WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, June 19, 2009

สะเปะสะปะ

ที่มา ไทยรัฐ

ไม่รู้ว่าพลาดหรือคิดอย่างนั้นจริงๆ กับกรณีที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาพูดในรายการวิทยุว่า การกู้หนี้ยืมสินของรัฐบาลนั้น ประชาชนไม่ต้องใช้หนี้ แต่รัฐบาลจะเป็นผู้ใช้หนี้เอง

ประชาชนไม่ได้กินแกลบกินรำ

ผมคงไม่ต้องอธิบายซ้ำเติมอะไรมาก แต่เกรงว่าจะกระทบต่อ วุฒิผู้นำและวิสัยทัศน์ ของท่านนายกฯ อย่างที่ผมเคยเกริ่นเอาไว้บ้างแล้วว่า การเมืองยุคนี้คิดจะเป็นนายกฯไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้มีเส้นมีทุนทหารหนุนก็พอ แต่การจะเป็นผู้นำประเทศเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา

ด้วยมาตรฐานคนเป็นผู้นำที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำเอาไว้ ทำให้ประชาชนหูตาสว่างขึ้นเยอะ เอาเถอะ เรื่องอย่างนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก ดังจะนำข้อมูลด้านเศรษฐกิจจากคณะเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูปมหาวิทยาลัยรังสิตโดย ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ มาเสนอ

"จากกรณีที่เศรษฐกิจโลกติดลบเกือบร้อยละ 2 ชี้เศรษฐกิจไทยจะเจอกับภาวะเงินฝืด เข้าสู่เศรษฐกิจถดถอยหรือ Technical Recession แล้วตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 คาดว่าคนตกงานสูงกว่าตัวเลขประมาณการของทางการอย่างมาก จะว่างงานไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านคน

คาดว่าเศรษฐกิจจะกระเตื้องในไตรมาส 4 แต่ก็จะเจอกับปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นอุปสรรคในการฟื้นตัว การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมจะทำให้เกิดวิกฤติทางการเมืองรอบใหม่

ราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวในระดับ 60-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวในระดับต่ำ แต่ต้นทุนการกู้ยืมเงินจะสูงขึ้นจากเงินเฟ้อที่ติดลบและอาจจะเกิดสภาวะกับดักสภาพคล่อง

ทางการควรเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทที่แข็งค่าเนื่องจากดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่อง ดัชนีหลักทรัพย์มีโอกาสทดสอบระดับ 680-700 จุด และจะมีการปรับตัวครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี

ประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย อาทิ สหรัฐฯการขยายตัวติดลบร้อยละ 3.5 ยุโรปติดลบร้อยละ 3.3 ญี่ปุ่นติดลบมากหน่อยร้อยละ 5.8 ส่วนในเอเชีย อัตราการเจริญเติบโตในจีนกลับเป็นบวกร้อยละ 7 อินเดียบวกร้อยละ 6 โดยรวมเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นในรูปตัว V ตกจนถึงจุดต่ำสุดก็จะขึ้นมาทันที

ส่วนเศรษฐกิจบ้านเราน่าจะติดลบทั้งปีระหว่างร้อยละ 2.5-3.5 ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจก็คือการบริโภคและการลงทุน ทั้งปีจะติดลบมากกว่าร้อยละ 17.5 อัตราการขยายตัวของภาคส่งออกในปีนี้จะติดลบที่ร้อยละ 18.5 ซึ่งต่างจากเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ ค่อนข้างมาก"

ข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นคำตอบให้รัฐบาลได้คิดว่าควรจะวางยุทธศาสตร์ด้านการค้ากับประเทศใดแค่ไหน ที่ไปกู้ไปยืมมาแล้วหวังว่าเอาเงินภาษีที่คิดว่าจะเก็บได้มากขึ้นไปใช้หนี้เป็นไปได้หรือไม่ แล้วที่ชาวรากหญ้าตกงานว่างงานจะทำอย่างไร เอะอะก็จะแจกเช็คท่าเดียว สะเปะสะปะ เหมือนเด็กเล่นขายของ ใช่ไม่ใช่.

"หมัดเหล็ก"

จับดาราเสื้อแดงข้อหาไล่ล่าทรราช เตี้ยลุอำนาจตามล้างสั่งยกเลิกละครทีวี บี้สุรนันท์หลุดช่อง11

ที่มา Thai E-News

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
19 มิถุนายน 2552

จับดารานายแบบเสื้อแดง "เมธี อมรวุฒิกุล"หลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ รัฐบาลหุ่นเชิดเช็กบิลแค้นขึ้นเวทีหน้าทำเนียบคืนวันที่12เมษาฯประกาศไล่ล่าทรราชมาร์ค เจ้าตัวไม่สะทกแฉโดนไอ้เตี้ย"สาทิตย์ วงศ์หนองเตย"ทำหนังสือขอความร่วมมือไปถึงทีวีทุกช่อง จนถูกยกเลิกละครไปแล้วถึง 2 เรื่อง ล่าสุดลุแก่อำนาจปลด"สุรนันท์เวชชาชีวะ"พ้นช่อง11ด้วย


เมื่อเวลา 02.00 น.วันนี้ (19 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ ตม.ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทอช.) เข้าจับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 279 ถนนวรจักร แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ดารานายแบบชื่อดัง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1697/2552 ลงวันที่ 15 มิ.ย.52 ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้ที่มีหน้าที่สั่งการ ,ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ,ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมณ ที่ใดๆตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปในท้องที่กรุงเทพมหานคร หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย

โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังเจ้าตัวเดินทางกลับมาจากประเทศเวียดนาม ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต โดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 และพ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช ผกก.สน.ดุสิต ร่วมทำการสอบปากคำ

หลังสอบปากคำนายเมธี เปิดเผยว่า ช่วงที่กลุ่มเสื้อแดงมีการชุมนุม ตนเคยไปขึ้นเวทีอยู่ 2 ครั้ง คือก่อนรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 ครั้ง และหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีก 1 ครั้ง ซึ่งตนก็ทำใจแล้วว่าจะต้องถูกออกหมายจับแน่นอน แต่ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ จนวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนก็เดินทางไปประเทศเวียดนาม และมาทราบว่า ตัวเองถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. จึงเดินทางกลับในวันนี้ ซึ่งตนก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเดินทางเข้ามอบตัวเลยทันที แต่ก็มาถูกจับเสียก่อน ทั้งนี้ตนขอให้การปฏิเสธ และได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 500,000 บาท มายื่นขอประกันตัวแล้ว

"ตอนนี้ผมถูกยกเลิกละครไปแล้วถึง 2 เรื่อง สาเหตุก็เพราะนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ว่าขอความร่วมมือเกี่ยวกับกับผลงานของดาราที่ขึ้นเวทีเสื้อแดง" นายเมธี กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า เบื้องต้นจะควบคุมตัวนายเมธีไว้ที่ สน.ดุสิต ก่อน หลังจากนั้นจะเสนอเรื่องให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.เป็นผู้พิจารณาเรื่องการขอประกันตัวภายใน 24 ชม. จากนั้นก็จะปล่อยตัวไปชั่วคราว และหากทำสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้วพนักงานงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ก็จะเรียกตัวมาส่งอัยการต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายเมธี อมรวุฒิกุล นั้น ได้ขึ้นเวทีของกลุ่มเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งกล่าวกับผู้ชุมนุมว่า จะไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เหยียบแผนดินไทยอีกต่อไป และกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า “วันนี้คนเสื้อแดงถือว่าเสียสละ แม้โดนตัดสัญญาณดีสเตชั่น เหมือนวันวิสาขบูชาที่เรามาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย ผมเห็นวีรบุรุษวันนี้ที่เอาตัวเข้าแลกกับทรราชจนได้รับบาดเจ็บ และสุดท้ายอยากให้พี่น้องร่วมมือกันรวมเป็นหนึ่งเดียว เพราะผมอยากจะรู้ว่ามันจะมีเลวอะไรอีก อยากให้พรุ่งนี้พี่น้องช่วยกันปฏิบัติการไล่ล่าไอ้ทรราช”

หมายเหตุ:ฟังคลิปเสียง"เมธี"พูดบนเวทีหน้าทำเนียบคืนวันที่12เม.ย.52 คลิ้กที่นี่

แทรกแซงสื่อปลดสุรนันท์พ้นช่อง11อีกราย

กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า แหล่งข่าวจากช่อง 11 เปิดเผยว่า เมื่อตอนสายของวันที่ 15 มิ.ย. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯที่ดูแลสื่อรัฐ ได้ต่อโทรศัพท์สายตรงไปยังผู้บริหารของช่อง 11 ให้มีคำสั่งปลดนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งผู้วิจารณ์หรือ commentator ของรายการนิวส์ไลน์ (News line) ทางช่อง 11 ที่ออกอากาศทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ แบบสายฟ้าแลบ ทั้งนี้สาเหตุที่นายสุรนันทน์ ถูกปลด เพราะอาจถูกมองว่า เคยเป็นรัฐมนตรีในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่นายสุรนันทน์ได้แยกตัวออกมาจากพรรคไทยรักไทยและไม่ได้มีความ เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

อีกทั้งหนังสือคำสั่งให้ปลดนายสุรนันทน์ ยังระบุว่าเทปบันทึกรายการล่วงหน้าที่มีนายสุรนันทน์เป็นผู้วิจารณ์อยู่ ให้ระงับการนำมาออกอากาศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่มีคำสั่งนี้ออกไปทันที

เรื่องที่ถูกปลดออกจากรายการนี้ นายสุรนันทน์ ได้ออกมาเปิดเผยผ่านเวบไซท์ส่วนตัวใน Facebook.com โดยบอกเพียงแค่ว่า ตัวเขาเองไม่ได้รับอนุญาติให้ออกความเห็นในรายการ Newsline แล้ว และ สาเหตุน่าจะมาจากการออกความเห็นของตนเองในรายการ News line ที่หลายๆครั้งตนเองมักพูดตรงเกินไป ซึ่งอาจทำความไม่พอใจให้กับคนในรัฐบาลได้

ฝ่ายค้านสรุปการอภิปราย พ.ร.บ.งบรายจ่ายปีงบ 53

ที่มา MCOT News คลิ้กที่นี่ชมรายละเอียด


รัฐสภา 18 มิ.ย.-การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 วันที่สอง ฝ่ายค้านกำลังสรุปการอภิปราย .-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2009-06-18 23:41:32

คลุมเครือ-ไม่เชื่อถือ

ที่มา มติชน

บทนำมติชน



จากค่ำวันที่ 8 มิถุนายน ที่เกิดเหตุการณ์คนร้ายบุกเข้าไปกราดยิงชาวไทยมุสลิมขณะทำพิธีละหมาดในมัสยิด ที่บ้านไอปาแยร์ ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส มีผู้เสียชีวิต 11 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 10 ราย มาจนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ แต่ดูเหมือนไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บุคคลหลายกลุ่มหลายฝ่ายและหลายคนออกมาให้ความเห็นพร้อมกับวิเคราะห์วิจารณ์ไปต่างๆ นานาโดยเฉพาะผู้ที่น่าสงสัยว่าจะเป็นผู้ก่อเหตุความรุนแรง ขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามว่าการใช้การเมืองนำการทหารดังที่นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกให้สัมภาษณ์นั้นจะทำอย่างไรและจะเห็นผลเมื่อใด เพราะการให้สัมภาษณ์ไม่มีรายละเอียด และในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ไม่มีปฏิบัติการใดๆ จากฝ่ายนโยบายที่จะปรับนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะขบวนการแบ่งแยกดินแดน

แม้จะเกิดความรุนแรงในลักษณะทำลายชีวิตผู้คนแทบทุกวันๆ ละหลายจุด ทั้งครู ชาวบ้าน ทหาร พระสงฆ์ ฯลฯ ตกเป็นเหยื่อกระสุนปืน คมมีด และระเบิดที่ลอบทำร้าย จนเกิดอาการขวัญผวาไปทั่ว แต่การสังหารหมู่ 11 ศพ ที่มัสยิด บ้านไอปาแยร์ก็เกิดกระแสข่าวลือที่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วดุจไฟลามทุ่งโดยข้าราชการระดับสูงทั้งทหาร ตำรวจและพลเรือนตลอดทั้งนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรียืนยันว่าเป็นฝีมือของขบวนการก่อการร้ายซึ่งเคยก่อเหตุรุนแรง แต่นักการเมืองในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับไม่ปักใจว่าจะเป็นเช่นนั้น โอกาสจะเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐก็มีอยู่มาก สำหรับชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จำนวนไม่น้อยลงความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่ชาวไทยมุสลิมจะบังอาจฆ่าพวกเดียวกันในมัสยิด น่าจะเป็นฝ่ายรัฐมากกว่า

ข้อถกเถียงจากการวิเคราะห์และการคาดหมายไปกันคนละทางสองทางเช่นนี้ผูกพันกับสถานะของบุคคลว่าเป็นใคร ดำรงตำแหน่งหรือสถานะอะไร ความแตกต่างทางศาสนา การมีประสบการณ์ในอดีตและความคิด ความเชื่อซึ่งยากจะไปเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม หากคนในพื้นที่ชายแดนใต้พากันเข้าใจว่าคนของรัฐ นั่นคือ ทหารพรานเป็นคนทำ โดยพูดกันปากต่อปากและมีมือมืดทำใบปลิวแจกจ่ายจนกลายเป็นสงครามจิตวิทยา ย่อมไม่เป็นผลดีกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่ทหารพรานจะยังคงกำลังไว้ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้กับชาวบ้าน

การยุติกระแสข่าวลือของชาวไทยมุสลิมที่มองเจ้าหน้าที่รัฐเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาความรุนแรงถึงขนาดลอบสังหารชาวไทยมุสลิมขณะทำพิธีละหมาดในมัสยิด มิใช่แค่การให้สัมภาษณ์ของผู้นำทางการเมืองหรือผู้นำกองทัพปฏิเสธว่าคนของรัฐไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาด หรือโปรยยาหอมว่าตำรวจจับกุมคนร้ายได้แน่นอนเพราะชาวบ้านในพื้นที่ไม่มีใครเชื่อถือ เพราะต้องยอมรับว่าการวางทหารและอาวุธครบมือไว้เต็มพื้นที่ 3 จังหวัดประมาณ 40,000 นาย ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน ดังนั้น เพื่อขจัดความคลุมเครือว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุสังหารโหดในมัสยิด 11 ศพ รัฐบาลจึงควรตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระประกอบไปด้วยคนในพื้นที่และผู้ทรงคุณวุฒิมาสอบสวนหาข้อเท็จจริง แทนที่จะปล่อยให้ตำรวจทำคดีไปตามปกติ

ตราบใดที่เหตุการณ์กราดยิงมัสยิดบ้านไอปาแยร์ 11 ศพ ยังปล่อยให้คลุมเครือ ไม่รู้ใครเป็นคนร้ายกันแน่ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดน ผนวกเข้ากับความไม่เชื่อถือภาครัฐว่าจะให้ความเป็นธรรมกับชาวไทยมุสลิมได้ ย่อมเป็นเงื่อนไขให้คนในพื้นที่คิดแบ่งแยกดินแดนนำไปเป็นข้ออ้างในการโฆษณชวนเชื่อเพื่อดึงมวลชนไปอยู่กับฝ่ายตน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยากต่อการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

ตม.จับคาสนามบิน ดารา'เมธี' ร่วมเสื้อแดงชุมนุม

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_13866

ตกเป็น 1 ใน 21 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับกรณีร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล โดน ตม.สนามบินสุวรรณภูมิ รวบหลังเดินทางกลับจากประเทศเวียดนาม คุมตัวส่ง สน.ดุสิต..

เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา (19 มิ.ย.) ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้จับกุม นายเมธี อมรวุฒิกุล อายุ 38 ปี ดารานักแสดงชื่อดัง ซึ่งถูกออกหมายจับกรณีร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ขณะเดินทางกลับเข้าประเทศ หลังเดินทางกลับจากประเทศเวียดนาม

ทั้งนี้ นายเมธี เป็นผู้ต้องหาคนที่ 21 ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 1697/2552 ลงวันที่ 15 มิ.ย. 2552 ข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยเป็นหัวหน้า และร่วมกันชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง จากกรณีขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มเสื้อแดง บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ก่อนและหลังรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกส่งไปดำเนินคดีที่ สน.ดุสิต ขณะที่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ขอให้การในชั้นศาล และไม่รู้มาก่อนว่าถูกออกหมายจับ ก่อนใช้หลักทรัพย์เงินสด 500,000 บาท ขอยื่นประกันตัวออกไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ศาลอนุมัติหมายจับกุมกลุ่มคนเสื้อแดงเพิ่มอีก 8 คน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้เหลือนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ เพียงคนเดียวยังไม่มาติดต่อเข้ามอบตัว

สำหรับนายเมธี มีชื่อจริงว่า นายทัฬห์ อมรบุณยกร มีผลงานละครทางโทรทัศน์ อาทิ ดอกไม้ในป่าหนาว ช่อง 5, โปลิศจับขโมย ช่อง 3, พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ ช่อง 7, เพลิงรัก ไฟแค้น,อตีตา, นายฮ้อยทมิฬ, แม้เลือกเกิดได้, นิราศสองภพ, หัวใจและไกปืน, หลังม่านมายา, ตากสินมหาราช, หลงไฟ, หักเหลี่ยมพระกาฬ, จิตสังหาร รวมถึงภาพยนตร์ และถ่ายแบบอีกหลายครั้ง

งบ53ผ่านฉลุย ตั้ง65กมธ. แปรญัตติ23มิ.ย.

