานจะทำเรื่องเสนอเป็นขั้นตอนนำสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกองปราบ


ด้านนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร คณะทำงานติดตามตรวจสอบการถือครองที่ดินเขาแพง กล่าวว่า ในเมื่อเอกสาร ส.ค.1 เลขที่ 97 ได้นำไปออก น.ส.3 ก. เลขที่ 84 แล้ว ดังนั้น ที่ดินของนายแทนเอา ส.ค.1 ที่ไหนมาออกได้อีก ขอให้อธิบดีกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอน ไม่เช่นนั้นจะถูกร้องต่อ ป.ป.ช.และกองปราบแน่นอน พรรคเพื่อไทยได้เอกสารที่มีการเซ็นรับรองจากกรมที่ดินชัดเจนและอ้างอิงได้ ดังนั้น เมื่อ ส.ค.1 มิชอบ แสดงว่าออกโฉนดมิชอบด้วย


ด้านนายธนู แนบเนียน รองเลขาธิการสมัชชาองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการองค์ความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติอันดามัน เปิดเผยว่า เครือข่ายได้มองเห็นปัญหากรณีของเขาแพง อ.เกาะสมุย แล้ว หวั่นวิตกว่าพื้นที่ชายฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่ไข่แดงของการท่องเที่ยวทั้งใน จ.ภูเก็ต และพังงา จะมีสภาพเหมือนเขาแพง กล่าวคือ มีการก่อสร้างบนพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงและมีความสูงมากกว่า 80 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทั้งนี้ พื้นที่ จ.ภูเก็ต จะประกาศใช้ผังเมืองใหม่ และมีกฎหมายทางด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น ยังมีประเด็นการขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ คือ การก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญส่วนตัว ซึ่งปัจจุบันมีท่าเทียบเรือในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และพังงา จำนวน 16 แห่ง และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามนโยบายแผนการพัฒนายุทธศาสตร์จังหวัดทางด้านการท่องเที่ยวทางทะเลกลุ่มจังหวัดอันดามัน ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น แหล่งปะการัง แหล่งหญ้าทะเล รวมทั้งพื้นที่วางไข่ของเต่าทะเล เป็นต้น


"ในส่วน จ.พังงา มีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหลังจากที่เกิดภัยธรรมชาติสึนามิแล้ว แต่เนื่องจากจะหมดอายุลงจึงเป็นห่วงว่าจะไม่แตกต่างจาก จ.ภูเก็ตŽ นายธนูกล่าว และว่า ชาวบ้านภูเก็ตและพังงา ยังมีความคาดหวังในตัวนายกรัฐมนตรีว่าน่าจะเป็นผู้ที่มีจิตใจอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านจึงยื่นหนังสือเรียกร้อง 6 ข้อไปแล้ว และแกนนำชาวบ้านก็ติดตามต่อไปว่านายกรัฐมนตรีรับปากชาวบ้านแล้วจะจริงจังจริงใจหรือไม่อย่างไร" นายธนูกล่าว

"สุเทพ"ซัดเอง ปชป.เก่งด่าเพื่อนไม่แพ้ใครติดวิธีแบบ"เทพไท"ชวนปฏิรูปตัวเองเริ่มจากการคิดบวก-สร้างสรรค์

ที่มา มติชน


สมัชชาแนะ"ปชป."แบ่งเลือดใหม่-เก่า


สำหรับบรรยากาศการประชุมสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ หัวข้อ"รวมพลังแก้ไขวิกฤตชาติ" ซึ่งเป็นการสัมมนาวันที่สอง ที่โรงแรมเมอร์ลิน บีช รีสอร์ต จ.ภูเก็ต เริ่มต้นในเวลา 09.00 น. วันที่ 1 สิงหาคม โดยจัดกิจกรรมในหัวข้อ "รวมพลังสร้างภูเก็ต" โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด กำนันผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนพ่อค้าแม่ค้า กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ชาวประมง ผู้ใช้แรงงานภาคท่องเที่ยว ฯลฯ กว่า 100 คนเข้าร่วม โดยมีรัฐมนตรี กรรมการบริหาร และ ส.ส.ปชป.อาทิ นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ปชป. นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี สังเกตการณ์อยู่โดยรอบ เพื่อเป็นต้นแบบในการนำไปทำให้สาขา ปชป.ในแต่ละจังหวัดเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยนายชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวนำการประชุม


ช่วงแรกทีมงานนายชัยวัฒน์เล่าถึงประสบการณ์ในการจัดสมัชชา เนื้อหาส่วนใหญ่ เน้นพูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็น ไม่สนใจสีเสื้อ ให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม โดยเอ็นจีโอรายหนึ่งระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการ ปชป.สั่งให้ ส.ส.ทุกคนไปจัดสมัชชาทั่วประเทศ เพราะหวังจะให้ ปชป.หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชน แต่ตนพบว่า ขณะนี้มีปัญหา 2 ลักษณะ หนึ่ง มวลชนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ปชป.มีที่นั่งแข็งแรง แต่คนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจการเมืองมากขึ้น ปชป.ยังแปลกแยกอยู่พอสมควร ปชป.จึงต้องหาคนที่มีความสามารถในการคุย ไปทำให้ชาวบ้านฝันร่วมกันให้ได้ โดยให้ทำตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับชาติ


"สุเทพ"ซัดเองปชป.เก่งด่าเพื่อน


ต่อมาเวลา 11.15 น. นายสุเทพกล่าวปิดการสัมมนาเป็นภาษาใต้ว่า การประชุมสัมมนา ปชป.ทุกครั้งที่มาถึงก็มีแต่คนพูดๆ แต่วันนี้เชิญวิทยากรมานำเสนอแนวทาง วิธีการในการระดมความคิดในเชิงบวก เพื่อให้สมาชิกทั้งหลายได้นำไปฝึก ไปปฏิบัติ ถึงจะเห็นว่าเป็นวิธีการที่ได้ผล ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะการเมืองในวันนี้และวันต่อไปข้างหน้า เป็นการเมืองที่ต้องระดมความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ เข้ามาด้วยกัน แล้วต้องเอาเรื่องที่ดีและสร้างสรรค์ พวกเรา ปชป.มีความสามารถอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ด่าเพื่อน ทั้งในที่ประชุมพรรค และที่ประชุมสภา เรื่องด่าเพื่อนไม่มีแพ้ใครเลย จนทำให้เราลืมสิ่งดีๆ วิธีการพูดดีๆ ชักชวนให้เดินไปกับเราดีๆ เราลืม เราขาด เราเลยติดวิธีการแบบนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้า ปชป.ทำเป็นประจำ


บอกให้หยุดด่า-ชวนเพื่อนมีส่วนร่วม


นายสุเทพกล่าวว่า ปชป.ต้องพัฒนากันใหม่ จะไปชวนให้คนอื่นพัฒนาประเทศไทย เราต้องปฏิรูปตัวเองก่อน ต้องหยุดด่าเพื่อน และชวนเพื่อนคุย คิดไปในทางที่ดี ทางที่บวก ทางที่สร้างสรรค์ปชป.อยู่มาได้ถึง 65 ปี เป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่อยู่ในประเทศไทย ที่อยู่มาได้ไม่ใช่เพราะตัวหัวหน้าพรรค แต่เพราะประชาชน พวกหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ส.ส.ปชป.อย่าไปไว้ใจมักมาก เพราะเลขาธิการพรรคกว่า 90% ออกจากพรรคทั้งหมด ตั้งแต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ มาจนถึง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ และอดีตหัวหน้า ปชป.บางคนออกไปแล้วด่าพรรคไม่หยุดก็มี เมื่อมาถึงเวลานี้ที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป การเมืองเป็นการเมืองภาคประชาชน ดังนั้นเราต้องชวนคนเข้ามามีส่วนร่วม

