WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, February 2, 2008

สมชายชี้ยกเลิกมาตรการกันสำรอง30%ต้องคิดหนัก

อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ ยกเลิกมาตรการกันสำรอง ร้อยละ 30 รัฐบาลใหม่ต้องคิดหนัก พร้อมมีมาตรการเสริมกันบาทแข็งค่า

นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค กล่าวถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่มีแนวคิดทบทวนมาตรการกันเงินทุนสำรอง ร้อยละ 30 ว่า ในสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ จากปัญหาซับไพร์มในสหรัฐอเมริกาเช่นนี้ การพิจารณายกเลิกมาตรการดังกล่าว
ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม หากมีการยกเลิกมาตรการกันเงินทุนสำรองร้อยละ 30 จริง ธนาคารแห่งประเทศไทย
จำเป็นต้องมีมาตรการแทรกแทรงค่าเงินบาทมาเสริม โดยเฉพาะการเข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งตัวอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ นายสมชาย ประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.5 เพื่อลด
ช่องหว่างระหว่างอัตรดอกเบี้ยภายในและภายนอกประเทศ หลัง ธนาคารกลางสหรัฐเมริกา ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว
ร้อยละ 0.75 และคาดว่าจะมีการปรับลดลงอีก

สมชายเชื่อน.พ.สุรพงษ์ พาเศรษฐกิจชาติรอด

อาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ เชื่อมั่นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ จะฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ เพราะมีอำนาจตัดสินใจและมีทีมงานที่มีประสบการณ์

นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค

กล่าวถึง น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยเชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปได้ เพราะมีทีมที่ปรึกษาที่ดีและมีประสบการณ์ แม้ว่า น.พ.สุรพงษ์ จะไม่มีประสบการณ์ในการบริหารด้านเศรษฐกิจมาโดยตรง แต่เนื่องจากเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจและมีความฉลาดจึงเชื่อมั่นว่า จะสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งลักษณะการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ถอดรูปแบบการทำงานของทีมเศรษฐกิจ สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร อดีตนายกฯ

อย่างไรก็ตาม นายสมชาย ยอมรับว่า ทีมเศรษฐกิจชุดนี้จะต้องเจอปัญหาเฉพาะหน้าที่หนักหน่วง คือภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ
จากปัญหาซับไพร์มในสหรัฐอเมริกาและการมีพรรคร่วมรัฐบาลถึง 6 พรรค ซึ่งจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน

ยุบพรรคเพื่ออะไร

คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กำลังพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมือง อย่างน้อยๆ 2 พรรค ในขณะนี้ คือ พรรคชาติไทย และ พรรคมัชฌิมาธิปไตย โดยมีเหตุผลว่า กรรมการบริหารพรรคถูกใบแดง


ว่ากันตามจริง เรื่องนี้ต้องผ่านขั้นตอนของสำนักงานอัยการสูงสุด และต้องผ่านขั้นตอนของ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกินเวลาอีกยาวนาน อย่างน้อยๆ ก็ว่ากันเป็น ครึ่งปี เพราะต้องมีการ สืบพยานในชั้นศาล กันวุ่นวายพอสมควร

การ ยุบพรรค ตามที่หลายคนคิดเห็นว่ามันจะ ง่ายดาย อะไรขนาดนั้นเชียวหรือ ทั้งที่ประชาชนเพิ่งจะให้ ฉันทานุมัติ ในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา และมีการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อจะทำงานบริหารชาติบ้านเมืองกันไปในไม่ช้านานนี้

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เขียนเพื่อให้ พรรคการเมืองอ่อนแอ ให้ ภาคการเมืองอ่อนแอ ตามที่มีคนติฉินนินทากันอย่างมากมาย ทั้งจากนักการเมือง ทั้งจากนักวิชาการ ทั้งจากประชาชน ที่ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ วันนี้กำลังจะเป็นจริงขึ้นมาเสียแล้ว

มีผู้รู้บอกว่า ตามหลักการการยุบพรรคการเมืองในต่างประเทศที่เป็นอารยชนนั้น เขาจะไม่ทำกันแบบพร่ำเพรื่อ ง่ายๆ เหมือนในประเทศไทย

การยุบพรรคจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ พรรคการเมืองนั้นทรยศอุดมการณ์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น เปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคหันไปสู่การเป็นเผด็จการอย่างชัดแจ้ง แบบนี้เขาถึงจะมีการเรียกร้องให้ศาลท่านมาพิจารณายุบพรรคการเมืองนั้นๆ ได้

เช่น บางพรรคการเมืองให้การสนับสนุนเผด็จการรัฐประหารอย่างออกหน้าออกตา โดยมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคอย่างชัดแจ้ง แบบนี้ก็อาจจะพิจารณาว่าเข้าข่ายในการยุบพรรค

แต่สำหรับประเทศไทย ดูเหมือนว่า อะไรนิดก็ยุบพรรค อะไรหน่อยก็ยุบพรรค

หลายฝ่ายต่างเริ่มสร้างกระแสเห็นดีเห็นงามกันจนจะทำให้การยุบพรรคกลายเป็น แฟชั่น

ที่สำคัญ แฟชั่นนี้ กำลังถูกทำให้ กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อประหัตประหารกันเองของคนในชาติไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

การเมือง มันควรจะ ยืดหยุ่น ขยับเขยื้อน ของมันไปได้ ไม่อย่างนั้น บ้านเมือง จะอยู่ในสภาพ เดดล็อก หรือ การล็อกตายทางการเมือง

การเมือง เลยกลายเป็น เรื่องที่น่าเบื่อหน่าย ของคนในชาติไปได้

หลายคนขณะนี้กำลังพูดถึงหลัก นิติศาสตร์

หลายคนขณะนี้กำลังพูดถึงหลัก รัฐศาสตร์

ในการจะพิจารณาตัดสินคดี ยุบพรรคการเมือง 2 พรรค ที่กำลังเป็น ข่าวครึกโครม อยู่ในเวลานี้

ไม่ว่าจะใช้หลักการอะไรก็แล้วแต่ในการพิจารณาคดี ยุบ 2 พรรคการเมือง ย่อมหนีไม่พ้น ความวุ่นวาย ที่กำลังจะตามมา

ทั้งที่ประเทศชาติประสบ วิกฤติเศรษฐกิจ อย่างแสนสาหัส

ทั้งที่ประเทศชาติประสบ วิกฤติการเมือง อย่างแสนสาหัส

ทั้งที่ประเทศชาติประสบ วิกฤติทางสังคม อย่างแสนสาหัส

การจะตัดสินพิจารณาอะไร ควรมองให้ถ่องแท้ถึงผลประโยชน์ชาติ และผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

บ้านเมืองจะต้องเดินหน้าต่อไป ดังนั้นควรหรือไม่ควร คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ควรจะยึดหลักการ นิติศาสตร์ หรือ รัฐศาสตร์ หรือหลักอะไรเป็นสำคัญ ก็ควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนเหมาะสม

เวลาของเรามีไม่มากในการแก้ไขเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นทุกคน ทุกฝ่าย ควรพึงสังวรณ์ ลดอคติที่มีต่อกัน พิจารณาแก้ปัญหาโดยใช้ หลักสร้างสรรค์ บ้างจะดีไหม

ถามว่า ยุบพรรคไปแล้วบ้านเมืองจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง ในโจทย์ใหญ่ๆ 3 เรื่อง อย่างที่กล่าวไว้นี้

อย่าให้ประเทศชาติบ้านเมืองวุ่นวายไปมากกว่านี้เลย แค่นี้ประชาชนก็ปวดเศียรเวียนเกล้ากันมามากพอแล้วล่ะ

ทำอะไรให้พอเหมาะ พอสมควรแก่เหตุกันบ้างเถิด ท่านผู้ใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้ คนไทยด้วยกันทั้งนั้น

บทบรรณาธิการ

'สมัคร'เปิดใจสื่อญี่ปุ่นควบรมว.กลาโหม-ไม่ย้าย'อนุพงษ์'

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจากประเทศญี่ปุ่นหลายสำนัก เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (1 ก.พ.) ณ ที่ทำการพรรคพลังประชาชน โดยเป็นการให้สัมภาษณ์เปิดใจครั้งแรกตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยสรุปสาระสำคัญมานำเสนอดังนี้

ประเด็นแรก เรื่องการควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม ซึ่งหลายฝ่ายเกรงจะมีปัญหาเรื่องการยอมรับรัฐมนตรีพลเรือน และอาจสร้างความขัดแย้งขึ้นในอนาคต นายสมัคร กล่าวว่า ที่ผ่านมา รมว.กลาโหม ส่วนใหญ่เป็นทหาร ซึ่งบางแง่มุมก็ทำให้เกิดปัญหา เพราะแต่ละคนมีรุ่น มีพวก รู้จักคนโน้นคนนี้ ในขณะที่ตัวเขาไม่มีรุ่น ไม่มีพวก จึงเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการได้

"การทำงานก็จะปล่อยให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นคนเสนอเรื่องและความเห็นต่างๆ ขึ้นมา ถ้าสิ่งไหนสมเหตุสมผล ผมก็อนุมัติให้ ส่วนเรื่องการบังคับบัญชาเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ตัวรัฐมนตรีมีหน้าที่กำกับนโยบายเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร"

เมื่อถามถึงการทำงานร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ปรากฏว่า นายสมัคร กล่าวชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา

"เรามี ผบ.ทบ.ที่ดี และเขาก็ยังมีอายุราชการอีก 3 ปี คงไม่มีใครไปย้ายเขา" นายสมัคร กล่าว

ต่อข้อถามถึงอำนาจในการจัดคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะการคัดเลือกตัวบุคคลมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งถูกมองว่าไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงนั้น นายสมัคร ยืนยันว่า เขามีอำนาจเต็มในการจัดโผ ครม.

"ใครบอกว่าผมไม่มีอำนาจ วันนี้ผมเป็นนายกฯ มีสิทธิในการจัดการเรื่องโผ ครม.เต็มที่ มี 12 ตำแหน่งที่ผมเปลี่ยนแปลงเอง เพราะตัวบุคคลที่เสนอมาไม่เหมาะสม ตัวผมเป็นหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการโดยไม่ต้องไปขออนุญาตจากใคร"

เมื่อซักถึงความเหมาะสมของว่าที่รัฐมนตรีแต่ละคน เช่น นายนพดล ปัทมะ ที่มีข่าวว่าจะได้ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายสมัคร อธิบายว่า นายนพดลได้รับทุนเล่าเรียนหลวง มีความรู้ความชำนาญเรื่องกฎหมาย เคยทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทย ก่อนจะมาเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นจึงมีความรู้ความสามารถที่จะทำได้แน่นอน

ส่วน นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่มีข่าวว่าจะได้เป็น รมช.ต่างประเทศ นั้น นายสมัคร กล่าวว่า ต้องการคนไปทำงานด้านอื่นมากกว่า จึงวางไว้ให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ถามถึง น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรค จะเป็น รมว.คลัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์งานด้านการเงินการคลังมาก่อน ประเด็นนี้ นายสมัคร พยายามยกตัวอย่างนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายคน ซึ่งบางคนก็ไม่ได้ศึกษามาทางด้านธุรกิจโดยตรง

"อย่างคุณหมอชัยยุทธ กรรณสูต ประธานกรรมการบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ เขาก็จบเป็นหมอนะ แต่ก็สามารถบริหารกิจการ เป็นเจ้าของธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่ได้ หรือคุณหมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ก็บริหารธุรกิจสายการบินได้ ผมจึงมั่นใจว่าคุณหมอสุรพงษ์มีความสามารถพอที่จะทำได้ ไม่มีปัญหาอะไร"

