WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, April 3, 2010

เสื้อชมพูค้านยุบสภา-รุมตีคนเสื้อแดง 4 ราย

ที่มา ประชาไท

กลุ่มคนเสื้อชมพูรวมตัวที่พระราชานุสาวรีย์ ร. 6 หน้าสวนลุมแสดงจุดยืน ในการเป็นกลุ่มผู้รักสงบภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ก่อนเกิดเหตุชุลมุนรุมตีคนเสื้อแดงที่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่าน 3 คันซ้อน เจ็บ 4 ราย

การนัดรวมกลุ่มกันของกลุ่มจุฬาเชิดชูคุณธรรมและกลุ่มสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย หรือ เฟสต้าบริเวณ พระราชานุสาวรีย์ ร.6 เริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. โดยใช้รถบรรทุก 6 ล้อ เป็นเวทีปราศรัยย่อยแสดงจุดยืน ในการเป็นกลุ่มผู้รักสงบภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

ผู้สื่อข่าวประชาไทสัมภาษณ์ผู้ชุมนุม 2 ราย ที่เข้าร่วมการชุมนุม สุธิกานต์ โอฬาร ดีไซเนอร์อิสระ ซึ่งมาร่วมชุมนุมตั้งแต่ 14.30 น. กล่าวว่า มาเพื่อเรียกร้องความสงบให้คนกรุงเทพฯ และต้องการลดบทบาทคนเสื้อแดง ทั้งนี้ ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ รัฐบาลกำลังทำงานก็อยากให้ทำงานต่อจนจบ

สุธิกานต์ บอกว่า ก่อนหน้านี้ เธอเคยเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเช่นกัน เนื่องจากไม่มีเวทีไล่ทักษิณ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่องของแนวทางพันธมิตรฯ

ด้านภูษิต อมรโพธิภิรมย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า เขามาร่วมสังเกตการณ์เพราะไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา เพราะมองว่าการยุบสภาต้องเป็นการหาทางออกให้กับประเทศ ไม่ใช่เพื่อคนบางกลุ่ม ทั้งนี้ อยากขอให้ให้เวลาพิสูจน์การทำงานของนายกฯ ด้วย

การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อชมพูดำเนินมาจนถึงเวลา 18.00น. โดยได้มีการร้องเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมีร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายกัน

นิก นอตสติชซ์ ผู้สื่อข่าวอิสระรายงานเหตุการณ์บริเวณลานพระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 หน้าสวนลุมพินีว่า มีการปราศรัยโดยอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย โดยบรรยากาศการชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ จนกระทั่ง เวลา 15.46 น. มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับขี่โดยวัยรุ่นชาย 2 รายสวมเสื้อแดงและติดธงพร้อมด้วยสัญลักษณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงขับผ่านมา จึงเกิดเหตุชุลมุนขึ้น โดยกลุ่มคนเสื้อชมพูบางส่วนตรงเข้ากระชาก และรุมทำร้ายชายทั้งสองราย กระทั่งชายเสื้อแดงที่นั่งซ้อนท้ายตกจากมอเตอร์ไซค์ และพยายามวิ่งกลับขึ้นไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อีกครั้งก่อนจะขับผ่านไป



ภาพถ่ายโดย นิก นอตสติชซ์

จากนั้นเวลาประมาณ 15.48 น. มีมอเตอร์ไซค์ของผู้สวมเสื้อแดงอีกคันหนึ่งขับผ่านมาในบริเวณดังกล่าว ถูกกลุ่มผู้ที่สวมเสื้อสีชมพูรุมสกัดพร้อมกระชากหมวกกันน็อคของชายคนดังกล่าว และรุมทำร้ายเช่นกัน ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะขับรถผ่านไป


ภาพถ่ายโดย นิก นอตสติชซ์

เวลาประมาณ 16.01 น. มอเตอร์ไซค์ซึ่งขับขี่โดยคนเสื้อแดงผ่านมาในเส้นทางดังกล่าวอีกราย ครั้งนี้ ถูกกลุ่มคนที่สวมเสื้อสีชมพูขว้างขวดน้ำเข้าใส่

นิก นอตสติชซ์รายงานว่า ระหว่างเหตุชุลมุนที่เกิดขึ้นสั้นๆ ทั้ง 3 ครั้งนั้น ผู้ชุมนุมเสื้อสีชมพูบางส่วนได้พยายามเข้าห้ามปรามกลุ่มบุคคลที่สวมเสื้อสีชมพูด้วยกัน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเข้าระงับเหตุการณ์และได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

"ผมพยายามเข้าไปถามแกนนำที่กำลังปราศรัย ว่าคิดอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขากล่าวว่าไม่รู้ พวกเขาไม่เห็นเหตุการณ์ ผมจึงเอาภาพในกล้องให้เขาดู จากนั้น ผู้ปราศรัยคนหนึ่งที่เป็นนักธุรกิจตอบผมว่า คนพวกนั้นไม่ใช่พวกเรา เราไม่เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น" นิก นอตสติชซ์ กล่าว








เสื้อแดงปะทะเสื้อชมพูที่สวนลุมฯ : TNNthailand.com

อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย

ที่มา thaifreenews


โดย prainn
วันที่ 3 เมษายน 2553

อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย

การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังดำเนินไปอยู่เวลานี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญของสังคมการเมืองไทยในอนาคต การเผชิญหน้าและการกดดันด้วยวิถีทางต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลักดันทางการเมืองเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและระบบการเมืองที่จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองได้อย่างทัดเทียม

ความขัดแย้งที่ต่อเนื่องและเข้มข้นสะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของโครงสร้างสังคมการเมืองที่ไม่เป็นธรรมอย่างรุนแรงกับผู้คนโดยเฉพาะคนชั้นล่างอันเป็นรากฐานสำคัญของความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ตราบเท่าที่ยังไม่เกิดการปรับโครงสร้างทางการเมืองเกิดขึ้นก็ยากที่จะทำให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไป

การไม่ไยดีต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลมีความต้องการที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองดำรงอยู่ต่อไป เพียงรักษาสถานภาพและผลประโยชน์ในกลุ่มก้อนของรัฐบาลเอง และแน่นอนว่าการเฉยเมยด้วยการใส่ร้ายป้ายสีผ่านสื่อของรัฐที่ดำเนินควบคู่กันไป อาจเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความรุนแรงทางการเมืองให้บังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถือได้ว่าเป็นตัวการที่ทำให้กระบวนการปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมอย่างสันติในระบอบประชาธิปไตยยุติลง อันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการปรับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองด้วยอำนาจรัฐประหารนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

การเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงผ่านการเรียกร้องด้วยข้อเรียกร้องต่างๆ ตั้งแต่เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้ดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยึดสนามบินและทำเนียบรัฐบาล การปลดนายกษิต ภิรมณ์ เรียกร้องให้องคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออก เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกับวิกฤตบ้านเมือง จนท้ายสุดมาถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

การเรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้นถือได้ว่าเป็นการเรียกร้องที่หลีกเลี่ยงในการเผชิญหน้าที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงได้ดีที่สุด เพราะนั่นเท่ากับเป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน แต่รัฐบาลกลับตั้งกองกำลังทหารเผชิญหน้าประชาชนทั้งพร้อมที่จะใช้กำลังอาวุธยุทธโธปกรณ์ทุกกรณีที่จำเป็นหากได้รับคำสั่งจากรัฐบาล

ความดื้อรั้นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วยการใช้วาทศิลป์แบบมะกอกสามตะกร้าหรือศรีธนญชัย ยุครัตนโกสินทร์ยิ่งสร้างความโกรธแค้นและไม่พอใจให้กับประชาชนไม่เฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเพียงอย่างเดียวที่ได้เห็นธาตุแท้ของหัวหน้ารัฐบาลที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างชัดเจนจากการเจรจาในครั้งนี้ว่า “ลิ้นไม่มีกระดูก”นั้นเป็นอย่างไร

สิ่งหนึ่งที่ผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้กลับสัมผัสได้ชัดเจนมากยิ่งกว่านั้นคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิได้มีอำนาจในการปกครองหรือบริหารราชการแผ่นินตัวจริง แต่กลับมีผู้อยู่เบื้องหลังในการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ว่าแม้แต่กระทั่งจะลาออกเองก็ยังไม่สามารถปฏิบัติได้เสียด้วยซ้ำไปหากไม่ได้ไฟเขียวจากผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ



หากยังปล่อยให้บ้านเมืองดำเนินเช่นนี้ต่อไปอีกในอนาคตเห็นทีประเทศชาติยิ่งย่อยยับลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีอะไรเหลือให้ลูกหลานได้กินได้ใช้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันจะตกอยู่ในกำมือของคนเพียงไม่กี่ตระกูลกับสมุนรับใช้ประเภทนักวิชาการหางเครื่องอำมาตย์ ทหารขี้ข้าอำมาตย์ และนักธุรกิจที่หมอบคลานอยู่ใต้ตีนอำมาตย์

ดังนั้น การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมครั้งใหม่ควรดำเนินการให้เกิดขึ้นในการต่อสู้ครั้งนี้ไปพร้อมๆ กันเสียทีเดียว เพราะไหนๆ ก็ได้เปิดโปงความชั่วร้ายของอำมาตย์ให้ทุกคนเห็นเด่นชัดไปแล้วว่ามีใครทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะกรณีเขายายเที่ยง เขาสอยดาว เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทีเดียวว่า จะใช้กฎหมายเข้าไปดำเนินการครั้งนี้ได้อย่างไรให้ถึงที่สุด

อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล เพราะหากการต่อเนื่องของคดีสำคัญครั้งนี้หยุดชะงักหายไปเฉยๆ แกนนำที่ดำเนินการเรื่องนี้คงไม่น่าเป็นที่ประทับใจนักสำหรับคนทั่วไป รวมถึงอีกหลายคดี่พันธมิตรฯ ได้ก่อร่างสร้างความชั่วไว้มากมายก็ต้องขุดคุ้ยขึ้นมาจัดการให้ถึงที่สุดโดยเฉพาะสนธิ ลิ้มปูติน และแกนนำทั้งสองรุ่นทุกคนเอาให้ติดคุกอย่าให้เหลือเหลือ