ใบ้การเมืองหวาดเสียวให้รีบทำงาน


"เราไม่มีเวลานาน ต้องรีบทำ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองหวาดเสียวเหลือเกิน ผมมีประสบการณ์ใน 1-2 ปี เป็นเวลาที่ทุกข์ยากที่สุดในชีวิตการเมือง สถาบันถูกเอามาโจมตี ระบบประชาธิปไตยเกือบจะอยู่ไม่ได้ เกือบจะไปไม่รอด บ้านเมืองเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง กลียุค อันตรายมาก ชาวภูเก็ตทั้งหลายเป็นประชาชนรุ่นปฏิรูปรุ่นแรก และเราจะไปทำทุกจังหวัด จะยกระดับให้สมาชิก ปชป.มาเป็นผู้นำการเมือง ผู้นำมวลชน ผมอยากบอกกับสมาชิก ปชป.ทั้งหลายว่านายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายปรองดองสมานฉันท์ เพราะถ้าไม่ปรองดองสมานฉันท์ เราจะเป็นเหมือนอิรัก หรือหลายประเทศที่รบกันอยู่" นายสุเทพกล่าว


เลขาธิการ ปชป.กล่าวว่า เราต้องไม่สร้างศัตรูเพิ่ม ที่เคยด่าเพื่อนหยุดไว้ก่อน ให้ฝึกความชำนาญเรื่องอื่น ต้องเลิกทำตัวเป็นศัตรูกับข้าราชการ และมีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน แต่ต้องดึงทุกคนเข้ามาร่วมงาน มาเป็นพวก มาสนับสนุน และตั้งเป้าไว้ว่าใน 12 เดือนข้างหน้า ส.ส.ทุกคนต้องสร้างให้ได้ถึง 3,000 คน ให้ทำหน้าที่เหมือน ส.ส. คือ 1.พูดกับประชาชน ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ทันสมัย ทันเหตุการณ์ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ของพรรคในแต่ละพื้นที่ และ 2.ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้นำของชุมชน มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับเพื่อน ข้อสำคัญสมาชิก ปชป.ต้องจ่ายค่าบำรุงพรรคทุกคน จะชักดาบไม่ได้แล้ว เพราะ ปชป.จะอยู่ไม่ได้

แจกซีดีเคลียร์ปม"รบ.ฆ่าปชช."


"เราต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของเขา ถ้าต้องไปกราบไหว้ขอเงินเป็นหนี้บุญคุณเขา วันข้างหน้าจะทำงานอย่างตรงไปตรงมาสาขาพรรค ต้องปรับปรุงใหม่ให้เข้มแข็ง เรื่องที่หนักใจมากที่สุดวันนี้ ในสถานการณ์อย่างนี้ คนอื่นรู้ว่า ปชป.มีจุดแข็งอย่างไร ก็มาทำแบบเรา แต่ทำวิธีทางลัด มาจัดทำใบสมัครให้ แล้วบอกว่าตอนนี้เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยแล้ว ทำให้เกิดปัญหาภายหลัง เขาแยกเราออกจากมวลชน พยายามทำให้ ปชป.เป็นจำเลย สิ่งดีงามที่เคยทำ จึงอยากให้สมาชิก ปชป.นำซีดีอธิบายว่ารัฐบาลไม่ได้สั่งฆ่าประชาชนไปอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ"นายสุเทพกล่าว

สั่งส.ส.ลงพ.ท.แจงทำงานเพื่อชาติ


จากนั้นนายสุเทพเปิดซีดีสรุปเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่มีนาคมถึงพฤษภาคม 2553 ที่มีความยาวประมาณ 30 นาที ให้ผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนาได้ดู ก่อนกล่าวสรุปว่า ขณะนี้เรากำลังดำเนินการตามนโยบายปรองดอง ที่นำซีดีนี้มาเปิด และให้นำไปเผยแพร่ เพียงเพื่อต้องการให้นำความจริงไปอธิบายประชาชน ข้อเท็จจริงในซีดีจะเห็นได้ว่าไม่มีการใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชน แต่ฝ่ายของเขาใช้อาวุธ สร้างสถานการณ์ ทำให้เกิดสงครามกลาง ว่ารัฐบาลอยู่ไม่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีลาออก อยากให้ ส.ส.นำไปฉาย เพื่ออธิบายกับประชาชน ตนกับนายกรัฐมนตรีทำงานเพื่อรักษาบ้านเมือง โดยนึกถึงพระเจ้าอยู่หัว นึกถึงประเทศชาติ คิดว่าเสร็จเรื่องนี้ ไม่ว่าจะสีอะไร แต่คนไทยต้องอยู่ด้วยกัน


"ครั้งหนึ่งคุณชวน (หลีกภัย) เคยสอนผมว่า เราเป็นนักการเมืองมารับใช้ประชาชน ก่อนที่เราจะวางมือ ต้องสร้างพรรคให้เข้มแข็ง วันนี้ผมโชคดี ได้เป็นเลขาธิการพรรค ก่อนที่จะวางมือ ต้องสร้างพรรคให้แข็งแรง แต่จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่สมาชิกพรรคทุกคน ถ้าท่านทั้งหลายเอาด้วย พรรคก็จะเข้มแข็ง เพราะคิดว่ามีแต่พรรคการเมืองที่เข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะรักษาบ้านเมืองได้ วันนี้ใส่หัวเชื้อไปแล้ว ขอให้ทุกคนเอาไปขยาย ทั้งระดับหมู่บ้าน ตำบล ขอให้อุดมการณ์ ปณิธานของเรา นับวันจะยิ่งใหญ่ไพศาล สามารถสร้างพรรคของเราให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เหมือนที่คนรุ่นปู่รุ่นย่าเราเคยคาดหวังเอาไว้" นายสุเทพกล่าว

พท.โต้"มาร์ค"อย่าโยนขี้ใส่"นพดล" นายกฯอัดอดีตรมว.ต่างประเทศทำเสียเปรียบ ชายแดน"ไทย-เขมร"คึกคัก

ที่มา มติชน


รมว.กห.ชี้ยึดเอ็มโอยู43ไร้ปัญหา


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ภายหลังกัมพูชามีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมรับผลการตัดสินให้เลื่อนการพิจารณาปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปในปี 2554 ว่า สถานการณ์ขณะนี้ไม่มีอะไร ทางกัมพูชาไม่เพิ่มเราก็ไม่เพิ่ม ขั้นตอนขณะนี้เป็นการดำเนินการตามเอ็มโอยูที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันเมื่อปี 2543 และเป็นการทำตามข้อตกลงที่สมัยนายเตช บุญนาค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งขั้นตอนต่อไปคงเป็นการหารือพูดคุยกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร


เมื่อถามว่า การหารือระดับจีบีซีระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมไทยกับรัมนตรีกลาโหมกัมพูชาจะหารือกันเรื่องเขตแดนหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา ซึ่งการประชุมจีบีซีจะมีประมาณเดือนตุลาคมนี้ที่เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ซึ่งกรอบการหารือจะต้องมีฝ่ายเลขานุการในการเตรียมข้อหารือ ทั้งนี้ ประเด็นส่วนใหญ่จะเป็นการหารือในเรื่องชายแดน ยาเสพติด แรงงานเถื่อน ส่วนการหารือประเด็นเขตแดนก็คงต้องรอดูข้อพิจารณา


พท.โต้"มาร์ค"อย่าโยนขี้ใส่"นพดล"


ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกมีมติเลื่อนการพิจารณาแผนพัฒนาประสาทประวิหารของกัมพูชาออกไป 1 ปี ว่า ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ตีปี๊บดีใจกันยกใหญ่ ทั้งที่การเลื่อนแบบนี้เหมือนกับศาลที่เลื่อนการพิจารณาคดี ไม่ได้หมายความว่าใครแพ้ใครชนะ และเห็นด้วยกับนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ระบุว่าไม่ใช่การแพ้ชนะ แต่เป็นการซื้อเวลาออกไป ทั้งนี้ ประเด็นปราสาทพระวิหาร และประเด็นไทยกัมพูชา เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะมีนักการเมืองมาจุดกระแสคลั่งชาติ และล่าสุดนายอภิสิทธิ์ยังออกมาโยนประเด็นว่า เพราะนายนพดลเป็นคนไปทำสัญญาจนทำให้เกิดปัญหา