ต่อข้อถามว่าที่ผ่านมาได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ บ้างหรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า ได้คุยกันบ้างประมาณ 4-5 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โทรศัพท์มา

"ท่านก็โทร.มาแสดงความยินดีตอนเลือกตั้งชนะ ต่อมาก็โทร.มาแสดงความยินดีว่าจะได้เป็นนายกฯ แล้วนะ ส่วนใหญ่ท่านจะโทร.มา ผมไม่มีเบอร์คุณทักษิณ เวลาคุยกันก็มีคนอื่นต่อให้อีกที"

เมื่อถามว่า มีข่าวมาตลอดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ความช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับคดีความต่างๆ ปรากฏว่าคำถามนี้ทำให้ นายสมัคร หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

"ในประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้หรือไม่ ประเทศเราก็เหมือนกัน แม้เราจะเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่ก็ไม่มีใครแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้"

นายสมัคร กล่าวด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แม้จะตระหนักดีว่ารัฐธรรมนูญมีข้อบกพร่องหลายอย่าง เช่น ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) รวมไปถึงบทบัญญัติที่เป็นข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม แต่รัฐบาลจะมุงแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนก่อน

"ถ้าดูแล้วผมอยู่ได้ยาวครบเทอม 3 เดือนสุดท้ายค่อยแก้รัฐธรรมนูญก็ได้" นายสมัคร กล่าว

รัฐบาลใหม่ฟุ้งกู้ศก.ใน6เดือน

6 พรรค ร่วมรัฐบาล ร่างนโยบายรัฐบาลผสมชื่นมื่น มั่นใจกู้เศรษฐกิจได้ใน 6 เดือน

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวภายหลังการประชุมพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อจัดทำนโยบายบริหารประเทศว่า รัฐบาลชุดนี้ จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมให้สำเร็จ และเห็นผลเป็นรูปธรรมภายในเวลา 6 เดือน พร้อมกับจะผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชน และ นักลงทุนทั้งในและนอกประเทศกลับคืนมา

“ได้นำนโยบายภาพรวมของทุกพรรคมาหารือกัน แต่ไม่ใช่นโยบายรัฐบาล เพราะต้องรอการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.ก่อน จากนั้น จะประชุม ครม.นัดแรก เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการร่างนโยบายรัฐบาล คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ ก่อนจะให้นายกฯ เป็นผู้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา” นพ. สุรพงษ์ กล่าว

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานในที่ประชุม กล่าวว่า นโยบายประชานิยมนั้น หากสิ่งใด ที่ดีและประชาชนชื่นชอบก็จะ นำมาใช้ แต่นโยบายที่เด่นๆ คือ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โครงการเอสเอ็มแอล การกู้เงิน เพื่อการศึกษา หรือ กรอ.และ หวยบนดิน

นายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการ พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ทั้ง 6 พรรคเห็นพ้องไปในแนวทางเดียวกันคือ นโยบาย จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ พลังงานและการพัฒนามนุษย์

ด้านนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า ทั้ง 6 พรรคเห็นด้วยกับ ร่างนโยบายรัฐบาลในภาพกว้าง ส่วนรายละเอียดต้องหารืออีกครั้ง และจะนำมาพิจารณาว่านโยบายใดเป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศมากที่สุด

ขณะที่ นางอุไรวรรณ เทียนทอง ตัวแทนพรรคประชาราช เสนอ เรื่องการวางกรอบงบประมาณ ให้เพียงพอต่อการบริหารงาน ของกระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ ที่เน้นพัฒนาการศึกษาของเยาวชนและนโยบายชลประทานเพื่อการเกษตร และนโยบายท่องเที่ยวที่เป็นการ นำรายได้เข้าประเทศด้วย

ยันเป็นกลางคดียุบ2พรรค บุญทันขอคุ้ยความจริงให้กกต. [2 ก.พ. 51 - 09:48]

นายบุญทัน ดอกไธสง ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยกล่าววันนี้ (1 ก.พ.) ถึงการทำหน้าที่ว่า อนุกรรมการดังกล่าว จะศึกษาผลกระทบด้านสังคมว่า มีมากน้อยเพียงใด โดยจะพิจารณากระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง และการสืบสวนสอบสวนอีกครั้ง

"การกระทำบางอย่างอาจไม่ใช่เป็นการซื้อเสียง เช่น การให้เงินคนละ 200-300 บาท เพื่อไปหาเสียง แต่จุดนี้ตำรวจคงไม่ทราบ เมื่อคดีมาถึง กกต.กลาง กกต.จึงต้องตัดสินไปตามนั้น อนุกรรมการชุดนี้จึงจะเป็นผู้แสวงหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่เกรงว่า ผลสรุปของคณะอนุกรรมการจะขัดแย้งกับการให้ใบแดง เพราะเชื่อว่า กกต. ต้องการให้มีการยืนยันข้อเท็จจริงอีกครั้ง"นายบุญทัน กล่าว

ประชาสัมพันธ์: อภิปราย“วิเคราะห์กระแสยุบพรรคการเมือง”อาทิตย์นี้


กลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐
ขอเชิญฟังและร่วมอภิปราย

“วิเคราะห์กระแสยุบพรรคการเมือง”
โดย
วีระ มุกสิกพงษ์
ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น อดีตสมาชิกวุฒิสภา
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ


วันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น.
ณ ห้อง ๒๒๒ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สอบถาม/แจ้งการเข้าร่วม 0818229477
Email :
june24democrazy@yahoo.com

หมายเหตุ: ท่านสามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสด การอภิปรายดังกล่าวผ่านทางระบบวิทยุ หรือโทรทัศน์ออนไลน์ ของกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการได้ ตั้งแต่เวลา 13.00 น.

ที่มา:
เว็บบอร์ดคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ

จาก Thai E-News

อุดม ย้ำ คตส.สั่งฟ้องคดีหวยบนดินเองได้

คตส. 1 ก.พ. - “อุดม เฟื่องฟุ้ง” ย้ำ คตส.สั่งฟ้องคดีหวยบนดินเองได้ พร้อมแจงกฎหมายกำหนดให้ใช้พยานร่วมชั้นตรวจสอบ-ไต่สวนได้ โอดจะไปหาผู้เชี่ยวชาญให้คำจำกัดความหวยได้ที่ไหน เหตุไม่มีใครขึ้นทะเบียนไว้

นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2-3 ตัว หรือหวยบนดิน กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะทำงานร่วมระหว่าง คตส.และอัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็นไม่ตรงกันว่า เป็นประเด็นเรื่องความเข้าใจข้อกฎหมาย เมื่ออัยการสูงสุดเห็นไม่ตรงกับ คตส. ก็ต้องรับฟัง แต่จะปฏิบัติตามหรือไม่ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม คตส. โดยตัวแทนจาก คตส.จะเป็นผู้รายงานผลการประชุมผลให้ที่ประชุมใหญ่ได้รับทราบว่าจะมีทางออกเรื่องนี้อย่างไร จะฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 47 คนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุม

“ยืนยันว่าขั้นตอนการตรวจสอบและไต่สวนของ คตส.ได้ปฏิบัติตามระเบียบของ ป.ป.ช. และ คตส. ไม่ได้คิดเอาเอง โดยในระเบียบได้ระบุชัดเจนว่า การเอาสำนวนของ สตง.หรือสำนวนของพนักงานสอบสวนมาใช้เป็นสำนวนในชั้นของการไต่สวนสามารถทำได้ เพราะกฎหมายเห็นว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ต้องมีการพิจารณาอย่างรวดเร็ว หากจะให้นำพยานในชั้นตรวจสอบมาให้การในชั้นไต่สวนอีก หากคดีเกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมากก็จะทำให้การทำงานล่าช้าออกไป กฎหมายจึงกำหนดให้สามารถนำสำนวนในการตรวจสอบมาเป็นสำนวนในการไต่สวนได้ ซึ่งการที่อัยการสูงสุดมีความเห็นต่างก็เป็นสิทธิ ที่ต้องการให้สำนวนรัดกุมมากยิ่งขึ้น” นายอุดม กล่าว

นายอุดม กล่าวอีกว่า ประเด็นที่อัยการสูงสุดต้องการให้ผู้ชำนาญการพิเศษของกระทรวงมหาดไทยหรือของศาลมาให้ถ้อยคำเป็นพยานว่า การออกสลากพิเศษ 2-3 ตัว เป็นสลากกินรวบหรือสลากกินแบ่งนั้น จะไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จากที่ไหน เพราะไม่มีการจดทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญไว้ ที่สำคัญ คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยว่าการออกสลากดังกล่าวเป็นสลากกินรวบ จนรัฐบาลต้องเสนอแก้ไขกฎหมายให้ถูกต้องตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่ง คตส.ได้อ้างอิงการตีความจากหลายแห่ง และยืนยันตรงกันว่าเป็นสลากกินรวบ

เมื่อถามว่า การที่อัยการสูงสุดเห็นไม่ตรงกับ คตส.และ คตส.จำเป็นต้องตั้งทีมทนายขึ้นมายื่นฟ้องเอง จะส่งผลกระทบทำให้น้ำหนักในสำนวนอ่อนหรือไม่ นายอุดม กล่าวว่า ไม่เห็นเป็นไร เพราะคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เช่น คดี พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ถูกฆาตกรรม ยังชนะคดีได้ ซึ่งการชนะหรือแพ้ขึ้นอยู่กับเอกสารและหลักฐาน ไม่ใช่ความเห็นของอัยการเพียงคนเดียว ขอยืนยันว่า คตส.ได้มีการตรวจสอบและรวบรวมหลักฐานไว้อย่างรัดกุมแล้ว

นายสัก กอแสงเรือง คณะกรรมการร่วม คตส.กับอัยการสูงสุด ในฐานะโฆษก คตส.กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงยืนยันความเห็นที่แตกต่างทั้ง 5 ประเด็น คือ ต่างฝ่ายต่างยืนยันในเหตุผลของตัวเอง โดยคณะทำงานของ อสส. ยืนยันว่าให้ คตส.ตรวจสอบเพิ่มเติม ขณะที่คณะทำงานของ คตส.ยืนยันว่าผลสรุปการไต่สวนสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ดังนั้นคณะทำงานทั้ง 2 ฝ่ายจะกลับไปรายงานต้นสังกัดอีกครั้ง โดยตัวแทนของ คตส.จะรายงานต่อที่ประชุมใหญ่ คตส.ในวันที่ 4 ก.พ. นี้ เพื่อขอมติให้ที่ประชุมขอสำนวนคืนจากอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการต่อไปตามวิธีพิจารณาคดีความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย คตส.จะต้องมีการตั้งทีมทนายจากสภาทนายความ เพื่อเป็นทีมทนายยื่นฟ้องเองภายใน 14 วันนับตั้งแต่ได้รับสำนวนคืนจากอัยการสูงสุด

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้ที่ คตส.จะยื่นฟ้องสำนวนในคดีนี้เอง นายสัก กล่าวว่า ต้องขอมติในที่ประชุมใหญ่ คตส. ก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยขณะนี้ทีมทนายความจากสภาทนายความได้เริ่มตรวจสอบสรุปสำนวนของ คตส.แล้ว รวมทั้งตั้งคณะทำงานจากสภาทนายความเข้ามาเพิ่มเติมอีก 7 คน เพื่อเร่งตรวจสอบสำนวนดังกล่าวให้รัดกุมยิ่งขึ้น

เมื่อถามว่า คณะทำงานของทั้งสองฝ่ายยังยืนยันในเหตุผลของตัวเองจะส่งผลกระทบต่อคดีอื่นของ คตส.หรือไม่ นายสัก กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้น แต่ในวันที่ 4 ก.พ.นี้ คตส.จะมีการแถลงเหตุผลทั้ง 5 ข้อ เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างคณะทำงานของ คตส.กับคณะทำงานของอัยการสูงสุด เพื่อให้สาธารณชนรับทราบเหตุผลต่อไป และจากนี้จะไม่มีการประชุมกับอัยการสูงสุดอีกแล้ว. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-02-01 19:36:10