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_13818

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ในวาระ 1 ขั้นรับหลักการ ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมด้วยคะแนน 244 ต่อ 3 เสียง งดออกเสียง 99 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 18 เสียง ...

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (19 มิ.ย.) ว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ในวาระ 1 ขั้นรับหลักการ ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมด้วยคะแนน 244 ต่อ 3 เสียง งดออกเสียง 99 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 18 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ในชั้นแปรญัตติจำนวน 65 คน แบ่งเป็นในส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) 15คน พรรคเพื่อไทย 19 คน พรรคประชาธิปัตย์ 17 คน พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน และ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคละ 3 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และ พรรคประชาราช 1 คน ขณะที่ พรรคกิจสังคมและพรรคมาตุภูมิ 1 คน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นัดประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553นัดแรก ในวันอังคารที่ 23 มิ.ย. เวลา 09.00 น. ที่ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 3

จากนั้น ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ขอขอบคุณ ขอบคุณส.ส.ทุกพรรคการเมืองที่ให้ความร่วมมือด้วยดี ในการอภิปราย พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาทและ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาท รวมทั้ง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ใช้เวลา 4 วัน ต่อสู้กับอุปสรรคผ่านมาได้ด้วยความสมานฉันท์จากนั้นได้ขอให้ที่ประชุมรับทราบพระบรมราชโองการปิดประชุมสมัยวิสามัญรัฐสภา และ สั่งปิดการประชุมเมื่อเวลา 00.55 น.

ก่อนหน้านี้ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปว่า การตำหนิว่าเหตุใดรัฐบาลจึงจัดงบประมาณให้กระทรวงเศรษฐกิจน้อยเกินไปในเมื่อ ต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีปัญหาเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจเช่นในขณะนี้ จึงจัดสรรงบประมาณให้แต่ละกระทรวงตามปกติ อย่างไรก็ตามก่อนการลงมตินายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ได้ทวงถามขอรายละเอียดของโครงการใน พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาทตามที่ได้ร้องขอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปแล้ว นายชัย ชิดชอบ แจ้งว่ารายงานการประชุมยังไม่สามารถให้ได้เพราะสภาผู้แทนราษฎรยังไม่รับรอง ส่วนเอกสารอื่นจะมอบให้ทั้งหมด

'มิ่งขวัญ'สวดยับ จัดงบพิเรนทร์ ทำประเทศเสียหาย

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_13814

มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์

ชี้ตั้งงบปี 53 ลดลงทั้งที่ขุนคลังระบุเงินคงคลังและเงินสำรองระหว่างประเทศเหลืออยู่จำนวนมาก ขณะที่เมื่อไม่กี่วันเพิ่งจะออกพ.ร.ก.และพ.ร.บ.ให้อำนาจคลังกู้เงิน แล้วเหตุใดต้องมาตัดงบปี 53

ผู้สื่อข่าวรายงานการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 53เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ได้ดำเนินมาจนกระทั่งเวลา 22.00 น.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า เป็นการตั้งบพิเรนทร์ อุดตริ ตั้งงบประมาณปี 53 ลดลงทั้งที่รมว.คลังประกาศว่าเงินคงคลังและเงินสำรองระหว่างประเทศเหลืออยู่จำนวนมาก ขณะที่เมื่อไม่กี่วันเพิ่งจะออกพ.ร.ก.และพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินมาแล้ว แล้วเหตุใดต้องมาตัดงบประมาณปี 53 ซึ่งตามปกติเขาจะไม่ทำกันยกเว้นเศรษฐกิจย่อยยับจริงๆ ทำไมจึงไม่ตั้งงบประมาณส่วนหนึ่งกลับมาไว้ในพ.ร.บ.งบประมาณ เพราะการโยกงบประมาณออกไปนำมาซึ่งการยากต่อการตรวจสอบ ทำให้ธรรมาภิบาลทางเงินการคลังลดมาตรฐานลง ซึ่งผู้ใหญ่และนักวิชาการด้านการเงินการคลังล้วนบอกว่าเป็นการตั้งงบที่ผิดปกติ จะทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสียหาย เพราะไทยเคยจัดงบแบบนี้ตอนปี 40 ในสมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ประเทศมีปัญหาวิกฤตต้มยำกุ้ง จึงเป็นเรื่องน่ากลัว และหากเป็นตนจะไม่ทำเช่นนี้เด็ดขาด แยกงบลงทุนออกไปจากงบประมาณประจำปีทำไมในเมื่อได้ขอให้สภาฯมีการประชุมติด กันแล้วถึง 4 วันในการอนุมัติเงินกู้

นายมิ่งขวัญ กล่าวอีกว่า งบกลางปี 52 จัดสรรให้ 3 กระทรวงหลักทางเศรษฐกิจ คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงท่องเที่ยวฯ เพียงแค่ 2%เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะที่งบประมาณปี 53 กระทรวงท่องเที่ยวฯ ได้ 0.2 % กระทรวงพาณิชย์ได้รับจัดสรร 0.4% และกระทรวงอุตสาหกรรมได้รับจัดสรรเพียง 0.3 % สามกระทรวงหลักรวมกันได้เพียง 0.9% นี่หรือคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้วเงินจำนวนมากนั้นเอาไปอยู่ตรงส่วนไหน ขณะที่กระทรวงเกษตรฯได้งบประมาณปี 53 เพียง 3.3% เท่ากับเกษตรกรทั้งประเทศได้งบประมาณเพียงแค่ 3.3%ของงบประมาณ เป็นการจัดสรรงบประมาณที่ไม่เข้าท่า ไม่สมเหตุสมผล

ขณะที่ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า ต้องนำเม็ดเงินลงทุนมาไว้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการไทยเข้มแข็ง ที่ระบุว่าเหตุใดกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้งบประมาณน้อยมาก ทั้งที่สมัยรัฐบาลก่อนก็จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงอุตสาหกรรม 0.3%เท่ากัน ขณะที่ให้กระทรวงท่องเที่ยวฯ 0.3%เช่นกัน และให้กระทรวงเกษตรฯเพียงแค่ 0.4% และยืนยันว่าเอสเอ็มอีไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นอันดับแรกแน่นอน ส่วนที่ต้องทำพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาทก็เพราะใส่ไว้ในงบประมาณปกติไม่ได้เนื่องจากต้องแก้ไขกฎหมาย ในช่วง 3 ปีรัฐบาลมีแผนการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาทจึงต้องมีความชัดเจนและต้องพิจารณาเงินกู้ทั้ง8 แสนล้านบาทไปพร้อมกัน สำหรับคำถามถึงหนี้ครัวเรือนของประชาชนว่าอยู่ในอัตราเท่าใด ต้องไปดูรัฐบาลชุดก่อนๆที่ทำให้ประชาชนมีหนี้ครัวเรือนจากหลักหมื่นกลายเป็น หลักแสนบาท ผิดกับการกู้เงินครั้งนี้เป็นหนี้สาธารณะซึ่งหมายถึงหนี้ของรัฐบาลที่รัฐ ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่หนี้ของประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงท้ายของการประชุมได้มีการตอบโต้กันไปมาใน โครงการจัดซื้อเครื่องบินกริฟเฟนของกองทัพอากาศ โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าเป็นการอนุมัติสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ชณะที่นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ตอบโต้ว่าเป็นการเสนอมาจากรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งต่อมานายสุเทพ ก็ให้สัมภาษณ์สนับสนุน หากมีการจัดซื้อต่อไปก็ไม่ควรวางกรอบเป็นเงื่อนไขผูกพันให้รัฐบาลต่อไปต้อง ปฏิบัติตาม ซึ่งนายสุเทพ ยืนยันว่า กองทัพอากาศมีความจำเป็นต้องซื้อเครื่องบินชนิดนี้ และต้องการจะจัดซื้อให้ครบฝูงบิน 12 ลำแต่รัฐบาลได้ขอร้องไว้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศไม่ดี ขอให้ชะลอโครงการจัดซื้อไว้ก่อน.

มาถึงคิวชื่อ 'มนูญกฤต'

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_13839

มนูญกฤติ

ได้คิวลุ้นระทึกก่อนหวยออนไลน์

ล่าสุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรหรือ คชก. พร้อมพวกรวม 44 คน

รวมถึงนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ในฐานะอดีต รมช.เกษตรฯ

ในความผิดฐานทุจริตกล้ายางพารา 90 ล้านต้น มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยได้นัดฟังคำสั่งในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ เวลา 14.00 น. ภายหลังจากที่องค์คณะผู้พิพากษาได้ทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา

วันเดิมพันของ "ครูใหญ่"

หมายความว่าถ้าไม่รอด "เนวิน" ก็ต้องเกิดอาการเครื่องสะดุด ยางแตก ส่งผลถึงพรรคภูมิใจไทยที่กำลังออกตัวไปได้สวย ต้องเครื่องรวนไปด้วย

แต่ถ้ารอดคดีกล้ายาง กัปตันอย่าง "เนวิน" ไร้มลทิน ปลอดจากชนักปักหลัง

ก็ยากจะเบรกยี่ห้อภูมิใจไทย

ในอารมณ์วัดใจ อานิสงส์จากการเสี่ยงพลิกขั้ว ทรยศ "นายใหญ่" เพื่อชาติ จะช่วยให้ "เนวิน" แคล้วคลาดหรือไม่

ค่ายภูมิใจไทยได้วัดดวง

หันไปที่พรรคเพื่อไทยก็กำลังขยับพลิกเกมครั้งใหญ่

กับคิวที่ ส.ส.หญิงของพรรคได้รวมกลุ่ม บินไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงถิ่นพำนักเมืองดูไบ ในอารมณ์ที่หงุดหงิดกับการบริหารพรรคในยามไร้หัวเรือใหญ่ ปล่อยให้ลูกพรรคอยู่กันแบบระส่ำระสาย ไม่มีผลงานเป็นโล้เป็นพาย ไม่รู้จะเอาอะไรไปหาเสียงกับชาวบ้าน

ที่สำคัญ น้ำเลี้ยงกะปริดกะปรอย

ขุนศึกชักไม่ชัวร์กับอนาคต "นายใหญ่" จะเอาไงกันแน่

และแล้วก็มีข่าวว่า "นายใหญ่" ต่อสายข้ามประเทศ โฟนอินเข้ามาในเวทีปราศรัยที่อีสาน ยืนยันว่าน้ำเลี้ยงยังดี พร้อมอัดฉีดเต็มที่ แล้วก็เป็น "เสี่ยเพ้ง" นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.คมนาคม กระเป๋าเงินของ "นายใหญ่" ได้ต่อสายถึง ส.ส.เรียงตัว

รับปากจากนี้ไปจะดูแลค่าใช้จ่ายให้ผู้แทนฯอย่างถ้วนหน้าทั่วถึง

และกับข่าวล่ามาไว ล่าสุดแว่วๆชื่อของ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา หัวขบวนเครือข่าย "ทหารเฒ่า จปร.7 ไม่มีวันตาย"

โผล่มาเป็นแคนดิเดต แม่ทัพคนใหม่ของค่ายเพื่อไทย

แน่นอน เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ "มนูญกฤต" ชื่อที่แหกโผข้ามฝั่ง สวิงขั้ว พลิกข้าง เพราะเบื้องหลังในอดีตก็ยืนอยู่คนละข้างตลอดเวลา

อยู่ในเกมหัก โค่น ล้ม กันมา

แต่ถ้าเช็กที่มาที่ไป โดยสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นผ่านทาง "สารวัตรเหลิม" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งบินไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เมืองดูไบ และในฐานะเพื่อนซี้กับ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. พยานปากเอกที่ช่วยอดีตนายกฯทักษิณ แฉโต๊ะกินข้าวที่บ้านสุขุมวิทของมิสเตอร์พี ก่อนการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549

ตัวเชื่อม "มนูญกฤต" โยงสายถึง "นายใหญ่"

ที่สำคัญโดยข้อมูลร้อนๆเรื่องเงิน 250 ล้านบาท ของบริษัททีพีไอฯที่ "สารวัตรเหลิม" และทีมเชือดของพรรคเพื่อไทย ได้เอกสารหลักฐาน แฉตัวเลขบัญชีในสลิปโอนเงินจะจะ ถล่มพรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่ผ่านมา

และก็เป็น พล.ต.มนูญกฤต ที่ยอมรับว่า "สารวัตรเหลิม" ต่อสายมาแชร์ข้อมูล หลังตัดสินใจลาออกจาก ส.ส.ระบบสัดส่วน และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

แอบแตะมือกันมาก่อนหน้านี้แล้ว

ปะติดปะต่อ โยงที่มาที่ไป ใกล้จุดที่จูนกันลงตัว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าคนที่ผ่านชีวิตโลดโผนมาเยอะอย่าง พล.ต.มนูญกฤต จะรับงานเสี่ยง ถือธงนำค่ายเพื่อไทย

ฝ่าดงคลื่นสหบาทา

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ในเมื่อยี่ห้อ "ทักษิณ" ยังมีทั้งเงินที่พร้อมอัดฉีดยื้อเกมอำนาจประเทศไทย และกระแสที่ชาวบ้านรากหญ้าพร้อมเทคะแนนให้

ณ วันนี้ พรรคเพื่อไทยยังมี ส.ส.แน่นสภา

จากคิวของอดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช ที่ได้นั่งเก้าอี้ใหญ่ทั้งๆที่กลับไปเลี้ยงหลาน ทำกับข้าวอยู่ที่บ้าน ตัวอย่างของ "สารวัตรเหลิม" ที่สมหวังได้นั่งเก้าอี้ รมว.มหาดไทย เกือบได้ลุ้นคั่วเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

ใครมั่งไม่อยากลุ้นโบนัสก่อนเกษียณการเมือง.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

หอกทิ่มเต็มเปา

ที่มา บางกอกทูเดย์

วันนี้ “ภาคใต้” ยังไม่สงบ...และไม่รู้วันหนึ่งวันใดข้างหน้าที่เหตุการณ์จะสงบแม้ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาของภาครัฐจะถูกเก็บงำไว้เป็นความลับ เนื่องด้วยข้อมูลที่มิอาจเปิดเผยแต่ผลลัพธ์ของมาตรการแก้ไขปัญหา ก็ยังไม่อาจบรรลุ“วัตถุประสงค์”โดยเฉพาะสิ่งที่ยากที่สุด คือ การต่อสู้กับ อารมณ์ความรู้สึก และ ความเชื่อ ของประชาชนซึ่งกลุ่มผู้ก่อการร้าย “ตั้งเป้า” มุ่งใช้ยุทธวิธีที่จะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่คนไทย...โดยแยกเป็นไทยพุทธ และ มุสลิมวันนี้คนพุทธไม่กล้าพูดคุยกับคนมุสลิม และคนมุสลิมไม่กล้าพูดคุยกับคนพุทธทั้งที่ความเป็นจริงพวกเขา คือ “ประชาชนคนไทย”ที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันตามที่ได้มีผู้ศึกษา...ความขัดแย้งในพื้นที่ “ภาคใต้”อุบัติเกิดขึ้นมาแล้วนับร้อยปี...แต่มาปะทุ “รุนแรง” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดย โจรใต้ สามารถสถาปนาอำนาจตนได้ในหลายอำเภอของ 3 จังหวัดนั่นหมายความว่า...อำนาจรัฐไม่อาจเข้าถึงคงจำกันได้...เกี่ยวกับ “โศกนาฏกรรม” ขั้นรุนแรงจากเหตุการณ์ยิงถล่ม “มัสยิดกรือเซะ” อ.เมืองจ.ปัตตานี และ “สถานีตำรวจภูธรตากใบ” จ.นราธิวาสเมื่อปี 2547 ทั้ง 2 เหตุการณ์ มี “ผู้เสียชีวิต” นับรวมแล้วเกือบ200 ชีวิตและคงยากที่จะปฏิเสธว่า ปัญหาภาคใต้ ส่วนหนึ่งนั้นมิได้เกิดจาก “นักการเมือง”ยกตัวอย่าง...ในช่วง “หาเสียง” เลือกตั้งครั้งหนึ่งได้มีการปั๊มแจกวีซีดีเหตุการณ์ “กรือเซะ” จากนักการเมืองพรรคหนึ่งแน่นอนว่า...เหตุผลคือต้องการทำไปเพื่อ “หวังผลทางการเมือง”ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ชาวบ้านรู้สึก “เกลียดชัง”เจ้าหน้าที่รัฐมากยิ่งขึ้นไม่มี “ชาวบ้าน” คนใด...แยกแยะว่า ทหาร ตำรวจเป็นของพรรคไหน แต่เขาจะเรียกด้วยความเข้าใจว่า คือ“เจ้าหน้าที่รัฐ”“นักการเมือง” ที่ขานรับ “ขันอาสา” มารับใช้บ้านเมือง...โดยพูดกันนักหนาว่าจะแก้ปัญหา “ชายแดนใต้” ให้จงได้สิ่งที่ท่านกำลังพูด หมายถึง เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่??มันจะกลายเป็น “หอกดาบ” กลับมาทิ่มแทงตัวท่านไม่ช้าก็เร็ว และหลายเรื่องดาบนั้นได้คืนสนองไปแล้ว“ความจริงใจ” ในการแก้ปัญหา ถือเป็น “คำสัตย์”ต้องยึดมั่นเห็นได้ชัด! วันนี้นักการเมืองเหล่านั้นยังคิดจับแต่“อำนาจเก่า” จนลืมการแก้ปัญหาภาคใต้อย่างจริงจังไม่มีกุศโลบายใดที่เห็นเป็น “รูปธรรม” ชัดเจนการรบเชิงยุทธการ...ถ้ารบจริงกำราบโจรพวกนี้ไม่ยากเย็น แต่ถ้ารบแบบนี้...ไม่รู้อีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะชนะ! ■

