WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, September 19, 2009

3 ปีรัฐประหารในทัศนะนักวิชาการนิติศาสตร์

ที่มา Voice TV



ทัศนะของรศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนและอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ต่อการก่อรัฐประหาร 19ก.ย.49

เส้นทางจราจรที่ถูกปิดเพื่อรับมือการชุมนุม

ที่มา Voice TV



ศอ.รส.สั่งปิดเส้นทางจราจรรอบทำเนียบและบ้านสี่เสาเทเวศร์ที่มีการชุมนุมในวันพรุ่งนี้ ผู้ใช้รถจึงควรศึกษาเส้นทางเลี่ยงให้ดี

บรรทัดฐานใหม่

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




ไม่น่าเชื่อว่าเวลาไม่ถึงปีที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้การเมืองไทย และบริหารราชการแผ่นดินชนิด สุดกึ๋น

ข้อแรกสุดที่ต้องจดจารึกเอาไว้ และเชื่อว่าในอนาคตจะกลายเป็นบ่วงมามัดคอพรรคประชาธิปัตย์เมื่อต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน รวมไปถึงบรรดากลุ่มการเมืองข้างถนน

คือการออกพ.ร.บ.ป้องกันการชุมนุมของประชาชน ก่อนที่จะเกิดการชุมนุมขึ้นจริง

จะหาข้ออ้างที่สวยหรูอย่างไรก็ตาม แต่นี่คือครั้งแรกที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งกระทำการแบบนี้

ทั้งที่น่าจะสุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ เรื่องสิทธิ์ในการชุมนุมของประชาชน

เชื่อว่าต่อไปรัฐบาลอื่นๆ คงใช้บรรทัดฐานเดียวกัน

พรรคประชาธิปัตย์ และม็อบพันธมิตรฯ ที่อาจจะออกมาอาละวาดอีกในอนาคต หากไม่ได้ดังใจก็อย่าโอดครวญ

บรรทัดฐานต่อมาคือการบริหารข้าราชการแบบ "เด็กดื้อ" หรือ "เด็กเอาแต่ใจ"

ชัดเจนกรณีศึก "ผบ.ตร." ที่ไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่เลยในอดีต ก็สามารถทำให้กลายเป็นเรื่องขึ้นมาได้

ในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่ากันว่ามีอำนาจเหลือเฟือ ยังไม่กล้าดันคนที่ตนสนับสนุนเพราะติดขัดเรื่องอาวุโส และความเหมาะสมบางประการ

ไม่เช่นนั้นวงการตำรวจคงมีผบ.ตร.ที่ชื่อ "พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์" แทน "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" แล้ว

แต่บรรทัดฐานที่น่ากลัวที่สุดซึ่งรัฐบาลนี้จารึกเอาไว้ คือการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการของตน

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุรรณ ผบ.ตร. ถูกเตะโด่งไปจีน ลงใต้ จนถูกย้ายมาช่วยราชการ

ใน 2 ครั้งแรกตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รองผบ.ตร. ขึ้นมารักษาการ ก่อนพยายามเข้าไปรื้อโผการแต่งตั้ง แต่ไม่สำเร็จ

หนสุดท้ายเลือกพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ขึ้นมารักษาการ เจตนาเพื่อให้ช่วยออกเสียงในก.ต.ช.เลือกผบ.ตร.ใหม่

ความพยายามเล่นงานก.ต.ช.ที่ไม่เอาด้วยกับนายกฯ ทั้งการขุดเรื่องเก่าขึ้นมา หรือถือโอกาสส่งไปทำงานต่างประเทศ แล้วตั้งคนที่คิดว่าคุมได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทน

ทั้งหมดนี้เพื่อหวังชัยชนะในการเลือกผบ.ตร.

แต่ท้ายที่สุดก็หงายท้องเป็นครั้งที่ 2 เพราะเจอ "ข้อมูลสำคัญ" ทำให้คนที่ตั้งขึ้นมาแทนคนเก่าเพื่อหวังคะแนนเสียงตีกรรเชียงหนีไปดื้อๆ

ที่น่ากังวลอีกประการคือบรรทัดฐานขององค์กรอิสระ นักวิชาการ รวมไปถึงนักคิดทางการเมืองทั้งหลาย

ที่ไม่เคยมีปากมีเสียง หรือเคลื่อนไหวอะไรกับพฤติกรรมของรัฐบาลนี้

ในอนาคตหากมีรัฐบาลอื่น ใช้อำนาจลักษณะเดียวกับรัฐบาลนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีแน่ๆ

พวกท่านทั้งหลายจะกล้าออกมาเคลื่อนไหว ให้คนเขาถอนหงอกเล่นหรือ!?

สื่อแท้สื่อเทียม??

ที่มา เดลินิวส์

วันนี้แล้วที่คนเสื้อแดงจะชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า หลังจากนั้นจะเคลื่อนไป หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ “ป๋าเปรม” ซึ่งมีข่าวป๋าไม่อยู่ ไปพักผ่อนโคราชแทน

ที่ไปบ้านป๋าเพราะปักใจเชื่อ“ป๋า” อยู่เบื้องหลังปฏิวัติ 19 ก.ย. 49 ป๋าจะปฏิเสธยังไงแต่คนเสื้อแดงไม่เชื่อ

วันนี้ครบรอบ 3 ปีที่ คมช. ลากรถถังออกมาฉีก รธน. ฉบับประชาชนทิ้ง

การไปบ้าน “ป๋า” จึงเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านปฏิวัติด้วย ซึ่งรัฐบาลก็ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ 18-22 ก.ย. 52 ในเขตดุสิต เพื่อกำราบม็อบเสื้อแดงไว้แล้ว

ข้อห้ามหนึ่งของ พ.ร.บ. นี้คือ ห้ามม็อบเคลื่อนที่ แต่หลักการทำม็อบจะมีพลังต่อเมื่อ ต้องเดิน !!!

ถ้าทหารที่เป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ไม่ยอมและใช้กำลังปราบปราม ความรุนแรงจะเกิดทันที

ในเมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ประกาศก้อง ทหารไม่มีหน้าที่ทำร้ายประชาชน ก็หวังว่าจะมีการยืดหยุ่น ที ม็อบเสื้อเหลือง ท่านยังเปิดทางโล่งให้ยึดทำเนียบฯ และยึดสนามบินได้เนี่ย

ยิ่งป๋าไม่อยู่บ้าน ถึงคนเสื้อแดงจะไปบ้านป๋า ก็ไม่เห็นมีอะไร จะห้ามไปทำไม ???

แต่นั่นล่ะ คนเสื้อแดง ก็อย่าลืมเด็ดขาด อาวุธทรงอานุภาพ สุด มีอย่างเดียว ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และอย่าซ้ำรอย สงกรานต์เลือดกลายเป็นพวก เผาบ้าน เผาเมือง เด็ดขาด

จะอ้างเป็นเหยื่อ มีมือที่สาม แม้จริงก็ไม่มีใครฟังหรอก ใครนอกแถวต้องจัดการทันที !!!

เขียนถึงตรงนี้ก็ขอชม คกก.สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ บ้าง จากที่เคยเลือกปฏิบัติให้สิทธิคนตามสีเสื้อ มาครั้งนี้กล้าทำหนังสือถึงนายกฯมาร์ค ต่อต้านการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ

หลังหน่วยงานเกี่ยวข้องชี้ชัดไม่ได้ว่า กระทบความมั่นคงตรงไหน ถึงจะเพิ่งตื่นก็เป็นนิมิตหมายดี ที่องค์กรอิสระแห่งนี้เริ่มยึดหลักการแล้ว

แล้วก็ต้องหันมาจิก สมาคมสื่อที่ยังไร้หลักการ โดยเฉพาะกรณี จอม เพชรประดับ ซึ่งได้ข่าวว่าร้องขอความเป็นธรรมไปทั้ง สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ และสมาคมวิทยุ-โทรทัศน์ฯ

แต่สิ่งที่จอมได้รับคือ ถามไม่สะใจ ถามไม่ให้ทักษิณจนมุม หรือเป็นเรื่องปกติไปทำผิดนโยบายรัฐเอง นี่หรือคือคำตอบ องค์กรที่มีหน้าที่ปกป้องเสรีภาพสื่อ

จะว่าจอมเป็นสื่อแดง แล้วสื่อเหลืองล่ะ ทำไมทั้ง 2 องค์กรปกป้อง ใช้มาตรฐานอะไร ???

เหมือนตอนสมัครใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ องค์กรสื่อต้านทันที (ม็อบเสื้อเหลืองยึดทำเนียบฯ ด้วยซ้ำ) แต่มาร์คใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยยังไม่มีเหตุเลย ทำไมองค์กรสื่อเงียบเป็นเป่าสาก

เขียนอย่างนี้อาจกลายเป็น “สื่อแดง” หรือ “สื่อเทียม” ได้ ใครถูกมองเช่นนี้หนักขั้น “อนันตริยกรรม” เชียวนะ แต่ถึงเวลาที่ 2 องค์กรนี้ ควรตื่น ได้แล้ว มาเป็น เสาหลักคนทำสื่อ และ ประชาชน เสียที

ด้วยรักและห่วงใย....จริง-จริง.

ดาวประกายพรึก

อนุบาลเด็กดื้อ

ที่มา ไทยรัฐ

บทวิจารณ์ต่อกรณี ความพยายามในการที่จะแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ต้องเจอพิษการเมืองเอาช่วงโค้งสุดท้าย ไม่ค่อยจะมีผลดีต่อ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่าไหร่นัก ด้วยอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ของนายกฯอภิสิทธิ์ วันนั้นจนถึงวันนี้

สะท้อนผู้นำไร้อำนาจ

สะท้อนถึงภาวะผู้นำ และสะท้อนถึงประสบการณ์การทำงาน การเป็นผู้นำประเทศต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่ใช่เหลิงอำนาจ หรือดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง

ทำไปทำมาตำแหน่ง ผบ.ตร. จะต้องใช้วิธีการตั้งรักษาการ ไปเรื่อยๆ จนกว่ารัฐบาลจะหมดอายุ หรือจนกว่าจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง อาจจะทำได้แต่ก็ไม่สง่างาม

ไม่ว่าจะออกมาแนวทางใดก็ตาม ความศรัทธาในภาวะผู้นำก็จะเสื่อมลงเรื่อยๆ และที่สำคัญจะกระทบถึงการบริหารประเทศไปอย่างนี้ไม่มีวันยุติ

วิสัยทัศน์ผู้นำไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

การอ้างข้อมูลพิเศษบางอย่างที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ออกอาการดื้อตาใส จนกระทั่งการประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือก ผบ.ตร. ต้องล่มเป็นครั้งที่สอง และเลื่อนการประชุมออกไปอย่างไม่มีกำหนด

จู่ๆนายกฯ ในฐานะประธาน ก.ต.ช. ก็ เรียกประชุม ก.ต.ช. เร็วขึ้น จู่ๆตั้ง ก.ต.ช.ผู้ทรงคุณวุฒิแบบสายฟ้าแลบเพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ในขณะที่ปลัดกระทรวงยุติธรรม ก.ต.ช.โดยตำแหน่งปฏิบัติราชการอยู่ในต่างประเทศ ขณะที่มีคำสั่งให้ปลัดยุติธรรมปฏิบัติราชการต่างประเทศไปก่อน ขณะที่มีการตั้งรองปลัดยุติธรรมรักษาการปลัดยุติธรรมเพื่อการนี้โดยเฉพาะ กรรมส่อเจตนา

แม้แต่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาการ ผบ.ตร.คนที่คิดว่าจะพึ่งพาอาศัยได้ ก็เปลี่ยนจุดยืนหลังจากรับทราบถึงข้อมูลบางอย่าง

ตำแหน่ง ก.ต.ช.อาวุโส พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้ ก็ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จะคิดอย่างไรก็เป็นอีกเรื่อง รองปลัดยุติธรรมที่เข้าประชุมแทนปลัดยุติธรรมจะลงมติได้หรือไม่ก็ไม่รู้

คาทั้งข้อกฎหมายและข้อมูล

ถ้อยแถลงชี้แจงถึงสาเหตุของการเลื่อนลงมติเลือก ผบ.ตร. เมื่อวันก่อน อาจจะมี ภาพของกรรมการ ก.ต.ช.นั่งแถลงข่าวกันครบหน้าก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้สร้างความอบอุ่นได้เลย

เหมือนถูกบังคับกินยาขม เพราะการแก้ปัญหาไม่ใช่การสร้างภาพ ภาวะผู้นำไม่ได้สร้างขึ้นได้ในวันเดียว แต่จะต้องเกิดขึ้นมาจากการสร้างบารมีและอำนาจที่ชอบธรรม ตำแหน่ง ผบ.ตร.อาจจะกินไม่ได้ เป็นแค่กลไกหนึ่งของการบริหารประเทศแต่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และภาวะของผู้นำประเทศ

โอบามาร์คกำลังตกที่นั่งลำบากซะแล้ว.

หมัดเหล็ก

ไม่มีเวลาให้ซื้ออีกแล้ว

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_34012

"กะหรี่การเมือง" จากปากของผู้แทนราษฎรหญิงอย่าง น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส. สมุทรสงคราม ยี่ห้อพรรคประชาธิปัตย์

แค่นี้เองที่เป็นไฮไลต์


กว่า 30 ชั่วโมง 2 วัน 2 คืน ผ่านพ้นไปแบบจืดๆ การประชุมร่วมของรัฐสภา เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนที่รัฐบาลขอเปิดอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 179 เกี่ยวกับรายงานของคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สรุปว่า ยังจูนคลื่นไม่ตรงกัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยเงื่อนไขใหม่หมาดๆที่ถูกโยนออกมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นสรุปปิดอภิปรายแบะท่าเป็นนัย หลังจากเดินทางกลับจากประชุมยูเอ็น ที่สหรัฐฯแล้ว ยินดีเป็นเจ้าภาพให้วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา มาตกลงกัน 3 ฝ่าย

โอกาสเข้าใกล้ความจริงมากที่สุด

แนวทางแรก ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แบบเร็ว ร้อยละ 25 มาจาก ส.ส.สัดส่วน ร้อยละ 25 วุฒิสภา ร้อยละ 25 จาก ส.ส.ร.ทั้งชุดปี 2540 และ 2550 และอีกส่วนมาจากฝ่ายวิชาการ มาเข้าสู่กระบวนการมาตรา 291

หรืออีกแนวทาง คือยกร่างมาเลยทั้ง 6 ประเด็น ตามข้อเสนอแก้รัฐธรรมนูญของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ แล้วให้ประชาชนตัดสินลงประชามติ

ไม่คิดว่าจะใช้เวลาเป็นปี แต่เป็นเดือน

และเมื่อแก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้วจะเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่มีปัญหา

ประเมินน้ำเสียงอยู่ในระดับพอเชื่อถือได้


แม้โดยเงื่อนไขจะล้อกับเสียงโวยวายของบรรดา "นกแล" กับ "หมาหลง" ในพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องการโหนเลือกตั้งแบบพวงใหญ่ หนีบเข้าสภาเป็นแพ็กเกจ

ตั้งท่าขวางลำ ไม่ให้กลับไปวัดดวงแบบเขตเดียวเบอร์เดียว

ขณะที่ 40 ส.ว. "ลากตั้ง" สายม็อบพันธมิตรฯ ก็รับมุกส่งไม้ เดินเกมเรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์ใช้อำนาจจัดตั้งกรรมการอิสระขึ้นมาศึกษารับฟังความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯแล้ว จากนั้นก็นำไปทำประชามติจากคนทั้งประเทศ

ตั้งท่าเปิดเกมยื้อกันทื่อๆ

แนวต้านขวางรื้อรัฐธรรมนูญ พร้อมปักหลักถือหาง

เปิดทางให้ซื้อเวลาออกไป


แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า "อภิสิทธิ์" เป็นคนตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ฯขึ้นมาเองกับมือ รอบนั้นก็โดนโจมตีว่ายื้อแก้รัฐธรรมนูญ หลอกซื้อเวลามาแล้วรอบหนึ่ง

ไม่มีเวลาเหลือให้ซื้ออีกแล้ว


แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับสัญญาณจาก "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้จัดการใหญ่รัฐบาล ประกาศยึดข้อตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาล เป็นเงื่อนไขสำคัญในการพลิกขั้วมาหนุนพรรคประชาธิปัตย์ ดันนายอภิสิทธิ์ขึ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

ไม่ว่าจะดึงเกมแก้รัฐธรรมนูญกันยังไง

แต่ 2 ประเด็นต้องลุยก่อนเลยก็คือ การทำสนธิสัญญากับต่างประเทศไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และกลับไปใช้ การเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว

"เทพเทือก" ชูสัญญาลูกผู้ชายค้ำคอ

ขืนเบี้ยว ต่อไปจะหาเพื่อนคบลำบาก
สำคัญเหนืออื่นใด โดยจังหวะการเมืองที่นายกฯอภิสิทธิ์กำลัง "เพลี่ยงพล้ำ" ในเกมเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ หน้าแตก 2 รอบติดๆ

กระแสตีกลับ "เด็กดื้อ" สูญเสียภาวะผู้นำ

ทอนความมั่นใจยี่ห้อ "อภิสิทธิ์" ลงไปหลายขีด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางสถานการณ์ม็อบเกลื่อนเมือง เสื้อเหลืองเปิดศึกชายแดน เสื้อแดงเคลื่อนพลบุกกรุง ขณะที่นายกฯอภิสิทธิ์ต้องบินไปประชุมยูเอ็นที่สหรัฐฯ

บรรยากาศได้ลุ้นเสียว


แล้วก็เป็น "เทพเทือก" รีบออกมาดักคอ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ควรจะได้ตระหนักว่าการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญมา 2 วัน ก็มีบรรยากาศของความสมานฉันท์ ซึ่งนายกฯก็ได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่า รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ

ฝ่ายเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทยก็เคยพูดว่า ถ้าเห็นว่ามีความชัดเจนในการเลือกตั้งแล้ว จะไปพิสูจน์กันในสนามการเลือกตั้ง การจะแสดงอะไรในวันที่ 19 กันยายนนี้ หรือการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ควรจะยึดแนวทางของความสมานฉันท์เอาไว้เป็นหลัก

แบะท่าชัด ถอดชนวนด้วยคิวแก้รัฐธรรมนูญ.


