ที่มา Voice TV
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินกับกลุ่มเสื้อแดงขอนแก่น ระบุหากเลือกตั้งครั้งหน้า ส.ส.เพื่อไทยชนะเกินครึ่ง ตนพร้อมกลับไทยทันที
แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ,นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร , นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย , ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคฯ เดินทางลงพื้นที่พบประชาชนเพื่อปราศรัยหาเสียง ที่วัดป่าชัยมงคล อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวปราศรัยช่วงหนึ่งว่า “การเลือกตั้งครั้งหน้าถ้าพี่น้องเลือกพรรคเพื่อไทยเกินกึ่งหนึ่งจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งตนขอเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 6 เดือน เพื่อจะแก้กฎหมายนิรโทษกรรมและกฎหมายอภัยโทษ และภายใน 6 เดือนจะรับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน รอเพียงโอกาส จะเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้เท่านั้น ส่วนรัฐบาลชุดปัจุบันในขณะนี้ มีข้อเสีย 3 ข้อคือ 1. นายกรัฐมนตรีขาดภาวะผู้นำ เอาแต่เดินสายปาฐกถา 2.วัฒนธรรมของพรรคประชาธิปัตย์นั้นชอบเป็นฝ่ายค้าน พอมาเป็นรัฐบาลก็เอาแต่ทะเลาะกัน และ 3. ไม่มีนโยบายที่ชัดเจน สุดท้ายจึงกลายเป็นนโยบายปลากระป๋องเน่า และทุจริตชุมชนพอเพียง
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอินมาพุดคุยกับคนเสื้อแดงกว่าพันคนว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากพรรคเพื่อไทย ได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง ตนเองพร้อมเดินทางกลับประเทศทันที เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินของประชาชน อย่างไรก็ดี พ.ต.ท.ทักษิณได้กล่าวว่าตนเป็นหนี้บุญคุณประชาชนที่เคยเลือกตนเองมาเป็นรัฐบาล
ด้านนายสมชาย กล่าวว่า รัฐบาลปัจจุบันเกิดจากการไม่เคารพประชาชน ไม่เคารพประชาธิปไตย เข้ามาบริหารประเทศไม่ได้ คงต้องรอให้พรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลแล้วแก้ปัญหา
เพื่อไทย
Saturday, October 3, 2009
"พ.ต.ท.ทักษิณ" พร้อมกลับไทย หากเพื่อไทยชนะเลือกตั้งครั้งหน้า
จตุพร ระบุ พล.อ.ชวลิต มาเติมเต็มให้ พท.
ที่มา MCOT News
ขอนแก่น 2 ต.ค.- นายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า พล.อ.ชวลิต จะมาช่วยเติมเต็มในหลายส่วนที่พรรคขาดหายไป เพราะ พล.อ.ชวลิต เป็นผู้มีบารมี มีประสบการณ์ในการทำงานมาอย่างยาวนาน จะช่วยพัฒนาพรรคได้อย่างดี
“เชื่อว่าเมื่อ พล.อ.ชวลิต เข้ามาทำงานแล้ว แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ในสังคมคงจะเกิดขึ้น เพราะ พล.อ.ชวลิต เคยมีประสบการณ์ในการดูแลปัญหาเหล่านี้มาก่อน และยังเคยเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อครั้งมีข้อพิพาทจนนำมาสู่ความเข้าใจที่ดี” นายจตุพร กล่าว
ต่อข้อถามว่า ห่วงหรือไม่ที่ พล.อ.ชวลิต เคยเป็น “ลูกป๋า” (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ) มาก่อน นายจตุพร กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ชวลิต มีความรู้สึกเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะเมื่อวันคล้ายวันเกิดของ พล.อ.เปรม ที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ได้ไปอวยพร สืบเนื่องมาจากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลกรณีการสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551
นอกจากนี้ นายจตุพรยังกล่าวถึงรายงานข่าวที่ระบุว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันเจริญ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอเบิกงบลับจำนวนกว่า 30 ล้านบาท ด้วยว่า ต้องการทราบว่า พล.ต.อ.ปทีป นำงบดังกล่าวไปใช้จ่ายอะไร จึงไม่สามารถเบิกจากงบปกติ. - สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2009-10-02 16:43:21
บรรทัดฐานใหม่
ที่มา มติชน
บทนำมติชน
คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหวยบนดิน 3 ตัว และ 2ตัว เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 47 จำเลย จะมองว่า ป.ป.ช.ชนะก็ได้ หรือจะมองว่าไม่ชนะก็อาจจะมองได้เช่นกัน สุดแท้แต่ว่าจะวางเกณฑ์ชี้วัดไว้ตรงจุดไหน
ฝ่ายที่มองว่า ป.ป.ช.ชนะ ถือเอาเกณฑ์คำพิพากษาของศาลฎีกา ที่สั่งจำคุกนายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จำคุกนายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง 2 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และจำคุกนายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งฯ 2 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท อันแสดงให้เห็นว่า คำฟ้องของ ป.ป.ช.มีน้ำหนักและมีเหตุผล หาไม่แล้วศาลฎีกาคงไม่พิพากษาให้จำเลยทั้ง 3 ต้องรับโทษทั้งจำคุกและปรับ โดยเฉพาะการจำคุก 2 ปีนับว่าเป็นห้วงเวลาที่นานพอสมควรทีเดียว
แต่ฝ่ายที่มองตรงกันข้ามอ้างว่า แม้จะมีคำพิพากษาให้จำคุกแต่ศาลฎีกาก็รอการลงอาญาไว้คนละ 2 ปี เพราะจำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน แสดงว่าจำเลยทั้ง 3 ไม่ต้องไปรับโทษจำคุก ในการเสียค่าปรับก็ถือว่าเงินแค่หมื่นบาท และ 2 หมื่นบาท เป็นเงินจำนวนน้อยนิด ไม่ได้สร้างปัญหาหรือเป็นภาระของจำเลยทั้ง 3 คน ที่สำคัญ ในจำนวนจำเลยคดีหวยบนดินที่ถูก ป.ป.ช.ฟ้องมีมากถึง 47 คน ไม่ถือว่ากระทำผิดตามฟ้อง ให้ยกฟ้องไปทั้งหมด ยกเว้นนายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ซึ่งไม่ได้มาฟังคำพิพากษาให้ออกหมายจับเพื่อให้มาฟังคำพิพากษา ในวันที่ 18พฤศจิกายนนี้ ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ที่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาก็ไม่มีใครรู้ว่า จะมีคำพิพากษาอย่างไร ที่สำคัญกว่านั้น จำเลยที่ถูกฟ้องไม่ต้องชดใช้เงิน 14,862 ล้านบาท ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพราะไม่ได้ยักเงินไปเป็นของตนเอง
การพิพากษาคดีหวยบนดินของศาลฎีกาที่ออกมาเช่นนี้ โดยที่คณะรัฐมนตรีไม่มีความผิด และไม่ต้องรับโทษใดๆ นั้น ศาลฎีกาพิจารณาที่เจตนาการนำเสนอโครงการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว และ 3 ตัว อย่างเร่งด่วน รัฐมนตรีบางส่วนก็เข้าใจและไม่เข้าใจโครงการ จึงมีมติอนุมัติโครงการโดยขาดเจตนาพิเศษ ซึ่งข้อเท็จจริง คือนายสมนึกและนายชัยวัฒน์เป็นผู้ร่วมกันเสนอโครงการต่อ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งก็เร่งให้ดำเนินการและเชิญนายวราเทพไปหารือ พร้อมกับมอบหมายให้นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดยไม่ผ่านเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี โดยที่คณะรัฐมนตรีไม่น่าจะทราบรายละเอียดทั้งหมด
นี่ย่อมเป็นบรรทัดฐานจากการพิพากษาของศาลฎีกาว่า ถ้ามติของคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้นจากการขาดเจตนาพิเศษเพราะความไม่รู้ในเรื่องที่ถูกเสนอเข้ามาย่อมไม่ถือว่าเป็นความผิด แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้การบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกัน นอกจากนี้ ยังมีข้อน่าคิดว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนจะมีมติหรือรับทราบในเรื่องใด ควรที่รัฐมนตรีแต่ละคนจะต้องศึกษามาอย่างดี และพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับประเทศชาติก็สามารถมีข้อยกเว้นได้หากศาลฎีกาเห็นว่าไม่ได้เจตนากระทำผิด ในแง่ทางการเมืองก็สุดแท้แต่ผู้คนในสังคมจะวิเคราะห์วิจารณ์กันไปเพียงแต่ว่าไม่ได้มีผลผูกมัดใดเพราะเสียงวิเคราะห์วิจารณ์ไม่ใช่คำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายคดีที่จะต้องไต่สวนกันในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและการต่อสู้หักล้างข้อเท็จจริงและการอ้างข้อกฎหมายทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยก็จะรู้ว่าควรจะดำเนินไปในแนวทางใดเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตน
ใช้พ.ร.บ.มั่นคงฯคุมเข้มถกอาเซียน"ชะอำ-หัวหิน" ผู้นำทุกประเทศยืนยันร่วมประชุม
ที่มา มติชนเสนอครม.อังคาร 6 ต.ค.ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมุ่นคงฯพื้นที่ชะอำ-หัวหิน ระหว่างประชุมอาเซียน ซัมมิท ยาว 2 สัปดาห์ จัดจราจรพิเศษอาเซียนเลน 25 กิโลเมตรไม่ให้คนเดือนร้อน เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รวมถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ใช้เวลากว่าชั่วโมง
นายอภิสิทธิ์แถลงผลการประชุมว่า จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในวันที่ 6 ตุลาคม ส่วนระยะเวลาต้องขอความเห็นชอบก่อน แต่น่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยจะประกาศใน 2 อำเภอ คือชะอำ และหัวหิน แต่หากมีข่าวว่าจะมีการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงค่อยว่ากันอีกที
นายสุเทพกล่าวว่า ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ จะมี พล.อ.ประวิตรเป็นผู้อำนวยการดูแลรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัย การบังคับใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯจะห้ามไม่ให้มีการชุมนุมใดๆ รวมถึงจะบูรณาการกำลังทหารและตำรวจเต็มกำลังนับหมื่นนาย เพื่อให้ความมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการล้มการประชุมเหมือนเมื่อครั้งที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี อย่างเด็ดขาด เพราะการประชุมคราวนี้มีความหมายและความสำคัญสำหรับประเทศ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ประธานอาเซียนเป็นครั้งสุดท้ายในการประชุมครั้งนี้ จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของประเทศอื่น ดังนั้น ต้องทำให้ดีและสมบูรณ์
รองนายกฯกล่าวอีกว่า ส่วนการควบคุมดูแลพื้นที่ดังกล่าวเป็นเหมือนกับการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาที่ จ.ภูเก็ต ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ โดยจะไม่ให้กระทบกระเทือนประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน สำหรับเรื่องการบริหารการจราจรนั้น เนื่องจากมีโรงแรมหลายแห่งอยู่ในระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร ที่จัดไว้เป็นที่พักสำหรับผู้นำประเทศ และมีขบวนรถของผู้นำประเทศวิ่งระหว่างโรงแรมกับสถานที่การประชุม จึงจะแบ่งพื้นที่จราจรเป็นถนนเลนพิเศษที่เรียกว่า "อาเซียน เลน" สำหรับขบวนรถของผู้สื่อข่าว รัฐมนตรี และผู้นำประเทศวิ่ง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จะทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวในพื้นที่ กทม.ในช่วงดังกล่าว จะใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯด้วยหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องใช้ใน กทม. ก็คงประกาศใช้ในเขตดุสิตเหมือนเดิม
พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯตั้งแต่วันที่ 12-27 ตุลาคม ในพื้นที่ 9 ตำบล ของ อ.ชะอำ และ 4 ตำบล ของ อ.หัวหิน จะใช้กำลังทั้งจากพลเรือน ตำรวจ และทหาร แต่จะใช้กำลังในพื้นที่ให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ กองทัพจะเสนอแผนเพื่อเตรียมการรักษาความปลอดภัยเข้าคณะรัฐมนตรีต่อไป และจะมีการตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
ด้าน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกโทรทัศน์เพื่อชี้ถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ที่ อ.หัวหิน และ อ.ชะอำ อย่างไรก็ตาม ได้ดูรายละเอียดในพื้นที่ทุกจุดแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกอย่างยังเรียบร้อยดี เบื้องต้นทุกประเทศยังตอบรับเข้าร่วมประชุมครั้งนี้อยู่
โชคดีหรือร้าย
ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
อาจต้องตั้งคำถามเดียวกันว่าทั้ง 2 เรื่องถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง
เมื่อถึงจุดต่ำสุดแล้วจะกระเด้งขึ้นเป็นรูปตัววี(V) หรือไม่ อย่างไร
ในเรื่องของเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เที่ยวไปปาฐกถาไว้หลายแห่งยืนยันว่าไตรมาสสุดท้ายปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า
เศรษฐกิจไทยจะฟื้นเป็นตัววีแน่นอน
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักมองต่างกันออกไป
บ้างก็ว่าเศรษฐกิจไทยเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงเหมือนตัวดับเบิ้ลยู(W) บ้างก็ว่าจะเป็นเหมือนตัวยู(U) คือตกแล้วจะไม่ฟื้นขึ้นทันทีแต่จะค่อยๆ ฟื้น
ส่วนที่มองในแง่ร้ายจะบอกว่าเป็นรูปตัวแอล(L) คือลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้วก็ฟุบยาวจนมองไม่เห็นอนาคต
ก็เป็นเรื่องต้องจับตาดูกันต่อไปว่าใครชัวร์หรือมั่วนิ่ม
แต่ที่อยากรู้ตอนนี้คือนอกจากด้านเศรษฐกิจแล้ว
ในด้านการเมือง นายกฯอภิสิทธิ์ได้ประเมินสถาน การณ์ของตัวเองไว้อย่างไร
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพโพลเปิดเผยผลสำรวจคะแนนนิยมในตัวนายกฯอภิสิทธิ์ เนื่องในโอกาสเข้าดำรงตำแหน่งครบ 3 ไตรมาส
ปรากฏว่านายกฯ สอบตกด้วยคะแนน 4.62 จากเต็ม 10
โพลไม่ได้ระบุแต่เชื่อว่าน่าจะเป็นคะแนนที่แตกต่างจากตอนเข้าดำรงตำแหน่งใหม่ๆ มากพอควร
จริงอยู่ที่ผลสำรวจในลักษณะนี้ไม่ว่าโพลของสำนักใดก็ตาม คะแนนมักจะมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา แล้วแต่เงื่อนเวลาว่าสำรวจช่วงไหน
หรือกำลังมีเรื่องอะไรมากระทบต่อภาพลักษณ์ผู้นำขณะนั้นหรือไม่
แต่ปัญหาสำหรับนายอภิสิทธิ์ คือคะแนนนิยมที่ลดฮวบฮาบลงมาในขณะที่ปัญหาหลายอย่างยังสะสางไม่ออกนั้น
ลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง
อย่าว่าแต่ท่าทีของนายอภิสิทธิ์ต่อการแก้ไขปัญหาบางเรื่อง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแต่งตั้งผบ.ตร. การตัดตอนทุจริตชุมชนพอเพียง
รวมทั้งการทุจริตงบโครงการไทยเข้มแข็งที่เริ่มมีโผล่ให้เห็นบ้างแล้ว
ยังเป็นตัวฉุดคะแนนนิยมให้ดำดิ่งลงไปอีก ไม่มีวี่แววว่าจะพุ่งขึ้นเป็นตัววีสักที
ความรู้สึกประเภทที่ว่าคนไทยโชคดีที่ได้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ
ผ่านไป 9 เดือนหลายคนชักจะเบลอๆ เริ่มไม่แน่ใจว่าโชคดีจริงหรือไม่
หรือว่ากำลังโชคร้ายโดยไม่รู้ตัวกันแน่
ทำบุญกับปวีณา
ที่มา เดลินิวส์
พี่ปิ๊ก ปวีณา หงสกุล อดีต ส.ส.กทม. ฝากหนังสือ ไดอารี่ ปวีณา หงสกุล สู้ชนะมะเร็งร้าย ใน 5 ปี และ คนใกล้ตัว ร้ายกว่าที่คิด มาให้
คนใกล้ตัว ปู่ ตา พี่ น้อง แม้แต่พ่อแท้ ๆ เลวชาติกว่า ใคร ทำได้ลงคอ เพราะเหยื่อไม่ระวังตัว อย่างกรณีล่าสุด สาวใบ้ ตาบอด ถูกคู่ขาพี่ชายในไส้ร่วมข่มขืนจนท้อง 8 เดือน น่าสงสารที่สุด คนใกล้ตัว นี่ไง
เล่มนี้ 109 บาท รายได้มอบมูลนิธิ ปวีณา ช่วยเหลือเหยื่อกาม...ต่อไป
หากไม่มีเล่มนี้ ก็ไม่รู้ “พี่ปิ๊ก” เป็นมะเร็ง และ หายแล้ว อ่านรวดเร็วจบ เพลินมาก ๆ ได้ความรู้ด้วย
ส่วนแรกเกี่ยวกับครอบครัวหงสกุล ชีวิตวัยเด็กในกองทัพอากาศ
ลูกสาว น.อ.เพิ่ม และ แม่เกยูร สวยหยดทั้ง 4 คน ที่งามลือลั่น ก็ อดีตนางงามจักรวาล คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล พี่สาวพี่ปิ๊ก เธอยังงดงามมาก แม้จนบัดนี้
เพิ่งรู้ พี่ปิ๊ก เก่งมาก จบจากสหรัฐ ทำงานเป็นผู้จัดการธนาคารตั้ง 10 ปี โรงแรมใหญ่อีก 8 ปี เคยอยู่สถานทูตอเมริกาด้วย เรียกว่า ประสบการณ์การทำงาน เพียบ
เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจได้สบายมาก
เรื่องแม่เกยูร ที่บวชชี อ่านแล้วก็ทึ่ง จากบันทึก ทำไมจึงบวช ต้องไปขออนุญาตพ่อของลูกถึง 6 เดือน กว่าจะยอมใจอ่อนให้บวช แม่เกยูรบวชตลอดชีวิต
ด้วยความซาบซึ้งในรสพระธรรม
ส่วนนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งทำให้ พี่ปิ๊ก เห็นการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่
พอหมอบอก เป็นมะเร็งเต้านม เมื่อ 5 ปีก่อน เมื่อ ความตายยังไม่กลัว แล้วจะกลัวมะเร็ง ทำไม
พี่ปิ๊กจึงสามารถสั่งเสีย ต้า-ษุภมน หงสกุล ลูกชายสุดรัก ได้ทันที ว่า
“ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าแม่ตาย ลูกก็ทำงานของลูกไป ถ้าลูกรักจะทำงานการเมืองก็ทำไป ถ้าไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ แม่ไม่ว่า
...ถ้าเงินไม่พอจะดูแลบ้านนี้ก็ขาย แล้วไปหาซื้อบ้านหลังเล็กอยู่” พี่ปิ๊ก เข้มแข็งมาก ออกหาเสียง เยี่ยมชาวบ้านไม่หยุด บางครั้งด่ามะเร็งเสียอีก
“เจ็บแล้วนะ อย่ามายุ่งกับฉันนักได้ไหม ฉันจะทำงาน”
หลังทำเคมีบำบัด 6 ครั้ง ฉายแสง 30 ครั้ง หมอบอก หายแล้ว 95% เผื่อเหลือเผื่อขาด นั่นล่ะ
ตอนนี้ พี่ปิ๊ก กลายเป็นทูตเผยแพร่ความรู้มะเร็งเต้านม ให้ ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ รพ.จุฬาฯ
หนังสือราคา 179 บาท รายได้ส่วนหนึ่งจะบริจาคให้ศูนย์ดังกล่าวนี้
เป็นมะเร็งไม่ตายเสมอไป....หนังสือเล่มนี้ น่าอ่านจริง ๆ ได้บุญด้วย.