สงครามเปะปะ

ที่มา บางกอกทูเดย์

งานนี้ผมขอบอกว่า “เสียของ” เพราะการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้าน ฝ่ายค้านอยู่ในฐานะได้เปรียบรัฐบาลหลายช่วงตัวเพราะนั่นคือการดึงดันในการทำลาย “วินัยทางการเงินการคลัง”ประชาชนทั้งประเทศที่ไม่เห็นด้วยเช่นกัน ต่างก็รอคอยกันว่าฝ่ายค้านจะใช้รัฐสภา “สอนมวย”หรือจัดการกับฝ่ายรัฐบาลที่มักง่ายในเรื่องการกู้ดะอย่างไร?แต่เอาเข้าจริง....เหลวเป๋ว!!จึงไม่น่าแปลกใจที่ฝ่ายค้านซีเรียสหนักหนาในการเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการ ถ่ายทอดการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้าน ครั้งนี้ออกทีวีแต่ถ่ายทอดเข้าจริงก็ฆ่าตัวตายเอง??ประชาธิปัตย์ แสดงความเหนือกว่าในเชิงการเล่นเกมในสภา ด้วยการให้ ชินวรณ์ บุณยเกียรติประธานวิปรัฐบาล ออกมา “มัดมือชก”ด้วยการเสนอตั้ง คณะกรรมาธิการเต็มสภาเพื่อพิจารณาในวาระ 2 ซึ่งที่ประชุมไม่มีใครคัดค้านการพิจารณาวาระที่ 2 ชั้นกรรมาธิการเต็มสภาพิจารณาร่างจำนวน 13 มาตรา ก็ผ่านสภาได้อย่างไม่ต้องออกแรงมากมายนี่คือ ความพ่ายแพ้แรกของ ส.ส.ฝ่ายค้านคือ พรรค เพื่อไทย ที่ไม่สามารถหาทางเบรกหรือสร้างปัญหาอึดอัดใจให้กับฝ่ายรัฐบาลเป็นการ “แพ้สงครามกลางสภา” อย่างที่“บางกอกทูเดย์” ได้พาดหัวข่าวหน้าปกไปเมื่อฉบับวันวานสิ่งเดียวที่ฝ่ายค้านจะเลือกทำได้ในยามนั้นก็คือการวอล์กเอาต์!!ซึ่งประธานสภา ชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯแสดงความเห็นแบบ “เก๋าเกม” ว่า การวอล์กเอาต์ของพรรคฝ่ายค้านเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. แต่ละคนที่ฝ่ายค้านจะไม่ร่วมตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบที่ ฝ่ายค้าน น่าจะเจ็บใจให้มากๆ ก็คือเสียงท้วงติงของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ออกมาพูดเหมือนอบรมฝ่ายค้าน ประมาณว่าการวอล์กเอาต์ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 400,000 ล้านทำระบบนิติบัญญัติผิดเพี้ยน!! พรรคการเมืองเดียวหยุดกระบวนการสภาได้ทั้งหมด และนั่นไม่ใช่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญงานนี้มี เฉลิม อยู่บำรุง คนเดียวที่ช่วยกู้หน้าฝ่ายค้าน ด้วยการออกมาฉะรัฐบาลเละเป็นโจ๊ก!!น้าเหลิมฉะแหลกว่า...“นอกจากการ ตั้งงบแบบหมกเม็ดเป็นงบหาเสียง แล้ว รัฐบาลนี้ยังไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีความละอาย ไม่เกรงกลัวต่อบาป”“รมว.คลัง เป็น ชาโดว์คาบิเนต ชอบพูดมากทั้งที่ รมว.คลัง ต้องพูดน้อย!!”“อภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลเห็นแก่ตัว ไม่จัดงบที่ตรวจสอบได้ ไปออก 400,000 ล้าน ที่ไม่มีรายละเอียด ตรวจสอบไม่ได้!! อวดดี ถือเด่นขายภาพ ไม่รู้วินัยการเงินการคลัง”■

ทำสงครามต้องรบ

ที่มา บางกอกทูเดย์

เห็นด้วยอย่างยิ่งสำหรับคำกล่าวของพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ยืนยันเป็นเด็ดขาดว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆ กับผู้ก่อการร้ายใน3 จังหวัดภาคใต้ซึ่งก็แปลไทยเป็นไทยได้ว่าจนกว่าจะแพ้ชนะกันไปข้าง..เห็นด้วยเพราะว่า..หากเจรจากับผู้ก่อการภาคใต้..อีกไม่นานก็จะต้องเจรจากับผู้ก่อการอื่นๆในภาคอื่นๆ อีก..เป็นแบบนั้นประเทศมันก็เล็กลงทุกวันแต่ไหนๆ จะรบกันให้มันเบ็ดเสร็จลงไป..ก็ไม่ใช่เลี้ยงไข้อยู่แบบนี้..เพราะปีละกว่า20,000 ล้านบาท ที่เป็นงบลับและเงินสดนั้นสหรัฐอเมริกาแพ้เวียดนามมาแล้วเพราะหาดอลลาร์มาใช้รบไม่ไหว..ขอไปสภาก็ขัดข้องและประชาชนเบื่อหน่ายกับการคอยรับศพ...คนหนุ่มก็หนีตายไม่ยอมเป็นทหาร..ไม่มีพื้นที่ทางทหารแผ่นดินใด..ที่ฝ่ายหนึ่งจะยื่นเข้าไปในการโอบล้อมของอีกฝ่ายหนึ่ง. แต่ใน3 จังหวัดภาคใต้นั้น..พื้นที่ดินระหว่างชายแดนไทยกับมาเลเซีย..เป็นประโยชน์ให้กับผู้ก่อการ..เพราะเป็นเขตเลือกตั้งที่พรรคฝ่ายค้านมีอิทธิพลเหนือประชาชน การไปพึ่งพาโดยการเจรจากับรัฐบาลในกัวลาลัมเปอร์..จึงไม่ได้ผลประเทศไทยจึงจำต้องพึ่งพาตนเอง..เป็นหลักก่อนอื่นประเทศไทยต้องตัดทางถอยของผู้ก่อการร้าย..มิให้เข้าไปอาศัยแผ่นดินเพื่อนบ้าน..ถนนเลียบชายแดนในด้านที่มีปัญหาจึงจะต้องเกิดขึ้นมาก่อน..วิธีการปกติตั้งแต่โลกนี้มีทหารและการสู้รบ..ก็คือการตัดท่อน้ำเลี้ยง..และปิดทางถอย..แต่รบกันมาถึงวันนี้..ไม่มีใครพูดถึง..แลนด์บริดจ์..ที่ทอดผ่าน..ระหว่าง 2 ฝั่งมหาสมุทร..ที่ช่วยย่นระยะเดินทาง..รถไฟจะขนทั้ง ค อ น เ ท น เ น อ ร์แ ล ะ เ รือ เ ดิน ส มุท ร . .ขึ้นบก..กับท่อส่งน้ำและน้ำมัน..จะพลิกเศรษฐกิจให้ 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย..และสร้างงานปริมาณมหาศาลให้กับประชาชนสงครามจะเป็นเรื่องไร้สาระ..ประเทศไทยจะร่ำรวยขึ้นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..วานศึกษาดูที..ประเทศนี้มันรวยแน่ๆ แค่ได้นายกรัฐมนตรีดีๆ สักคน■

ได้เวลา สวนหมัด!

การเมืองในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล แม้ว่าจะได้รับสมญาว่าเป็น รัฐบาลเทพประทานแต่ดูเหมือนว่าด้วยสไตล์ประชาธิปัตย์ ที่มักจะถูกกระแหนะกระแหนว่าเป็นหนึ่งในประเภท ดีใส่ตัว ชั่วใส่คนอื่นบวกกับความเชื่อมั่นในต้นทุนที่สูงมากๆ ในเวลานี้ เพราะมีทั้งภาพลักษณ์ แรงเชียร์ ตลอดจนการอุปถัมภ์ค้ำชู ทั้งจากกลุ่มผู้มีสี กลุ่มผู้มีบารมี หรือแม้แต่กลุ่มธุรกิจทำให้ความเชื่อมั่นของพลพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีสูงทะลุระดับปรอทแตกแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้ ก็ดูเหมือนจะไม่มีน้ำหนักที่จะมาต่อรองอะไรง่ายๆ แล้วพรรคภูมิใจไทย กลุ่มเพื่อนเนวิน โดนดองโครงการรถเมล์4,000 คัน เอาไว้ที่สภาพัฒน์ 1 เดือน หน้าตาเฉย ไม่สนใจว่านายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะดิ้นรนทุ่มงบประชา สัมพันธ์ทั่วกรุงสักเพียงใดพรรคภูมิใจไทย กลุ่มมัชฌิมาธิปไตย เจอเบรกหัวทิ่มแล้วหัวทิ่มอีก เรื่องการระบายสต็อกพืชเกษตรทั้งข้าวโพดและข้าวจน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ทนไม่ไหว ต้องออกมาวิจารณ์กันแรงๆ แต่ก็ไลฟ์บอยไม่ยี่หระเสียอย่าง แล้วจะทำไมล่ะ!!!แม้แต่เรื่องหวยบนดิน หวยออนไลน์ ซึ่ง นายประดิษฐ์ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นคนดูแลมานมนานหลายรัฐบาล พิจารณาจนรอบคอบ ผ่านกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ก็เซ็นอนุมัติให้ทางสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเดินหน้าได้แต่ส่งไปให้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อนุมัติ กลับไม่เซ็นแถมยังจะโยนกลับไปหากฤษฎีกาใหม่แถมนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็ออกมาสำทับซ้ำว่า ต้องให้ทุกอย่างโปร่งใสเสียก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ผ่านนับวันนายกฯ อภิสิทธิ์ จะเล่นบท “ฮาฮายี้ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ได้ทะมัดทะแมงขึ้นชนิดที่พรรคร่วมรัฐบาลเห็นประกายดาบวูบขึ้นแว้บเดียวคมดาบก็หายเข้าไปกลางแผ่นหลังแล้วตายทางการเมืองกันไม่รู้ตัว!!!แต่ถึงวันนี้ พรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีใครกล้าแตกแถวอะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับรัฐบาลประชาธิปัตย์ชุดนี้!!!แต่ก็อีกนั่นแหละ โดนหนักๆ เข้า พรรคร่วมรัฐบาลก็ค้อนกัน ตาเหลือกตาปลิ้นเหมือนกันก็นายกฯ อภิสิทธิ์ เล่นบท “นายสะอาด” อยู่เพียงคนเดียวพรรคร่วมรัฐบาลถูกมองว่ามอมแมมเปรอะเปื้อนกันไปหมด...แล้วแบบนี้จะอยู่กันยืดได้อย่างไรร่องรอยมาเห็นชัดถึงอาการปริแยกของการเกาะเกี่ยวเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ก็ในการประชุมสภาเพื่อโหวต 1 พ.ร.บ.กับ อีก 1 พ.ร.ก. ให้รัฐบาลสามารถกู้เงินเพิ่มให้ได้อีกเบ็ดเสร็จ800,000 ล้านบาทอ้างว่าถ้าไม่ผ่าน เศรษฐกิจไม่ฟื้น จะมาโทษประชาธิปัตย์ไม่ได้นะและด้วยลีลาที่ประสาเพื่อนต้องออกปากว่า “แบบนี้คบยาก”...และ “ไม่สนุกแน่ถ้าจะคบไปนานๆ”ทำให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ตัดสินใจนำทีมพรรคเพื่อแผ่นดิน 6 คน กับพรรคมาตุภูมิ อีก 3 คน ลงคะแนนโหวตสวนทางพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายหน้าตาเฉยโชว์พลัง “ก๊วนประชา” ที่มีกลุ่ม ส.ส.สัดส่วน อย่างนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ นายประพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ม.ร.ว.กิติวัฒนา ไชยันต์ ปกมนตรี และ นายมานพ ปัตนวงศ์กับอีก 2 ส.ส. คือ นางจิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศลส.ส.นครราชสีมา และ น.พ.แวมาฮาดี แวดาโอะ ส.ส.นราธิวาสและมาตุภูมิร่วมก๊วนอีก 3 คน คือ นายอารีเพ็ญ อุตรสินธิ์ส.ส.สัดส่วน นายนัจมุจดีน อูมา ส.ส.นราธิวาส และ นางฟารีดาสุไลมาน ส.ส.สุรินทร์9 เสียง...แหกด่านรัฐบาลกันแบบไม่ยี่หระเช่นกันเล่นเอา นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน หน้าแหกชนิดหมอไม่รับเย็บ เพราะไปรับปากเอาไว้ว่าทุกอย่างในพรรค เพื่อแผ่นดินเคลียร์หมดแล้ว คุมหมดแล้วและยังทำให้ นายพินิจ จารุสมบัติ ต้องถึงกับหน้ามืดลมแทบใส่ไปด้วยอีกคน แว่วว่าถึงขนาดต้องแวะตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกันเลยทีเดียว หลังรู้ผลโหวตสวนทางรอบนี้ที่สำคัญ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าแน่ๆ ที่มั่นใจในต้นทุนเจอหมัดสวนลูกนี้เข้า เทพเทือก-นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี ก็หน้าเจื่อนอึ้งกิมกี่ไปด้วยเช่นกันและพลอยทำให้นายกฯ อภิสิทธิ์ มึนไปด้วย...อ้าว! ไหนคุยว่าเคลียร์ได้หมดไง???และนี่เองที่ทำให้มองกันว่า การที่กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งงบปี 2553 ไป 18,000 ล้านบาท แต่กลับได้รับการจัดสรรแค่5,000 ล้านบาท ถูกตัดหายไป 13,000 ล้านบาทก็เป็นเพราะน้ำหนักของนายชาญชัยและพรรคในสายตาของประชาธิปัตย์ ราคาอาจจะหล่นลงเรื่อยๆ แล้วก็เป็นได้ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้กลุ่ม พล.ต.อ.ประชา เห็นว่า ควรที่จะต้องให้รู้เสียบ้างว่าอะไรเป็นอะไรที่สำคัญ พล.ต.อ.ประชา ก็อาจจะอยากวัดด้วยเช่นกันว่าทำกันชัดๆ โจ่งแจ้งขนาดนี้แล้วจะมีอะไรมั้ย...เพื่อแผ่นดินจะกล้าขับออกจากพรรคหรือไม่?...ประชาธิปัตย์จะกล้ามองข้ามอีกหรือไม่?นี่แหละที่บอกว่า...อะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับรัฐบาลประชาธิปัตย์ชุดนี้!!!เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง “สกลนคร” ศึกวัดกำลังระหว่างภูมิใจไทย กับ เพื่อไทย ใครจะอยู่...ใครจะไป...และใครจะครองใจ “คนอีสาน” 21 มิ.ย.นี้ได้รู้กัน!งานนี้ต้องยอมรับว่า...ไสยลึกลับ “ศาสตร์เขมร” ของ“เนวิน ชิดชอบ” ที่เดินทางไปบัญชาการบริหารจัดการเองถึงพื้นที่ ยังคง ความขลังขลังไม่ขลัง ดูจำนวนผู้ไปใช้สิทธิ์ล่วงหน้าก็ได้ ทำลายประวัติศาสตร์การเมืองไทยกันเลย เพราะตัวเลขสูงโด่งไปถึง20,000 คนใครจะบอกว่าเห็นรถยนต์ติด ป้ายทะเบียน “บุรีรัมย์”ไปอำนวยความสะดวก?หรือแม้ กกต. จะมองว่า มีบางอย่างผิดปกติ...แต่ก็ไม่มีผลก็ขนาดหีบบัตรลงคะแนน เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ยังบอกหน้าตาเฉยถ้า กกต. คิดว่ามีปัญหา ก็มาเก็บเอาไปดูแลเอง!!!เท่านั้นเอง ทุกคนตัวลีบ ไม่มีใครกล้า “ยกหีบหนี” สักคนฉะนั้น แค่เริ่มต้นฟอร์มดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว คะแนนต่อรองจึงแทบไม่มีราคาให้จับ ใครจะไปกล้าเสี่ยง???สมัยก่อนในการเลือกตั้งต้องมี “คืนหมาหอน” แต่ที่สนามสกลนคร แม้แต่หมายังนอนหลับอุตุกันเฉย ไม่กล้าหอนมีแต่แว่วเสียงเห่าให้เข้าหู ประชาชน ว่า สแกนกรรมกันแล้วคะแนนในหีบเลือกตั้งล่วงหน้านั้นเทใจไปทาง “ภูมิใจไทย” เป็นต่อร่วมหมื่นกว่าเสียง???จริงไม่จริงไม่รู้ เพราะหีบยังไม่ถูกเปิด ใครจะไปตรัสรู้ก่อนได้ยังไงรู้แต่ว่าการที่มีคะแนนเน้นๆ อยู่ในมือ...ย่อมทำให้ “บุรุษเน”รู้สึกอุ่นใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฮัมเพลงโปรดในลำคอได้อย่างลำพองฉะนั้น คนสกลนครที่ชื่นชมกลุ่มเพื่อนเนวินนอนใจได้เลยงานนี้เกมไม่น่ามีพลิกแล้ว วันจริงจะไปแวะดูหนัง ฟังเพลง กินไอติม ก่อนก็ยังได้สบายใจเพราะแม้ว่ายังเหลือวันเลือกตั้งจริงอีก 1 วัน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดตัดสินให้ลุ้นว่าทักษิณ กับ เนวิน เวลานี้...คนอีสานสกลนครจะเลือกใคร??ล่าสุด สายในพื้นที่...ได้รายงานความเคลื่อนไหวก่อน“ศึกเลือกตั้ง” ทุกอย่างยังคง “นิ่งเงียบ”แต่ในความสงบใช่ว่าจะไร้การเคลื่อนไหวเพื่อไทยก็จำเป็นต้องเดิน “กลยุทธ์” เพื่อพิสูจน์ฝีมือกันสักครารวมทั้งพิสูจน์ความเชื่อดั้งเดิมของคนอีสานด้วยเช่นกันว่าเวลาเปลี่ยน ฤดูกาลเปลี่ยน จิตใจจะแปรเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่แน่นอนว่า อีกแค่ 2 วันเท่านั้น ผลแพ้ชนะก็จะตัดสินกันในดาบเดียวแล้วซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น!!!แต่ที่สำคัญ...ไม่ว่า “การชนะ” เลือกตั้งของผู้มีบารมีคราวนี้...จะนำไปสู่การวัดผลอะไรบางอย่างก็ตาม...สิ่งที่ กลุ่มเพื่อนเนวิน ไม่อาจมองข้ามก็คือ แม้ยังไม่ทันชนะเลือกตั้ง ก็ได้ ส.ส.แปรพักตร์มาแล้ว 1 คน หากที่จะชนะเลือกตั้งอีก 1 คน ภาพก็คือ “ภูมิใจไทย” โตวันโตคืนเคยฉุกใจคิดหรือไม่ว่า นั่นคือการเร่งเวลาให้ “ประชาธิปัตย์”กับ “เพื่อไทย” จับมือกันเร็วขึ้น...ก็ใครบ้างเล่า ที่อยากจะโดนคนอื่นขี่คอทางการเมืองและเมื่อถึงเวลานั้น “ภูมิใจไทย” จะอยู่อย่างไร??อย่าลืมว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร...บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า…อะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับรัฐบาลประชาธิปัตย์ชุดนี้!!! ■