ดังนั้น วันนี้ (3 เมาษายน 2553) จึงเป็นวันสำคัญยิ่งในการรวมตัวของพี่น้องคนเสื้อแดงและหลากหลายสีที่ต้องออกมารวมตัวกันให้มากที่สุด เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาให้ได้ในมาตรการกดดันที่เข้มข้นขึ้นตามที่แกนนำได้ประกาศ

ทำให้วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ เป็นวันปลดแอกประชาชนอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ความเป็นจริงมันจะเกิดขึ้นทั้งที่มันเริ่มเกิดจากความรู้สึกแล้วว่า เรากำลังถูกปฏิบัติเยี่ยงไพร่ทั้งที่เรามิใช่ไพร่ และพวกเขาพยายามทำให้เห็นและมีความรู้สึกว่าพวกเขาเปรียบเสมือนเทพเจ้าที่ลงมาโปรดมนุษย์ในโลก ทั้งที่พวกเขาก็คือมนุษย์ที่กิน ขี้ ปี้ นอน ไม่ต่างไปจากเรา

ลุกขึ้นมา ออกมาให้หมด ออกมาต่อสู้และเรียกร้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรากลับคืนมา เพราะอำนาจอธิปไตยต้องเป็นของราษฎรทั้งหลาย

ผมไปด้วยคนพบกันที่ถนนราชดำเนินครับ



พระอินทร์

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

จะให้คนไทยตาสว่างทั้งแผ่นดินเหรอ..ต้องทำอย่างนี้

ที่มา thaifreenews


โดย Porsche

by akausa

ให้ประชาชนทั่วประเทศเห็นชัดเจนว่าประเทศไทยมันมี 2 มาตรฐานจริงๆคือของ

“ไพร่ “ กับ “อำมาตย์ “

แล้วเราจะให้คนไทยตาสว่างทั่วแผ่นดินได้อย่างไร
อันนี้จะต้องอาศัยแกนนำระดับต่างๆทั่วประเทศ

จะอาศัยสื่อที่มีเดี๋ยวนี้ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะสื่อพวกนี้มันสอนให้คนไทยฉลาดอยู่ในระดับ “ไพร่ “ เท่านั้น

คนไทยถึงได้ถูกสอนให้อยู่ ในลัทธิซึมซาบ
และความหวาดกลัวมานานแสนนานจากกฎหมายกดขี่

ลองมาช่วยกันคิดหน่อยซิว่าเราจะใช้วิธีนี้ต่อสู้กับพวกมันได้ไหม
แม้จะใช้เวลาหน่อย แต่ผลดีจะเกิดขึ้นมาก

เสื้อแดงจะต้องจัดตั้งกองกำลังเสื้อแดงทั่วประเทศในระดับต่างๆ
มีศูนย์ข่าวสารที่เป็นจริงคอยป้อนข่าวให้แกนนำทุกระดับเอาไปเผยแพร่พร้อมๆกันเป็นระยะๆ
ไม่ว่าจะเป็นซีดี ใบปลิว ฯลฯ
ในคำถามที่รัฐบาลไม่มีคำตอบให้

ยกตัวอย่างให้ประชาชนเห็นว่า
“ประเทศไทยมันมี 2 มาตรฐานจริงๆคือของ “ไพร่ “ กับ “อำมาตย์ “

รากหญ้าทั้งหลายคือ “ไพร่ “ ทั้งที่เสียภาษีอุดหนุนรัฐ มากกว่าพวกอำมาตย์เสียอีก
ยังไม่พอต้องเลี้ยงดูพวกมันด้วย

แล้วจะจัดตั้งแกนนำกองทัพแดงอย่างไร….?
ตามความคิดของผม เห็นว่าควรจะจัดตั้งอย่างนี้

คือประกาศหาแกนนำทุกระดับทั้งจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน
มีแกนนำระดับละ 4-5 คน

แกนนำที่มีอยู่แล้วก็เอามาใส่ในตำแหน่งไว้เลย ที่ไหนยังไม่มี ก็ประกาศรับสมัครอาสา

จากข้อมูลของกรมการปกครองประกาศเมื่อวันที่ 31ธันวาคม 2551 มีดังนี้

มีประชากรทั้งหมด 63,389,730 ล้านคน แยกเป็นชาย 31,255,869 หญิง 32,133,861

ประเทศไทยมี 75 จังหวัด 877 อำเภอ 7255 ตำบล 74944 หมู่บ้าน
ถ้าเราจะหาแกนนำระดับละ 4 คนเราก็จะได้แกนนำดังนี้ :

ระดับจังหวัด 75 X 4 = 300 คน

ระดับอำเภอ 877X4=3508 คน

ระดับตำบล 7255X4=29020 คน

ระดับหมู่บ้าน 74944X4=299776 คน

แกนนำในหมู่บ้านมีสมาชิกในสังกัด คนละ 15 คน จะมีสมาชิกอีก 299776X15=4496640

สรุปแล้วเราจะมีแกนนำที่ “ ตาสว่างบรรลุธรรมจริงๆ “ ระดับต่างๆทั่วประเทศ 332,604 คน

แล้วยังจะมีสมาชิกที่แกนนำระดับหมู่บ้านดูแลอยู่อีก 4,496,640 คน คิดดูสิว่าสมาชิกเหล่านี้จะไปทำให้คนตาสว่างอีกกี่คน..?

สื่อครับ…สื้อความจริงเท่านั้นจึงจะทำให้คนทั่วประเทศได้รู้ว่าที่แท้พวกตนก็คือ “ไพร่ “ เท่านั้น

ความจริงมีหลักฐานจะให้เขารู้ว่าพวกอำมาตย์หลอกพวกเขาว่าบ้านเมืองมันเป็นประชาธิปไตย พวกเขามีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งแต่แล้วผู้แทนที่พวกเขาเลือกเข้าไปก็ไปสยบกับพวกอำมาตย์
โกงกินชาติบ้านเมืองมาตลอด

ถ้าเราสามรถจัดตั้งกองกำลังทัพได้อย่างนี้
มีศูนย์ข่าวสารที่เป็นจริงให้แกนนำระดับต่างๆเอาไปเผยแพร่พร้อมๆกัน

ประชาชนก็จะตาสว่างขึ้น สว่างขึ้น จนวันหนึ่งลุกฮือขึ้นมาพร้อมกันทั่วประเทศ
มีหรืออำมาตย์มันจะอยู่ได้

ครับจะจัดตั้งอย่างนี้ใช่ว่ามันจะไม่มีอุปสรรค…มีครับ..อุปสรรคที่ว่านี้ก็คือ “เงิน “ ที่จะดำเนินการ

ก็ต้องมาช่วยกันคิดว่าจะจัดหามาได้อย่างไรมาเป็นค่าใช้จ่ายในด้านการสื่อสาร
ค่าใช้จ่ายการประชุมแกนนำระดับต่างๆ

อีกอย่างไม่รู้ว่าแกนนำส่วนกลางจะเห็นด้วยหรือเปล่า จะให้ดีที่สุด เห็นผลเร็วที่สุด
แกนนำส่วนกลางต้องเป็นฝ่ายริเริ่ม

หากงานนี้สำเร็จลงได้ ผมมีความเชื่อว่าหากมีการเลือกตั้งใหม่ ส.ส.น้ำเน่าจะหมดไปกว่าครึ่งสภา

ส.ส.น้ำดีที่จะมาแทนที่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน จะมาจากแกนนำเสื้อแดงของเราตามจังหวัดต่างๆนั่นแหละครับ

ประเทศจะเดินหน้าเข้าสู่ประชาธิปไตยเสียที ไม่ต้องมาซึมซาบอะไนอีก

อืมมม….เรื่องเงินนี่คิดถึงทักษิณแฮะ…..

เว็ปข้อมูลของกรมการปกครอง :http://www.dopa.go.th/dopanew/doc/dopastat52.pdf

http://www.prachataiwebboard.com/webboard/id/35375

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ.2553

"ปานปรีย์" ฉีกหน้ารัฐบาลขี้โม้ เปิดข้อมูลแฉจะจะเศรษฐกิจไทยยังหืดจับ

เงิน-เงิน-เงิน

ทำไมต้องเชียงใหม่

ตกปลาหาคนดี

เสื้อแดงตั้งเวที ปิดแยกเซ็นทรัลเวิล์ด

เสื้อแดงใช้ขวดย้ำเปล่าเป็นอาวุธเคาะพื้นตะโกน"อภิสิทธิ์"ยุบสภา

"วีระ"โวกองทัพคนเสื้อแดงยิ่งใหญ่กว่า"เจงกีสข่าน-อโศกมหาราช"

"จตุพร"ย้อนเกล็ดคิดศัพท์ใหม่ "เทือก"แปลว่าอย่ามาแย่งเมียผม

"จตุพร"ประกาศนำเสื้อแดงชกยก3ตะบันไม่หยุดจนกว่าจะได้รับชัยชนะ

ฟางเส้นสุดท้าย

คนไทยในอเมริกาชุมนุมใหญ่L.A. หนุนเสื้อแดงสู้ยก3ปลดแอกอำมาตย์ รวมพลย่านราชประสงค์

ที่มา Thai E-News



เพื่ออนาคตที่ไม่มืดมนเหมือนวันนี้-คุณแม่เสื้อแดงอุ้มลูกน้อยที่หลับไม่รู้เรื่องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ผู้เป็นพ่อขับ พร้อมชูนิ้วเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ ครอบครัวนี้เข้าร่วมขบวนนปช.ไปชุมนุมที่ราชประสงค์ ย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ (ภาพข่าว:AP)