ทีมข่าวการเมือง รายงาน

รัฐประหารไม่รู้จบ! ?

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_34000



ครบรอบ 3 ปีรัฐประหาร ปี 49 บทเรียนทางการเมืองที่เกิดอีกครั้ง ในสังคมไทย ซึ่งต้องจารึกและนำมาศึกษาไม่รู้จบ ตัวละคร เรื่องราว ของหน้าประวัติศาตร์การเมืองไทยหนนี้ ยังคงน่าสนใจ แม้ผ่านมาแล้ว 3 ปี ...

3 ปี รัฐประหาร นับจากปี 2549 มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ดูเหมือนจะยังไม่จบ เพราะยังมีการต่อสู้ ดิ้นรน ของกลุ่มผู้เสียอำนาจอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ กลุ่มผู้สนับสนุนคนเสื้อแดง จนกระทั่งมาถึง 19 กันยายน 2552 ที่มีการจัดชุมนุมของคนเสื้อแดง เพื่อรำลึกถึง 3 ปีรัฐประหาร ทำให้เกิดคำถามว่า เมื่อไหร่ ความวุ่นวายหลังรัฐประหารจะจบ ส่วนผู้เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร ได้มองย้อนหลังไป 3 ปี อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาไม่รู้จบเช่นกัน ...

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช. ) กล่าวย้อนรอยเหตุรัฐประหารให้ฟัง ในรายการเอเอสทีวี เกี่ยวกับการรัฐประหาร 19 ก.ย. ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า สาเหตุแห่งการทำรัฐประหาร ไม่ใช่เพราะกลัวถูกย้าย ส่วนเหตุผล 4 ข้อ ที่มีการวิจารณ์ว่า คิดขึ้นภายหลังนั้น จริงๆ แล้ว เป็นข้อเท็จจริง แต่ยังไม่ได้จัดระเบียบออกมา เพื่อชี้แจงสังคมเท่านั้น รวมทั้งเรื่องที่จะเกิดปัญหาในวันที่ 20 ก.ย. 2549 ด้วย พอถึงเวลาชี้แจง จึงชี้แจงให้สังคมเข้าใจง่ายทั้ง 4 ข้อ คือ มาเรียบเรียงทีหลัง ไม่ใช่การมาประดิษฐ์เหตุผลกันทีหลัง

พล.อ.สนธิ กล่าวถึง 3 ปีรัฐประหารที่ดูเหมือนไม่จบ ว่า ต้องยอมรับว่า ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้นำกังวลอะไรซักอย่าง ความกล้าหายไปมาก ทำให้ทุกคนถอยห่างจากปัญหาที่เป็นข้อเท็จจริงไป สรุปว่าความกล้าหาญน้อยลง ทำให้สิ่งที่จะต้องทำ แล้วไม่ได้ทำ จึงเกิดปัญหาทิ้งคาไว้ กลายเป็นเชื้อไฟมาตลอด ตนว่าเป็นประเด็นเดียวที่สำคัญที่สุด ความไม่กล้าเผชิญ ปัญหาที่ต้องแก้ จึงไม่ได้แก้

พล.อ.สนธิ กล่าวถึงโอกาสเกิดรัฐประหารอีกครั้ง ว่า หากผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนปัจจุบันไม่คิดทำ ก็ไม่มีทางที่ใครจะปฏิวัติได้ และคนอื่นไม่สามารถทำได้แน่นอน เพราะกำลังอยู่ที่กองทัพภาคที่ 1 นอกจากนี้ ผลของทำรัฐประหาร ไม่ได้อยู่ที่การทำเสร็จหรือไม่สำเร็จ แต่อยู่ที่ประชาชนจะเอาด้วยหรือไม่ และภาคประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าประชาชนมีส่วนร่วมก็จบ

อดีตประธาน คมช. ยังแสดงความเห็นอีกว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันไม่สอดคล้องเหมือนคราวที่แล้ว ดังนั้น ปัจจัยที่จะนำไปสู่การปฏิวัติอาจจะไม่เท่ากัน เพราะช่วงรัฐประหารปี 49 มีฝ่ายเดียว คือ ประชาชน แต่เวลานี้ประชาชนมีหลายฝ่าย และแต่ละฝ่ายไม่เห็นด้วย ดังนั้น ถ้าทำตอนนี้ มีปัญหา ผบ.ทบ.ตัดสินใจถูกต้อง เพราะหากทำกองทัพจะเสียหาย ในช่วงเวลานี้ นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ปัญหา พื้นฐานต่างกันสิ้นเชิง

จากผู้นำการรัฐประหาร ก็มาถึงผู้จะต้องทำให้การรัฐประหารมีความสมบูรณ์ขึ้น คือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) กับหน้าที่ผู้ทำสำนวน กล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีต่างๆ ถึง 13 เรื่อง ที่ใช้เวลาในการทำงาน 1 ปี 9 เดือน

นายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส. กล่าวกับ 'ไทยรัฐออนไลน์' ว่า ใน 3 ปีที่ผ่านมาจะต้องไปเทียบ ก่อนรัฐประหารว่าเหตุการณ์ขณะนั้นเป็นอย่างไร โดยก่อนมีรัฐประหาร ผู้ใช้อำนาจรัฐ พยายามทุกทางที่จะไม่ให้มีการตรวจสอบ จึงเป็นที่มาของการรัฐประหาร ซึ่งหลังการรัฐประหารได้มีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้หรือไม่อย่างไร จะเห็นได้ว่าผู้เข้ามายึดอำนาจ พยายามให้ตรวจสอบ โดยเฉพาะการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ จึงให้มี คตส. ขึ้นมาทำหน้าที่ ซึ่งคตส.ยึดกฎหมายเดิมที่มีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่ากฎหมาย ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) กฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กฎหมายสรรพากร กฎหมายแพ่งและอาญา โดยสิ่งที่ตรวจสอบมีทั้งสิ้น 13 เรื่อง 20 กว่าคดี ทำให้รัฐเสียหาย เกือบ 2 แสนล้านบาท ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น คือทำให้เกิดความเป็นธรรม ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ หรือ การหลีกเลี่ยงโดยหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง และ ทำให้การบังคับใช้กฎหมาย หรือปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่เดิมเกิดผลสัมฤทธิ์มากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรอิสระ

นายสัก กล่าวอีกว่า อย่างน้อยการเปลี่ยนแปลง หลังยึดอำนาจ มีส่วนทำให้รัฐธรรมนูญ มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันปราบปรามทุจริต สามารถนำมาบังคับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้กระบวนการยุติธรรม ในคดีอาญานักการเมือง ได้มีการพิสูจน์ เปิดโอกาสให้สู้คดีอย่างเต็มที่ และสามารถเข้าสู่การพิจารณาพิพากษาได้ ทำให้เกิดบรรทัดฐาน ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศหันมาให้ความสำคัญในการรักษา หวงแหน ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดินมากขึ้น ตนคิดว่าถ้ามองในแง่นี้น่าจะเป็นผลดี ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตนยังนึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนความขัดแย้งทางสังคมที่ยังคงมีอยู่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะคนที่ถูกตรวจสอบมีอำนาจบารมีมาก จึงมีเครือข่ายวิธีการ ทำให้ความขัดแย้งไม่จบลงง่ายๆ

นายสัก กล่าวทิ้งท้ายว่า 1 ปี 9 เดือนของ คตส. ถือว่าทำสำนวนเสร็จเร็ว แต่ช้าตรงมีปัญหาความเห็นไม่ตรงกับอัยการสูงสุด จนต้องฟ้องคดีเอง แต่ถ้าเทียบกับคดีอื่น คตส. ทำได้เร็วมาก ซึ่งหากศาลตัดสินแบบใดก็ตาม ความขัดแย้งน่าจะจบลงเร็ว

น่าสนใจว่า หากคดีความจบแล้ว ความขัดแย้งจะจบได้จริงหรือ เพราะความแตกแยกครั้งนี้ คงกินลึกอยู่ในสังคมไทยไปอีกนาน และมองยากว่าจะจบลงอย่างไร และแน่หรือไม่ ที่จะไม่เกิดรัฐประหารอีกครั้ง ...

ไม่จบ

ที่มา บางกอกทูเดย์

วันนี้เป็นวันที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะเปิดยุทธการย้อนรำลึกถึงวันรัฐประหาร 19 กันยายน 2549หลายคนสงสัยว่าย้อนรำลึกทำไม ในเมื่อเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศชาติจมปลักมาถึง 3 ปีเต็มก็คงรำลึกเพื่อเตือนสติกระมัง แต่ปัญหาคือจะเตือนสติใครได้บ้างเท่านั้นเพราะบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทั้งหลายไล่ลงมาตั้งแต่นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะลงไป นายสุเทพ เทือก สุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยบรรดา ผบ. เหล่าทัพทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทัพบกทัพเรือ ทัพอากาศ รวมไปถึงทัพตำรวจ ต่างก็ตื่นเต้นตึงเครียดไปตามๆ กันเพราะคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ที่เล่นงานรัฐบาลชุดก่อนหน้า และลากพาเอาบรรดาเจ้าหน้าที่เจ้าพนักงานเข้าปิ้งไปด้วยทำให้การรับมือการชุมนุมครั้งนี้ หนักใจมากยิ่งขึ้นจะเล่านิทานอีสปสักกี่ครั้งกี่หน ลูกปู ก็ไม่มีวันเดินตรงได้แน่ ตราบใดก็ตามที่แม่ปูยังเดินโฉเก เฉไฉไปเรื่อยๆ แบบนี้ยิ่งบ้านเมืองในสภาพที่เอียงไปเอียงมาแบบ

นี้ราวกับไม่มีเสา หรือเสาแหว่งเช่นขณะนี้ มีหรือที่จะเดินได้ตรงอย่าว่าแต่ 2 เสา 3 เสาเลย เจอบรรยากาศที่เอียงสีข้างไปน้ำขุ่นๆ ในทุกเรื่อง ต่อให้ 4 เสาก็ยังสะเทือนในอดีตนั้น ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ประเทศไทยจะมี 3เสาหลักที่ค้ำยันและคานกันและกัน ให้เกิดการสมดุลระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการเรียนมาตั้งแต่สุนัขเลียก้นถึง จนวันนี้ถ้ายืนเฉยๆคงเลียไม่ถึง แต่ถ้าเขย่ง หรือกระโจนใส่ก็ยังคงต้องยอมรับว่าเลียถึงแน่ นั่นแปลว่า แม้เวลาจะเปลี่ยนหลักการไม่ควรเปลี่ยนถ้าสุนัขตั้งใจจะเลียไม่แปรเปลี่ยน ก็ย่อมจะต้องเลียถึงได้อย่างแน่นอนแต่ทำไมหลักในตำราเรียนวันนี้ถึงกลายเป็นหลักกูไม่เหลือหลักการมิน่าแม้แต่ในรั้วสถาบันการศึกษาที่เติบโตมาด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นลูกแม่โดม วันนี้วิธีคิดยังแบ่งแยกแตกต่างกันไปตามสีเสื้ออย่างน่าเสียดายก็ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงทำอะไรก็ผิดไว้ก่อน ไม่ดีในทุกเรื่องไว้ก่อนแต่กับม็อบพันธมิตรฯ ขนาดยึดทำเนียบ ยังตีความกันได้หน้าตาเฉยว่า ไม่มีเจตนายึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็พูดเข้าข้างตัวเองหน้าตาเฉยว่า เป็นผู้ก่อการดีหลักการแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ บอกได้แค่ว่า“ยากที่จะจบง่ายๆ แน่”ต่อให้วันนี้จะมีการ “ติดหนวด” เป็นแท่งสี่เหลี่ยมเหนือริมฝีปากก็ตาม ■

มาร์ค สบายใจได้!

ที่มา บางกอกทูเดย์

แม้ว่าจะอยู่ในจังหวะที่กลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่แต่ภารกิจที่ชื่นชอบและคลั่งไคล้เอามากๆ ในเรื่องของการออกงานเพื่อแสดงปาฐกถา มันยั่วใจอย่างมากมายรู้กันอยู่ว่า หากเอานักการเมืองของไทยมาเข้าแถวเรียงกันในเวลานี้ ใครจะมีรูปร่างหน้าตา การศึกษา และความสามารถในการพูดเทียบเท่ากับ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นไม่มีภาษาอังกฤษเปรี๊ยะจนภาคภูมิใจ ต้องการไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ และจะได้ไปกระทบไหล่บรรดาผู้นำกลุ่มประเทศ G 20 ซึ่งจะไปประชุมกันที่เมืองพิตสเบิร์กสหรัฐอเมริกา ด้วยวาระที่ได้มีโอกาสแสดงบทเด่นแบบนี้จะพลาดได้เช่นไรดังนั้นแม้ว่าจะยังไม่สามารถแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สำเร็จ เพราะขนาดคนที่ตั้งขึ้นมาให้ช่วยรักษาการตำแหน่ง ผบ.ตร.แท้ๆ เจอโทรศัพท์สัญญาณพิเศษเข้ายังเปลี่ยนข้างอุตลุด แต่ก็ไม่ได้ทำให้นายกฯอภิสิทธิ์ สะดุ้งสะเทือนกลุ่มคนเสื้อแดงรวมตัวก็ไม่สะดุ้งสะเทือนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ยิ่งไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องสะดุ้งสะเทือนกลุ่มพยัคฆ์บูรพา จะพี่ใหญ่ หรือพี่รอง หรือใครก็ตามวันนี้ก็กำราบอยู่มือ จนไม่น่าที่จะมีฤทธิ์เดชอะไรแล้วทุกอย่างอยู่ในกำมือประดุจลูกแมวเชื่องๆ เช่นนี้เมื่อมีภารกิจระดับอินเตอร์ ที่จะช่วยทำให้ภาพดูดี ระดับการประชุม G20 มาอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ใครจะอดใจไม่ไปได้แม้ว่าจะมีคนทักท้วงว่า เดือน

กันยายนมันไม่ค่อยจะดีนะสำหรับความเป็นผู้นำ กับการเดินทางไปต่างประเทศเดี๋ยวประวัติศาสตร์ จะซ้ำรอยเอาได้ แล้วจะมาว่าไม่เตือนแต่คนในยามที่ใจมันอยาก อะไรก็ยากจะห้ามอยู่ ไม่เชื่อลองไปถามจอมไสยเวทย์เขมรดูก็ได้ ว่าเวลาที่ฮีทสุดๆ นั้น จะให้ทำอะไรก็ได้จริงหรือไม่ที่สำคัญความเชื่อมั่นของ นายกฯ อภิสิทธิ์ในวันนี้ ต้องบอกว่าปรอทขึ้นฮีทสุดๆ ความเชื่อมั่นล้นทะลักกระเปาะจนปรอทจวนเจียนแตกแล้วด้วยซ้ำ มีหรือจะกลัวอะไรมั่นใจเต็ม 100% ว่า ไม่มีทางมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในระหว่างที่ไปสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอนเพราะเชื่อมั่นว่า กลไกอำนาจของกองทัพทั้งหมดในเวลานี้กลไกอำนาจในระบบราชการ และกลไกอำนาจในระบบอำมาตยาธิปไตย ทุกภาคส่วนล้วนแล้วแต่สยบ และยอมให้กับนายกฯอภิสิทธิ์ผู้มีภาพลักษณ์อินเตอร์ ระดับออกซฟอร์ดแฟมิลี่ หมดแล้วมีหรือใครจะกล้า ... มีหรือที่จะไม่ได้กลับ!!!ล่าสุด พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหมก็ออกมายอมรับว่า มีการเตรียมการรองรับกรณีที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันในระหว่างที่นายกฯอภิสิทธิ์ ไปสหรัฐอเมริกาแล้วโดยขอยืนยันว่า ไม่มีเรื่องการปฏิวัติแน่นอนยุคสมัยใหม่แล้ว การปฏิวัตเป็นเรื่องล้าสมัยพูดเหมือน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ตอนนั้นไม่มีผิดเลยปัญหาก็คือ ครั้งนี้ทำไมบรรดาผู้บัญชาการทั้งหลายเงียบฉี่จนต้องให้ปลัดกระทรวงกลาโหมออกมาการันตีแทน...นี่สิน่าคิด ■