6พรรคชูประชานิยม"สมัคร"รับ ครม.อาจขี้เหร่

เตรียมฟื้น"หวยบนดิน"ยัน6เดือนเห็นผลงาน ปชป.เปิดตัวรัฐบาลเงา

6 พรรคร่วมรัฐบาลประกาศยึดแนวทางประชานิยมบริหารประเทศ เตรียมฟื้นคืนชีพ “หวยบนดิน” ด้าน “หมอเลี้ยบ”ตั้งเป้า 6 เดือนผลงานปรากฏ “นพดล” เผย “นายใหญ่”กลับไทยก่อน พ.ค.พร้อมให้ความคุ้มครองเต็มที่ ขณะที่ “ปลาไหล”แย้มเปิดโผ ครม.ออกมามีช็อค “หมัก”ยอมรับ ครม.อาจขี้เหร่ไปหน่อย เพราะไม่ได้เลือกเอง

ส่วน ปชป.เผยโฉม ครม.เงา พวกเขี้ยวลากดินจับจองกระทรวงกันสนุก “มาร์ค”วอนทุกพรรคให้ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ อย่ารังเกียจในสิ่งที่ดีรวมทั้งของ ปชป.ด้วย ฝ่ายรัฐมนตรีที่ใกล้หมดเวลาฝากสานงานต่อ เดินหน้าสร้างเขื่อน “แก่งเสือเต้น”เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำ

ด้านทูตมะกันร่วมแสดงความยินดีต่อการกลับมาของประชาธิปไตยในไทย พร้อมเตรียมยกเลิกการตัดความ
ช่วยเหลือทางทหารกับไทย กกต.บอก 2 อาทิตย์รู้ผลยุบ “ชาติไทย-มัชฌิมา”


อ่านรายละเอียด เดลินิวส์

"สมัคร"เผยโผมี 6 รองนายกฯ - 2รมต.สำนักนายกฯ

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี ว่า มีการปรับนิดหน่อย โดยมีรองนายกฯจำนวน 6 คน และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ 2 คน ส่วนการประชุม คณะรัฐมนตรี นัดแรกจะทันวันอังคารที่ 5 ก.พ.นี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเสร็จทันหรือไม่ ต้องรอโปรดเกล้าฯและเข้าถวายสัตย์ฯได้เมื่อใด ถ้าเสร็จทันก็คือเรียบร้อย เวลานี้เลขาคณะรัฐมนตรียังไม่แจ้งมา กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน นอกจากนี้ นายสมัครยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะตั้งรัฐบาลเงาว่า เป็นเรื่องของเขา แต่ ตัวจริงยังไม่มาเงาจะมาได้ยังไง ส่วนกรณีที่ทูตสหรัฐเข้าพบเมื่อเช้าวันนี้ ก็มาในฐานะที่มารับตำแหน่งใหม่ ไม่มีอะไรโดยพร้อมประสานความร่วมมือระหว่างสองประเทศต่อไป

อย่าทิ้งโอกาสทอง [2 ก.พ. 51 - 18:33]

ยังจำได้ว่าตอนที่ฝ่ายต้านกับฝ่ายเชียร์อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กำลังปะทะกันทางความคิดอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเพื่อนเลิกคบเพื่อน พ่อ แม่ ลูก ต้องเลิกคุยการเมืองชั่วคราว นักข่าวรุ่นพี่ในโรงพิมพ์ไทยรัฐนี่แหละสอนผมว่า

การเมืองมันก็แค่ละครฉากหนึ่ง

นักการเมือง คนที่อยู่ในแวดวงอำนาจ เปรียบไปแล้วก็เป็นแค่ นักแสดงที่ตีบทแตก เปลี่ยนบทเล่นไปตามสถานการณ์ แล้วแต่ยุคสมัย ไอ้ที่เห็นด่ากันปาวๆ กระเหี้ยนกระหือรือจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้

พอละครจบตอนก็เลิกแล้วกันไป

หลังฉากเขาก็กอดคอ จูบปากจี๋จ๋า เฮฮาในหมู่คนหน้าเดิมๆ

แต่ไหนแต่ไรมันก็เป็นมาแบบนี้ คนดูซะอีกที่ไม่เข็ดถูกหลอกให้อินไปกับบทละคร โกรธ แค้น เครียดไปกับสถานการณ์ตามท้องเรื่อง ใส่อารมณ์กันจนเกินเหตุ เสียหลักการ เสียจุดยืนกันไป

แล้วมันก็ไม่ได้ผิดไปจากที่รุ่นพี่ในไทยรัฐผมบอกไว้จริงๆ

นึกฉงนใจอยู่แล้วที่หายหน้าหายตาไป โผล่มาอีกที “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. โปรยยิ้มมหาเสน่ห์ ยอมรับแบบเขินๆได้ต่อสายโทรศัพท์หาอดีตนายกฯทักษิณ

พูดจากันประสาพี่น้องนักเรียนเตรียมทหาร

เป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองช่วยเป็นสื่อ อยากให้เกิดบรรยากาศสมานฉันท์

“บิ๊กบัง” หลบหลังเวทีจูบปาก “ทักษิณ” ละครน้ำเน่าฉากเดิมเลย

แต่ก็ต้องนับเป็นสัญญาณด้านบวกสำหรับวิกฤติการเมืองไทย หัวโจกสองฝ่ายต่อสายเคลียร์ใจกันได้ ดีกรีเผชิญหน้าก็ลดลงวูบวาบ

เป็นไปในทิศทางเดียวกับบทบาทของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่สะท้อนท่าทีของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี พร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ พร้อมให้กำลังใจรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมือง

นับเป็นชัยชนะที่ค่อนข้างสวยหรูของอดีตนายกฯทักษิณ

อาศัยศรัทธาของคนที่รัก สงสาร ชื่นชมในผลงานของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเป็นฐานที่มั่น หน่วยต้านอำนาจเก่าทำทุกวิถีทางแล้วยังขวางไม่ได้

และถึงวันนี้อะไรที่ว่ายากก็พลิกกลับเป็นง่าย รันเวย์เคลียร์ จากโปรแกรมเดิมที่วางกันไว้ว่าจะกลับเมืองไทยในเดือนพฤษภาคม “ทักษิณ” คงเลื่อนกำหนดกลับบ้านเร็วขึ้น

แต่ที่ยังติดใจ คนไทยส่วนใหญ่ให้โอกาสขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังกล้าหักหาญน้ำใจ ปล่อยรัฐมนตรีตุ๊กตาเสียกบาลเซ่นผีไอ้ห้อยไอ้โหนมาตบหน้าคนที่เทคะแนนให้

อย่าลืมว่า แมวมี 9 ชีวิตมันเป็นแค่ตำนาน แต่คนที่โดนวิบาก กรรมแสนสาหัสขนาด “ทักษิณ” รอดตายมาได้ แถมฟื้นตัวเร็วแค่ ไม่ถึงปี

โอกาสทองแบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว.

“กำปั้นหยก”

คอลัมน์ คาบลูกคาบดอก


เข็ดจริงๆ ขอบอก [2 ก.พ. 51 - 18:44]

การเมืองกำลังอยู่ช่วงเปลี่ยนฉาก

การเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลเก่าไปสู่รัฐบาลใหม่ ทำให้การบริหารประเทศต้องกลายเป็นสุญญากาศไปช่วงหนึ่ง

ถึงแม้คณะรัฐมนตรีชุดเก่ายังไม่พ้นตำแหน่ง แต่ตามมารยาทต้องหยุดการทำงานทุกอย่าง

ส่วนคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็ยังเริ่มทำงานไม่ได้ เพราะต้องรอเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณเสียก่อน

แต่ในช่วงที่รัฐบาลตัวจริงยังไม่มี ก็ยังมี “รัฐบาลเงา” ของฝ่ายค้าน เพิ่มความคึกคักขึ้นอีกหลายกิโลขีด

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่พลาดเก้าอี้นายกฯไปเส้นยาแดงผ่าแปด ได้ประกาศตั้ง ครม.เงาประกบ ครม.จริงครบทุกตำแหน่ง!!

เพื่อท้าพิสูจน์ว่า “รัฐบาลจริง” กับ “รัฐบาลเงา” รัฐบาลไหนทำงานเก่งกว่า??

นายกฯจริง (สมัคร) กับ นายกฯเงา (อภิสิทธิ์) ใครควรนั่งเก้าอี้นายกฯคนใหม่??

นี่คือการประกาศสงครามตั้งแต่ยังไม่เริ่มระฆังยกหนึ่ง

ยุทธการเงาอำมหิตแค้นฝังหุ่นจะดุเดือดเลือดพล่านขนาดไหน คงไม่ต้องบรรยายให้ปวดเมื่อยต่อมลูกหมาก

แต่สำหรับวันนี้...ต้องขออนุญาตพูดถึงท่านนายกฯ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นการส่งท้ายก่อนรัฐบาลขิงแก่จะเก็บฉาก

“แม่ลูกจันทร์” ดีใจที่นายกฯ พล.อ. สุรยุทธ์ ยุติบทบาทนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

“บิ๊กแอ้ด” เปิดใจยืนยันถ้าย้อนอดีตกลับไปได้ จะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด!!

เรียกว่าเข็ดจนกระดูกเข้าหม้อว่างั้นเหอะ

เพราะการเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นงานที่หนักหนาสาหัส

โดยเฉพาะเป็นนายกฯในช่วงสถาน-การณ์ไม่ปกติ ไม่ใช่เรื่องสนุก

ถึงแม้จะทุ่มเททำงานเต็มที่ แต่การแก้วิกฤติประเทศหลายอย่างก็ยังไม่สำเร็จ

แต่หนึ่งปีสี่เดือนที่ผ่าน ก็มั่นใจว่าไม่ได้สูญเปล่า

อะไรที่เป็นนโยบายดีๆที่รัฐบาลขิงแก่ เริ่มต้นไว้ ก็อยากขอให้รัฐบาลใหม่ช่วยสานต่อ

ก็อย่างที่ “แม่ลูกจันทร์” กระชุ่นไว้ว่าคนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ นายกฯสุรยุทธ์ ในบทบาทนายกรัฐมนตรีมีจุดอ่อนหลายอย่าง

โดยเฉพาะการทำงานส่วนใหญ่ใช้เกียร์ ว่างเป็นหลัก

การบริหารประเทศไม่มีเป้าหมาย ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่เป็นระบบ

การตอบสนองความเดือดร้อนประชาชนก็เชื่องช้าเกินไปหน่อย

ก็สมแล้วกับฉายาฤาษีเลี้ยงเต่า

แต่ผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลขิงแก่คือการนำประเทศไทยกลับคืนสู่ระบอบประชา-ธิปไตยได้อย่างราบรื่นตามกรอบเวลาที่กำหนด

นี่คือภารกิจสำคัญที่ต้องชื่นชมเป็นพิเศษ

ถ้านายกฯไม่ใช่ “พล.อ.สุรยุทธ์” ก็ไม่แน่ใจว่าวันนี้ ประเทศไทยจะได้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งหรือเปล่า??

ถ้านายกฯไม่ใช่ “พล.อ.สุรยุทธ์” วิกฤติสังคมแตกแยกอาจจะบานไม่หุบ??

อย่างน้อย...ผลจากเกียร์ว่าง ก็ทำให้ชาติบ้านเมืองผ่านช่วงวิกฤติไปได้ในระดับหนึ่ง

“แม่ลูกจันทร์” ไม่ลืมสิ่งดีๆที่นายกฯคนนี้ได้สร้างไว้แก่บ้านเมืองในช่วงหนึ่งปีกับสี่เดือนที่ผ่าน

ถ้าจะให้คะแนนเฉลี่ยของ “พล.อ. สุรยุทธ์” ก็ไม่แพ้อดีตนายกฯคนอื่นๆ

ในแง่ความตั้งใจ...เอาไป 9 เต็ม 10!!