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
3 เมษายน 2553

ยกที่ 3-พระสงฆ์ขึ้นเวทีเสื้อแดงเพื่อให้พรการต่อสู้ของประชาชนไทยประสบชัยชนะ โดยสงบสันติ ทั้งนี้การเคลื่อนขบวนวันนี้แบ่งเป็น2ส่วน ขบวนแรกเป็นทัพรถไปยังถนนวิภาวดีน อีกขบวนเป็นทัพเดินไปยังย่านราชประสงค์ และนัดหมายคนกรุงเทพฯออกมาชุมนุมที่ย่านราชประสงค์ (ภาพข่าว:
REUTERS)


แกนนำนปช.ได้ประกาศในเวลา 10.00 น.ที่เวทีชุมนุมผ่านฟ้า ถึงการเคลื่อนขบวนประท้วงในวันนี้ ว่าได้แบ่งเป็น 2 ขบวน

-ขบวนแรกเป็นทัพรถ ไปยังถนนวิภาวดีทั้งสาย
-ขบวนที่สองเป็นทัพคนเดิน มุ่งเป้าไปยังย่านราชประสงค์ จึงขอนัดหมายคนกรุงเทพฯที่จะเข้าร่วมชุมนุมพบกันที่ย่านราชประสงค์

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประกาศว่า ในวันพรุ่งนี้ทั้ง2ขบวนจะมารวมพลกัน แต่ไม่ได้เปิดเผยว่า ทำไมจึงไปที่ 2 จุดดังกล่าว และจะไปชุมนุมที่ราชประสงค์นานแค่ไหน

นายจตุพร พรหมพันธ์ ประกาศว่านี่ไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้าย แต่เราจะต่อสู้ต่อไปจนกว่าจะชนะ และยังได้กล่าวหาว่าได้ยินข่าวนายเนวินอาจจะจัดตั้งแดงเทียมเพื่อก่อเหตุรุนแรง เปิดทางให้ศอ.รส.ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อปราบปรามประชาชน

นายแพทย์เหวง โตจิราการ ได้แจ้งให้ผู้ชุมนุมเตรียมขวดน้ำพลาสติกเปล่าไปเพื่อเคาะกับพื้นให้กระหึ่มไปไกลนับ10กิโลเมตร ขานรับกับคำว่า"ยุบสภา" โดยเป็นสัญลักษณ์ที่ประชาชนเคยใช้ในการประท้วงสมัยพฤษภาทมิฬ

พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บังคับการตำรวจจราจร คาดการณ์ว่าเสื้อแดงน่าจะตั้งเวทีและค้างคืนที่ราชประสงค์ ซึ่งก็สอดคล้องกับโฆษกเวทีเสื้อแดงประกาศเวลา11.30น.จะนอนค้างคืนที่ราชประสงค์

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอ.รส.เปิดเผยว่า จะมีการประชุมเพื่อหามติใช้กฎหมายบังคับให้ผู้ชุมนุมคืนพื้นที่ราชประสงค์บางส่วน โดยอาจใช้รถยกนำผู้ชุมออกเพื่อไม่ให้รถติด แต่จะเริ่มต้นจากการเจรจาก่อน ยังไม่ได้คิดจะสลายการชุมนุมทันที

ราชประสงค์-ย่านราชประสงค์เป็นเป้าหมายการรวมพลของคนเสื้อแดงในวันนี้ ย่านประสงค์เป็นย่านธุรกิจสำคัญ เป็นที่ตั้งห้างสรรพสินค้าและสำนักงานธุรกิจ เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพาราก้อน เป็นต้น

ยุทธภูมิราชประสงค์เคยถูกพันธมิตรยึดมาก่อน
ในยุคที่พันธมิตรขับไล่รัฐบาลทักษิณนั้น เคยยกขบวนมาชุมนุมที่ย่านราชประสงค์เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2549 โดยในตอนนั้นพลตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรขอให้คนกรุงเทพฯต้องเสียสละ แม้รถติดอย่างหนัก

ในตอนนั้นยังมีกลุ่มคณาจารย์จุฬาฯบางส่วนเข้าร่วมการประท้วง ซึ่งล่าสุดอาจารย์กลุ่มนี้ได้ก่อตั้งกลุ่มเสื้อสีชมพู และออกมาจัดชุมนุมเมื่อวานนี้ต่อต้านเสื้อแดงชุมนุม อ้างว่าทำให้คนกรุงเทพฯเดือดร้อน และก่อเหตุทำร้ายเสื้อแดงขึ้นเมื่อวานนี้

คนไทยในอเมริกาจัดชุมนุมใหญ่ที่L.A.หนุนเสื้อแดงปลดแอกอำมาตย์

ขณะเดียวกันคนไทยในสหรัฐอเมริกา ได้นัดระดมพลพบกันที่หน้าสถานกงสุลแอลเอ / LARCHMONT- MELROSE วันนี้เวลา10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นL.A. โดยได้ออกคำเชิญชวนดังต่อไปนี้

1991 สิบแปดปีก่อน

ชาวแอลเอนับพันสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันประท้วงรัฐบาลสุจินดาซึ่งมีที่มาไม่ชอบธรรมจนล่มสลายไป

1992 สิบเจ็ดปีก่อน

ชาวแอลเอนับร้อยสละเวลาเงินทองเดินทางกลับบ้านเกิดไปรณรงค์ให้คนไทยออกไปเลือกตั้้ง

พวกเรา...ชาวแอลเอ
ร่วมสร้างตำนานแห่งประชาธิปไตยกับเมืองแม่มาโดยตลอด

2010 ร่วมกันอีกครั้ง

ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่

ร่วมกันอีกครั้ง

ร่วมกันให้ประเทศได้เดินหน้าต่อไป

ร่วมกันอีกครั้ง

ชุมนุมโดยสงบให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้กับประเทศ ยุบสภาก่อนที่บ้านเมืองจะวิบัติ

พบกันหน้าสถานกงสุลแอลเอ / LARCHMONT- MELROSE

10.00 น. เสาร์ที่ 3 เมษายนนี้

จัดการชุมนุมโดย Red USA / Red News USA / พลังไทยใน USA / ไทยรักประเทศไทย (TLT

สื่อคลั่งสุนันท์ปลุกระดมเสื้อชมพูโผล่สวนหลวงร.9หลังเถื่อนรุมสกรัมแดง คลั่งหนักยุฆ่าหมู่ม็อบไพร่

ที่มา Thai E-News



เหยื่อปลุกระดม-กลุ่มเสื้อสีชมพูรุมทำร้ายมอเตอร์ไซค์เสื้อแดงที่ขับผ่านสวนลุมฯเมื่อวาน วันนี้เช้าออกมารวมตัวกันที่สวนหลวงร.9 ตามการปลุกระดมของ"ไอ้คลั่งรวันด้าเมืองไทย"สุนันท์ ศรีจันทรา ที่ปลุกระดมยุยงให้ออกมากวาดล้างคนเสื้อแดงด้วยกำลังเถื่อน

ชมพูหลายร้อยรณรงค์ที่สวนหลวง ร.9 ร้องยุติม็อบ อยากมีชีวิตปกติ หลังรุมสกรัม"แดง3ราย"สะบักสะบอมวานนี้

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
3 เมษายน 2553


เหลืองแปลงร่างใส่ชมพู-ภาพเปรียบเทียบมวลชนพันธมิตร(ด้านขวา)ที่แปลงโฉมมาเป็นม็อบผู้ดีสีชมพู แต่ก็ดีแตก เมื่อก่อเหตุรุมทำร้ายเสื้อแดงที่สวนลุมพินี เมื่อวานนี้ (เครดิตภาพ:คุณสิงห์สนามหลวง)


เมื่อเวลา 07.00 น. บริเวณสวนหลวง ร.9 กลุ่มคนเสื้อสีชมพูหลายร้อยคนเดินรณรงค์ต่อต้านการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงและต่อต้านการยุบสภา โดยเริ่มเดินจากด้านหน้าสวนหลวง ร.9 พร้อมแจกป้ายสติกเกอร์สีเขียว ซึ่งมีข้อความระบุว่า "ยุติม็อบซะที อยากมีชีวิตปกติ" รวมทั้งแจกใบปลิว โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ประเวศ คอยอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนเสื้อสีชมพู รวมถึงดูแลการจราจรบริเวณโดยรอบจากสวนหลวง ร.9 ถึง ถ.ศรีนครินทร์

นายสุนันท์ ศรีจันทรา นักจัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ และมีบทบาทเคลื่อนไหวร่วมกับพันธมิตร เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการใช้สื่อวิทยุและโทรทัศน์ปลุกระดมคนกลุ่มนี้ออกมาในวันนี้ โดยนายสุนันท์ไปออกกำลังกายที่สวนหลวงร.9เป็นประจำ ก็เลยนัดหมายที่นี่