ดาวประกายพรึก
ลำบากใจ
ที่มา ไทยรัฐ
ถึงจะผ่านมาแล้วหลายวัน แต่ถ้าจะกระโดดข้ามไม่พูดถึงมติ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดอดีตนายกฯ "สมัคร สุนทรเวช" และอดีต รมว.ต่างประเทศ "นพดล ปัทมะ"กรณีออกมติ ครม.สนับสนุนการ ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดก โลกของกัมพูชา
เดี๋ยวจะหาว่าไม่รักกันจริง
การที่มติ ป.ป.ช.ออกมาอย่างนี้ "แม่ลูกจันทร์" ไม่แปลกใจ
เพียงแต่คาดว่าหวยล็อก ป.ป.ช.จะออก "นพดล" คนเดียว
แต่สุดท้าย ป.ป.ช.เพิ่มรางวัลแจ็กพอตไปออก "สมัคร" อีกคน
ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 42 คน ป.ป.ช.ปล่อยกลับบ้านยกพวง
ที่แปลกใจ คือ มติของกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้ชี้ชัดว่า "สมัคร-นพดล" ทำให้ประเทศ ไทยเสียดินแดน
เพียงแต่กรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เห็นว่ามติ ครม.เรื่องนี้อาจกระทบต่อ อาณาเขตประเทศ? อาจกระทบความมั่นคง? และอาจกระทบการแตกแยกในสังคมไทย?
สรุปว่า ถึงไม่ทำให้เสียดินแดน ก็ยัง เข้าข่ายความผิดอยู่ดี
หนังชีวิตเรื่องนี้ยังต้องลุ้นเสียวกันอีกยาว
แต่หนังชีวิตเรื่องสั้นที่นำแสดงโดย "สมเด็จฮุน เซน" นายกฯกัมพูชา รู้สึกว่าจะบู๊ล้างผลาญหนักข้อขึ้นทุกวัน
ใช้คำพูดข่มขู่คุกคามใส่รัฐบาลไทยแบบไม่ยั้งไมตรี
ผิดกับท่าทีของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกฯไทย ที่สงบปากสงบคำ ไม่เล่นสงกรานต์ นํ้าลายกับ "นายกฯฮุน เซน"
เพราะรัฐบาลไทยยึดแนวทางแก้ปัญหา ขัดแย้งอย่างสันติวิธี ซึ่ง "แม่ลูกจันทร์" เห็นด้วยในหลักการ
แต่ถ้า "หงิม" เกินไปก็อาจจะกลายเป็น "หงอ" โดยไม่เจตนา
"แม่ลูกจันทร์" ไม่ปรารถนาให้ไทย-กัมพูชาทะเลาะกัน
แต่ถ้าอีกฝ่ายออกมาพูดจาล่วงลํ้ากํ้าเกิน เราก็ต้องไม่ยอมให้ใครมาลูบคม
การที่ "สมเด็จฮุน เซน" ประกาศกร้าว ว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม. เป็นของกัมพูชา 100 เปอร์เซ็นต์
ถ้าไทยนิ่งเงียบก็เท่ากับยอมรับโดยพฤตินัย
การที่นายกฯกัมพูชาสั่งให้ยิงคนไทย ที่ล่วงลํ้าเข้ามาในเขตพื้นที่ทับซ้อนได้ทันที
ยิ่งชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาได้ประกาศเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารอย่างเป็นทางการ
และการที่ "ฮุน เซน" ต่อมซ่าแตกถึง ขนาดจะไม่ยอมเจรจาปัญหาเขตแดนกับฝ่ายไทย และจะฉีกแผนที่ประเทศไทยทิ้งต่อ หน้านายกฯไทยทันที
ถึงแม้ "นายกฯอภิสิทธิ์" จะไม่ ถือสาหาความ
แต่ "แม่ลูกจันทร์" ในฐานะคนไทย ฟังแล้วเจ็บกระดองใจ
ข้อสำคัญ แทนที่รัฐบาลจะตำหนิ "นายกฯ ฮุน เซน" ที่พูดจาก้าวร้าวเกินควร
หรือรัฐบาลควรตำหนิตัวเอง ที่บริหารจัดการความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านไม่ดี
แต่รัฐบาลกลับตำหนิคนไทยที่ลุกขึ้นเรียกร้องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทพระวิหารคืนจากกัมพูชา
ทั้งๆที่ความจริง การที่คนไทยลุกขึ้นมา เรียกร้องแผ่นดินตรงนี้คืน นั่นคือการช่วยรัฐบาลไทยให้มี "เงื่อนไข" เร่งรัดเจรจาแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชาโดยเร็ว
หรือว่าถ้ารักชาติต้องหุบปากลูกเดียว??
พูดไปทำไมมี ยุครัฐบาลสมัครที่ถูก กล่าวหาว่าทำให้ไทยเสียดินแดน คนไทยก็ยัง ขึ้นไปเที่ยวปราสาทพระวิหารอย่างสบายๆ
วันนี้ แม้แต่บันไดทางขึ้น...คนไทย ยังไม่มีสิทธิ์แหย็มเข้าไปยืน.
"แม่ลูกจันทร์"
สังเวยเกม "เด็กดื้อ"
ที่มา ไทยรัฐ
เชนคัมแบ็ก
ถือฤกษ์พระเสาร์ย้าย "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี นำขบวนอดีตลูกทีมพรรคความหวังใหม่ ชักแถวกรอกใบสมัคร พิมพ์ลายนิ้วมือเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
หวนคืนเวทีการเมืองอย่างเป็นทางการ
มาพร้อมกับ "โรดแมป" หนทางสู่สมานฉันท์
1. จะต้องให้เกียรติคู่ต่อสู้ คู่ขัดแย้ง หากไม่ให้เกียรติเขา มีแต่ไปต่อว่าเขา ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกัน อดีตที่มีคนเข้าไปอยู่ในป่าก็จบลงด้วยที่ไม่มีผลแพ้ ชนะ จนทำให้มีความสุขจนถึงทุกวันนี้
2. ต้องอโหสิกรรมกัน ลืมเรื่องเก่า วันนี้แค่ใช้ไม้หน้าสามตีหัวกัน เมื่อก่อนใช้ปืนยิงกันตายยังหันหน้าเข้าหากันได้
3. เปิดเจรจาในลักษณะที่เข้าใจกัน เพราะลักษณะคนไทยไม่ใช่ใช้ความรุนแรง ชอบสันติ นั่งเจรจากัน ถ้าใช้แนวทางนี้ประสบผลสำเร็จอยู่แล้ว
ว่ากันตามเหตุผลที่แถลงออกอากาศ
แต่โดยยุทธศาสตร์เบื้องหลังที่พออ่านเกมกันได้
เบื้องต้นเลย นี่คือการเติมเต็มแผนการลงสนามเลือกตั้งอย่างลงตัว โดยชื่อของ "พ่อใหญ่จิ๋ว" ที่ยังขายได้ ผนึกกระแสกับสินค้าติดตลาดยี่ห้อ "ทักษิณ"
พรรคเพื่อไทยกะตีกินภาคอีสานฐานใหญ่
และตามหมาก "สร้างภูมิคุ้มกัน" ในเกมอำนาจระหว่างขั้วที่เผชิญหน้า โดยยี่ห้อ "บิ๊กจิ๋ว" ที่ยังเหลือบารมีอยู่ในกองทัพ โดยเฉพาะเครือข่าย "ทหารเฒ่าไม่มีวันตาย" ที่เขี้ยวเล็บยังเหลือคม พอเป็นหลักประกันความปลอดภัย
เป็นไม้กันหมาให้ลูกข่าย "นายใหญ่" ได้
ไม่ให้โดนรุมกินโต๊ะ
แต่ทั้งหมดทั้งปวง โดยเหตุที่ว่ากันว่า ช่วยให้ "บิ๊กจิ๋ว" ตัดสินใจง่าย มาจากผลของคดีสลายม็อบพันธมิตรฯ "7 ตุลา" ที่โดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลากใส่บัญชีเชือด
"บิ๊กจิ๋ว" เลือดขึ้นหน้า ต้องกลับมาทวงศักดิ์ศรี
และก็เป็นอะไรที่ขยับกันเป็นแพ็กเกจ รับมุกกับคิว "เชนคัมแบ็ก" ของ "บิ๊กจิ๋ว" เปิดตัวเป็นหัวหอกนำขบวนพรรคเพื่อไทย
สวมหัวลูกข่าย "นายใหญ่"
ไล่เลี่ยๆกัน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน ก็แถลงมตินัดเคลื่อนไหวในช่วงเดือนตุลาคม
กำหนดมหกรรม "แดงทั้งเดือน"
เดินยุทธการทวงคืนรัฐธรรมนูญปี 2540 และทวงถามรัฐบาลเรื่องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เปิดเกมขนาบไปพร้อมๆกัน
"นายใหญ่" จัดกระบวนรบ พร้อมสำหรับเกมทวงคืนอำนาจ
แต่หันไปที่คู่ต่อกรสำคัญอย่างพรรคประชาธิปัตย์ กำลังติดหล่มอำนาจ โลกหมุนวนอยู่กับเก้าอี้ ผบ.ตร.คนใหม่
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ถอยหลังก็ไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ถึง
ดึงแต้ม "ภาวะผู้นำ" ให้ยิ่งดำดิ่ง
ที่แน่ๆโดยการสังเวย แลกกับการดันชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตัน-ประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ เข็นให้นั่งเก้าอี้รักษาการ ผบ.ตร.
โดยอาการ "ทนเด็กดื้อไม่ได้" นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไขก๊อกพ้นเก้าอี้ รับผิดชอบสัญญาณพิเศษ
ถอนสมอแบบไม่ไยดีกับคำทัดทานให้อยู่ต่อ
และโดยปรากฏการณ์ที่รับกับกระแสข่าววงใน พรรคประชาธิปัตย์แตกออกเป็น 3 ก๊ก
ก๊วน "วอลเปเปอร์" แท็กทีมกับกลุ่มของนายบัญญัติ บรรทัดฐาน จอมยุทธ์ลายคราม เปิดศึกคานอำนาจกับสายของ "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ผู้จัดการใหญ่รัฐบาล
ต่อเนื่องไปถึงข่าวการปรับ ครม.เพื่อคลี่คลายสถานการณ์เดือดๆ เจาะรูระบาย
แต่สุดท้ายไม่ได้จบแค่นั้น กระแสยังลากไปไกล เสียงแว่วๆถึงขั้นที่ว่า ถ้าวุ่นวายนัก
ก็เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีซะเลย.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
เดือนประวัติศาสตร์
ที่มา ไทยรัฐ
วันพรุ่งนี้จะมีการเลือกตั้ง นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ กันแล้ว การแข่งขันในพื้นที่ค่อนข้างจะดุเดือดเพราะปัจจัยทางการเมืองที่เกิดจากวิกฤติการเมือง ถ้าเอ่ยชื่อ ดร.แป้ง เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ คงคุ้นชื่อกันดี กว่าจะผ่านด่านการเมืองมาได้ก็สะบักสะบอม ลงสมัครเที่ยวนี้พร้อมสโลแกนคงเสน่ห์เชียงใหม่ ทันสมัย สวยงาม เคยฟัง ดร.แป้งเล่าถึงนโยบายที่จะพัฒนาเมืองเชียงใหม่ยอมรับว่าเข้าท่าดี
ที่สำคัญคือนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่คนต่อไปจะต้องชี้ชะตาในเรื่องสำคัญหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อหน้าตาของเมืองเชียงใหม่มากกว่ายุคก่อนๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ โครงการไทยเข้มแข็ง ได้รับมา กว่าหมื่นล้าน ถ้าได้คนดีก็ดีไป
ปัญหาใหญ่ที่เป็นโครงสร้างของเมืองขยายก็คือ น้ำท่วม ขยะล้นเมือง ปัญหาหญ้าปากคอก แต่ถ้าไม่เตรียมรองรับไว้ สิ่งแวดล้อมก็จะทำลายภาพแหล่งท่องเที่ยวของเชียงใหม่ในพริบตาเดียว
แต่ก็อย่างว่า วิกฤติบ้านเมือง สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ไม่ได้สร้างสรรค์ มีแต่ทำลาย ทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรประเทศ
ถูกทำลายจนถึงกับขาดแคลน
งบประมาณประเทศ ก็ต้องไปกู้ยืมมาใช้จ่าย บุคลากรที่จะเข้ามาบริหารประเทศก็เหลือแต่ ระดับอนุบาล โครงสร้างประเทศถูกทำลาย คำว่าโครงสร้างประเทศในที่นี้หมายถึง ประชาชน กฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน วิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติ
โดยเฉพาะความเอื้ออาทร การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขร่มเย็น
ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบประชาธิปไตยเป็นเผด็จการทางอำนาจ
ความภาคภูมิใจของประชาธิปไตยไม่ใช่อยู่ที่ว่าเราได้นายกรัฐมนตรีมาจากนักเรียนนอก แต่ความภาคภูมิใจของคนไทยคือ เราปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มีหนึ่งเดียวในโลก
ผมเกริ่นเอาไว้ว่าเดือนนี้จะเป็นเดือนแห่งประวัติศาสตร์ ที่เราจะได้รำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ 14 ตุลาและ 16 ตุลา แล้ว อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ การเมืองอีกครั้งหนึ่ง
สถานภาพของแกนนำขั้วรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่น่าเป็นห่วง ผลประโยชน์ลงตัวก็กอดคอต่ออายุกันไปได้เรื่อยๆ ถึงจะลุ่มๆดอนๆก็พอแถไปได้ข้างๆคูๆ
แต่ความขัดแย้งที่เกิดจากภายนอก ความขัดแย้งในสังคมประเทศและความกดดัน ความไม่เท่าเทียมของประชาชนส่วนหนึ่ง
ประเทศไทยเหมือนตกอยู่ในอุโมงค์ที่ดำมืด.
หมัดเหล็ก
กระบอกเสียงนักศึกษาใต้ ตอนที่12: ดูท่าว่า ปัญหาที่ชายแดนใต้จะต้องแก้ด้วยกฎหมายสากล แล้วกระมัง
ที่มา ประชาไท
กระจงแดง
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.)
ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่ได้สร้างความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สินและงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชนอย่างมหาศาล ดูได้จากตัวเลขเชิงสถิติจากทางศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (deep south watch) ได้รวบรวมผลจากความไม่สงบซึ่งมาจากการใช้ความรุนแรงกันทั้งสองฝ่าย ระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนที่ได้ตัดสินใจเลือกวิธีการจับอาวุธในการต่อสู้มาเป็นระยะเวลา 5 ปีครึ่ง หรือ 65 เดือน
นับตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืน 400 กว่ากระบอก ในค่ายทหารที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ในเดือนมกราคม 2547 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2552 เกิดเหตุการณ์ยิง ระเบิด วางเพลิงและการก่อกวนอื่นๆ จำนวนประมาณ 8,908 เหตุการณ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,471 คน และบาดเจ็บประมาณ 5,740 คน รวมเป็นผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวมกันทั้งสิ้น 9,211 คน กล่าวโดยรวม เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบ 65 เดือนหรือ 5 ปีกับอีก 5 เดือนที่ผ่านมา มีผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและการบาดเจ็บสูญเสียของผู้คนทั้งฝ่ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ รวมแล้วเกือบถึงหมื่นคนแล้ว
ในด้านงบประมาณในรอบ 5 ปี ใช้งบประมาณไปแล้วประมาณ 109,000 ล้านบาท จากการคำนวณต้นทุนในการจัดการพบว่า การทำให้เกิดเหตุการณ์ลดลง 1 เหตุการณ์จะต้องใช้งบประมาณ 88 ล้านบาท ซึ่งเป็นฐานที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นถ้ารัฐใช้นโยบายเหมือนเดิมที่เน้นการทหาร เน้นความเข้มแข็งเป็นหลัก ต้นทุนทั้งหมดที่รัฐต้องลงทุนเพื่อนำไปสู่ความสงบต้องเพิ่มอีกประมาณ 235,984 ล้านบาท รวมแล้วประมาณ345,280 ล้านบาท และใช้เวลาอีกประมาณ 5 -10 ปี
แต่กระนั้น ตามความเป็นจริงของปัญหาความไม่สงบในดินแดนอาถรรพ์แห่งนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมอันแสดงถึงความเป็นตัวตนที่โดดเด่น และลึกซึ้งถึงขั้นกลายเป็นกรอบของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของประชาชนที่นี่มานมนานหลายศตวรรษมาแล้ว ทั้งนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเลยว่าจุดเริ่มต้นหรือรากเหง้าของปัญหาที่ชายแดนใต้ของไทยนั้นมาจากอดีต ถึงแม้ว่าจะมีหลายฝ่ายจากภาครัฐจะพยายามไม่ให้คนในยุคปัจจุบันไปขุดคุ้ยหาความจริงในอดีต เพื่อที่จะได้มาแก้กันตรงจุดของต้นเหตุของปัญหา โดยหาว่า “เรื่องในอดีตได้ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป คนที่เป็นคู่กรณีในยุคนั้นก็จากโลกนี้ไปแล้ว เราเป็นคนในยุคปัจจุบันทางที่ดีเราควรมาหาทางที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขกันดีกว่า”
ฟังแบบผ่านๆ ก็ดูดี แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะถ้าไม่มีอดีตก็ไม่มีปัจจุบันและอนาคต ตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีขบวนการเสรีไทยในอดีต ประเทศไทยก็คงไม่มีความเป็นเอกราชของอำนาจอธิปไตยมั่นคงอย่างปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับชะตากรรมที่ไม่บังเอิญของชาวมลายูที่ชายแดนใต้ของไทย ซึ่งเกิดจากการล่าอาณานิคมของรัฐสยามแล้วผนวกเป็นดินแดนของตนเองอย่างชอบธรรมด้วยสนธิสัญญาแองโกล (Anglo-Siam Treaty) ซึ่งเจ้าของดินแดนเดิมไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เลยนั้น ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อในอดีตเมื่อ คศ.1902 และ คศ.1909 ความไม่สงบอย่างปัจจุบันก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ถึงแม้จะมีคนที่ตายเพราะความจริงมามากแล้วเป็นรุ่นต่อรุ่นก็ตาม ความสุขของชาวมลายูที่ชายแดนใต้ของไทยหลัง คศ.1786 ต้องเดิมพันด้วยความจริงมาโดยตลอด ในเมื่อความจริงยังไม่ปรากฏ ก็ไม่แปลกเลยที่ปัจจุบันไม่ใช่แต่เพียงชาวมลายูที่ชายแดนใต้ของไทยเท่านั้นที่เป็นทุกข์และเดือดร้อน แต่คนทั้งประเทศก็เป็นทุกข์และเดือดร้อนตามไปด้วย ความทุกข์ของคนในอดีตยังตามมาจองเวรจองกรรมคนในปัจจุบันอย่างไม่หยุดแม้แต่วันเดียว ทั้งนี้ ความทุกข์เหล่านั้น ไม่ใช่เป็นแค่เพียงเรื่องปากท้อง แต่ความทุกข์ที่ชาวมลายูชายแดนใต้ของไทยต้องทนแบกรับมาเป็นศตวรรษตั้งแต่บรรพบุรุษมาแล้วนั้นคือ ความทุกข์ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ไม่หลงเหลือให้แก่การเคารพ อันเนื่องมาจากสิทธิเสรีภาพในการกำหนดชะตากรรมชีวิตของตนเองซึ่งสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับวัฒนธรรมทางชาติพันธุ์อย่างลึกซึ้งนั้นถูกลิดรอน
ทั้งๆ ที่ความเป็นประชาชนคนไทยนั้นย่อมได้รับการคุ้มครองโดยอำนาจแห่งนิติรัฐที่เป็นประชาธิปไตยอย่างยุติธรรม แต่กระนั้นความเป็นธรรมในทุกๆ ด้านของการใช้ชีวิตสำหรับชาวมลายูที่ชายแดนใต้ของไทยจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและศาสนา ซึ่งทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบของสังคมที่มีชื่อว่าสันติสุข ที่แม้แต่ด้านเดียวก็ไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้น เพราะประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านคน ร้อยละ 85 ของจำนวนประชากรทั้งหมดเป็นคนเชื้อชาติมลายูนับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรทั้งหมดเป็นคนเชื้อชาติไทยนับถือศาสนาพุทธ และอีกร้อยละ 5 ของจำนวนประชากรทั้งหมดเป็นคนเชื้อชาติจีนนับถือศาสนาพุทธ
อนึ่ง อำนาจในด้านการเมืองการปกครองตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดลงไป ส่วนใหญ่แล้วถูกกำหนดกรอบนโยบายโดยคน 10% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นคนเชื้อชาติไทยนับถือศาสนาพุทธ ทางด้านอำนาจด้านเศรษฐกิจก็ถูกกำหนดความเป็นไปโดยคน 5%ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นคนเชื้อชาติจีนนับถือศาสนาพุทธ ทางด้านความเป็นไปของ ด้านสังคมและวัฒนธรรมนั้น ทั้งสองอย่างนี้จะแปรผันโดยตรงกันตลอด คือ ถ้าสังคมเสื่อม วัฒนธรรมก็เสื่อม ในทางกลับกันถ้าวัฒนธรรมเสื่อมสังคมก็เสื่อมตามไปด้วย ทั้งนี้ทั้งสังคมและวัฒนธรรมยังเป็นตัวแปรสำคัญของความเป็นไปในบริบทของศาสนาอีกด้วย ในเมื่อความเป็นไปของอำนาจทางการเมืองการปกครองได้ถูกกำหนดโดยคนเพียง 10% ของจำนวนประชากรทั้งหมดซึ่งเป็นคนเชื้อชาติไทยนับถือศาสนาพุทธแล้วนั้น ความเป็นไปทางด้านสังคม วัฒนธรรมและศาสนาของชาวมลายูที่ชายแดนใต้ของไทยก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดนโยบายและการตีกรอบวิถีชีวิตด้วยแผนพัฒนาต่างๆ ที่ซ่อนรูปการคุกคามและยัดเยียด อันเนื่องจากไม่ได้มาจากความต้องการของเจ้าของชะตากรรม
ทั้งหมดทั้งปวง ที่ได้สะท้อนมาข้างต้นนั้นคือ ความไม่ยุติธรรมที่แผ่กระจายและซึมซับในทุกอณูของความคิดและความรู้สึกของชาวมลายูที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมจนถึงยุคประชาธิปไตยไม่เต็มใบอย่างปัจจุบัน ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น ได้กล่าวแล้วในตอนที่ 9 สำหรับในตอนที่ 12 นี้ จะขอเน้นในประเด็นการสถาปนาสันติภาพในดินแดนอาถรรพ์ ณ ชายแดนใต้ของประเทศไทยแห่งนี้ ด้วยการแก้ปัญหาให้ตรงจุด ตรงที่ต้นเหตุของรากเหง้าของปัญหา
เรามาลองตั้งข้อสังเกตดูกันว่า ทำไมในทุกๆ รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่บริหารโดยพรรคไหนๆ ก็ตาม ก็ไม่เคยเลยที่จะหยิบยกปัญหาที่ชายแดนใต้มาแก้กันที่รากเหง้าของปัญหาอย่างตรงไปตรงมาและเคารพในข้อมูลข้อเท็จจริง มีแต่จะแก้กันที่ปลายเหตุซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าทั้งนั้น และส่วนใหญ่ก็เป็นการกระทำที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่รัฐอีกด้วย อย่างเช่น เหตุการณ์อุ้มฆ่าหะยีสุหลง เหตุการณ์ดุซงญอนองเลือด เหตุการณ์ทิ้งระเบิดกลางเวทีการชุมนุมและกราดยิงผู้ชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดปัตตานี อันมาจากชนวนเหตุที่ทหารนาวิกโยธินได้ลอบทำร้ายและสังหารชายฉกรรจ์ 5 คนที่สะพานกอตอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานีเมื่อ พ.ศ.2518 แต่หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นเด็กอายุประมาณ 12 ปี รอดชีวิต เหตุการณ์กรือเซะ เหตุการณ์ตากใบ เหตุการณ์ไอร์ปาแย และเหตุการณ์อื่นๆ ที่ยังไม่ถูกเปิดเผยและยังไม่ขอกล่าวในโอกาสนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ซ้อมทรมานชาวบ้านที่ต้องสงสัยในขณะควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจกฎอัยการศึก และพ.ร.ก.ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เหตุการณ์ลอบสังหารนอกระบบยุติธรรมต่างๆ ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐแต่ไม่ได้ทำการพิสูจน์อย่างจริงจังและจริงใจให้กระจ่างชัดต่อสาธารณชน เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า มาถึงทุกวันนี้สายธารแห่งความขมขื่นใจจากความไม่มีความยุติธรรมในทุกๆ ด้านของบริบทการดำเนินชีวิต (การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และศาสนา) ของประชาชนชาวมลายูที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยนั้น ยังคงเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความโศกเศร้า สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แค่นั้นยังไม่พอ สายธารแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยเลือดอันเป็นสักขีพยานแห่งสัจธรรมที่รอคอยความยุติธรรมมาชำระล้าง แต่นานนับเป็นศตวรรษแล้วที่ความยุติธรรมจากอำนาจแห่งนิติรัฐประจำประเทศไทยปล่อยให้ประชาชนของตัวเองซึ่งมีความเหมือนที่แตกต่างจากตัวเองและสังคมใหญ่ต้องรอเก้อ... มิหนำซ้ำในขณะที่แผลเก่าซึ่งยังเรื้อรังเต็มไปด้วยหนอง แต่กลับสร้างแผลใหม่ทับที่เก่าอย่างไม่ยั้งมือ แล้วเมื่อไหร่หละ ความสมานฉันท์ และสันติภาพจะเกิดขึ้น... ดูท่าว่า ปัญหาที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยจะต้องแก้ด้วยกฎหมายสากลจริงๆ แล้วกระมัง
เศรษฐกิจฟื้นตัวหรือไม่ อยู่ที่การมีงานทำ
ที่มา ประชาไท
เกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร
มูลนิธิศักยภาพชุมชน
เมื่อประมาณกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดของสหรัฐฯ ได้กล่าวอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐว่า “จากมุมมองทางเทคนิค พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นในขณะนี้ และมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 จะสิ้นสุดลง แต่ในอีกมุมมองหนึ่งก็พบว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะที่เปราะบางและอ่อนแอ ....เนื่องจากอัตราว่างงานพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง....”
รายงานการวิเคราะห์วิกฤตภาคการธนาคารของกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 ก็สอดคล้องกับท่าทีที่ระมัดระวังของนายเบน เบอร์นันเก้เมื่อกล่าวถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวนั้นอาจต้องใช้ระยะเวลาพักใหญ่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ทำให้เกิดการลดลงของการผลิต การจ้างงาน รวมถึงผลกำไรหรือการลงทุนในอนาคต ส่งผลให้การฟื้นตัวที่จะเกิดขึ้นอาจเป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่คาดการณ์กัน
ในบริบทของสหรัฐฯ อุปสรรคสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็คืออัตราว่างงานที่สูง สำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐฯ ระบุว่า ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประชากรกว่า 7.5 แสนคนต้องกลายเป็นแรงงาน “ที่ถูกบั่นทอนกำลังใจ” (discouraged worker) คือ เลิกล้มความตั้งใจที่จะหางานเพราะเชื่อว่าไม่มีงานเพียงพอสำหรับตน ดังนั้น รัฐจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อสร้างงานใหม่และการฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของคนงานเหล่านี้อย่างเร่งด่วน
สำหรับประเทศไทย ผู้บริหารนโยบายและนักวิจัยอาวุโสส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่ปัจจัยทางด้านนโยบายการเงิน การคลังและสถานการณ์การส่งออกเมื่อถูกถามถึงโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว เช่น นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว! และการฟื้นตัวจะเป็นรูปตัว U แต่ก็มีความเสี่ยงจะเป็นรูปตัว L ได้หากดำเนินนโยบายการเงินผิดพลาด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวในทำนองเดียวกันว่าปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจไทยในขณะนี้น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว! และคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวเป็นรูปตัว U ทั้งนี้ การฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอย่างเช่นเศรษฐกิจโลก ความคล่องตัวในการเบิกจ่ายงบไทยเข้มแข็ง รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมือง
ในมุมมองของภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนนั้น เป็นที่เข้าใจได้ว่าการสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาใหม่คงจะเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ล่อแหลมและอันตรายมากก็คือ ความพยายามสร้างความเชื่อมั่นมากเกินไปจนละเลย “ความเป็นจริง” ทางเศรษฐกิจและสังคม อาจทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวบนโครงสร้างที่บิดเบี้ยวมากยิ่งขึ้น
“ความเป็นจริง” ดังกล่าวก็คือ สถานการณ์การเลิกจ้างที่น่าเป็นห่วง สภาพการทำงานที่สุ่มเสี่ยงและไร้ความมั่นคงของแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน “นอกระบบ”
ในภาคอุตสาหกรรมของไทย การปิดตัวลงของสถานประกอบการที่มีการจ้างงานขนาดใหญ่ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง กรณีล่าสุดคือ บริษัทผู้ผลิตกรอบประตู หน้าต่างอลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมส่งออกแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร (ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี) ได้ประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ว่าจะหยุดกิจการและจำเป็นต้องเลิกจ้างคนงานจำนวนมากกว่า 5,500 คน!
จากรายงานสถานการณ์แรงงานรายไตรมาสของกระทรวงแรงงาน ถึงแม้สถิติการปิดกิจการและเลิกจ้างคนงานในไตรมาสที่ 2 (เดือนเมษายนถึงมิถุนายน) ของปี 2552 จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรก (มกราคมถึงมีนาคม) กล่าวคือ จากจำนวนสถานประกอบการที่เลิกกิจการ 272 แห่ง หรือจำนวนลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 23,712 คน ลดลงเป็น 101 แห่งหรือจำนวนผู้ถูกเลิกจ้าง 10,199 คน แต่เมื่อรวมตัวเลขของคนงานที่ถูกเลิกจ้างในช่วง 6 เดือนเข้าด้วยกันพบว่าสถานการณ์ยังอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วงมาก
เมื่อพิจารณาในเชิงสาขา คนงานส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ 70 ของคนงานที่ถูกเลิกจ้างเป็นแรงงานในภาคการผลิต ซึ่งไม่สามารถปรับตัวในแง่ของการฝึกทักษะเพิ่มเติมและหางานใหม่ได้ดีเท่ากับแรงงานในภาคบริการเช่น การเงินหรือการท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนของการปิดกิจการต่ำกว่ามาก นอกจากนี้ สถานประกอบการที่ปิดกิจการและเลิกจ้างคนงานกว่าร้อยละ 60 อ้างสาเหตุการขาดทุนและขาดสภาพคล่องในการดำเนินงาน รองลงมาคือ เลิกกิจการเพราะมีคำสั่งซื้อลดลง คิดเป็นประมาณร้อยละ 28.71
จึงนำไปสู่คำถามว่า “จุดต่ำที่สุดที่ผ่านไปแล้ว” สำหรับเศรษฐกิจไทย ที่แท้จริงแล้วคืออะไร? หรือว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่กล่าวถึงกันนั้นจะมีตัวตนอยู่แต่ในมุมมอง “ทางเทคนิค” ในความหมายเดียวกับที่ประธานเฟดของสหรัฐฯใช้และกล่าวถึงในตอนต้นบทความ?
สำหรับแรงงานไทยในปัจจุบัน จุดที่ต่ำที่สุดของวิกฤตสำหรับพวกเขายังคงไม่ผ่านพ้นไปอย่างแน่นอน ตราบใดที่พวกเขายังต้องประสบกับความสุ่มเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่นายจ้างของตนจะหยุดกิจการชั่วคราวตามอำเภอใจและต่อรองให้รับค่าตอบแทนที่ต่ำกว่าร้อยละ 75 โดยอ้างปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือแย่กว่านั้น ก็อาจจะถูกเลิกจ้างโดยที่นายจ้างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า หรือไม่ได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งหมายถึงต้นทุนทั้งเวลาและตัวเงินที่จะต้องเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ต่อสู้เรียกร้องสิทธิที่ตนควรได้รับตามกฎหมาย
ยังไม่ต้องกล่าวถึงคนงานอีกจำนวนกว่า 24 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 62.8 ของกำลังแรงงานทั้งหมดที่ถูกเรียกว่าแรงงาน “นอกระบบ” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิและการคุ้มครองสวัสดิการตามที่กฎหมายกำหนด ที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเนื่องจากการปรับตัวของภาคธุรกิจเพื่อลดภาระต้นทุนท่ามกลางสภาวะการแข่งขันรุนแรง ไม่ว่าการตีความ “การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” จะแตกต่างกันไปอย่างไรสำหรับผู้กำหนดนโยบาย นักการเมืองและนักวิชาการ สำหรับคนงานที่หาเช้ากินค่ำ ดัชนีชี้วัดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีเพียงตัวเดียวที่แม่นยำที่สุด นั่นคือ การมีงานที่มั่นคงทำ
เหตุผลนี้เองกระมัง คนไทยจึงมักไม่เชื่อถือนักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ แต่ใช้วิธีสอบถามเอาจากคนขับแท็กซี่หรือตรวจสอบจากราคาไข่ไก่ในตลาดใกล้บ้าน!
.........................
