WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, October 2, 2010

จาก "รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน" มาเป็น "รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน"

ที่มา มติชน





คนยืนรถเมล์

บ่าย วันพุธที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์หลายฉบับพร้อมใจกันขึ้นหน้าหนึ่งถึงการต่ออายุ รถเมล์ฟรี รถไปชั้นสามฟรี ไฟฟ้าฟรีไปจนถึงสิ้นปี หรือที่สังคมไทยนิยมเรียกกันว่า "นโยบายประชานิยม" หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ พาดหัวว่า "เป้าประชานิยมชั่วชีวิต ต่ออายุน้ำไฟรถเมล์ฟรี" ในเนื้อข่าวยังพูดต่ออีกว่า "มาเหนือกว่าต้นตำรับ เตรียมใช้เป็นมาตรการตลอดชีพ"

และหลังจากการประกาศมติคณะ รัฐมนตรีแล้ว ก็เป็นที่ถกเถียงกันตามมา ว่าประชานิยมแบบนี้อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ก็ตอบว่าเป็นการมุ่งสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ และมีมาตรการต่างๆ รองรับเรียบร้อยแล้ว รัฐสวัสดิการจะเกิดขึ้นจริงๆ ได้ไหม ความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรกาลเวลาในภายหน้าคงเป็นผู้ให้คำตอบ ตอนนี้ในฐานะประชาชนธรรมดาที่ชอบกินมะม่วงดองมากกว่าแผนปรองดองก็คงต้องอดทน ฟังท่านนายกฯ พูด พูด พูด แล้วก็พูดต่อไป


ขสมก.แจง เปลี่ยนสติ๊กเกอร์ "รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน" เพื่อต้องการปลูกจิตสำนึกให้รู้ว่าใช้เงินภาษีมาอุดหนุน ไม่มีวาระแอบแฝง แม้รูปแบบสติ๊กเกอร์ถูกมองเปลี่ยนไปตามการเมือง
(ที่มา: ไทยโพสต์ http://www.thaipost.net/x-cite/220409/3499)


ข่าว การขยายเวลาประชานิยมทำให้ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อสักหนึ่งปีที่ แล้วได้กระมัง นึกถึงวันที่รถเมล์ฟรีเพิ่งเปลี่ยนสติ๊กเกอร์ใหม่ๆ วันนั้นผมยืนรอรถเมล์อยู่สักพักก็พลันสงสัยว่า เอ! รถเมล์ฟรีไม่มีแล้วหรือ เพราะไม่ค่อยพบเห็นมาหลายวันแล้ว หรือว่าจะหมดช่วงนโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะรัฐบาลก็เพิ่งประกาศยืดเวลาให้ประชาชนได้นั่งรถเมล์ ฟรีเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หรือจะเป็นเพราะว่ารถเมล์สายที่ผมรอไม่ค่อยมีรถเมล์ฟรีแล้ว หรือจะเป็นเพราะว่าโดนเผาไปช่วงสงกรานต์ ผมคิดสงสัยได้ไม่นานก็มีรถเมล์ฟรีวิ่งผ่านมา ความรู้สึกแรกก็คือ เย้! ยังมีรถเมล์ฟรีเว้ยเฮ้ย แค่ป้ายที่เขียนเปลี่ยนไปบ้าง (ออกจะดูยากและไม่สะดุดตาไปบ้างแต่ก็ยังเห็นอยู่) ตัวอักษรที่ใช้ก็เปลี่ยนไป สีพื้นหลังก็เปลี่ยนไป และที่สำคัญข้อความบางส่วนก็เปลี่ยนไป นั่นคือ จาก "รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน" เปลี่ยนไปเป็น "รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน" แล้วป้ายมันเปลี่ยนไปเพื่ออะไรหรือเพื่อใคร สองข้อความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ผมสงสัยต่อ...

ความเหมือนกันประการแรก ป้ายทั้งสองทำหน้าที่ประกาศให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า ถ้าท่านขึ้นรถคันนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าโดยสาร

ประการที่สองคือ เป็นการประกาศให้ประชาชนทราบอีกเช่นกันว่า นี่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยเหลือหรือบริการประชาชนในยามเศรษฐกิจตกต่ำ

ความเหมือนประการสุดท้ายในความคิดของผม ได้แก่ คำว่า "รถเมล์ฟรี" และ "ประชาชน" ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ซึ่งเท่ากับเป็นการสะท้อนและยืนยันความเหมือนในสองข้อแรกข้างต้นด้วย "รถเมล์ฟรี" เป็นการบอกว่าคันนี้ขึ้นฟรี ส่วนคำว่า "ประชาชน" เป็นการย้ำความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ/รัฐบาล ที่รัฐมักต้องทำอะไร เพื่อประชาชนอยู่แล้ว

ทีนี้มาดูความแตกต่างกันบ้าง ประการแรกเลย ลักษณะตัวอักษรที่เปลี่ยนไป ประการที่สอง สีพื้นหลังก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นสีขาวมาเป็นสีฟ้า ตามความเห็นส่วนตัวของผม พื้นหลังสีขาวอ่านง่ายกว่าเยอะเลย สีฟ้ามันออกจะสังเกตยากเสียหน่อยโดยเฉพาะเวลาค่ำคืน ยิ่งผมสายตาสั้นและบางวันลืมใส่แว่นตาด้วยแล้วกว่าจะเห็นว่า รถเมล์คันนี้ฟรี ก็มาจอดเอาใกล้ๆ จนเกือบขึ้นไม่ทันเลยทีเดียว