"เสื้อชมพู"รุมสกรัม"แดง4ราย"สะบักสะบอม

การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อสีชมพูเป็นการต่อเนื่องจากวานนี้ ซึ่งมีทั้งจากภาครัฐ เอกชน กลุ่มจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย (จคป.) นัดรวมตัวกันได้ประมาณ 3 พันคน ชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี เมื่อเวลา 14.00 น. โดยใช้รถบรรทุก 6 ล้อ เป็นเวทีปราศรัยย่อยแสดงจุดยืน ในการเป็นกลุ่มผู้รักสงบภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทำให้ถนนบริเวณนั้นติดขัดเป็นอย่างมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกลุ่มคนเสื้อสีชมพูจัดกิจกรรมเสร็จสิ้น ขณะกำลังทยอยออกจากพื้นที่เมื่อเวลา 15.20 น. มีชายอายุประมาณ 25 ปี สวมเสื้อแดง และผูกผ้าพันคอสัญลักษณ์ นปช. ขี่รถจักรยานยนต์ในบริเวณถนน (ถ.) ราชดำริ ข้างสวนลุมพินีหลายรอบ เมื่อกลุ่มคนเสื้อชมพูเห็นดังกล่าว จึงเข้าใจว่าจะเข้าไปก่อกวน จึงชักชวนกันจำนวนกว่า 10 คน กรูเข้าไปจับตัว แต่ชายเสื้อแดงดังกล่าวขัดขืน และพยายามวิ่งหลบหนี จึงถูกรุมทำร้ายร่างกายจนสะบักสะบอม กระทั่งตำรวจที่เห็นเหตุการณ์ต้องรีบเข้าไปช่วยกันพาตัวชายเสื้อแดงออกไปจากที่เกิดเหตุ ส่วนคนเสื้อชมพูยังปักหลักอยู่บริเวณดังกล่าว พร้อมพากันร้องเพลงและโบกธงชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที มีชายเสื้อแดงขี่รถจักรยานยนต์มาในลักษณะดังกล่าวอีก จึงถูกคนเสื้อชมพูรุมสกรัมแบบเดิม และตำรวจต้องเข้าช่วยเหลืออีกรอบ แต่หลังจากนั้นไม่นาน มีคนเสื้อแดงขี่รถจักรยานยนต์มาอีกคนและเกิดเหตุการณ์เหมือนเดิมอีกครั้ง และมีชาวบ้านที่หลงเข้าไปในสวนลุมฯอีกรายที่บังเอิญใส่เสื้อแดงเลยโดนรุมทำร้าย ตำรวจจึงต้องตั้งแถวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีก นอกจากนั้น กลุ่มเครือข่ายนักธุรกิจท่องเที่ยว ที่สลับกับกลุ่มคนเสื้อชมพูเข้าไปจัดกิจกรรมคัดค้านการยุบสภาของรัฐบาล รีบอ่านแถลงการณ์ และยุติกิจกรรมทั้งหมดทันที ทั้งที่มีกำหนดการจะเริ่มงานในเวลา 16.00 น. เนื่องจากเกรงว่า จะเกิดเหตุรุนแรงขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงที่กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนไปยังสถานทูตสหรัฐอเมริกา ได้มีคนเสื้อชมพูจำนวนหนึ่งที่อยู่บนสะพานลอยบริเวณสวนลุมพินี พยายามตะโกนด่ากลุ่มคนเสื้อแดง ที่เคลื่อนขบวนผ่านด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย แต่การ์ดของกลุ่มคนเสื้อแดงได้กันห้ามผู้ชุมนุมไม่ให้ไปตอบโต้กลุ่มคนเสื้อสีชมพู จึงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

เปิดปูมสื่อคลั่งสุนันท์ ศรีจันทรา ปลุกระดมเสื้อสีชมพูฆ่าหมู่เสื้อแดง



ไอ้คลั่งรวันด้าเมืองไทย-สุนันท์ ศรีจันทรา นักจัดรายการF.M.96.5 FM92.25และโทรทัศน์เนชั่นแชนัล ใช้สื่อในมือด้วยความคลุ้มคลั่งปลุกปั่นให้เสื้อเหลืองและคนกรุงเทพฯรวมตัวกันใช้กำลังจัดการกับเสื้อแดงให้หมด โดยระบุว่าเพราะเสื้อแดงเป็นเศษมนุษย์ เป็นม็อบรับจ้าง เุถื่อน ถ่อย เมาเหล้าขาว ไม่ได้เป็นม็อบมีอุดมการณ์แบบพันธมิตรที่สุนันท์เคยเข้าร่วม วงการวิตกจะซ้ำรอยวิทยุยานเกราะสมัย6ตุลาฯ และ"วิทยุแห่งความตาย"ที่ปลุกระดมให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันด้า


ผู้ที่มีบทบาทหลักในการนัดหมายเสื้อสีชมพูมาชุมนุมที่สวนหลวงร.9 คือนายสุนันท์ ศรีจันทรา พิธีกรผู้ดำเนินรายการเกี่ยวกับหุ้นทางคลื่นวิทยุF.M.96.5 อสมท. รายการหุ้นทางNATION CHANNEL และASTV รวมทั้งปักหลักทำรายการที่F.M.92.25ของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ โดยนายสุนันท์เคยมีบทบาทอย่างสูงในเวทีพันธมิตรฯในตอนยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน โดยทำหน้าที่โจมตีรัฐบาลสมัยนั้นด้านเศรษฐกิจ เคยเป็นแกนนำบุกกระทรวงการคลัง

แม้จะทำรายการหุ้นในปัจจุบัน แต่นายสุนันท์กลับเอาเวลาส่วนใหญ่มาปลุกปั่นยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อคนเสื้อแดง

สุนันท์ ศรีจันทราคลั่งหนักยุมวลชนฆ่าหมู่"เศษมนุษย์เสื้อแดง"

ในคลื่นวิทยุF.M.92.25 นายสุนันท์ จัดรายการโดยโจมตีว่ารัฐบาลไม่ยอมปราบปรามคนเสื้อแดงทั้งที่พวกนี้เป็นม็อบรับจ้างทักษิณมาค่าหัววันละ 200 บาท ตกดึกเมาเหล้าขาว เป็นแค่"เศษมนุษย์"ที่สร้างความปั่นป่วนเดือดร้อน ดังนั้นจึงขอสนับสนุนให้ชาวกรุงเทพฯออกมาระดมกำลังกันกวาดล้าง โดยยกตัวอย่างว่าสมัยคานธีเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษสำเร็จ เกิดการแตกแยกระหว่างชาวฮินดูกับชาวอิสลามถึงขั้นแตกแยกเป็น 2 ประเทศ เพราะมีชาวฮินดูคนหนึ่งทนไม่ไหวขว้างก้อนหินใส่ชาวอิสลาม จึงเกิดการจลาจลสังหารมหมู่กันขึ้น

"เมืองไทยเราก็ต้องทำแบบอินเดียแล้วหละครับ วันเสาร์27นี้หากพวกเสื้อแดงไปก่อความวุ่นวายที่ไหน พวกเราต้องออกมาตามซอกซอยต่างๆตัดตอนตลบหลังมันแล้วเอาแบบอินเดียเขาทำ ให้มันตายกันเป็นเบือไปเลย"นายสุนันท์กล่าว

นายสุนันท์ปลุกระดมให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับม็อบเสื้อแดง พากันใส่เสื้อสีชมพูออกมารวมตัวกันที่สวนหลวงร.9ในเวลา7นาฬิกา วันเสาร์ที่3 เมษายน โดยเขาได้เตรียมป้ายประท้วงด้วยถ้อยคำหยาบคายไว้ให้มากมายแล้ว และเนื่องจากเสื้อแดงเป็นพวกเศษมนุษย์ต้่องจัดการให้สิ้นซากแตกกระเจิง จากนั้นเขาจะตามไล่บี้พวกแกนนำตามไปจัดการถึงบ้านให้หมดทุกราย

"ในเมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ใจมด มีกฎหมายมีกำลังในมือแต่ไม่ยอมปราบปรามพวกเรื้อนแดงถ่อยที่ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่ว ผมก็อยากเชิญชวนประชาชนชาวกรุงเทพฯ หรือพันธมิตร หรือสีไหนก็ได้ตั้งกลุ่มรวมตัวกันมากๆ พวกถ่อยแดงมันอยู่ไหน หรือวันเสาร์27นี้จะยกพวกไปปิดถนนก่อความรำคาญที่ไหน ก็ให้ยกพวกไปปิดล้อมพวกมัน ก็คงจำเป็นที่ประชาชนต้องใช้กำลังจัดการเอง เพราะรัฐบาลไม่ยอมจัดการ"นายสุนันท์กล่าวในตอนหนึ่งทางคลื่นวิทยุF.M.92.25MHz

เขากล่าวว่าพวกม็อบเสื้อแดงต่างจากเสื้อเหลือง เพราะม็อบเสื้อเหลืองมาด้วยอุดมการณ์ มาบริจาคเงินให้พันธมิตรต่อสู้ล้มรัฐบาลหุ่นเชิดสมัคร-สมชาย แต่เสื้อแดงมีแต่ไอ้พวกโง่ๆจนๆรับจ้างม็อบจากทักษิณ แล้วก็ขนกันมาจากบ้านนอกได้ค่าแรงวันละ200 ตกดึกก็งัดเหล้าขาวมาเมากันสนุก ตื่นเช้าก็ออกสร้างความปั่นป่วนให้คนกรุงเทพฯ มีแต่ไอ้พวกถ่อยๆเถื่อนๆทั้งสิ้น

"รัฐบาลก็ใจมดดำไม่ยอมลงมือปราบปรามเสียที ผมกต้องบอกประชาชนครับต้องรวมตัวกันมากๆมันอยู่ราชดำเนินเราก็ไปล้อม มันจะยกเข้าสีลม สาธร ไปสยามเราก็ไปล้อม ก็คงต้องออกแรงกันหน่อยหละครับ ในเมื่อรัฐบาลไม่ยอมจัดการเอง"

ทั้งนี้ในสัปดาห์ก่อนนายสุนันท์พูดออกทุกสื่อที่เขาเป็นพิธีกรว่า ฟันธงว่าเสื้อแดงจะฝ่อไปเองในวันพุธที่ 17 ก็จบแล้วเพราะท่อน้ำเลี้ยงหมด ทั้งพวกรับจ้างก็ได้เงินแล้ว แดดก็ร้อน 3เกลอหัวขวดก็แบ่งเงินกันแล้ว

อย่างไรก็ตามปรากฎว่านายสุนันท์ธงหัก เพราะเสื้อแดงยังชุมนุมกันต่อมาถึงวันนี้ และเสื้อแดงก็ไม่ได้เคลื่อนไปรอบกรุงเทพฯดังที่นายสุนันท์กล่าวหาไว้