วัฒนธรรมการรับน้อง

ที่มา ประชาไท

ในสถานการณ์เปิดภาคการศึกษา เราท่านต่างได้รับรู้ข่าวการรับน้องทั้งโหด และสรรค์สร้าง (ให้พิสดาร) ทั้งจากหน้าหนังสือพิมพ์ หรือสื่อวิทยุโทรทัศน์ ทำให้หวนนึกถึงมหกรรมของชนชั้นที่เรียกตัวเองว่า “ปัญญาชน” ที่ผู้คนยกย่องว่าเป็นผู้มีความรู้ และชี้นำสังคม และที่สำคัญมีปัญญาเป็นเลิศในการสรรค์สร้าง “การรับน้อง” ในรูปแบบต่างๆ อย่างน่ายกย่องและนับถืออย่างสุดหัวจิตหัวใจ เพราะอะไรหรือครับที่ต้องนับถือเขาเหล่านั่น ผมมีเหตุผล 3 ประการที่จะนำเสนอต่อไป

ประการที่หนึ่ง การกระทำของเขาเหล่านั้นวางอยู่บนฐานของความรักที่จะมอบให้น้อง(โดยน้องมิอาจปฏิเสธได้ด้วยประการทั้งปวง) น้องที่เขาเหล่านั้นมิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใดเลย แต่เขาเหล่านั้นกับให้ความ “เมตตากรุณา”โดยการสั่งสอน อบรม ก่นด่า หรือประณามและประจาน โดยการติดป้ายด้วยถ้อยคำต่างๆ นานา หรือแม้แต่ให้แสดงอากัปกิริยาที่มนุษย์ธรรมดาสามัญมิอาจแสดงได้ ยกเว้นมนุษย์พันธุ์พิเศษเยี่ยง “ปัญญาชน” เท่านั้นที่องอาจหาญกล้าในการแสดงอาการเช่นนั่น

ความรักของเขาเหล่านั้นยังไม่หมดสิ้น เขาเหล่านั้นยัง “กรุณา” แนะนำการใช้ชีวิตเยี่ยง “ปัญญาชน” ที่เหนือคนธรรมดาว่าควรใช้อย่างไร ให้สมกับเป็น “ปัญญาชน” ของชาติ(นี้หรือชาติหน้าไม่อาจทราบได้) ควรเรียนอย่างไรให้จบ ควรใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างไรให้ตลอดรอดฝั่ง โดยเขาเหล่านั้นที่เรียกว่า “รุ่นพี่” ที่มีประสบการณ์อย่างโซกโซน(และโซกเลือด) ในมหาวิทยาลัยเป็นผู้ชี้นำ เสมือนว่า “พี่” ที่น้องต้องเคารพ มีประสบการณ์ในชีวิต และในมหาวิทยาลัยมาไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นสามพันปีได้

ไม่สุดแค่นั้น “รุ่นพี่” ที่เปี่ยมประสบการณ์ยัง “กรุณา” สั่งสอนให้ “น้อง” ผู้อ่อนด้อยประสบการณ์รักใคร่ สามัคคีเหมือนปรัชญาของคนชั้นสูง(ที่สุด)ควรมี

สิ่งที่เขา “รุ่นพี่” ทำจึงเป็นการกระทำด้วยความ “รัก” ต่อ “น้อง” อย่าง “บริสุทธิ์” ปราศจากเงื่อนไขที่ “น้อง”ไม่อาจปฏิเสธได้ เป็นความรักที่แท้จริงโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จึงเป็นความรักที่ใสบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าของ “วัลยา” ในนิยายของเสนีย์ เสาวพงศ์ ประชาชนคนทั่วไปรวมถึงผู้ปกครองของ “น้องปี 1”ควรเคารพและนับถือ “รุ่นพี่” ที่ให้ความ “กรุณา”ต่อรุ่นน้องอย่างหาที่สุดมิได้

ประการที่ 2 พวกเขาเหล่านั้น(ปัญญาชน) เป็นผู้ธำรง “วัฒนธรรม” ที่เก่าแก่ของสังคมไทยไว้อย่างมั่นคง และไม่ให้สูญสลายไปกลับกาลเวลา วัฒนธรรมนั้น คือ การธำรงระบบ “ชนชั้น” ในสังคม ในระบบ “รุ่นพี่รุ่นน้อง” โดยรุ่นน้อง “มีสิทธิ์เป็นศูนย์” ทั้งในชีวิต และจิตวิญญาณของตนเอง แม้ประเทศ(ไทย)แห่งนี้จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่เห็นค่าของวิญญาณเสรี อิสระของจิตวิญญาณก็ตาม

แต่ “วิญญาณที่เสรี” ในระบบ “รุ่น” ไม่มีความหมาย คุณค่าสูงสุด คือ การเรียนรู้ตำแหน่งแห่งที่ของ “คน” ที่ลดหลั่นตาม “รุ่น” “ชั้นปี” ต่างหากคือคุณค่าสูงสุดของเขาเหล่านั้น

โดยรุ่นพี่ คือ “อาญาสิทธิ์” สูงสุด “รุ่นพี่จึงทำอะไรไม่ผิด” แม้จะผิด “กฎ” นั้นเสียเองก็ตาม วิญญาณที่เสรีเหมือนนกน้อยที่โบยบินในท้องฟ้ากว้าง กล้าคิด กล้าทำ กล้าเห็นต่าง กล้าแหกกฎ กล้าไม่เอารุ่น จึงเป็นพวก “แกะดำ” ที่ไม่ควรคบค้าสมาคม แม้ “แกะดำ” เหล่านั้นจะเปี่ยมด้วยวิญญาณแห่งเสรีก็ตาม

ฉะนั้นสิ่งที่ “ปัญญาชน” กระทำจึงเป็นคุณูปการให้สังคมไทยอย่างอเนกอนันต์ หาค่ามิได้ เพราะได้สร้าง “พลเมือง” “ปัญญาชน” ที่เซื่องๆ ให้นักการเมือง ข้าราชการ ผู้มีในอำนาจในสังคม ชี้นำ (ให้จูงจมูก ผูกแอกแบกไถ) ไปในทิศทางที่เขาต้องการ ซึ่งเป็นคุณูปการที่ระบบรุ่นภายใต้กระบวนการรับน้องสร้าง และปูทางไว้แล้วตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่ “มหาวิทยาลัย” จึงเป็นการสร้าง “พลเมือง”(คนชั้นกลาง) ที่เซื่องๆไม่นำพาต่อความทุกข์ร้อนของคนทุกข์ คนยากในสังคมได้อย่างเย็นชาที่สุดแห่งหนึ่งของโลกใบนี้

ประการที่ 3 ที่เราท่านควรเคารพ และนับถือเขาเหล่านั้นคือ เขาเหล่านั้นสามารถสร้าง และทำให้เราท่านเห็นถึง “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย” ได้เห็นภาพอย่างถ่องแท้ ที่แสดงออกในระบอบ กฎข้อบังคับ แนวทางปฏิบัติ ของเขาเหล่านั้น(ดูคุณูปการในข้อ 1 และ2) คือ “ประชาธิปไตยแบบไทย” ที่นักวิชาการไม่ว่าจากสำนักไหน ไม่ต้องค้นคว้า ค้นหา หรือหาภาพจำลอง หรือนิยาม คำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทย” แต่มันได้เผยทั้ง “หาง” “ธาตุแท้” อย่างล่อนจ้อน หมดจดภายใต้ระบบ “รับน้อง” ของมหาวิทยาลัยในสังคมไทย ที่เจือปนอยู่ท่ามกลาง “ความรักที่บริสุทธิ์” ที่มิอาจปฏิเสธได้ ภายใต้การชี้นำของผู้มี “อำนาจ” ในคราบของ “รุ่นพี่” ที่ทรงภูมิปัญญา และเปี่ยมประสบการณ์ เป็นการแสดงถึง “อำนาจแบบไทยๆ” ที่ต้องมี “ผู้ใหญ่” คอยชี้แนะ ชี้นำ และควบคุม

ไม่สุดแค่นั้น “ระบบรับน้อง” ยังแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ของระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยไทย ที่ไม่สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างเสรี กล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง รวมถึงตระหนักในฐานะ “ผู้มีโอกาส” ที่จะกลับไปรับใช้สังคม มหาวิทยาลัยไทยเป็นได้แค่โรงฝึก “ช่างเทคนิค” ที่ไม่ต้องมีจิตวิญญาณ ขอให้มีแต่ความชำนาญเป็นพอ เราจึงมีบัณฑิตเกลื่อนเมืองแต่ไม่มีสำนึกของ “พลเมือง” แต่ประการใด

ฉะนั้น ท้ายสุดการ “รับน้อง”ในมหาวิทยาลัยไทยจึงสร้าง “พลเมืองแบบไทย” สร้าง “ประชาธิปไตยแบบไทย” สร้าง “ความรักแบบไทย” (ความรักที่ผูกมัด และไม่อาจปฏิเสธได้ มิใช่ความรักเพื่อการปลดปล่อย และเสรี) สร้าง “การศึกษาแบบไทย” รวมถึงเผยให้เห็นคุณค่านานาประการใน “ระบบรับน้อง” แล้วจะไม่ให้ผมศรัทธาและเคารพยกย่อง นับถือระบบนี้อย่างจับจิตจับใจได้อย่างไรครับพี่น้อง

การคอรัปชั่นเชิงนโนบายกับสายสัมพันธ์โรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่

ที่มา ประชาไท

ชื่อบทความเดิม: ความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือไอพีพี

ก. เกริ่นนำ

ในการประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือไอพีพี ครั้งแรก เมื่อปี 2537 บริษัท ยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด และบริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด ซึ่งมีบริษัท อิเล็คตริก พาวเวอร์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด หรือ ‘เจเพาเวอร์’ บริษัทผลิตไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น กับบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ ‘เอ็กโก’ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่ในทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว ได้ชนะการประมูลไอพีพี จำนวน 2 โครงการด้วยกัน คือโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบ้านกรูดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,400 เม็กกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอกกำลังการผลิตติดตั้ง 700 เม็กกะวัตต์ ตามลำดับ รวมกำลังการผลิตติดตั้งทั้งสองโครงการ 2,100 เม็กกะวัตต์

ต่อมา ภายหลังจากที่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้ง 2 แห่ง คือ บ้านกรูดและบ่อนอก ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ เพราะมีประชาชนในพื้นที่จำนวนมากต่อต้านขับไล่ ในที่สุดรัฐบาลกับบริษัทเจ้าของโครงการจึงได้ยุติโครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งดังกล่าว ด้วยการย้ายพื้นที่ก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้ามาที่จังหวัดสระบุรี แล้วรวมเป็นโครงการเดียวในชื่อ ‘โครงการโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2’ ด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 1,468 เม็กกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านหินที่ถูกต่อต้านอย่างหนักเพราะก่อมลพิษสูง

ปัจจุบันโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ได้ก่อสร้างเสร็จแล้ว โดยมีบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) [1] หรือ ‘กัลฟ์อิเล็คตริกฯ’ ดำเนินการบริหาร

ในการประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือไอพีพี ครั้งที่สอง เมื่อปี 2550 กัลฟ์อิเล็คตริกฯ ได้ก่อตั้งบริษัทลูกชื่อว่าบริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด (กัลฟ์ เจพีฯ) ขึ้นมาเพื่อดำเนินการแข่งขันประมูล และได้ชนะการประมูลเป็นจำนวน 2 โครงการด้วยกัน คือ โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง และโครงการโรงไฟฟ้าเสม็ดใต้หรือบางคล้า ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งโครงการละ 1,600 เม็กกะวัตต์ รวมสองโครงการเท่ากับ 3,200 เม็กกะวัตต์

ข. สายสัมพันธ์ที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย

สำหรับการประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือไอพีพี ครั้งที่สอง คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีคำสั่งที่ 8/2550 ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2550 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (‘คณะอนุกรรมการฯ’) โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน คือ นายพรชัย รุจิประภา เป็นประธานอนุกรรมการฯ เพื่อทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ตลอดจนประเมินและคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอที่เหมาะสมเพื่อทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.ต่อไป มีข้อน่าสังเกตว่ากระบวนการประมูลครั้งนี้มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายได้ ดังนี้

1) นายพรชัย รุจิประภา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน และเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการของรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทที่รัฐวิสาหกิจเข้าไปร่วมทุนหลายแห่ง กล่าวคือ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประธานกรรมการเอ็กโก ซึ่งมี กฟผ. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ประธานกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ ปตท. และประธานกรรมการในบริษัทที่ ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เช่น บริษัท ปตท. เคมีคอล จำกัด(มหาชน) และบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด(มหาชน)

และยังเป็นประธานอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนอีกด้วย!

ซึ่่งบุคคลดังกล่าวมี ‘สองฐานะ’ ในขณะเดียวกัน กล่าวคือ

หนึ่ง - เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ยื่นข้อเสนอหรือซองประมูลขอเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เพราะว่าเอ็กโกและบริษัทลูกของเอ็กโก คือกัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ เป็นบริษัทที่ยื่นข้อเสนอหรือซองประมูลในครั้งนี้ด้วย

ซึ่งทั้ง 3 บริษัทดังกล่าว เป็นบริษัทในเครือของ กฟผ. หรือบริษัทที่ กฟผ. เข้าไปร่วมทุนด้วย

สอง - เป็นผู้พิจารณาผลของการยื่นข้อเสนอหรือซองประมูลนั้นเอง เพราะนายพรชัย รุจิประภา เป็นประธานอนุกรรมการฯ

2) 26 มิถุนายน 2550 คณะอนุกรรมการฯ ได้เปิดขายซองประมูลแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนทั่วไป ตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือไอพีพี

26 กรกฎาคม 2550 กระทรวงพลังงาน ได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อขอหารือเกี่ยวกับคุณสมบัติของประธานอนุกรรมการฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในบริษัทที่จะยื่นข้อเสนอหรือซองประมูล ว่ามีความเป็นกลางหรือไม่

ก่อนวันที่ 26 กันยายน 2550 คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้วินิจฉัยว่า

“นายพรชัย รุจิประภา ประธานอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในบริษัทที่จะยื่นข้อเสนอ หรือประธานกรรมการในรัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่จะยื่นข้อเสนออยู่หลายแห่ง บุคคลผู้นี้จึงมีสองฐานะในขณะเดียวกัน ทั้งกรณีเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ยื่นข้อเสนอให้พิจารณาและเป็นผู้พิจารณาผลของการยื่นข้อเสนอนั้นเอง ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงพิเคราะห์ได้ว่า การดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในบริษัทที่จะยื่นข้อเสนอหรือประธานกรรมการในรัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่จะยื่นข้อเสนออาจเป็นเหตุซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง ตามมาตรา 16 แห่ง พรบ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 กรณีเช่นนี้ เจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการ ที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองย่อมไม่อาจทำการพิจารณาต่อไปได้ และต้องงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องหรือต้องเปลี่ยนแปลงเจ้าหน้าที่หรือกรรมการผู้นั้น” [2]

26 กันยายน 2550 ได้มีคำสั่งจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน แต่งตั้งนายวีรพล จิรประดิษฐ์กุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นประธานอนุกรรมการฯ แทนนายพรชัย รุจิประภา

19 ตุลาคม 2550 ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนได้ทำการยื่นซองประมูลหรือข้อเสนอการผลิตและขายกระแสไฟฟ้าให้กับรัฐ ตามโครงการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน

7 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้อนุมัติให้โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงและเสม็ดใต้หรือบางคล้า ของกัลฟ์ เจพีฯ เป็น 2 ใน 4 โครงการที่เป็นผู้ชนะการประมูลไอพีพี ครั้งที่สองนี้ในที่สุด