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ “มุมมองบ้านสามย่าน” หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2552
พอล แชมเบอร์ส
ที่มา thaifreenews
ทหาร การเมือง คอร์รัปชั่น”
ที่มา ห้องราชดำเนิน พันทิป
โพสโดย จำปีเขียว http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8388323/P8388323.html
คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ
โดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร
พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน คร่ำหวอดกับการศึกษาเรื่อง บทบาทของกองทัพกับการเมืองไทยมาเป็นเวลานาน งานเขียนของเขาชิ้นล่าสุด ซึ่งเสนอในการสัมมนาที่จุฬาฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ความยาวประมาณ 100 หน้า เป็นบทความสำคัญที่ผู้สนใจการเมืองไทยทุกคนควรอ่าน
ในงานชิ้นนี้ พอลแสดงให้เห็นว่า หลังการรัฐประหารปี 2549 ฝ่ายกองทัพได้หวนกลับคืนสู่ศูนย์กลางของอำนาจการเมืองไทยอีกครั้ง หลังจากที่เสียความน่าเชื่อถือไปภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535
โดยขณะนี้ ทหารมีบทบาทนำเหนือรัฐบาลพลเรือน (จนกล่าวได้ว่าเป็นอิสระจากรัฐบาลพลเรือน) ในหลายด้านด้วยกัน
โดย เฉพาะอย่างยิ่งกองทัพมีบทบาทสำคัญอยู่เบื้องหลังการเป็นรัฐบาลของพรรคประชา ธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล และยังเป็นกำลังสำคัญในการดูแลความมั่นคงของนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน และกิจกรรมสำคัญของรัฐบาล ในภาวะซึ่งรัฐบาลไม่สามารถกุมบังเหียนกำกับด้านความมั่นคงภายในได้เต็มที่
พอลเห็นด้วยกับนักวิเคราะห์ไทยท่านหนึ่งที่สรุปว่า "ทหารแต่งตั้งตัวเอง เป็นผู้พิทักษ์และปกป้องการเมืองไทยในอนาคต"
โดย เขาขยายความต่อไปว่า "กองทัพเป็นผู้ปกป้องอนาคตจริงๆ ในเรื่องการพิทักษ์ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กองทัพก็แสดงให้เห็นว่า สนใจที่จะปกปักษ์ประชาธิปไตยและรัฐบาลพลเรือนน้อยลงทุกที"
และเขา ยังสรุปอย่างตรงไปตรงมาอีกว่า "เมืองไทยวันนี้ อยู่ภายใต้การคุ้มครองของทหาร เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ประชาธิปไตยกำลังอยู่ในช่วงขาลง อาจกล่าวได้เลยว่า เมืองไทยได้ลดฐานะลงไปเป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ หรือประชาธิปไตยปีกหักไปแล้ว"
อีกนัยหนึ่งพอลกำลังบอกว่า รัฐบาลขณะนี้เป็น "นอมินี" ของกองทัพนั่นเอง
พอลชี้ว่าฝ่ายกองทัพซึ่งเป็นฝ่ายนำอยู่ในขณะนี้ (พันธมิตรสามขาระหว่าง พลเอกอนุพงษ์ พลเอกประวิตร และพลเอกเปรม) ได้ตระหนักภายหลังความล้มเหลวของอดีต คมช.ว่า ตั้งรัฐบาลนอมินีที่พอจะควบคุมได้ ดีกว่าทำรัฐประหารแล้วพยายามเป็นรัฐบาลเสียเอง เมื่อรัฐบาลนอมินีล้มเหลว ก็ไม่ถูกว่า ลอยตัวไป แล้วยังมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลนอมินีอื่นๆ แทนได้อีก
บท วิเคราะห์นี้จึงนำไปสู่คำถาม "เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จำเป็นต้องมีทหารหนุนหลังจึงจะอยู่ได้ แต่ทหารจำเป็นต้องมี หรือต้องการให้รัฐบาลประชาธิปัตย์อยู่ในอำนาจต่อไปหรือเปล่า"
คำถามนี้แสดงความเปราะบางทางการเมืองปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือรัฐบาลปัจจุบันต้องพึ่งพากองทัพเป็นอย่างมาก
แต่ ใช่ว่าสถานะภาพของทหารจะแน่นปึ๊กอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากขณะนี้ ทั้งกลุ่มคนเสื้อเหลืองและกลุ่มคนเสื้อแดง ล้วนไม่พอใจและแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายกองทัพอย่างโจ่งแจ้ง
มาก ขึ้นเรื่อยๆ และเนื่องจากแต่ละกลุ่มสีเสื้อต่างก็มีพรรคการเมืองและพลังมวลชนหนุนหลัง อยู่เป็นจำนวนมาก แผ่กระจายไปหลายภาคของประเทศ
สถานภาพของกองทัพ จึงไม่มั่นคง และอาจจะนำไปสู่สภาวะการสูญเสียความน่าเชื่อถือ หรือความชอบธรรมได้อีกในทำนองเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นสมัยหลัง 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาทมิฬ 2535 ตามมาด้วยผลพวงต่างๆ ที่เป็นภาพลบ รวมทั้งการถูกตัดงบประมาณทหารได้อีก
ถ้าฐานะของทหารไม่มั่นคง ความพยายามที่จะเป็น King maker อยู่เบื้องหลังรัฐบาล "นอมินี" ดังที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ อาจจะไปได้ไม่กี่น้ำ
ดังนั้น ทหารจึงยังจะต้องวางแผนอื่นๆ เพื่อเป็นหลักประกันว่าบทบาทของตนจะยังอยู่ในศูนย์กลางของการเมืองไทยภายใต้ กรอบของ "ประชาธิปไตยแบบกำกับได้"
ในบทความชิ้นนี้ พอลจึงพูดถึง ความเป็นไปได้ที่ทหารจะต้องการก่อตั้งพรรคการเมืองที่จะเป็นตัวแทนปกป้องผล ประโยชน์ของกลุ่มตน ดังที่เคยพยายามทำในอดีต (พรรคสามัคคีธรรม)
ซึ่ง ในขณะนี้ก็มีข่าวคราวแล้วว่าในอนาคต พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หรือพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อาจจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ หรืออาจจะเข้าร่วมมือกับพรรค เช่น ภูมิใจไทย ซึ่งพลเอกประวิตรมีความโยงใยอยู่กับเนวิน ชิดชอบ
ข้อเสนอของพอลมีความเป็นไปได้สูง กองทัพอาจเลือกทำทั้ง 2 อย่าง คือ ทั้งตั้งพรรคใหม่ และทั้งเข้าไปร่วมมือกับพรรคปัจจุบันบางพรรค
การ ตั้งพรรคใหม่มีภาษีตรงที่น่าจะเป็นตัวแทนของฝ่ายกองทัพได้ดีกว่า กรณีที่จะไปร่วมมือกับพรรคเดิมซึ่งมีกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ กำกับอยู่แล้ว
ใน การตั้งพรรคใหม่ ฝ่ายทหารก็ต้องพึ่งนักการเมืองหน้าเก่าๆ อยู่ดี เพราะลำพังฝ่ายทหารคงไม่มีฐานเสียงในระดับพื้นที่ ด้านพลังมวลชนที่แน่นหนาแต่อย่างใด หรือมีบ้างก็คงไม่มากพอ
ใน ประเด็นนี้ ก็มีนักการเมืองหน้าเก่าที่ยังมีฐานเสียง มีกระสุน และมีชนักปัญหาต่างๆ เป็นแรงจูงใจให้ต้องการหวนคืนสู่อำนาจให้ความร่วมมือด้วย (วัฒนา กำนันเป๊าะ ฯลฯ ) เราจึงอาจจะเห็นพัฒนาการหลายรูปแบบ รวมทั้งการร่วมมือกันระหว่างทหารกับนักการเมืองประเภทเจ้าพ่อหน้าเดิมๆ
โดย สรุป เป็นที่ชัดเจนจากงานศึกษาของพอล แชมเบอรส์ และจากการติดตามสถานการณ์ความเป็นจริงที่มองเห็นอยู่ว่าทหารได้หวนคืนสู่ ศูนย์กลางอำนาจการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง และคงจะพยายามดำรงสถานะนี้อยู่เป็นเวลานาน ด้วยภาวะของการแตกสลายของฟากพรรคการเมือง และด้วยความร่วมมือของพรรคการเมืองบางส่วนเอง
พอลแสดงความวิตก กังวลกับอนาคตของประชาธิปไตยไทยว่าปีกหัก เขาเกรงว่าประชาธิปไตยจะอยู่ในกำกับของทหารต่อไปในอนาคต ซึ่งจะทำให้การเมืองไทยเกิดภาวะไร้เสถียรภาพ และแนวโน้มที่จะเกิดรัฐประหารก็เป็นไปได้อีก โดยฝ่ายกองทัพสามารถอ้างสภาวะความมั่นคงภายในถูกคุกคามจากความไร้เสถียรภาพ ทางการเมืองเป็นเหตุผล
นัยของการหวนคืนสู่ศูนย์กลางอำนาจของฝ่ายทหาร ปรากฏให้เห็นแล้ว จากการที่งบประมาณทหารได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.2 ของงบประมาณประจำปี 2548 เป็นร้อยละ 8.5 ในปี 2551 ส่งผลให้เห็นเงินงบประมาณที่จะนำไปใช้ในด้านการสังคมการศึกษาและอื่นๆ ต้องลดลงไป
นอกจากนี้ยังมีนัยต่อประเด็นเรื่องปัญหาคอร์รัปชั่น ในการศึกษาของผู้เขียนและคณะร่วมวิจัยที่จุฬาฯ จากผลงานหลายชิ้น เรามีข้อค้นพบว่า สมัยทหารเป็นใหญ่ (สฤษดิ์ ถนอม ประภาส) การคอร์รัปชั่นอาจจะสูงกว่าสมัยประชาธิปไตย และสมัยทหารเป็นใหญ่ การตรวจสอบทำได้ยากกว่า ส.ต.ง.ไม่อาจตรวจสอบงบฯทหารได้ และสื่อถูกปิดปาก ทำให้ไม่อาจเปิดโปงปัญหาการคอร์รัปชั่นได้ จะมารู้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลทหารดังกล่าวล่มสลายไปแล้ว
อดีตผู้อำนวย การสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.) ท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์กับคณะวิจัยโดยกล่าวว่ารัฐบาลทหารเป็นใหญ่ "...มีโอกาสคอร์รั่ปชันสูงสุด เพราะการกระจุกตัวของอำนาจมีสูง และไม่ต้องแบ่งกับใคร ยุคประชาธิปไตยอัตราการคอร์รัปชั่นน่าจะต่ำกว่า เพราะทำได้ยากขึ้น..."
อนึ่ง กรณีการคอร์รัปชั่นโดยนักการเมืองที่ถูกฟ้องร้องถึงชั้นศาลจนมีนักการเมือง ระดับ ร.ม.ต.และผู้มีอิทธิพลถูกลงโทษรายสำคัญๆ (รักเกียรติ กำนันเป๊าะ วัฒนา ฯลฯ) ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในสมัยประชาธิปไตยทั้งสิ้น
ขณะนี้เรา พูดถึงการร่วมมือกันระหว่างข้าราชการ นักธุรกิจ และนักการเมืองในการคอร์รัปชั่น ว่าร้ายแรงและแก้ยากพยายามหาทางแก้ไขอยู่ แต่ที่ร้ายแรงกว่าและจะแก้ยากกว่าจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างทหารและนักการ เมือง
(ที่มา มติชนรายวัน , 30 กันยายน 2552)
ปูยี จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน
ที่มา thaifreenews
บทความโดย ice angel
ปูยี จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน
วันนี้ วันที่ 1 ตุลาคม ถือว่าเป็นวันชาติของจีน ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบจักรพรรดิ หรือที่เราคนไทยเรียกกันติดปากว่า ฮ่องเต้ มาเป็นระบอบสาธารณรัฐ อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ทั้งนี้ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนคือ จักรพรรดิปูยี แห่งราชวงษ์แมนจู
ประเทศจีน มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 5000 ปีแล้ว นับเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณแห่งสำคัญแห่งหนึ่งของโลกทีเดียว และมีความยาวนานเทียบเท่าได้กลับอียิปต์หรือไอยคุปต์โบราณ นับเป็นแหล่งอารยธรรมมนุษย์เจริญรุ่งเรืองมาเป็นเวลานาน ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ แต่ที่สำคัญคือ เขายังคงความเป็นประเทศจีนอยู่ได้ ไม่เหมือนอียิปต์โบราณ หรือจักรวรรดิโรมัน ที่สูญสลายไปแล้ว
มีการศึกษาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศจีน คล้ายๆ กับที่มีการอภิปรายว่าคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตหรือไม่ ในจีนมีตำนานเกี่ยวกับอภินิหารตำนานเทพ เหมือนนิยายกำลังภายในที่คุณๆ ชอบอ่านกันนั่นแหละค่ะ เหตุนี้กระมังถึงมีเรื่องเล่ากันว่า ก่อนที่จีนจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จีนเคยมีองค์จักรพรรดิในราชวงศ์ต่างๆ ประมาณ ๕,๐๐๐ ปีก่อน โดยชาวจีนในสมัยนั้นใช้วิธีการเลือกกษัตริย์ขึ้นมาปกครองบ้านเมือง
โดยการคัดเลือกจากความสามารถและคุณธรรม กษัตริย์แต่ละองค์ต้องแข่งกันแสดงความสามารถถ้าไม่มีความสามรถ ก็อาจจะถูกถอดจากบัลลังก์ได้
เชื่อกันว่ากษัตริย์องค์แรกของจีน ชื่อ ฝูซี หรือฟูสี ซึ่งนิทานพื้นบ้านบางแห่งถือเป็นเทพเจ้าผู้ให้กำเนิดชนชาติจีน กษัตริย์ที่เด่นๆ ในยุคนั้นมีหลายพระองค์ เช่น เสินหนง หรือเสินหนุง ซึ่งภายหลังคนยกย่องให้เป็นเทพแห่งเกษตรกรรม ตี้ซุ่น ซึ่งท่านเหลี่ยวฝานกล่าวถึงบ่อยๆ
ตี้ซุ่นองค์นี้เองที่เป็น ๑ ใน ๒๔ ยอดกตัญญูของจีน หรือ ยี่จั๊บสี่ห่าว จนฟ้าดินส่งช้างกับนกมาช่วยทำไร่ไถนา หวงตี้ หรือจักรพรรดิเหลือง เหยา-ซุ่น และอีกหลายองค์ บางสมัยมีคนเก่ง โดยเฉพาะเรื่องแก้น้ำท่วม เรื่องน้ำท่วม ถือเป็นปัญหาสำคัญในสมัยนั้น ผู้ใดแก้ได้จะได้ยศถาบรรดาศักดิ์มาก ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะถูกลงโทษ ชาวบ้านอาจเลือกตั้งให้เป็นกษัตริย์อีกองค์ให้บริหารคู่กับกษัตริย์ ถึงสมัยของอวี่ ชาวบ้านเห็นว่าราชโอรสเหมาะสมที่จะสืบราชสมบัติที่สุด จึงให้อวี่ยกราชสมบัติให้ ตอนแรกอวี่ก็ไม่เห็นด้วย ตั้งขุนนางคนอื่นเป็นแทน แต่ภายหลังโอรสก็ได้ครองบัลลังก์ จึงเป็นการเริ่มต้นการสืบราชสันติวงศ์และเริ่มยุคราชวงศ์ของจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์แรกๆ ของจีนก็มี
ราชวงศ์เซี่ยซึ่งเชื่อว่าเป็นราชวงศ์เริ่มแรกของ ตามด้วย ราชวงศ์ ชาง/อิน/อินชาง/โจว/ฉิน/ฮั่น/สุย/ถัง/ซ้อง/มองโกล/หมิง/และยุคสุดท้ายคือยุคราชวงศ์ชิง (แมนจู)
และจักรพรรดิคนสุดท้ายของจีนมีชื่อว่า
สมเด็จพระจักรพรรดิปูยี (ภาษาจีน: 溥儀; พินอิน: Pǔyí ผู่อี๋) ประสูติ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449 สวรรคต 17 ตุลาคม พ.ศ. 2510 มีพระนามเต็มว่าอ้ายซิน เจี๋ยหลอ ปูยี (Aisin-Gioro Puyi, ภาษาจีน: 愛新覺羅 溥儀; พินอิน: Àixīnjuéluó Pǔyí) เป็นจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ชาวแมนจูแห่งราชวงศ์ชิง และเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ชิง (นับเริ่มแต่จักรพรรดิซุ่นจื้อ) และเป็นองค์สุดท้าย (末代皇帝) ของประเทศจีน
ปูยีดำรงตำแหน่งจักรพรรดิของประเทศจีนระหว่าง ค.ศ. 1908 - ค.ศ. 1912 และอภิเษกกับจักรพรรดินีว่านหยง (婉容皇后) หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) ปูยีถูกขับออกจากพระราชวังต้องห้ามและดำรงชีวิตดุจสามัญชน
ปี พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) ปูยีขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งประเทศแมนจูกัว ซึ่งเป็นรัฐในปกครองของประเทศญี่ปุ่น ทางตะวันออกเหนือของดินแดนประเทศจีนในปัจจุบัน ปูยีถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดจากญี่ปุ่น เพื่อเตรียมการปกครองแมนจูกัวอย่างเต็มตัวของญี่ปุ่น เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ใน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) แมนจูกัวล่มสลายและปูยีถูกสหภาพโซเวียตควบคุมตัว และส่งให้กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน ปูยีเสียชีวิตเยี่ยงสามัญชนในปักกิ่ง เมื่อ พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ด้วยโรคมะเร็งในช่วงที่เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม
และในปี พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) ได้มีการฉายภาพยนตร์ชีวประวัติของจักรพรรดิปูยี มีชื่อว่า The Last Emperor หรือในชื่อภาษาไทยว่า จักรพรรดิโลกไม่ลืม กำกับโดย เบอร์นาโด แบร์โตลุชชี ผู้กำกับชาวอิตาลี ซึ่งภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยได้รับรางวัลออสการ์ด้วยกันถึง 9 รางวัล และประสบความสำเร็จในทุกประเทศที่เข้าฉาย
และทำไมถึงได้เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิโลกไม่ลืม หรือ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของแผ่นดินจีน ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังที่เรากันทุกวันนี้ ไว้มีโอกาสจะมาร่วมรวบข้อมูลและเขียนเล่าให้ฟัง นะค่ะ
เลือกตั้ง 26 กุมภาพันธ์ 2500 การเริ่มต้นของจุดจบระบอบ "ป."