ก.ล.ต.รับเรื่องร้องเรียน"สุนันท์ ศรีจันทรา"นักวิเคราะห์หุ้นเถื่อน

ผู้อ่านของ"ไทยอีนิวส์"แจ้งว่า ได้ร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ให้ดำเนินคดีกับนายสุนันท์ ศรีจันทรา นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ได้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์ช่องเนชั่นแชแนล และวิทยุF.M.96.5 โดยกล่าวหาว่า นายสุนันท์ได้ดำเนินรายการวิทยุและโทรทัศน์พูดเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น ชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นโดยไม่มีหลักเกณฑ์ และเมื่อตรวจสอบดูก็ไม่พบว่า นายสุนันท์มีใบอนุญาตเป็นนักวิเคราะห์หุ้น หรือใบอนุญาตเป็นที่ปรึกษาในการลงทุนหุ้น หรือใบอนุญาตพูดแนะนำการซื้อขายหุ้นออกสื่อตามการอนุญาตของสมาคมนักวิเคราะห์หุ้น แต่กลต.กลับปล่อยปละละเลยให้ดำเนินรายการทางสื่อมาตลอด โดยขาดหลักวิชาการ และมักชวนให้ไปฟังสัมมนาโดยจัดเก็บค่าฟังสัมมนาเสมอๆ รวมทั้งเดินสายไปพบนักลงทุนชวนให้ซื้อขายหุ้น


*อุรสา บรรณกิจโศภณ

ต่อมานางอุรสา บรรณกิจโศภณ เจ้าหน้าที่ของก.ล.ต.ได้แจ้งกลับมาว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไว้แล้ว และกำลังดำเนินการอยู่
พร้อมกับแจ้งว่า หากมีข้อสงสัยติดต่อศูนย์รับเรื่องร้องเรียน Help Center โทร.0-2263-6000 โทรสาร (66) 2263-7755E-mail : info@sec.or.th

"แต่จนป่านนี้ได้ร้องเรียนผ่านไปเกือบ 1 เดือนแล้ว ก.ล.ต.ยังไม่ได้แจ้งความคืบหน้าใดๆ และยังปล่อยปละละเลยให้นายสุนันท์พูดชี้นำการซื้อขายหุ้นโดยขาดหลักเกณฑ์ เป็นนักวิเคราะห์หุ้นเถื่อนไม่มีใบอนุญาต สร้างความเสียหายให้นักเล่นหุ้นอย่างต่อเนื่อง"ผู้ร้องเรียนที่ขอสงวนนามกล่าว พร้อมทั้งได้เชิญชวนนักเล่นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการเป็นนักวิเคราะห์หุ้นเถื่อนของนายสุนันท์ให้ร่วมกันร้องเรียนไปยังก.ล.ต.ให้มากๆ เพื่อขจัดเหลือบสังคมการเล่นหุ้นออกไป

นอกจากนั้นฝ่ายเสื้อแดงควรนำหลักฐานการยุยงปลุกระดมให้ฆ่าคนเสื้อแดงของนายสุนันท์ไปแจ้งความดำเนินคดี เพื่อให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดด้วย หากปล่อยปละละเลยอาจเกิดโศกนาฏกรรมแบบในประเทศรวันดาได้

บทเรียนจากสื่อรวันดาบงการฆ่าหมู่5แสนศพผ่านสื่อถึงไอ้คลั่งสุนันท์ สุดท้ายโดนประหาร



ไอ้คลั่งเหลืองอ๋อย-บทบาทของสุนันท์ ศรีจันทรา บนเวทีพันธมิตรทั้งช่วงยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน และเคยนำทีมดาวกระจายบุกกระทรวงการคลัง รวมทั้งผูกพันกับพรรคการเมืองใหม่ที่มี"สำราญ รอดเพชร"ซี้ของสุนันท์เป็นโฆษกพรรคอยู่ สุนันท์ยังเป็นเพื่อนสนิทของสนธิญาณ หนูแก้ว แห่งสำนักข่าวT-NEWSที่มีบทบาทกล่าวหาว่าเสื้อแดงล้มเจ้าอีกด้วย



ในปี ค.ศ. 1994 เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ขึ้นในรวันดา ประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา ภายในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน ชาวทุตซี่ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในรวันดา (15 % ของประชากร) ถูกฆ่าตายไปทั้งสิ้น 500,000 คน (มากกว่า 80% ของประชากรทุตซี่) นับเป็นการสังหารหมู่ที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยสื่อมวลชนมีบทบาทในการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงโดยเฉพาะสื่อวิทยุทำงานอย่างจริงจัง อย่างจงใจ และเป็นระบบในการก่อให้เกิดการสังหารหมู่ โดยแสดงบทบาทดังต่อไปนี้

1. สื่อแพร่กระจายความเกลียดชังอย่างตั้งใจ ผ่านคำพูด เพลงปลุกระดม คำขวัญ และถ้อยคำหยาบคายที่จงใจทำให้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่มีความคิดเห็นหรืออัตลักษณ์ที่แตกต่างกลายเป็นศัตรูที่ต้องถูกกำจัดหรือกวาดล้าง กระบวนการสร้างความเกลียดชังทำในสองรูปแบบหลักคือ หนึ่งลดทอนความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้าม ในกรณีนี้ดีเจสถานีวิทยุ Radio-Télévision Libre des Milles Collines (RTLM) ซึ่งเป็นสถานีวิทยุเอกชน ที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของผู้นำฮูตูขวาจัด และมีบทบาทหลักในการยุยงปลุกปั่นความเกลียดชัง จนได้ฉายาอันอื้อฉาวว่า “วิทยุแห่งความตาย” จงใจเรียกชาวตุดซี่ว่าเป็นแมลงสาบตลอดเวลา เพื่อชี้ว่าชาวทุตซี่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อหรือจิตวิญญาณเหมือนชาวฮูตู เป็นขยะของสังคมที่ควรจะถูกกวาดล้างเพื่อทำให้สังคมบริสุทธิ์ เหมือนกำจัดแมลงสาบออกไปจากที่พักอาศัย (ฆ่าแมลงสาบไม่บาป)

นอกจากเทคนิคที่กดให้ฝ่ายตรงข้ามต่ำกว่าตนแล้ว เทคนิคอีกประการหนึ่งคือ วาดภาพให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นยักษ์เป็นมารไปเสีย ซึ่งก็เป็นการทำให้พวกเขาไม่ใช่มนุษย์มนาไปอีกแบบหนึ่ง คือ ดูน่ากลัวเสียจนฝ่าย “พวกเรา” ต้องสามัคคีกันเพื่อกำจัด มีการปลุกระดมผ่านสถานีวิทยุ RTLM ว่าชาวทุตซี่มีแผนการจะสังหารหมู่ชาวฮุตูให้สิ้นซากไปจากประเทศ และแปลงรวันดาให้กลายเป็นดินแดนของชาวทุตซี่แต่ลำพัง เทคนิคประการที่สองนี้มุ่งสร้างให้เกิดความกลัวและตื่นตระหนกเสริมเข้าไปกับความเกลียดชัง

2.สื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานในการลงมือก่อความรุนแรงระหว่างนักการเมืองหัวรุนแรงกับเครือข่ายของพวกเขา มีหลักฐานมากมายว่าสถานีวิทยุ RTLM ไม่ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างที่ควรจะทำในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางการเมือง แต่แปลงร่างตัวเองเป็นเครื่องมือของนักการเมืองเชื้อชาตินิยมขวาจัดในการโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม (รวมทั้งชาวฮูตูด้วยกันที่ไม่เห็นสอดคล้องกับแผนการณ์ของตน) ที่น่ากลัวคือ ผู้ประกาศข่าวและเจ้าหน้าที่ของสถานีนี้ไม่เพียงแต่บิดเบือนข้อเท็จจริง โกหกมดเท็จ และปั้นนำเป็นตัวเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการของการสังหารหมู่เลยทีเดียว มีการประกาศรายชื่อชาวตุ๊ดซี่ที่เป็นเป้าหมายของการสังหารออกอากาศสด นอกจากชื่อเสียงเรียงนาม ดีเจประจำสถานียังให้ข้อมูลที่อยู่เสร็จสรรพว่าจะไปตามฆ่าคนเหล่านี้ได้ที่ไหน รวมทั้งมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่ชาวตุดซี่ไปชุมนุมหรือหลบซ่อนอยู่ ข้อมูลจากองค์กรนานาชาติและนักวิจัยพบว่า รายชื่อบุคคลที่สถานีวิทยุ RTLM ประกาศออกอากาศ ทุกรายถูกฆ่าตายให้หลังเวลาการออกอากาศไม่นาน และสถานที่หลบภัยทั้งหลายถูกเผาทำลายและโจมตีอย่างแม่นยำหลังจากมีการประกาศผ่านสถานีวิทยุ เนื่องจากความแพร่หลายของสื่อวิทยุ ซึ่งเป็นสื่อราคาถูกและเข้าถึงได้ง่ายที่สุดในสังคมรวันดา ทำให้การประสานงานในการฆ่าดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพในขอบเขตทั่วประเทศ

3.สื่อทำหน้าที่ชี้นำสาธารณะให้เห็นว่าความรุนแรงเป็นทางออกและจำกัดทางเลือกของการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี บทบาทของสื่อในข้อนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่ความขัดแย้งทางการเมืองกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น สื่อวิทยุบางสถานีและหนังสือพิมพ์บางฉบับในรวันดาจงใจชี้นำสาธารณะว่าความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นการต่อสู้ระหว่าง “พวกเรา-คนส่วนใหญ่” กับ “พวกเขา-คนส่วนน้อย” เป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว และตอกย้ำว่าความรุนแรงเท่านั้นที่เป็นทางออกจากความขัดแย้งนี้ คำขวัญที่ถูกอ่านออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำอีกในช่วงนั้นคือ เลือกเอาว่าคุณ “จะฆ่าหรือจะเป็นฝ่ายถูกฆ่า” (to kill or to be killed) โดยการชี้นำเช่นนี้ สื่อทำหน้าที่อันเลวร้ายสองอย่าง หนึ่ง ไม่เปิดโอกาสให้สาธารณชนเข้าใจความประเด็นทางการเมืองในแบบอื่นๆ เลย นอกจากการเมืองของสีขาวกับสีดำ เทพกับมาร การตีกรอบปัญหาทางการเมืองเช่นนี้ ทำให้สังคมขาดวุฒิปัญญาและไม่พร้อมต่อการรับมือกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน สอง สื่อทำหน้าที่เป็นโฆษกของความรุนแรงและโหมกระพือความแตกแยกในสังคมแทนที่จะเป็นสติให้กับสาธารณชน