เผ่าพันธุ์ไทย

ที่มา บางกอกทูเดย์

เคยสงสัยกันหรือไม่....เราเผ่าพันธุ์ไทยอยู่กันมาได้อย่างไร...ในกาลเวลาตั้ง 790 ปี..นับตั้งแต่มีราชวงศ์พระร่วงขึ้นมาปกป้องคุ้มครองไพร่ฟ้าผสกนิกร790 ปี...ที่ประเทศไทยมีการปกครอง....นั่นคือ557 ปี..ก่อนที่จะมีประเทศสหรัฐอเมริกาเรา....เผ่าพันธุ์ไทย อยู่กันมานานนักหนาบนผิวโลกส่วนนี้..เราอยู่กันมาได้อย่างไร...โดยที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ..แล้วบัดนี้วันนี้..ประเทศจะอยู่กันไม่ได้ ความเป็นไทยจะไม่มีกันเลยหรือหากไม่มีรัฐธรรมนูญ..ไทยกับไทยจะฆ่ากันเพราะฝ่ายหนึ่งจะแก้อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ให้แก้..กับ รัฐธรรมนูญ713 ปีที่ประเทศนี้ไม่มีรัฐธรรมนูญเราอยู่กันมาได้อย่างไร...อยู่กันมาได้ในแบบที่เรียกว่า..กินดีอยู่ดีและมั่งมีศรีสุข..รัฐธรรมนูญต่างหาก...ที่เป็นกรรมวิบากของชาตินี้แผ่นดินไทยสร้างกันขึ้นมาแล้วฉีกแล้วฉีกอีก..กับรัฐธรรมนูญแทบจะทุกฉบับ...บางฉบับเราเขียนมันขึ้นมาด้วยเลือดของประชาชน.จะเป็นอย่างไร..หากว่าเราจะลืมเรื่องรัฐธรรมนูญกันสักพัก..แล้วกลับไปหากติกาง่ายๆ ของระบอบประชาธิปไตย..ให้ประชาชนไปเลือกตั้ง

สร้างรัฐบาลของเขาขึ้นมา..ให้เขาหย่อนบัตรลงไปด้วยว่า ต้องการใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี.ใครทำผิดให้ไปขึ้นศาลปรกติธรรมดา...เน้นแต่ว่าคดีการเมืองนั้นต้องเบ็ดเสร็จภายในเวลา 1 ปี.. ไม่ต้องมีกรรมการกลางกรรมการอิสระให้ผู้คนต้องกังขา ไม่ต้องมีศาลเดียวเป็นศาลเตี้ย..ไม่ต้องมีองค์กรไว้อ่านภาษากฏหมาย..ไว้ขัดแย้งตรงกันข้ามกับการอ่านของมหาชน..เผ่าพันธุ์ไทย..อยู่กันมาได้ 713 ปี ก่อนจะมีรัฐธรรมนูญ...เราเจริญกันมาได้...แต่จะมาหายนะในช่วงเวลา 77 ปีที่มีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับกระนั้นหรือ..790 ปี..ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ 49พระองค์...แต่ 77 ปีแห่งประชาธิปไตย..เรามีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 59 คน..คิดกันง่ายๆ..หากเอาจำนวนปีของชีวิตประเทศไทย..มาหาจำนวนนายกรัฐมนตรี..เวลา 790 ปีเราจะมีนายกรัฐมนตรี..607 คน...กลับกันหากเอา77 ปี ประชาธิปไตย. กลับไปสู่การปกครองในระบอบกษัตริย์..เราจะมีผู้ปกครองแค่ 4 พระองค์..นั่นคือความมีเสถียรภาพกับความไม่มีเสถียรภาพ..ที่เป็นปุ๋ยดอกเป็นปุ๋ยใบให้กับความเจริญเติบโตของชาติของเผ่าพันธุ์..อีกไม่นาน นายกรัฐมนตรีคนที่ 59 จะจากไป..เราจะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 60 จากนี้ไม่นาน..

ป้องกันไว้...ไม่เสียหลาย

ที่มา บางกอกทูเดย์

ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่...ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม “คนเสื้อแดง” รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่คอยเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง ในวัน นปช. ชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย. 52“เทคโนโลยีใหม่” ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมนำมาเพื่อทำการ “สลายชุมนุม”หากเกิดเหตุรุนแรง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “เครื่องทำหูดับ”เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง...ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ “ระบบประสาท”หากผู้ใช้ไม่มีความชำนาญเพียงพอ หรือ ผู้ได้รับคลื่นเสียงในความถี่ที่สูงมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิด “อันตราย” ต่อร่างกายดังนั้น...จึงควรหาวิธีป้องกันหากรู้ว่า ร่างกายรับไม่ไหว หรือ เกินขีดจำกัด อันเป็นผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพในอนาคตเครื่อง LRAD มีชื่อเต็มว่า Long Range Acoustic Device หลักการทำงานคือการใช้จานส่งคลื่นเสียงความถี่ 2.5 กิโลเฮิร์ตซ์ ด้วยเชิงมุม 30 องศาสามารถทำให้เกิดเสียงดังระดับ 146 เดซิเบล ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ในระยะ1 เมตรสามารถสูญเสียการได้ยิน “อย่างถาวร”เนื่องจากแก้วหูถูกทำลาย!สำหรับระยะ 300 เมตร ระดับเสียงจะดังประมาณ 90 เดซิเบลลักษณะของเสียงจะคล้ายกับเสียงของเครื่องตรวจจับควันไฟ แต่หวีดแหลมและดังกว่ามากๆโดยอุปกรณ์หลักในการสร้างคลื่นชนิดนี้คือ Piezoceramic Transducersซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนความถี่ของกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นคลื่นเสียงสำหรับ “วิธีป้องกัน” สามารถปฏิบัติได้โดย1. ใช้ Ear-plugs หรือที่อุดหู ควรเลือกชนิดที่ป้องกันเสียงได้สูงสุด เช่น Ear-Plugs สำหรับงานช่าง หรือ สำหรับซ้อมยิงปืน2. ถ้าไม่มี Ear-Plugs ควรประยุกต์สร้างอุปกรณ์อุดหูด้วยวัสดุที่ช่วยลดระดับเสียง เช่น กระดาษทิชชู หรือ ก้นบุหรี่ชุบน้ำให้หมาดหรือ เหลาจุกคอร์กให้มีขนาดที่เหมาะสม แล้วใช้แทน Ear-Plugs3. ตัดเล็บนิ้วมือให้สั้น โดยเฉพาะนิ้วก้อย เพราะถ้าไม่มี Ear-Plugs หรืออุปกรณ์ใดๆ ก็ให้ใช้นิ้วก้อยอุดช่องหูให้แน่นที่สุด ผิวหนังของมนุษย์สามารถดูดซับให้คลื่นเสียงอ่อนกำลังลง4. ควรเตรียมหน้ากากสำหรับ “สะท้อนแนวคลื่น” ด้วยการใช้แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ตัดให้มีขนาดความยาวพอที่จะพันรอบศีรษะได้เจาะรูรูปสามเหลี่ยม...สำหรับให้จมูกโผล่ออกมาเพื่อหายใจ เจาะรูตำแหน่งดวงตาเพื่อให้สามารถมองเห็น

เวลาที่ต้องการนำมาใช้ ให้แนบจมูกและดวงตาตรงกับตำแหน่งที่เจาะรูไว้ กดและขยำปลายแผ่นฟอยล์ให้แนบกับด้านหลัง-ด้านบน-ด้านข้าง ของศีรษะ โดยด้านที่มันเงาของแผ่นฟอยล์จะต้องอยู่ภายนอก เพื่อให้เกิดการสะท้อนและหักเหของคลื่นนี่เป็นวิธีป้องกันตนเองแบบง่ายๆ ซึ่งสามารถช่วยลด “ความเสี่ยง” ต่ออันตรายในร่างกายที่อาจเกิดขึ้นเพราะไม่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุม หรือ เจ้าหน้าที่ ต่างต้องทำหน้าที่ของตนให้เกิด“ประสิทธิภาพสูงสุด”ผู้ชุมนุม...มีสิทธิ์แสดงออกซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้กรอบและกฎเกณฑ์ของกฎหมายเจ้าหน้าที่...มีสิทธิ์เข้าทำการ “สลายการชุมนุม” หากเกิดเหตุรุนแรงซึ่งต้องใช้วิธีปฏิบัติในการ “ไม่ละเมิดสิทธิ” ของผู้ชุมนุมอย่างเคร่งครัด3 ปีแห่งการ “รัฐประหาร” เป็นความสุขของ “ผู้มีอำนาจ” ที่ได้สร้างความเจ็บปวดภายในจิตใจของประชาชนคนไทยทั่วทั้งแผ่นดินสิ่งที่รองนายกรัฐมนตรี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” พูดขึ้นเมื่อวานก่อนที่จะมีการชุมนุม “หากมีความเป็นไปได้ ตนอยากจุดธูปเทียนกราบไหว้กลุ่มคนเสื้อแดงว่าอย่ามาชุมนุม”“คุณสุเทพ” เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่รู้ทุกเรื่องราว...รู้ความเป็นไปในบ้านเมืองและรู้อยู่แก่ใจว่า...ประเทศชาติมัน “ขัดแย้ง” เดินมาไกลจนกว่าจะถอยหลังย้อนกลับ การชุมนุมของ “มหาประชาชน” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด หรือพรรคพวกใดจะยังคงดำเนินต่อไป...ท่ามกลางสภาวะสังคมและการเมืองในประเทศที่ ไม่มีการปกครองด้วยความเป็นธรรมประชาชนเหล่านี้มิใช่หรือที่ถูก “ผู้มีอำนาจ” กดขี่กดหัวจนมิอาจ“ลืมตาอ้าปาก” และเห็น “แสงสว่าง” แห่งความปกติสุขพวกเขาต้องการที่จะ “เปลี่ยนแปลง” ประเทศนี้ให้กลายเป็นดินแดนที่มีความ“ถูกต้อง” และ “เป็นธรรม” ไม่ใช่เป็นเช่น “รอยยิ้ม” อันไม่จริงใจของผู้มีอำนาจประเทศนี้ไม่ได้ถูกปกครองด้วย “กลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง” แต่ต้องเป็นการปกครองโดย “มหาประชาชน” ซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างสิ่งมีค่าให้พวกเขา “ดำรงชีพ” สืบอยู่“คุณสุเทพ” ไม่จำเป็นต้องมา จุดธูปเทียนกราบไหว้ คนเสื้อแดงให้เสียเวลา...เพียงแค่เอ่ยปากไหว้วานบอกไปถึง “ผู้มีอำนาจ” ...เมื่อใดจะหยุดทำร้ายประเทศชาติเสียที!โดยเฉพาะ “ผู้มีอำนาจ” เหล่านั้น...ต้องมา “ก้มกราบขอโทษ”ต่อมหาประชาชน ซึ่งได้ทำความชั่วความเลวไว้มากเขาทำผิดต่อแผ่นดินที่ยืนอยู่...และทำผิดต่อประชาชนซึ่งเป็น“ผู้ใต้ปกครอง” อย่างมิน่าให้อภัยแต่ในฐานะ “คนไทย” คนทำผิดต้องให้โอกาส...กราบขอโทษงามๆแล้วประชาชนทั้งหลายจะให้อภัย!! ■

ถึงแกนนำเสื้อแดง:จงถนอมรักมวลชน อย่านำมวลชนไปสู่ความสุ่มเสี่ยงโดยไม่จำเป็น!

ที่มา Thai E-News

แถลงการณ์ถึงแกนนำเสื้อแดง,ผู้ร่วมชุมนุม,เพื่อนร่วมชาติต่อกรณีชุมนุมรำลึก 3 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน

ไทยอีนิวส์ได้ก่อตั้งมาจวนครบ 3 ปี หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และยืนหยัดสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย ที่เคลื่อนไหวเพื่อประเทศชาติ ประชาชน ประชาธิปไตย และความเป็นธรรม มาโดยตลอด

สำหรับการชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน 2552 เพื่อรำลึกถึงการรัฐประหารครบรอบ 3 ปีนั้น เราขอแสดงจุดยืนดังต่อไปนี้

1.ขอสนับสนุนประชาชนไทยทั่วประเทศและทั่วโลก รวมทั้งมิตรสหายที่หนุนช่วยทั้งมวลร่วมกันสนับสนุนการจัดกิจกรรมชุมนุมใหญ่ในทุกวิถีทางที่จำเป็น เช่น เข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมโดยสงบสันติปราศจากอาวุธ หรือหนุนช่วยด้านเสบียง อุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น อุปกรณ์กันฝน หรืออุปกรณ์กันเสียงLRAD เป็นต้น

สำหรับท่านไม่สะดวกเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมใหญ่ที่ลานพระรูปทรงม้า ก็อาจเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ ณ บริเวณศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่นัดหมายสำคัญในจังหวัดและพื้นที่ต่างๆที่ท่านสะดวก หรือให้กำลังใจ

2.เนื่องจากอาจเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นได้จากการยั่วยุ หรือสร้างสถานการณ์ ซึ่งควรยอมรับว่าหลายครั้งที่ผ่านมาแกนนำเสื้อแดงไม่สามารถจัดการควบคุมการชุมนุมให้อยู่ในระเบียบวินัยการจัดตั้งที่เคร่งครัดได้ทั้งหมด เช่น กรณีการชุมที่หน้าบ้านสี่เสาฯเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2550 ที่มีผู้ร่วมชุมนุมบางส่วนไม่อาจทนการยั่วยุของตำรวจได้และเกิดการปะทะขึ้น นำไปสู่การจับกุมแกนนำ และพ่ายแพ้ทางการเมือง

หรือกรณีชุมนุมใหญ่เมื่อเดือนเมษายน ก็มีแท็กซี่กลุ่มหนึ่งเข้าปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยไม่ใช่มติของผู้ชุมนุม หรือการเข้าไปรบกวนสถานที่ประชุมของผู้นำชาติอาเซียนพัทยา ก็เป็นไปในลักษณะที่"เป็นไปเอง"โดยไม่อยู่ในแผนใดๆ ทั้งหมดนี้มีความเสี่ยงต่อการถูกยั่วยุ นำไปสู่การปราบปราม และการพ่ายแพ้ทางการเมือง

ต่อสถานการณ์ชุมนุมใหญ่วันที่ 19 กันยายน 2552 นี้นับได้ว่ามีความแหลมคมอย่างยิ่งต่อการจะเกิดปัญหาตามมาได้ นอกจากกรณีปัญหาแกนนำการชุมนุมเคยมีปัญหาไม่อาจจัดการควบคุมการชุมนุมให้เคร่งครัดอยู่ในวินัยการจัดตั้งที่เข้มงวดต่อผู้ชุมนุมได้แล้ว ก็อาจมีปัญหาขาดลักษณะประชาธิปไตยด้วย คือแกนนำเพียงจำนวนไม่กี่คนอาจกระทำการที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิตของมวลชน และความพ่ายแพ้ทางการเมืองของขบวนประชาธิปไตยในภาพรวม เช่น การประกาศเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยที่รู้ดีอยู่แล้วว่าฝ่ายอำมาตย์มีการป้องกันขันแข็ง และสุ่มเสี่ยงจะเกิดการปะทะ หรือการสร้างสถานการณ์อันเลวร้าย(ซึ่งกรณีสงกรานต์ แกนนำเองก็ยอมร้บว่า มีฝ่ายมือที่สามเข้าแทรกแซงก่อเหตุทั้งเรื่องรถแก๊ส การยิงชาวบ้านที่นางเลิ้ง และการมีปัญหากับชาวมุสลิมแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่)

ในคราวนี้แกนนำการชุมนุมแน่ใจหรือยังว่าสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านี้ได้ หากได้ก็จะได้รับการชื่นชมจากเรา แต่หากไม่ได้ ท่านก็อาจจะกำลังพามวลชนสุ่มเสี่ยง เป็นการไม่ถนอมรักมวลชนที่สนับสนุนพวกท่านทุกบาทก้าว และท่านกำลังสะสมความพ่ายแพ้ทางการเมืองให้มากขึ้นตามลำดับ และนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของฝ่ายประชาธิปไตยในที่สุด

ดังนั้นหากท่านไม่สามารถจัดการควบคุมผู้ร่วมชุมนุมให้เคร่งครัดในวินัยจัดตั้งอย่างเข้มงวดได้ ลักษณะการนำกระจุกตัวกระจุกการตัดสินใจขาดลักษณะประชาธิปไตย และหรือไม่สามารถจัดการบริหารความเสี่ยงจากการแทรกซ้อนของผู้ประสงค์ร้ายได้อย่างเด็ดขาด แกนนำควรพิจารณาทบทวนตัดความเสี่ยงต่างๆออกไปให้ได้มากที่สุด เป็นต้นว่า ยุติการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมไปที่ใดที่หนึ่ง รวมทั้งบ้านสี่เสาฯเพราะไม่จำเป็นใดๆเลย การที่บอกว่าจำเป็นต้องไป เพราะพลเอกเปรมเป็นสัญลักษณ์ของแกนกลางรัฐประหาร ก็คนรู้กันทั้งโลกมานานแล้ว และเปรมเองก็ไม่อยู่ แต่หนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว ท่านยังจะพามวลชนไปเสี่ยงอีกทำไม..?!