ในแง่ความเป็นผู้นำ เอาไป 8 เต็ม 10!!

ในแง่ฝีมือบริหารงาน เอาไป 6 เต็ม 10!!

ในแง่ความซื่อสัตย์สุจริต เอาไป 9 เต็ม 10!!

รวมคะแนน 4 ด้าน ได้ 32 จาก 40 ถือว่าสอบผ่าน

น่าเสียดาย...ถ้าไม่มีกรณีบ้านเขายายเที่ยงเป็นตัวถ่วง...ภาพรวมของนายกฯ บิ๊กแอ้ด จะใสปิ้งยิ่งกว่านี้อีก.

“แม่ลูกจันทร์”

คอลัมน์ สำนักข่าวหัวเขียว


หกมีดหมอประเวศ สะบั้นกรอบกู้วิกฤติ [2 ก.พ. 51 - 17:59]

ความเป็นความตายของเพื่อนมนุษย์ ระบบการบริการสุขภาพต้องมีความเป็นพิเศษที่จะเป็นการค้าไม่ได้ ขาดความเป็นธรรมไม่ได้ และขาดหัวใจของความเป็นมนุษย์ไม่ได้...

ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เน้นให้เห็นถึงหัวใจบริการสุขภาพของบุคลากรทางสาธารณสุข ในการประชุมวิชาการเรื่อง ระดมพลังสร้าง ระบบสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ให้เต็มทุกอำเภอ ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น

เสียงเน้นย้ำนั้น อยู่ท่ามกลางพยาบาล และเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่เดินทางมาจากจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2551

อาจารย์เปิดปาฐกถา ด้วยการชี้ให้เห็นวิกฤติของประเทศไทย 5 อย่างคือ วิกฤติทางเศรษฐกิจ วิกฤติทางการเมือง วิกฤติสิ่งแวดล้อม วิกฤติทางสังคม และวิกฤติความล้มเหลวในกลไกของรัฐ

วิกฤติทั้ง 5 แม้จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่อาจารย์บอกว่า แก้ไม่ได้แล้ว ถ้าจะแก้ไขก็ต้องลงลึกเข้าไปถึงจิตใจผู้คน

วิกฤติที่แก้ได้ ถ้าจะมีก็แต่ด้านสุขภาพ สิ่งนี้ล้มเหลวไม่ได้ เพราะเกี่ยวข้องกับทุกคน

นอกจากล้มเหลวไม่ได้แล้ว อาจารย์ยังตั้งความหวังว่า อยากเห็นระบบสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ทั่วประเทศ

และบอกว่า พลังของมนุษย์แท้จริงมีมากมาย เพราะเหตุใด มนุษย์จึงไม่เผยพลังออกมา

แสดงว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่ใช่หรือไม่ แล้วเราจะทำลายมันได้อย่างไร ก่อนรู้แนวทางทำลาย รู้จักตัวที่มาสกัดกั้นพลังของมนุษย์เสียก่อน ซึ่งก็คือโครงสร้างทางอำนาจด้านการเมือง ระบบราชการ การศึกษา ธุรกิจ และศาสนา

เพื่อให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ไป อาจารย์แนะว่า เราต้องตัดอคติจากตัวตน มองโลกตามความเป็นจริง ร่วมกลุ่มพบปะพูดคุยกัน หาทางออกให้กับปัญหาร่วมกัน แม้จะเป็นคนละหน่วยงานก็ตาม

การรวมกลุ่มอาจเป็นเครือข่าย

สังคมไทยเรามีชุมชนกว่า 7,000 ชุมชน 70,000 หมู่บ้าน ถ้าจะสนับสนุนให้มีการเคลื่อนไหวในการสร้างสุขภาพชุมชนให้เดินหน้าเต็มที่ สร้างหัวใจของความเป็นมนุษย์ได้เต็มพื้นที่ และสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้เกิดขึ้นได้จริงนั้น

ถ้าเราสามารถร่วมมือกันผลักดันได้ ก็จะมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมามากมาย

วิธีการทำลายกำแพงตัวสกัดกั้นพลังมนุษย์ 6 ประการ ซึ่งเสมือนคมมีด 6 คม เพื่อใช้สะบั้นกรอบความคิดเดิมๆเพื่อกู้วิกฤติ ประการแรกคือ วิธีคิด

โลกเราต้องการวิธีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ถ้าคิดแบบเดิมมนุษยชาติจะไม่รอด

ความที่ยกมาเป็นแนวคิดของ โรเบิร์ต ไอสไตน์ อาจารย์บอกว่าปัจจุบันมนุษย์เรามักคิดแบบแยกส่วน เรื่องเศรษฐกิจก็คิดเอาเงินเป็นตัวตั้ง เรื่องสุขภาพ ก็เอาโรคมาเป็นตัวตั้ง การศึกษา ก็เอาวิชาการมาเป็นตัวตั้ง แล้วยังแยกเอาวิชาการออกจากชีวิตอีกด้วย

การคิดแบบแยกส่วน ทำให้ก้าวไปสู่ทางตัน ทำให้โลกวิกฤติ เพราะเมื่อมองอะไรแบบแยกส่วน ก็จะเห็นเป็นส่วนๆ ไม่เห็นภาพรวม เห็นได้จากระบบการศึกษา ที่แยกเป็นคณะ เป็นส่วนๆไป ด้วยเหตุนี้ ทำให้มหาวิทยาลัยทำนโยบายสาธารณะไม่เป็น

การแยกส่วนทำให้ไม่มีชีวิต เหมือนเราชำแหละวัวออกเป็นชิ้นๆทำให้วัวตาย ดังนั้น การพัฒนาจะต้องเชื่อมโยงกัน เราต้อง เชื่อมต่อให้มีชีวิต อย่างพระไตรปิฎกก็เป็นการคิดแบบเชื่อมโยง คิดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่เรื่องตายตัว

ประการที่ 2 การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคน

สังคมไทยเราไม่ใช่สังคมให้เกียรติคนยากจน ทั้งที่แท้จริงเรื่องนี้เป็นศีลธรรมขั้นพื้นฐาน เรามักนับถือกันที่ยศถาบรรดาศักดิ์ ในระบบสุขภาพ แพทย์ก็คิดว่าตนเองมีศักดิ์ศรีสูงกว่าคนไข้ จึงไม่ฟังคนไข้ ไม่อธิบายคนไข้ ทั้งที่แท้จริงแล้ว การสื่อสารมันไม่ใช่เรื่องเทคนิค แต่มันเป็นเรื่อง ของศีลธรรม

“คนไข้ถ้าเจอสายตาเป็นมิตรของหมอ ก็จะได้กำลังใจ หายไข้ได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าโดนตวาด การรักษาก็จะยากขึ้น”

ประการที่ 3 การเคารพความรู้ในตัวตน

“เรามักเคารพแต่ความรู้ในตำรา จริงๆความรู้ในตัวตนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความรู้จากตำราเป็นเรื่องที่มีฐานมาจากวิทยาศาสตร์ แต่ ความรู้ในตัวตนมาจากความชำนาญของแต่ละคน ดังนั้น การใช้ความรู้ ที่มาจากฐานทางวิทยาศาสตร์ จะต้องเอาความรู้ในตัวตนไปประกอบด้วย จะทำให้เกิดคุณค่ามากขึ้น”

ประการที่ 4 การสร้างเจดีย์จากฐาน

การทำงานใดๆ ถ้าเราพัฒนาจากฐานที่มั่นคง การงานของเราก็จะเจริญก้าวหน้าไปได้ แต่เรามักจะทำกันที่ยอด ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ เรามักทิ้งรากฐาน ทอดทิ้งท้องถิ่นไป เท่ากับเราทำลายรากฐาน แล้วยังเอาเงินของฐานไปให้กับคนส่วนน้อยอีก บ้านเมืองจึงวุ่นวายไปหมด

ตัวอย่างคือ “มหาวิทยาลัยต่างๆมีไหมที่มองชุมชนท้องถิ่น ถ้ามหาวิทยาลัยสนใจชุมชนจริงๆ ชุมชนก็จะเข้มแข็ง บ้านเมืองก็จะไม่เกิดปัญหา”

ประการที่ 5 การใช้ใจ นำความรู้ตาม

เรามักให้ความรู้นำ แล้วเอาใจตาม เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดทั้งโลก เพราะความรู้จะต้องซอย ต้องแยกว่า รู้อะไร สาขาอะไร แยกย่อยไปหมด ความรู้รวมกันไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาใจนำ เราจะร่วมกันได้ เพราะเรามีหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์อยู่แล้ว

ถ้าเราเอาใจนำได้ เราก็จะสามารถดึงเอาความรู้มาช่วยเพื่อนมนุษย์ เราจะกระตือรือร้น ขวนขวายหาความรู้ ทำให้เราพัฒนาศักยภาพของตนขึ้นมาได้ อย่างที่โรงพยาบาลราชบุรี เขามีความกระตือรือร้น เพื่อพัฒนาตนเองได้ดี

“ถ้ามัวแต่แยกกันว่า พยาบาลด้านนั้น พยาบาลด้านนี้ ก็จะไม่เกิดพลัง แต่ถ้ารวมกันเป็นพยาบาลไทยใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ หรือพยาบาลไทยหัวให้พระโพธิสัตว์ล่ะ”

ประการที่ 6 ความเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ

เรามักใช้ความเป็นทางการมากำหนดการทำงาน แล้วเราก็ไม่สามารถจัดการได้อย่างเป็นธรรม จริงๆแล้วความไม่เป็นทางการ ใหญ่กว่าความเป็นทางการ แต่เราก็คิดว่ามันไม่ถูกต้อง อย่างการพูดคุยก็ต้องเป็นทางการ

“เอาเข้าจริง เราพูดกันเวลากินข้าว เวลาเข้าห้องน้ำ เราก็ได้อะไรที่มีคุณค่ามากมาย เพราะมันเป็นวิถีธรรมชาติของมนุษย์”

อาจารย์เน้นว่า “ถ้าเรารู้เท่าทันตัวเรา เราก็จะรู้ว่าความไม่เป็นทางการนั้นมีคุณค่า และมาก่อนความเป็นทางการ อย่างเราจะทำความดี เราไม่จำเป็นต้องไปขออนุมัติจากใคร ทีคนทำความชั่วยังไม่เห็นจะต้องขออนุมัติจากใครเลย”

ถ้าเราหลุดจากกรอบเหล่านี้ได้ เราก็จะพบศักยภาพในตัวเรามากมาย เพื่อนำมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามต่อไป.

ชี้สหรัฐฯปลื้มไทยฟื้นปชต. ทูตรุดมอบกระเช้าสมัคร [2 ก.พ. 51 - 07:32]

นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวกรณีนายอีริค จี จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่บ้านพัก ช่วงเช้าวานนี้ (1 ก.พ.) ว่า แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกากระตือรือร้นที่จะมีปฏิสัมพันธ์โดยเร็วที่สุดกับรัฐบาลของไทยที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นการติดต่อกันเองโดยตรงไม่ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ

"16 เดือนที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยมีการยึดอำนาจ เห็นได้ว่าแม้สหรัฐอเมริกาจะมีข้อจำกัดด้านกฎหมายกับประเทศที่ไม่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย แต่บนข้อจำกัดนั้น ก็พยายามมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศไทย ภายในขอบเขตมากกว่าประเทศอื่น" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า จากการฝึกคอบร้าโกลด์ของทหารสหรัฐอเมริกา หากไม่มีความสัมพันธ์ที่ดี คงจะไม่มีการฝึกทหาร อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เห็นว่า ประเทศไทยมีความตั้งใจที่จะคืนสู่ประชาธิปไตย เพราะมีการเลือกตั้ง ทางการสหรัฐอเมริกาก็ได้ติดตามเรื่องนี้ตลอดมา และมั่นใจว่าความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐอเมริกา จะสู่กลับแนวทางเดิมแน่นอน

ใครชื่อ “หัวตอ” ยกมือขึ้น ?