จาก ความแตกต่างสองข้อ และหากความจำของผมไม่สั้นจนเกินไป เมื่อครั้งที่เป็น "รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน" มีบางคนกล่าวหาว่า ลักษณะตัวอักษรและองค์ประกอบโดยรวม ช่างชี้ชวนให้นึกถึง "พรรคพลังประชาชน" และ "พรรคเพื่อไทย" เสียจริง เพราะเวลาดูผ่านๆ เหมือนๆ กำลังเห็นป้ายหาเสียงของพรรคทั้งสองอย่างไรไม่รู้ และถึงแม้ป้ายจะเปลี่ยนมีความต่างแต่กลับทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน เมื่อป้าย "รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน" ทั้งตัวอักษรและสีพื้นหลังเป็นสีฟ้า ก็ชี้ชวนให้นึกถึง "พรรคประชาธิปัตย์" อย่างน้อยก็ในความคิดของผม

ความต่างประการที่สาม นั่นคือ คำว่า "เพื่อ" กับคำว่า "จากภาษี" ความต่างนี้ผมว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะทำหน้าที่ให้เห็น ลักษณะ อัตลักษณ์ หรือ อุดมการณ์ของพรรคการเมืองสองพรรคได้ดีเลยทีเดียว หากจำไม่ผิด ครั้งเมื่อเป็น ป้าย "เพื่อ" มีหลายคนออกมาชี้หน้ากล่าวหาว่า นี่เป็นประชานิยม ชอบแจกแบบไร้เหตุผล แล้วเวลาแจกหรือดำเนินนโยบายแล้วยังมักทำให้คิดไปว่า เป็นความใจดีของรัฐบาล หรือพูดง่ายๆ นี่มันคือการหาเสียงของพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยนี่นา

แต่ กับป้าย "จากภาษี" ถึงแม้จะมีคนกล่าวหาว่าเป็นการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ได้เช่นกัน แต่ก็คงมีคนออกมาเถียงแทนว่า "แต่นี่เป็นประชานิยมที่มีเหตุผลนะ เห็นมั้ยว่าเขาบอกว่า รถเมล์ฟรีนี้มาจากภาษีของประชาชน เขาบอกที่มาของเงินที่นำมาใช้ดำเนินนโยบายไม่ได้เป็นความใจดีของรัฐบาลที่ ชอบแจก"

สำหรับผมแล้ว ป้ายทั้งสอง ทำหน้าที่ไม่ต่างกัน เพราะต่างก็เป็นเครื่องมือหาเสียงของทั้งสองพรรค เพียงแค่พรรคนึง เลือกที่จะป่าวประกาศว่า "ฉันทำเพื่อประชาชน" แบบโต้งๆ โฆษณากันแบบเห็นๆ และถ้าหากใครชอบนโยบายนี้เลือกตั้งครั้งหน้าก็อย่าลืมเลือกพรรคนี้ แต่กับอีกพรรคหนึ่งเลือกที่จะบอกว่า เงินที่ใช้มาจากภาษีประชาชนนะ เป็นป้ายที่ดูเหมือนจะเป็นการแจ้งให้ทราบมากกว่าเป็นการโฆษณาหาเสียง แต่ถ้ามองให้ดีๆ ผมว่านี่คือ การโฆษณาหาเสียงเหมือนกัน โดยใช้ การโฆษณาว่า ฉันไม่ได้โฆษณาและตั้งใจจะหาเสียงนะ เพราะถ้าเกิดใครเห็นข้อความนี้แล้ว รู้สึกประมาณว่า เออ พรรคนี้ดีนะ บอกที่มาที่ไปของเงินด้วย หรือเออ!!! นี่งัย พรรคนี้ไม่ได้เอาดีเข้าตัวเอง เพราะบอกว่ามาจากเงินภาษีของประชาชน เมื่อความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้คนอาจจะหันมานิยม พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มขึ้น แล้วมันจะต่างกับการโฆษณาหาเสียงตรงไหน

ความต่างประการสุดท้าย กลุ่มเป้าหมายของคนที่อ่านป้ายเหล่านี้ หรือกลุ่มที่รัฐบาลต้องการสื่อสารมีความแตกต่างกัน ผมเชื่อว่า คงไม่มีชนชั้นกลางในกรุงเทพฯคนใดที่ไม่รู้ว่า เงินที่ใช้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลล้วนแล้วมาจากภาษีประชาชนเสียส่วนมาก ไม่ว่าป้ายรถเมล์ฟรี จะเขียนว่าอะไร ก็ใช้เงินภาษีทำทั้งนั้น อีกทั้งป้ายแค่นั้นก็ไม่สามารถจะบ่งบอกได้ว่า รัฐบาลเอาเงินภาษีส่วนไหนมาใช้ เป็นเงินภาษีของคนทั้งประเทศหรือเปล่าเราก็มิอาจรู้ได้ แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เลือกที่จะใช้คำว่า "จากภาษี" เท่ากับเป็นการพยายามสื่อสารกับชนชั้นกลางที่มักคิดว่าเหตุผลของตัวเองถูก ต้องและดีเลิศกว่าคนอื่นๆ เป็นการเชิดชูจริตแบบชนชั้นกลาง เชิดชูว่าฉันเนี่ยแหละที่เสียภาษีเยอะกว่าคนชั้นล่างทำให้พวกคุณๆ ได้นั่งรถเมล์ฟรี ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงหลายคนก็ไม่ค่อยจะอยากเสียภาษีกันสักเท่าไหร่ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง

ป้าย "รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน" สำหรับผมแล้วก็คือการหาเสียงซึ่งทำหน้าที่ไม่ได้แตกต่างไปจากป้าย "รถเมล์เพื่อประชาชน" สักเท่าไหร่ เพียงแต่ "จากภาษี" แสดงถึงเหตุผล วิธีคิด และจริตแบบชนชั้นกลางในเมือง (ที่ด่าการเผายางว่าทำให้โลกร้อนแต่ไม่ยอมใช้รถสาธารณะด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ โลกมันร้อน) อันเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์และคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และล่าสุดเป็นกำลังสำคัญที่อินสุดๆ กับ สโลแกน "Together We Can" และเป็นกลุ่มคนที่ต้องการ "คืนความสุขให้กรุงเทพฯ" มากที่สุด หลังจากเหตุการณ์นองเลือดทางการเมือง เมษาฯ-พฤษภา 2553 ผ่านพ้นไป

รถเมล์ฟรีมาแล้ว ผมขออนุญาตขึ้นไปก่อนนะครับ...