3.พร้อมกันนี้เราขอเรียกร้องไปยังฝ่ายรัฐบาล บรรดาสื่อสารมวลชนกระแสหลัก นักสิทธิมนุษยชน และประชาชนเพื่อนร่วมชาติผู้มีใจยุติธรรมทั้งหลายได้โปรดมองการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายนนี้ตามที่เป็นจริง เราไม่เรียกร้องให้พวกท่านต้องเอาใจเข้าข้างถือหางสนับสนุนใดๆ เพียงแต่พิจารณาตามที่เป็นจริง มองว่านี่คือเพื่อนร่วมชาติของพวกท่าน มีชีวิต มีจิตใจ มีครอบครัว มีความปรารถนาดีต่อประเทศเช่นเดียวกับคนไทยผู้รักชาติทั้งมวล เพียงท่านพิจารณาได้เท่านี้ ก็นับเป็นสิ่งที่พึงหวังต่อชะตาอนาคตประเทศชาติของเราแล้ว

กองบรรณาธิการไทยอีนิวส์

19 กันยายน 2552

ทำไมผบ.ตร.ของอภิสิทธิ์จึงกลายเป็น”ศึกช้างชนช้าง”

ที่มา Thai E-News

ที่มา เว็บนิวสกายไทยแลนด์
19 กันยายน 2552

มีคำถามมามากว่าทำไมการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ครั้งนี้จึงดูยุ่งยากสลับซับซ้อน ปิดๆ เปิดๆ กันมึนไปหมด จึงขออนุญาตแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนครับ

การเลือกผบ.ตร.เดิมทีไม่ได้มีความสำคัญถึงระดับ"ศึกช้างชนช้าง"หรือ"ศึกยุทธหัตถี"เช่นที่เป็นอยู่ขณะนี้ เริ่มต้นที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติใหม่ซึ่งจะต้องมีการเกลี่ยและโยกย้ายกันจำนวนมาก อภิสิทธิ์(ปชป)ร่วมกับสนธิ ลิ้มทองกุล(พรรคพันธมิตรการเมืองใหม่)ถือโอกาสวางแผนสมคบคิดสร้างฐานกันใหม่ในสำนักงานตำรวจเพื่อผลสร้างฐานเสียง คุ้มครองหัวคะแนนและผลประโยชน์มหาศาลในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ขณะเดียวกันพรรคภูมิใจไทยจับมือกับกลุ่มทหารที่ต้องการเล่นการเมืองอาศัยความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร.ปัจจุบันก็ทำโผโยกย้ายหวังปูฐานเข้าสู่การเมืองเพื่อเป็นใหญ่เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างว่าต้องการล้างอิทธิพลทักษิณและตำรวจเสื้อแดงที่ทำตัวใส่"เกียร์ว่าง"ในขณะนี้

ฝ่ายอภิสิทธิ์และสนธิลิ้มได้สร้างวาทกรรม"เจอตอ"ในคดียิงสนธิ จากปากของพลตำรวจเอกธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร.คนของสนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อหวังกดดันไปสู่การเปลี่ยนผบ.ตร.คนใหม่ แต่ก็เจอแรงต้าน ตอบโต้จากพัชรวาทและพวกสุดฤทธิ์ เกิดนิทานอีสปเรื่อง "หมาป่ากับลูกแกะ" ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ จะเป็นตำนานต้องเล่าขานกันในวงการสีกากีและการเมืองไทยไปอีกนาน จนไม่สามารถปลด-ย้ายหรือกระทำการใดๆ ไม่ให้พัชรวาทยุ่งเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายหรือปรับเกลี่ยตำแหน่งตามโครงสร้างใหม่แต่อย่างใด

กระทั่งเมื่อใกล้วาระเกษียณอายุต้องสรรหาผบ.ตร.คนใหม่ อภิสิทธิ์ที่สมคบกับสนธิลิ้มจึงใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ต.ช.ที่มีสิทธิเสนอชื่อผลักดันพลตำรวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ ในกำกับของสนธิลิ้มซึ่งได้ส่งลูกน้องไปเป็นหน้าห้องไว้ล่วงหน้าแล้ว หวังเปิดทางสะดวกในการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายวางฐานอำนาจกันใหม่ เพื่อรองรับพรรคการเมืองพันธมิตรและประชาธิปัตย์เจ้าเก่าตามแผนจับมือ กอดคอกันยึดรัฐสภาการเมืองไทยไว้ใต้อุ้งอำนาจ

แต่อนิจจา..."เมื่อฟ้าให้ปทีป(จะ)เกิดไยให้(มี)จุมพลเกิด(สอดแทรก)ด้วย"

พลตำรวจเอกจุมพล มั่นหมายกลับได้รับการเสนอชื่อเข้าร่วมชิงตำแหน่งแข่งขันด้วย จากผลงานรับใช้ใกล้ชิดจนเป็นที่ไว้วางใจมาตั้งแต่ครั้งเป็นผู้การอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี

ประกอบกับปัจจุบันอยู่ในช่วงปลายรัชกาลที่ท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสี ผู้รับมรดกจากฟ้าอย่างเป็นทางการจึงต้องการปูพื้นฐานในการขึ้นครองฟ้า วางฐานอำนาจรองรับภารกิจนี้โดย"ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ"เช่นที่มีกลุ่มอำมาตย์กำลังวางแผนกันอยู่ในขณะนี้

จึงเกิด"ข้อมูลพิเศษ"จากนิพนธ์ พร้อมพันธ์ เลขานายกรัฐมนตรีและสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงแจ้งให้อภิสิทธิ์ได้รับทราบถึง"ข้อมูลพิเศษ"นี้ แต่ด้วยความโอหังและต้องการลดปมด้อย"เด็กเมื่อวานซืน"ที่ต้องรอแก๊สบ่มยังไม่บรรลุวุฒิภาวะผู้นำจึงทำเป็นละเลยไม่แยแสที่จะทำความกระจ่างชัด ดึงดันเสนอชื่อที่ไม่ใช่"ข้อมูลพิเศษ"ขอมา อาจจะเมื่อไปปรึกษากับสนธิลิ้มก็ได้รับการยืนยันว่าของลิ้มเป็น"ข้อมูลพิเศษที่พิเศษกว่า"ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องกลัว และชวนเองก็หนุนให้ไม่ต้องสนใจโดยอ้างว่าสมัยเป็นนายกก็เคยขัดใจ"ข้อมูลพิเศษ""ไม่เห็นจะมีอะไร โมโห 3-4 วันก็เงีบหายไปเอง"

อภิสิทธิ์ด้วยความมั่นใจเสนอชื่อพล.ต.อ.ปทีป เป็นผบ.ตร.คนใหม่ต่อที่ประชุม ก.ต.ช.อย่างโอหัง บังอาจ จึงได้รับการ"ตบหน้า"สั่งสอนด้วยมติไม่รับรองปทีปเป็นผบ.ตร.คนใหม่เป็นที่อับอายฮือฮากันทั่วทุกวงการ อภิสิทธิ์เองทำเป็นไก๋โยนความผิดพลาดให้กับพรรคภูมิใจไทยหวังกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนความจริง แต่ก็ถูกสวนกลับด้วยวาทะ"ให้ไปถามนิพนธ์กับสุเทพ"ผู้ประสานงานพรรคร่วมที่สั่งมา ต้องเดือดร้อนบรรดาทนายหน้าหอของ"ข้อมูลพิเศษที่พิเศษกว่า"ตามที่สนธิลิ้มอ้างออกมาเดินเพ่นพ่านแสดงตนว่าเป็นของที่จริงกว่าหนุนมาร์คอยู่ อันนำไปสู่การขยายเรื่องเล็ก(ที่ควรจะเป็นภายใน)ให้เป็นเรื่องใหญ่(เป็นที่รับรู้ทางสาธารณะ) เพราะความดื้อรั้น อวดดี โอหัง รักหน้า รักประโยชน์ตนของอภิสิทธิ์เป็นเหตุ

อนิจจาวันเวลาได้เคลื่อนไปไม่เคยหวนกลับ สมัยชวนกับสมัยนี้เงื่อนไของค์ประกอบบารมีไม่เหมือนกัน "ข้อมูลพิเศษ"ปัจจุบันกำลังจะบินขึ้นท้องฟ้า บารมีเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเริ่มสั่งสมเพื่อรองรับภารกิจนี้

จึงเกิดสายด่วนตรงระหว่าง"ข้อมูลพิเศษ"กับ"ข้อมูลที่พิเศษเหนือกว่า" ทำให้"ข้อมูลที่อ้างว่าพิเศษเหนือกว่า" ยอมรับต้องปล่อยวางไม่ยุ่งเกี่ยว เดือดร้อนต้องให้คนแก่ผมหงอกที่เป็นล่ามกิติมศักดิ์อ้างว่าสามารถสื่อสายตรงกับ"ข้อมูลที่พิเศษสุดสุด"แอบอ้างว่าหนุนอภิสิทธิ์อย่างเต็มตัว

ด้วยวาจาดูถูกดูแคลนของอภิสิทธิ์ที่ว่าข้อมูลที่อ้างเป็นข้อมูลจริงไม่จริง ลึกไม่ลึก รอบด้านไม่รอบด้าน จึงเกิด"สายด่วนตรงจากเยอรมัน"ที่นิพนธ์บินไปรับมายืนยันว่า"ข้อมูลพิเศษ"ของจริง ไม่ใช่อ้างลอยๆ ไม่ลึก ไม่รอบด้านตามที่กล่าวหา

กรณี"ชี้มูลความผิดของปปช."จากบารมีล่ามฯ เป็นการเริ่มกลโกง เกมสกปรก ตัดคะแนนกันหน้าด้านๆ โดยไม่คำนึงถึงความเสื่อมเสียในองค์กรอิสระจึงเกิดขึ้น พร้อมด้วยเทคนิคกลเกมสารพัดนำมาใช้โดยไม่มีความสำนึกว่าเหมาะสม สมควรหรือไม่

เพราะความดื้อรั้นของเด็กดื้อทำให้รับทราบกันทั่วไปว่าใคร? หนุนจุมพลให้เป็นผบ.ตร. ก่อให้เกิด"สงครามแห่งศักดิ์ศรี"ขึ้น ถึงขั้นถ้าพ่ายแพ้หมากนี้(ในการแต่งตั้งผบ.ตร.)อาจหมายถึงพ่ายแพ้ทั้งกระดาน(ตำแหน่ง"ผู้รับมรดก"อาจเป็นเพียงในนามเท่านั้น)

"ขอกันแค่นี้ก็ไม่ได้หรือ" คำคำนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับการปฏิเสธด้วยท่าที่ที่โอหัง

สมัยทักษิณเป็นนายกเตรียมเสนอพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ขึ้นเป็นผบ.ตร.อย่างเต็มที่ แต่เมื่อได้รับ"ข้อมูลพิเศษ" ขอเปิดทางให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะผู้ที่ญาติผู้ใหญ่ฝากฝังมา ทักษิณสนองตอบทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขหรืออิดออดแต่อย่างใด

อภิสิทธิ์อ้างเสมอว่าตน"จงรักภักดีและเทิดทูน"ต่อราชวงศ์ต่อสถาบันกลับกระทำการดูเสมือนเหิมเกริมบังอาจทำตนเป็นศรีธนญชัย เล่นกลเกมกลโกงหวังเอาชนะคะคานเพียงข้ออ้างเพื่อรักษา"ภาวะผู้นำ"ของตนไว้

ถ้าประชาชนผู้รักเทิดทูนสถาบันรู้ว่า"ภาวะผู้นำ"ที่นายอภิสิทธิ์กำลังสร้างคือการเล่นแร่แปรธาตุกลิ้งกลอกกับผู้สูงศักดิ์ในราชวงศ์ของสถาบันเบื้องสูง จะได้รับการยอมรับว่านี่คือ ผู้นำผู้จงรักภักดีเทิดทูนสถาบันจริงละหรือ?

ในทางตรงกันข้ามกับ "ภาวะผู้นำ"ที่มีวุฒิภาวะรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา รู้จักที่ต่ำที่สูง รู้สิ่งไหนควรไม่ควร ผู้นำแบบไหนที่ประชาชนผู้จงรักภักดีเทิดทูนสถาบันต้องการและจะได้รับการแซ่ซร้องสรรเสริญ

ดังนั้น"ข้อมูลพิเศษ"จึงจำเป็นต้องลงมาส่งสัญญาณกับผู้ลงคะแนนว่า"ข้อมูลพิเศษ"ของนิพนธ์เป็นของจริง ทำให้เกิดความระส่ำระสาย กระอักกระอ่วนกันทั่วหน้า ชักเข้าชักออกในการประชุมที่ผ่านมา แทนที่อภิสิทธิ์จะถอยเพื่อรักษาสถาบัน..กลับดื้อรั้นประกาศสู้ดะไม่ยอมถอยด้วยวาทะโวหารที่เผยให้เห็นความกะล่อนชัดแจ้ง

จึงเรียกได้ว่าเป็นศึก"ช้างชนช้าง"เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี เป็นศึกชี้เป็นชี้ตาย ระหว่างภาวะผู้นำกับภาวะผู้ครองฟ้าไงครับ

วันตาสว่างแห่งชาติ

ที่มา Thai E-News


วันก็เคลื่อนเดือนก็ผ่านกาลก็ล่วง
เคยลับลวงก็ล่อนจ้อนกระจ่างแจ้ง
เคยงันงงสงสัยก็คลายแคลง
ตาสว่างทั่วระแหงทุกแห่งไป

วันสิบเก้าเดือนเก้าปีสี่เก้า
วันชาวเราปลดแอกแหกกฎไพร่
จบสิ้นทีที่หมอบราบกราบตีนใคร
มีแต่ไทเสรีชนคนเหมือนกัน

ไม่มีแล้วเทวดาบนฟ้านี้
ป่วยการที่เหนี่ยวรั้งกลับหลังหัน
เมื่อสิ้นรักหักสวาทก็ขาดพลัน
คนสะบั้นคือใคร?-ไม่ใช่เรา!