สงส้าน สงสาร พี่อี๊ด จริงจริ๊ง จริงจริง

สงสารแทบน้ำตาเล็ด

น้ำตาเล็ด เพราะหัวเราะจนหยุดไม่ได้ เมื่อได้ยินข่าวว่า พี่อี๊ดของกระผม หรือ ดร.เสรี วงศ์มณฑา ของเหล่าสาวกพันธมิตรประชาชนปล้นประชาธิปไตย ประกาศแขวนไมค์ ใช้พลาส เตอร์ปิดปากตัวเอง เลิกพูดจาประสาการเมือง อย่างเด็ดขาด

เหตุผลที่จำใจต้องแขวนไมค์ ก็คือ ว่า

“พี่เบื่อกับการตักน้ำรดหัวตอเต็มที และ 3 ปีที่สีซอให้ควายฟัง พี่หมดแรง หมดพลังไปเยอะแยะมากมาย ที่เคยได้เงินมากมายจากการรับเชิญไปพูด ไปอบรม ไปเป็นวิทยากรทั้งกรุงเทพ ต่างจังหวัด ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ รับอัฐครั้งละหลายหมื่นบาท ต้องสูญหายไปหมด เสียรายได้ไปปีละไม่น้อย เพราะไม่มีใครกล้าเชิญ คนที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไปเป็นวิทยาการอบรมพนักงานของหน่วยงาน

พี่คิดดีแล้วว่า 3 ปีที่ลงทุนลงแรงไปมาก แต่เหมือนตักน้ำรดหัวตอ เราพูดอะไรก็ไม่มีความหมาย คำพูดเราไม่มีค่า ไม่มีใครฟัง เหมือนสีซอให้ควายฟัง ถ้าเป็นแบบนี้ พี่ก็ต้องไปทำอย่างอื่น เลิกพูดการเมือง กลับไปเป็นอาจารย์ จัดการอบรม สัมมนา เหมือนเดิม ไปให้ความรู้เรื่องการตลาด แนะนำวิธีแก้ปัญหาให้เยาวชน น่าจะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง มากกว่า”

เพื่อนที่นำข่าวเรื่องนี้ของพี่อี๊ดมาเล่าให้ฟัง ใส่อาการท่าทางแบบเต็มๆ ไม่มีกระมิดกระ เมี้ยน เลียนแบบผู้ชายนะยะสไตล์ เสรี วงศ์มณฑา จนผมเก็บความสำรวมไม่อยู่

ผมฟังไปปาดน้ำตาไป ทั้งน้ำตา ทั้งน้ำลาย กระเซ็น กระเด็นเปรอะเสื้อไปหมด

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมฟังคนมาเล่าข่าวให้ฟังด้วยอาการที่เสียกิริยามารยาทที่สุด

แต่มันหยุดไม่ได้จริง

ยิ่งตอนที่บอกว่า “เหมือนกับพี่ไปจีบผู้ชายน่ะ ถ้าจีบไป 3 ปีแล้ว ยังไม่มีหวังได้แอ้ม พี่ก็ต้องเลิก ไปจีบผู้ชายคนอื่นดีกว่า”

ว้าวๆๆ...... เสรี วงศ์มณฑา เปรียบการพูดจาให้ความรู้ประชาชนเหมือนกับการจีบผู้ชาย เมื่อไม่มีหวังได้แอ้ม ได้ลิ้มชิมรส ก็เลิกดีกว่า

เรื่องประเทศชาติ บ้านเมือง ที่มีประชาชนหลายสิบล้านคนเป็นผู้ชมผู้ฟัง กับเรื่องจีบผู้ชายสักคน เหมือนกันได้อย่างไร

ทั้งหมดนี้ ครั้งแรกผมได้ฟังจากปากผู้บอกเล่า ฟังแล้วหัวเราะจนพุงเขย่าไขมันเขยื้อนจนเรือนสะท้าน แต่พอได้ฟังครั้งที่สอง จากเทปที่มีผู้หวังดีอัดมาให้ฟัง จึงทราบว่าเป็นเป็นการสนทนาอย่างออกรส ระหว่าง โอวาท พรหมรัตนพงศ์ กับ เสรี วงศ์มณฑา ในรายการวิทยุเอฟเอ็ม 98.0

ที่ว่าสนทนากันอย่างออกรสนั้น จากที่ผมได้ฟังกับหูตัวเอง พอจะรู้สึกได้ว่าเป็นรสชาติที่ขมปากของผู้พูด อย่าง เสรี วงศ์มณฑา ที่เกิดอาการอกหักอย่างรุนแรง เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้าน และพรรคพลังประชาชน เป็นรัฐบาล โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

สำหรับผู้ฟังอย่างผม ที่คิดว่าเป็นเรื่องที่พูดตลกๆ ในครั้งแรก กลับกลายเป็นว่า ฟังแล้วเศร้า เศร้า และ เศร้า จนไม่อยากจะเชื่อว่า คนที่พูดเป็นถึงดอกเตอร์

เศร้าที่ทำให้ต้องพูดกับตนเองว่า การศึกษาไม่ได้ช่วยทำให้วุฒิภาวะและจิตใจของคนดีขึ้นแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม คนบางคนมีการศึกษาสูง กลับยิ่งหลงตัวเองหัวปักหัวปำ มอมเมาตัวเองด้วยความคิด ความเชื่อ จนโงหัวไม่ขึ้น เห็นตัวเองคือความถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว มองว่าคนอื่นเป็นคนผิด เป็นคนโง่

เสรี วงศ์มณฑา ก็คือ เด็กคนเดียวในขบวนพาเหรด ที่ก้าวเท้าผิดข้างแปลกแยกจากคนทั้งหมด ด้วยการก้าวท้าวซ้าย ในขณะที่คนอื่นก้าวท้าวขวา แล้วก็พาลพาโลด่าคนทั้งขบวนพาเหรด ว่าเดินผิดทุกคน มีแต่ตนคนเดียวที่เดินถูก

ประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชน โง่เป็นควาย ในสายตาของ เสรี วงศ์มณฑา

ประชาชนที่เห็นแตกต่างจาก เสรี วงศ์มณฑา ไม่ใช่คน แต่เป็น ควาย ได้ยินไหม

ในขณะที่มองประชาชนครึ่งค่อนประเทศเป็นควาย เสรี วงศ์มณฑา กลับเห็นตัวเองเป็นคนเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงควาย

ประชาชนที่ฟัง เสรี วงศ์มณฑา แล้วไปเลือกพรรคพลังประชาชน ก็คือ หัวตอ ที่ไม่มีวันรับรู้ ไม่มีวันเข้าใจ เหมือนกับ ตักน้ำรดหัวตอ

แล้วนักการเมือง อย่าง บรรหาร ศิลปอาชา ที่สนับสนุน พรรคพลังประชาชน ให้เป็นรัฐบาล ขานชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ล่ะ เป็น ควาย หรือ หัวตอ ในสายตาของ เสรี วงศ์มณฑา

บรรหาร ศิลปอาชา คือ นักการเมืองที่อุ้มชู เลี้ยงดู เสรี วงศ์มณฑา มานานเกือบสิบปี ให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่หลับที่นอน กินอิ่มนอนหลับ จนอ้วนหมีพีมัน

วันที่ เสรี วงศ์มณฑา ตกอับ คอพับคออ่อนกับพิษเศรษฐกิจ ปี 2543 สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้บรรหาร นี่ล่ะกู้ชีวิตให้

วันนี้ บรรหาร ศิลปอาชา คือ ควาย หรือ หัวตอ ในสายตา เสรี วงศ์มณฑา

ส.ส.ที่ยกมือให้สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เป็น ควาย หรือ หัวตอ ด้วยใช่ไหม

หรือมีใครในสภาฯ ชื่อ ควาย” หรือ “หัวตอ” ยกมือขึ้นหน่อย?

หาก บรรหาร จะเป็นควาย ก็คงเพราะเลี้ยงคนอย่าง เสรี วงศ์มณฑา ไว้นั่นเอง

ก่อนที่จะไปพูดกับคนอื่น ผมเสนอให้ เสรี วงศ์มณฑา ไปทำความเข้าใจ ไปเรียนรู้เรื่องการเมืองไทย กับบรรหาร ศิลปอาชา ก่อนน่าจะดีกว่า ที่จะพูดอะไรออกมาในครั้งต่อไป

ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปในครั้งต่อไป ผมเสนอว่า เสรี วงศ์มณฑา ต้องมองย้อนดูตัวเองก่อนว่า ทำไมประชาชนส่วนใหญ่ จึงไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่ทำตามที่ตนพูด ทั้งๆ ที่พูดมายาวนานกว่า 3 ปี

ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปในครั้งต่อไป ผมเสนอว่า เสรี วงศ์มณฑา ควรจะให้เกียรติผู้ฟัง มากกว่าดูถูก และไม่ควรเห็นคนอื่นเป็นควาย เป็นหัวตอ อย่างที่พูดพล่อยๆ ออกมาอีก

คนอย่างนี้น่ะหรือ ที่อยากให้ผู้อื่นยกย่องเป็นครูบาอาจารย์

คนอย่างนี้น่ะหรือ ที่จะไปสอนให้ผู้อื่นเดินตามตัวเอง ทำตามที่ตัวเองพูด แนะนำ และสั่งสอน

คนอย่างนี้น่ะหรือ ควรจะกลับไปเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการพูด และการให้เกียรติผู้อื่น ใหม่ ก่อนที่จะกลับเข้าสู่สังคมปกติชน และสังคมสุภาพชน หลังจากที่ไปคลุกคลีอยู่กับสังคมกักขฬะชนแถวท่าพระอาทิตย์ มานานหลายปี

อันที่จริง ผมก็อยากจะแนะนำ อยากจะสั่งสอนอยู่เหมือนกัน แต่เกรงว่าจะเป็นการสีซอให้ควายฟัง และ ไม่ต่างจากตักน้ำรด (หัว) ตอ

ผมคิดว่าน่าจะเป็นตอ นะ เพราะที่เกินมา และไม่ได้ใช้งาน คงจะตัดทิ้งไปแล้ว (ฮาๆๆๆๆๆ)

ก่อนจบ... ผมมีคำถามที่อยากจะให้ เสรี วงศ์มณฑา ว่า เหตุที่เลิกพูดจาประสาการเมือง เลิกด่ารัฐบาล เลิกวิจารณ์พรรคพลังประชาชน เพราะท้อแท้ และหมดแรง หรือ เพราะอยากได้งบประมาณจากหน่วยงานรัฐบาล จึงต้องรูดซิปปิดปากตัวเอง หลังจากที่พรรคชาติไทย อู่ข่าวอู่น้ำ เข้าไปเป็นรัฐบาล แล้ว

ถึงแม้ เสรี วงศ์มณฑา จะไม่ตอบ ผมก็เชื่อว่าคนอ่านทุกคนที่รู้จัก เสรี วงศ์มณฑา คงตอบได้

จับตาดู กระทรวงเกษตรฯ และ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้ดีก็แล้วกัน