บทกวี 91 บรรทัด : ไม่ใช่สงคราม, เพียงการจบสิ้นของความรัก

ที่มา มติชน



บทกวีโดย วิวัฒน์ เลิศฯ

บันดาลใจจาก หอน โดย อัลเลน กินส์เบิร์ก


ชื่อบทกวี จาก It’s Not War Just The End of Love เพลงโดย Manic Street Preachers


แด่ ประชาชนผู้เสียชีวิต ตลอดเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553

ภาค 1 : จดหมายถึงพระเจ้า


1.นี่คือเสียงคร่ำครวญของการร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา

2.นี่คือบาดแผลกลัดหนองที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

3.นี่คือการล้างแค้นด้วยการฆ่าตัวตาย

4.นี่คือจดหมายที่ไม่มีที่อยู่ผู้รับ

5.นับจำนวนหยดน้ำตาให้ข้าที

6.หากท่านไม่อาจนับจำนวนของผู้คนที่พลัดพรากจากกัน

7.ชั่งน้ำหนักวิญญาณของข้าที

8.หากท่านไม่อาจใช้ตาชั่งในมือของท่านได้

9.ตวงเลือดจากร่างของข้าที

10.หากท่านไม่อาจตวงเลือดที่กระเซ็นจากบาดแผลฉีกขาด

11.ให้ข้าได้เขียนถึงท่าน

12.จดจารความเคียดแค้นแลการร้องขอที่มีต่อท่าน

13.สวดภาวนาให้ท่านอภัยในความผิดบาป

14.เพื่อที่จะให้ร่างของท่านได้บวมพองขึ้น

15.อิ่มเต็มขึ้นจากการภาวนาของหมู่ข้าผู้ทนทุกข์

16.ให้ข้าได้จดจารความพยาบาทที่มีต่อความรัก

17.ให้ข้าได้จดจารความลุ่มหลงมัวเมาในเสรีภาพของเหล่าข้า

18.ให้ข้าได้จดจารเสียงเพลง

19.ที่ใครบางคนยังคงเต้นรำจวบจนเธอถูกยิงล้มลง

20.การสาบสูญไปของประวัติศาสตร์

21.การถือกำเนิดอย่างยิ่งใหญ่ของเรื่องเล่า

22.งานมงคลสมรสของคำลวงและความทรงจำกระท่อนกระแท่น

23.งานศพในหล่มหลุมของประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกเรียกใช้และไม่มีใครมาร่วมงาน

24.ข้าสวดมนต์ถึงท่านในทุกคืนก่อนที่ข้าจะล้มตัวลงนอน

25.ขอให้ท่านได้สัมผัสกับความเจ็บปวด ทุกข์เศร้า จากชีวิตที่ท่านริบคืนไปจากเรา

26.ข้าสวดภาวนาในทุกเช้าเมื่อตื่นลืมตา

27.ให้รอยแผลเป็นของพวกเขา งอกออกมาเป็นดอกไม้

28.เพื่อที่ข้าจะเก็บมาบูชาท่าน

29.สวดภาวนาถึงท่านในยามสายที่มีแสงแดดสาดส่อง

30.สิ่งที่ท่านหลงลืม

31.พวกข้าจะจดจำ

32.ความเงียบใบ้ของท่าน

33.จะผลิบานในปากของข้า

34.กฎของท่าน

35.เป็นคำชี้แนะสำหรับข้า

36.ทุกครั้งที่สวดภาวนา

37.ข้าอยากให้ท่านได้ยิน

38.แลละอายต่อเสียงสวดนั้น

39.แม้ท่านจะมืดบอดต่อคำร้องขอชีวิต


ภาค 2 : สนทนากับภูตผี


40.ข้าพเจ้าตื่นขึ้นในยามเช้าอันมืดสลัว

41.และตระหนักได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง

42.ข้าพเจ้าดื่มกาแฟดำขื่นขม

43.และตระหนักว่าพระเจ้าไม่ใช่ใครหรืออะไรเลย

44.ข้าพเจ้าอาบน้ำที่เย็นยะเยือกไปถึงไขสันหลัง

45.และตระหนักว่าพระเจ้าอยู่ในเราทุกคน

46.ข้าพเจ้าเปิดหน้าต่างกว้างเพื่อรับสายลมเหม็นอับจากทิศตะวันออก

47.และพบว่าพระเจ้าเป็นระบบชนิดหนึ่งซึ่งล่ามพันธนาเราไว้

48.ภูตผีพากันมาหาข้าพเจ้า

49.กระซิบว่าไม่มีหรอกนรกสวรรค์

50.กูยังคงอยู่ในที่ที่กูตาย

51.อยู่ในความทรงจำของลูกหลาน

52.ในระหว่างบรรทัดของประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้เขียน