บทเรียนจากรวันดาคือ สื่อในสังคมไหนๆ ก็สามารถเป็นอาวุธอันทรงประสิทธิภาพในการก่อความรุนแรงได้ เมื่อใดก็ตามที่มันยุติการทำหน้าที่ของการเป็นผู้รายงานข้อเท็จจริงและนำเสนอความเห็นอันรอบด้านแก่สาธารณะ และแปลงตัวเองไปเล่นบทกระบอกเสียงของความเกลียดชัง

ประหารดีเจคลื่นวิทยุแห่งความตายหลังสงครามยุติ

ในปี ค.ศ. 2003 ศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับรวันดา (International Criminal Tribunal for Rwanda : ICTR) ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยอาศัยข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตผู้ประกาศสองคนของสถานีวิทยุ RTLM และนักข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมีความผิดฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นับเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง (นับจากศาลนูเรมเบิร์กที่จัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อพิจารณาการสังหารหมู่ชาวยิว) ว่า แม้สื่อมวลชนไม่ได้มีบทบาทเป็นผู้ลงมือฆ่าโดยตรง หากทำหน้าที่ยุยงปลุกปั่นและชี้นำให้มีการใช้ความรุนแรง ก็ต้องรับผิดตามกฎหมายต่ออาชญกรรมที่เกิดขึ้นด้วย

คนงาน-ชาวนาลั่น1คน1เสียงไม่เกี่ยงผู้ดี-ไพร่ ให้เลิกหมิ่นแคลนเร่งยุบสภาประชาชนชี้ขาด

ที่มา Thai E-News




โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
3 เมษายน 2553

แถลงการณ์ สนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของนปช.

คืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน ทุกคนเท่ากัน หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง



ความขัดแย้งทางการเมืองไทยในปัจจุบัน ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย นำโดย แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ตัวแทนระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นความขัดแย้งทางชนชั้นอีกรูปแบบหนึ่ง และสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างไพร่ผู้ไร้อภิสิทธิ์ไม่มีเส้นกับผู้ดีอำมาตย์อภิสิทธิ์ชนในสังคมทุนนิยมไทยสมัยปัจจุบัน

ความขัดแย้งทางการเมืองถึงขั้นวิกฤตในครั้งนี้ เริ่มต้นจากการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยการกระทำการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และสืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งได้เอื้อให้อำนาจนอกระบบอำนาจอำมาตย์ครองอำนาจเหนือทางการเมือง ตลอดทั้งมีขบวนการและกระบวนการลดทอนเบียดขับอำนาจของประชาชนผู้ใช้สิทธิของตนเองผ่านการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรโดยการรัฐประหารซ่อนรูปและอำนาจของกระบวนการยุติธรรมอย่างน่าประณามยิ่ง ในที่สุดการครองอำนาจของฝ่ายอำมาตย์ ก็ผ่านการจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในค่ายทหารพื้นที่กองทัพ

ขณะที่ประชาชนผู้รักชาติ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม จำนวนมหาศาลและกว้างใหญ่ไพศาล ก็หาได้สยบยอมจำนนต่ออำนาจอธรรมดังกล่าว กลับมีความกระตือรือร้นต่อสู้คัดค้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรม นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สังคมการเมืองไทยที่ประชาชนได้ร่วมมือกันต่อสู้อย่างกล้าหาญท้าทายกับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำสังคมไทยมายาวนาน เพื่อเสรีภาพ เสมอภาค ความเป็นธรรม และเพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้ง ณ ปัจจุบันนี้ จะนำพาสังคมไทยสู่ทางสองแพร่ง ระหว่าง เส้นทางสู่ความล้าหลังด้อยพัฒนาค่ำครึของระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย กับเส้นทางที่สู่การพัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้าและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้

เราในนามองค์กรข้างล่าง ล้วนเป็นผู้ใช้แรงงานทั้งในเมืองในชนบท ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในฐานะสำนึกแห่งไพร่ ที่ต้องปลดปล่อยพันธการระบอบอำมาตย์และระบบทุนนิยมล้าหลังให้หมดสิ้น เพื่อเอาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กลับคืนมา

เราในฐานะผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ประเทศ มีข้อเรียกร้องและความคิดเห็นต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบันดังนี้


1. เราขอสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างสันติวิธีของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) องค์กรนำในการเคลื่อนไหวในครั้งนี้

2. เราขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภาตามข้อเรียกร้องของนปช. เพื่อคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศโดยแท้จริง เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่นับวันรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างสันติวิธี เพื่อดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยซึ่งทุกคนไม่ว่าไพร่หรือผู้ดี มีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากันในการเลือกผู้บริหารผู้ปกครองประเทศ

3. เรามีความคิดเห็นว่า รัฐบาล พรรคการเมือง ร่วมรัฐบาล และองค์กรต่างๆ ต้องยุติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ในขณะนี้ และควรให้อำนาจประชาชนมีกระบวนการส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ขึ้น เช่น การให้สิทธิผู้ใช้แรงงานเลือกตั้งตัวแทนในสถานที่ประกอบการ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นทุกระดับ การกระจายการถือครองที่ดิน การมีมาตรการภาษีที่ก้าวหน้า การสร้างรัฐสวัสดิการ เป็นต้น

4. เราขอเรียกร้องให้เครือข่ายของระบอบอำมาตยาธิปไตย ทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย กลุ่มสว. 40 ตลอดทั้งสื่อมวลชนและนักวิชาการบางส่วน โดยการยุติพฤติกรรมสร้างภาพ บิดเบือน ใส่ร้าย ทำลายความชอบธรรมการชุมนุมอย่างสันติวิธีของนปช. และให้เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย

5.ท่ามกลางการเรียกร้องให้ยุบสภา นายประเวศ วะสี กลุ่ม 40 สว และองค์กรต่างๆซึ่งล้วนมีจุดยืนเพื่อระบอบอำมาตยาธิปไตย นั้น ได้เสนอให้มีการปฏิรูปประเทศไทย แท้จริงแล้ว เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อบิดเบือนประเด็นการต่อสู้ของนปช. นั่นเอง

6. เรามีความคิดเห็นว่า การปฏิรูปโครงสร้างความเลื่อมล้ำในสังคมไทย การปฏิรูปประเทศไทย ที่ผ่านมาและเป็นอยู่นั้น อุปสรรคสำคัญเกิดจาก ระบอบอำมาตยาธิปไตยที่รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลางและระบบราชการ การปฏิรูปประเทศไทยจึงต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในลักษณะต่างๆ เช่น เสนอกฎหมายโดยตรง ที่สำคัญ พรรคการเมืองต่างๆต้องเสนอนโยบายให้ประชาชนเลือก ขณะที่องค์กรต่างๆก็เสนอนโยบายเพื่อผลักดันกดดันต่อพรรคการเมืองได้เช่นกัน

ดังนั้น จึงต้องเริ่มต้นด้วยยุบสภา คืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน

ลงนามโดย

1.เครือข่ายองค์กรชุมชนแก้ปัญหาที่ดินภาคอีสาน (คอป.อ.)
2. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์น้ำเซิน (คอซ.)
3. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านลุ่มน้ำปาว (คอป.)
4. เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภูค้อ-ภูกระแต จังหวัดเลย
5. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คอส.)
6. แนวร่วมเกษตรกรภาคอีสาน (นกส.)
7. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ลุ่มน้ำโขง จังหวัดอุบลราชธานี
8. กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.)
9. กลุ่มดงมูลเพื่อการพัฒนา จังหวัดกาฬสินธุ์
10. เครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก จังหวัดอุดรธานี
11. กลุ่มภูพานเพื่อการพัฒนา จังหวัดสกลนคร
12. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน จังหวัดชัยภูมิ
13. กลุ่มประชาชนไทยแวงน้อย-แวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น
14. กลุ่มเยาวชนมิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น
15. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์น้ำพรมตอนต้น จังหวัดชัยภูมิ
16. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ลุ่มน้ำบัง จังหวัดนครพนม
17. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ยโสธร จังหวัดยโสธร
18. สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.)
19. กลุ่มแนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.)
20. ชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง
21. เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู จังหวัดพิษณุโลก
22. เครือข่ายส่งเสริมสิทธิการจัดการทรัพยากรภาคเหนือตอนล่าง (คสปล.)
23. สหพันธ์เยาวชนคลองเตย (สยค.)
24. เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย
25. เครือข่ายชุมชนเมืองบ่อนไก่ กทม.
26. กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ
27. เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนเขลาโคก จังหวัดร้อยเอ็ด
28. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
29.กรรมกรแดงเพื่อประชาธิปไตย
30.องค์กรเลี้ยวซ้าย
31.กลุ่มประกายไฟ

ฟ้องด้วยภาพ ทำไมสื่อพาดหัว"แดงปะทะชมพู"

ที่มา Thai E-News




โดย คุณสิงห์สนามหลวง
ที่มา ห้องราชดำเนิน พันทิป
2 เมษายน 2553

ทำไมไทยรัฐต้องพาดหัว "แดงปะทะชมพู" ที่ถูกควรจะเป็น "พันธมิตรฯรุมเสื้อแดง1คน"


ดูกันชัด พันธมิตรทั้งนั้น

สันดานดิบถ่อยเถื่อนต้นตำรับ

นักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรมกระตุกทุกฝ่ายปลดชนวนคลายวิกฤต วอนสื่อหลักเป็นกลาง

ที่มา Thai E-News




ม็อบผู้ดีรุมม็อบไพร่-ม็อบเสื้อสีชมพูที่สนับสนุนรัฐบาลตามขับไล่โจมตีเสื้อแดงที่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านที่ชุมนุมคนเสื้อชมพู โดยการสาดน้ำใส่ และเข้ารุมทำร้าย ในการชุมนุมเพื่อคัดค้านฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่สวนลุมพินี มีข่าวว่าเสื้อแดงเจ็บ4ราย อีกรายเป็นชาวบ้านไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่บังเอิญใส่เสื้อแดงพลัดหลงเข้าไปในดงม็อบผู้ดี