3) ถึงแม้ว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานโดยตำแหน่ง กระทรวงพลังงาน และ กฟผ.จะเห็นชอบให้ถอดนายพรชัย รุจิประภา ออกจากการเป็นประธานอนุกรรมการฯ เพื่อลบข้อครหาจากสาธารณชนเรื่องการเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการพิจารณา แต่กระบวนการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเพื่อทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ในครั้งนี้ ไม่อาจหลุดพ้นสภาพ ‘การเป็นผู้มีส่วนได้เสีย’ หรือ ‘ความไม่เป็นกลาง’ หรือ ‘การผูกขาด’ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่เป็นฝ่ายของตัวเองลงไปได้

เนื่องจากว่า กฟผ. ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่จะต้องเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้ส่งบริษัทในเครือของ กฟผ. เอง หรือบริษัทที่ กฟผ. เข้าไปร่วมทุนด้วย คือเอ็กโก กัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ มาเป็นผู้ยื่นซองประมูลหรือข้อเสนอตามประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ดังนั้น กฟผ. จึงเป็นหน่วยงานที่มีสองฐานะในขณะเดียวกัน ทั้งกรณีเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ยื่นข้อเสนอให้พิจารณา และเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทในเครือของตัวเองที่ผ่านการพิจารณาเข้ามา

4) มีกระบวนการคล้ายสมยอมกันขึ้นระหว่างเจเพาเวอร์ เอ็กโก กัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ เพื่อตัดความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่าง กฟผ. และเอ็กโก กับกัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ ว่าทั้งสองบริษัทหลังนี้ไม่ได้เป็นบริษัทในเครือของ กฟผ. หรือบริษัทที่ กฟผ. เข้าไปร่วมทุนอีกต่อไปแล้ว เพื่อให้พ้นมลทินเรื่องการถือหุ้นไขว้และฮั้วประมูลในการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สอง

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2550 ก่อนที่คณะอนุกรรมการฯ จะเปิดขายซองประมูล มีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์หลายสำนักเป็นไปในทำนองว่ากัลฟ์อิเล็คตริกฯ จะทำการขอซื้อหุ้นบริษัทตัวเองจากเอ็กโกที่ถืออยู่ 50% คืนทั้งหมด เพราะเกิดข้อขัดแย้งกัน เนื่องจากเอ็กโกขัดขวางการเจริญเติบโตของบริษัทโดยไม่ยอมให้กัลฟ์อิเล็คตริกฯ ยื่นซองประมูลโครงการโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สอง เพราะเอ็กโกก็แสดงความจำนงยื่นซองประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งนี้เช่นเดียวกัน เอ็กโกจึงเกรงว่าหากยื่นซองประมูลพร้อมกันทั้งสองบริษัทจะเกิดข้อครหาการถือหุ้นไขว้และฮั้วประมูลได้

ในหนังสือพิมพ์หลายสำนักรายงานคล้ายๆ กันว่าเอ็กโกพร้อมเจรจาขายหุ้นกัลฟ์อิเล็คตริกฯ ทั้งหมดให้เจเพาเวอร์ โดยมีเงื่อนไขว่าเอ็กโกจะยังคงถือหุ้นในบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกัลฟ์อิเล็คตริกฯ ที่ถือหุ้นอยู่ 99.99% โดยเอ็กโกต้องการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่นฯ อยู่ 50% (หรือยินดีซื้อเพิ่มเติมทั้งหมดก็ได้) แม้ว่าจะไม่ได้ถือหุ้นใน กัลฟ์อิเล็คตริกฯ แล้วก็ตาม เนื่องจากกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่นฯ เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ขนาดกำลังการผลิต 1,468 เม็กกะวัตต์ โดยเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ กฟผ. ยูนิตแรก 734 เม็กกะวัตต์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา และจะจ่ายไฟฟ้ายูนิตสองเข้าระบบ กฟผ. อีก 734 เม็กกะวัตต์ ในเดือนมีนาคม 2551 เพื่อแลกกับการที่กัลฟ์อิเล็คตริกฯ จะแยกตัวออกมาจากเอ็กโกอย่างเด็ดขาด และมีอิสระในการดำเนินการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สอง และครั้งต่อ ๆ ไปในอนาคตด้วยตัวเอง

ในท้ายที่สุด ถึงแม้โครงการโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สองที่เอ็กโกยื่นซองประมูลทั้ง 3 โครงการ รวมกำลังผลิตทั้งหมด 2,800 เม็กกะวัตต์ จะผ่านการพิจารณาข้อเสนอทางเทคนิคทั้งหมด แต่ในขั้นสุดท้ายก็ไม่อาจผ่านการอนุมัติให้เป็นผู้ชนะการประมูลได้แม้สักโครงการหนึ่ง แต่โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงและเสม็ดใต้หรือบางคล้า ของกัลฟ์ เจพีฯ ซึ่งเป็นบริษัทหน้าใหม่ในวงการ เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2550 [3] (คณะอนุกรรมการฯ ได้เปิดขายซองประมูลแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนทั่วไป ตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่หรือไอพีพี ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2550) โดยบริษัทแม่คือกัลฟ์อิเล็คตริกฯ กลับเป็นผู้ชนะการประมูลได้ทั้งสองโครงการที่ยื่นซองประมูลเลยทีเดียว

จึงเป็นสิ่งที่น่ากังขาเป็นอย่างยิ่งว่าเอ็กโก และกัลฟ์อิเล็คตริกฯ เล่นละครตบตาประชาชนหรือไม่ ทำไมเอ็กโกจึงไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีในครั้งที่สองได้แม้สักโครงการหนึ่ง หรือเป็นเจตนาคล้ายสมยอมแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้กัลฟ์ เจพีฯ ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยกัลฟ์อิเล็คตริกฯ ซึ่งมีบริษัทแม่คือเจเพาเวอร์เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ต่างชาติที่ถือหุ้นใหญ่อยู่ในทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว ได้โครงการโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สอง คือโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงและเสม็ดใต้หรือบางคล้า กำลังผลิตติดตั้งรวม 3,200 เม็กกะวัตต์ แล้วให้เอ็กโกมีสิทธิ์เข้าไปถือหุ้นโดยตรงในโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 แทน

การเล่นละครตบตาเช่นนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ผู้แข่งขันประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สองรายอื่นๆ ได้คลายความกังวลสงสัยว่า กฟผ. เอ็กโกและกัลฟ์อิเล็คตริกฯ ไม่ได้ถือหุ้นไขว้และฮั้วประมูลให้แก่บริษัทในเครือของตัวเองหรือบริษัทที่ตัวเองเข้าไปร่วมทุนด้วย และทำให้ประชาชนผู้อยู่ในพื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สองที่เฝ้าติดตามดูสถานการณ์ไม่สามารถสาวโยงใยหรือสายสัมพันธ์ไปถึง ‘กระบวนการถือหุ้นไขว้และฮั้วประมูล’ ระหว่าง กฟผ. เอ็กโก กัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ ได้อย่างง่ายดาย

ค. ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน

ปัจจุบัน เอ็กโกยังคงถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วน 50% ในกัลฟ์อิเล็คตริกฯ อยู่เช่นเดิม และบริษัท เจพาวเวอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สัญชาติเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง [4] และเมื่อดูรายชื่อกรรมการในเอ็กโกและกัลฟ์อิเล็คตริกฯ จะพบว่ามีความสัมพันธ์เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ดังนี้

1) นาย วินิจ แตงน้อย ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้มีอำนาจลงนามของเอ็กโก และดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ผู้มีอำนาจลงนามของกัลฟ์อิเล็คตริกฯ [5]

2) นายศักดา ศรีสังคม ดำรงตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน กรรมการบริหารความเสี่ยง กรรมการกำกับธุรกิจในเครือ และกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี ของเอ็กโก และมีตำแหน่งเป็นกรรมการของกัลฟ์อิเล็คตริกฯ [6]

3) นายสกุล พจนารถ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารโครงการของเอ็กโก และเป็นกรรมการในกัลฟ์อิเล็คตริกฯ [7]

ดังนั้น การสร้างข่าวความขัดแย้งในการแย่งชิงการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สองของเอ็กโกและกัลฟ์ อิเล็คตริกฯ จนถึงขั้นที่กัลฟ์ อิเล็คตริกฯ จะขอซื้อหุ้นคืนจากเอ็กโกทั้งหมด เพื่อจะได้เป็นอิสระไม่ถูกกีดกันจากเอ็กโกในการแข่งขันประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สองและครั้งต่อๆ ไปในอนาคตนั้น จึงเป็นการเล่นละครตบตาประชาชนทั้งประเทศ!

ภายหลังจากที่กัลฟ์ เจพีฯ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกัลฟ์อิเล็คตริกฯ เป็นผู้ชนะการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สองแล้ว มีกระบวนตัดความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่าง กฟผ. เอ็กโก กัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ อีกครั้งหนึ่ง โดยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2551 มีข่าวออกมาว่ากัลฟ์ เจพีฯ บริษัทแม่ของบริษัท เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น ซัพพลาย จำกัด และบริษัท สยาม เอ็นเนอร์จี จำกัด ผู้ชนะประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สอง คือโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงและเสม็ดใต้หรือบางคล้า ตามลำดับ เตรียมแยกตัวออกจากกัลฟ์อิเล็คตริกฯ หลังแจ้งเกิด 2 โรงไฟฟ้าใหม่กำลังผลิตรวม 3,200 เม็กกะวัตต์ เฉือนชนะเอ็กโก บริษัทแม่ของกัลฟ์อิเล็คตริกฯ ที่ไม่มีนโยบายให้บริษัทลูกเติบโตในธุรกิจไฟฟ้าอีกต่อไป โดยมีเจเพาเวอร์ จะเข้ามาถือหุ้นใหญ่เพื่อเตรียมลุยธุรกิจโรงไฟฟ้าในไทย ตั้งเป้าประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีรอบต่อไป รวมไปถึงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กหรือเอสพีพีด้วย

ข้อเท็จจริงในปัจจุบันก็ยังพบว่ากัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ ยังมีสายสัมพันธ์เป็นบริษัทแม่-ลูกกันอยู่ ถึงแม้โครงสร้างผู้ถือหุ้นในบริษัททั้งสองมีสายสัมพันธ์โยงใยที่ดูเหมือนยุ่งเหยิงไปหมด เพื่อไม่ให้สามารถแกะรอยความสัมพันธ์บริษัทแม่-ลูกได้ชัดเจนก็ตาม แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัททั้งสองล้วนเป็นบริษัทลูกของเจเพาเวอร์ บริษัทผลิตไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น กล่าวคือ กัลฟ์อิเล็คตริกฯ มีผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองรองจากเอ็กโก ด้วยสัดส่วนจำนวนหุ้น 49% คือ บริษัท เจพาวเวอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สัญชาติเนเธอร์แลนด์ ส่วนกัลฟ์ เจพีฯ มีผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งคือบริษัท เจพาวเวอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สัญชาติไทย ซึ่งทั้งสองบริษัท คือ เจพาวเวอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) สัญชาติเนเธอร์แลนด์และสัญชาติไทย ล้วนมีสำนักงานอยู่ในที่แห่งเดียวกัน คือ เลขที่ 388 อาคารเอ็กเชนทาวเวอร์ ห้อง 2003 ชั้น 20 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย กรุงเทพฯ [8]

เมื่อดูรายชื่อกรรมการในกัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ ก็ยังพบว่ามีสายสัมพันธ์เป็นบริษัทแม่-ลูก อยู่เช่นเดิม ดังนี้

1) นายสารัชถ์ รัตนาวะดี เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้มีอำนาจลงนามในกัลฟ์อิเล็คตริกฯ และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในกัลฟ์ เจพีฯ ด้วย [9]

2) นายมาซาฮิเดะ ทาคาราย่า เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในกัลฟ์อิเล็คตริกฯ และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในกัลฟ์ เจพีฯ ด้วย [10]

ดังนั้นเอง เอ็กโก กัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ ยังเป็นบริษัทที่มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นเครือเดียวกันหรือเป็นบริษัทแม่-ลูกกันทั้งในประเด็น ‘ผู้ถือหุ้น’ และ ‘กรรมการบริษัท’ ทั้งก่อนทำการประมูล ในขณะทำการประมูลและหลังจากเป็นผู้ชนะการประมูล ประกอบกับ กฟผ.ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ในเอ็กโก [11] (และเอ็กโกเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกัลฟ์อิเล็คตริกฯ) จึงทำให้กัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ มีสถานภาพเป็นบริษัทในเครือ กฟผ.หรือบริษัทที่ กฟผ.เข้าไปร่วมทุนอีกทางหนึ่งด้วย จึงเห็นได้ว่าความสัมพันธ์เชื่อมโยงทั้ง 4 บริษัท ที่กล่าวมาไม่อาจลบล้างข้อครหาการถือหุ้นไขว้และฮั้วประมูลลงได้ เพราะว่า กฟผ.เป็นหน่วยงานที่มีสองฐานะในขณะเดียวกัน ทั้งกรณีเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ยื่นข้อเสนอให้พิจารณา และเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทในเครือของตัวเองที่ผ่านการพิจารณาเข้ามา

ง. สรุป

1) การถือหุ้นไขว้และ ‘ไขว้กรรมการบริษัท’ ใน กฟผ. เอ็กโก กัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ ในลักษณะเช่นนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้มีการฮั้วประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สอง ซึ่งเป็นการสมคบคิดกันทำลายความเป็นธรรมาภิบาลหรือบรรษัทภิบาลในสังคมไทย ทำลายความไม่เป็นธรรมในกิจการพลังงาน นำมาซึ่งการผูกขาด ปิดกั้นโอกาสของบริษัทหรือผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในพวกของตน ทำลายการค้าหรือการแข่งขันอย่างเสรีที่เป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

2) กระบวนการไม่ชอบธรรมของการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สองเช่นนี้ น่าที่จะมีการตรวจสอบย้อนหลังไปถึงการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีในครั้งแรกเมื่อปี 2537 ว่ามีลักษณะเข้าข่ายการถือหุ้นไขว้และการไขว้กรรมการบริษัทซึ่งนำมาฮั้วประมูลที่เป็นการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายเช่นครั้งที่สองนี้หรือไม่ เพราะหากปล่อยให้พฤติกรรมเช่นนี้ลอยนวลต่อไปเกรงว่าจะมีกระบวนการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายเยี่ยงนี้ในการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งต่อๆ ไป ในอนาคตได้

3) ขณะนี้กัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ ได้ผูกขาดการผลิตไฟฟ้าในจังหวัดสระบุรีเอาไว้ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าในจังหวัดสระบุรีถึง 8 แห่ง [12] ด้วยกัน คือ โครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือไอพีพี 2 แห่ง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 และหนองแซง รวม 3,068 เม็กกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กหรือเอสพีพี 6 แห่ง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าแก่งคอย 1 หนองแคโคเจนเนอเรชั่น (นิคมฯหนองแค) สระบุรีเอ (ต.ตลิ่งชัน อ.เมือง) สระบุรีบี (นิคมฯหนองแค) คอมไบน์ ฮีท แอนด์ เพาเวอร์ (นิคมฯเอสไอแอล) และอิสดัสเทรียล โคเจน รวม 650 เม็กกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตติดตั้งทั้งสิ้น 3,718 เม็กกะวัตต์

4) สาเหตุของการฮั้วประมูลเพื่อให้กัลฟ์ เจพีฯ ได้ชนะการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีในครั้งที่สอง ทั้ง 2 แห่ง คือ โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงและเสม็ดใต้หรือบางคล้า ก็เพราะบริษัทเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งสองได้ทำการซื้อที่ดินกำหนดสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าเอาไว้ล่วงหน้าก่อนยื่นซองประมูลแล้ว และต้องการเป็นกลุ่มบริษัทผูกขาดการเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของจังหวัดสระบุรีด้วย จึงทำการฮั้วประมูลด้วยวิธีที่แยบยลลึกซึ้งเพื่อให้ได้สิทธิในการผลิตไฟฟ้าตามโครงการไอพีพีครั้งที่สองนี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้การซื้อที่ดินเอาไว้ล่วงหน้าต้องสูญเปล่าหากไม่ได้เป็นผู้ชนะการประมูลขึ้นมา

5) การกระทำการไขว้หุ้นและไขว้กรรมการบริษัทนำมาซึ่งการฮั้วประมูลและการผูกขาดการเป็นกลุ่มบริษัทรายใหญ่แห่งเดียวในการผลิตไฟฟ้าให้กับจังหวัดสระบุรีได้ (หรือใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อผูกขาดการเป็นบริษัทรายใหญ่ผลิตไฟฟ้าในจังหวัดอื่นๆ ได้ในอนาคต) จึงทำให้เห็นได้ว่ากลุ่มบริษัทนี้จะไม่หยุดแค่เพียงโครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 8 แห่ง ในจังหวัดสระบุรีอย่างแน่นอน น่าที่จะมี ‘โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง 2’ หรือ ‘โครงการโรงไฟฟ้าภาชี 1’ ในเขตจังหวัดอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อติดกับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง 1 ที่ชนะการประมูลตามโครงการโรงไฟฟ้าไอพีพีในครั้งที่สองนี้