ที่มา Thai E-News
จอมพลสฤษดิ์นำนักศึกษาบุกเข้าพบจอมพลป.ที่ทำเนียบรัฐบาลประท้วงการเลือกตั้งที่ไม่ค่อยเรียบร้อย
โดย อริน
ที่มา คอลัมน์ พายเรือในอ่าง โลกวันนี้ ฉบับวันสุข
3 - 9 ตุลาคม 2552
นับจากปี 2497 สำหรับความเป็นผู้นำที่ต้องสวมบทบาท "ผู้เผด็จอำนาจ" จากวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในปี 2495ที่อยู่ในสภาวะค่อนข้างล่อแหลม
จอมพล ป. พยายามหลายครั้งยื่นข้อเสนอให้จอมพลผิน ชุณหะวัณ สืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกแก่ตนเอง โดยให้เหตุผลเป็นการส่วนตัวว่า ให้ผู้อื่นมาครองตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก จะส่งผลต่อ "ความมั่นคง" ของทั้งหัวหน้าคณะรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร และรวมทั้งหัวหน้าคณะรัฐประหาร คือตัวจอมพลผินไปพร้อมกัน
ทว่าจอมพลผินกลับตัดสินใจมอบตำแหน่งให้ พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พร้อมกับได้รับพระราชทานยศชั้นจอมพล เนื่องจากในขณะนั้นเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเท่ากับจ่อคิวรอตำแหน่งนี้อยู่ในทีแล้วแล้ว
อีกทั้งในช่วงที่ร่วมกันทำรับประหารนั้นยังเป็นผู้คุมกำลังที่สำคัญ (กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์) และเมื่อมีการทำรัฐประหารซ้อนที่กลายเป็นการก่อกบฏถึง 3 ครั้ง คือ กบฏเสนาธิการ กบฏวังหน้า และกบฏแมนฮัตตัน พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เป็นกำลังสำคัญ ที่รับหน้าที่เข้าปฏิบัติการอย่างแข็งขันทุกครั้ง
เมื่อจอมพลป. ตระหนักว่าความพยายามที่จะอาศัยอำนาจทางทหารมาค้ำจุนบัลลังก์ทางการเมือง ที่มีลักษณะกลวงใน มีอันต้องเป็นหมันไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งการใช้นโยบายคานอำนาจระหว่างขั้วกำลัง 2 ขั้ว คือ จอมพลสฤษดิ์ กับ พล.ต.อ.เผ่า ก็พลังทลายไม่เป็นท่า เพราะถึงที่สุดแล้ว หาได้มีฝ่ายใดภักดีต่อจอมพล ป. ในฐานะผู้นำอย่างแท้จริงไม่ ถึงขนาดต้องจำกัดอำนาจและการขยายกองกำลังตำรวจในสังกัดของ "อธิบดีเผ่า" และถอนคืนตำแหน่งในคณะรัฐบาลไปพร้อมกัน
ประกอบกับการไปรับรู้การเมืองแบบประชาธิปไตยแบบอังกฤษและสหรัฐมาจากการเดินทางรอบ โลกในปี 2498 จอมพลป. จึงหันมาแสวงหาความสนับสนุนทางการเมืองจากเสียงประชาชนโดยผ่านการเลือกตั้ง โดยจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 และประกาศตั้ง พรรคเสรีมนังคศิลา ลงสู้ศึกเลือกตั้งด้วยตัวเอง ทั้งนี้ตัว จอมพล ป. เองก็ลงสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดพระนคร รวมทั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายควง อภัยวงศ์
ขณะเดียวกัน ทางฝ่ายบุคคลที่มีแนวความคิดทางด้านลัทธิสังคมนิยม ก็มีการเคลื่อนไหวจัดตั้ง พรรคเศรษฐกร มี นายเทพ โชตินุชิต เป็นหัวหน้าพรรค นายแคล้ว นรปติ เป็นเลขาธกิารพรรค และนายทิม ภูริพัฒน์ เป็นรองหัวหน้าพรรค
แต่แล้วผลการเลือกตั้งที่ต้องใช้เวลานับคะแนนกันนานถึง 7 วัน กลับสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน เนื่องจากมีความเห็นจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม จากสื่อมวลชนทุกแขนงที่ไม่ได้เป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลที่เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง รวมทั้งประชาชนทั่วโดยเฉพาะในพระนคร ว่าเป็นการเลือกตั้ง ที่มีการโกงกันมากที่สุดเท่าที่เคยมีการเลือกตั้งทั่วไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่เปลี่ยนแปลงมาสู่ระบอบประชาธิปไตย นับตั้งแต่ใช้เครื่องบินโปรยใบปลิวโจมตีฝ่ายตรงข้าม ข่มขู่ชาวบ้าน ประชาชน ให้เลือกแต่ผู้สมัครของพรรคเสรีมนังคศิลาของรัฐบาล หรือ "การเวียนเทียน" มาลงคะแนน การสลับหีบบัตร การแอบหย่อน "บัตรผี" เข้าไปในหีบ
ผลสรุปในการนับคะแนนชนิดมาราธอน ปรากฏออกมาว่า พรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม พรรคเสรีมนังคศิลา ได้รับเลือกตั้งมากที่สุดถึง 83 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ 28 ที่นั่ง พรรคเสรีประชาธิปไตย 11 ที่นั่ง พรรคธรรมาธิปัตย์ 10 ที่นั่ง พรรคเศรษฐกร 8 ที่นั่ง พรรคชาตินิยม 3 ที่นั่ง พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค 2 ที่นั่ง พรรคอิสระ 2 ที่นั่ง และผู้สมัครอิสระไม่สังกัดพรรค 13ที่นั่ง รวม 160 ที่นั่ง
สำหรับในจังหวัดพระนครนั้น จอมพล ป. และคณะอีก 6 คนได้รับเลือก ส่วนฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์นั้นปรากฏว่ามีผู้ได้รับเลือกเพียง 2 คน คือ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรค และน.ท. พระประยุทธชลธี
ความไม่พอใจของประชาชนในจังหวัดพระนครตลอดจนนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ส่งผลให้มีการเคลื่อนไหวในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 เวลา 9.00 น. โดยการริเริ่มของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร จัดการชุมนุมกันที่ หน้าหอประชุมจุฬาฯ ในเวลา 9.00 น. มีพิธีลดธงชาติลงครึ่งเสา เพื่อแสดงการประท้วงการเลือกตั้งและไว้อาลัยระบอบประชาธิปไตย
จากนั้นนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่รวมตัวกันอยู่ ก็ร่วมกันเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งไปยังทำเนียบรัฐบาล จอมพล ป. ในฐานะนายกรัฐมนตรี สั่งประกาศภาวะฉุกเฉิน และแต่งตั้งให้ จอมพลสฤษดิ์ เป็นผู้บัญชาการปราบปรามการชุมนุม แต่เมื่อฝูงชนเดินทางมาถึงสะพานมัฆวานมีเกร็ดประวัติศาสตร์การเมืองที่เป็น ที่กล่าวขานในเวลาต่อมา เป็นเรื่องราวของนายทหารหนุ่ม ในชื่อและชั้นยศ ร.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ที่เข้าไปเจรจาจนขบวนนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่กำลังระเบิดอารมณ์เข้าใส่ แนวรับของทหารที่ติดดาบปลายปืนพร้อมอยู่แล้ว จนฝูงชนสงบลง โดยไม่เกิดการปะทะกัน จนได้สมญานาม "วีรบุรุษสะพานมัฆวานฯ" และจากการเจรจากันนั้น จอมพลสฤษดิ์ตกลงยินยอมร่วมเดินไปกับขบวนผู้ประท้วงเคลื่อนไปยังทำเนียบ
เมื่อขบวนถึงหน้าทำเนียบรัฐบาลปรากฏว่าตำรวจรักษาการณ์ปิดประตูและวางกำลัง ป้องกันไว้ทุกด้าน ไม่ยอมให้เข้า แต่ผู้ประท้วงได้พังประตูและโถมกันเข้าไปในบริเวณทำเนียบจนได้ และพบว่า จอมพล ป. ได้รออยู่แล้วที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า จอมพล ป. พยายามพูดให้ฝูงชนอยู่ในความสงบ แต่ไม่มีใครฟัง จนกระทั่ง จอมพลสฤษดิ์ต้องปรากฏตัวตามเสียงเรียกร้องของฝูงชนในเวลานั้น และขึ้นปราศรัยขอให้ช่วยกันรักษาความสงบ ส่วนปัญหาต่าง ๆ จะขอรับไปเสนอเพื่อแก้ไปกันในคณะรัฐบาลอีกชั้นหนึ่ง ทั้งนี้ จอมพล ป. ยอมรับจะจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ ทำให้เป็นที่พอใจของฝูงชน และยินยอมพร้อมใจกันสลายตัวไปอย่างสงบออกจากทำเนียบรัฐบาลไป
การเดินขบวนประท้วงครั้งนี้นับเป็นการชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรกของ "ชาวพระนคร" หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทยนับตั้งแต่ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา พร้อมกันนั้นก็เป็นที่มาของการก้าวเข้ามาสู่วิถีทางการเมืองของนายทหารที่ไม่ได้เป้นสมาชิก "คณะราษฎร" หรือมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการอภิวัฒน์สยาม 2475 แม้แต่น้อย ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาชื่อเสียงกระฉ่อนเจ้าของสมญา "จอมพลผ้าขาวม้าแดง" ในฐานะ "ผู้เผด็จการ" คนสำคัญที่อยู่ในอำนาจ "หัวหน้าคณะปฏิวัติ" จนวาระสุดท้ายของชีวิต
อีกทั้งเป็นเจ้าของวาทะประวัติศาสตร์ "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว"
เราไม่ทอดทิ้งกัน..
ที่มา Thai E-News
ที่มา สมัชชาสังคมก้าวหน้า
2 ตุลาคม 2552
ตู้ ปณ. 58 ปณศ. (พ) พระโขนง กรุงเทพฯ 10110
เรียน ผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางของสมัชชาสังคมก้าวหน้า
เรื่อง ขอการสนับสนุนการจัดกิจกรรมนิทรรศการ “เราไม่ทอดทิ้งกัน”
สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.รายละเอียดและกำหนด
เนื่องจากในวันที่ 11 ตุลาคม 2552 นี้ กลุ่มสมัชชาสังคมก้าวหน้า (Social move) ได้จัดกิจกรรมนิทรรศการ “เราไม่ทอดทิ้งกัน” ขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ภายในงานได้จะมีการจัดกิจกรรม ทั้งในส่วนของ ‘นิทรรศการจดหมายรัก’ ซึ่งเป็นการนำจดหมายที่ทางกลุ่มสมัชชาสังคมก้าวหน้าได้เชิญชวนประชาชนทั่วไปเขียนถึงคุณดารณี ชาญเชิงศิลปกุล (ดา ตอร์ปิโด) ในโครงการ “เขียนจดหมายรักถึงนักต่อสู้ประชาธิปไตย” มาจัดเป็นนิทรรศการจดหมาย ซึ่งทางกลุ่มของเราได้รณรงค์ต่อเนื่องมาในช่วงก่อนหน้านี้
โดยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่เพื่อนนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างเพิกเฉยต่อสิทธิเสรีภาพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักการสิทธิมนุษยชน ในส่วนของการเสวนาได้จัดขึ้นในหัวข้อ “สิทธิมนุษยชนกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” โดยได้เชิญวิทยากรร่วมเสวนาที่มีความรู้จากหลากหลายสาขาอาชีพ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะและให้ความรู้ต่อสาธารณชน ประชาชนผู้สนใจทั่วไป ต่อหลักการสิทธิมนุษยชน และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ นอกจากนี้ ภายในงานยังได้มีการแสดงดนตรี บทกวี จากกลุ่มศิลปินและกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมในงานครั้งนี้ด้วย
แต่เนื่องด้วย กลุ่มสมัชชาสังคมก้าวหน้า ยังขาดงบประมาณสำหรับดำเนินการจัดทำนิทรรศการ อีกจำนวนหนึ่ง จึงมีความประสงค์ขอรับบริจาคจากผู้ที่รักความเป็นธรรม และสนับสนุนแนวทางการทำกิจกรรมของสมัชชาฯ โดยสามารถติดต่อเพื่อบริจาคได้ที่ คุณพัชณีย์ คำหนัก ผู้ประสานงานสมัชชาฯ โทร 085-8530329, 085-0441778 อีเมล์ patchanee.k@gmail.com
อนึ่ง สมัชชาฯ เกิดจากการรวมตัวของประชาชนหลายสาขาอาชีพที่รณรงค์เพื่อประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นว่าการจัดงานครั้งนี้จะเกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนทั่วไป และหวังยิ่งว่าท่านจะให้การสนับสนุนกิจกรรมการจัดงานของเราครั้งนี้
ด้วยความนับถืออย่างสูง
(นางสาวพัชณีย์ คำหนัก)
ผู้ประสานงานกลุ่มสมัชชาสังคมก้าวหน้า
สมัชชาสังคมก้าวหน้า ขอเชิญท่านผู้รักประชาธิปไตยร่วมงานนิทรรศการ “เราไม่ทอดทิ้งกัน”และเสวนาเรื่อง “สิทธิมนุษยชนกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในวันที่ 11 ตุลาคม 2552 ที่ห้องประชุม LP 1 คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
แนวความคิด
สมัชชาสังคมก้าวหน้าได้ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ให้ผู้รักประชาธิปไตยเขียนจดหมายรักถึงคุณดารณี ชาญเชิงศิลปกุล นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาระยะเวลาหนึ่ง อันเป็นกิจกรรมที่ต้องการรณรงค์ให้ยุติการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการละเมิดเสรีภาพของผู้ที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากผู้มีอำนาจรัฐ ผู้ก่อการรัฐประหาร ด้วยบทลงโทษอันร้ายแรง ไม่มีการประกันตัวและพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย จนไปถึงการสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ การเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อ นั่นคือการสร้างสังคมที่ปิดหูปิดตาปิดปากประชาชนคนธรรมดาที่ต้องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต้องการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ
และเนื่องในโอกาสเดือนตุลาคมเดือนแห่งการรำลึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 6 ตุลาและ14 ตุลา เราจึงจัดนิทรรศการแสดงศิลปะ แสดงจดหมายที่ส่งถึงคุณดา บทกวีและดนตรีให้กำลังใจคุณดา และเชิดชูเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น รวมทั้งเสวนาภายใต้หัวเรื่อง “สิทธิมนุษยชนกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
1. ผลักดันให้นำไปสู่แนวทางการแก้ไขมาตรฐานสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ไม่ให้ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมของประชาชน โดยเฉพาะผลักดันให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดใหม่หาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว
2. หาแนวทางในการแก้ไขปัญหากระบวนการยุติธรรมที่ศาลถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของผู้ก่อรัฐประหาร
3. ร่วมรณรงค์ยุติการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือลงโทษผู้มีความเห็นต่างจากผู้มีอำนาจทางการเมือง
กำหนดการเสวนา- นิทรรศการ
เริ่มเวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ที่ชั้น 1 คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
13.00-13.30 น. กล่าวเปิดงานโดยตัวแทนสมัชชาสังคมก้าวหน้า และบทกวี
13.30-14.40 น. นำเสนอหัวข้อย่อย ดังนี้
1. การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังคุณดารณี ชาญเชิงศิลปกุล วิทยากร คุณประเวศ ประภานุกุล ทนายความคุณดารณี
2. การเซ็นเซอร์ตัวเองกรณีมาตรา 112 ของสื่อมวลชน วิทยากร คุณจอม เพชรประดับ นักสื่อสารมวลชน
3. บทบาทนักสิทธิมนุษยชนไทยกรณีคุณดา ตอร์ปิโด วิทยากร น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคุณสุนัย ผาสุก นักสิทธิมนุษยชน (อยู่ระหว่างการติดต่อ)
14.45-15.30 น. แสดงความคิดเห็นเพื่อนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาตามวัตถุประสงค์
15.30-16.00 น. ปิดงานด้วยบทกวี และดนตรี
สังคมข่าวชาวเสื้อแดง(3ต.ค.):ข่าวลึกจากชาวเสื้อแดงที่"จำเป็น"ต้องไปดูงานต่างประเทศ/เลื่อนไปภูมิซรอล
ที่มา Thai E-News
***สังคมสร้างสรรค์ ข่าวลึกข่าวลับข่าวฝากข่าวกิจกรรมของพี่น้องฝ่ายประชาธิปไตย จัดมาให้วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2552 มี"นักข่าวชาวรากหญ้า"ว่าบรรเลงสังคมข่าวชาวเสื้อแดง"ตามเคย คอลัมน์นี้มีขึ้นมารองรับกิจกรรมข้อมูลข่าวสารต่างๆของคนเสื้อแดง พี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยทั่วประเทศ ทั่วทุกมุมโลก ท่านที่อยากจะแจ้งข้อมูลข่าวสาร รูปภาพ คลิปข่าวงานกิจกรรมส่วนรวม หรือส่วนตัวก็ไม่ขัดข้อง ส่งมาแล้วจะลงให้ฟรีๆ ไม่ต้องเสียค่าลงข่าวแต่อย่างใด ส่งเมล์มาหา"นักข่าวชาวรากหญ้า"เบอร์อีเมล์ thaienews@googlegroups.com หรือredseed1@gmail.com ที่ไทยอีนิวส์นี่มีคนอ่านเฉลี่ยวันละ50,000คลิ้ก รับรองลงข่าวแล้วเห็นผลไวยิ่งกว่าครีมหน้าขาว***
***ใกล้วันชุมนุมใหญ่พี่น้องชาวเสื้อแดงในวันที่ 17 ตุลาคมเข้ามา หลายคนคิดถึงเพื่อนพ้องน้องพี่ของเราที่มีเหตุต้องไป"ดูงานต่างประเทศ" ก็เลยวันก่อน"สุชาติ นาคบางไทร"แห่งคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการโผล่มาจ๊ะเอ๋ให้ฮือฮาที่เวบบอร์ดประชาไท โดยเจ้าตัวเขียนกระทู้นี้ให้ดูต่างหน้า วิธีป้องกันการถูกลบกระทู้ในประชาไทโดยเขียนไว้ว่า ก่อนโพสต์ทุกครั้งขอให้นำข้อความของท่านไปโพสต์ยังเว็บอบร์ดแห่งอื่นก่อน แล้วนำลิ้งค์มาโพสต์ไว้ด้วย ดังตัวอย่างนี้ครับhttp://www.saturdayvoice.com/dCode/index.php?showtopic=2177..ก็แสดงว่าแม้จะไปดูงานต่างประเทศ แต่"น้าชาติ"ก็ยังเกาะติดสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด***
***ส่วนชูชีพ ชัยวิสุทธ์ ซึ่งไปดูงานต่างประเทศย่านเดียวกับสุชาติ นาคบางไทร ก็ข่าวว่าไม่ได้ขาดหายไปจากหน้าจอ เพราะผลิตงานทั้งลงเวบ ลงแผ่น ลงคลิปเป็นข้อมูล"วิชาการ"อัดแน่นล้วนๆส่งเข้ามาให้ได้อ่านกันเป็นที่เพลิดเพลินจำเริญใจเป็นประจำ เช่นเดียวกับพิษณุ พรหมสร ที่ไปดูงานต่างประเทศในแถบเดียวกันก็ส่งข่าวคราวมาเผยแพร่อยู่เนืองๆ มิตรรักแฟนๆได้อ่านแล้วซาบซึ้งน้ำตาร่วงไปตามๆกัน ส่วนว่าลงเผยแพร่ที่ไหนยังไงมั่ง ไปตามหากันเอง เพื่อคลายความคิดถึง***
***รายนี้ไปดูงานต่างประเทศไกลอยู่ซักหน่อยคือจักรภพ เพ็ญแข แต่รู้สึกว่างานการที่เผยแพร่มาทางเมืองไทยทั้งบทความข้อเขียน การโฟนอินดูจะลุ่มลึกสุขุมคัมภีรภาพกว่าตอนอยู่เมืองไทยซะอีก ล่าสุดเพิ่งโฟนอินเข้ามาเป็นติวเตอร์เทรนงานนักข่าวเสื้อแดง แว่วว่าจะโฟนอินมาเทรนกันอีกยกเพื่อให้สื่อชาวเสื้อแดงแข็งปั๋งในวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคมนี้ ใครยังไม่ได้จับจองมองหาที่นั่งรีบจองก่อนเต็มที่ชมรมนักข่าวเสรีภาพไทย อีเมล์ไปจองที่freedompress9999@gmail.com***
***ส่วนรศ.ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่ไปดูงานที่สหราชอาณาจักร กำลังมีความสุขกับโฮมสวีตโฮม โดยเฉพาะมีเวลาอยู่กับลูกชายวัย10ขวบได้เต็มที่ยิ่งกว่าตอนอยู่เมืองไทย พาไปปีนเขาลงห้วยกินปลา จับผีเสื้อ เหมือนตอนคุณพ่อคือดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ได้สอนการใช้ชีวิตวัยเด็กให้เจ้าตัวมาก่อน แถมได้ไปลุยงานสหภาพแรงงานที่เจ้าตัวรัก สลับกับส่งข้อมูลข่าวสารเพื่อเปิดหูเปิดตาเปิดเนตรคนไทยมาเรื่อยๆ***
***ในอดีตนั้นรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของโลกเมื่ออยู่ในบ้านเมืองของตัวเองร่วมกับเผด็จการจอมทรราชย์ผู้ปกครองกดขี่ไม่ไหว ก็เลือกใช้บริการไปดูงานต่างประเทศกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหมอซุนยัดเซ็น บิดาของจีนใหม่ ประธานโฮจิมินห์บิดาของเวียดนามสมัยใหม่ ล้วนแต่ผ่านเส้นทางนี้มากอ่น หรืออย่าง มหาตมะ คานธีก็ไปฝึกปรือจากต่างบ้านต่างเมืองก่อนกลับมากู้เอกราชให้มาตุภูมิ ดังนั้นพี่น้องเสื้อแดงก็ส่งใจห่วงหาอาทรกันไปได้ แต่ยังไม่ต้องไปเร่งนรัดให้คนของเรารีบกลับมาตอนนี้หรอกครับ เดี๋ยวลงกระไดเครื่องบินปั๊บมันยิงปุ๊บแบบเบนิกโญ อควิโน แล้วจะยุ่งขิงเปล่าๆ ปล่อยให้พี่น้องของเราได้ดูงานต่างประเทศเพิ่มอินทรีย์ใก้แข็งกล้า และช่วยงานพวกเราในต่างประเทศก็น่าจะพอไหว***
***RSRอาสาพยาบาลคนเสื้อแดงประกาศแจ้งเลื่อนการเปลี่ยนแปลงการเดินทางไป บ้านภูมิซรอล จังหวัดศรีสะเกษ ของทีมงานRSRอาสาพยาบาลคนเสื้อแดง ตามที่หมายกำหนดการเดิมที่เราจะไปที่บ้านภูมิซรอล จ.ศรีสะเกษ เพื่อไปเยี่ยมให้กำลังใจพี่น้องชาว บ้านภูมิซรอล กับคณะผู้ใหญ่ผู้ประสานงานคนเสื้อแดงและทีมผู้สื่อข่าว ในวันที่ 3ตุลาคม2552 ตามกำหนดการเดิมนั้น ทางเราได้รับแจ้งจากคณะแกนนำที่จะนำไปว่า ขอเลื่อนการเดินทางออกไปเป็นในวันที่9ตุลาคม2552เ นื่องจากได้รับแจ้งจากทางทีมงานของผู้สื่อข่าวว่าทาง พรรคเพื่อไทย จะมีทีมงานเดินทางไปด้วย
โดยมีท่านอดีตนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และโฆษกพรรคเพื่อไทย คุณพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ จะร่วมเดินทางไปด้วยในครั้งนี้***