"ยืนยันว่าไม่มีรัฐบาลพรรคใดที่ต้องการให้เกิดปัญหาแก่ประเทศชาติ การพูดของนายอภิสิทธ์เป็นการพูดแบบเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นตามมาตรฐานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ คณะทำงานพรรคเพื่อไทยที่ติดตามเรื่องนี้ยังไม่พบแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนของรัฐบาลจนบัดนี้ แต่เห็นด้วยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกันเท่านั้น" นายพร้อมพงศ์กล่าว


นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เรื่องปัญหาความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ตั้งกรรมการระดับชาติ แล้วกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนดประเด็นรวบรวมข้อคิดเห็นเหมือนกับคณะกรรมการชุดของนายอานันท์ ปันยารชุน ที่กำหนดวาระทำงาน 3 ปี ให้เป็นการระดมความคิดเห็นโดยไม่แบ่งแยก เพื่อประโยชน์ชาติอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องนำไปใช้ เพราะพรรคเพื่อไทยคิดว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า พรรคเพื่อไทยก็ต้องกลับไปเป็นรัฐบาลอีก ก็ต้องมาแก้ปัญหานี้อีก


ชายแดน"ไทย-เขมร" คึกคัก


สำหรับบรรยาการที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชาช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวันที่เปิดให้มีตลาดนัดไทย-กัมพูชาที่บริเวณตลาดไทยในเขตแดนไทย ปรากฏว่าบรรยากาศเป็นอย่างคึกคักมาก เพราะชาวกัมพูชาทั้งพลเรือนและทหารพากันแห่เข้ามาหาซื้อสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวนมาก ทั้งนี้ เนื่องจากว่าชาวกัมพูชาไม่กล้าเข้ามาหาซื้อสินค้าในเขตแดนไทยเป็นเวลานานหลายวันแล้ว


ด้าน พ.ต.อ.ชัชวาลย์ แก้วจันทร์ดี ผกก.สภ.กันทรลักษ์ กล่าวถึงกรณีที่เกิดเหตุวัยรุ่นซิ่งรถจักรยานยนต์ 3 คัน บุกขว้างระเบิดถล่มเวทีปราศรัยของกลุ่มทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร ขณะปราศรัยบริเวณข้างศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้มีคนบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย ว่า สอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้วพบว่าความจริงแล้วไม่ใช่ระเบิดแต่เป็นดอกไม้เพลิง ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นป่วนเมืองเจตนาเข้ามาก่อกวน โดยขว้างลงกับพื้นแล้วดอกไม้เพลิงกระเด็นไปโดนหน้าแข้งของสามล้อรับจ้างคนหนึ่งที่มาฟังการปราศรัยทำให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลเล็กน้อย ตนติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคลี่คลายคดีให้ได้โดยเร็วแล้ว


"มาร์ค"ขอบคุณปชช.ป้องแผ่นดิน


เวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อธิบายที่มาที่ไปของการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว พร้อมชี้แจงการดำเนินการของรัฐบาลเพื่อกดดันและคัดค้านที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก (ยูเนสโก) ที่ประเทศบราซิล ไม่ให้รับแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของกัมพูชา ผ่านรายการ


"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 (สทท.11) โดยมีใจความสำคัญว่า ขอขอบคุณประชาชนที่ออกมาแสดงความหวงแหนอธิปไตย และการปกป้องผืนแผ่นดินไทย ถือเป็นสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็นการเตือนรัฐบาลและคนไทยให้เห็นความสำคัญเรื่องนี้แล้ว ความเคลื่อนไหวต่างๆ ยังอยู่ในสายตาของชาวโลกและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อมุมมองของคนไทย และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกต้องตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหาร ตามข้อเสนอของทางกัมพูชาออกไปในปีหน้า


"ขณะนี้มีความสับสนในบางเรื่อง ผมไม่สบายใจที่มีการกล่าวหากันไปกันมา หรือพูดจาแสดงความคิดเห็นกันที่ขัดแย้งกันเองในฝ่ายไทย เพราะจะไปเป็นประโยชน์กับทางฝ่ายกัมพูชาเปล่าๆ จึงพยายามจะจัดเวทีให้มีการพูดคุยกันเพื่อไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อการดำเนินการของรัฐบาล ในการปกป้องอธิปไตยและดินแดนไทย" นายอภิสิทธิ์กล่าว


อัด"นพดล"ต้นเหตุทำไทยเสียเปรียบ


นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในปี 2551 ซึ่งเสมือนเป็นการยอมรับให้กัมพูชาเดินหน้าในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวได้ ขณะนั้นตนซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาแสดงท่าทีคัดค้านอย่างชัดเจน เพราะคิดว่าจะทำให้เกิดปัญหา และทำให้กัมพูชานำแผนที่ หรือแผนผังต่างๆ ยื่นให้ประชาคมระหว่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศรับรอง จึงถือว่าเป็นจุดที่ทำให้เกิดความเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง แม้ตอนหลังจะยกเลิกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว และศาลตัดสินว่าเป็นโมฆะ แต่การดำเนินการในขณะนั้นเป็นผลให้ทางคณะกรรมการมรดกโลกรับรองมติที่กัมพูชาเสนอขึ้นไป และนำมาสู่การจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารก็พยายามที่จะสกัดกั้นไม่ให้ปัญหาลุกลาม


"ซึ่งในปี 2552 ก็ประสบความสำเร็จในการไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาเรื่องนี้ และเลื่อนมาเป็นปี 2553 ซึ่งตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปดำเนินการล็อบบี้ทำความเข้าใจและคัดค้านการเดินหน้าของคณะกรรมการมรดกโลกอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเดินหน้าต่อมีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง เกิดความรุนแรง นำไปสู่ปัญหาในเชิงข้อกฎหมาย และมีผลกระทบกับอธิปไตยของประเทศไทย" นายอภิสิทธิ์กล่าว


ลั่นอีก 1 ปีต้องทำงานหนัก


"ผมอยากย้ำว่าเราประสบความสำเร็จในการสกัดกั้นไม่ให้กัมพูชารุกคืบเข้ามา เพื่อจะนำไปสู่การอ้างสิทธิในบริเวณรอบปราสาท และอาจจะมีผลต่อไปในอนาคตที่มากระทบกระเทือนอธิปไตยและดินแดนของเรา แต่เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ใน 1 ปีข้างหน้า จำเป็นที่จะต้องทำงานกันอย่างหนัก แต่อย่างน้อยง่ายขึ้นเพราะได้เห็นเอกสารของทางกัมพูชาแล้ว เรามีเวลา 1 ปีในการลงไปในรายละเอียดและทักท้วงว่าสิ่งที่กัมพูชากำลังจะทำนั้นจะสร้างความเสียหาย หรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิของเราอย่างไร ซึ่งนอกจากทางภาครัฐแล้ว ผมขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจและอยากแสดงออกในเรื่องนี้มาร่วมกันศึกษาหาข้อมูล แล้วนำความคิดเห็นของคนไทยถ่ายทอดไปยังบรรดาประเทศสมาชิกของมรดกโลกและยูเนสโก" นายกรัฐมนตรีกล่าว


นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนในพื้นที่ที่ยังมีปัญหาทั้งเรื่องของการวางกำลัง และเรื่องของชุมชน ไทยจะมีมาตรการรักษาสิทธิ ซึ่งโดยหลักต้องเริ่มต้นจากวิธีการทางการทูต ขณะนี้ในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศไปเตรียมขั้นตอนวิธีการดำเนินการแล้ว

ฉุกเฉินบ้าง-ไม่ฉุกเฉินบ้าง

ที่มา ข่าวสด


ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน



กลายเป็นภาพเปรียบเทียบอีกกรณี เมื่อพันธมิตรไปชุมนุมหน้ายูเนสโก แต่ไม่มีปัญหาขัดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แถมแกนนำยังได้รับเชิญจากนายกฯอภิสิทธิ์ไปพูดคุยด้วยความเคารพนอบน้อม

ต่างจากนักเรียนนักศึกษาเชียงราย 5 คนไปถือป้ายเสียดสีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับถูกดำเนินคดีอย่างเอาเป็นเอาตาย

*แม้แต่นายนที สรวารี "ไอ แอม คัม อะโลน" แท้ๆ*

ยังถูกตำรวจรุมล็อกและหิ้วตัวข้อหาส่งเสียงดังที่ราชประสงค์

เหนืออื่นใด วันนี้พันธมิตรยังไม่เข้าพบพนักงานสอบสวนคดียึดสนามบิน

อันเป็นคดีข้ามปี และเป็นที่โจษขานความเป็น 2 มาตรฐานอย่างอื้ออึงและยาวนาน!