ดังนั้น ภาคประชาชนควรที่จะทำการต่อต้านการฮั้วประมูลและการผูกขาดในกิจการไฟฟ้าเช่นนี้ หากรัฐไม่แก้ไขปัญหานี้ก็เท่ากับว่าโครงการประมูลไอพีพีที่ผ่านมาทั้งสองครั้งและครั้งต่อๆ ไปส่อไปในทางล้มเหลว เพราะไม่มีการแข่งขันกันอย่างเสรีและเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จึงน่าที่จะเสนอทางออกเพื่อป้องกันการฮั้วประมูลและผูกขาดเช่นนี้ ด้วยการเสนอให้ยกเลิกโครงการประมูลไอพีพีในครั้งนี้และในรอบต่อๆ ไป และนำเสนอการผลิตไฟฟ้าทางเลือกใหม่ๆ ที่กลุ่มบริษัทรายใหญ่เหล่านี้จะไม่สามารถฮั้วประมูลและผูกขาดอีกต่อไปได้ นั่นก็คือการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ สะอาดและปลอดภัยมากขึ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เป็นต้น โดยเสนอให้จังหวัดสระบุรีและจังหวัดอื่นๆ ที่พบเห็นพฤติกรรมฮั้วประมูลและผูกขาดการผลิตไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทต่างๆ เป็น ‘จังหวัดพลังงานแสงอาทิตย์’ หรือ ‘จังหวัดพลังงานลม’ หรือทั้งสองอย่าง เพื่อพึ่งพาการใช้ไฟฟ้าในระดับครัวเรือน ชุมชนและท้องถิ่นให้มากขึ้น ซึ่งเป็นการป้องกันการฮั้วประมูลและการผูกขาดที่ได้ผลดีที่สุด

และผลประโยชน์ทางอ้อมหรือทางตรงที่ได้อีกอย่างหนึ่งจากจิตสำนึกต่อต้านการฮั้วประมูลและการผูกขาดเช่นนี้ ก็คือพลังงานสะอาดและปลอดภัยจากการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์และลม โดยเฉพาะประชาชนชาวจังหวัดสระบุรีและเมืองใหญ่อื่นๆ ที่ล้วนแบกรับมลพิษอุตสาหกรรมที่อยู่รายรอบค่อนข้างสูงเหลือเกิน และกำลังจะมีมลพิษเพิ่มขึ้นมาอีกจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทต่างๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น

6) ควรที่จะมีการตรวจสอบกัลฟ์อิเล็คตริกฯ และกัลฟ์ เจพีฯ ว่ามีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติมากกว่าของไทยหรือไม่ กล่าวคือ กัลฟ์อิเล็คตริกฯ ถือหุ้นโดยเอ็กโก 50% ที่เหลือถือหุ้นโดยเจพาวเวอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) สัญชาติเนเธอร์แลนด์ 49% และอีก 1% ถือโดยมิตรพาวเวอร์ (ไทยแลนด์) ซึ่งถือหุ้นโดยคนญี่ปุ่นทั้งหมด [13] ซึ่งอาจจะเป็น ‘ผู้ถือหุ้นแต่เพียงในนาม’ หรือนอมินีให้กับเจเพาเวอร์ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่ามีบริษัทต่างชาติถือหุ้นอยู่ในบริษัทนี้ถึง 50% เท่ากับเอ็กโก

ส่วนกัลฟ์ เจพีฯ มีเจพาวเวอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) บริษัทจดทะเบียนในไทย ถือหุ้นเกือบทั้งหมด ซึ่งบริษัทนี้ถือหุ้นโดยเจเพาเวอร์ประเทศญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง หากว่าเจเพาเวอร์ประเทศญี่ปุ่นถือหุ้นส่วนใหญ่ในเจเพาเวอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) บริษัทจดทะเบียนในไทยจริงนั่นก็เท่ากับว่ากัลฟ์ เจพีฯ เข้าข่ายเป็นบริษัทต่างชาติ ไม่ใช่บริษัทของคนไทย

หากเป็นเช่นนั้นทั้งสองกรณี จึงน่าสงสัยว่าบริษัททั้งสองได้รับสิทธิพิเศษในการส่งเสริมการลงทุนในกิจการไฟฟ้าอย่างไรบ้าง ทั้งในเรื่องของภาษีนำเข้าและส่งออกของรายการเงินสด สินค้า อุปกรณ์ เครื่องจักร ฯลฯ ประเภทต่างๆ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นิติบุคคล ภาษีการค้า การแสดงงบกำไร-ขาดทุน การจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนต่างๆ แก่รัฐและประชาชนไทย หรือมีความเป็นไปได้อย่างไรว่าหากบริษัททั้งสองเข้าข่ายเป็นบริษัทต่างชาติแล้วจะสามารถเข้ามาลงทุนในกิจการไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างเสรีได้อย่างไร

7) การถือหุ้นไขว้และไขว้กรรมการบริษัท การฮั้วประมูล และการผูกขาดที่กล่าวมาทั้งหมดน่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่ทำให้การประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีครั้งที่สองที่ผ่านมานั้นเป็นโมฆะ


...........................................................................................................................................

[1] เดิมคือบริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอก ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 โดยการร่วมหุ้นกันของบริษัท อิเล็คตริก พาวเวอร์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด หรือ ‘เจเพาเวอร์’ ซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติจากประเทศญี่ปุ่น กับบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ ‘เอ็กโก’ จากประเทศไทย และบริษัท มิตรพาวเวอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 49 : 50 : 1 ตามลำดับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ภาครัฐ ตามนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนและส่งเสริมให้มีผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเข้ามาผลิตไฟฟ้าเพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐ (ข้อมูลออนไลน์. เข้าถึงได้จาก http://www.gulfelectric.co.th/www/th/about_company.html วันที่ค้นข้อมูล 20 พฤษภาคม 2552)

[2] บันทึกคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เรื่อง ความเป็นกลางของกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง : กรณีประธานคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทที่จะยื่นข้อเสนอ. เรื่องเสร็จที่ 631/2550. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน 2550

[3] ข้อมูลออนไลน์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า. เข้าถึงได้จาก http://www.dbd.go.th/corpsearch/corpdetail.phtml?mfno1=a092003091017012028021090068095111011066&mftype=a089 (วันที่ค้นข้อมูล 21 พฤษภาคม 2552)

[4] บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด(มหาชน) ในวันประชุมสามัญประจำปีเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2551

[5] ข้อมูลออนไลน์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า. เข้าถึงได้จาก http://www.dbd.go.th/corpsearch/corpdetail.phtml?mfno1=a092003091019012026018090067092103011071&mftype=a091 และ http://www.dbd.go.th/corpsearch/corpdetail.phtml?mfno1=a092003091019012029020090067092111008064&mftype=a091 (วันที่ค้นข้อมูล 21 พฤษภาคม 2552)

[6] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 5

[7] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 5

[8] บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2552

[9] ข้อมูลออนไลน์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า. เข้าถึงได้จาก http://www.dbd.go.th/corpsearch/corpdetail.phtml?mfno1=a092003091019012029020090067092111008064&mftype=a091 และ http://www.dbd.go.th/corpsearch/corpdetail.phtml?mfno1=a092003091017012028021090068095111011066&mftype=a089 (วันที่ค้นข้อมูล 21 พฤษภาคม 2552)

[10] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 9

[11] ข้อมูลออนไลน์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย. เข้าถึงได้จาก http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=EGCO&language=th&country=TH (วันที่ค้นข้อมูล 10 มิถุนายน 2552)

[12] ข้อมูลออนไลน์. เข้าถึงได้จาก http://www.gulfelectric.co.th/www/th/about_company.html และ http://www.gulf.co.th/gulfjp/TH/aboutus/index.php (วันที่ค้นข้อมูล 20 พฤษภาคม 2552)

[13] ข้อมูลออนไลน์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า. เข้าถึงได้จาก http://www.dbd.go.th/corpsearch/corpdetail.phtml?mfno1=a092003091017012029016090071091104014069&mftype=a089 (วันที่ค้นข้อมูล 21 พฤษภาคม 2552)

แดงไร้พ่าย : เมื่อประชาชนได้ข้อสรุปว่า ศัตรูของเขาคือใคร

ที่มา Thai E-News

โดย คุณ pegasus
ที่มา เวบบอร์ด ประชาไท
18 มิถุนายน 2552

ศัตรูของประชาธิปไตย คือ ระบบเส้นสาย เจ้าขุนมูลนาย ตุลาการบางคน ทหารบางคน ธนาคารบางแห่ง และบริษัทในเครือ

บทความนี้ ขออุทิศให้กับพี่น้องเสื้อแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตย ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

เหตุผลที่จั่วหัวไว้ว่า เหตุใด แดงจึงไร้พ่าย ทั้งๆ ที่หลายคน หลายฝ่าย คิดไปเองว่า การใช้กำลังและอาวุธเข้าเข่นฆ่าและทำร้ายประชาชนนั้น น่าจะทำให้เสื้อแดงเกรงกลัว และกบดาน เหมือนเหตุการณ์หลัง 6 ตุลาคม 19

แต่ทว่า สิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากกรณี 6 ตุลาคม 19 ได้แก่ การที่ม๊อบเสื้อเหลืองออกมาอาละวาดด้วยวิธีการที่สกปรก และไล่ฆ่าผู้บริสทุธิอย่างไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมาย ซึ่งแน่ล่ะ มีทหารบางพวก บางกลุ่มเข้าไปเป็นกำลังสำคัญในกลุ่มนี้ด้วย

และเมื่อเชื่อมโยงกับ อีแอบทั้งหลาย ที่ปรากฎตัวออกมาตามเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้ได้ประชาชนได้ข้อสรุปว่า ศัตรูของเขาคือใคร

เมื่อมาเชื่อมโยงกับการสั่งฆ่า เพื่อรักษาอำนาจของตนเองของเหล่าอนุรักษ์นิยมแล้ว ประชาชนก็เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นอีกว่า การประนีประนอม และอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก

ประการสุดท้ายคือ ในกรณี 6 ตุลาคม 19 นั้น หลังเหตุการณ์วุ่นวาย จะตามมาด้วยการยึดอำนาจ และการใช้อำนาจเพื่อรักษาความสงบ ทำให้มีนักศึกษาและพวกหัวก้าวหน้า ต้องหลบหนีเข้าป่า

สำหรับคราวนี้ จะด้วยความประมาทหรือไร้เดียงสาก็ตาม กลับไม่ปรากฎการยึดอำนาจ ทำให้กลุ่มเสื้อแดงกลับมาตั้งตัวใหม่ ด้วยจำนวนและพลังใจที่เข้มแข็งกว่าเดิมมาก และมากจนน่าตกใจ ในขณะที่รัฐบาลหุ่นของเหล่าอีแอบ กลับทำงานล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ และตะกละตะกลาม หาเงินใส่กระเป๋ากันชัดเจนเกินไป จนทำให้บางพรรคการเมืองที่ได้ชื่อว่า เป็นความหวัง กลับเป็นตัวต้นเหตุ และเป็นผู้กระทำในสิ่งที่ทำร้ายประชาชนเสียเองในทางเศรษฐกิจ และมีข้อกังขาในเรื่องความสุจริตและคุณธรรม

ดังนั้น เมื่อประชาชนตั้งหลักได้ และไม่ยอมรับ รวมถึงรังเกียจ ระบอบการปกครองเดิม ที่อาจเรียกว่า ระบอบอนุรักษ์นิยม เน้นการอยู่ภายใต้การปกครองของข้าราชการ หรืออำมาตย์ ประชาชนมีหน้าที่ทำตัวสงบเรียบร้อย ถึงเวลาก็ส่งส่วยภาษีให้กับรัฐบาลที่ฝ่ายอนุรักษ์ส่งมาเป็นตัวแทนปกครอง ด้วยว่า เกรงประเทศอื่นจะหาว่าป่าเถื่อนล้าหลัง แต่แท้จริง คือระบอบเผด็จการซ่อนรูปที่เ*****้ยมโหด ไม่ต่างจากสมัยโรมันหรือฟาสซิสต์ นาซีเลยแม้แต่น้อย

ความรู้สึกนี้ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในหมู่ประชาชนแล้ว และไม่มีเปลี่ยนหันหลังกลับ มีแต่จะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

คำถามจึงอยู่ที่ว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง ข้าราชการ หรืออีแอบทั้งหลาย จะบังคับประชาชนไปได้อีกสักกี่น้ำ จะกดขี่ ขูดรีดได้สักแค่ไหน ในเมื่อความจริงต่างๆ ชัดเจนอยู่ตรงหน้า

สิ่งบอกเหตุถึงอาการร้อนรน จึงเห็นได้ชัดถึง ความพยายามระดมเงินเข้าสู่กลุ่มอนุรักษ์อย่างรุนแรง และรวดเร็ว เช่นการต้องรีบให้มีการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่ออะไรก็คงพอเดากันได้ การขึ้นราคาน้ำมันเพื่อให้การค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายที่กลุ่มนี้ครอบครองอยู่ เดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว การให้มาเฟียต่างๆ ออกอาละวาดเก็บเงิน ไล่ที่ การล๊อคเลขของสลากกินแบ่งรัฐบาล ฯลฯ ทั้งๆ ที่ แต่ไหนแต่ไรมา เป็นการกินน้ำบ่อทราย ไม่ร้อนรน ไม่เร่งร้อน เป็นเพียงรักษาสภาพ และมีการส่งส่วยกันเท่านั้น

ดังนั้นจึงชัดเจนว่า สัตว์ใหญ่กำลังดิ้นเพื่อเอาตัวรอด แต่ทำไมต้องดิ้น สิ่งนี้ยังเป็นประเด็นที่น่าสงสัย เพราะมีตั้งมากมายกันแล้วในแต่ละคน หรือว่า จะมีการเตรียมตัว เพื่อไปมีชิวิตใหม่ในต่างแดน ทำไมถึงคิดอย่างนั้น คงต้องติดตามกันไป

สำหรับในครั้งนี้ ขอเสนอวิธีการต่อสู้ของชาวเสื้อแดงต่อไปว่า “เอ็งจะรบอย่างไรก็ช่าง ข้าจะรบของข้าอย่างนี้”

เราจึงต้องมุ่งหน้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยไม่ต้องไปกังวลว่า ฝ่ายอนุรักษ์จะคิดอย่างไร เพราะเขาใกล้ตายแล้ว ย่อมดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายอยู่แล้ว เราจึงควรเดินงานของเราไปตามทิศทางที่ควร ทิศทางที่ว่า คือการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ ขยายแกนนำ ขยายมวลชน จับกลุ่มคุยกันให้มีความคิด ความเข้าใจตรงกันให้มากที่สุด แล้วขบปัญหาว่า ศัตรูของประชาธิปไตยที่ได้เสนอไว้ข้างบนนั้น จะทำลายลงได้อย่างไร

ในเบื้องต้น ขอเสนอวิธีการ ทำลายความสามารถในการทำงาน ของฝ่ายทหารที่จับอาวุธเป็นชั้นต้นเลยว่า เมื่อเมษาเลือดที่ผ่านมา มีเหตุการณ์อยู่สองอย่าง ที่ฝ่ายเสื้อแดงจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ กล่าวคือ

การที่ทหารไปยึดสถานีวิทยุชุมชุน และ การยึดดีสเตชั่น ประการหนึ่ง กับการฆ่าหรืออย่างน้อย พยายามฆ่าประชาชนที่ดินแดงอีกประการหนึ่ง

โดยจะขอขยายความดังนี้

การยึดสถานีวิทยุชุมชนนั้น เกิดในต่างจังหวัดที่ไม่มี พรก.ฉุกเฉินรองรับ ดังนั้น จึงเท่ากับเป็นการลักทรัพย์ ถ้าการไปลักทรัพย์ มีอาวุธ (ซึ่งเชื่อว่ามี ถ้าถ่ายรูปไว้ได้) ก็จะเรียกว่า เป็นการปล้นทรัพย์ และถ้าไปกลางคืนเรียกว่าการปล้นทรัพย์ในยามวิกาล และถ้าทำร้ายคนในสถานีด้วย ทั้งๆ มีอาวุธ ก็จะเป็นพยายามฆ่าได้อีก

ที่สำคัญเป็นข้าราชการหรือเปล่า ถ้าเป็น แสดงว่า เป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 มีโทษจำคุก และปลดออกจากตำแหน่ง ซึ่งแน่ละ พวกทหารกลัวหมดอำนาจกันมาก

ดังนั้น ทุกสถานีวิทยุชุมชน จึงควรฟ้อง ทั้งแพ่ง เรียกค่าเสียหาย จากบุคคลที่เข้าไปยึด ถ้าคิดไม่ออก ก็ระบุหน่วย ถ้าเขาปิดบังชื่อหน่วยตอนเข้าไป ซึ่งเขาเอาสีมาลบทับอยู่แล้ว เราเรียกได้ว่า โจรปล้นทรัพย์ แต่เราตามไปรู้มาว่า เป็นหน่วยไหน ก็ฟ้องว่า กระทำการเป็นโจร (เพราะไม่สวมเครื่องแบบระบุสังกัด เลขหมายหน่วย ตามธรรมเนียมทหาร) มาจากหน่วยนั้นๆ โดย ผู้พัน คนนั้นสั่งมา ถ้าผู้พันไม่รับ คนมายกของ น่าจะเป็นนายสิบ ถ้ามีรูป ก็เอาให้ตำรวจไปค้นที่กองพัน เจอเมื่อไร ก็เป็นโจรปล้นทรัพย์ในยามวิกาลทันที ต้องโทษแพ่งด้านละเมิดให้เสียทรัพย์ อาญาในการร่วมกันปล้นทรัพย์ และ อาญาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะเป็นข้าราชการ แต่ถ้าผู้พันสั่งมา ก็ผู้พันร่วมด้วย ทั้งสามประการ ถ้าผู้พันไม่รู้เรื่อง ก็กองร้อยนั้น แต่ถ้ากลับกัน ผู้พันบอกว่า นายสั่ง ก็ให้ระบุว่าใครเรื่อยๆ ขึ้นไป แล้วกันผู้พันเป็นพยาน จบที่ใคร คนนั้นโดนออกจากราชการด้วยข้อหาปล้นทรัพย์ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำไมมิชอบ ก็เพราะไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ไปปล้นทรัพย์ใคร เนื่องจากไม่มีการยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติ และมีการอภัยโทษตามมา หลังเหตุการณ์ ทุกอย่าง จึงเข้าทางคนเสื้อแดง ดังนี้แล