53.ซึ่งจะไม่บรรจุชื่อของกูลงไป

54.พวกภูตผีปีศาจไม่มีความทรงจำใหม่ๆอีกแล้ว

55.หากความทรงจำใหม่ของข้าพเจ้า – คนที่ยังหายใจ

56.ทำให้เขาและเธอยังคงดำรงอยู่


ภาค 3 : รำพึงลำพัง - ไม่ใช่สงคราม เพียงการจบสิ้นของความรัก


57.ไม่ใช่สงคราม เพียงการจบสิ้นของความรัก

58.ไม่มีชัยชนะ มีแต่การต่อสู้ที่ไม่รู้จบ

59.ที่รัก

60.ในวันที่เรายังคงกุมมือกันอยู่เช่นนี้

61.ขอให้ฉันได้กล่าวแก่เธอสักเล็กน้อย

62.ท่ามกลางแผ่นดินที่แดงดั่งเลือดทา

63.และท้องฟ้าซึ่งมัวไปด้วยควันไฟ

64.ขอให้ฉันได้กล่าวแก่เธอสักเล็กน้อย

65.เธอก็รู้ใช่ไหมว่าไม่มีชัยชนะใดรอเธออยู่

66.มีเพียงการต่อสู้หนึ่งซึ่งนำไปสู่อีกการต่อสู้หนึ่ง

67.เธอรู้ใช่ไหมว่าเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อชัยชนะ

68.ชัยชนะคือปีศาจร้ายคือภาพลวงตา

69.มีแต่การต่อสู้เท่านั้นที่เป็นความจริง

70.ความจริงที่แสนทุกข์ระทม

71.ที่รัก ชัยชนะถึงที่สุดไม่ได้นำสิ่งใดมานอกจากการต่อสู้ครั้งใหม่

72.การต่อสู้ที่ไม่ใช่สงคราม เพียงการจบสิ้นของความรัก

73.ที่รัก ที่เธอต้องระวังคือความฝันของเธอ

74.ทุ่งดอกไม้ หรือลมสะบัดผืนธงของพรุ่งนี้

75.เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ ทรราชย์ใหม่ การล้มตายใหม่ นักสู้ใหม่ วีรบุรุษใหม่ และการต่อสู้ใหม่

76.ที่รัก

77.การต่อสู้จะมอบให้เธอเพียงความเหนื่อยล้าสิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

78.เฉกเช่นการยอมจำนนอาจมอบสันติภาพจอมปลอม

79.หากมีก็แต่ความเหนื่อยล้าเท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยัน

80.ว่าเราจะยังต่อสู้อยู่จวบรุ่งสางมาเยือน

81.และถึงเวลานั้นเราจะได้พักลงสักเล็กน้อย

82.เพื่อจะรอการต่อสู้ครั้งใหม่

83.เมื่อถึงวันหนึ่ง

84.เมื่อมือของเราทั้งสองเปื้อนเลือดของผู้อื่น

85.มีภูตผีวิญญาณอยู่ในทุกถ้อยคำของเรา

86.เมื่อเรายืนอยู่กันคนละฝั่งของสมรภูมิความเชื่อ

87.ฉันหวังให้เธอเข้าใจ

88.ถึงการต่อสู้ของเรา

89.ความเศร้าของมัน

90.และชัยชนะที่ไม่เคยมาถึง

91.ที่ไม่เคยมาถึง......


สิบเก้าจวบยี่สิบกันยายนสองห้าห้าสาม

โผร้อนจี๋

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน



เห็นจะต้องเขียนถึงบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายพลสีกากีระดับรองผบช.-ผบก.อีกวัน เพราะหลังจากมีข่าวว่า รองนายกฯเทพเทือก ตัดสินใจรวบรัดตัดความ


นัดประชุมก.ตร.วันที่ 7 ต.ค.นี้ โดยมีวาระพิจารณาบัญชีแต่งตั้งระดับนายพลด้วย!

ถ้า เป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่า ไม่อาจรอการเจรจาต่อรองกับนายกฯมาร์คให้เลื่อนไปเป็นต้นเดือนหน้า ไม่อาจรอเวลาหลังจากที่ตนเองไปเลือกตั้งเสร็จแล้วกลับมาเป็นรองนายกฯ

คงต้องเอาชัวร์ เอาแน่นอนในตอนนี้เลย

รีบประชุมแต่งตั้งเสียก่อนที่จะต้องลาออกจากรองนายกฯ

โดยเลือกวันที่ 7 ต.ค. วันสุดท้ายก่อนลาออกนั่นเอง

แต่ไปๆมาๆเหนือเทพเทือกยังมีมาร์ค ล่าสุดสั่งเลื่อนก.ตร.เป็น 8 ต.ค.เรียบร้อยแล้ว**

แถมมาร์คประกาศจะไปนั่งเป็นประธานก.ตร.เพื่อคุมการพิจารณาโผพล.ต.ต.ด้วยตัวเอง


คือถ้าประชุมวันที่ 7 ต.ค.ประธานคือเทพเทือก

*แต่พอเป็นวันที่ 8 ต.ค.ประธานจะเปลี่ยนเป็นมาร์ค!*

งานนี้พูดได้คำเดียวว่า แตกหักขาดสะบั้น

เท่ากับนายกฯประกาศยึดอำนาจก.ตร.และยึดโผพล.ต.ต.มาไว้เอง

ยึดจากใคร ก็คือยึดจากเทพเทือกนั่นแหละ

จึงกล่าวได้ว่าสถานการณ์แต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจงวดนี้ พลิกผันอย่างรวดเร็ว

การที่จู่ๆเทพเทือก ตัดสินใจด่วนจี๋ให้เร่งทำบัญชีแต่งตั้งแล้วนัดประชุมก.ตร.ในวันที่ 7 ต.ค.นั้น

แปล ว่าต้องการชิงจังหวะที่นายกฯไปต่างประเทศเพื่อจัดการโยกย้ายเองให้เสร็จสิ้น อีกทั้งเป็นการใช้อำนาจทิ้งทวนในวันสุดท้ายก่อนลาออกไปลงสมัครส.ส.

รีบร้อนเช่นนี้ ส่อแสดงว่า เทพเทือกกับนายกฯคุยกันไม่ได้แล้ว

ขณะเดียวกันก็มีแรงหนุนจากพรรคร่วม ที่มีตำรวจในสังกัด และต้องการจัดโยกย้ายนายพลไปคุมจังหวัดที่เป็นฐานเสียง

ซึ่งที่ผ่านมาพรรคร่วมคงเห็นแล้วว่า การเจรจากับนายกฯคนนี้ยากเย็นนัก

เลยหนุนให้เทพเทือกชิงจังหวะลงมือทำโผตอนนายกฯไม่อยู่ และทำเสียก่อนที่จะต้องทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ

ดีไม่ดีเทพเทือกเองอาจได้กลิ่นไม่ปกติ เมื่อลาออกไปลงเลือกตั้ง อาจไม่ได้กลับมาเป็นรองนายกฯอีกแล้ว!?