3ปีผ่านการต่อต้านเพิ่งเริ่มต้น
ประชาชนคนกล้าหาขลาดเขลา
ร่วมพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินสิ้นมัวเมา
สังคมเก่าเสื่อมทรุดอยุติธรรม

เสมอภาพเสรีภาพภราดรภาพ
ใช่ไพร่ราบกราบพื้นสุดกลืนกล้ำ
ประชาธิปไตยสาดส่องโคมทองนำ
วันระยำกลับระยับอัปยศฯ


ปีกซ้าย
19 กันยายน 2552

The Economist: Where Power Lies. ที่ตั้งของอำนาจ

ที่มา Thai E-News

ที่มา http://www.economist.com/world/asia/displaystory.cfm?story_id=14456895

แปลโดยทีมงานไทยอีนิวส์
18 กันยายน 2552


กองทัพที่พัวพันการเมืองของประเทศไทย

ที่ตั้งของอำนาจ

รัฐประหารช่างเป็นการจัดการที่ล้าสมัย


ฤดูใบไม้ร่วงมักเป็นฤดูรัฐประหารของประเทศไทย เมื่อสามปีที่แล้วพตท.ทักษิณ ชินวัตรซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้บินไปที่กรุงนิวยอร์คเพื่อเข้าร่วมประชุม United Nations General Assembly และเป็นช่วงที่มีข่าวลือสะพัดในกรุงเทพฯว่ามีแผนการกำจัดเขา ผู้บัญชาการกองทัพบกของเขาได้ปฏิเสธข่าวลือทั้งหมด แต่ในวันที่ 19 กันยายน 2549 เขาก็เข้ายึดอำนาจ และในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กำลังเดินทางไปร่วมประชุม UN ของปีนี้ เขาคงจะต้องหวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยอีกครั้ง ตั้งแต่การโค่นล้มทักษิณ ประเทศไทยได้เผชิญอยู่กับความยุ่งเหยิงวุ่นวายจากความขัดแย้งทางการเมือง ทางกองทัพได้สวมบทบาทอย่างเด็ดขาด แม้กระทั่งหลังจากที่พวกเขาสวมบทบาทของการปกครองเป็นแบบพลเรือน มีไม่กี่คนที่เชื่อว่าพวกเขาจะกลับไปสู่กองกรมในไม่ช้านี้


ในโอกาสครบรอบ 3 ปีของการรัฐประหาร ชาวเสื้อแดงที่สนับสุนทักษิณมีกำหนดการชุมนุมในกรุงเทพฯ การรวมตัวเพื่อแสดงพลังน่าจะเกิดขึ้น การออกกพระราชบัญญัติความมั่นคงที่มีการโต้เถียงกันอย่างกว้างขวาง จะเปิดโอกาสให้กองทัพเข้ามาควบคุมความสงบเรียบร้อยถ้าตำรวจไม่สามารถจะทำได้ และความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจได้ก่อให้เกิดการสั่นคลอนภายในกองกำลังเสียแล้ว


นายอภิสิทธิ์ได้พยายามที่จะปลอบขวัญคนไทยว่ารัฐบาลซึ่งมีอายุ 9 เดือน และไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ของเขายังมีสัมพันธภาพที่ดีกับทางกองทัพอยู่ ทหารระดับสูงได้ให้คำสัญญาตามปกติว่าจะไม่มีรัฐประหาร และครั้งนี้พวกเขาคงจะค่อนข้างจริงใจกับคำสัญญา มันคงจะดูไม่รอบคอบถ้าจะโค่นล้มนายอภิสิทธิ์ผู้ซึ่งพวกเขาได้ช่วยแต่งตั้งเข้ามาหลังจากที่ศาลตัดสินยุบรัฐบาลที่สนับสนุนทักษิณ และผู้ซึ่งเป็นหนี้บุญคุณพวกเขา

เหล่านายทหารทั้งหลายมักจะบ่นว่าการเมืองในประเทศไทย ซึ่งต่างจากการทหาร เป็นเกมส์ที่สกปรก แต่เป็นเกมส์ที่พวกเขาจัดการได้เพื่อประโยชน์ของพวกเขา หลังจากรัฐประหาร รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เป็นเสรีนิยมถูกทดแทนด้วยรัฐธรรมใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยลดน้อยลง พวกเขาสามารถเพิ่มงบประมาณที่มากขึ้นให้กับกองทัพ (ดูจาก chart) ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถยื่นมือช่วยเหลือนักการเมืองที่เป็นมิตรกับพวกเขาได้อย่างสบาย และการอนุมัติพรบ.ความมั่นคงก็ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย


วิธีนี้มันดูจะเป็นวิธีที่สะดวกหลังจากที่กลุ่มสนับสนุนทักษิณได้รับชัยชนะการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550 และรัฐบาลทหารที่ไร้ประสิทธิภาพถูกละทิ้งไป ในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ผู้ประท้วงเสื้อเหลืองผ่ายขวาก็กลับเข้ามาบนถนนในกรุงเทพฯอีกครั้ง และปฏิเสธที่จะสลายตัวจนกว่ารัฐบาลใหม่จะออกไป หลังจากความวุ่นวายเกิดขึ้นที่ตามมา กองทัพได้กลับมาเป็นหนึ่งใหม่ กลุ่มเสื้อเหลืองเรียกร้องให้มีรัฐประหารอีกครั้ง แต่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ปฏิเสธที่จะทำตามนั้น แต่เมื่อเขาได้ปฏิเสธที่จะจัดการกับผู้ชุมนุมที่สนามบินสองแห่งเมื่อเดือนพฤษจิกายนที่แล้ว และกลับกัน ได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ลาออก ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เหมือนกัน

หลังจากความยุ่งเหยิงที่ถูกก่อขึ้นโดยกองทัพ พวกเขามีความพอใจกว่าในการชักใยอยู่เบื้องหลัง นาย Paul Chambers จาก Heidelberg University ประเทศเยอรมัน กล่าว พวกเขามีเครื่องมือทางกฏหมายทุกอย่างที่จะคุมพลเรือนอย่างนายอภิสิทธิ์ให้อยู่ในโอวาทโดยไม่จำเป็นต้องบริหารประเทศโดยตรง

แน่นอน ความลังเลของพล.อ.อนุพงษ์ที่จะยึดอำนาจไม่ได้ขัดขวางให้นายทหารคนอื่นๆพยายามทำ รัฐประหารหลายครั้งใน 18 ครั้งตั้งแต่ปี 2475 ได้มีการแตกแยกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายภายในกองทัพในช่วงการสับเปลี่ยนตำแหน่งในฤดูใบไม้ร่วง แต่พล.อ.อนุพงษ์ได้เลื่อนตำแหน่งผู้ติดตามของเขาและลงโทษทหารที่สงสัยว่าจะจงรักภักดีต่อทักษิณ เขาจะต้องเกษียนปีหน้าในฐานะผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นกองทหารที่สำคัญที่สุด ผู้สืบทอดของเขาคือรองผู้บัญชาการ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ซึ่งเขาอายุน้อยพอที่จะดำรงตำแหน่งถึงปี 2557 เขาถูกมองว่าเป็นอนุรักษ์นิยมมากกว่าผู้บังคับบัญชาของเขาเสียอีก และนอกจากนั้นยังอาจจะยอมสู้เพื่อรักษาความมั่นคงและปกป้องสถาบันกษัตริย์ที่เคารพรัก พล.อ.ประยุทธคงจะมีบทบาทที่สำคัญในช่วงสืบทอดราชบัลลังค์ของกษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดชซึ่งมีพระชนมายุ 81 พรรษา

ในเหล่าคนไทย กองทัพบกได้รับความเคารพและความระแวงสงสัยไปพร้อมๆกัน ในการสำรวจล่าสุดโดย Asia Foundation กองทัพบกถูกจัดเป็นอันดับสองรองจากสถาบันยุติธรรมที่มีจรรยาบรรณ (สถาบันกษัตริย์ไม่ได้อยู่ในตัวเลือก) แต่เพียง 37% ของผู้ตอบบอกว่ากองทัพเป็นกลาง ชื่อเสียงของพวกเขาดีขึ้นหลังจากพฤษภาคม 2535 เมื่อกองทัพได้สังหารหมู่ผู้ชุมนุมในกรุงเทพฯ หลังจากนั้นประชาชนก็ไม่เคยยั้ง ทหารถูกถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ แต่รัฐบาลพลเรือนที่ตามมาได้ประสบความล้มเหลวในการปฏิรูปกองทัพที่มีทหารจำนวน 300,000 นาย พวกเขายังมีนายพลที่ยังอยู่ในตำแหน่งหลายร้อยคน และหลายคนที่ไม่มีแม้กระทั่งโต๊ะทำงาน นายทหารที่มียศ 4 ดาวของไทยมีถึง 36 คน ซึ่งตามหลังอเมริกาแค่นิดเดียวคือ 41 คน แต่กองทัพอเมริกาใหญ่กว่าสี่เท่าและกำลังทำสงครามอยู่ด้วย

พตท.ทักษิณซึ่งเข้ามามีอำนาจในปี 2544 ได้กระทบกองทัพบกสองด้าน ด้านแรกเขาได้คุมการใช้จ่ายของกองทัพ ซึ่งหมายถึงจำนวนคอมมิชั่นมหาศาลที่น้อยกว่าในการซื้ออาวุธที่แพง ด้านที่สอง เขาเข้าไปแทรกแซงการเลื่อนตำแหน่งของทหารประจำปี ภายใน 2 ปีเขาได้มอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้กับลูกพี่ลูกน้องของเขา และมันได้ทำให้เขาเป็นคู่อริกับเปรม ติณสูลานนท์ นายพลที่เกษียณแล้วและเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ภูมิพล การมอบหมายตำแหน่งในระดับสูงเป็นขอบเขตของเปรม ผู้เป็นหนึ่งในองคมนตรี นักการเมืองใหม่ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ผลที่ตามมาจากความขัดแย้งระหว่างเปรม-ทักษิณ และรัฐประหารปี 2549 ทำไห้ทหารกลับออกมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาอาจจะไม่ได้ออกไปจากมันเลยก็ได้

ประชาธิปไตยในเอเซีย อย่างเช่นในอินโดนีเซีย หรือเกาหลีใต้ ได้ผลักการปกครองโดยทหารไปอยู่ข้างหลังพวกเขาแล้ว แต่กระนั้น ประเทศไทยกำลังว่ายสวนทางกัน รัฐบาลพลเรือนซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนอาจจะเปลี่ยนทิศทางได้ แต่ชนชั้นสูงในกรุงเทพฯจะไม่ยอมรับรัฐบาลที่สนับสนุนทักษิณอีก วันที่ 19 กันยายนนี้ เสื้อแดงมุ่งมั่นที่จะเดินขบวนไปยังบ้านพักของพล.อ.เปรม ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางแผนรัฐประหาร 2549 กองทัพของไทยเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้ปกป้องราชบัลลังค์และสงสัยแผนการสู่สาธารณรัฐของเสื้อแดง ซึ่งด้วยเหตุผลนั้น นายพลต่างๆยังไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือจนกว่าการสืบราชบัลลังค์จะสิ้นสุดลง แต่การปราบปรามการชุมนุมใหญ่ในนามของกษัตริย์ที่ดึงดูดใจประชาชนเป็นเรื่องหนึ่ง และเหมือนที่กองทัพเนปาลได้เรียนรู้เมื่อปี 2549 การกระทำอย่างเดียวกันต่อ ** (เซ็นเซอร์) ***** เป็นสูตรสำเร็จของความพ่ายแพ้

Thailand's political army

Where power lies

Sep 17th 2009 BANGKOK From The Economist print edition

Coups are such an old-fashioned way of running thingsGetty Images AUTUMN in Thailand is coup season. Three years ago the prime minister at the time, Thaksin Shinawatra, flew to New York for the United Nations General Assembly as rumours circulated in Bangkok of a plot against him. His army chief denied them. On September 19th 2006 he seized power. As he sets off for this year’s UN meetings, the current prime minister, Abhisit Vejjajiva, will be hoping that history does not repeat itself. Since Mr Thaksin’s ousting, Thailand has been convulsed by political fighting. The army has played a decisive role, even after it donned a figleaf of civilian rule. Few expect the generals to go back to their barracks soon.

To mark the third anniversary of the coup, Mr Thaksin’s red-shirted supporters plan to rally in Bangkok. A big show of force is likely. A controversial security law allows troops to restore order if the police cannot manage—and a political row over the appointment of a new police chief has already rattled the force.

Mr Abhisit has tried to reassure nervous Thais that his squabbling, nine-month-old coalition government is on good terms with the army. The top brass have given their usual no-coup pledges. This time, they are probably sincere. It would seem rash to unseat Mr Abhisit, whom they helped to install after the courts dissolved a pro-Thaksin government, and who remains beholden to them.

Army officers like to grumble that politics in Thailand, unlike soldiering, is a dirty game. But it is a game that they have rigged to their advantage. After the coup, the liberal 1997 constitution was replaced by a less democratic one. They have secured a bigger budget allocation (see chart), allowing them to give friendly politicians a hand. And a tough new internal-security act was passed with minimal oversight.

This proved handy after Mr Thaksin’s allies won an election in December 2007 and an inept military government was disbanded. Within months, yellow-shirted royalist protesters were back on the streets in Bangkok, refusing to leave until the government did. In the ensuing chaos, it was the army that arguably emerged on top. Urged by yellow-shirts to stage another coup, General Anupong Paochinda, the army chief, demurred. But when he refused to disperse the crowds at Bangkok’s two airports last November, and instead urged the prime minister, Somchai Wongsawat, to resign, the effect was the same.

After the mess it made in power, the army is much happier pulling the strings, says Paul Chambers of Heidelberg University in Germany. It has all the legal tools it needs to keep civilians like Mr Abhisit in line, without the bother of having actually to run the country.

Of course, General Anupong’s reluctance to seize power need not preclude others from trying. Many of the 18 coups since 1932 have turned on factional rivalry within the top military ranks during the autumn shuffle of commands. But General Anupong has promoted his followers and penalised officers suspected of Thaksinite loyalties. He is due to retire next year as head of the army, the most important branch of the armed forces. His anointed successor is his deputy, General Prayuth Chan-ocha, who is young enough to serve until 2014. He is reckoned to be even more conservative than his mentor, and even readier to crack heads to defend national security and the revered monarchy. General Prayuth is likely to play a crucial role during the much-feared succession to the king, Bhumibol Adulyadej, who is 81.

Among Thais, the army commands both respect and suspicion. A recent survey by the Asia Foundation ranked it second behind the judiciary as institutions with integrity (the monarchy was not an option). But only 37% of respondents said it was neutral. Its reputation has improved since May 1992, when troops massacred scores of demonstrators in Bangkok. Never again, came the refrain. Soldiers were spat on in public. But successive civilian governments failed to overhaul the 300,000-strong armed forces. They still have several hundred active generals, many without even a desk. The tally of 36 four-star officers is just behind America’s 41. But America’s army is four times larger—and at war.

Mr Thaksin, who came to power in 2001, crossed the army in two ways. Firstly, he kept a lid on spending, meaning fewer fat commissions on the procurement of expensive weapons. Second, he interfered in annual promotions. Within two years he had installed his cousin as army chief. That put him at loggerheads with Prem Tinsulanonda, a retired general and former prime minister, who is the chief adviser to King Bhumibol. Assigning the most senior ranks had been the purview of Mr Prem, who chairs the Privy Council. Upstart politicians were not supposed to meddle. The resulting Prem-Thaksin feud and the 2006 coup pulled the army firmly back into politics, if indeed it had ever really left.

Asian democracies like Indonesia and South Korea have put military rule behind them, yet Thailand is swimming the other way. A civilian government with an electoral mandate might start to turn it around. But the elite in Bangkok would not tolerate another pro-Thaksin government. On September 19th the red-shirts are determined to march on the house of General Prem, the alleged mastermind of the 2006 coup. Thailand’s army sees itself as the defender of the crown and suspects a republican agenda among reds. For that reason, the generals will be loth to let go until the succession is over. But repressing a mass movement in the name of a charismatic king is one thing. As Nepal’s army found in 2006, doing the same for an unpopular monarch, as Thailand’s crown prince would be, is a recipe for defeat.

ปฏิทินกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตย 3 ปี 19 กันยา

ที่มา Thai E-News



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
18 กันยายน 2552

กิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตย 3 ปีรัฐประหาร 19 กันยาฯ




13.00 น. แกนนำเสื้อแดง3เกลอเชิญชวนประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยพบกันที่ลานพระรูปทรงม้า และเคลื่อนขบวนไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ ส่วนแกนนำเสื้อแดงอีสานยกขบวนไปบ้านพักคลายกังวลของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่นครราชสีมา

20.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ถูกทำรัฐประหารโฟนอินและแพร่ภาพเข้ามายังเวทีชุมนุม

สภาลานนาขอบริจาคน้ำดื่ม-ผ้าเย็นหนุนการชุมนุม


-ขอเชิญ สมาชิกในห้อง Sapalanna_Red1 (โปรแกรมแคมฟรอก) และผู้สนใจ ร่วมสนับสนุน น้ำดื่ม ผ้าเย็น ซึ่งต้องการจำนวนมาก เพื่อแจกให้ผู้ชุมนุมวันที่ 19 กันยายน นี้ สะดวกวิธีใด โทรสอบถามได้ 083-999-8017

มหาลัยเที่ยงคืนจัดเสวนาที่เชียงใหม่


-วันที่ ๑๙ กันยายนนี้ ในวาระครบรอบ ๓ ปี การทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา โดย คมช. มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจัดให้มีการแสดงปาฐกถาประชาธิปไตย โดยสุลักษณ์ ศิวรักษ์ : ปาฐกนำในหัวข้อ "สาระของประชาธิปไตยที่แท้จริง" (๑๐.๐๐ น)
เวลา ๑๑.๐๐ น. อภิปรายตามในหัวข้อ "ครบรอบ ๓ ปี วันประหารรัฐประชาธิปไตย" โดย ศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์, รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล, ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช และ อ.ชำนาญ จันทร์เรือง จัดขึ้นวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ ณ ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (๑๐.๐๐ - ๑๒.๓๐ น)

สนนท.จัดแถลงข่าว:3 ปี 19 กันยาฯ: ต่อต้านอำนาจนอกระบบ เร่งสภาวะประชาธิปไตยเสรีสมบูรณ์


สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)ขอเชิญร่วมงานและทำข่าว “3 ปี 19 กันยาฯ: ต่อต้านอำนาจนอกระบบ เร่งสภาวะประชาธิปไตยเสรีสมบูรณ์...”