โดยขอเลื่อนจากที่ตำรวจนัดไว้ปลายก.ค.ไปเป็นปลายเดือนส.ค.

ทั้งตั้งแง่จะเข้ามอบตัวพร้อมกันทั้ง 60-70 คน ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบการทำงานของตำรวจอย่างรุนแรง

น่าแปลกที่การเข้ายึดสนามบินเป็นเหตุการณ์เขย่าไปทั่วโลก เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อปี 2551

*แต่คดีล่าช้าอย่างยิ่ง!?!*

ล่าช้าส่วนหนึ่ง พนักงานสอบสวนทำด้วยความละเอียดรอบคอบ ใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานให้หนาแน่นที่สุด

อีกส่วนเพราะ การเสนอหมายจับโดนถ่วงหลายรอบ จนสุดท้ายต้องใช้วิธีออกหมายเรียก

แต่ขนาดเป็นหมายเรียก ซึ่งเพียงมารับข้อหา สอบสวน แล้วกลับได้เลยไม่ต้องประกันตัว

พันธมิตรก็ยังเกี่ยง สร้างกระแสว่าเป็นคดีการเมือง ถึงขั้นทวงบุญคุณนายกฯ

ทั้งที่เรื่องราวไม่ได้มีอะไรลึกล้ำไปกว่า การทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวนตามปกติ ตามเหตุที่มีการยึดสนามบินจริง

เป็นเรื่องใหญ่ ทั่วโลกเฝ้ารอผลคดีอยู่!

ส่วนที่จัดคิวให้เข้าพบวันละ 3 คน ก็จะใช้วิธียกทีมมาทั้งหมด ซึ่งตำรวจตีความได้ 2 ประเด็น

1.ถ้ามากันเยอะ จะดำเนินการตามขั้นตอนไม่ทัน แล้วจะดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนกลับ ข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

2.มากันเยอะ และอาจจะมีมวลชนมากดดันด้วย อันเป็นวิธีถนัด

*ในประการแรก หากกระทบการสอบสวน อาจต้องงัดหมายขังขึ้นมาใช้ โดยส่งทั้งหมดไปขอฝากขังต่อศาล แล้วต้องไปยื่นประกันต่อศาลเอาเอง*

ในประการที่สอง ต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาดำเนินการ

ปัญหาอยู่ที่ว่า รัฐบาลจะใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่าง 2 มาตรฐานอีกหรือเปล่า!?

สภาวะ อับตัน ของ ไทย กับ กัมพูชา กรณี ความสัมพันธ์

ที่มา ข่าวสด



แปลกใจหรือไม่ว่า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีชื่อเสียงและเกียรติภูมิมาอย่างยาวนาน แล้วเหตุใดในที่ประชุมกรรมการมรดกโลกจาก 21 ประเทศ

ไทยจึงเป็นเสียงส่วนน้อยในกรณีแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหาร

เป็นเพราะภาคีสมาชิกจากหลายประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส มีผลประโยชน์ร่วมกับกัมพูชาอย่างที่มีข้อสังเกตจากกระทรวงการต่างประเทศไทยอย่างนั้นหรือ

น่าสงสัย

เพราะสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ก็ใช่ว่าจะมีผลประโยชน์แต่ในกัมพูชา หากในไทยทั้ง 2 ประเทศนี้ก็มีผลประโยชน์อย่างมหาศาล

ยิ่งหากมองผ่านตัวนายกรัฐมนตรี ยิ่งมองเห็นความแตกต่าง

นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเติบโตมาจากนักรบกองโจร เรียนจบมัธยมหรือไม่ยังน่าสงสัย ขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยจบจากอีตัน สำเร็จจากออกซŒฟอร์ด พูดภาษาอังกฤษปร๋อ

แล้วเหตุใดเสียงส่วนใหญ่ในกรรมการมรดกโลกจึงเทไปทางกัมพูชา



ที่ว่าเสียงส่วนใหญ่ในกรรมการมรดกโลกเทให้กับกัมพูชามิได้นั่งเทียนเขียน หรือว่าได้รับเอกสารลับอะไรจากในที่ประชุม

หากแต่สังเกตจากท่าทีและการเคลื่อนไหวของไทย

ความจริง เสียงส่วนใหญ่ในคณะกรรมการมรดกโลกเอียงข้างกัมพูชาตั้งแต่การประชุมที่สเปนในปี 2552 มาแล้ว

เพียงแต่กัมพูชายังไม่พร้อม ไม่สามารถนำเสนอแผนบริหารจัด การได้

ในที่ประชุมปี 2553 บราซิล ทางกัมพูชามีความพร้อมมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เผชิญกับการต่อต้านจากทางไทยอย่างรุนแรงและแข็งกร้าว

รุนแรงตรงที่หากมีการพิจารณาเรื่องนี้ก็จะวอล์กเอาต์จากที่ประชุม

แข็งกร้าวตรงที่หากที่ประชุมยอมรับแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารที่เสนอโดยกัมพูชาก็อาจจะถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกไม่เพียงแต่คณะกรรมการมรดกโลกเท่านั้น

หากแม้กระทั่งภาคีสมาชิกองค์การยูเนสโกก็ไม่เป็น



ทางออกของประธานคณะกรรมการมรดกโลก ทางออกของผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก จึงต้องประนีประนอม

ประนีประนอมให้กัมพูชายอมรับการเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการออกไปเป็นปี 2554

ประนีประนอมให้ไทยและกัมพูชาไปหาทางเจรจาเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันก่อนการประชุมที่บาห์เรนในปีหน้า

นี่จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง

ยากเพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชานับแต่ปี 2552 เป็นต้นมา เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ

ไทยถอนเอกอัครราชทูตจากกรุงพนมเปญ กัมพูชาถอนเอกอัคร ราชทูตจากกรุงเทพฯ

ยิ่งกว่านั้น ความเข้าใจในเรื่องพื้นที่โดยรอบบริเวณปราสาทพระวิหารยังแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

หากต่างฝ่ายต่างยืนยันก็ยากที่จะเจรจากันได้บทสรุปร่วมอย่างแท้จริง



การซื้อเวลาอีก 1 ปีจึงเป็นการซื้อเวลาที่มองไม่เห็นหนทางออกว่าจะราบรื่นได้อย่างไร

ในเมื่อกระทรวงการต่างประเทศของไทยไม่สามารถเจรจากับกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา แล้วใครจะแสดงบทบาทนี้ได้อย่างเสมอภาคและสร้างสรรค์

นี่ย่อมเป็นจุดอับตันของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา

เหลือไว้ทำซาก?