***และ เพื่อยืดเวลาในการรับบริจาคสิ่งของที่จะนำไปช่วยเหลือไปด้วย และมีอีกหลายท่านที่ติดต่อมาว่ามีความประสงค์อยากจะร่วมเดินทางไปด้วยในครั้งนี้ แต่ทางเรามีรถที่จะไปนั้นมีจำนวนจำกัด จึงขอให้ท่านติดต่อสอบถามได้ที่ คุณปุ๊ก 089-2001237 หรือเมล์ติดต่อมาที่ pooky_usa@hotmail.com ส่วนหมายกำหนดเวลาเดินทางจะแจ้งมาให้ทราบอีกเป็นระยะ เนื่องจากทางผู้ใหญ่หลายฝ่ายกำลังหารือนัดหมายกันอยู่ จึงขอประกาศมาให้ทราบ ผู้ประกาศ : RSR06 (ยรรยง ลูกชาวดิน)***
***ข่าวกิจกรรมดีๆของชาวเสื้อแดงในระยะนี้ แดงบ้านฟ้าคลองหก ลำลูกกา วันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค.2552 เวลา 8.00 น. เชิญจิบน้ำชา,กาแฟ ตลาดนัดเช้า หน้าสโมสร ท่านใดอยู่ย่านใกล้ๆทั้งลำลูกกา รังสิต องครักษ์ นครนายก หนองจอก มีนบุรี เชิญสอบถามเข้าร่วมกิจกรรม 0891035311***
***วันดสาร์นี้บ่ายโมง สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอเชิญร่วมงานเปิดนิทรรศการ ภาพคัตเอาท์การเมืองเดือนตุลา และ35ปีแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ เลขที่ 65/1 สุขุมวิท 55 (ซอยทองหล่อ) โทรศัพท์ ๐-๒๓๘๑-๓๘๖๐-๑ E-mail: banomyong_inst@yahoo.com ร่วมเสวนา“ มองย้อน-ร่องรอยศิลปะกับการเมืองเดือนตุลา ในทัศนะของคนต่างรุ่น” แถมท้ายดูหนังหาดูยากเวลา ๑๖.๑๕ น. เรื่อง“JONATHAN LIVINGSTON SEAGULL 1973” colour 99 minutes ใครที่ยัง"แสวงหา"อยู่น่าไปดู ใครเลิกแสวงหาแต่ยังไม่แสวงเหาใส่หัวยิ่งน่าไป***
***คนจะดังเอาช้างฉุดไว้ก็ไม่อยู่"โน้ต-อุดม แต้พานิช"เจอคู่แข่งซะแล้ว เมื่อท่านดร.สุนัย จุลพงศธรเปิด "เดี่ยวไมโครโฟน เสวนาระบอบอำมาตย์กับทางออกสังคมไทย" โดย ดร.สุนัย พร้อมฟังกวีประชาชนคนรากหญ้า ไม้หนึ่ง ก.กุนที วันอาทิตย์4ตุลาคม บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ณ ห้องราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์ บัตรราคาเบาๆแค่ 300 บาท อุดหนุนได้ที่หน้างาน หรือ ถามรายละเอียดให้คนทำงานมีกำลังใจสู้ๆเพื่อประชาธิปไตยได้ที่ คุณทรงชัย 081 4000 433 จัดโดย กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยของสมยศ พฤกษาเกษมสุข เงินรายได้ ไว้ใช้จัดงาน รำลึก เดือนตุลา และ เผยแพร่ประชาธิปไตย..งานนี้จะเอาฮาก็ไหว จะเอาเนื้อๆก็ได้ อย่าลืมให้กำลังใจกันและกันนะชาวเสื้อแดง***
***พันธ์ศักดิ์ ซาบุ หัวหน้าสถานี วิทยุชุมชนคนรักไทย FM 95.25 MHz.ขอแรงเพื่อนเสื้อแดงให้กำลังใจวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคมนี้ โดยได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ เพื่อหาทุนชำระค่าเครื่องส่งใหม่ของสถานีวิทยุชุมชนคนรักไทย ในวันที่อาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๗.๐๐ น. ณ สมาคมนักเรียนเก่าอำนวยศิลป์ ถ.ประชาชื่น เขต จตุจักร ใกล้กับ โรงเรียนเพร็ชรัตน์ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงอาหารแบบโต๊ะจีน ติดต่อส่งกำลังใจไปกันให้ล้นหลาม โทรศัพท์. 089-019-6935 หรือ ส่งแฟกซ์ 02-690-0416 เพื่อให้คนเสื้อแดงมีสื่อเหลือไว้ให้ฟังกันมั่งก็ยังดี ไม่งั้นรัฐมนตรีเตี้ยหนองในมันก็ขย่มเขย่าเอาล่อเอาเถิดไม่เลิก***
***เสื้อแดงไม่ได้บ้าแต่การเมืองเหมือนใครค่อนขอด ก็คนทำมาหากินนี่แหละ เหมือนที่ไทยอีนิวส์สำรวจไปก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ พ่อค้า ชนชั้นกลางทำมาค้าขาย ขอแจ้งข่าวทำมาค้าขายให้ทราบว่า เปิดแล้ว วันนี้ ตลาดกลางซื้อขายสินค้า ของคนเสื้อแดง ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เชิญพี่น้องทุกท่าน โพสต์ขายสินค้ากันได้ ฟรี หากโพสต์ไม่เป็นโปรดติดต่อทีมงาน ช่วยเหลือฟรี ที่ http://www.redzonemarket.com หรือ"เรด โซน มาร์เกต"***
***ที่ตลาดออนไลน์แห่งนี้ เป็นแหล่งศูนย์รวม เพื่อช่วยส่งเสริม อาชีพ คนตกงาน ว่างงาน ต้องการหาคนงาน ใครมีความถนัดอะไร อยู่แถวไหน ลงโพสต์ตามแต่ละภาคได้เลย ของมือสองก็เอามาขาย มาแลกกัน เพื่อให้เป็นแหล่งช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน และสินค้าโอทอป สามารถลงประกาศขายได้ตามแต่ละภาคไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น จะขายขนมครก ข้าวต้มมัด หรือขายข้าวแกง อยู่แถวไหนก็ลงประกาศได้ ประชาชนจะเสื้อสีไหน ก็ลงประกาศได้ ทั้งนั้น พักรบชั่วคราว หันมาค้าขายกัน หาทุนหาเสบียงไว้เป็นทุน ต่อไป นะครับ***
***ทีเด็ดคือมี Blogส่วนตัวให้ใช้ได้ด้วย เอาไว้เพิ่มรายละเอียดส่วนตัว หรือเพิ่มเติมสินค้า หรือ สร้างร้านส่วนตัว แถมมีห้องแช็ทออนไลน์ ให้ไว้สอบถามพูดคุยหน้าเวป โดยพิมพ์ข้อความในช่องด้านล่างแล้วคลิก ปุ่ม 'shout Now'ง่ายๆ สมัครหรือใช้เวปไม่เป็น ติดต่อมาที่เมล์ support@redzonemarket.com ให้ความช่วยเหลือ ฟรี อ่านวิธีสมัคร วิธีใช้ที่http://www.redzonemarket.com/bbs/forumdisplay.php?fid=22
***ข่าวบุญข่าวกุศลมั่ง พรุ่งนี้ออกพรรษาลาพระเจ้า จากนั้นก็เป็นหน้ากฐินสามัคคี คุณrider ขาประจำเวบบอร์ดประชาไทบอกบุญมา ขอเชิญทุกท่านร่วมกันเป้นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคีเพื่อสมทุนสร้างวิหารจตุรมุข ทอด ณ วัดบางช้างเหนือ ต.คลองใหม่ อ.สามพราน จ.นครปฐม วันศุกร์ที่ 9 ต.ค. 52 ตั้งองค์กฐิน ณ ศาลาการเปรียญวัดบางช้างเหนือ วันเสาร์ที่ 10 ต.ค. 52 เวลา 08:00 น. รับเงินบริจาคติดพุ่ม เวลา 10:00 น. นำผ้ากฐินถวายในอุโบสถ เวลา 11:00 น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ เพื่อเป็นการฉลอง เวลา 12:00 น. เจ้าภาพกฐินทุกท่านร่วมรับประทานอาหาร งานนี้กุศลแรง**
***ช่วงนี้มี"ข่าวสำคัญ"ที่คนต้องซอกแซกหา ทำเอาบอร์ดชุมชนฟ้าเดียวกันล่ม เพราะมีคนไปเขียนกระทู้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบุคคลสำคัญ อ้างว่าเป็นคนในแวดวงการแพทย์ ทำท่าว่ารู้ลึกรู้จริงรู้ว่าทีมแพทย์เป็นใคร ลึกตื้นหนาบางเป็นไง ทำเอาเวบซาบซึ้งฟ้าเดียวกันhttp://sameskyboard.com/ถึงกับล่มไปหลายวัน ทางทีมงานเลยต้องย้ายกระทู้สุดฮ็อตไปไว้อีกที่คือ http://sameskyboard.com/index.php?showtopic=37667&st=0 (21ก.ย. 22ก.ย. 23ก.ย. 24ก.ย. 25ก.ย. 26ก.ย. 27ก.ย. 28ก.ย. 30ก.ย./1 30ก.ย./2 1ต.ค. 2ต.ค.) จะอ่านเอาเรื่อง หรืออ่านเอาขำๆก็ตามสะดวก แต่เข้าไปแล้วก็ช่วยเจ้าภาพเขาหน่อยที่มันล่มบ่อยเพราะไม่มีน้ำเลี้ยง อยากบริจาคช่วยชุมชนฟ้าเดียวกันก็หาเบอร์บัญชีบริจาคที่นี่จ้าhttp://sameskyboard.com/index.php?showtopic=38048***
***ใกล้งานรำลึก6ตุลาเลือดเข้ามาเต็มที ปีนี้จัดที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์เหมือนเดิม เริ่มตั้งแต่7โมงเช้าไปยันทุ่มหนึ่ง ฟังบทกวีรำลึกวีรชน ๖ ตุลาโดย วัฒน์ วรรลยางกูล ตามด้วยกล่าวไว้อาลัยและสืบสานเจตนารมณ์วีรชน๖ตุลา ปาฐกถาประจำปี เรื่อง “ แนวคิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดี พนมยงค์ กับ เจตนารมณ์วีรชน ๖ ตุลา ๒๕๑๙” โดย ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล ต่อด้วยเสวนา “ อุดมการณ์ ๖ ตุลากับ อำมาตยาธิปไตย ”วิทยากรนำทีมโดย สุรชัย แช่ด่าน ผู้ประสานงานกลุ่มแดงสยาม ตามติดด้วยหัวข้อร้อนๆ" สรุปบทเรียน ๓๓ ปี ๖ ตุลา กับขบวนการขวาใหม่ในไทย"จัดโดย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย วิทยากร ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ คณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ ๖ ตุลา จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ***
***สอบถามรายละเอียดกิจกรรมรำลึก33ปี6ตุลา2519ที่ โครงการกำแพงประวัติศาสตร์ โทร. ๐๒-๖๑๓ ๒๐๑๑, ๐๑-๖๑๓ ๔๗๙๒ Email: octnet72@yahoo.com หรือคนรุ่นใหม่อยากรู้จักว่าเหตุการณ์6ตุลาเลือดคืออะไร ส่งผลสะเทือนมาถึงปัจจุบันนี้เช่นไร คลิ้กดูhttp://www.2519.net/เรื่องที่หัวร่อมิได้ร้องไห้มิออกได้แต่กลอกตามีสองเรื่อง เรื่องแรกสุรพล นิติไกรพจน์ มาเป็นประธานเปิดงาน เรื่องที่สอง ข่าวแว่วว่าอาจจะโดนห้ามใช้ห้องจัดงานในวันงาน 6 ตุลา หากอาจารย์ฝ่ายเสื้อเหลืองในธรรมศาสตร์มาประท้วง ดังนั้นคนเดือนตุลา หรือฝ่ายประชาธิปไตยต้องไปกันให้มากๆ หรือใครอยากไปดูน้ำหน้าพวกปฏิกริยาขวาจัดพ.ศ.นี้ห้ามใช้ห้องประชุมจัดงานก็น่าจะเข้าที***
***6 ตุลาคมปีนี้ยังเป็นวันครบรอบ 99 วันของการชุมนุมหน้าโรงงาน ของสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย ซึ่งธัญญยธรณ์ คีรีถาวรพัฒ์ รองประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ส่งข่าวมาว่า ตลอดระยะเวลาของการชุมนุมก็เผชิญกับความรุนแรงหลากหลายรูปแบบ สหภาพฯ พร้อมด้วยองค์กรเพื่อนมิตรจึงร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรุนแรงที่ถูกกระทำโดยรัฐ และเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเจตนารมณ์ของนักศึกษาและประชาชนที่ถูกปราบปรามในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 รวมถึงเพื่อให้เกิดการสรุปเป็นบทเรียนและมาตราการในการป้องกัน จัดการกับความรุนแรงดังกล่าวร่วมกัน เชิญร่วมเสวนาภายใต้หัวข้อ “สืบสานเจตนารมณ์ 6 ตุลากับความรุนแรงที่ไม่เคยจางหายไปจากกรรมกร” พร้อมด้วยกิจกรรมการแสดงดนตรีของนักศึกษาสลับกับการปราศรัยของผู้นำกรรมกรต่างๆ ณ ที่ชุมนุมหน้าโรงงาน นิคมอุตสาหกรรมเมืองใหม่บางพลี ซอย 7 อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่เวลา 17.00 – 20.00 น.อังคารที่6ตุลาคมนี้ สอบถามเพิ่มเติมกับจิตรา คชเดช (หนิง) สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ 087-020 - 6672 Skype : Jittra08***
***วันนี้ว่ากันพอหอมปากหอมคอ ความจริงยังเหลือข่าวฝาก ข่าวกิจกรรม ข่าวสังคมอีกเพียบ จะทยอยจัดไปวันละหน อย่าลืมครับพี่น้องเสื้อแดงท่านใดมีข่าวคราวกิจกรรม ความเึคลื่อนไหว นัดพบปะสังสรรค์ ข่าวสังคม งานบุญงานบวชงานสวดงานแต่ง ขึ้นบ้านใหม่ ขายรถเก่า ทำมาค้าขาย มีสินค้า บริการอะไรอยากประชาสัมพันธ์ อยากซื้ออยากขาย โฆษณาสารพัดบอกมาได้ หรือจะฝากตามหาญาติมิตรที่ห่างหายยังไงได้เสมอ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจใดๆทั้งสิ้น หากมีรูปมีคลิปทั้งลับและไม่ลับก็แนบไฟล์มาด้วย แล้วแจ้งมาที่"นักข่าวชาวรากหญ้า"เบอร์อีเมล์ thaienews@googlegroups.com หรือredseed1@gmail.com***
=+=นักข่าวชาวรากหญ้า=+=
Friday, October 2, 2009
แกนนำเสื้อแดงข้องใจ"รรท.ผบ.ตร."เบิกงบลับ30ล้าน จี้เผยรายละเอียด
ที่มา มติชน
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผบ.ตร.เบิกงบราชการลับ จำนวน 30 ล้านบาท ว่ามีความจำเป็นและเบิกไปใช้ในภารกิจอะไร พล.ต.อ.ปทีป ต้องออกมาพูดให้ชัดว่าภารกิจลับนั้นคืออะไรถึงไม่สามารถเบิกเป็นงบประมาณได้ตามปกติ แต่ต้องไปตั้งเป็นงบลับ ซึ่งก่อนหน้านี้พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรองผบ.ตร.ก็เคยเบิกงบลับจำนวน 10 ล้านบาทช่วงมีการรัฐประหาร 19 ก.ย. ดังนั้นขออย่าให้นำการต่อสู้ของประชาชนมาเป็นสาเหตุของการเบิกงบประมาณ
นอกจากนี้ แกนนำเสื้อแดงกล่าวถึงกรณีที่ประกาศยุทธวิธี แดงทั้งเดือน ในเดือนตุลาคม ว่า เนื่องจากเดือนตุลาคมมีวันสำคัญหลายอย่าง อาทิ เหตุการณ์ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย การครบรอบ 12 ปีของรัฐธรรมนูญ 2540 อย่างไรก็ตาม ปฎิเสธว่าไม่เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะมีขึ้นภายในเดือนต.ค.นี้
ความตึงเครียด
ที่มา ไทยรัฐ
สถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ด้าน จ.ศรีสะเกษ เขา พระวิหาร มีความตึงเครียดมากขึ้นทุกวัน ความสัมพันธ์ ทางการทูตก็ดูจะลดน้อยถอยลง การดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศของ คุณกษิต ภิรมย์ โดยเฉพาะกับชาติในอาเซียนด้วยกัน หละหลวมอย่างไร คงไม่ต้องมานั่งอธิบายกันให้เมื่อยตุ้ม โดยมรรยาทแล้ว การแสดงออกทางการทูตจะมีพิธีการปฏิบัติ
แต่ถึงขนาดผู้นำประเทศเพื่อนบ้านออกมา แสดงความไม่พอใจอย่างตรงไปตรงมา แสดงว่า เหลือจะทน การสร้างความสัมพันธ์หรือภาษาฝรั่งที่ว่า รีเลชั่นชิพ ยังขาดประสบการณ์ พูดไปแล้วเด็กทั้งนั้น
พฤติกรรมทั้งก่อนและหลังที่คุณกษิตเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ แก้ไขไม่ได้ อย่าว่าแต่ นายกฯฮุน เซน ของกัมพูชา เอาแค่ ฮอร์นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ก็ยังหมางเมิน
ไม่เห็นประเทศไทยอยู่ในสายตา
วันนี้ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับท่าทีของนายกฯกัมพูชาว่า เป็นเรื่องของการเมืองภายในของกัมพูชา ไม่ให้ความสำคัญในการที่จะไปเจรจาด้วย
จบเห่
นายกฯอภิสิทธิ์อาจจะอยากจะแสดง ศักยภาพของภาวะผู้นำประเทศไทย จะถูกที่ถูกเวลาหรือไม่ ต้องคิดให้รอบคอบ เรื่อง ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กำลังถูกเพ่งเล็งจากองค์กรสากล ระดับประเทศ อาทิ สหประชาชาติ หรือยูเนสโก
อนาคตข้อบาดหมางจะแรงขึ้นเรื่อยๆจนไปสู่ การตัดสินในระบบสากล ผลพวงที่ตามมาย่อมกระทบกับประเทศไทยแน่นอน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน ก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้ถึงกับต้องทำสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาเลย
เคยสังเกตไหมว่า ความร้าวฉานในบ้านเรา ทั้งภายในและภายนอก ทวีความรุนแรงมากขึ้น ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ
ดูเป็นขบวนการอย่างไรพิกล ความร่วมมือ การลงทุนร่วมกันในภูมิภาคนี้ ความหวังที่จะสร้างเอกภาพความเป็นหนึ่งเดียวในอาเซียน ทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงก็ดูจะริบหรี่เต็มที
อย่าลืมว่าปีนี้ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน มีตัวแทนคนไทยไปนั่งทำหน้าที่อยู่ทนโท่ แต่ไม่สามารถที่จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ขึ้นมาได้ตรงกันข้าม กลับสร้างความขัดแย้งมากขึ้น ปรากฏว่าทั้งความสมานฉันท์ในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อนบ้านติดลบ หรือรัฐบาลชุดนี้จะยึดหลักการที่ว่า
ความร้าวฉานคืองานของเรา.