แต่ล่าสุดเมื่อมาร์คยึดก.ตร.และยึดโผพล.ต.ต.มาทำเอง

ก็ชี้ชัดเจนว่า เทพเทือกไม่น่าจะได้เป็นรองนายกฯอีกแล้วอย่างแน่นอน!


วงค์ ตาวัน

ขาดจริยธรรมไร้ความชอบธรรม

ที่มา ไทยรัฐ

การ เมืองเข้าแทรกแซงใน องค์กรศาสนาอิสลาม อย่างชัดเจน เมื่อจู่ๆที่ประชุมคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเสนอให้มีการปรับ เปลี่ยนตำแหน่งต่างๆทุกตำแหน่งยกเว้นตำแหน่ง ประธานซึ่งเป็นของจุฬาราชมนตรี

ตำแหน่ง สำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงคือรองประธานและเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่ง ประเทศไทย โดยเฉพาะตำแหน่งเลขาธิการนั้น เปลี่ยนจากพิเชษฐ สถิรชวาล เป็น พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่

ที่ชี้ชัดว่าการเมืองเข้าแทรกแซงองค์กร ศาสนาก็คือ ตำแหน่ง สำคัญที่ได้รับเลือกเข้ามาใหม่นั้นเป็น นักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.สุรินทร์ หรือสมัย เจริญช่าง ซึ่งก่อนหน้านี้ พิเชษฐ สถิรชวาล สั่งให้สอบสวนเรื่องความไม่ชอบมาพากล

นอกจากนี้ก่อนที่จะมีการ เปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมการกลางอิสลาม พิเชษฐ สถิรชวาล ได้ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม เป็น ผช.ผบ.ตร. เนื่องจากสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลซาอุฯและ มีผลกระทบกับพี่น้องมุสลิมที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศซาอุฯด้วย

ตีแสกหน้ารัฐบาล

ที่ ชี้ว่ารัฐบาลชุดนี้ขาดจริยธรรมและความชอบธรรมเข้าแทรกแซง องค์กรและสถาบันมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ล่าสุดเกิดขึ้นใน กระทรวงไอซีที ตำแหน่งอธิบดี กรมอุตุนิยมวิทยา ที่ต้องถือว่าเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ

อธิบดี กรมอุตุฯคนปัจจุบัน อังสุมาล ศุนาลัย เสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการคัดเลือก 2 คนก็คือ สมชาย ใบม่วง และต่อศักดิ์ วาณิชขจร ที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกชุดดังกล่าวแต่งตั้งโดย จุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที ประกอบด้วย สมพล เกียรติไพบูลย์ อดีตปลัดพาณิชย์เป็นประธาน มีอธิบดีกรมอุตุฯ ศิวะ แสงมณี อดีตอธิบดีกรมการปกครอง ที่ปรึกษาระบบราชการของ ก.พ.และผู้ตรวจราชการกระทรวงเป็นกรรมการ

ผล ออกมา สมชาย ใบม่วง ได้รับคะแนนเป็นเอกฉันท์ จากนั้นได้เสนอผลการคัดเลือกไปให้ สือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงนำเรื่องรายงาน รมว.ไอซีทีเพื่อนำเข้าพิจารณาเพื่อทราบใน ครม. ต่อไป

ปรากฏว่า รมว.ไอซีทีนำชื่อ ต่อศักดิ์ วาณิชขจร ที่ไม่ได้คะแนนเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.และอนุมัติให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตุฯคนต่อไป

เรื่องนี้จะต้อง มีคนรับผิดชอบ ตั้งแต่นายกฯ ครม.ทั้งคณะ รมว.ไอซีที และสมพล เกียรติไพบูลย์ ในฐานะประธานคัดเลือก มีนอกมีในอะไรหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่เป็นการทำลายระบบคุณธรรมอย่างรุนแรงและเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ เป็นการทำลายระบบการแต่งตั้งโยกย้ายในราชการที่บิดเบือนความจริง

อย่างหน้าด้านๆ.

หมัดเหล็ก

การ์ตูน เซีย 02/10/53

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_115458

การ์ตูน เซีย 02/10/53

ประกาศสวนสันติธรรม เรื่องข้อกล่าวหาหลวงพ่อฯ เกี่ยวกับปัจจัยการเทศน์นอกสถานที่

ที่มา Dhammada.net

ประกาศสวนสันติธรรม
เรื่องการกล่าวหาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ว่ายักยอกปัจจัยบูชาธรรมจากบัญชีของสวนสันติธรรม
วันที่ 1 ตุลาคม 2553

ตาม ที่มีผู้กล่าวหาว่า ปัจจัยบูชาธรรมที่มีผู้ถวายหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช จำนวนหลายสิบล้านบาท ไม่ได้ถูกนำเข้าบัญชีเงินฝากของสวนสันติธรรม แสดงว่ามีการยักยอกเงินดังกล่าวนั้นสวนสันติธรรมขอชี้แจงให้ทราบโดยทั่วกัน ว่า ปัจจัยบูชาธรรมที่สาธุชนผู้ไปฟังหลวงพ่อปราโมทย์บรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ นั้น เป็นปัจจัยที่สาธุชนเจาะจงถวายหลวงพ่อปราโมทย์เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ปัจจัยที่บริจาคแด่สวนสันติธรรม จึงไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของสวนสันติธรรม และปัจจัยบูชาธรรมเหล่านั้น ก็ไม่ได้มากถึงรายละ 3 – 4 แสนบาท หรือถึงล้านกว่าบาทตามที่มีการปล่อยข่าวเพื่อให้ดูมากจนน่าตกใจ