ที่มา ข่าวสด


เหล็กใน




บรรยากาศบ้านเมืองตอนนี้รัฐบาลควรยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินทุกพื้นที่แล้วหรือยัง

เป็นข้อถกเถียงวนไปเวียนมาหาจุดจบไม่ได้

เหมือนคำถามที่ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน

ฝ่ายที่อยากให้ยกเลิก มีคณะกรรมการปฏิรูป(คปร.) ของนายอานันท์ ปันยารชุน รวมอยู่ด้วย

22 ก.ค. คปร.มีมติเสนอให้รัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว เพราะเห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองคลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น

การบังคับใช้พ.ร.ก.นี้ต่อไปอาจส่งผลเสียมากกว่าดีต่อการสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง อีกทั้งไม่สอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ต่อมา 29 ก.ค. ที่ประชุม คปร.ยืนยันข้อเสนอเดิมว่ายิ่งยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเร็วเท่าใด การแก้ปัญหาทางการเมืองจะเร็วขึ้นด้วย

ทีนี้ด้วยเพราะบังเอิญหรือจงใจ ไม่มีใครรู้

ระเบิด 2 ลูกทำงานทันทีหลัง คปร.มีความเห็นดังกล่าวออกมา

ลูกแรกหน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ ลูกที่สองหน้าคิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ

เป็นฝีมือวายร้ายตัวใดนั้น ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนสอบสวนเต็มที่

ขณะที่รัฐบาลย่อมไม่พลาดที่จะฉวยโอกาสนี้อ้างความชอบธรรมในการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

รัฐบาลให้เหตุผลว่าระเบิด 2 ครั้งในรอบ 1 สัปดาห์ชี้ว่ายังมีบุคคลบางกลุ่มจ้องสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมืองอยู่

ถ้าผลีผลามยกเลิกพ.ร.ก.ก็อาจเกิดเหตุรุนแรงบานปลายกว่านี้

แต่ฝ่ายไม่เห็นด้วยแย้งว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่น่าเกี่ยวกับการก่อวินาศกรรม เพราะก่อนรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.เมื่อ 7 เม.ย. ก็เกิดเหตุการณ์ปา ยิงหรือวางระเบิดสถานที่ต่างๆ มานับครั้งไม่ถ้วน

2 ครั้งล่าสุดก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ใช่เกราะป้องกันความรุนแรงได้

ยกเลิกไปเสียยังอาจจะเป็นหนทางช่วยให้บรรยากาศบ้านเมืองดีขึ้น

ทั้งยังเป็นการยุติพฤติกรรมทะเล่อทะล่าของเจ้าหน้าที่รัฐบางคน ที่หลับหูหลับตานำพ.ร.ก.นี้มาบังคับใช้เกินกว่าเหตุ อย่างเช่นกรณีเด็กนักเรียนนักศึกษาในจังหวัดเชียงราย เป็นต้น

แทนที่พ.ร.ก.จะเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาแต่กลับเป็นตัวสร้างปัญหาเสียเอง

อย่างนี้จะเหลือเอาไว้ทำไม

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนาย"แม้ว"เปิดแผนแก้ข้อกล่าวหา

ที่มา ข่าวสด


สัมภาษณ์พิเศษ



เป็นทนายที่มีชื่อระดับโลก ว่าคดีความใหญ่ๆ ในหลายประ เทศ แต่คนไทยเพิ่งจะรู้จัก โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ในฐานะทนายส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และที่ปรึกษากฎหมายของกลุ่มนปช.

รับว่าจ้างมาทำคดีนี้ได้อย่างไร ตั้งเป้าความสำเร็จแค่ไหน

ทำไมรับว่าแต่คดีที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล

รวมถึงข้อกล่าวหาพยายามล้มรัฐบาลรัสเซีย

นายโรเบิร์ต ให้สัมภาษณ์พิเศษกับข่าวสด ไว้ดังนี้

ประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษาและประสบ การณ์การทำงาน

ผมเกิดที่บร็องซ์ นิวยอร์ก แต่เติบโตและศึกษาที่ออนตาริโอ แคนาดา ในช่วงวัยเด็ก ผมได้เดินทางท่องเที่ยวและศึกษาที่แอฟริกาและรัสเซีย ก่อนจะกลับไปศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยควีนส์ แคนาดา

ผมได้ร่วมหุ้นเปิดสำนักงานกฎหมายกับคุณดีน พี รอฟฟ์ ในปี 2523 เราได้มีโอกาสทำคดีหลายคดี ตั้งแต่คดีที่เกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศ และคดีทางการเมืองที่มีความซับซ้อน



ประสบการณ์การทำงานทางด้านกฎหมายที่โดดเด่น

คดีส่วนใหญ่ที่ผมทำจะเกี่ยวกับการจัดการกับบุคคลที่กระทำความผิดโดยไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย เพราะมีอิทธิพลทางการเมือง จากประสบการณ์ของผม บุคคลที่แสดงกิริยารุนแรง ก้าวร้าว มักจะต้องพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลักการทางกฎหมาย

การทำงานในปีแรก ผมเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของลูกค้า ซึ่งถูกคุกคามจากบริษัทคู่แข่งที่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองในไนจีเรีย ครั้งหนึ่งคนเหล่านี้พร้อมกับทีมคุ้มกันอาวุธครบมือได้บุกรุกเข้ามาในห้องพิจารณาคดีและบังคับให้เราถอนคดีความ แต่เราปฏิเสธ

ในช่วงเวลาสำคัญที่ผมทำคดีให้กับนายมิคาอิล คอร์โดคอฟสกี้ ผมถูกจับกุมตอนกลางคืนโดยกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนอกเครื่องแบบของรัฐบาลรัสเซีย เพียงเพราะผมกล่าวในที่สาธารณะว่า คณะอัยการละเมิดกระบวนการทางกฎหมาย

เป็นเพียงเหตุการณ์เด่นๆ บางส่วนที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น ผมไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าเรารับทำคดีประเภทนี้อย่างเดียว เพราะสำนักงานกฎหมายของผมได้พัฒนาประสบ การณ์การทำงานทางด้านกฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศเป็นระยะเวลาหลายปี โดยทำงานให้กับกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์เช่นกัน เช่น กลุ่มไพรซ์วอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส (Pricewater house Coopers) และเดอะโฟร์ซีซันส์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต กรุ๊ป (The Four Seasons Hotel and Resort Group)



คดีความส่วนใหญ่ที่รับทำ เป็นการทำงานให้ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

จริงๆ แล้วผมไม่ได้เพียงแต่ทำงานให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเท่านั้น ผมทำงานเป็นที่ปรึกษาให้หลายรัฐบาลและหน่วยงานรัฐบาลอีกหลายหน่วยงานที่ประสบกับปัญหาที่ถูกคุกคามจากภาคเอกชน

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผมถูกขอให้ไปช่วยเมื่อมีความ อยุติธรรมและไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นระหว่างผู้มีอำนาจและผู้ที่ไม่มีอำนาจ เป็นที่หน้าเสียดายว่าประวัติ ศาสตร์โลกในปัจจุบัน เต็มไปด้วยบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ชอบยึดถืออำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและทำลายฝ่ายตรงข้าม ทั้งในภาคการเมืองและธุรกิจ

นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมส่วนใหญ่ผมเลือกจะทำงานให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในหลายๆ ประเทศ



เข้ามาทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างไร

ผมได้ติดตามการบริหารงานของคุณทักษิณ อย่างห่างๆ โดยใกล้ชิดมาเป็นเวลาหลายปี เพราะสำนักงานของเราสนใจเรื่องกฎหมายธุรกิจที่กำลังเติบโตในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ต้นปีนี้ผมได้พบคุณทักษิณ และอธิบายว่าการกระทำของรัฐบาลไทยนั้นผิดกฎหมาย และไม่มีความชอบธรรมภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร และเพราะเหตุใด และเราอาจจะสามารถเอาผิดรัฐบาลไทยได้

ผมรับรู้ตั้งแต่แรกว่าคดีนี้มีความยากและซับซ้อน แต่ผมเชื่อมั่นว่าการพยายามหาแนวทางนำประชาธิปไตยกลับสู่ประเทศไทยนั้นคือสิ่งที่ดีและควรทำ



คิดว่าจะประสบความสำเร็จในงานนี้หรือไม่ และใช้เวลานานเท่าไร

สิ่งที่เราร้องขอคือให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามกฎหมายของไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศ หากคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) และผู้นำทางทหารเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตาม และใช้นโยบายโดดเดี่ยวประเทศแบบพม่า และคนในประเทศไม่ต้องการเช่นนั้น

เราจึงร้องขอให้ประชาคมโลกเห็นว่ามีสิ่งที่ผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลนี้ และประชาคมโลกสมควรจะรับทราบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ท้ายที่สุด ประชาชนไทยไม่ว่าเสื้อสีอะไร ต้องการที่จะเห็นประเทศก้าวหน้า มีความเป็นธรรม สงบและประสบความสำเร็จ และสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีการจัดตั้งระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อแก้ปัญหาความแตกแยก