หมัดเหล็ก
เมื่อโลกหยุดที่ ผบ.ตร.
ที่มา ไทยรัฐ
ผมยังไม่ลาออก"
โดยลีลาพลิ้วของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตีกรรเชียงหนีประเด็นข่าวนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจไขก๊อก ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบสัญญาณพิเศษในคิวตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่
ถึงขนาดยอมเดินตากฝนเพื่อเลี่ยงกองทัพนักข่าวที่ดักจ่อไมค์ถาม
ตลอดทั้งวันที่ 1 ตุลาคม ไม่ต้องเป็นอันทำอะไร ที่สุดเมื่อโดนเซ้าซี้หนักเข้า ก็บอกปัดเลี่ยงๆแค่ว่า ให้ไปถามนายนิพนธ์เอง เพราะไม่ได้พบกับนายนิพนธ์หลายวันแล้ว
อยากคุยเหมือนกัน แต่ติดต่อไม่ได้
ขณะที่ "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้จัดการใหญ่รัฐบาล ก็โบ้ยไม่ขอเป็นตัวกลางเคลียร์หัวใจระหว่างนายกฯกับนายนิพนธ์
เพราะไม่ได้เจอหน้านายกฯอภิสิทธิ์เลย ต่างคนต่างมีภารกิจ
เล่นซ่อนหากันสนุกไป
โดยจังหวะหยั่งเชิงวัดใจ เกมเพาเวอร์เพลย์วงในของคนประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง
แต่ที่แน่ๆ โดยการชิงจังหวะเล่นไว "ก๊วนรูปหล่อ" ชิงปล่อยชื่อ "หล่อเล็ก" นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะกุนซือนายกฯอภิสิทธิ์
ล็อกเก้าอี้ จองโควตาเสียบแทนนายนิพนธ์ก่อนแล้ว
"วอลเปเปอร์" ยึดฉากหลัง "อภิสิทธิ์" แบบเบ็ดเสร็จ
แต่ก็เป็นอะไรที่บ่งบอกสถานการณ์ของ "เด็กดื้อ" กำลังเข้ามุมอับ โดยสัญญาณการขยับออกหน้าโรงของยี่ห้อ "ชวน หลีกภัย" บรมกุนซือของนายกฯอภิสิทธิ์ ออกมาช่วยศิษย์เอกเคลียร์หน้าเสื่อ
ยังเชื่อมั่นว่า วิธีแก้ปัญหาของนายกฯจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารบ้านเมือง
เรื่องของเรื่อง ช่วยการันตี "ภาวะผู้นำ" ของ "อภิสิทธิ์"
และโดยคำตอบที่เฉลยกันเป็นนัยๆ นายชวนกางหลักการปูทางให้ศิษย์เอก
"เรื่องแต่งตั้ง ผบ.ตร. ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเกินไป ถ้าเสร็จได้ก็ดี ถ้าไม่เสร็จด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับ คิดว่านายกฯคงใช้ดุลพินิจที่ดีที่สุดในการเลือกคนที่เหมาะสมมาเป็น ผบ.ตร."
พอจะตีความได้ กล้าเสี่ยงท้าทายสัญญาณพิเศษแล้ว ก็ต้องยื้อให้สุด
ตามเกมก็อย่างที่นายกฯอภิสิทธิ์ส่งสัญญาณผ่านช่อง "วอลเปเปอร์" นายศิริโชค โสภา คนสนิทที่ยืนอยู่ฉากหลังออกมาพูดแทน
เป็นไปได้ที่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ จะรักษาการ ผบ.ตร.ไปจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ
ซึ่งขึ้นอยู่กับที่ประชุม ก.ต.ช.จะมีเอกภาพและเข้าใจบทบาทหน้าที่เมื่อใด เพราะ ก.ต.ช.หลายคนยังไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ คิดว่าตัวเองมีอำนาจ เสนอตั้ง ผบ.ตร.อยู่ ซึ่ง พล.ต.อ.ปทีปที่นายกรัฐมนตรีเสนอ มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งอาวุโส ที่สำคัญไม่มีประวัติด่างพร้อย ไม่เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยและอาญา
ส่วนกรณีที่มีอดีตนายตำรวจจะฟ้องนายกรัฐมนตรีที่ไม่สามารถแต่งตั้ง ผบ.ตร.ก่อนวันที่ 30 กันยายน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องฟ้อง ก.ต.ช.ด้วย จะฟ้องนายกฯคนเดียวไม่ได้ เพราะนายกฯพยายามเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่แล้ว แต่ ก.ต.ช.ไม่เอาเอง
ยังมั่นใจในอำนาจ "นายกรัฐมนตรี"
แม้โดยเกมที่หลายฝ่ายจะทักว่า การที่นายอภิสิทธิ์ตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ให้เป็นรักษาการ ผบ.ตร. ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายนายอภิสิทธิ์เอง เพราะจะทำให้ พล.ต.อ.ปทีป ไม่มีสิทธิโหวตเลือก ผบ.ตร.ในการประชุม ก.ต.ช. เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
แต่ผลเสียหายยิ่งกว่า เมื่อโลกของ "อภิสิทธิ์" หยุดนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ ผบ.ตร.คนใหม่
โดยจังหวะชิงออกตัวของค่ายภูมิใจไทย ยี่ห้อ "เนวิน ชิดชอบ" สั่งลูกทีมตีปี๊บผลงาน "แปลงเรื่องฉาวเป็นทุน" ทั้งคิวรถเมล์เช่าเอ็นจีวี 4,000 คัน ตั้งท่าเจาะฐานเสียง กทม. ขณะที่คดีทุจริตกล้ายางที่ศาลตัดสินยกฟ้อง ก็เข้าทางมุกหาเสียงของค่ายภูมิใจไทย ต้นยางใกล้จะกรีดน้ำยางได้ ทำให้คนอีสานลืมตาอ้าปาก
ยี่ห้อ "เนวิน" งัดลูกเขี้ยว พลิกเหลี่ยมสะสมแต้ม
หันไปที่พรรคเพื่อไทยก็ขยับแต่งตัว "ใส่เกราะ" เตรียมออกศึก
ล่าสุด "เสธ.หมึก" พล.ท.พิรัช สวามิวัศดุ์ นายทหารคนสนิทของ "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ เปิดเผยว่า ในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ พล.อ.ชวลิต จะเดินทางไปพรรคเพื่อไทยในเวลา 09.00 น. ตามคำเชิญของผู้บริหารพรรค
ภายหลังตัดสินใจรับตำแหน่งประธานพรรคเพื่อไทย
ชิงจังหวะ "อภิสิทธิ์" ติดหล่ม คู่ต่อสู้ชิงออกตัวนำไปแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
“ประดิษฐ์” สั่งเดินหน้าหวยออนไลน์
ที่มา ไทยรัฐ
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
ลั่นหวยบนดินแก้ไขหวยแพงได้ แต่ต้องทำตาม พ.ร.บ.สำนักงานสลากฯปี2517 เผย 6 ต.ค.นี้เตรียมเปิดโพลความเห็นประชาชนต่อหวยออนไลน์
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กำลังพิจารณาถึงภาระภาษีหัก ณ ที่จ่าย และมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่ายให้แก่กรมสรรพากรวงเงินรวม 8,870 ล้านบาท และภาษีการพนัน 12,792 ล้านบาท ที่ต้องจ่ายให้แก่กระทรวงมหาดไทย 21,662 ล้านบาท ขณะที่สำนักงานสลากฯ มีเงินกองทุนที่เกิดจากกำไรสะสมของการจำหน่ายสลากแบบเลขท้ายพิเศษ 2 ตัวและ 3 ตัว หรือ หวยบนดิน และรวมดอกเบี้ยแล้วเพียง 18,500 ล้านบาท โดยตนจะนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับกรมสรรพากรว่า จะลดหย่อนภาษีลงมาได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนการสำรวจความเห็นของประชาชน เกี่ยวกับหวยออนไลน์ คาดว่า ดำเนินการเสร็จแล้ว และคณะกรรมการสำนักงานสลากฯ (บอร์ด) กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยกระทรวงการคลังยังคงให้กับการสนับสนุนหวยออนไลน์เหมือนเดิม ในฐานะที่ตนรับผิดชอบ และเรื่องดังกล่าว ได้ผ่านมา การพิจารณาของ รมว.คลัง มาแล้วถึง 3 สมัย โดยยืน ยันว่า หวยบนดินสามารถแก้ไขการจำหน่ายสลากเกินราคาได้ ดังนั้น หากจะมีการเปิกการให้เล่นหวยบนดินก็ต้องทำตาม พ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ ปี2517 โดยนำรายได้ไปจัดสรรเป็นเงินเงินรางวัล 60% ส่วน 28%นำส่งรายได้แผ่นดินและอีก 12% เป็นค่าบริหารจัดงานของสำนักงานสลากฯ หากทำตามนี้แล้ว ไม่ผิดกฎหมายก็พร้อมที่จะดำเนินการ ในเมื่อมีคำพิพากษาแล้ว ทุกอย่างก็มีความชัดเจนมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 6 ต.ค.นี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จัดงานแถลงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบ เลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ด้วยเครื่องจำหน่ายสลาก (หวยออนไลน์) โดยงานดังกล่าวจะมีความคิดเห็นของประชาชนกว่า 1 หมื่นคนทั่วประเทศ ที่มีต่อหวยออนไลน์ในหัวข้อ ประชาชนอยากให้มี หรือไม่อยากให้มีหวยออนไลน์มากกว่ากัน, ผลดี – ผลเสีย ของโครงการ, “หวยออน ไลน์” แก้ปัญหา “หวยใต้ดิน กับ ลอตเตอรี่” เกินราคาได้จริงหรือ?,มาตรการเยียวยา ด้านสังคม เยาวชน และผู้จำหน่าย(ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส) ให้อยู่ร่วมกันได้
สัญญาณพิเศษ สัญญาณร้ายทำลายไทย !
ที่มา Thai E-News
โดย จั่นเจา เอ็มไทย
2 ตุลาคม 2552
ซึ่งหมายความว่า ประเทศไทยเรานี้หาได้มีประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ประชาชนพากันไปลงคะแนนเลือกตั้งเข้ามาให้เป็นตัวแทนของพวกเขาในการบริหารราชการแผ่นดินหาได้มีอำนาจในการที่จะบริหารราชการแผ่นดินจริงอย่างที่มันควรจะเป็นไปตามครรลองไม่ แต่ต้องมาถูกแทรกแซง ครอบงำ ชักใย อยู่ตลอดเวลาจากคนที่เราก็รู้ว่าใคร ( แต่เสือกพูดไม่ได้ซะงั้น )
** จากกรณี ( แอบ ) อ้างสัญาณพิเศษของใครต่อใครหลาย ๆ คนในการแต่งตั้งผบ.ตร.**
ซึ่งสื่อต่าง ๆ ก็ลงข่าวเกี่ยวกับสัญญานพิเศษที่ว่านี้กันอย่างหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น หวาดกลัว ตระหนก หรือตระหนักว่า ถ้าสัญญาณพิเศษที่ว่านั้นมีจริง ๆ แล้วมันก็หมายความว่าประเทศไทยของเรามีอำนาจนอกระบบ มีผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญที่คอยชี้นำ ก้าวก่าย แทรกแซง และบงการการบริหารราชการแผ่นดินและความเป็นไปของประเทศอยู่จริง
ซึ่งหมายความต่อไปอีกว่า ประเทศไทยเรานี้หาได้มีประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ประชาชนพากันไปลงคะแนนเลือกตั้งเข้ามาให้เป็นตัวแทนของพวกเขาในการบริหารราชการแผ่นดินหาได้มีอำนาจในการที่จะบริหารราชการแผ่นดินจริงอย่างที่มันควรจะเป็นไปตามครรลองไม่
แต่ต้องมาถูกแทรกแซง ครอบงำ ชักใย อยู่ตลอดเวลาจากคนที่เราก็รู้ว่าใคร ( แต่เสือกพูดไม่ได้ซะงั้น )
นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำสูงสุดในการบริหารประเทศไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจห่าเหวอะไรเลย ถ้าเกิดอยากจะตัดสินใจแต่งตั้งบุคคลากรหรือออกกฏหมายอะไรสักอย่างเพื่อการบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้า ( หรือจะตรงกันข้ามก็ตาม ) หากไม่ได้รับการเห็นชอบ หรือยินยอมจากขาใหญ่ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่รู้สึกได้ด้วยใจ และสมองที่ไม่ได้ปัญญาอ่อน ก็อย่าหวังเลยว่าจะปฏิบัติภารกิจอะไรให้ลุล่วงไปได้
นี่มันไม่อันตราย นี่มันไม่ทำร้ายทำลายประเทศไทยของเราเลยหรือไงในสายตาของสื่อและนักวิชาการทั้งหลายที่ปวารณา ( และยกหาง ) ตัวเองว่าจะเป็นหมาเฝ้าบ้านที่จะคอยปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดินจนชีวิตจะหาไม่ ถึงได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยว่าเราคนไทยทั้งประเทศกำลังถูกจูงจมูกอย่างกับวัวกับควายให้ใครบางคนหรือบางพวกลากไปทางซ้ายย้ายไปทางขวาเอาแต่ตามใจชอบ
ก็ลืมไปว่าประเทศเรายังมีคนไทยหัวใจทาสอีกมากมายที่พร้อมจะร่วมมือ หรือศิโรราบให้ใครหน้าไหนก็ได้ที่ไม่ว่าจะดูสูงส่งอย่างมือ ( หรือตีน ) ที่มองไม่เห็น หรือแม้แต่นักการเมืองน้ำเน่าที่ในสายตาที่แท้จริงของคนพวกนี้แล้วยิ่งกว่าเห้กว่าตะกวดอย่างนายเนรวิน ขอเพียงให้อยู่ตรงข้ามและเหยียบย่ำทำลายทักษิณและคนเสื้อแดงได้เป็นพอ คือขอแค่มึงเป็นศัตรูของทักษิณต่อเลวชาติชั่วช้าขนาดไหนก็พร้อมจะพลีกายพลีใจเป็นพวกเป็นทาส
ใครจะยอมก็ยอมไป แต่คนไทยที่หัวใจไม่ใช่ไพร่ไม่ใช่ทาสเยี่ยงกูนี้จะไม่มีวันยอมอยู่ใต้อุ้งตีนอ้าย-อีหน้าไหนก็ตามให้มันมาคอยบงการชี้ซ้ายชี้ขวาให้แผ่นดินไทยที่กูรักพินาศฉิบหายอย่างที่เป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้
จะนานแค่ไหนก็จะวัดใจสู้ให้มันรู้กัน สู้ไม่ได้ก็ขอตายอย่างคนที่มีศักดิ์ศรีของความเป็นคนเท่าเทียมกับมนุษย์ทุกผู้ในแผ่นดินนี้ที่ขี้เหม็นและตายได้เหมือนกันทุกคน หาได้มีเทพเทวดาที่ขี้หอมและมีชีวิตเป็นอมตะไม่
ไม่ใฝ่ฝันจะเป็นเทพ ไม่ยินยอมจะเป็นไพร่จะขอเป็นคนไทยธรรมดาที่เดินดินกินข้าวสุกที่มีเกิดมีแก่มีเจ็บมีตายแค่นั้นก็พอ !