นางสาวตรีดาว อภัยวงศ์ อาจารย์คณะอักษรฯ จุฬาฯ ผู้จัดการชุมนุมให้สัมภาษณ์ช่อง 11 ว่า เสื้อแดงมีสิทธิชุมนุมตราบเท่าที่อยู่ในที่ของเขา และไม่มาต่อต้านเรา เพราะเรารักและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ และเราใช้ปัญญาใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์เหมือนพวกเสื้อแดง..(ภาพข่าว:REUTERS)


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
2 เมษายน 2553

หมายเหตุไทยอีนิวส์:เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ซึ่งประกอบด้วยนักกฏหมาย นักปรัชญา นักสังคมวิทยา ผู้บริหาร อดีต สสร. เป็นต้น ได้ออกแถลงการณ์ฉบับแรกเพื่อแสดงจุดยืน และเรียกร้องทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในสังคมไทยให้ร่วมกันคลี่คลาย สถานการณ์ทางการเมือง ดังรายละเอียดต่อไปนี้


เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (Scholars’ Network for a Just Society)
แถลงการณ์ฉบับที่ 1
เรื่อง ข้อเรียกร้องเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง



ตามที่มวลชนจำนวนมากได้ชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภา และรัฐบาลได้ใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรควบคุมสถานการณ์นั้น

แม้ว่าฝ่ายแกนนำผู้ชุมนุมและฝ่ายรัฐบาลได้ยืนยันในความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง และได้มีการเจรจากันเพื่อนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาโดยวิธียุบสภา

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรมที่ประกอบด้วยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันการศึกษาต่างๆ ตลอดจนนักวิชาการอิสระ และประชาชนทั่วไปที่สนับสนุนแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี เล็งเห็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้ยังมีความล่อแหลมต่อการเกิดความขัดแย้งที่รุนแรง และอาจขยายเป็นวงกว้างได้หากแต่ละฝ่ายไม่สามารถใช้ความอดทนอดกลั้นซึ่งปุถุชนมีอยู่อย่างจำกัด

ดังนั้น จึงขอแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันคลี่คลายสถานการณ์มิให้เข้าสู่จุดวิกฤติดังนี้.-


1.รัฐบาล

1.รัฐบาลควรทบทวนการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงฯ เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นมาตรการที่เกินกว่าความจำเป็นในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุม และไม่สามารถป้องกันการก่อเหตุร้ายจากการฉกฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ของผู้ไม่หวังดี ทั้งยังก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อภาพลักษณ์ เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศ และทำให้ประชาชนบางส่วนเกิดความรู้สึกว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในสถานการณ์เดียวกันนี้ในอดีต

2.รัฐบาลควรแสดงให้สาธารณชนเห็นถึงความอดทนอดกลั้นและวุฒิภาวะที่ยิ่งกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมพยายามแก้ปัญหาโดยยึดหลักความยุติธรรมและสันติ ไม่ยอมให้กลไกของรัฐเข้าขัดขวางหรือ แทรกแซง การแสดงออกของประชาชนตามวิถีทางประชาธิปไตย

ทั้งควรระมัดระวังมิให้บุคคลในสังกัดวิพากษ์วิจารณ์การชุมนุมที่ยังชอบด้วยสันติวิธี หรือให้ข่าวในลักษณะที่เป็นการตอบโต้ ท้าทาย ยั่วยุ ดุถูก ดูหมิ่นกลุ่มผู้ชุมนุม ใส่ร้ายหรือตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพฤติการณ์ของผู้ชุมนุมที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดเพราะจะยิ่งเป็นการทวีความแตกแยกขัดแย้งและทำให้สังคมตื่นตระหนก

3.นายกรัฐมนตรีควรกลับเข้าไปปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นปกติในทำเนียบรัฐบาลเพื่อมิให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจสถานการณ์เลวร้ายเกินจริง และเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับสังคมและนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น


กลุ่มผู้ชุมนุม

4.แกนนำผู้ชุมนุมควรแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตที่เป็นปกติของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมให้ชัดเจนเป็นระยะ ๆ

5.แกนนำผู้ชุมนุมไม่ควรละทิ้งกระบวนการเจรจาแม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับการสนองตอบตามข้อเรียกร้องเพื่อลดทอนความวิตกกังวลของสาธารณชน ทั้งควรลดเงื่อนไขในการเจรจาที่เป็นไปได้ยาก และควรรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มพลังต่าง ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์

6.แกนนำผู้ชุมนุมจะต้องยืนหยัดต่อหลักการสันติอหิงสาตามที่ได้ประกาศไว้โดยเคร่งครัดและจะไม่แสดงท่าทีขัดขวางใดๆ หากนายกรัฐมนตรีจะกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล

สื่อกระแสหลัก

7.สื่อกระแสหลักควรตระหนักถึงสิทธิของสาธารณชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงธรรม ประชาชนควรมีโอกาสรับรู้ข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างครบถ้วนรอบด้าน เช่นการรายงานจำนวนที่แท้จริงของกลุ่มผู้มาชุมนุม เป็นต้น และควรเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันโดยเท่าเทียมกัน

สถาบันการศึกษา

8.สถาบันการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยต่างๆ ควรเดินหน้าในการศึกษาวิจัยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอันมีความสลับซับซ้อนในหลายมิติอย่างจริงจัง ทั้งนี้เพื่อเสนอองค์ความรู้ต่อสาธารณะอันนำมาซึ่งการเสนอแนวทางและการถกเถียงอย่างมีเหตุมีผลอันนำไปสู่ข้อยุติร่วมกัน

ประชาชนทั่วไป

9.ประชาชนทั่วไปควรติดตามและพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ด้วยความไตร่ตรองระมัดระวังไม่ตกหลุมพรางการบิดเบือน ปิดบังข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนการเสนอหรือเปิดเผยข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนโดยเปรียบเทียบตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งและควรรู้ว่าแหล่งข้อมูลหรือสื่อนั้นๆมีที่มาและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่อย่างไร มีความโน้มเอียงหรือมีความเป็นกลางมากน้อยเพียงใด ทั้งยังต้องทราบว่าข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นเพียงข้อเท็จจริง หรือ มีการต่อเติม ตีความ แสดงความคิดเห็นประกอบมาด้วยหรือไม่ และต้องรู้เท่าทันวาทกรรมวิชาการที่เกิดขึ้นมากมายท่ามกลางความขัดแย้ง

10.ประชาชนทั่วไปควรต่อต้านและประณามการสร้างสถานการณ์การก่อเหตุความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะกระทำต่อฝ่ายใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำต่อสื่อมวลชนโทรทัศน์ทั้งสองแห่งและหน่วยงานแห่งอื่นที่ทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ

นอกจากข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในระยะยาวทุกฝ่ายรวมถึงประชาคมวิชาการต้องร่วมกันสร้างสรรค์สังคมบนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย หลักคุณธรรมจริยธรรม หลักนิติธรรม หลักความเสมอภาค ให้เป็นสังคมที่ปราศจากความอยุติธรรมซึ่งเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง ละเว้นการกระทำการใดๆที่มุ่งสู่ผลโดยมิได้คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมของวิธีการ

ทั้งนี้ เพื่อมิให้สังคมไทยเกิดความยุ่งยากถึงทางตัน


วันที่ 1 เมษายน 2553

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรม

ชวลิต หมื่นนุช มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
วรยุทธ ศรีวรกุล คณะปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
วีระชาติ นิ่มอนงค์ คณะปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
เสถียรภาพ นาหลวง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
นันทพันธ์ ชินล้ำประเสริฐ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
สุรพล จรรยากูล ภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มศว.ประสานมิตร
สิริเพ็ญ พิริยจิตรกรกิจ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เดือนฉาย อรุณกิจ มหาวิทยาลัยพายัพ
พกุล พัฒน์ดิลก แองเกอร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ประไพพรรณ ชัยพันธเศรษฐ์ วิทยาลัยดุสิตธานี
บัญชา สกุลดี ฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
วิทยา เจริญศรี สำนักงานบริหารทรัพยากรบุคคล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ชาญ มายอด ศูนย์จริยธรรมวิชาชีพ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
วีระพันธ์ พันธ์วิไล ศูนย์จริยธรรมวิชาชีพ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
สุภัทร์ สกลไชย นักวิชาการอิสระ และทนายความ
อัมพล ชูสนุก ผู้บริหาร บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด
สิทธิชัย โอฬารกุล ผู้บริหาร บจก.นีโอฟาร์ม
สันติ เจริญฤทธิศักดิ์ ผู้ประกอบการและนักวิชาการอิสระ
สุทธิพงษ์ ทูลพุทธา พนักงานบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์
ศักดิ์ศิริ ยิ้มเมือง ผู้ประกอบการ
พรรณทิพย์ โอฬารกุล เจ้าของกิจการ บจก.เดือน
ณัฏฐนิชโอฬารกุล นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประสิทธิ์คุณ สกุลดี นักศึกษาสาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
สุปรีย์ กาญจนพิศาล นักศึกษาปริญญาเอก คณะปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

ต้องยอมรับของเขาดีจริงๆ ม็อบเสื้อชมพูรุมตื้บไพร่แดงเจ็บ4 ชาวบ้านหลงเข้าดงผู้ดีโดนอ่วม

ที่มา Thai E-News




ม็อบผู้ดีรุมม็อบไพร่-ม็อบเสื้อสีชมพูที่สนับสนุนรัฐบาลตามขับไล่โจมตีเสื้อแดงที่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านที่ชุมนุมคนเสื้อชมพู โดยการสาดน้ำใส่ และเข้ารุมทำร้าย ในการชุมนุมเพื่อคัดค้านฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่สวนลุมพินี มีข่าวว่าเสื้อแดงเจ็บ4ราย อีกรายเป็นชาวบ้านไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่บังเอิญใส่เสื้อแดงพลัดหลงเข้าไปในดงม็อบผู้ดี (ดูคลิปข่าวโทรทัศน์)