ซึ่งเป็นวิธีการเดียวที่จะนำมาซึ่งความเป็นอิสระของสถาบันต่างๆ จากรัฐบาล และสร้างระบบนิติรัฐอันแท้จริงเพื่อนำความยุติธรรมมาให้คนทุกคนไม่ใช่แค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง



แผนงานที่จะเดินไปสู่เป้าหมายของงานนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง

เรากำลังเตรียมและประเมินแนวทางการดำเนินคดีระหว่างประเทศ ผมไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลมากกว่านี้ได้



สมุดปกขาวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการหรือไม่

สมุดปกขาวเขียนขึ้นเพื่อนำเสนอความจริงอีกด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างความรุนแรงทางด้านการเมืองในปีนี้ และบริบททั่วไปทางการเมือง เพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจว่ากลุ่มอำมาตย์จัดการควบคุมให้เกิดการปล้นสิทธิ์การเลือกตั้งไปจากประชาชนชาวไทยอย่างไร

เราวางแผนว่าจะมีการจัดพิมพ์และเผยแพร่เอกสารชิ้นนี้อย่างกว้างขวาง สมุดปกขาวจะใช้เป็นพื้นฐานการทำงานของเราในลำดับต่อไป แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น



ระหว่างดำเนินงานตามแผน พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง

ผมเป็นหนึ่งในนักกฎหมายที่ทำงานให้คุณทักษิณ และผมได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนแก้ต่างให้กับเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ดังนั้น ผมเป็นผู้รับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของผมในกิจกรรมรายวัน ส่วนเรื่องดำเนินการทางกฎหมายที่สำคัญผมปรึกษาและขอความเห็นชอบจากคุณทักษิณ



พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือวางแผนล้มล้างสถาบัน นี่คือข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงในประเทศไทย จะต่อสู้อย่างไร

ข้อกล่าวหาต่อคุณทักษิณดังกล่าวนั้นบิดเบือนไม่มีมูลความจริง คู่แข่งขันทางการเมืองใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวกลั่นแกล้งคุณทักษิณ เราขอปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวและข้อกล่าวหาที่บิดเบือนอื่นๆ



รัฐบาลไทยวิจารณ์ว่าการทำคดีของมิคาอิล คอร์โดคอฟสกี้ และของคุณทักษิณคล้ายกัน โดยเฉพาะการโน้มน้าวให้สหรัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยว ข้อง คิดอย่างไรกับข้อวิจารณ์นี้

ก่อนอื่นผมขอชี้แจงว่าทั้งสองคดีนี้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เพราะทั้งสองประเทศและสถานการณ์ทางการเมืองมีความแตกต่างกันอย่างมาก

อย่างที่สองคือ ทีมงานของคุณคอร์โดคอฟสกี้ ได้กล่าวว่าการฟ้องร้องนั้นเป็นเรื่องทางการเมืองทั้งหมด เราพ่ายแพ้ทุกศาลในรัสเซีย แต่นั่นทำให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงมะเร็งร้ายของการคอร์รัปชั่นในรัสเซีย ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน และผมคิดว่าการที่ทั่วโลกให้ความสนใจในคดีคอร์โดคอฟสกี้นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในการทำงานนี้

คดีนี้ ประเด็นหลักคือเราต้องการเปิดเผยให้เห็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ผิดๆ ของเหล่าอำมาตย์ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ชอบระบอบประชาธิปไตยและสนับสนุนการยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำผิด

ผมประสบความสำเร็จในการท้าทายเรื่องการยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำผิดนี้ในไนจีเรีย เวเนซุเอลา และอีกหลายประเทศ แต่กระนั้นผมแทบจะไม่เคยเห็นสถานการณ์ทางการเมืองที่ไหนที่คนส่วนใหญ่ของประเทศถูกกดขี่ และปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตย เพราะโครงสร้างทางกฎหมายที่กดขี่อย่างแท้จริง

เราสามารถกล่าวได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณทัก ษิณ คือผู้นำคนเพียงเดียวที่ชนะการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงในปัจจุบัน และคนที่กล่าวหาคุณทักษิณว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คือกลุ่มคนที่ขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่มีความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย

สิ่งหนึ่งที่ผมต้องการชี้แจงคือ การที่ผมเป็นตัวแทนแก้ต่างให้คุณทักษิณและคนเสื้อแดง ไม่ได้เป็นการทำร้าย แต่ตรงกันข้าม กลับเป็นการปกป้องประเทศไทยจากกลุ่มคนที่อ้างความเป็นเจ้าของประเทศและไม่ฟังเสียงของคนส่วนใหญ่

ในกรณีของท่าทีที่สหรัฐที่มีต่อรัสเซียนั้น สหรัฐไม่เคยพยายามโดยตรงที่จะปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนในรัสเซีย และยิ่งน้อยมากในกรณีของนายคอร์โดคอฟสกี้

จุดมุ่งหมายในการทำคดีของประเทศไทยนี้ เราไม่ได้ต้องการให้ประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ แม้เราคิดว่าประเทศพันธมิตรควรจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจน

จุดมุ่งหมายระยะสั้นคือเราต้องการให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศตนเองและพันธกรณีระหว่างประเทศที่รัฐบาลกำลังละเมิดอยู่ในขณะนี้ ข้อเรียกร้องของเราไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินจริง และไม่ควรจะต้องให้ประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงเลย

หากรัฐบาลไทยยังยืนยันที่จะละเมิดข้อกฎหมายเหล่านี้อีกต่อไป ทางเราจะมีการดำเนินการตอบโต้ที่ มากกว่านี้

'เดียร์' รับรู้สึกแย่ ยัดเยียดพ่อให้เป็นคนผิด

ที่มา ไทยรัฐ


Pic_100598

นางสาวขัตติยา สวัสดิผล

ลูกสาวเสธ.แดง ฉุนตำรวจ ระบุชักไปกันใหญ่ อะไรๆ ก็โยงเป็นความผิดของพ่อของตนเอง เป็นการให้ข่าวผิดว่าคนๆ นี้เป็นคนของเสธ.แดง ทั้งที่ตนเองไม่เคยรู้จักกับคนที่ตำรวจบอกมาหรือจับมาได้...

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หรือ "เดียร์" บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า รู้สึกไม่สบายใจกับหลายเหตุการณ์ที่ตำรวจพูดว่า เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของเครือข่ายเสธ.แดง ทั้งๆ ที่บิดาได้เสียชีวิตไปแล้ว ตำรวจมีหลักฐานเชื่อมโยงอะไร ผู้ต้องสงสัยทำงานอยู่กับบิดาหรือไม่ ไม่ใช่มาปรักปรำบิดาแบบนี้ พล.ต.ขัตติยะ เก่งขนาดนั้นเลยหรือ

น.ส.ขัตติยา กล่าวอีกว่า ถือเป็นเรื่องไร้สาระ ตำรวจชักไปกันใหญ่ อะไรๆ ก็โยงเป็นความผิดของพ่อของตนเอง เป็นการให้ข่าวผิดว่าคนๆ นี้เป็นคนของเสธ.แดง ทั้งที่ตนเองไม่เคยรู้จักกับคนที่ตำรวจบอกมาหรือจับมาได้ มีข่าวร้ายให้พ่อแบบนี้ สภาพจิตใจของตนก็ยิ่งแย่ลงไปอีก พ่อตนเองก็เสียชีวิตไปแล้ว น่าจะปล่อยไปได้แล้ว เขาหลุดโลกนี้ไปแล้ว อยากให้ไปด้วยดี

ระทึกคิวพลิกผันสิ้นปี

ที่มา ไทยรัฐ

ใกล้เคียง ห่างกันก็ไม่กี่เดือน

ทางหนึ่งเวทีสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดภูเก็ตล่าสุด "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้จัดการใหญ่รัฐบาล ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กระตุ้นลูกทีมเป็นทำนอง ได้ ซักซ้อมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการเวลาที่จะสร้างความเข้มแข็งและความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