นับ ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2549 ซึ่งหลวงพ่อปราโมทย์รับนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่ครั้งแรก จนถึงต้นเดือนกันยายน 2553 หลวงพ่อปราโมทย์ได้แสดงธรรมนอกสถานที่รวมทั้งสิ้น 76 ครั้ง มีเพียง 4 ครั้งที่มีผู้ถวายปัจจัยบูชาธรรมเกินกว่า 200,000 บาท และบ่อยครั้งหากเป็นการแสดงธรรมตามวัด ศาสนสถาน มูลนิธิบางแห่ง หรือโรงพยาบาลของรัฐ หลวงพ่อปราโมทย์จะยกปัจจัยบูชาธรรมทั้งหมดพร้อมทั้งสิ่งของต่างๆ ให้กับสถานที่นั้น บางกรณียังได้บริจาคเงินสมทบทุนให้กับสถานที่นั้นด้วย แม้ บางครั้งผู้จัดการแสดงธรรมซึ่งไม่เข้าข่ายองค์กรต่างๆ ที่หลวงพ่อปราโมทย์จะยกปัจจัยบูชาธรรมให้ หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อดูแลสถานที่ หรือเพื่อกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นประโยชน์ หลวงพ่อปราโมทย์ก็ยกปัจจัยบูชาธรรมให้ทั้งหมดเช่นกัน

ส่วน ปัจจัยบูชาธรรมที่เหลือ ก็นำมาเป็นค่าใช้จ่ายของสวนสันติธรรมบางรายการ บางส่วนก็เก็บเป็นทุนสำรองเพื่อดูแลสวนสันติธรรมบ้าง เพื่อเตรียมเป็นทุนเบื้องต้นในการก่อสร้างถาวรวัตถุบางอย่างในสวนสันติธรรม เช่น พระอุโบสถและเจดีย์บ้าง และหลวงพ่อปราโมทย์ใช้ทำบุญต่างๆ บ้าง ที่ใช้ส่วนตัวของหลวงพ่อปราโมทย์จริงๆ นั้นไม่มากนัก

อนึ่ง สวนสันติธรรมมีความยินดีและพร้อมจะเปิดเผยบัญชีเงินฝากปัจจัยส่วนนี้ต่อส่วนราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงได้เสมอ

อ้างอิง : http://wimutti.net/forum/index.php?topic=3888.0

*** ข่าวที่เกี่ยวข้อง ***

1. Dhammada News: ตอบข้อสงสัยทุกท่าน…เรื่องเงินติดกัณฑ์เทศน์นอกสถานที่

2. Dhammada News: กรณีเงินบริจาคที่ได้รับจากการเทศน์ที่ยุวพุทธฯ

หมายเหตุ คลิปธรรมะที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ Dhammada.net (ธรรมดา ด็อต เน็ต) คือเสียงการแสดงธรรมเพียงบางช่วง บางตอน ของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี ซึ่งทางกลุ่มธรรมดาเป็นผู้จัดทำเพื่อให้เป็นหมวดหมู่ และยังมีเรื่องของการตอบคำถามเฉพาะเรื่องเฉพาะบุคคลด้วย ดังนั้นจึงยังไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่านแต่อย่างใด รวมทั้งคำพูดหรือศัพท์บัญญัติที่ใช้ อาจเป็นที่เข้าใจเฉพาะกับผู้ถามเท่านั้น มิใช่การพูดเป็นการทั่วไป จึงขอความกรุณาอย่าได้นำไปใช้อ้างอิงในที่ใดโดยเด็ดขาด ขอเป็นเพียงการฟังเพื่อเข้าใจแนวทาง และเพื่อเป็นกำลังใจในการภาวนาเท่านั้น
อนึ่ง Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางสวนสันติธรรมแต่อย่างใด

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

ยอดเงิน 1.2 ล้านบาท ที่ยุวพุทธ มาจากไหน? คำตอบที่ต้องรอจากผู้กล่าวหา...

ที่มา Dhammada.net

บางส่วนจากข่าว คมชัดลึก : http://www.komchadluek.net/detail/20100930/74924/กก.มส.ชี้สอบคำสอนพระปราโมทย์ต้องใช้เวลา.htm

ทีมงานเวปธรรมดาขอให้ทุกท่านได้ร่วมพิจารณา คำให้สัมภาษณ์ของแกนนำกลุ่มชาวพุทธผู้รักษ์ศาสนาตามข่าวดังนี้

นาย เทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ติดตามข่าวเกี่ยวกับสวนสันติธรรม เปิดเผยต่อ “คม ชัด ลึก” ว่าหลังจากที่ได้รับเอกสารจากนายอภิชาติ อัศวเรืองชัย อดีตประธานกรรมการบริหารสวนสันติธรรมที่ถอนตัวออกมา โดยได้ตรวจสอบเอกสารทั้งหมดกับบัญชีรายรับ-รายจ่ายของสวนสันติธรรม พบว่ามีเม็ดเงินหายไปจำนวนหนึ่ง โดยไม่มีรายได้ระบุไว้ในบัญชีทั้ง 7 บัญชีที่ทนายความได้ส่งให้ดีเอสไอ

ผมได้ตรวจสอบเอกสารรายรับรายจ่ายของสวนสันติธรรมตั้งแต่ ปี 2551 ถึงเดือนกันยายน 2552 นั้น ไม่พบว่ามีบัญชีรายรับซึ่งได้มาจากการเดินสายแสดงธรรมในสถานที่ต่างๆ 65 แห่ง ซึ่งเชื่อว่าแต่ละแห่งที่ไปนั้น ทางผู้ศรัทธาจะบริจาคหรือทำบุญให้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนตุลาคม 2552 มีการแสดงธรรมยุวพุทธ มีการเรี่ยไรเงินทำบุญถึง 1.2 ล้าน แต่ก็ไม่มีปรากฏอยู่ในบัญชี เราคำนวณคร่าวๆ การแสดงธรรม 65 ครั้งน่าจะมีรายรับ 15-20 ล้านเลยทีเดียว” นายเทิดศักดิ์ กล่าว

.