ประดาบ


จาก hi-thaksin

Friday, February 1, 2008

บ้านเมืองไม่ใช่ของนักเรียนเตรียมทหารเท่านั้น

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน คงจะไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปในการแถลงข่าว เมื่อเช้าวันที่ 30 มกราคม คงคิดว่าคำพูดของตัวเอง "คมคายเหลือหลาย" และท่วงท่าการแถลงข่าวก็ "ดูดีเข้าทีเสียมากมาย"
"คำว่าพูดคุยในฐานะพี่น้องการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร มีความรักและความผูกพันของสถาบัน เราจึงมีการพูดคุยธรรมดา ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญ เพราะการจัดตั้งรัฐบาลถูกต้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยหมดแล้ว ทั้งนี้ มีคนกลางที่ต้องการจะพูดคุย เขาเห็นบ้านเมืองไม่ค่อยเรียบร้อยก็เป็นห่วง"
ท่อนข้างบนนี้คือส่วนหนึ่งของคำตอบของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลังจากที่ได้รู้ว่าพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ได้มีการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แล้ว โดยมีผู้ประสานงานต่อโทรศัพท์ให้พูดคุยกัน
หากฟังโดยไม่พิจารณานัยของคำพูดให้มากมาย ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้คงแฮปปี้เอนดิ้ง จบลงด้วยดี ทั้ง พล.อ.สนธิ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในฐานะนักเรียนเตรียมทหาร มีความรักความผูกพันของสถาบันเป็นตัวเชื่อมประสานหัวใจทั้งสองคนเข้าด้วยกัน
ยิ่งฟังซ้ำสำทับอีกประโยคหนึ่งจากปาก พล.อ.สนธิ ก็ยิ่งทำให้สบายใจขึ้นว่าหลังจากนี้คงไมมีเหตุอันไม่พึงประสงค์อีกแล้ว เพราะทุกคนก็ห่วงใยบ้านเมือง
"เป็นการพูดคุยเพื่อความสมานฉันท์ทางการเมือง ไม่ใช่เพื่อหาทางลงให้ตัวเอง การพูดคุยกันเป็นแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอะไร ไม่มีนัย ทุกคนมีความห่วงใยบ้านเมืองด้วยกันทั้งนั้น"
แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่เชื่อ
ผมไม่เชื่อว่า พล.อ.สนธิ พูดจริง และหมายความว่าทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้วอย่างนี้จริงๆ
เพราะ พล.อ.สนธิ ไม่เคยพูดเรื่องจริงให้ผมได้ยินมาก่อน ในห้วงเวลา 1 ปีเศษที่ผ่านมา นับแต่วันที่บอกว่าทหารจะไม่ปฏิวัติ แล้วก็ปฏิวัติ
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยได้ยิน พล.อ.สนธิ พูดเรื่องจริงอีกเลย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินสินบน 40 ล้านบาทขอเป็นอธิบดี ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้มาก่อน แต่ตัวเองสามคนผัวเมียแจ้ง ป.ป.ช. ว่ามีทรัพย์สิน 90 ล้านบาท
เรื่องครอบครัวตัวเองแท้ๆ มีเมีย 2 หรือ 3 หรือมากกว่า ก็ยังไม่พูดความจริง ต้องให้ประชาชนสืบค้นมาประจานทีละเมีย ทีละเมีย จนน่าละเหี่ยใจแก่ประชาชนที่ได้ยิน ได้เห็น
หรือจะเป็นเรื่องเอกสารลับสกัดพรรคพลังประชาชน ลงนามสั่งการเองกับมือ ยังโกหกว่าไม่เคยเห็น ไม่ได้ทำ
กระทั่งเรื่องล่าสุด ก็ยังปิดปากเงียบ ไม่ชี้แจงเรื่องยืมตัวผู้พิพากษา กอนณา สัตยธรรม ลูกสาว คุณสดศรี สัตยธรรม มาเป็นหน้าห้องรองนายกรัฐมนตรี
ด้วยพฤติกรรมในอดีตของคนคนนี้ ทำให้ผมไม่เชื่อคำพูดของคนคนนี้ ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม
แต่เอาเถอะ...ถึงแม้ว่าเรื่องที่บอกว่าได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ายังรักกัน ผูกพันกันแบบนั้นแบบนี้ ยังห่วงใย ยังหวังดีต่อประเทศชาติ แบบนั้นแบบนี้ จะเป็นเรื่องจริง ก็เป็นเรื่องของคนสองคน เจรจาพาทีแล้วจบลงง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้
เพราะ ความรักความผูกพันในฐานะนักเรียนเตรียมทหาร เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณสองคน หรือจะรวมพวกพ้องของคุณอีกกี่รุ่น กี่เหล่า จะรวมเหล่ารวมโหลกันอีกกี่กองทัพ กี่ก๊ก กี่แก๊ง กี่โขยง รวมกันแล้วจะพากันไปตีกอล์ฟ หรือตีหัวหมา ด่าแม่ใคร? ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกคุณ
แต่ความเสียหายที่คุณทำไว้กับประเทศชาติและประชาชนล่ะครับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน มันเป็นเรื่องระหว่างคุณกับประชาชน ที่คุณต้องรับผิดชอบ วันนี้คุณยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ เลย
การเมืองที่ตกต่ำ เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ สังคมที่เสื่อมทราม ประเทศไทยที่ทรุดโทรม ชีวิตคนไทยที่ลำบากยากแค้น นับแต่หลังเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา คุณจะรับผิดชอบอย่างไร
หรือจะปล่อยให้เป็นเวรกรรมของคนไทย ที่บังเอิญดวงซวยเกิดมาร่วมแผ่นดินกับคนอย่างคุณ จึงต้องก้มหน้าชดใช้เวรกรรม และหนี้สินที่คุณเป็นผู้ก่อขึ้น โดยห้ามปริปากบ่น และเงยหน้าขึ้นปาดเหงื่อ
ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นนับแต่หลังเหตุการณ์ 19 กันยายน เป็นเรื่องที่ พล.อ.สนธิ จะเคลียร์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วจะมาบอกว่าทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้วไม่ได้
ชีวิต ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับรถแท็กซี่ที่พลีชีพตัวเองเพื่อประชาธิปไตย เพราะความปากพล่อยของทหารอย่าง พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ ใครจะชดใช้
ประชาชนที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ใครจะรับผิดชอบ
ข้าราชการที่หมดอนาคตไปกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่เป็นธรรมของ คตส. ใครจะดูแลเยียวยา
นักการเมือง 111 คน ที่ถูกจองจำเพราะคำวินิจฉัยของคณะกรรมการที่ไม่ใช่ศาล จะทำอย่างไร
ความตกต่ำของประเทศชาติ หนี้สินของคนไทยที่เพิ่มขึ้นมากมาย อันเกิดจากรัฐบาลที่ไร้ความสามารถในห้วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา
เหล่านี้คือผลกระทบที่เกิดจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน ของคุณทั้งนั้น พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
คุณจะบอกว่าทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว มีรัฐบาลประชาธิปไตยตามกระบวนการที่ถูกต้องแล้ว เพื่อความสมานฉันท์ เพื่อความเรียบร้อยของประเทศไทย อย่าได้ติดใจเอาความกันอีกเลย ไม่ได้
ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ 19 กันยายน บ้านเมืองก็เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลก็มาจากการเลือกตั้งถูกต้องตามกฎหมาย แล้วทำไมจึงต้องก่อการรัฐประหารขึ้นมา?
บ้านเมืองไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่เครื่องเซ่นไหว้ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ของนักเรียนเตรียมทหาร หรือนักเรียน จปร. ที่วันหนึ่งรักกัน ก็ช่วยกันกอบโกย วันหนึ่งโกรธกัน ก็ยกทหารแบกอาวุธเข้ารบกัน ปล้นอำนาจกัน พอหายเคืองกัน จะหาทางลงมากอดคอคืนดีกัน ก็บอกให้ลืมเรื่องเก่า ยังรักกันเหมือนเดิม เพราะเป็นนักเรียนเตรียมทหารเหมือนกัน
การพูดจาของ พล.อ.สนธิ ที่ลากสถาบันเตรียมทหารมาเกี่ยวข้องด้วย จึง เป็นการทำให้สถาบันอันเป็นที่รักของนักเรียนเตรียมทหารทุกคนต้องเสียหายไปด้วย และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะใช้สถาบันเตรียมทหารมารับรองความรักกัน หรือความไม่รักกันของคนสองคน
เอาเป็นว่าทั้งหมดที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พูดจาไว้ ผมไม่อาจนับเป็นสาระที่ควรค่าแก่การใส่ใจ เพราะพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีตแล้ว คนคนนี้เป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้
สิ่งที่ผมกำลังรอดู และจะเรียกร้องทวงถามก็คือ พล.อ.สนธิ จะรับผิดชอบอย่างไรกับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บ้านเมือง เพราะการกระทำของคุณ
ถึงแม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะระลึกถึงความเป็นนักเรียนเตรียมทหารร่วมสถาบัน และอภัยให้คุณ
แต่ประชาชนที่ครึ่งหนึ่งเคยถูกคุณตราหน้าว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติ และมีจิตคิดมุ่งร้ายต่อแผ่นดิน รวมไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ คงจะไม่ยอมอภัยให้แก่การกระทำของคุณเป็นแน่
เคยได้ยินไหมครับ "น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา"


นายกอ

/////////

คอลัมน์:ละครชีวิต...จากหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์รายวัน 1/02/08

'สดศรี' จี้ 'ประชัย' ส่งรายงานการใช้เงินใน 30 วัน

นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณี กกต.มีมติให้นายประชัย เลี่ยวไพรัช พ้นจากการเป็นหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย(มฌ.) ว่า

หลังจากนี้นายประชัยจะต้องส่งรายงานทางการเงินให้กกต.ทราบภายใน 30 วันในขณะที่อยู่ระหว่างการ เป็นหัวหน้าพรรค นับจากวันที่ กกต.มีมติตอบข้อหารือ ส่วนพรรคมัชฌิมาฯ นั้นจะต้องดำเนินการจัดประชุมพรรค เพื่อหาหัวหน้าพรรคคนใหม่และส่งรายงานการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคให้ กกต.รับทราบภายใน 45 วัน ซึ่งแรกทีเดียวจะต้องนับจากวันที่หัวหน้าพรรคฯ พ้นสภาพการเป็นหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคแล้วนั่นก็คือนับจากวันที่ 4 ธ.ค.2550 แต่กรณีนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองอาจจะมองว่าพรรคดังกล่าว ค่อนข้างจะมีปัญหาภายใน ก็เลยให้นับตั้งแต่กกต. ตอบข้อหารือ

นางสดศรี กล่าวว่า โดยระหว่างนี้นายประมวล เลี่ยวไพรัช รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 จะเป็นผู้รักษาการ แทนหัวหน้าพรรค

แต่ถ้ากระบวนการการประชุมพรรคเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกระบวนการรายชื่อบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ไม่มี ีนายประมวลร่วมอยู่ด้วยนั้น ก็ต้องไปดูว่า ข้อบังคับพรรคเขียนเปิดช่องไว้หรือไม่ หากข้อบังคับเปิดช่องไว้ก็ไม่มีปัญหา เมื่อถามว่า กรณีที่พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาฯ ออกมาระบุว่า การที่นายประชัยพ้นหัวหน้าพรรคก่อนเลือกตั้งและนายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรคฯ ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะเป็นผลดีต่อการพิจารณาเรื่องยุบพรรค เพราะถือว่านายสุนทรพ้นจากกรรมการบริหารพรรคไปแล้วนั้น

นางสดศรี กล่าวว่า การพิจารณาเรื่องยุบพรรคมัชฌิมาฯ นี้เป็นคนละประเด็นกับการให้นายประชัยพ้น จากการเป็นหัวหน้าพรรค แม้จะมีการดำเนินการประชุมเพื่อเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรคใหม่แล้ว แต่การกระทำของนายสุนทรในฐานะเป็นกรรมการบริหารพรรคก็ยังอยู่ เพราะถือว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว จนส่งผลให้ กกต.มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