โดยให้ ส.ส.ตั้งสมมติฐานไว้ที่เวลา 12 เดือน

ตามธงที่ตั้งไว้ รัฐบาลอยู่ยาวถึงเดือนสิงหาคมปีหน้า

อีกทางหนึ่ง คิวเดินสายภาคเหนือของพรรคเพื่อไทยที่จังหวัดลำปาง "สารวัตรเหลิม" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย อ่านหมากฟันธง รัฐบาลชุดนี้จะอยู่รอดปลอดภัยถึงเดือนเมษายนปี 2554

เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างหนุนรัฐบาลอยู่ รวมถึงการประชุมสภาสมัยหน้าเป็นการประชุมสมัยนิติบัญญัติ พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

สรุปว่า ต้องวางเกมข้ามช็อต ร.ต.อ.เฉลิมเชื่อมั่น หลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยโกยเสียงจัดตั้งรัฐบาล พรรคเดียวได้ หรือได้เสียงเป็นอันดับหนึ่ง ก็จะต่อสายล็อกพรรคชาติไทยพัฒนาของ "บิ๊กเติ้ง" นายบรรหาร ศิลปอาชา และพรรครวมชาติพัฒนาของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผูกเสี่ยวเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ฝ่ายค้านก็ทำได้แค่ประคองเกม รอจังหวะกันไป

ในเหลี่ยมของ "เทพเทือก-สารวัตรเหลิม" กางปฏิทินนับเดือนกันคร่าวๆตามหมากการเมือง อ่านจังหวะไปลุ้นเดิมพันได้เสียกันในสนาม

ตามเกมของนักเลือกตั้งอาชีพ

โดยไม่มี "หมายเหตุ" ต้องลุ้นอุบัติเหตุระหว่างทาง

ทั้งๆที่ในรายการเดียวกันเลย โฟกัสที่เวทีพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดภูเก็ต ในอารมณ์คึกคัก แต่ก็ แฝงไปด้วยอาการวิตกกังวลกับคิวที่นายกฯอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรค พูดเปิดอกกับลูกทีมช่วงหนึ่งถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

บ่งบอกเบื้องลึกในจิตใจ "ไม่ชัวร์"

ในช่วง 4 เดือนข้างหน้ามีความสำคัญ ไม่เฉพาะต่อประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่สำหรับบ้านเมืองด้วย เพราะมีคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อยู่ 2 คดี ซึ่งสำคัญคืออนาคตของพรรคการเมืองที่เป็นหลักของระบอบประชาธิปไตยมาเป็นเวลาช้านาน

การต่อสู้ในศาลรัฐธรรมนูญต้องใช้ความพยายามทุ่มเทมาก

"อภิสิทธิ์" ฟันธงเลยว่า ไม่เกินสิ้นปีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาได้ กรณีการใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ที่ศาลได้ตัดพยานฝ่ายผู้ร้องเหลือ 15 คน ซึ่งพยานฝ่ายประชาธิปัตย์ก็น่าจะพอกัน

ระทึกคิวพลิกคว่ำพลิกหงายคดียุบพรรค

ชะตาของ "อภิสิทธิ์" บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จะทันข้ามปีหรือไม่

อารมณ์เดียวกันกับเวทีพรรคเพื่อไทยที่จังหวัดกำแพงเพชร ตามคิวปั่นกระแสเร้าฉากระทึก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน ในฐานะแกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ก็ไปตีปี๊บปูดข่าว

มีความพยายามที่จะใช้กำลังทหารเพื่อล้มกระดานไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง

เพราะผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของหน่วยความมั่นคงทุกครั้ง ล้วนพบว่าพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ

ตามฉากที่โยงไปถึงขั้นที่ว่า เวลานี้กำลังมีการตกเบ็ดซื้อตัว ส.ส.จากพรรคการเมืองที่ดำนาไม่เหมือนใคร ในราคาหัวละ 50 ล้านบาท โดยมัดจำก่อน 20 ล้านบาท และหลังเลือกตั้งเอาไปอีก 30 ล้านบาท

แต่ถ้ากระบวนการซื้อตัว ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่สำเร็จ ก็จะล้มกระดาน เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง ปิดทางพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล

เป็นการยินยอมพร้อมใจ เพราะประชาธิปัตย์ก็กำลังติดบ่วงคดียุบพรรค

สอดรับกรณีที่นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหร คมช.ทำนาย นายกฯคนใหม่ อักษรย่อ "ป" ซึ่งไม่ใช่คำทำนาย แต่เป็นการล็อกสเปก เพราะในบรรดาหัวหน้า พรรคการเมือง ไม่มีใครอักษรย่อ "ป"

ยี่ห้อ "จตุพร" เขียนบท อ้างโยงกันได้เป็นฉากๆ

แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อกันตรงๆ แค่ปล่อยของกันลอยๆ แต่คนที่ฟังแล้วหูผึ่งก็น่าจะเป็น "เนวิน ชิดชอบ" ครูใหญ่ค่ายภูมิใจไทย ที่กอดคอกันแน่นอยู่กับพี่น้อง "บูรพาพยัคฆ์" ของพี่ใหญ่อย่าง "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม

เพราะตามจังหวะ ถ้าประชาธิปัตย์ติดบ่วงยุบพรรค โดนล้มโต๊ะ

คนที่ได้สิทธิ์รับไม้ต่อก่อนใคร ก็พวกจ่อแถวสองในฝ่ายถืออำนาจนั่นแหละ .