ขอเชิญผองเพื่อนผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม มาร่วมกันลำเลิกความอัปยศของการรัฐประหาร เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปี การรัฐประหาร 19 กันยาฯ

ในงาน พบกับเวทีพูดคุย พร้อมการแสดงดนตรีของนักศึกษา และร่วมกันจุดเทียนแสดงพลังและเป็นกำลังใจให้กับประชาธิปไตยและประชาชนผู้ต่อสู้

วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป

ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน

ติดต่อสอบถาม 08-76778275, 08-11713370
Email: Suluck@gmail.com

Friday, September 18, 2009

ปัญหาแต่งตั้ง ผบ.ตร.ท้าทายภาวะผู้นำนายกฯ

ที่มา Voice TV



ผลหลังประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติไม่สามารถหาข้อยุติของผบ.ตร.ในวันที่1 ตุลาคมทำให้เกิดสุญญากาศในแวดวงตำรวจ

กอ.รมน.จัดทัพเพิ่มเป็นเท่าตัว รับมือชุมนุมใหญ่เสื้อแดง 19 ก.ย.นี้

ที่มา Voice TV



โดยปิดเส้นทางจราจรเพิ่มขึ้น นายกฯย้ำให้ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมกำชับเช็คอุปกรณ์ก่อนใช้ กันทำร้ายประชาชน

3 ปี 19 กันยา

ที่มา ข่าวสด



คอลัมน์ เหล็กใน








วันพรุ่งนี้ เป็นวันครบรอบ 3 ปีของการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีสุดฉบับหนึ่งของประเทศ

โดยคณะที่เรียกตัวเองว่าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

จากนั้น ก็มีการตั้งสมัครพรรคพวกตัวเองมากกว่าครึ่ง เข้าไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติบ้าง และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญบ้าง

มีการแต่งตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ซึ่งหัวหน้าคณะผู้ก่อการ การันตีว่าเป็นบุคคลที่ไหว้ได้อย่างสนิทใจ

แต่กลับเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวอย่างมากในการบริหารบ้านเมือง

การเลือกตั้งหลังรัฐธรรมนูญฉบับคมช.ประกาศใช้ แม้ พรรคพลังประชาชนจะชนะเลือกตั้ง แต่ก็ถูกเตะตัดขาโดย กระบวนการที่สืบเนื่องจากการยึดอำนาจ

นายสมัคร สุนทรเวช ตกเก้าอี้ เพราะถูกชี้มูลความผิดกรณีรับจ้างทำกับข้าวออกทีวี

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลุดจากตำแหน่ง เพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน

จากนั้น ก็มีอำนาจพิเศษทำคลอดรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยการดึงเสียงส.ส.จากพรรคพลังประชาชน บางส่วนให้มาจับขั้วกับประชาธิปัตย์

แม้จะสามารถบริหารประเทศได้ แต่ก็ต้องผจญกับการต่อต้าน เพราะยังมีประชาชนอีกส่วนหนึ่งไม่ยอมรับ

นายกฯ และบรรดารัฐมนตรีลงพื้นที่ลำบาก เพราะถูกตีนตบตะโกนไล่ก็มี ถูกขว้างถุงปลาร้าใส่รถก็เคย

ไม่น่าเชื่อว่าความขัดแย้งจะลงรากลึกขนาดนี้

ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลง กรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประเมินค่า 3 ปีของการทำรัฐประหารไว้อย่างน่าสนใจว่า

ทำให้ระบบเศรษฐกิจพังพินาศ สังคมมีความแตก แยกสูง การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมถอยลง และการเมืองอ่อนแอ

พร้อมกันนี้ ยังระบุวิกฤตที่เกิดจากรัฐประหาร 3 ประการ ได้แก่

ประการแรก การบังคับใช้กฎหมายที่มีหลายมาตรฐาน การยึดสนามบิน ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรงขั้นก่อการร้าย เวลาล่วงเลยมาจะครบ 300 วันแล้ว คดีความยังไม่ไปถึงไหน

ประการที่สอง ทุจริตคอร์รัปชั่น ล่าสุดก็คือการทุจริตชุมชนพอเพียง ทั้งโครงการหลักโครงการย่อย ที่ทำให้รัฐต้องสูญเสียเงินไปจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตเชิงอำนาจ เช่น เข้าไปแทรก แซงในการแต่งตั้งโยกย้าย เช่น การแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และอีกบางกระทรวง

ประการสุดท้าย เป็นวิกฤตสะสมที่เกิดจากการทำรัฐประหาร โดยตรง

นั่นคือวิกฤตรัฐธรรมนูญ ที่คณะผู้ร่างเคยบอกว่าให้รับๆ ไปก่อนแล้วค่อยแก้ไขทีหลัง

แต่พอจะแก้ถูกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียออกมาคัดค้านทันที

ราวกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้!!

พระเอกปักหลักชัวร์?

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_33807

เป็นอันว่าหนังสือพิมพ์รายวันฉบับเช้าวันที่ 17 กันยายน พาดหัวผิดแทบทุกฉบับ

ในเมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธนักข่าวที่ถามถึงสาเหตุที่เสนอเลื่อนโหวตเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เป็นเพราะ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาการ ผบ.ตร. พลิกขั้วไปสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. ใช่หรือไม่

"ไม่จริงครับ"

ขนาดถามย้ำซ้ำอีกรอบว่า ตกลง พล.ต.อ.ธานี เปลี่ยนขั้วหรือไม่ นายกฯอภิสิทธิ์ ก็ยืนยันด้วยน้ำเสียงอิดโรยเพียงว่า "ไม่จริง"

อาการเหมือนยังช็อกไม่หาย


แต่ ณ ตรงนี้ต้องถือเอาตามที่นายกฯอภิสิทธิ์วอนให้เลิกวิพากษ์วิจารณ์ได้แล้ว

โดยอาการจุกอก ถึงขนาดออกปากยอมรับว่า "เสียใจ" ที่มีการวิจารณ์การตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ในทางให้เกิดความขัดแย้งและเสียหาย หลายครั้งการวิจารณ์ก็ข้อมูลไม่ตรง

"ผมต้องการให้สังคมขณะนี้มีเวลาในการที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ แม้ เรื่องนี้สำคัญ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็นชนวนของความขัดแย้งในบ้านเมือง"

เรื่องของเรื่อง จะโทษพวกวิจารณ์มั่วก็ใช่ที่

เพราะตั้งแต่คิวไล่บี้ไล่ต้อน "บิ๊กป้อม" พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เตะเด้งกระดอนไปกระดอนมา สุดท้ายคำตอบอยู่ที่การล็อกไม่ให้เข้าประชุม ก.ต.ช.


ต่อด้วยคิวของนายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดมหาดไทย ที่โดน "เกมกรรโชก" ขุดผีสนามกอล์ฟ อัลไพน์มาขู่ดื้อๆ แล้วก็รายของ พล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ ที่ต้องลาออกจาก ก.ต.ช.แบบกะทันหัน แทนการถูกเลือกไปเคลียร์กับนายกฯอภิสิทธิ์

จนถึงคิวของนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ติดภารกิจพิเศษ อยู่ต่างประเทศ ยังถูกลัดคิวให้รองปลัดเข้านั่งประชุม ก.ต.ช.แทน

โดยอาการเร่งเครื่องไล่บี้ตัดแต้ม ก.ต.ช.ฝ่ายโหวตตรงข้าม ชิงจังหวะลักไก่

"เด็กดื้อ" ก็เล่นกันแบบออกหน้าออกตา ตั้งท่าจะเอาให้ได้ เหมือนมวยได้ใจในกระแสแม่ยกพ่อยกเชียร์กันเซ็งแซ่

แต่ "ตกม้าตาย" ด้วยความอ่อนเชิง ด้อยประสบการณ์


ผลก็คือได้ไม่คุ้มเสีย บานปลายถึงขั้นสูญเสียภาวะผู้นำ "อภิสิทธิ์" ขาดทุนยับ ที่ทุ่มหน้าตักลงทุนยื้อชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ฟาวล์แล้วฟาวล์อีก หน้าแตก 2 รอบติดๆ

พลาดทั้งในเกม แถมยังเสี่ยงเพลี่ยงพล้ำในสงคราม

ก็อย่างที่ฝ่ายตรงข้ามได้ทีขย่มซ้ำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก-รัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ แนะนำนายกฯอภิสิทธิ์อย่ามัวแต่ วุ่นวายกับการเล่นเกมตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ให้เอาเวลาไปสนใจประชาชน
ที่กำลังเดือดร้อนจากอุทกภัยน้ำท่วมบ้าง

สั่งสอนเด็กกันในเชิง

ขยายผลจากคิวพลาดท่าในเกมเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ "อภิสิทธิ์" สูญเสียภาวะผู้นำตามยุทธศาสตร์การเมือง หนีไม่พ้นโดนบลัฟโดนถากถางเด็กเมื่อวานซืน

ยากจะฟื้นกระแส สลัดภาพลักษณ์ "เด็กดื้อ"

อยู่ที่ว่าจะซื้อเวลา ประคองตัวไปได้นานแค่ไหน

ในสถานการณ์ที่ป้อมค่ายการเมืองต่างๆเริ่มขยับแข้งขยับขา เหมือนจับสัญญาณได้ล่วงหน้า เตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้งที่กำลังใกล้เข้ามา

ล่าสุดเฉลยกันแล้ว พรรคมาตุภูมิ ค่ายน้องใหม่เปิดปฏิบัติการ "โยนหิน"

โชว์มติกรรมการบริหารพรรค ส่งเทียบเชิญว่าที่หัวหน้าพรรค ตัวจริง "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ที่กำลังเล่นบทพระเอกลิเก รำป้อไปป้อมา หาวิกปักหลักเล่น

เป็นการเปิดทาง "บิ๊กบัง" โผล่จากเบื้องหลังมาอยู่เบื้องหน้า

แต่ไม่แน่ใจว่า บังเอิญหรือจงใจมาเผยไต๋เปิดตัวกันในห้วงเวลาปะเหมาะ "19 กันยายน" ครบรอบ 3 ปี รัฐประหาร
กับภาพหัวหน้าคณะปฏิวัติ ขัดกับวิถีประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา


โดยเฉพาะในอารมณ์กองเชียร์รากหญ้าที่ยังคาใจคิวล้มรัฐบาล "ทักษิณ"

อาการสะดุ้งจึงเกิดกับลูกทีมมาตุภูมิที่เตรียมลุ้นแจ้งเกิดในภาคอีสานกับภาคเหนือ

"บิ๊กบัง" ออกหน้าฉาก จบข่าวกัน.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

ข้อมูลใหม่

ที่มา ไทยรัฐ

ความอลังการจนเกือบจะเป็น มหากาพย์สำหรับการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ คงสะท้านสะเทือนแวดวงสีกากีและสะเทือนระบบคุณธรรมสำหรับวงการข้าราชการ

ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก

ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะประธาน ก.ต.ช. ได้พยายามที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้านี้เอาไว้กับคนในตระกูลวงษ์สุวรรณซึ่งน่าจะจดจำกันไปนาน

บลัฟกันด้วยข้อมูล ข้อมูลใหม่และข้อมูลที่ใหม่กว่า ซึ่งก็ต้องบันทึกชื่อของกรรมการ ก.ต.ช.ไว้ในประวัติศาสตร์เช่นกัน นอกจาก นายกฯอภิสิทธิ์ แล้ว ยังมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายปิยะพันธ์ นิมมานเหมินท์ และ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาการ ผบ.ตร.

มีรสนิยมเหมือนกัน

ต่อมามี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม อดีตอัยการสูงสุด นายนพดล อินนา อดีตเลขานุการ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดยุติธรรม และเดิมทีมี พล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ ที่ตัดสินใจลาออกไปก่อนที่จะมีการประชุม ก.ต.ช.

ผมคงไม่ต้องเล่าเรื่องอะไรมากนัก ตอนนี้คงอ่านรายงานข่าวกันตาแฉะไปแล้ว ใครใช้วิชามาร อะไรอย่างไรไว้ก็คงไม่พ้นหูตาสื่อไปได้

ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ต่อไปนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ จะเอาอะไรเป็นหลัก และจะได้ข้าราชการที่ดี ที่อยู่ในกรอบจรรยาบรรณของข้าราชการหรือไม่ หรือจะเป็น ข้าราชการอยู่ในสังกัดของนักการเมือง อย่างนั้นก็ไม่สมควรที่จะเรียกชื่อว่า ข้าราชการอีกต่อไป

เพราะข้าราชการคือผู้ที่รับใช้ประชาชนเท่านั้น

มีข้อมูลใหม่ว่า เหตุแห่งความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะต้องมีการประกาศ พ.ร.บ.ฉุกเฉินทุก 3 เดือนโดยนายกฯเมื่อประกาศ พ.ร.บ.ฉุกเฉินก็ต้องมีกำลังทหารไปประจำการเป็นหมื่นนาย เพราะมีกำลังไปปฏิบัติหน้าที่ก็ย่อมมีงบประมาณ เลยบานไม่หุบ

มีข้อมูลใหม่ โครงการกระสุนปืนใหญ่ ระยะกลางที่ได้มีการยกเลิกโครงการไปสมัย พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ เป็น รมว.กลาโหม เนื่องจากมีความผิดปกติในเรื่องราคาที่สูงเกินจริงคือนัดละ 160,000 บาท ใช้งบถึง 750 ล้านบาท ปีนี้มีการนำโครงการกลับเข้ามาอีก ชื่อว่าโครงการผลิตกระสุนเพื่อการส่งออก

โรงงานอยู่ที่ จ.ลพบุรี เพิ่มงบประมาณจาก 750 ล้านบาท เป็น 827 ล้านบาท ราคาต่อนัด 200,000 บาท อนิจจาราคาในท้องตลาดเพียงนัดละ 40,000 บาทเท่านั้น อนิจจารัฐบาลอนุบาลเด็กดื้อ.

หมัดเหล็ก
mudlek@hotmail.com

เสธ.แดงเตือน 3 เกลอแดง ระวังตกหลุมป่วน

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_33818

ขัตติยะ สวัสดิผล

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เตือน 3 เกลอหัวขวด คุมม็อบแดงให้อยู่ เตือนระวังตกหลุม "สีน้ำเงิน" แฝงตัวสร้างสถานการณ์ ล่อให้รัฐบาลใช้ พรก.ฉุกเฉินปราบม็อบ ยันทหารใส่เกียร์ว่าง

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า เชื่อมั่นว่า การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือ นปช. ในวันที่ 19 ก.ย. จะไม่ยืดเยื้อ ส่วนการเดินทางไปบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ เป็นเพียงการแสดงพลังเท่านั้นไม่ได้ไปบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ แต่ 3 เกลอหัวขวดจะต้องควบคุมคนจำนวนมากที่เดินทางมาชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ให้ได้ โดยเฉพาะกลุ่มสีน้ำเงิน ที่เคยแฝงตัวมาสร้างสถานการณ์เผารถเมล์เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ต้องตรวจสอบไม่ให้แฝงตัวเข้ามาสร้างความรุนแรง เพราะบริเวณนั้นใกล้เขตพระราชฐาน ทหารก็ต้องนำอาวุธออกมา ก็จะเกิดความเข้าใจผิด รบกันไม่เลิก ซึ่งรัฐบาลจะได้รับความชอบธรรมในปรับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร ไปเป็น พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความเด็ดขาดมากกว่า

"ผมอยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมรู้ว่า ทหารที่เข้าไปรักษาความปลอดภัยจะไม่นำอาวุธมาด้วย เพราะเขาเลือกที่จะเกียร์ว่าง เนื่องจากไม่พอใจที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ส่งผลกระทบความรู้สึกข้าราชกาประจำ รวมถึงพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่จะเกษียณอีก 20 วันก็ยังไม่เกรงใจกัน จากเดิมวงการอำมาตย์มี 3 กลุ่ม คือ ทหาร ศาล รวมถึงองค์กรอิสระขณะนี้ทหารแยกวงไปแล้วฉะนั้น สามเกลอหัวขวดต้องควบคุมม็อบให้อยู่ เพราะเป็นพื้นที่ใกล้เขตพระราชฐาน อาจมีกลุ่มสีน้ำเงินที่ไร้ธรรมะ คุณธรรมเป็นพวกเขมรบนจะเข้ามาเผาในเขตพระราชฐาน ดังนั้นแกนนำต้องควบคุมให้อยู่" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

เพื่อไทยจำยอม เปิดช่อง นายกฯแก้รธน.