'เมื่อพรรคมัชฌิมาธิปไตยมีการประชุมเพื่อเปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่และเปลี่ยนกรรมการบริหารชุดใหม่ โดยสมมุติ ว่า นายสุนทรอาจจะไม่ได้เป็นรองหัวหน้าพรรคต่อไป แต่ความผิดของนายสุนทรในฐานะกรรมการบริหารพรรคก็ยังอยู่ หากกกต.สอบสวนจนได้ข้อเท็จจริงว่าสมควรยุบพรรค และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการยุบพรรคก็ต้องไปสู้กันศาล เพราะประเด็นนี้แล้วแต่การตีความของตุลาการ'นางสดศรี กล่าว

6 พรรครัฐบาล แถลง ร่างนโยบายมีความสอดคล้องกัน

6 พรรคร่วมรัฐบาล แถลง ร่างนโยบายมีความสอดคล้องกัน โดยต้องรอโปรดเกล้าฯ ครม. ก่อนเปิดเผยรายละเอียด

ผลการประชุม พรรคร่วมรัฐบาล 6 พรรคการเมืองเพื่อจัดทำนโยบายบริหารประเทศ ที่มี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเป็นประธานนั้นส่วนใหญ่ทุกพรรคการเมืองมีความคิดเห็นสอดคล้องเดียวกัน แต่ปฏิเสธที่จะลงลึกรายละเอียดว่าเป็นแนว นโยบายใดบ้าง เพราะต้องรอให้มีการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการก่อน แต่ทั้งนี้ยืนยันได้ว่านโยบายที่มีทั้งเก่า และใหม่นั้นจะสามารถ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ โดย นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน เห็นว่านโยบายหลัก ที่รัฐบาลต้องเร่งการแก้ไขโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและปัญหาภาคใต้ ซึ่งจะมีการสาน ต่อนโยบายเดิม ทั้งนี้จะมีการตั้งคณะทำงานด้านเศรษฐกิจไม่เกิน 3 สัปดาห์หลังจากประชุมคณะรัฐมนตรีแรกแล้ว

พร้อมกันนี้เลขาธิการพรรคพลังประชาชนระบุด้วยว่ายังไม่มีการพิจารณา 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นที่ปรึกษาแต่เห็นว่าที่ปรึกษานั้นไม่เห็นจำเป็นจะต้องมีตำแหน่ง

คตส.รู้ตัวถูกโดดเดี่ยว เมิน'บิ๊กบัง'ยอมคืนดี'ทักษิณ'

คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนการกระทำผิดของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังถูกยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ถูกจับตาทันทีว่าอาจจะเกิดมีผลกระทบในการทำงาน หลังจากที่พรรคพลังประชาชน ขึ้นมาเป็นรัฐบาล รวมทั้งที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เคลียร์ใจกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศแล้ว

นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. ยอมรับว่าคตส.ถูกโดดเดี่ยวมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่มารับตำแหน่งจนถึงขณะนี้ อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าไม่มีใครมาแทรกแซงการทำงานของคตส.ได้ ส่วนการต่อสายคุยกันของพล.อ.สนธิ กับพ.ต.ท.ทักษิณ ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า เป็นอย่างไร แต่อาจจะมีความจำเป็นก็ได้ ไม่รู้ความในใจไม่ขอก้าวล่วง พูดไปเดี๋ยวเกิด ความเข้าใจผิดกันอีก ตอนนี้คตส.ขอทำงานอย่างเดียวจนครบวาระ ซึ่งอาจมีผลงานชิ้นโบว์แดง คือ คดีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 และคดีการจัดซื้อรถ-เรือดับ เพลิงของ กทม. ที่นายสมัคร นายกรัฐมนตรี เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการประเมินว่าพล.อ.สนธิ ไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหาทาง ลงให้ตัวเอง ในส่วนของคตส. หาทางลงให้กับตัวเองหรือยัง ประธานคตส. กล่าวว่า ทางลงของ คตส.มีทางเดียว คือตั้งใจทำงาน ตามหน้าที่ให้ดีที่สุด และกรรมการคตส.ทั้ง10คนยืนยันไม่ถอดใจลาออกแน่นอน ตอนนี้ขอทำงานให้ถึงที่สุด ซึ่งอาจมีผลงานชิ้นโบแดง คือ คดีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 และคดีการจัดซื้อรถ-เรือดับ เพลิงของ กทม. ที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา

ซึ่งคาดว่าจาสรุปเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ส่วนที่นายสมัคร สุนทรเวช ประกาศจะเอาคืนคน ที่เล่นงานตัวเองนั้น นายนามกล่าวว่า ตนไม่กลัว เพราะคตส.ทำงานตรงไปตรงมา ยึดหลักกฏหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร เมื่อนายสมัครมาเป็นนายกฯก็ทำหน้าที่บริหารไป อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกัน อย่างไรก็ตามเชื่อว่านายสมัครคงไม่เข้ามาแทรกแซงการทำงานของคตส. เพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ และสุดท้ายทุกคดีก็ต้องไปสิ้นสุดที่ศาล

ด้านนาย แก้วสรร อติโพธิ กรรมการคตส. กล่าวว่าคตส.ไม่หวั่นไหวอะไรที่พล.อ.สนธิ คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะคตส.ไม่ได้ทำเพราะพล.อ.สนธิ หรืออำนาจของคมช. แต่เป็นการอาศัยอำนาจของกฏหมายป.ป.ช. ยืนยันว่าวันนี้คตส.ยังมีกำลังใจดีอยู่

นอกจากนี้นายแก้วสรรยังกล่าวว่า ในการประชุมคตส.วันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ จะมีวาระในการพิจารณาคือ คดีการทุจริตจัดซื้อพันธุ์กล้ายางพารา 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ และคดีบ้านเอื้ออาทร โครงการร่มเกล้า-บางพลี ที่คณะกรรมการไต่สวนสรุปสำนวนเสร็จแล้ว จึงเสนอให้คตส.ชุดใหญ่พิจารณามีมติ ิส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องต่อศาลต่อไป

ขณะที่มีรายงานข่าวจากคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ เอื้อประโยชน์ออกนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง แจ้งว่า ในคดีการเอื้อประโยชน์ดาวเทียมไทยคม กรณีการรับเงินประกันดาวเทียมเสียหาย 33 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว

โดยเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคตส.ชุดใหญ่ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้มีมติส่งให้กรมสรรพากร ดำเนินการเรียกเก็บภาษีเงินดังกล่าว เพราะแม้จะเป็นเงินที่ได้จากการประกันดาวเทียม แต่เงินดังกล่าว ไปอยู่ในบัญชี ของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ขณะที่เจ้าของดาวเทียมไทยคม 3 คือกระทรวงไอซีที จึงถือเป็นเงิน ได้พึงประเมินตาม ภงด. 50 ซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษีตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 65

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกันในการประชุมคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีธนาคาร เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลพม่า4,000 ล้านบาท เพื่อตรวจเอกสารหลักฐานในคดีดังกล่าว ได้มีอนุกรรมการไต่สวนฯ คนหนึ่ง ร้องเพลง' เดียวดาย' ขึ้นมาด้วยเสียง อันดังขึ้นมากลางวงที่ประชุมด้วย

โดยมีเนื้อหาว่า 'เดียวดายอาดูร สิ้น สูญแล้วทุกทุกสิ่ง เธอ มาทอดทิ้ง จากไปแสนไกลสุดไกล จำใจจำทน หม่นหมองเพ้อร้องร่ำไห้ โอ้ ยอดดวงใจ แสน เศร้า โศก ตรม' โดยมีอนุกรรมการส่วนใหญ่ร้องคลอตามกัน

ขณะที่กรรมการคตส. บางคนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เพลงดังกล่าวเหมาะกับสถานการณ์ในช่วงนี้ ซึ่งตั้งแต่คตส.เริ่มทำงาน ทางคมช.ได้เชิญไปร่วมรับประทานอาหารอยู่ 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกที่เริ่มทำงาน และครั้งสุดท้ายที่คมช.เริ่มหมดอำนาจ

ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช ระบุว่าการที่ปปช.ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบกรณีโครงการจ้างเอกชน กำจัดขยะมูลฝอยมูลค่ากว่า 9000 ล้านบาท เพราะมีมือที่มองไม่เห็นสั่งการ ว่า มือที่มองไม่เห็น ตนก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน และยืนยันว่าการทำงานของปปช.ไม่มีใบสั่งจากใคร และเชื่อว่าการที่นายสมัครเป็นนายกฯจะไม่กระทบกับการตรวจสอบคดีนี้

นอกจากนี้นายกล้านรงค์ ยืนยันว่าป.ป.ช.ไม่ได้ละเว้นการตรวจสอบคดีทุจริตโครงการก่อสร้างถนน - อุโมงค์ ทางลอด 16 โครงการของกทม.สมัยที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯกทม. เพราะคดีนี้อยู่ระหว่างการ ตรวจสอบของคณะอนุกรรมการฯที่มีตนเป็นประธาน

นายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการจ้างเหมา เอกชน ขนมูลฝอยกล่าวว่า หลังจากที่รวบรวมพยานหลักฐานเอกสารแล้ว จากนั้นจะเรียกผู้เกี่ยวข้องให้ข้อมูลต่อไป โดยคดีนี้คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะมีผลการตรวจสอบของ สตง.อยู่แล้วระดับหนึ่ง

'สมัคร'โต้ปชป.ตัวจริงยังไม่มี เงามาได้อย่างไร

'สมัคร'โต้ปชป.ตั้งครม.เงาตรวจสอบรัฐบาล ระบุตัวจริงยังไม่มา เงามาแล้วหรือ ตัวจริงยังไม่มี แล้วเงามาได้อย่างไร

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนใหม่ สัมภาษณ์ ที่พรรค ว่าขณะนี้ รายชื่อครม.ใหม่เสร็จเรียบร้อย แล้วโดยมีการปรับเปลี่ยนสลับที่กันเล็กน้อย มีรองนายกฯ 6 คน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ 2 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบคุณสมบัติ โดยเลขาฯครม. บอกว่าจะใช้เวลา 2-3 วัน ซึ่งเลขาฯครม. ยังไม่แจ้งว่าการตรวจสอบเสร็จหรือยัง

เมื่อถามว่า ประชุมครม.นัดแรก 5 ก.พ. ทันหรือไม่ นายสมัครกล่าวว่า ต้องแล้วแต่ว่าจะตรวจสอบคุณสมบัติ เสร็จแล้วทูลเกล้าเมื่อไหร่ จากนั้นรอโปรดเกล้าฯและนำครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ก็เสร็จเรียบร้อย

เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล เงาติดตามการทำงานของรัฐบาลแล้ว นายสมัคร กล่าวว่า ก็เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของตนตัวจริงยังไม่มา เงามาแล้วหรือ ตัวจริงยังไม่มี แล้วเงามาได้อย่างไร

นายสมัคร กล่าวอีกว่าวันนี้มีภารกิจให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนญี่ปุ่น 4-5 ราย มีทั้งสื่อหนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์ จากนั้นจะไปเยี่ยมลูกสาวที่รพ. สื่อกรุณาไม่ต้องไปตาม เสร็จแล้วจะกลับบ้าน และในวันจันทร์จะไปซื้อของที่ตลาดตามปกติ

เมื่อถามว่า วันที่ขับรถพาสื่อวนเวียนเมื่อวันก่อน นายสมัคร กล่าวว่าจะแกล้งสื่อทำไม จะไปซื้อเสื้อกับเนคไทใหม่แต่ก็เกรงใจ กลัวคนจะเต็มร้านก็เลยกลับออกมา และจะไปตามเพื่อนชื่อสมัคร ธันวานนท์ อยู่ที่กทม. 2 แต่รถเข้าไม่ได้ ก็เลยกลับบ้านเท่านั้นเอง