จาก การตรวจสอบเพิ่มเติม ทางทีมงานเวปธรรมดาได้พบคลิปเสียงที่ยืนยันยอดเงินปัจจัยฟังธรรม ณ วันที่หลวงพ่อปราโมทย์ไปเทศน์ ณ ยุวพุทธิกสมาคม เป็นยอดเงินที่รวบรวมได้ตอนท้ายของการเทศน์ที่ยอดประมาณ 113,000 บาท และมีการทำบุญเพิ่มเติมหลังจากที่ประกาศถวายแล้วอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมกับยอดที่ได้ประกาศไว้ในตอนต้นแล้วจะได้ จำนวนรวมทั้งสิ้นเพียง 201,021.00 บาท หักค่าโอนผ่านธนาคารแล้ว (จะไม่อยู่ในคลิป) ซึ่งทีมงานพบว่าเป็นไปได้ยากที่ยอด 113,000 บาท จะเพิ่มเป็น 1.2 ล้านบาท ได้ในระยะเวลาที่สั้นๆก่อนทางยุวพุทธจะปิดกล่องแล้วนับเงินตามที่ประกาศไว้

ขอให้ร่วมฟังคลิปเสียง ณ ที่ ยุวพุทธิกสมาคมดังนี้

คลิ้กที่นี่

อนึ่ง มีผู้ให้ความสงสัยแต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า แกนนำคนดังกล่าว อาจจะเป็นคนที่เคยใช้ชื่อ Satoranai ใน www.pantip.com ที่ห้องศาสนา โดยส่วนใหญ่ได้ตั้งกระทู้วิพากย์วิจารณ์หลวงพ่อปราโมทย์อย่างร้อนแรงต่อ เนื่องนานหลายเดือน จนกระทั่งถูก Webmaster ยึดล๊อกอินหลายครั้ง ซึ่งปัจจุบัน ก็มีคนใช้ชื่อ Satoranai ระดมสมาชิกในบางเวปบอร์ดเพื่อร่วมลงชื่อเข้าร้องเรียนกล่าวหาหลวงพ่อ ปราโมทย์กับทาง DSI และหน่วยงานอื่นๆ เช่นกัน

*** ข่าวที่เกี่ยวข้อง ***

1. Dhammada News: ตอบข้อสงสัยทุกท่าน…เรื่องเงินติดกัณฑ์เทศน์นอกสถานที่

2. Dhammada News : ประกาศสวนสันติธรรม เรื่องข้อกล่าวหาหลวงพ่อฯ เกี่ยวกับปัจจัยการเทศน์นอกสถานที่

3. Dhammada News: กรณีเงินบริจาคที่ได้รับจากการเทศน์ที่ยุวพุทธฯ

หมายเหตุ คลิปธรรมะที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ Dhammada.net (ธรรมดา ด็อต เน็ต) คือเสียงการแสดงธรรมเพียงบางช่วง บางตอน ของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี ซึ่งทางกลุ่มธรรมดาเป็นผู้จัดทำเพื่อให้เป็นหมวดหมู่ และยังมีเรื่องของการตอบคำถามเฉพาะเรื่องเฉพาะบุคคลด้วย ดังนั้นจึงยังไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่านแต่อย่างใด รวมทั้งคำพูดหรือศัพท์บัญญัติที่ใช้ อาจเป็นที่เข้าใจเฉพาะกับผู้ถามเท่านั้น มิใช่การพูดเป็นการทั่วไป จึงขอความกรุณาอย่าได้นำไปใช้อ้างอิงในที่ใดโดยเด็ดขาด ขอเป็นเพียงการฟังเพื่อเข้าใจแนวทาง และเพื่อเป็นกำลังใจในการภาวนาเท่านั้น
อนึ่ง Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางสวนสันติธรรมแต่อย่างใด

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อม ด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ

ที่มา มติชน

โดย เกษียร เตชะพีระ


ปรีดี พนมยงค์


พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมขุนชัยนาทนเรนทร


ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช


ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

"ประเทศไทยมีการปกครอง

ระบอบประชาธิปไตย

มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"


หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 2


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย


(23 มีนาคม พ.ศ.2492)


ข้อ ความข้างต้นอาจถือเป็นความพยายามแนวใหม่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปก เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 ในอันที่จะหาสูตรทางการเมืองเพื่อสัมฤทธิผลแห่งการปรองดองระหว่างกลุ่มผู้ ปกครองในระบอบเดิมกับประชาธิปไตย


ดังจะเห็นได้ว่าข้อความนี้กลายเป็น ระเบียบการเมืองสถาปนาของประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในกาลต่อมา อาทิ : -


มาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปฏิรูปการเมือง พุทธศักราช 2540 กับมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับลงประชามติ พุทธศักราช 2550 มีข้อความตรงกันทุกถ้อยกระทงความว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" มิไยว่าฉบับแรกจะถูกฉีก ส่วนฉบับหลังจะถูกสร้างโดยรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 ของ คปค.ก็ตาม


ข้อ ความดังกล่าวมิเคยปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับใดๆ ก่อนหน้าปี พ.ศ.2492 เลย ไม่ว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (10 ธันวาคม พ.ศ.2475), รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (9 พฤษภาคม พ.ศ.2489), และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2490)


การ ถือกำเนิดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2492 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2491 อันประกอบด้วยสมาชิก 40 คน จากการเลือกตั้งของรัฐสภา, และยกร่างโดยกรรมาธิการ ซึ่งเลือกจากสมาชิกสภาร่างฯด้วยกันเอง 9 คน และมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แกนนำพรรคประชาธิปัตย์เป็นประธานนั้น เป็นผลลัพธ์สืบเนื่องโดยตรงจากรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ที่โค่นรัฐบาลของนายกฯ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และขับไล่รัฐบุรุษอาวุโส ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ออกจากประเทศไป


มัน บ่งชี้ว่าความพยายามของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ กับพวก ให้เกิดการปรองดองระหว่างกลุ่มผู้ปกครองในระบอบเดิมกับประชาธิปไตยตั้งแต่ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่านมาตรการทางการเมืองต่างๆ นั้น ในที่สุดไม่บรรุผล กล่าวคือ : -