สำหรับ กรณีดีสเตชั่น ก็เข้ากรณีเดียวกัน ได้ข่าวว่า เสียหาย 30 ล้าน ถามว่า ถ้าทหารทำแล้ว ผบ.ทบ.จะมาจ่ายแทนหรือไม่ เพราะถ้าจ่ายแทน ก็เท่ากับสั่งเอง ผิดมาตรา 157 อีก แล้ว พรก.ฉุกเฉินล่ะ ใช้ได้หรือไม่ ตอบว่าไม่ได้เลย มีกรณีเดียวที่ทหารจะไปทำอะไร อย่างการยึดข้าวของประชาชนได้ คือ ประกาศกฎอัยการศึก หรือมีการรัฐประหารเท่านั้น แม้กระนั้นก็ยังต้องมี การออกกฎหมายอภัยโทษย้อนหลัง ส่วนกรณีนี้ ไม่มีแน่นอน และจะมาออกกฎหมายอภัยโทษอีก ขอโทษช้าไปต๋อย เหตุการณ์ผ่านแล้ว ใครจะเอามือมาซุก*****บ ทหารคนที่ไปทำนั่นแหละ เตรียมตัวเป็นหนี้ และถูกปลดจากราชการ ไปนอนในคุกได้เลย

สิ่งนี้ควรรีบกระทำเสียตั้งแต่บัดนี้ ไม่ต้องรออายุความสิบปี จะฟ้องทีหลัง ไม่มีประโยชน์ เพราะเราต้องการให้ทหารหมดสมรรถภาพในการใช้กำลังอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่หรือ

มิฉะนั้น ถ้ามีการยึดอำนาจอีกในเร็วๆ นี้ ด้วยว่า ฝ่ายอนุรักษ์นึกออกว่า ลืมอะไรไป ก็จะมีการนิรโทษกรรมออกมา ทำให้การเตรียมการเหล่านี้เสียเปล่า

ถ้าฟ้องเสียเดี๋ยวนี้ ใครที่จะทำอย่างเดียวกันคราวหน้า จะได้ไม่กล้า ต่างคนต่างก็จะพูดว่า “นายอยากไปยึด ก็ไปยึดเอง ผมจะเอาใจช่วย”

จึงขอกระตุ้นชาวเสื้อแดง ให้รีบดำเนินการโดยด่วน ถ้าไม่ทำ เพราะมีแผนอะไรที่ดีกว่านี้ ได้โปรดชี้แจงให้ทราบ แต่ถ้าไม่ทำเพราะกลัวอำนาจมืด ถ้าอย่างนั้น อย่ามานำพวกเสื้อแดงเลย เพราะเท่ากับว่าแกนนำล้าหลังมวลชน เมื่อมวลชนพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมแล้ว แต่แกนนำยังกลัวอำนาจมืดอยู่ ก็มีแต่แพ้กับแพ้เท่านั้น ซึ่งเสื้อแดงต้องไม่ยอม เพราะเสื้อแดงนั้นไร้พ่าย ไม่แพ้แน่นอนอยู่แล้ว

ประการสุดท้าย เช่นเดียวกันกับข้างต้น เราทราบและมีภาพว่า ใครบัญชาการที่ดินแดง เมื่อลูกน้อง ยิงปืนขนานพื้น ไม่มีอแด๊บเตอร์ติดที่ปลายกระบอกปืน แสดงว่าไม่ใช่ลูกซ้อมยิง แถมสถานีข่าว BBC ถ่ายทหารกำลังบรรจุกระสุนจริงเข้าซองกระสุน องค์ประกอบความผิดครบแล้ว ขอเพียงให้มีคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุดินแดง ฟ้องว่า ทหารหน่วยนี้ โดยผู้บังคับบัญชาคนนี้ สั่งให้ฆ่า ก็จบแล้ว เพราะความผิดครบองค์ประกอบที่ว่า มีอาวุธพร้อมยิงและเล็งมาแล้ว อันนี้ยิงมาด้วยหลักฐานครบหมด หากฟ้องแล้ว มาพบทีหลังว่า มีผู้เสียชีวิต ค่อยว่ากัน

แต่อยากจะบอกแกนนำว่า แค่พยายามฆ่าก็ผิดแล้ว ผู้ที่นำกำลังมาคือใคร ถ้าเป็นผู้บัญชาการกองพล ตามที่ปรากฎในรูป ก็สามารถระบุเช่นกันว่า เป็นข้าราชการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 157 เพราะ พรก.ฉุกเฉิน ไม่ได้ให้อำนาจในการฆ่าคนไว้

ทุกคนต้องขึ้นศาล โดยต้องหาภาพไปที่คนยิงให้ชัดๆ ก่อน จากนั้น จากคนนี้ โยงไปให้ได้ว่า มีการสั่งเพราะมีการสั่งจริง ให้ใช้กระสุนจริง และยิง เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว แต่อำนาจมีหรือไม่

เปรียบเทียบง่ายๆ ว่า เหมือนกับตำรวจ ที่เวลายิงคนร้าย ก็ต้องไปขึ้นศาลว่า เป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม ถ้าทำไปโดยไม่จำเป็น ก็ติดคุกเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเสื้อแดงต้องมีกล้องบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่ชัดเจนประกอบด้วย และต้องรีบฟ้องทันที เพราะจะทำให้รัฐบาลไม่กล้าใช้ พรก.ฉุกเฉิน เนื่องจากหน่วยทหาร ก็กลัวติดคุกเหมือนกัน ใครจะรู้ อีกแค่ปีหน้า ใครจะมาเป็นรัฐบาล กลุ่มอนุรักษ์ยังจะอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ หรือเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแล้ว ใครจะเอาตัวเองมาเสี่ยง ให้เจ้านายเสวยสุข

สิ่งเหล่านี้ แกนนำต้องคิดให้มากๆ เพราะการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนสังคมนั้น ลำพังการขึ้นเวทีปราศรัยนั้น เป็นเพียง เปลือกเท่านั้น ไม่ใช่แก่น

บทความแรกครั้งนี้ สำหรับการอธิบายว่า แดงไม่แพ้ได้อย่างไรนั้น เป็นเพียงการสรุปว่า กลุ่มอนุรักษ์ใกล้ถึงจุดจบแล้ว ศัตรูของเราคือใคร และการจะจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูอันดับต้นๆ ของเรา ได้แก่ ทหารนั้น ควรทำอย่างไร

หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการต่อสู้ของคนเสื้อแดงต่อไป พบกันคราวหน้า ตามโอกาสที่จะมีมา

Thursday, June 18, 2009

แกนนำเสื้อแดงมอบตัวสู้คดีหลังเจอ 4 ข้อหา

ที่มา เดลินิวส์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 มิ.ย.) นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย พร้อมด้วย นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อิสาน นายพายัพ ปั้นเกตุ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายสมชาย ไพบูลย์ และนายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง 6 แกนนำผู้ชุมุนุม นปช.ที่ถูกออกหมายจับเดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมกับนายคารม พลทะกลาง ทนายความของกลุ่มแกนนำประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้ามอบตัวสู้คดีกับ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) และพนักงานสอบสวนนครบาล หลังตกเป็นผู้ต้องหาข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ, ร่วมกันกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจาอันมิใช่เป็นการกระทำในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปในท้องที่กรุงเทพฯ และกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยจากเหตุการณ์การปราศัยปลุกระดมเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา

จากการสอบสวนนานกว่า 2 ชม.ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ พร้อมยืนยันว่า การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นการชุมนุมโดยชอบธรรมไม่มีเจตนาทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการสอบสวนผู้ต้องทั้งหมด ทนายความได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส. พรรคเพื่อไทย 8 คนขอประกันตัวพร้อมเงินสดคนละ 500,000 บาท โดยพนักงานสอบสวนพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวแต่โดยดีไม่มีการคัดค้านแต่อย่างใด การเข้ามอบตัวครั้งนี้ยังมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงกว่า 200 คนเดินทางมาให้กำลังใจพร้อมมอบช่อดอกไม้และตั้งเวทีปราศรัยชั่วคราวหน้าประตูทางเข้าบช.น.ในระหว่างที่มีการสอบสวนตลอด 2 ชม.

ประดิษฐ์หน้าแตก กรณ์ตีกลับหวยออนไลน์ไม่ส่งครม.

ที่มา เดลินิวส์

“กรณ์ จาติกวณิช” ตีกลับหวยออนไลน์หลังรมช.คลัง ชงเรื่องให้ ยันไม่มีแนวคิดเปิดขาย ต้องรอทำทุกอย่างให้รอบคอบ ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งทำ หวั่นเป็นปัญหาสังคมในอนาคต ส่วนประดิษฐ์ ระบุทำหวยออนไลน์เน้นถูกกฎหมาย แบ่งสัดส่วนรายได้ให้ชัดเจน เชื่อแก้ปัญหาราคาลอตเตอรี่แพงได้

ที่กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ได้ลงนามในหนังสือขออนุมัติการออกสลากเลขท้ายพิเศษแบบ 2 ตัว 3 ตัว โดยผ่านเครื่องอัตโนมัติ (หวยออนไลน์) ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเสนอมาแล้ว และได้เสนอไปยังนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เพื่อลงนามอนุมัติ ตามที่สำนักงานสลากฯ เสนอมาเป็นขั้นตอนจากนี้ไป สำนักงานสลากฯ สามารถดำเนินการออกหวยออนไลน์ตามแผนงานที่คณะกรรมการสลากฯ วางแผนไว้ได้ทันที

รมช.คลัง กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การออกหวยออนไลน์นั้น ตามที่นายสถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากฯ ระบุไว้ว่าเป็นอำนาจที่คณะกรรมการสลากฯ ดำเนินการได้ตามกฎหมาย ภายใต้ พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 ซึ่งหากทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด โดยสำนักงานสลากฯ ต้องแบ่งรายได้ให้ถูกต้องตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด คือ 60% จ่ายรางวัล 28% ส่งรายได้เข้ากระทรวงการคลัง และอีก 12% เป็นค่าบริหารจัดการ

“นโยบายของผมยืนยันแน่นอนมาตลอดว่า การออกหวยออนไลน์ คือการนำเอาของที่อยู่ที่มืดมาอยู่ในที่สว่าง เอาของที่อยู่ใต้ดิน ขึ้นมาบนดิน ดังนั้นการบริหารจัดการต่าง ๆ ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันมาแล้วหลายครั้งว่าสามารถ ดำเนินการได้ โดยมั่นใจว่าหากสำนักงานสลากฯ ออกหวยออนไลน์ได้เมื่อไรจะแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนได้ แต่ทั้งนี้ผมไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนหันมาเล่นหวยมากขึ้น สุดท้ายนี้ขึ้นอยู่ที่ว่า รมว.คลังจะลงนามอนุมัติให้เมื่อไร และเมื่ออนุมัติแล้วจากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานสลากฯดำเนินการ” นายประดิษฐ์ กล่าว

นายวันชัย สุระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า วันที่ 19 มิ.ย.นี้ สำนักงานสลากฯ เตรียมที่จะเข้าพบนายสถิตย์ เพื่อรายงานความคืบหน้าของสำนักงานสลากฯ ให้ทราบ พร้อมทั้งขอนโยบายที่จะเริ่มการประชุมคณะกรรมการสำนักงานสลากฯ โดยเร็วต่อไป โดยคาดว่าจะมีการประชุมในสัปดาห์หน้า เนื่องจากมีงานคั่งค้างจำนวนมาก หลังจากที่ไม่ได้มีการประชุมช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

ที่รัฐสภา นายกรณ์ จาติกวณิช รมว. คลัง กล่าวถึงแนวคิดการเปิดขายหวยออนไลน์ว่า ขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดดังกล่าวเพราะได้ส่งเรื่องกลับไปให้สำนักงานสลากฯพิจารณาถึงมาตรการควบ คุมการขายว่ามีวิธีขายอย่างไร รวมถึงการประชาสัมพันธ์การขายด้วย เพราะตอนนี้เรามีปัญหาอีกหลายประการที่ต้องคิดให้รอบคอบและต้องการคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งตนก็ไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนอะไร ส่วนกรณีที่มีคนเกรงว่าการผลักดันให้ขายออนไลน์จะเป็นปัญหาสังคมนั้นเรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องกังวล แต่ต้องพิจารณาร่วมกับอิทธิพลของผู้ขายหวยใต้ดินที่มีค่อนข้างมากกับการก่อให้เกิดอบายมุข โดยต้องนำมาพิจารณาดูกับข้อกฎหมาย.

กกต.ฟัน17ส.ว. พ้นสภาพ ถือหุ้นสัมปทาน

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_13776

กกต. มีมติเสียงข้างมาก ให้ 17 ส.ว.พ้นสมาชิกภาพ เหตุถือหุ้นสัมปทานรัฐ ขัดรัฐธรรมนูญ​ 'สมชาย แสวงการ' โดนด้วย เตรียมเสนอประธานวุฒิสภา เพื่อส่ง ศาลรธน.วินิจฉัย ...

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ที่ประชุม กกต. วันนี้ (18 มิ.ย.) ได้พิจารณารายงานการไต่สวนของ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนตามคำร้องของ นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กรณีคุณสมบัติ ส.ว. 37 คน อาจจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ และความเห็นของคณะกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ กกต. และมีมติเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า ส.ว. 17 คน จาก 37 คน ต้องหมดสมาชิกภาพการเป็น ส.ว. เนื่องจากถือหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชน และกิจการของรัฐ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 และ 265

'จากนี้ กกต.จะส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามขั้นตอนต่อไป' นายสุทธิพล กล่าว

สำหรับ ส.ว. 17 คน ประกอบด้วย 1.นางตรึงใจ บูรณสมภพ 2.นายถาวร ลีนุตพงษ์ 3.นายบุญชัย โชควัฒนา 4.นายพิชัย อุตมาภินันท์ 5.นางพรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์ 6.นายสมชาย แสวงการ 7.นายวรวุฒิ โรจนพานิช 8.นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล 9.นายสุพจน์ เลียดประถม 10.นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ 11.นายจรัล จึงรุ่งเรืองยิ่ง 12.พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ 13.นางนฤมล ศิริวัฒน์ 14.นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ 15.นายสมชาติ พรรณพัฒน์ 16.นางอัจฉรา เตชฤทธิพิทักษ์ และ17.นางทิพย์วัลย์ สมุทรักษ์ ลาออกไปก่อนหน้านี้แล้ว

สภาซัดกันหนักถึงขั้นสาบาน

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_13772

นายจุมพฏ บุญใหญ่

"จตุพร" เปิดศึกอภิปรายในสภา ส.ส.ประท้วงกันวุ่น ถึงขั้นต้องมีการสาบาน ขณะมี พ.ร.ฎ.โปรดเกล้าฯ ปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. ...