นางสาวตรีดาว อภัยวงศ์ อาจารย์คณะอักษรฯ จุฬาฯ ผู้จัดการชุมนุมให้สัมภาษณ์ช่อง 11 ว่า เสื้อแดงมีสิทธิชุมนุมตราบเท่าที่อยู่ในที่ของเขา และไม่มาต่อต้านเรา เพราะเรารักและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ และเราใช้ปัญญาใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์เหมือนพวกเสื้อแดง..(ภาพข่าว:REUTERS)


ม็อบผู้ดี-กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลไม่ให้ยุบสภาใส่เสื้อสีชมพูชุมนุมที่สวนลุมพินีราว1,000คน เพื่อต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดง ผู้สื่อข่าวสนามของโทรทัศน์เนชั่นและINNรายงานว่าได้เกิดเหตุกลุ่มเสื้อสีชมพูได้ทำร้ายร่างกายเสื้อแดงเจ็บ 4 คน รวมทั้งชาวบ้านที่บังเอิญใส่เสื้อแดงหลงเข้าไปในสวนลุมฯเจ็บอีกราย(ภาพข่าว:REUTERSและAP)



ม็อบผู้ดีสีชมพู-อาม่าจากกลุ่มกองเชียร์รัฐบาลใส่เสื้อสีชมพู รวมตัวกันที่สวนลุมพินีตะโกนด่ากลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่เดินขบวนผ่านไป กลุ่มเสื้อสีชมพูได้ต่อยเสื้อแดง และมีชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องโดนรุมสกรัมด้วย ฝ่ายเสื้อสีชมพูอ้างว่าโดยฝ่ายเสื้อแดงยั่วยุในช่วงเดินขบวนผ่านสวนลุม(ภาพข่าว:AP)


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
2 เมษายน 2553



ตรีดาว อภัยวงศ์ แกนนำม็อบผู้ดีเสื้อสีชมพู

ยุคม็อบพันธมิตร-อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯผู้นี้ เป็นหนึ่งในคณาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เข้าชื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออก โดยได้ขึ้นเวทีปราศรัยในการชุมนุมพันธมิตรที่หน้าห้างสยามพารากอนในวันที่ 29 มีนาคม 2549 ด้วย(ดูข่าว)

ยุคม็อบเสื้อแดง-นัดคณาจารย์จุฬาฯ และ"พลังเงียบ"ภาคประชาชนที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน คือไม่ต้องการเแบ่งฝ่ายเลือกสีทางการเมืองใส่เสื้อสีชมพูออกมาต้านเสื้อแดงที่สวนลุมฯ

******

นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงษ์ กลุ่มอาจารย์จุฬา-เสื้อชมพู

ยุคม็อบพันธมิตร-หมอตุลย์เคลื่อนไหวร่วมกับพันธมิตรอย่างเปิดเผย จนกระทั่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ลงประกาศพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 7/2551 แต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการพลังแผ่นดิน และผู้ประสานงานภาครัฐ(ดูประกาศแต่งตั้ง)

ยุคม็อบเสื้อแดง-หมอตุลย์ออกมานัด"พลังเงียบ"และอาจารย์จุฬาฯบางส่วนต่อต้านการชุมนุมของเสื้อแดง โดยนัดกันใส่เสื้อสีชมพูบอกว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อชมพูครั้งนี้ รัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่เป็นการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนอย่างแท้จริง

*********

นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ กลุ่ม"พี่น้องมหิดล"




ยุคม็อบพันธมิตร-ร่วมชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตร โดยได้ขึ้นเวทีปราศรัยในเวทีชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆที่พันธมิตรกำลังยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ด้วย(คลิ้กฟังคำปราศรัยของนายแพทย์กุศลบนเวทีพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล)


ยุคม็อบเสื้อแดง-อ้างเป็นกลุ่มพี่น้องมหิดลนำเลือดคนเสื้อแดงไปตรวจแล้วอ้างว่าพบโรคร้ายทั้งไวรัสตับอักเสบ และเอดส์ รวมทั้งบอกว่ามีเลือดควายเจือปน

********

นายแพทย์พีร์ เหมะรัชตะ อ้างเป็นตัวแทนศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ


ยุคม็อบพันธมิตร-สนับสนุนพันธมิตรอย่างออกนอกหน้า ตอนแพทย์จุฬาฯขึ้นป้ายไม่รักษาตำรวจก็เอาด้วย



ยุคม็อบเสื้อแดง-ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีร้องเรียนไม่ให้ออกใบประกอบวิชาชีพแพทย์ให้นิสิตแพทย์สลักธรรม โตจิราการ ที่ทำหน้าที่เจาะเลือดเสื้อแดง และให้เอาผิด โดยพอทราบเรื่องนศพ.สลักธรรมเจาะเลือดเสื้อแดง ได้เขียนลงเฟสบุ๊ค ว่า"กรี๊ดๆๆๆจริงเหรอเนี่ย น้องคณะฉานนนน ตัดขาดกันไปเลยดีไหมเนี่ย"

********

นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (เฟสต้า)



ยุคม็อบพันธมิตร-ให้เหตุผลว่าที่ไม่ออกมาต่อต้านพันธมิตรชุมนุม 193 วันเพราะว่า "ช่วงที่กลุ่มเสื้อเหลืองชุมนุม ยังไม่มีประสบการณ์ว่า การชุมนุมส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง" แต่มีหลักฐานว่าเคยออกโรงหนุนการที่ศาลสั่งยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้พันธมิตรยุติยึดสนามบิน และเชียร์ให้เปลี่ยนขั้วการเมืองใหม่ ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ตั้งรัฐบาลแทนขั้วเดิม

ยุคม็อบเสื้อแดง-นัดพนักงานโรงแรมทั่วประเทศมาม็อบต่อต้านเสื้อแดงที่สวนลุมฯ โดยบอกว่าได้รับผลกระทบหนัก ทำให้การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนัก

*********

ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย

ยุคม็อบพันธมิตร-นัดพบกันที่สีลม สัญลักษณ์ย่านธุรกิจแล้วเคลื่อนขบวนมาสมทบพันธมิตรที่ยึดทำเนียบรัฐบาลไว้


ยุคม็อบเสื้อแดง-(ภาพบน)นายสมเกียรติ อโนทัยสินทวี ในชุดสข.บางคอแหลม สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ล่าง)นายสมเกียรติ อโนทัยสินทวี (เสื้อขาวด้านขวา)กำลังกำกับบทนายสมเกียรติ หอมละออ ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ให้ออกโรงค้านม็อบเสื้อแดง คัดค้านการยุบสภา

*********

ภุชงค์ กนิษฐชาต อ้างเป็นตัวแทนคนกรุง1800ชุมชน
ยุคม็อบพันธมิตร!-นายภุชงค์ กนิษฐชาต แต่งชุดพันธมิตรฯเต็มยศร่วมชุมนุมกับพันธมิตร เคยอุปโลกข์เป็นตัวแทนชุมชนอีสานต้านทักษิณด้วย

ยุคม็อบเสื้อแดง-ภุชงค์ออกมาเคลื่อนไหวในนามตัวแทนคนกรุง 1,800 ชุมชนต่อต้านการชุมนุมของเสื้อแดงอ้างเพื่อปกป้องสิทธิคนกรุงเทพฯที่ทนเดือดร้อนจากการชุมนุมของเสื้อแดงไม่ไหว

**********

ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กรรมการสิทธิมนุษยชน



ยุคม็อบพันธมิตร-ตอนนั้นมีตำแหน่งคณบดีคณะรัฐศาสตร์ โดยการสนับสนุนของศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวนิช ผู้ใกล้ชิดสนธิลิ้ม เป็นตัวตั้งตัวตีล่ารายชื่อ อาจารย์-นิสิตจุฬา เรียกร้องให้ ทักษิณ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ยุคม็อบเสื้อแดง-แถลงข่าวร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในกรมทหารราบที่ 11 บอกว่าเสื้อแดงละเมิดสิทธินายอภิสิทธิ์ และขอเป็นคนกลางเจรจาระหว่างนายกฯกับแกนนำเสื้อแดง

******

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ



ยุคม็อบพันธมิตร-เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2551 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าฝ่ายค้านในเวลานั้น กล่าวถึงแนวคิดการทำประชามติของรัฐบาล เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ว่าการทำประชามติมีแต่จะทำให้ความขัดแย้งทางความคิดลุกลามออกไป ทั้งนี้ สำหรับสถานการณ์ที่เสี่ยงจะเกิดความรุนแรงอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ หากต้องการให้ประชาชนมาชี้อนาคตทางการเมือง ต้องคืนอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับที่อารยะประเทศทำกันอย่างไรก็ตาม เชื่อว่า การทำประชามติจะไม่เกิดขึ้น เพราะขัดรัฐธรรมนูญ


ยุคม็อบเสื้อแดง-นายอภิสิทธิ์กล่าวในการเจรจากับแกนนำเสื้อแดงเมื่อ 29 มี.ค.53ว่า

เรื่องรัฐธรรมนูญช้าเร็วไม่ได้อยู่ที่สภา วันนี้เราเอาให้ชัดๆเลยว่าประชาชนเป็นคนทำ ทำประชามติไปเลยจะแก้มาตราไหน ซึ่งมันไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง กระบวนการประชามติบวกกับการแก้ไขอาจจะต้องใช้เวลา บรรยากาศบ้านเมืองที่เราสามารถทำเรื่องยากๆกันได้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำประชามติ เราไม่สามารถแก้กันได้ลอยๆ ประชามติ อันนี้จะเป็นกระบวนการที่ดีมาก (ที่มา:มติชนออนไลน์ 30 มีนาคม 2553)