ปชช.ชื่นชอบประชานิยม 6 พรรคร่วมเตรียมสานต่อ

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานการประชุม 6 พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อจัดทำนโยบายบริหารประเทศ กล่าววันนี้ (1 ก.พ.) ว่า ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันในเรื่องการใช้นโยบาย บริหารประเทศ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน รวมทั้งนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทย เช่น 30 บาท รักษาทุกโรค กองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา และธนาคารเพื่อประชาชน เป็นต้น ทั้งนี้ที่ประชุมเตรียมตั้ง คณะกรรมการร่วม 6 พรรค เพื่อหารือร่วมกัน หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ก็จะมีการหารือเพื่อความชัดเจน ในเรื่องนโยบายอีกครั้ง

รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน กล่าวอีกว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้นอกจากจะเป็นที่ชื่นชอบ ของประชาชนแล้ว ยังสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาระค่าใช้จ่าย แก้ปัญหาสังคมได้ด้วย ส่วนการแก้ไขปัญหา ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เป็นนโยบายที่ชัดเจนและพร้อม ที่จะสานต่อนโยบายที่ดี เช่น แนวทางการสมานฉันท์ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า นโยบายที่หารือร่วมกันวันนี้ เป็นเพียงร่างนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น ยังไม่ใช่นโยบายที่รัฐบาลจะใช้แถลงนโยบาย

'รัฐบาลจะนำนโยบายประชานิยมที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประสบผลสำเร็จในรัฐบาลชุดที่แล้ว มาสานต่อ อย่างไรก็ตามยืนยันว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ยังคงเน้นการให้ความสำคัญ กับการกระตุ้น เศรษฐกิจ ของประเทศ การศึกษา และการแก้ไขปัญหาสังคม' นพ.สุรพงษ์ กล่าว และว่า การร่างนโยบายบริหารประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

ยันโผ ครม. นิ่งแล้ว

'หมอเลี้ยบ' ยันโผ ครม.นิ่งแล้ว เหลือรอตรวจสอบคุณสมบัติ ชี้สื่อเป็นตุเป็นตะรายงานข่าวพลิกโผไปเอง ปัดแนวคิดดึง 111 ทรท.นั่งที่ปรึกษา แย้มรองนายกฯด้านเศรษฐกิจอาจมีมากกว่า 1 คน

วันนี้ (1 ก.พ.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงการจัดสรรผู้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่า ที่เห็นโผ ครม.มีการเปลี่ยนหลายครั้งนั้น จะเห็นเฉพาะในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะขณะนี้รายชื่อครม. เสร็จหมดแล้ว

เหลือเพียงแค่การตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ แหล่งข่าวของหนังสือพิมพ์ไปเห็นสิ่งที่คิดว่า เป็นของจริง แต่ในความเป็นจริงแล้วยังไม่จริง ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเยอะ ตั้งแต่เมื่อวาน (31 ม.ค.) ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโผ ครม.

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่าจะมีการแต่งตั้งอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ ทางการเมือง มาเป็นที่ปรึกษาในด้านต่างๆ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่มีแนวคิดดังกล่าว แต่การจะให้คำปรึกษานั้น ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งตำแหน่งใดๆ ให้ ส่วนรายชื่อ ครม.ที่ออกมานั้นมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นครม.ต่างตอบแทน นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ขอไม่ตอบ เพราะขณะนี้รายชื่อครม.ยังไม่ออกมา แต่เมื่อรายชื่อออกมาแล้ว ก็เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร

นพ.สุรพงษ์ กล่าวถึงกรณีแนวทางการทำงานของทีมเศรษฐกิจ ว่า ลักษณะของทีมเศรษฐกิจ จะมีรองนายกฯ ที่ดูแลเศรษฐกิจ การบริหารในการเมืองยุคใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีรองนายกฯที่ดูแลเศรษฐกิจเพียงคนเดียว เมื่อถามว่า จะต้องไปขอคำปรึกษาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า เรายินดีที่จะขอคำปรึกษาจากทุกคน ทั้งนักวิชาการ และผู้ที่มีประสบการณ์

ต่อข้อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ น่าจะมีการดำเนินการในช่วงเวลาใด นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มีจุดยืนในการบริหารประเทศ คือจะต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศให้สำเร็จเสียก่อน และเชื่อว่าจะเห็นผลภายใน 6 เดือน ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในด้านภาวะการเติบโตของตัวเลข ทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ.

สพรั่ง เจิมศักดิ์ 'หน้าแหก' : ถึงเวลาชดใช้สิ่งที่กระทำไว้กับ ทอท.

ที่มา เวบไซต์ บางกอกทูเดย์
1 กุมภาพันธ์ 2551

“หน้าแตก” หรือจะเรียก “หน้าแหก” อาการก็คงไม่ต่างกันนัก!!! สำหรับ บอร์ด บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท.นำโดย พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ด และ“โฆษกฯ ปากกล้า” นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หนึ่งในบอร์ดทอท.

ก่อนหน้านี้ “บางกอกทูเดย์” เคยเขียนบอกด้วยซ้ำว่า...ระวัง!!!... อย่าได้ทำการละเมิดคำสั่งของศาลแพ่ง ที่ได้ให้ความคุ้มครอง “โจทก์” และ “คู่กรณี” อย่าง กลุ่มคิงเพาเวอร์ ตามที่ร้องขอไว้ เมื่อ 28 ธ.ค.50

นอกจากบอร์ดชุดนี้ จะไม่ฟังแล้ว ยังปล่อยให้นายเจิมศักดิ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ “เขย่าขวัญ” ไม่เฉพาะกลุ่มคิงเพาเวอร์ หากยังรวมถึง “คู่ค้า” และพนักงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอีกด้วย

แทบจะทุกครั้งที่มีการประชุมบอร์ด ทอท. ก็มักจะเห็น“โฆษกบอร์ดฯ” คนนี้เอง ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมฯ ประกาศขับไล่ กลุ่มคิงเพาเวอร์ พ้นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

กระทั่ง ช่วงสายของวันนัดหมาย 31 ม.ค. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดา ศาลแพ่งได้นัดพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 2441/2550 กรณีบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี จำกัด เป็นโจทก์และ ทอท.เป็นจำเลย โดยโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา เพื่อขอศาลให้คุ้มครองแก่โจทก์ ให้ดำเนินการทำธุรกิจต่อไปได้อย่างปกติ โดยฝ่ายจำเลยจะต้องไม่ขัดขวางโดยการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะก่อให้เกิดการขัดขวางในการทำธุรกิจแบบปกติ รวมตลอดถึงให้ความคุ้มครองบริษัทคู่ค้ากับโจทก์ และพนักงานของบริษัทคู่ค้ากับโจทก์ด้วย

ทั้งนี้ ศาลได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า... เหตุที่โจทก์จะยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาก็ตาม แต่คณะกรรมการของจำเลย ก็แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า จะฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ทั้งยังอาจให้ข่าวแก่สื่อมวลชนอีก อันเป็นผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของโจทก์ เพราะย่อมอยู่ในสภาวะที่ไม่มีความแน่นอน ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนของผู้ที่จะมาประกอบธุรกิจ เป็นคู่ค้ากับโจทก์ โจทก์จะได้รับความเสียหายทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบว่าสัญญามีผลผูกพันกันอย่างไรหรือไม่??? ตลอดจนอาจเป็นผลกระทบต่อเนื่อง ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศที่ต้องขาดรายได้ กรณีนับว่ามีเหตุจำเป็นเห็นเป็นการยุติธรรม และสมควรที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้บังคับ

ชัดเจนขนาดนี้ จะไม่ให้บอร์ด ทอท.“เสียหน้า” ได้อย่างไร???

ทันทีที่ข่าวชิ้นนี้ถูกรายงานออกไป ก็มีปฏิกิริยาเชิงแบ่งรับแบ่งสู้จาก ผู้บริหาร ทอท.พล.อ.ท.ชนะ อยู่สถาพร กก.ผอ.ใหญ่ ทอท. บอกในวันเดียวกันว่า... ทอท. พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาล แต่ก็ยังไม่ทิ้งลูกเล่น ก่อนบอกกับนักข่าวว่า... แต่จะขอนำเรื่องการรับเงินหลักประกันส่วนแบ่งรายได้เข้าหารือในที่ประชุมบอร์ด ทอท. เป็นครั้งที่ 3 ว่า...บอร์ด ทอท. จะมีมติให้รับเงินดังกล่าวหรือไม่???

หยั่งว่า...พล.อ.ท.ชนะ คงจำเป็นที่จะต้องออก “ลูกเล่น”เช่นนี้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นบอร์ด ทอท.เอง ที่สร้างปัญหาให้กับ ทอท.และฝ่ายบริหาร

เมื่อศาลแพ่งมีคำสั่งเช่นนี้ ก็ต้องให้บอร์ด ทอท. ยุคของ พล.อ.สพรั่ง “รับลูก” ไปเล่นต่อ “เรื่องนี้ต้องเอาเข้าหารือในที่ประชุมบอร์ด ว่าจะอนุมัติให้รับเงินหรือไม่ ในเมื่อศาลมีคำสั่งให้รับ ก็ต้องดูว่าบอร์ดจะมีความเห็นอย่างไร มติบอร์ดเรื่องนี้จะต้องเป็นเอกฉันท์ หากให้รับก็รับ แต่ถ้าไม่ให้รับก็เป็นเรื่องของบอร์ด เพราะเรื่องการรับรู้รายได้มีกำหนดถึงสิ้น ก.ย.นี้ ซึ่งตอนนั้นก็คงจะมีบอร์ดใหม่มาแล้ว” พล.อ.ท.ชนะ ให้เหตุผลสนับสนุนพร้อมกันนี้

เขาย้ำด้วยว่า... หากรัฐบาลใหม่เสนอให้ทอท.ทำการเจรจากับกลุ่มคิงเพาเวอร์ เพื่อยุติปัญหาดังกล่าวก็พร้อมเจรจาทันที เพราะ ทอท.ก็เป็นองค์กรที่ประกอบกอบธุรกิจเช่นเอกชนที่หวังผลกำไรเช่นกัน

ถือเป็นการ “ฟาดดาบซ้ำ” ไปหาใครบางคน ที่เคยออกมาบอกก่อนหน้านี้ว่า... ทอท.เป็นบริการสาธารณะ... ไม่จำเป็นต้องแสวงหาผลกำไร

อย่างไรก็ตาม กก.ผอ.ใหญ่ ทอท.แสดงความเห็นว่า... การรับเงินหลักประกันส่วนแบ่งรายได้ที่กลุ่มคิง เพาเวอร์นำมาวางไว้ จะเป็นผลดีต่อ ทอท.เพราะจะได้นำเงินดังกล่าวมารับรู้รายได้และดำเนินธุรกิจของ ทอท.ต่อไปโดยเชื่อว่า...การรับเงินจำนวนนี้ จะไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีอย่างแน่นอนถึงตรงนี้...

ใครที่ทำอะไรไว้กับใคร โดยเฉพาะกับผู้ถือหุ้นพนักงาน และผู้บริหารทุกระดับของ ทอท.คงถึงเวลาที่ต้องชดใช้ ในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำกันเอาไว้บ้างแล้ว???

หลังเงาเมฆทะมึนและห่าพายุฝนที่พัดกระหน่ำ ก็มักจะมีแสงนวลๆ ฉาดฉายสอดส่องลงผืนดิน...เพื่อคืนความชุ่มฉ่ำให้สรรพสัตว์ มวลพืชพรรณ และสิ่งมีชีวิต ได้อยู่เย็นเป็นสุขเช่นปกติ... ธรรมดา!!!.


จาก Thai E-News