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงเย็น วันนี้ (18 มิ.ย.) เริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อ นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ขึ้นอภิปรายโจมตีการจัดสรรงบประมาณหน่วยงานต่างๆ และยังได้อภิปรายพาดพิงหลายเรื่อง ทำให้เกิดการประท้วงกันวุ่นวาย หลังจากที่ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ปะทะคารมกันไปมา ในที่สุดนายจตุพร ก็ยอมถอนคำพูด

จากนั้น นายจตุพร ยังกล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 ที่ จ.สกลนคร จนทำให้ นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ใช้สิทธิชี้แจง ต่อมา นายเชน เทือกสุบรรณ ลุกขึ้นใช้สิทธิ์เพื่อชี้แจงว่า การเลือกตั้ง นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากนั้น นายจุมพฏ และนายสนอง เทพอักษรณรงค์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ได้ลงมาสาบานต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านหน้าอาคารรัฐสภา ว่า ไม่ได้รับเงินจากพรรคภูมิใจไทย ตามที่ถูกกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า วันนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริว่า ตามที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2552 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2552 นั้น บัดนี้สมควรจะปิดประชุมได้แล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 128 และมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2552 ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2552 เป็นต้นไป ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

กำหนดการเฉลิมฉลองวันชาติไทย 24 มิถุนายน 2552

ที่มา Thai E-News


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
18 มิถุนายน 2552
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:นักวิชาการ-ฝ่ายประชาธิปไตยจัดกิจกรรมรำลึกวันชาติ24มิถุนากระหึ่มทั่วประเทศ

กำหนดการเฉลิมฉลองอดีตวันชาติไทย 22-24 มิถุนายน 2552

ในโอกาสครบรอบ 77 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน 2552 และประเทศไทยเคยมีการเฉลิมฉลองวันชาติไทยตรงกับวันที่ 24 มิถุนายน มาเป็นเวลาถึง 21 ปี แต่ถูกเผด็จการทหารสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำลายลงไป ดังนั้นแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ(นปช) จึงขอเชิญชวนพ่อ แม่ พี่น้องประชาชนทุกคน ได้เข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2552 เวลา 17.00-23.00 น. ณ บริเวณท้องสนามหลวง

พบกับการปราศรัยของแกนนำนปช. นักการเมือง นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอาทิเช่น สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ จรัล ดิษฐาอภิชัย ชินวัตร หาบุญพาด วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย เยี่ยมยอด ศรีมันตะ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ดร.สุนัย จุลพงษ์ศธร จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ การุณ โหสกุล พรส เฉลิมแสง ชูพงษ์ ถี่ถ้วน ฯลฯ

เช้าตรู่ย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2552 เวลา 05.00 น-09.00 น.ขอเชิญชวนประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกสาขาอาชีพ ญาติและครอบครัวคณะราษฎร คนเดือนตุลา นักวิชาการ ฯลฯ รวมตัวกันที่หมุดคณะราษฎร พระบรมรูปทรงม้า

เวลา 6.05 น. เวลาเดียวกันกับพระยาพหลพลพยุหเสนาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้อ่านแถลงการณ์คณะราษฎรฉบับที่1 ที่เป็นการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังนั้นในวันที่24มิถุนายน 2552 เวลา06.05 น.ตัวแทนนปช.จะอ่านแถลงการณ์คณะราษฎรฉบับที่ 1 อีกครั้งหนึ่ง เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีและความกล้าหาญของคณะราษฎร หลังจากนี้กลุ่มองค์กรต่างๆกล่าวสดุดีคณะราษฎร

โปรดนำเทียนสีแดงขนาดใหญ่จำนวนมาก ดอกไม้สวยงาม หลากสี ติดตัวมาด้วยเพื่อร่วมกันประดับหมุดคณะราษฎร หากท่านมีเครื่องแต่งกายโบราณรุ่น 2475 สามารถแต่งกายมาร่วมงานได้ด้วย

ผมนึกไปนึกมา สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนน่าจะให้รางวัลภาพยอดเยี่ยมแห่งปี แก่ภาพนี้ครับ

ที่มา Thai E-News

โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา บอร์ดประชาไท
18 มิถุนายน 2552

ผมนึกไปนึกมา สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนน่าจะให้รางวัลภาพยอดเยี่ยมแห่งปี แก่ภาพนี้ครับ

ผมว่าเหมาะสมที่สุดครับ

1. เป็นการแสดงความจงรักภักดี สำหรับประเทศไทย การแสดงภาพพระบรมฉายาลักษณ์และพระราชกรณียกิจ ถือเป็นการแสดงความจงรักภักดีอย่างสูงครับ เหมาะสมอย่างยิ่ง

2. องค์ประกอบของภาพ ก็ดีครับ แสดงสีพระพักตร์ ที่ทรงเศร้าสลดต่อการสูญเสีย "

เด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์"


3. ในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา อันที่จริง ในระยะหลายๆปีที่ผ่านมา ไม่มีเหตุการณ์ใดที่มีผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนมากเท่าเหตุการณ์ที่ภาพนี้รายงานอีกแล้ว เรียกว่า เหตุการณ์ที่ภาพนี้ถ่ายทอดเป็นเหตุการณ์ระดับ "เปลี่ยนประวัติศาสตร์" ได้ทีเดียว แน่นอนว่า การเสด็จพระราชทานเพลิงศพ "น้องโบว์" มีภาพข่าวหลายภาพ ผมเองตอนเลือกเอง ก็ตัดสินใจยากมากครับ ในที่สุด คิดว่า ภาพนี้ดีที่สุด ด้วยเหตุผลข้อ 2 ข้างต้น (โปรดดูเรื่องภาพ "รองชนะเลิศ" ข้างล่างประกอบ)

4. สรุปแล้ว ภาพนี้แหละครับ เหมาะกับเหตุผลที่สมาคมช่างภาพสื่อมวลชน บอกว่า กรรมการลงมติเอกฉันท์ให้ภาพ "ทนไม่ไหว" คือ "ได้อารมณ์ของภาพโดยไม่ต้องบรรยาย" (อาจจะกล่าวได้ว่า มีประเด็นเดียวที่ภาพนี้ สู้ภาพ "ทนไม่ไหว" ไม่ได้ คือ ไม่มีชื่อภาพ เพราะปกติ เราจะไม่ตั้งชื่อภาพให้กับภาพพระราชกรณียกิจ แต่ผมคิดว่า "จุดอ่อน" นี้ไม่มีปัญหา สมาคมฯสามารถเรียกชื่อภาพนี้ว่า "ไม่มีคำบรรยาย" ก็ได้ครับ เหมาะสมดีด้วย)

นอกจากรางวัลภาพยอดเยี่ยมแห่งปีสำหรับภาพนี้แล้ว ผมขอเสนอภาพที่เรียกว่า runners-up (รองชนะเลิศ) อีก 2 ภาพครับ ความจริง เป็นภาพเหตุกาณ์ข่าวเดียวกัน (ดังที่เรียนให้ทราบว่า ตัดสินใจยากมากๆ)

ภาพแรก สมเด็จฯทรงมีปฏิสันถารกับ คุณจินดา ระดับปัญญาวุฒิ อย่างใกล้ชิด

ภาพนี้ความจริง สามารถกล่าวได้ว่า มีเหตุที่สมควรได้รับรางวัลภาพยอดเยี่ยม ทั้ง 4 เหตุผลข้างต้น เช่นเดียวกันทุกข้อ (แสดงความจงรักภักดี, แสดงสีพระพักตร์, ความสำคัญของข่าว, "ได้อารมณ์ของภาพโดยไม่ต้องบรรยาย") มิหนำซ้ำยังมีเหตุผลประกอบเพิ่มอีก 1 ข้อได้ด้วย คือ ต้องขอบคุณ คุณจินดา ที่ทำให้พสกนิกร ได้รับทราบว่า ทรงมีพระราชปฏิสันถาร ที่บัดนี้กล่าวได้ว่า อยู่ในดวงใจของพสกนิกรอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง ดังนี้

- ลูกสาวเป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์
- ขอให้กำลังใจกับครอบครัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับทราบแล้ว และเงินที่เป็นค่ารักษา ในหลวงเป็นผู้พระราชทานให้
- เป็นห่วงพันธมิตรทุกคน ไว้จะฝากดอกไม้ไปเยี่ยมพันธมิตร


อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ผมเลือกภาพข้างต้นมากกว่าภาพนี้ ด้วยเหตุผลทางเทคนิคมากกว่า คือ ภาพข้างบนให้มุมภาพที่กว้างกว่า

ภาพ runner-up อีกภาพ คือภาพนี้ครับ เหตุผลก็คล้ายๆกับที่กล่าวมาแล้ว แต่ผมคิดว่า ภาพนี้ มีจุดอ่อนกว่า 2 ภาพข้างต้น คือ ข้อ 2 ไม่ได้แสดงสีพระพักตร์ ชัดเจนเท่ากับ 2 ภาพแรก

สมศักดิ์ยังได้ตั้งอีกกระทู้หัวเรื่องว่า ขอยืนยันว่า การให้รางวัลภาพยอดเยี่ยมแก่ภาพ "ทนไม่ไหว" สะท้อนว่า วิจารณญาณของวงการสื่อไทยต่ำมากโดยรายละเอียดเขียนว่า

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า เชียร์ เสื้อแดง หรือ แอนตี้ เสื้อแดง เลย
ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือ ไม่เห็นด้วย กับการกระทำที่ปรากฏออกทางภาพนั้นเลย

แต่อยู่ที่ประเด็นพื้นฐานที่สุดว่า ภาพดังกล่าว นำเสนอข่าวสารที่ผิดตั้งแต่ (1) การตั้งชื่อภาพ (2) คำบรรยายประกอบภาพ (3) บริบทของการนำเสนอภาพ

ทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นการนำเสนอ ภายใต้ความเชื่อทีว่า เป็นเรื่องของ "
ประชาชนชาวแฟลตดินแดง ไม่พอใจ เสื้อแดง เรื่องรถแก๊ส จนทนไม่ได้ ถึงกับแสดงออกเช่นนั้น"
ซึ่งผิดความจริง โดยสิ้นเชิง

การที่สมาคมช่างภาพฯ ยังดันทุรัง ตัดสินให้ ภาพที่เสนอข่าวสารผิดๆ ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม เป็นการสะท้อนให้เห็นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ว่า วิจารณญาณ (judgement) ของวงการสื่อไทย ปัจจุบน อยู่ในระดับที่ต่ำมากๆ


ขอยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับต้องประณามการกระทำของ กวีไกร ในภาพเลย
ภาพที่ถ่ายทอดการกระทำที่เราไม่เห็นด้วยมากๆ ก็สามารถเป็น "ภาพยอดเยี่ยม" ได้ (นึกถึงภาพ "ตอก-อก" (6 ตุลา) ที่ได้รางวัลภาพยอดเยี่ยม) ประเด็นอยู่ที่ว่า ในฐานะ ภาพข่าว จะต้องสะท้อนความจริง ซึ่งภาพ "ทนไม่ไหว" สะท้อนความผิดพลาดของการเสนอข่าว

สื่อกับรัฐบาลด้านได้ที่ ขึ้นเวทีสลับกันแจกโล่ เสื้อแดงสุดทนรวมพลประท้วงตอแหลแลนด์

ที่มา Thai E-News


เหตุเกิดที่ตอแหลแลนด์-สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนตัดสินให้ภาพจิกหัวหญิงเสื้อแดงของไทยรัฐได้รางวัล แต่ถูกต่อต้านว่าเป็นภาพที่บิดเบือนความจริง เพราะภาพนี้ไม่ได้เกิดที่ย่านแฟลตดินแดงแต่เกิดที่ย่านประตูน้ำ และคนที่จิกหัวผู้หญิงเสื้อแดงก็ไม่ใช่ชาวบ้านแฟลตดินแดง แต่เป็นการ์ดพันธมิตร เย็นวันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะไปมอบโล่ให้รางวัล ส่วนสมาคมช่างภาพสื่อก็จะมอบโล่ให้คนในรัฐบาลหลายคนต่างตอบแทน

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา เวบเสธ.แดง
17 มิถุนายน 2552
*ข่าวเกี่ยวเนื่อง:อนาถ!สื่อไทยมั่วตั้งแต่ต้นจนจบ ฮือต้านตัดสินรางวัลสุดนิ่มจิกหัวเสื้อแดงคว้าภาพยอดเยี่ยม

หนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายงานว่า สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จะจัดงานแจกรางวัลข่าวภาพยอดเยี่ยม โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในการแจกรางวัล ในวันที่ 18 มิถุนายน 2552 เวลา 16.30–18.30 น. ที่ห้องวิภาวดีบอลรูม

นอกจากรางวัลภาพข่าวยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีการคัดเลือกบุคคลดีเด่นในสายตาของช่างภาพสื่อมวลชน โดยเน้นถึงผลงานการทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ซึ่งได้แก่ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสมาคมลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายวิชัย รักศรีอักษร แห่งบริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.

ทางด้านกลุ่มเสื้อแดงได้กล่าววิจารณ์ว่าสื่อมวลชนไทยได้ฮั้วกับนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลแบบต่างตอบแทนกันคือแต่ละฝ่ายก็แจกโล่ให้กันโดยที่บิดเบือนทำลายประชาธิปไตย จึงขอเชิญชวนพี่น้องเสื้อแดง ไปประท้วง สมาคมผู้สื่อข่าว วันที่18 ที่เซ็นทรัลโซฟิเทล

ผู้ใช้ชื่อว่า"ผู้หญิงเสื้อแดง"แจ้งข่าวทางเวบบอร์ดเสธ.แดงว่า ขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ผู้สื่อข่าวทำร้ายเธอด้วยวิธีการ โป้ปด มดเท็จ

ร่วมด้วยช่วยกันนะคะ วันที่ 18 มิถุนายน เวลาบ่ายโมง พบกันที่ข้างโรงเรียนหอวัง ฝั่งโรงแรมเซ็นทรัลโซฟิเทล

รางวัลอัปยศ พูลิตเซอร์

เราขอประท้วงสมาคมผู้สื่อข่าวประเทศไทยที่ส่งเสริมคนปั้นเรื่องเท็จ

ภาพของนายกวีไกร ซึ่งอดีตเป็นการ์ดพันธะมิตร กระชากผมผู้หญิงเสื้อแดงลากไปกับถนน ที่ได้รับการเสนอรางวัลนั้น

ภาพนี้เป็นภาพที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกทำร้าย เพียงเพราะเธอทนไม่ได้กับการกระทำป่าเถื่อนของทหารไทย ที่ไล่ยิงไล่ล่า ประชาชนด้วยกระสุนจริง จึงออกมาต่อว่าด้วยความคับแค้นใจ และนายกวีไกรก็ปลอมปนไปอยู่ในนั้นเสมือนเป็นช่างภาพ อยู่ที่นั่นด้วยจึงเกิดการโต้เถียง และลงเอยด้วยการที่เธอถูกทารุณกรรม ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ

โดยที่ เหตุการณ์เกิดต่อหน้าผู้สื่อข่าวและ ทหาร ที่ดูแลทุกข์สุขประชาชน แต่ก็ยังปล่อยให้ผู้ชายหน้าตัวเมียคนหนึ่งจิกผมผู้หญิงลากไปถึงสองเมตร โดยไม่มีใครช่วยห้ามปราม และเห็นใจเธอ แต่กลับเอาภาพของเธอมานำเสนอข่าวบิดเบือน เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง โดยอ้างว่ากลุ่มชาวบ้านดินแดง(นายกวีไกร)ไม่พอใจคนเสื้อแดง จึงทะเลาะกัน ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งออกไปเรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยสองมือเปล่าไร้อาวุธ
เธอได้รับบาดเจ็บ และอับอาย เพิ่งจะปรับสภาพจิตใจให้ดี ขึ้นได้บ้าง
กลับถูกย่ำยี จากผู้สื่อข่าวอีกครั้ง ที่นำเสนอภาพนี้ออกมาโดยตั้งรางวัล
กลายเป็น ความดีความชอบ ที่น่าชื่นชมของผู้นำเสนอข่าวที่บิดเบือน

มันสมควรแล้วหรือ ?

สิ่งที่สมาคมผู้สื่อข่าวควรจะรับผิดชอบ
- สืบหาเรื่องราวที่แท้จริงของการนำเสนอข่าว ในวันนั้น
- ควรนำเสนอข่าวที่เป็นกลาง ไม่บิดเบือน ไม่เลือกข้าง

และได้โปรดระงับ รางวัลอัปยศนี้ด้วย
นี่คือใบปลิวที่พรุ่งนี้จะเอาไปแจกค่ะ)

ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์ฯ ยื่นหลักฐานเลือกตั้งล่วงหน้าสกลนครเพิ่ม

ที่มา MCOT News

สำนักงาน กกต. 17 มิ.ย. - “พิชา วิจิตรศิลป์” ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมกรณีที่เชื่อว่าการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ล่วงหน้า จ.สกลนคร อาจมีการทุจริต และซื้อสิทธิขายเสียง ต่อ กกต.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่ายฯ เดินทางเข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติม กรณีที่ให้ กกต.ตรวจสอบการเลือกตั้งล่วงหน้าเขต 3 สกลนคร ที่อาจมีการทุจริตและซื้อสิทธิขายเสียง โดยนำหลักฐานเป็นภาพถ่ายและซีดี ที่บันทึกภาพการจัดงานวันเกิดของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ จ.สกลนคร และภาพการจัดงานสัมมนาของพรรคภูมิใจไทย

นายพิชา กล่าวว่า หลังจากที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบการเลือกตั้งล่วงหน้า โดยเฉพาะที่ อ.สว่างแดนดิน ได้พบเห็นพฤติกรรมว่ามีการขนคนมาลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า โดยมีสิ่งที่ผิดสังเกตหลายอย่าง เช่น รถที่ใช้ขนคนมาลงคะแนน ซึ่งรถที่นำมาขนเป็นรถติดป้ายทะเบียนจังหวัดบุรีรัมย์ แทนที่จะเป็นจังหวัดสกลนคร ใบขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า (ทก.1) มีบุคคลคอยควบคุมประชาชนในการเขียนแบบฟอร์ม อีกทั้งมีการระบุเหตุผลที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันจริงได้เหมือนกันทุกใบ นอกจากนี้ผู้ที่มาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งบางครอบครัวมี 5-6 คน ก็มาใช้สิทธิ รวมทั้งคนแก่อายุ 55 ปีขึ้นไป ก็มาขอใช้สิทธิทั้งที่ไม่น่าจะไปไหนในวันเลือกตั้งจริง และทำไมต้องไปธุระกันทั้งครอบครัว

“การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังพบความขัดแย้งระหว่างผู้ที่ขนชาวบ้านมาลงคะแนนกับชาวบ้านที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากมีการหักหัวคิวจากหัวละ 500 บาท เหลือหัวละ 250 บาท หรือที่เรียกว่าผีถึงป่าช้า สิ่งเหล่านี้ผมได้รวบรวมพยานหลักฐานและพาผู้สมัครที่ไม่ได้กระทำผิดไปร้องเรียนกับทาง กกต.จังหวัดไว้เป็นหลักฐานแล้ว” นายพิชา กล่าว

นายพิชา ยังเชื่อว่า การเลือกตั้งล่วงหน้าครั้งนี้ไม่สุจริตโปร่งใส เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่บ่งชี้ ไม่ว่าจะเป็นการที่พรรคภูมิใจไทยไปจัดสัมมนาใกล้กับพื้นที่เลือกตั้ง หรือการจัดงานวันเกิดให้นายชวรัตน์ ที่มีการเกณฑ์กำนันและผู้ใหญ่บ้านจากพื้นที่เขต 3 มาร่วมงาน เรื่องนี้ถือเป็นการท้าทายอำนาจ กกต.เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่นำมายื่นเพิ่มเติมน่าจะเพียงพอต่อการให้ใบแดงกับผู้สมัครที่ทำการทุจริตก่อนวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์นี้ได้ และอาจจะนำไปสู่การพิจารณาให้การเลือกตั้งล่วงหน้าที่ผ่านมาเป็นโมฆะ.- สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2009-06-17 16:06:51