ทีมข่าวการเมือง

การ์ตูน เซีย

ที่มา ไทยรัฐ

การ์ตูน เซีย

คนดีกับคนมีเสรีภาพ

ที่มา ประชาไท


การเรียกร้อง “คนดี” โดยชนชั้นนำในสังคมไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กล่าวว่า"เราอยากเห็นคนดีมีมากขึ้นในสังคม ถ้าสัดส่วนระหว่างคนดีกับคนไม่ดียังไม่ใกล้เคียงกัน บ้านเมืองจะตกอยู่ในภาวะวุ่นวาย เพราะคนไม่ดีมากกว่าคนดี..ที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้สัดส่วนคนดีเพิ่มขึ้น”(http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =01&catid=)
แต่เมื่ออ่านตามเว็บไซต์ต่างๆ จะพบว่ามีความเห็นจำนวนไม่น้อยที่บอกว่าไม่อยากพูดถึง หรือกระทั่งสะอิดสะเอียดกับคำว่า“คนดี” หรือที่จริงจังมากขึ้นก็คือมีการเสนอว่า สังคมควรเรียกร้อง “ระบบที่ดี” มากกว่า “คนดี” หากต้องการเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
โดยที่สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ จึงน่าสนใจว่า ความหมายของ “คนดี” ตามที่พุทธศาสนาสอน กับ “คนดี” ในจินตนาการของสังคมไทยคือคนเช่นไร?
ในหนังสือชื่อ An Essay Concerning Buddhist Ethics (ที่เขียนโดยคนไทย คือ ศ.ดร.สมภาร พรมทา) อธิบายว่า“ตามทัศนะของพุทธศาสนา การเป็นคนดีกับการเป็นคนมีเสรีภาพคือสิ่งเดียวกัน” (According to Buddhism, being a good person is same as being a free person.)
หมายความว่า การเป็นคนดีเกิดจากการกระทำสิ่งที่ดี แต่เราจะเป็นคนดีไม่ได้หากเราไม่เป็นคนที่มีเสรีภาพที่จะเลือกกระทำตามอารมณ์ หรือเหตุผล หรือเลือกระหว่างถูกกับผิด เมื่อเราเลือกที่จะกระทำตามเหตุผล เราย่อมกระทำสิ่งที่ดีหรือถูกต้อง การกระทำสิ่งที่ดีหรือถูกต้องนั่นเองที่ทำให้เราสมควรถูกยกย่องว่าเป็น “คนดี”
อันที่จริง “คน” ไม่ว่าจะได้รับยกย่องว่าเป็นคนดีหรือถูกตำหนิว่าเป็นคนเลว เขาคือ “คนที่มีเสรี” (a free person) การเป็นคนดีคนเลวก็เกิดจากการที่คนซึ่งมีเสรีภาพเลือกการกระทำที่สร้างให้เขาเป็นคนดีหรือเลว
ฉะนั้น ถ้าจะเพิ่มจำนวนคนดีในสังคม สิ่งสำคัญที่สุดเราต้องยอมรับความเป็น “คนที่มีเสรีภาพ” ของประชาชนก่อน เพราะเงื่อนไขแรกสุดของการเป็นคนดี เราจำเป็นต้องเป็น “คน” ก่อน คือเป็นคนที่มีเสรีภาพที่จะเลือกก่อน การกะเกณฑ์ให้คนต้องเชื่อฟัง ต้องสยบยอมต่ออำนาจ ปิดกั้นเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร การแสดงความความคิดเห็น การแสดงออกทางการเมือง การพูดความจริง ฯลฯ คือการทำลายความเป็น “คน” เมื่อทำลายความเป็นคนแล้ว เราจะสร้าง “คนดี” ได้อย่างไร?
เพราะการเป็นคนดี ย่อมเรียกร้อง (Requirement) ความเป็นคนมีเสรีภาพที่สามารถจะเลือกกระทำตามเหตุผล หรือกระทำสิ่งที่ถูกต้อง และรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาด้วยตัวของเขาเอง
นอกจากนี้ การเป็นคนดียังเรียกร้องความสามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์หรือความเจ็บปวดจากการกระทำสิ่งที่ดีด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การทำความดีของพระเวสสันดร ที่บริจาคช้างคู่บ้านคู่เมือง ถูกชาวเมืองปฏิเสธ ถูกเนรเทศจากเมืองไปอยู่ป่า และกระทั่งยอมเผชิญความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ต้องบริจาคลูกเมียเมื่อมีผู้มาขอไปเป็นทาส
จึงดูเหมือนว่า การเป็นคนดีหรือการเป็นคนมีเสรีภาพนั้น บางครั้งอาจดูคล้ายกับเป็นคนโง่ เพราะต้องเดินทวนกระแสของชาวโลก คงยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจว่าทำไมพระเวสสันดรจึงทำความดีด้วยการบริจาคลูกเมียให้ไปเป็นทาสของคนอื่น และคงยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจว่าทำไมพระมหาชนกจึงยังคงพยายามว่ายน้ำในมหาสมุทรข้ามคืนข้ามวันอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งที่มองไม่เห็นฝั่ง และแน่นอนว่า เจ้าชายสิทธัตถะย่อมถูกปฏิเสธแม้กระทั่งจากพระบิดาเมื่อตัดสินใจเลือกอย่างอิสระที่จะออกเผชิญความยากลำบากในการแสวงหาทางพ้นทุกข์
ปกติแล้วคนทั่วไปจะลงทุนลงแรงพยายามกระทำสิ่งใด ก็ต่อเมื่อเขามองเห็นผลสำเร็จจากการกระทำสิ่งนั้น เช่นที่เรามักได้ยินคำถามเสมอว่า “ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปแล้วจะได้อะไร” แต่ในทัศนะของพุทธศาสนาคนดีย่อมกระสิ่งใดเพราะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แม้เมื่อจะต้องเผชิญความทุกข์ความเจ็บปวดจากการกระทำความดีนั้น ก็พร้อมเผชิญโดยไม่หวังผลตอบแทน
เมื่อวันที่ 19 ก.ค.53 “คณะเดินสันติสู่ปัตตานี” ของอาจารย์โคทม อารียา และอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ แวะมาพักดื่มน้ำและสนทนากับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยที่ผมสอนหนังสืออยู่ ผมรู้สึกนับถืออย่างยิ่งกับการทำ “ความดี” ของคนเหล่านั้น พวกเขาคงไม่คิดว่าเมื่อใช้เวลา 55 วันเดินเท้าถึงปัตตานีแล้ว สันติภาพในสามจังหวัดภาคใต้จะเกิดขึ้นตามมาทันที แต่ความน่าเคารพของพวกเขาอยู่ตรงที่ พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำเป็นสิ่งที่ดี และพวกเขามีความกล้าหาญที่จะกระทำในสิ่งที่ตนเชื่อ แม้ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากเพียงใดก็ตาม
แต่ที่น่าเศร้าคือ สังคมพุทธในบ้านเราเต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้ทำความดีด้วยการเอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ จนทำให้คนเชื่อฝังหัวว่า การทำความดีคือการหลีกหนีความทุกข์ความเจ็บปวด และแสวงหาความสุขสบาย คุณบริจาคน้อยได้บุญน้อย บริจาคมากได้บุญมาก เมื่อสั่งสมบุญเอาไว้มากๆ อนาคตเราจะร่ำรวยสุขสบาย ตายไปจะได้เสวยสุขในสวรรค์วิมาน หรือเกิดชาติหน้าจะได้เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือเป็นราชามหากษัตริย์
“คนดี” ในจินตนาการของชาวพุทธในบ้านเรา จึงหมายถึง คนที่มองเห็นปัญหาสังคมและการเมืองเป็น “นรก” เห็นความร่ำรวยสุขสบายเป็นสวรรค์บนดิน เห็นวัดหรือศาสนาเป็นทางผ่านไปสู่ความสุขสบายในชาตินี้และชาติหน้า ไปๆมาๆ คนดี คือ คนที่หันหลังให้สังคม ไม่ใส่ใจปัญหาบ้านเมือง ไม่มีจิตสาธารณะ มองความยากลำบากในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมเท่ากับ “บาป” มองความสุขสบายร่ำรวยเท่ากับ “บุญ”
สุดท้ายก็บูชาเงิน นับถือเงิน นับถือความร่ำรวยเป็น “ความดี” และยกย่องคนรวย คนมีอำนาจ มียศถาบรรดาศักดิ์ คนชั้นสูง หรือคนชั้นนำทางสังคมว่าเป็น “คนดี” แล้วต่างก็แก่งแย่งไขว่คว้าหาความดีเช่นนั้น แข่งขันที่จะเป็นคนดีเช่นนั้น โดยไม่สนใจ “ความดีภาคสาธารณะ” (เช่น สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม ฯลฯ) ที่เราต้องร่วมกันต่อสู้ให้ได้มาด้วยสำนึกในความความเป็น “พลเมืองดี” ที่กล้าหาญเผชิญความทุกข์ ความเจ็บปวด หรือกระทั่งความตาย
แต่ทว่าคนดีหรือคนมีเสรีภาพตามทัศนะของพุทธศาสนา เขาไม่ได้กระทำสิ่งที่ดีเพราะหวังความสุข แต่กระทำเพราะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำไมพระเวสสันดรถึงบริจาคช้างคู่บ้านคู่เมืองของตนเองให้แก่ชาวเมืองอื่น ทั้งที่รู้ว่าตนเองจะเดือดร้อนจากการต่อต้านของชาวเมืองของตนเอง ก็เพราะท่านเห็นว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าเขาจะเป็นพวกเดียวกับตนหรือพวกอื่นก็ตาม
น่าคิดว่า ทำไมสังคมพุทธไทยกลับมีวัฒนธรรมสร้างความเกลียดชังคนสีอื่น คนชาติอื่น เพื่อแสดงว่าตนเองรักชาติ รักสถาบัน เป็นคนดี แล้วเราก็เมินเฉย กระทั่งเย้ยหยันต่อการที่คนไปผูกผ้าแดง หรือไปชูป้ายว่า “เห็นคนตายที่ราชประสงค์” หรือคนอื่นๆ ที่ยอมเจ็บปวดเพื่อกระทำสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่คนกลุ่มนี้คือคนที่มีเสรีภาพหรือคนดีตามหลักคำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนา
เราเอาแต่เรียกร้อง “คนดี” ซึ่งไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไร แต่ไม่ยอมรับ “ความเป็นคน” ของประชาชน หรือไม่เคารพความเป็น “เสรีชน” ของประชาชนที่สามารถเลือกและรับผิดชอบด้วยวิจารณญาณของตนเอง
ซึ่งเท่ากับว่า เราเอาแต่เรียกร้อง “คนดี” แต่ไม่ยอมให้ประชาชนเป็น “คน” หรือเป็น “เสรีชน” ที่สามารถจะเป็นคนดี และเลือกกระทำสิ่งที่ดี พร้อมกับรับผิดชอบต่อผลของการเลือกด้วยตัวของเขาเอง!