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_33784

สภาป่วนรอบดึกส.ส.พรรคเพื่อไทยจำยอมพ้นห้องประชุม “ดิเรก”จี้รัฐบาลจริงใจสร้างความสมานฉันท์ ขณะที่นายกฯ ย้ำความสมานฉันท์ต้องอยู่บน 3 ด้าน....

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อรับทราบรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ในช่วงหัวค่ำวันที่ 17 ก.ย.2552 ยังคงเป็นไปด้วยความจืดชืด กระทั่งเวลา 22.00 น. นายนายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นมาอภิปรายด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลฆ่าประชาชน ทำให้ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงขอให้ถอนคำพูด แต่นายสมคิด ยังคงยืนยันไม่ถอนพร้อมกับเดินออกไปจากห้องทันที โดยที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานที่ประชุมยังไม่ได้สั่ง ต่อมา พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช กรรมการสมานฉันท์ฯ ประธานอนุกรรมการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงว่า การศึกษาจนได้ 6 ประเด็นนี้เป็นเพียงกรอบเบื้องต้น พยายามหลีกเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวบทบัญญัติรัธรรมนูญ รายงานที่ทำไม่มีกล่าวหาว่ารัฐธรรมนูญ 50 ไม่ดี และไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับองค์กรตรวจสอบ กระบวนการศาลเลย ไม่ได้หวังว่าสมาชิกจะต้องเห็นชอบด้วยทั้ง 6 ประเด็น

นายดิเรก ถึงฝั่ง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ชี้แจงว่า เวลา 2 วัน 2 คืนที่สมาชิกร่วมแสดงความเห็น ในฐานะประธานคณะกรรมการฯขอรับคำติติงไว้ บางคนเปรียบคณะกรรมการฯชุดนี้เป็นพรรคฝ่ายค้านพรรคหนึ่ง แต่เราถูกตั้งขึ้นในภาวะวิกฤต ที่ประมุข 3 ฝ่าย คือ นายกรัฐมนตรี ประธานสภาฯ ประธานวุฒิสภา เห็นพ้องกันตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา เป็นความชาญฉลาดที่เลือกคู่กรณีทุกฝ่ายมาร่วมกันคิด จะได้นำไปปฏิบัติต่อไปได้ หากไม่ได้คู่กรณีมานั่งคุยกันคงนำไปปฏิบัติไม่ได้ แนวทางของคณะกรรมการฯจึงเกิดจากความคิดของทุกฝ่าย กว่าจะนำมาเรียบเรียงรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ ต้องรวบรวมจากทุกความคิด ทุกคำพูด ผิดความหมายไปก็ไม่ได้ ข้อแนะนำที่สมาชิกเสนอมา ก็อยู่ในรายงานนี้ทั้งหมด ขอให้ไปอ่านทุกตัวอักษร และนำทั้ง 3 กรอบไปปฏิบัติพร้อมกัน โดยเริ่มที่การเจรจาก็จะบังเกิดผล ขณะนี้เหลือเพียงการปฏิบัติจากฝ่ายรัฐบาลและรัฐสภา เชื่อว่า เราสมานฉันท์ได้ ถึงเวลาที่ประเทศต้องเดินไปสู่การสมานฉันท์ที่แท้จริง

จากนั้นเวลา 22.25 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นกล่าวปิดการประชุมว่า กับคำถามต่อรัฐบาลถึงจุดยืนของรัฐบาล โดยเฉพาะคำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในหลายกรณี ขณะนี้บางคดีความอยู่ในชั้นศาล ก็คงต้องรอให้ศาลตัดสิน สำหรับความสมานฉันท์ต้องอยู่บน 3 ด้านคือ ด้านนโยบาย ได้ยืนยันหลายครั้งว่า ไม่มีแบ่งแยกคนไทย ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ขอย้ำว่าทุกครั้งที่มีการรายงานความคืบหน้าแต่ละคดี ได้ย้ำเจ้าหน้าที่ทุกครั้งอย่าเลือกปฏิบัติ เราต้องหาคำตอบในเรื่องการเมือง การรัฐประหารสร้างบาดแผลให้ระบบการเมือง รัฐธรรมนูญ 50 นี้มีความก้าวหน้า แต่ที่สลัดไม่หลุดคือ สิ่งที่รัฐประหารทิ้งไว้ เพราะเป็นเชิงสัญลักษณ์ แต่หลายเรื่อง ตนเห็นด้วยที่มีการอุดช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ 40 แต่ที่สุดโต่งและสร้างปัญหาใหม่ก็ต้องแก้ไข แต่จะชั่วดีอย่างไรรัฐธรรมนูญนี้ผ่านการประชามติ ถึงบางคนบอกกระบวนการประชามติไม่เป็นธรรม แต่ภาพรวมกกต.ทำได้ดีระดับที่ยอมรับได้ เราคำนึงถึง 10 ล้านเสียงที่ไม่รับว่าคงต้องมีอะไรปรับปรุง ตนไม่เคยพูดที่ไหนว่าไม่ควรแก้ไข เพียงแต่ประเด็นที่จะแก้ยังมองต่างกัน ประเด็นที่ยกขึ้นมาถูกตั้งครหาว่าแก้เพื่อใคร

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จึงหารือกันว่าให้เอาทุกประเด็นมาวาง แต่จะให้ตนริเริ่มทำก็จะหาว่าเรามีเจตนาแอบแฝง จึงมาพึ่งประธานรัฐสภาตั้งคณะกรรมการฯขึ้นมา ศึกษาเสร็จผ่านมาหลายเดือน แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเพราะอีกชุดยังทำไม่เสร็จ ถ้าตนซื้อเวลาก็ต้องอยู่เฉย แต่หารือกับประธานรัฐสภาดำเนินการตามมาตรา179 จึงไม่มีอะไรที่ตนไปบิดเบือนสิ่งที่จะทำ บางคนบอกให้ตนเลือกว่าจะเป็นทรราชย์ หรือจะเป็นวีรบุรุษ ยืนยันว่าไม่มีใครเลือกเป็นทรราชย์ และไม่มีลักษณะอะไรจะเป็นเช่นนั้น และไม่ใฝ่ฝันเป็นวีรบุรุษแต่เชื่อการทำหน้าที่ตามปกติของแต่ละคน ขอทำด้วยความสุจริตเต็มความสามารถ 9 เดือนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีประโยชน์ส่วนตัวงอกเงย ถึงตรงนี้ไม่ต้องคลางแคลงใจว่าจะมีวาระแฝง เรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดด้วย 2 ปัจจัย 1. พวกเราเองยังเห็นไม่ตรงกัน 2. มีกลุ่มวลชนเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่างนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ก็เตือนอย่ามองข้ามบทบาทการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ส่วนเสื้อแดงเองตนก็เห็นว่ามีจิตวิญญาณ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การผ่าทางตันได้ 1. ต้องไม่มีร่างแก้รัฐธรรมนูญจากพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่เช่นนั้นเราจะผูกปมความขัดแย้งใหม่ โดยเอา 6 ประเด็นของคณะกรรมการฯเป็นตัวตั้ง ให้ทุกพรรคเข้าชื่อเสนอด้วยกัน 2. ถ้าทำตามปกติจะไม่รู้ว่าประชาชนจะเอาด้วยกับเราหรือไม่ ดังนั้นต้องมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างชัดเจน ทำรัฐธรรมนูญฉบับสมานฉันท์นี้ออกมา บอกเสนอตั้ง ส.ส.ร.เพื่อซื้อเวลา ยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะตนไม่เคยพูดถึง ส่วนประเด็นไม่ให้มีการตอบโต้กัน พูดง่ายทำยาก ทุกประเทศไม่มีที่ไหนที่การเมืองจะไม่ตอบโต้กัน ก็อยู่ในกรอบวิวาทะเชิงนโยบาย ตนรับได้ แต่บางเรื่องไม่อยู่ในกรอบเช่นเอาเรื่องเท็จมาพูดยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เกินขอบเขต อย่าไรก็ตามข้อเสนอแก้ไขใน 6 ประเด็น ส่วนตัวยังไม่เชื่อว่าปัญหาจะจบ ซึ่งหลังจากตนเดินทางกลับจากประชุมยูเอ็น อยากให้วิป3 ฝ่ายมาตกลงกัน ตนยินดีเป็นเจ้าภาพ แต่ถ้าฝ่ายค้านกลัวรัฐบาลลำเอียง จะให้รัฐสภาทำก็ยินดี ตั้งส.ส.ร.แบบเร็ว ตกลงเลยร้อยละ 25 มาจากส.ส.สัดส่วน ร้อยละ 25 วุฒิ ร้อยละ 25 จากส.ส.ร.ทั้ง 2 ชุด และอีกส่วนมาจากฝ่ายวิชาการ มาเข้าสู่กระบวนการมาตรา 291

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า หรืออีกแนวทาง คือ ยกร่างทั้ง 6 ประเด็น ให้ประชาชนตัดสินลงประชาชนมติ อย่างนี้ตอบคำถามสังคมได้ และอิงกับคณะกรรมการฯ ขณะเดียวกันก็อิงกับประชาชน ไม่ต้องมาเถียงกันว่าชอบธรรมไม่ชอบธรรม ประชามติเรียงตามประเด็น ขณะที่แนวทางที่ 3-4 ก็มี มี ส.ว.มาเสนอแนวทางให้ตั้งกรรมการอิสระก็เป็นอีกแนวทาง และแก้เสร็จจะเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่มีปัญหา กรอบหลายอย่างเดินได้แล้ว ไม่คิดว่าจะใช้เวลาเป็นปี แต่เป็นเดือน เพียงแต่มีกระบวนการแต่ละส่วน ถ้ารับกันอย่างนี้ได้กลับจากต่างประเทศได้มาคุยกัน ให้วิป 3 ฝ่ายคุยกัน จากนั้นนายชัย ชิดชอบ ประธานที่ประชุมได้สั่งปิดการประชุมเวลา 23.55 น. โดยใช้เวลาถกเถียงรวม 2วัน รวม 30 ชั่วโมง.

ทนายแม้วเชื่อการเมืองกดดันยึดที่รัชดา

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_33757

นายพิชิฏ ชื่นบาน

อัยการ เล็ง ฟ้องเอาที่รัชดาฯ คืนจากคุณหญิงอ้อ ทีมทนายชินวัตร โต้แย้ง ยึดที่ดินรัชดา มั่นใจ หลักฐานต่อสู้ชั้นศาล 'นพดล' เชื่อ กองทุนฟื้นฟูฯ ถูกการเมืองกดดัน ...

วันนี้ (17 ก.ย.) นายพิชิฏ ชื่นบาน อดีตทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา รับผิดชอบคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และ พัฒนาสถาบันการเงิน มูลค่า 772 ล้านบาทเศษ กล่าวถึงกรณีที่ นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ส่งหนังสือถึง คุณหญิงพจมาน ทวงที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษกจำนวน 33 ไร่คืน หลังสำนักงานอัยการสูงสุด ตีความว่า สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ เนื่องจาก นายกรัฐมนตรีหรือภริยา ไม่สามารถ เป็นคู่สัญญากับรัฐได้ ว่า ได้แนะนำคุณหญิงพจมาน ให้ส่งหนังสือปฏิเสธการส่งคืนที่ดินดังกล่าวให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ แล้ว หลังจากได้รับหนังสือจากกองทุนฯ เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ให้ส่งคืนที่ดินภายใน 15 วัน โดยการซื้อขายที่ดินยืนยันว่าคุณหญิงพจมาน ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กองทุนฯ จัดการประมูลทุกประการ ซึ่งคุณหญิงพจมาน ได้ชำระค่าธรรมเนียมซื้อที่ดิน 772 ล้านบาทเศษ ให้กองทุนฯ และ มีการจดทะเบียนนิติกรรม มีชื่อเป็นกรรมสิทธิ์เรียบร้อยทุกประการ ส่วนที่กองทุนฯ อ้างว่า หารือข้อกฎหมายกับสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว อัยการให้ความเป็นนิติกรรมเป็นโมฆะนั้น ในส่วนของคุณหญิงพจมาน ยืนยันหลักความสุจริตในการซื้อขายที่ดิน เพราะนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ในฐานะประธานกรรมการกองทุนฯ โดยตำแหน่งเคยทำหนังสือถึง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งให้การว่า กองทุนไม่ใช่ผู้เสียหาย และกองทุน มีอำนาจซื้อขายที่ดิน และ ขณะที่คดีอาญาที่ถูกฟ้องนั้นในเนื้อหาคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ไม่ได้ระบุว่า นิติกรรมเป็นโมฆะ และไม่มีคำสั่งให้ยึดที่ดินหรือเงินที่ซื้อขาย ซึ่งคำพิพากษาฟังได้ว่ากองทุนฯ ผู้ขาย และ คุณหญิงพจมาน ผู้ซื้อไม่มีความผิด โดยการจะมายึดที่คืนนั้นไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นเรื่องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาดังกล่าว เพราะการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกพิพากษา เป็นเรื่องการการตัดสินฝ่าฝืน พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 100 ในการเซ็นยินยอมคู่สมรสซื้อขายที่ดิน ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

นายพิชิฏ กล่าวอีกว่า หลังจากที่คุณหญิงพจมาน ส่งหนังสือปฏิเสธการคืนที่ดินที่ซื้อมาโดยสุจริตแล้ว หากกองทุน ฯ จะนำเรื่องไปฟ้องคดีแพ่ง โดยอ้างว่านิติกรรมเป็นโมฆะ เพื่อบังคับคดีในการยึดคืนที่ดิน คุณหญิงพจมาน ก็พร้อมจะต่อสู้คดี อย่างไรก็ดี คดีแพ่งที่จะฟ้องมีอายุความ 1 ปี ขณะที่คดีนี้ตัดสินเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ตนตั้งข้อสังเกตในการทำหนังสือของกองทุน ฯ แจ้งยึดที่ดินคืนว่า ผ่านความเห็นชอบคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วหรือไม่ และมีการเมืองเข้ามาแทรกแซงครอบงำ สั่งการให้กองทุนทำหนังสือดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ จะอ้างนิติกรรมเป็นโมฆะจริงแล้ว ตามหลักกฎหมายจะต้องถือว่าผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องกลับไปสู่ฐานะเดิมตามหลักกฎหมายของลาภที่มิควรได้ คือก องทุนต้องคืนเงินซื้อขายที่ดินให้กับคุณหญิงพจมานก่อนที่จะให้ส่งคืนที่ดิน แต่การดำเนินการเรื่องนี้ของกองทุนฯยังมีข้อผิดปกติ และสงสัยที่จะไม่เป็นธรรมต่อคุณหญิงว่า จะเรียกคืนที่ดินเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่คืนเงินซื้อขายหรือไม่

นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่อัยการได้รับการประสานให้ฟ้องคดีแพ่ง เพื่อเรียกที่ดินคืนจากคุณหญิงพจมานว่า ได้มอบหมายให้นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษรับผิดชอบดูรายละเอียดในเรื่องนี้ การฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกคืนที่ดินนั้นจะเป็นการฟ้องในลักษณะว่าเป็นลาภที่มิควรได้ หากฟ้องแล้วคุณหญิงพจมาน ผู้ซื้อที่ดินยอมคืนที่ดินดังกล่าว กองทุนจะต้องคืนเงิน 772 ล้านบาทเศษ ขณะที่การฟ้องคดีแพ่งจะมีอายุความ 1 ปี คดีนี้ศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ต.ค.2551 ดังนั้น ตนจึงได้เร่งให้นายเศกสรรค์ พิจารณาเรื่องนี้ให้ทันเวลา ทราบว่ายังรอเอกสารจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องอยู่

ด้าน นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เบื้องต้น ตนคงชี้แจงว่ากรณีที่ดินรัชดานั้น เมื่อครั้งที่มีการซื้อขายกันนั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเองได้เชิญคุณหญิงพจมาน ไปซื้อที่ดิน และเป็นการประมูลแข่งขันกัน ไม่มีการซูเอี๋ย และนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีอำนาจกำกับดูแลกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ดังนั้นต้องยืนยันว่า การกระทำทุกอย่างเป็นไปโดยสุจริต ที่จริงกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ควรจะขอบคุณด้วยซ้ำ ที่เข้ามาช่วยซื้อที่ดินดังกล่าว นอกจากนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้มีคำวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีผลผูกพัน ดังนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ จะมีการฟ้องร้องเรียกคืนที่ดินได้อย่างไร

“กรณีนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ถูกฝ่ายการเมืองกดดันเยอะ ซึ่งที่จริงกองทุนฟื้นฟูฯ ต้องเข้าใจว่าฝ่ายการเมืองไม่ได้มีอำนาจในกองทุนฟื้นฟูฯ ดังนั้น กองทุนฟื้นฟูฯก็ควรจะตัดสินใจเรื่องต่างๆโดยอิสระ และควรคิดถึงเมื่อครั้งที่เชิญคุณหญิงพจมานไปประมูลซื้อที่ดินด้วย” นายนพดล กล่าว

การ์ดพันธมิตรยึดศูนย์ประสานงานอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารได้แล้ว

ที่มา ประชาไท

ตำรวจตั้งด่านสกัดตรวจตราเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ขณะที่ล่าสุดการ์ดพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นชุดล่วงหน้าเข้ายึดศูนย์ประสานงานอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร และมีการบอกให้ทหารออกจากบริเวณดังกล่าวด้วย

ไอเอ็นเอ็น รายงานบ่ายวันนี้ (17 ก.ย.) ว่า ขณะนี้ตามเส้นทางจากตัวอำเภอ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ไปยังอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งด่านตรวจเข้มตลอดเส้นทาง โดยมีการตั้งจุดตรวจที่บริเวณสี่แยกบ้านผือ ห่างจากตัว อ.กันทรลักษ์ ประมาณ 3 กม. และตั้งด่านตรวจบริเวณด้านหน้าสถานีตำรวจภูธรบึงมะลู มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจเข้มบุคคลและรถทุกคันที่ผ่านเข้าออกบริเวณนี้อย่างเข้มงวด

ขณะเดียวกันที่บริเวณอาคารศูนย์ประสานงานอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียวอยู่ใกล้กับด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ปรากฏว่าได้มีกลุ่มการ์ดพันธมิตรฯ จำนวนประมาณ 20 คน พากันบุกเข้าไปยึดครองปักหลักอยู่ เพื่อรอการชุมนุมทวงคืนเขาพระวิหารในวันที่ 19 ก.ย. 2552 ซึ่งฝ่ายทหารได้เข้าไปขอร้องให้ออกจากสถานที่ราชการ แต่ได้รับการปฏิเสธและมีการต่อว่านายทหารที่เข้าไปขอร้องให้ออกจากบริเวณดังกล่าวด้วย

เสรีภาพสื่อ เสรีภาพประชาชน สมาคมสื่อมุดหัวอยู่ที่ใหน

ที่มา thaifreenews

สมัยรัฐบาลทักษิณเห็นเรียกร้องหาเสรีภาพกันจัง ขนาดข่าวทุกสำนักข่าวแทบจะโจมตีรัฐบาลอยู่ด้านเดียวแล้ว ก็ยังเรียกร้องเรื่องเสรีภาพสื่อจนดูน่าเกลียด ชนิดแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย แม้กระทั่งสำนักที่ไม่ได้กระทบอะไรกับเขาก็เข้าร่วมเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็น "คุกคามสื่อ คุกคามประชาชน" รัฐบาลแทรกแซงสื่อ บ้างหละ ทั้งๆที่ความเป็นจริง มันก็ออกข่าวโจมตีรัฐบาลทุกวันไม่ได้มีการแทรกแซงแต่อย่างใด มีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์รายการเดียวเท่านั้นแหละที่มีปัญหา เพราะพูดจาจาบจ้วงไม่เหมาะสม แต่ก็โหมโรงกันทุกสำนักจะเป็นจะตายให้ได้



มาวันนี้ รายการเอกซ์คลูซีฟ โดย จอม เพชรประดับ" ทางสถานีข่าว และสาระคลื่น 100.5 ของ อสมท. แค่มีเสียงโฟนอินของ พตท.ดร.ทักษิณ ออกอากาศเท่านั้นแหละ รัฐมนตรีเตี้ย หนองเตย เต้นเป็นจ้าวเข้า ทั้งออกข่าวผ่านสื่อต่าง ผ่าน twitter กดดันทั้งผู้อำนวยการสถานี ทั้งผู้จัดรายการ จนในที่สุด นาย จอม เพชรประดับ ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ก็ขอยุติรายการ เพื่อไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน เหตุการณ์นี้มันสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่รักทักษิณ และคนที่ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดจำนวนไม่น้อย แบบนี้ถือว่าคุกคามประชาชนหรือยัง แล้ววันนี้สมาคมสื่อเงียบเป็นเป่าสาก ใหนบอกว่า "คุกคามสื่อ คุกคามประชาชนไง" เนี่ยะไงคุกคามแล้ว แถลงการณ์สิ !!! หรือนายกสมาคมฯ เป็นใบ้ โธ่เอ๊ย..รู้เช่นเห็นชาติแล้วว่า ที่แท้ก็ทำเพื่อเฉพาะพรรคพวกตัวเองเท่านั้นแหละว๊า.. ทีหลังก็อย่าเอาประชาชนไปอ้างเลย มันหน้าด้านเกินไป



แล้วเตี้ย หนองเตยก็มาออกข่าวบอกว่า รัฐไม่ได้แทรกแซงสื่อ จอม เพชรประดับ แสดงความรับผิดชอบเอง เป็นเรื่องภายใน อสมท. อ้าวอ้ายเว...ระ แล้วที่เป็นข่าวอยู่ไม่ใช่ไปกดดันเขาหรอกหรือ การจัดรายการวิทยุ แล้วให้คนไทยคนหนึ่ง ที่เคยสร้างประโยชน์ให้บ้านเมืองพูดออกรายการมันผิดตรงใหน ต่อให้เชิญเป็นโจรมาพูดเลยหากการพูดนั้นไม่ใช่คำที่ผิดกฎหมาย พูดออกวิทยุมันผิดตรงใหน ถ้ามีเสรีภาพจริง เขาจะจัดรายการอย่างไร เชิญใครมาออกรายการก็เรื่องของเขาถ้าไม่มีอะไรผิดกฎหมาย คนฟังเขาเลือกฟังได้ถ้าไม่ดีไม่มีประโยชน์คนก็เลิกฟังไปเอง เหมือนกับรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทย แต่ไม่ไว้ใจอภิสุด" ไง ผมไม่อยากดูผมก็ไม่ดู ผมเลือกของผมเองได้ แต่ผมก็ไม่ได้เรียกร้องให้ปิด จะเป็นบ้านั่งพูดออกอากาศอยู่คนเดียวก็ทำไป



อยากถามเตี้ย หนองเตย ว่า ตกลงสื่อของรัฐจะนำเสนอข่าวสารหรือเรื่องราวเฉพาะฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพวกตนเท่านั้นใช่หมัย คนอื่นที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายตนจะรู้สึกอย่างไรช่างหัวมันใช่ไหม สื่อของรัฐมาจากภาษีของประชาชน ที่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นใช่หมัย ก็ออกกฏหมายใหม่มาเลยสิวะ ว่า คนเสื้อแดง คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล มีหน้าที่จ่ายภาษีอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์ดู ไม่มีสิทธิ์นำเสนอเรื่องราวหรือข่าวสารออกทางสื่อของรัฐที่ตนเองเป็นคนจ่ายภาษีให้ และการเชิญแขกมาร่วมรายการถ้าไม่ใช่ เจิมสาก หรือ เสรี นะย๊ะ หรือนักวิชาเกิน ที่เป็นพันธมิตร ห้ามสถานีของรัฐเชิญมาออกรายการ ใช่หมัย



เกิดมาทั้งที หัดสร้างความดีซะบ้าง อย่างมุ่งแต่ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม จนลืมความถูกต้องชอบธรรม เด๋วกรรมมันจะตามสนอง เด๋ยวเกิดชาติหน้าจะเตี้ยกว่าเดิมอีก จริงๆผมก็ไม่ใช่คนสูงหรอกนะ แต่ก็พยายามทำความดี เกิดมาชาตินี้ก็ทำบุญและสร้างความดีไว้เยอะๆ เกิดชาติหน้าเผื่อจะได้สุงกับเขาบ้าง หากเตี้ยบางเตยจะทำแบบผมบ้างก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ไม่ถือว่าลอกการบ้านหรอก

โดย คำเกิ่ง แห่งทุ่งหมาหลง

ทำไมพวกท่านถึงหน้ามึนตาใส แบบนี้ครับ

ที่มา thaifreenews

โดย ป้าพลอย

ทำไมพวกท่านถึงหน้ามึนตาใส แบบนี้ครับ

หากยังจำกันได้ หลังเกิดเหตุอัปยศปล้นอำนาจกันกลางเมืองเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ โครงการทำ ดีให้เด็กดู คุณธรรมนำไทย ก็ถูกยิงเป็น Spot โฆษณาสมัย ในสมัยรัฐบาลขิงแก่ หรืออีกนัยหนึ่งยุคที่ปืนครองเมือง ก็ถูกยิงออกมาจากสื่อโทรทัศน์ของรัฐ ถี่ยิบ ราวกับว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในสภาวะว่าเป็นโรคขาดสารอาหาร คุณธรรม จริยธรรม อย่างรุนแรงเข้าขั้นวิกฤต หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการประกาศศักดาว่า ดูซะ ๆ ประชาชนตาดำ ๆ พวกเราทำเพื่อสิ่งถูกต้อง พวกเราทำเพื่อผดุงคุณธรรม พวกเราทำเพื่อสังคม ฉะนั้นพรรคพวกของเราที่แต่งตั้งมานั่งเสวยสุขในองค์กรอิสระ หลังจากปล้นอำนาจรัฐเสร็จ เพื่อจับผิดฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว ..แหะ ๆ ไม่ใช่สิมานั่งผดุงความยุติธรรมในสังคมไทยหนะ พวกเราพิจารณาแล้วว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถ มีความเหมาะสม ที่สำคัญเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม อยู่เหนือคนธรรมดามากมายหลายกิโลขีดยิ่งนัก ไม่ต้องจับได้ว่ามีการทุจริต เอาแค่มีกลิ่นไม่ดี ก็ต้องแสดงสปิริต แห่งคุณธรรมออกมาให้สังคมประจักษ์ไปทั่วประเทศแล้ว

ประชาชนคนไทยเกือบจะเคลิ้ม เกือบจะฝันหวานไปถึงขนาดที่ว่า ต่อไปนี้เราอาจมีบุคลากรระดับเปาบุ้นจิ้น เข้ามานั่งผดุงความเป็นธรรมในสังคมไทยในองค์กรอิสระมากมาย เช่น คตส. ปปช. กกต. หรือศาลรัฐธรรมนูญ ถ้า.......ความจริงบางอย่างไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสังคมไทย ทำให้เกิดคำถามในใจทั่วสังคมว่า คุณธรรม และจริยธรรมที่พยายามกรอกหูคนไทยทั้งประเทศ นั้น

มาตรฐาน มันอยู่ตรงจุดไหน ? ? ? ?

เละเทะมาตั้งแต่ต้น หากทำใจเป็นกลางกันจริง ๆ ประชาชนทั้งประเทศคงดูได้ไม่ยากว่า บุคคลแต่ละคนที่เข้าไปนั่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ โดยคำสั่งของ คมช. นั้น โดนสั่งให้มาปฏิบัติการตามล้างตามเช็ด ของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น อันนั้นก็ยังพอทำใจได้ว่า ผู้ชนะจากการปล้นสำเร็จเป็นผู้กำหนดเกม แต่ที่มันอดสงสัยไม่ได้ก็คือทำไม คนดี คนมีคุณธรรม คนมีจริยธรรม ทำไมแผลในเบื้องหลังถึงได้เพียบขนาดนี้

ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาโกงที่ดินจนโดนศาลตัดสินให้แพ้คดี จบปริญญาโทโดยลอกวิทยานิพนธ์ มาจนถึงกลิ่นฉาวโฉ่ กับการพาลูก ๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ ในนามของหน่วยงานรัฐ และซุกราคาบ้านและที่ดินอันแท้จริง เพื่อปกปิดว่าตนเองร่ำรวยผิดปกติ ยิ่งสาวไปสาวมานานวันทำไมหน้ากากคุณธรรม มันเริ่มหลุดล่อนจนแทบไม่มีเหลืออยู่เลยว่า จริง ๆ แล้วคนเหล่านี้มีคุณธรรมหรือไม่

เอาเถอะ แม้นสังคมไทยจะยินยอมแกล้งโง่ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก กับการแถไปหน้าด้าน ๆ ของบุคคลบางคนที่พยายามบอกว่าตนเองเป็นคนดีมีจริยธรรมอย่างไม่อายปาก อายฟ้า อายดิน อายพระเจ้าได้ แต่สิ่งที่คนไทยทั้งประเทศสุดจะทนและสงสัยที่สุดก็คือ ทั้งผู้แต่งตั้ง คมช. และผู้ถูกแต่งตั้ง ปปช.ละเมิดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์หรือไม่ การเข้ากระทำการโดยพละการโดยยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แบบนี้ ผู้ถือปืนปล้นอำนาจรัฐ และพรรคพวกสามารถกระทำการตามอำเภอใจได้หรือ ? ? ? ข้อนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญที่คนไทยถือมากที่สุด

เท่าที่ฟังฝ่ายตั้งคำถาม ถามเรื่องนี้อย่างสุภาพ และตรงไปตรงมาตรง ที่สุด ในหลายกรรมหลายวาระ ก็ยังไม่มีคำตอบจากสวรรค์ นอกจากจะลอยหน้าลอยตาแถลง แถไป แถมา ข้าง ๆ คู ๆ ๆ ชนิดที่น้ำยาซักผ้าขาวไฮเตอร์ ก็เข้ามาช่วยไม่ได้ ซ้ำร้ายยังทำท่าจะฆ่าปิดปาก ผู้ที่เอื้อเฟื้อ คนตั้งคำถามนี้แทนคนไทยทั้งประเทศ ต่อพวกท่านโดยตรงเสียด้วย

แบบนี้เขาเรียกว่าคุณธรรมจริยธรรมหรือครับ กระผมสงสัยเสียเหลือเกินว่าวิชาคุณธรรมจริยธรรมที่ท่านกับผมได้ยินมา มันคงจะสะกดต่างกันกระมัง เขาถามข้อสงสัยในสถานะอันถูกต้องของพวกท่าน คำหยาบสักตัว คำสบถซักคำ ก็ไม่เคยหลุดจากปาก หนำซ้ำยังบอกท่านเสียด้วยซ้ำว่าหากข้อสังสัยของพวกเขาไม่เป็นความจริง ก็ให้ฟ้องร้องต่อกระบวนการยุติธรรมได้ พวกเขาพร้อมที่จะรับผิดชอบ ท่านกลับไม่ตอบกลับจะฆ่าปิดปากแทน แบบนี้จะไม่ทำให้คนไทยทั้งประเทศมีเครื่องหมายคำถามติดอยู่กลางหน้าผากทุกคนได้อย่างไร

หากท่านทั้งหลายความจำไม่สั้น โดรงการทำดีให้เด็กดู ในยุคที่ท่านเรียกร้องให้คนไทยทั้งประเทศกระทำคุณงามความดี เป็นตัวอย่างให้เด็ก ๆ ในประเทศดูเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างนั้น วิธีนี้ใช่ไหมครับที่ท่านกำลังทำอยู่ ละอายใจ กระดากใจ ยังพอสะกดเป็นไหม หน้ามึนตาใส คำคำนี้คงต้องยืมมาจากประธาน คมช. มาใช้ถามกับพวกท่านว่า จริง ๆ แล้วเขาหมายถึงพวกท่านทั้ง ๙ คน ให้ท่องไว้เป็นคาถาประจำใจใช่ไหมครับ

วันนี้สังคมคงไม่ตั้งคำถามถึงที่มาที่ไปของพวกท่านในองค์กรอันทรงเกียรติ์นั้นอีกแล้ว เพราะถามมาจนคนถามอายแทนพวกท่านไปแล้ว เพราะวิธีการที่ท่านออกมากระทำนั้นมันตอบกับสังคมได้อย่างชัดเจนแล้วว่า พวกท่านก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเกาะเก้าอี้แน่นไว้อย่างไม่สะทกสะท้านเช่นเดิม

ผมว่าท่านทั้งหลายที่กล่าวถึงนี้น่าจะรับ Job ไปเป็นพรีเซนเตอร์นะครับ

กระเบื้องปูหลังคาบ้านงัยครับ ไอ้ยี่ห้อที่มันมีสโลแกนว่า ห้าห่วงทนหายห่วง แต่ของท่านก็เปลี่ยนแค่นิดหน่อยว่า เก้าห่วงทนหายห่วง รับรองขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ ๆ ของเขาทนจริง ๆ