สังคมข่าวชาวเสื้อแดง:2ตุลาคมนี้มีทั้งข่าวลึกข่าวลับข่าวลวงและข่าวฮา(ไม่ออก)
ที่มา Thai E-News
***ไทยอีนิวส์เปิดคอลัมน์"สังคมข่าวชาวเสื้อแดง"ขึ้นมารองรับกิจกรรมข้อมูลข่าวสารต่างๆของคนเสื้อแดง พี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยทั่วประเทศ ทั่วทุกมุมโลก ประเดิมเริ่มแรกตั้งแต่วานนี้เป็นต้นไป แจ้งข้อมูลข่าวสารรูปภาพ คลิปข่าวงานกิจกรรมส่วนรวม หรือส่วนตัวก็ไม่ขัดข้อง หรือความเคลื่อนไหวต่างๆมาได้ฟรีๆ ไม่ต้องเสียค่าลงข่าวแต่อย่างใด ส่งเมล์มาหา"นักข่าวชาวรากหญ้า"เบอร์อีเมล์ thaienews@googlegroups.com หรือredseed1@gmail.com***
***ศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2552 ขึ้น13ค่ำเดือน11 หากเบื่อสื่อเหลือง เอือมสื่อหลัก กลัวสื่อแดงปั่นหัว นี่เลยข่าวสารเที่ยงตรงจากทีมงานหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท รับข่าวสารเที่ยงตรง SMS ประชาไท AIS DTAC TRUE สมัครง่ายๆพิมพ์ R 01 แล้วส่งไปที่ 4853560 (พิมพ์Rเว้นวรรคแล้วตามด้วย01) ค่าบริการ 29 บาทต่อเดือน ทดลองใช้ฟรีก่อน 14 วัน ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์กรุณาส่งต่อให้เพื่อนๆ ด้วยจ้า***
***รายงานข่าวจากคุณ Alienet สายข่าวเจ้าเดิมจากเว็บบอร์ดชมรมฟ้าใหม่ เปิดเผยถึงสถานการณ์หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ได้แต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ขึ้นรักษาการณ์ ผบ.ตร.แห่งชาติ ว่าอาจจะถูกเรียกตัวเข้าพบโดยบุคคลสำคัญในวันศุกร์นี้
"เห็นข่าวปทีป ณ สนธิลิ้ม ยิ้มร่ารักษาราชการแทนผบ.ตร. สำทับด้วยทีมวอลเปเปอร์ว่า จะให้รักษาการยาว 1 ปี จนเกษียณทั้งปทีปและจุมพล ดูช่างครึกครื้น สนุก สุขใจ กันมาก สายวันนี้มีคนจากเวปฟ้าใหม่โทรไปถามทีมวอลเปเปอร์ว่า มีพระบัญชาให้มาร์คไปเฝ้าวันพรุ่งนี้ที่ 2 ต.ค.รู้หรือเปล่า วอลเปเปอร์เหวอไปตามๆ กัน เช็คข่าวกันวุ่น ในที่สุดก็ได้รับการยืนยันจากนิพนธ์ว่าเป็นจริง ตอนบ่ายเลยระดมสุมหัวกันปรึกษาหารือ ร้องแรกแหกกะเฌอหาป๋ากันยกใหม่ แถมสำทับมาด้วยว่า ไม่ต้องอ้างแม่ เพราะจะคุยกันพร้อมหน้าทั้งลูกทั้งแม่ด้วย เป็นไง...ซ่ากันนัก โปรดติดตาม...55555"***
***ช่วงนี้มี"ข่าวสำคัญ"ที่คนต้องซอกแซกหา ทำเอาบอร์ดชุมชนฟ้าเดียวกันล่ม เพราะมีคนไปเขียนกระทู้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบุคคลสำคัญ อ้างว่าเป็นคนในแวดวงการแพทย์ ทำท่าว่ารู้ลึกรู้จริงรู้ว่าทีมแพทย์เป็นใคร ลึกตื้นหนาบางเป็นไง ทำเอาเวบซาบซึ้งฟ้าเดียวกันhttp://sameskyboard.com/ถึงกับล่มไปหลายวัน ทางทีมงานเลยต้องย้ายกระทู้สุดฮ็อตไปไว้อีกที่คือ http://sameskyboard.com/index.php?showtopic=37667&st=0จะอ่านเอาเรื่อง หรืออ่านเอาขำๆก็ตามสะดวก แต่เข้าไปแล้วก็ช่วยเจ้าภาพเขาหน่อยที่มันล่มบ่อยเพราะไม่มีน้ำเลี้ยง อยากบริจาคช่วยชุมชนฟ้าเดียวกันก็หาเบอร์บัญชีบริจาคที่นี่จ้าhttp://sameskyboard.com/index.php?showtopic=38048***
***ใกล้งานรำลึก6ตุลาเลือดเข้ามาเต็มที ปีนี้จัดที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์เหมือนเดิม เริ่มตั้งแต่7โมงเช้าไปยันทุ่มหนึ่ง ฟังบทกวีรำลึกวีรชน ๖ ตุลาโดย วัฒน์ วรรลยางกูล ตามด้วยกล่าวไว้อาลัยและสืบสานเจตนารมณ์วีรชน๖ตุลา ปาฐกถาประจำปี เรื่อง “ แนวคิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดี พนมยงค์ กับ เจตนารมณ์วีรชน ๖ ตุลา ๒๕๑๙” โดย ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล ต่อด้วยเสวนา “ อุดมการณ์ ๖ ตุลากับ อำมาตยาธิปไตย ”วิทยากรนำทีมโดย สุรชัย แช่ด่าน ผู้ประสานงานกลุ่มแดงสยาม ตามติดด้วยหัวข้อร้อนๆ" สรุปบทเรียน ๓๓ ปี ๖ ตุลา กับขบวนการขวาใหม่ในไทย"จัดโดย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย วิทยากร ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ คณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ ๖ ตุลา จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ***
***สอบถามรายละเอียดกิจกรรมรำลึก33ปี6ตุลา2519ที่ โครงการกำแพงประวัติศาสตร์ โทร. ๐๒-๖๑๓ ๒๐๑๑, ๐๑-๖๑๓ ๔๗๙๒ Email: octnet72@yahoo.com หรือคนรุ่นใหม่อยากรู้จักว่าเหตุการณ์6ตุลาเลือดคืออะไร ส่งผลสะเทือนมาถึงปัจจุบันนี้เช่นไร คลิ้กดูhttp://www.2519.net/เรื่องที่หัวร่อมิได้ร้องไห้มิออกได้แต่กลอกตามีสองเรื่อง เรื่องแรกสุรพล นิติไกรพจน์ มาเป็นประธานเปิดงาน เรื่องที่สอง ข่าวแว่วว่าอาจจะโดนห้ามใช้ห้องจัดงานในวันงาน 6 ตุลา หากอาจารย์ฝ่ายเสื้อเหลืองในธรรมศาสตร์มาประท้วง ดังนั้นคนเดือนตุลา หรือฝ่ายประชาธิปไตยต้องไปกันให้มากๆ หรือใครอยากไปดูน้ำหน้าพวกปฏิกริยาขวาจัดพ.ศ.นี้ห้ามใช้ห้องประชุมจัดงานก็น่าจะเข้าที***
***6 ตุลาคมปีนี้ยังเป็นวันครบรอบ 99 วันของการชุมนุมหน้าโรงงาน ของสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย ซึ่งธัญญยธรณ์ คีรีถาวรพัฒ์ รองประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ส่งข่าวมาว่า ตลอดระยะเวลาของการชุมนุมก็เผชิญกับความรุนแรงหลากหลายรูปแบบ สหภาพฯ พร้อมด้วยองค์กรเพื่อนมิตรจึงร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรุนแรงที่ถูกกระทำโดยรัฐ และเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเจตนารมณ์ของนักศึกษาและประชาชนที่ถูกปราบปรามในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 รวมถึงเพื่อให้เกิดการสรุปเป็นบทเรียนและมาตราการในการป้องกัน จัดการกับความรุนแรงดังกล่าวร่วมกัน เชิญร่วมเสวนาภายใต้หัวข้อ “สืบสานเจตนารมณ์ 6 ตุลากับความรุนแรงที่ไม่เคยจางหายไปจากกรรมกร” พร้อมด้วยกิจกรรมการแสดงดนตรีของนักศึกษาสลับกับการปราศรัยของผู้นำกรรมกรต่างๆ ณ ที่ชุมนุมหน้าโรงงาน นิคมอุตสาหกรรมเมืองใหม่บางพลี ซอย 7 อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่เวลา 17.00 – 20.00 น.อังคารที่6ตุลาคมนี้ สอบถามเพิ่มเติมกับจิตรา คชเดช (หนิง) สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ 087-020 - 6672 Skype : Jittra08***
***ข่าวสังคมดีๆ ได้อีเมล์ร้อนด่วนๆมาจากหนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์ พระอาจารย์วิษณุพร ภทฺทปญฺโญ วัดพุสวรรค์ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เข้าเยี่ยมสำนักงานไทยเรดนิวส์ เมื่อวานนี้(1ตุลาคม) พร้อมอาราธนาพรให้กับทีมงานไทยเรดนิวส์ หนังสือพิมพ์คนเสื้อแดง โดยมีกองบรรณาธิการ นำโดยมี ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น และ คุณสุพิชฌาย์ พัฒนะพันธุ์ ให้การต้อนรับท่านเกจิอาจารย์ดัง เป็นมงคลกับชาวคณะอย่างยิ่ง ชมภาพกิจกรรม คลิ้ก http://www.youtube.com/watch?v=6yK-O-Q0xVQ***
***วันเดียวกันนี้(1ตุลาคม)"กลุ่มพลังสตรีเพื่อประชาธิปไตย" นำโดยคุณณัชชา โฆษิตรัฐพรสิน(คุณน้อง)และคณะ เข้าเยี่ยมชมสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์ พร้อมกับให้กำลังใจกองบรรณาธิการ ในการเป็นสื่อกลางนำเสนอข่าวสารข้อมูลเพื่อประชาธิปไตยสู่สังคมไทย โดยมี ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์ และ คุณสุพิชฌาย์ พัฒนะพันธุ์ ให้การต้อนรับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักอบอุ่น คนคุ้นๆหน้าทั้งนั้น คลิ้กชมความสวยความหล่อได้ที่http://www.youtube.com/watch?v=wJLuNgpvgdo หรือ http://www.youtube.com/watch?v=QoIaufDwMCM***
***คนจะดังเอาช้างฉุดไว้ก็ไม่อยู่"โน้ต-อุดม แต้พานิช"เจอคู่แข่งซะแล้ว เมื่อท่านดร.สุนัย จุลพงศธรเปิด "เดี่ยวไมโครโฟน เสวนาระบอบอำมาตย์กับทางออกสังคมไทย" โดย คุณสุนัย จุลพงศธร พร้อมฟังกวีประชาชนคนรากหญ้า ไม้หนึ่ง ก.กุนที ณ ห้องราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์ บัตรราคาเบาๆแค่ 300 บาท อุดหนุนได้ที่หน้างาน หรือ ถามรายละเอียดให้คนทำงานมีกำลังใจสู้ๆเพื่อประชาธิปไตยได้ที่ คุณทรงชัย 081 4000 433 จัดโดย กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยของสมยศ พฤกษาเกษมสุข เงินรายได้ ไว้ใช้จัดงาน รำลึก เดือนตุลา และ เผยแพร่ประชาธิปไตย..งานนี้จะเอาฮาก็ไหว จะเอาเนื้อๆก็ได้ อย่าลืมให้กำลังใจกันและกันนะชาวเสื้อแดง***
***สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอเชิญร่วมงานเปิดนิทรรศการ ภาพคัตเอาท์การเมืองเดือนตุลา และ35ปีแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย(ในวาระครบรอบ ๓๕ ปี แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย) วันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. ชมวิดีทัศน์ สร้างสาน ตำนานศิลป์ แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย พิธีเปิดนิทรรศการ โดยชมรมโดมรวมใจ ชมรมเพื่อนจุฬา ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เลขที่ ๖๕/๑ สุขุมวิท ๕๕ (ซอยทองหล่อ) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๑๐ โทรศัพท์ ๐-๒๓๘๑-๓๘๖๐-๑ โทรสาร ๐-๒๓๘๑-๓๘๕๙ E-mail: banomyong_inst@yahoo.com ร่วมเสวนา“ มองย้อน-ร่องรอยศิลปะกับการเมืองเดือนตุลา ในทัศนะของคนต่างรุ่น” แถมท้ายดูหนังหาดูยากเวลา ๑๖.๑๕ น. เรื่อง“JONATHAN LIVINGSTON SEAGULL 1973” colour 99 minutes ใครที่ยัง"แสวงหา"อยู่น่าไปดู ใครเลิกแสวงหาแต่ยังไม่แสวงเหาใส่หัวยิ่งน่าไป***
***พันธ์ศักดิ์ ซาบุ หัวหน้าสถานี วิทยุชุมชนคนรักไทย FM 95.25 MHz.ขอแรงเพื่อนเสื้อแดงให้กำลังใจวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคมนี้ โดยได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ เพื่อหาทุนชำระค่าเครื่องส่งใหม่ของสถานีวิทยุชุมชนคนรักไทย ในวันที่อาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๗.๐๐ น. ณ สมาคมนักเรียนเก่าอำนวยศิลป์ ถ.ประชาชื่น เขต จตุจักร ใกล้กับ โรงเรียนเพร็ชรัตน์ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงอาหารแบบโต๊ะจีน ติดต่อส่งกำลังใจไปกันให้ล้นหลาม โทรศัพท์. 089-019-6935 หรือ ส่งแฟกซ์ 02-690-0416 เพื่อให้คนเสื้อแดงมีสื่อเหลือไว้ให้ฟังกันมั่งก็ยังดี ไม่งั้นรัฐมนตรีเตี้ยหนองในมันก็ขย่มเขย่าเอาล่อเอาเถิดไม่เลิก***
***คุณPickyเสื้อแดงญี่ปุ่นแจ้งข่าวล่ามาช้าหน่อย เพราะมัวแต่ปลื้ม เมื่อวันที่20 กันยายนที่ผ่านมา ที่จังหวัดชิบะ เขตอาซาฮิ ประเทศญี่ปุ่น คนเสื้อแดงแดนปลาดิบมีความคึกคักเข้มเข็งอย่างมาก เมื่อมีการโฟนอินของท่านนายกฯทักษิณมายังนปช.ไทยในญี่ปุ่นเป็นเวลากว่า 20นาที ทำให้เสื้อแดงไทยในญี่ปุ่นมีกำลังใจในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง การจัดงานชุมนุมครั้งนี้เป็นการพบปะสังสรรค์ ทำความรู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง ทำให้พวกเรามีพลังที่จะลุกขึ้นมาแสดงความเห็นทางการเมืองย่ำแย่ที่บริหารงานโดยรัฐบาลโอบ้ามารค์ชุดนี้***
***แกนนำสุภาพสตรีที่แจ้งข่าวมายัง"นักข่าวชาวรากหญ้า"บอกว่า จากการโฟนอินของท่านทักษิน เราชาวสีแดงในญี่ปุ่นได้ข้อคิดมากมาย ดิฉันก็เป็นคนหนี่งที่ได้สนทนากับท่านทักษิน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านได้ให้คำแนะนำและให้ข้อคิด ส่วนตัวการจัดงานครั้งนี้ถึงแม้จะติดขัดอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็เป็นไปด้วยความสนุกสนานที่ได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะทางความคิด พวกเรารู้สึกยินดีที่ท่านทักษินไม่ทอดทิ้งคนที่อยู่แดนไกลทั้งตอนที่เป็นรัฐบาล และตอนที่โดนปล้นอำนาจ ท่านก็ไม่ทอดทิ้งพวกรา ทำให้พวกเรามีแรง มีพลังในการขับเคลื่อนจัดกิจกรรมทางการเมืองอย่างถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยต่อไป***
***ดิฉันกับนปช.ญี่ปุ่นจะจัดงานชุมนึงอีกครั้ง ก่อนวันที่14 ตุลาที่จะถึงนี้ ภายใต้ชื่องาน "อำลารัฐบาลไก่อ่อน" จึงขอเรียนปรึกษาเสื้อแดงทางเมืองไทยเรื่องโปสเตอร์รูปท่านทักษินค่ะ คืออยากได้แบบใหญ่มากๆไว้ติดหน้างาน หรือเป็นแบ็คกราวนด์ ค่าจัดส่งทางดิฉันกับนปช.ญี่ปุ่นจัดเองได้ค่ะ เพราะเห็นว่า ทางเมืองไทยมีการจัดงานหลายครั้งน่าจะพอมีใครให้คำแนะนำดีดี (หรือให้ฟรีก็ดีนะคะ) ทางเรารวบรวมพลังในการขับเคลื่อนครั้งนี้มากค่ะ ใช้พลังในการบอกต่อและเรียนเชิญ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านคงให้คำแนะนำได้...เอ้าพี่น้องเสื้อแดงในเมืองไทยใครมีประสบการณ์มีฝีมือทางนี้ติดต่อคุณPickyไปโดยตรงที่อีเมล์tatswilai@hotmail.com ไม่ต้องผ่านลุงหนวดแต่อย่างใด***
***วันนี้ว่ากันพอหอมปากหอมคอ ความจริงยังเหลือข่าวฝาก ข่าวกิจกรรม ข่าวสังคมอีกเพียบ จะทยอยจัดไปวันละหน อย่าลืมครับพี่น้องเสื้อแดงท่านใดมีข่าวคราวกิจกรรม ความเึคลื่อนไหว นัดพบปะสังสรรค์ ข่าวสังคม งานบุญงานบวชงานสวดงานแต่ง ขึ้นบ้านใหม่ ขายรถเก่า ทำมาค้าขาย มีสินค้า บริการอะไรอยากประชาสัมพันธ์ อยากซื้ออยากขาย โฆษณาสารพัดบอกมาได้ หรือจะฝากตามหาญาติมิตรที่ห่างหายยังไงได้เสมอ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจใดๆทั้งสิ้น หากมีรูปมีคลิปทั้งลับและไม่ลับก็แนบไฟล์มาด้วย แล้วแจ้งมาที่"นักข่าวชาวรากหญ้า"เบอร์อีเมล์ thaienews@googlegroups.com หรือredseed1@gmail.com***
=+=นักข่าวชาวรากหญ้า=+=