-ปฏิบัติการต้านญี่ปุ่นร่วมกันระหว่างพลพรรคเสรีไทยใต้ดินในประเทศประสานกับเสรีไทยนอกประเทศ


-การ ตราพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษนักโทษการเมืองคดีกบฏบวรเดช พ.ศ.2476 และกบฏนายสิบ พ.ศ.2478, รวมทั้งลดโทษ 3 ใน 4 ของกำหนดโทษแก่นักโทษการเมืองคดีกบฏเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2481 ในวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2487 เนื่องในโอกาส "วันเกิดในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 8 (เรียกตามการใช้ภาษาสมัยนั้น ตามประกาศสำนักนายกฯ พ.ศ.2483 ของรัฐบาลพิบูลสงครามที่ให้ใช้คำว่า "วันเกิด" สำหรับบุคคลทุกคน)


-โดยเฉพาะการอภัยโทษ (28 กันยายน 2486) และคืนยศดังเดิมให้ (20 กันยายน 2487) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ซึ่ง ต้องโทษคดีกบฏ พ.ศ.2481 และถูกถอดยศ (24 พฤศจิกายน 2482) ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 52 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดา ม.ร.ว.เนื่อง (สนิทวงศ์), ต่อมาพระองค์เจ้ารังสิตฯได้ทรงดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ 9 โดยสภาผู้แทนราษฎรลงมติแต่งตั้งเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ.2489


-ประกาศพระราชกำหนดนิรโทษกรรมการกบฏและจลาจลทุกครั้ง ที่แล้วมา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2488 ไม่ว่าจะถูกฟ้องและรับโทษหรือไม่, หนีคดีหรือไม่, เป็นพลเรือนหรือทหาร, ยศชั้นใด ฯลฯ ให้นิรโทษกรรมพ้นมลทิน ไม่มีโทษติดตัว ถือว่าทุกคนบริสุทธิ์เสมือนไม่เคยต้องโทษเลย เพื่อความสามัคคีและส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย


-การร่วมกันบริหารประเทศและเจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตรช่วงเปลี่ยนผ่านคับขันตอนสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองและ


-การ ร่วมกันยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พ.ศ.2489 ระหว่างกลุ่มอาจารย์ปรีดีกับพวก และฝ่ายอนุรักษ์นิยม-นิยมเจ้าที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (นายกรัฐมนตรี กันยายน 2488 - มกราคม 2489) และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (เลขานุการกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสังคายนารัฐธรรมนูญ ซึ่งมีอาจารย์ปรีดีเป็นประธาน ปี พ.ศ.2489) เป็นแกนนำสำคัญ โดยยกเลิกข้อห้ามตามมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (10 ธันวาคม 2475) ที่กำหนดให้ "พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปโดยกำเนิด หรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง" ทิ้งไปและเปิดโอกาสให้รวมตัวก่อตั้งพรรคการเมืองได้โดยอิสระในทางปฏิบัติ


แนวทางปรองดองข้างต้นแสดงออกอย่างชัดแจ้งใน คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ (มีนาคม-สิงหาคม 2489) เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2489 ในวาระปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดสุดท้ายตามรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 ดังมีเนื้อหาสำคัญบางตอนว่า : -


-นายกฯปรีดีเริ่มด้วยการน้อมสำนึกและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


-ท่าน อธิบายย้อนหลังไปถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ว่าคณะราษฎรมารู้ภายหลังยึดอำนาจแล้ว 6 วัน ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐ ธรรมนูญอยู่ แต่ทรงถูกที่ปรึกษา ข้าราชการชั้นสูงและ "บุคคลคนหนึ่ง" ทัดทานไว้ คณะราษฎรมิได้รู้พระราชประสงค์มาก่อน จึงทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปโดยบริสุทธิ์ใจ มิได้ช่วงชิงกระทำดังที่มีผู้ปลุกเสกข้อเท็จจริงให้เป็นอย่างนั้น


-ท่าน ขอซักซ้อมความเข้าใจถึงหลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญซึ่งคณะ ราษฎรได้ขอพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ประชาธิปไตย ต่างจาก อนาธิปไตย, มีผู้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยผิด เอาอนาธิปไตยเข้ามาแทนที่ นับเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง


-ประชาธิปไตยนั้นมีระเบียบ ยึดตามกฎหมาย ศีลธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต


-ส่วน อนาธิปไตยขาดระเบียบ ขาดศีลธรรม กฎหมายและความซื่อสัตย์สุจริต ใช้สิทธิเสรีภาพโดยไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมายหรือศีลธรรม โดยไม่สุจริต ก่อให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม


-ที่สำคัญเมื่อ ประชาธิปไตยเสื่อม ก็นำไปสู่---> "อนาธิปไตย"-->เผด็จการฟาสซิสต์ ในที่สุดเหมือนอิตาลีสมัยมุสโสลินี


-ฉะนั้น หากไม่เอาเผด็จการ ก็ต้องป้องกันขัดขวางอนาธิปไตย ต้องให้ประชาธิปไตยมีระเบียบเรียบร้อย


-"ข้าพเจ้า ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลายมาเป็นศัตรูของระบอบ ประชาธิปไตย.....ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ใดเชื่อข้าพเจ้าโดยไม่มีค้าน ข้าพเจ้าต้องการให้มีค้าน แต่ค้านโดยสุจริตใจ ไม่ใช่ปั้นข้อเท็จจริงขึ้น"


-เมื่อ สุจริตใจ ถึงต่างแนวทาง ก็ร่วมมือกันได้ แม้แนวทางที่จะเดินไปสู่จุดหมายจะเป็นคนละแนว แต่ในอวสาน เราก็พบกันได้ ตัวนายกฯปรีดีเองกับเจ้านายหลายพระองค์ ต่างแนวทาง แต่เพื่อส่วนรวมของประเทศชาติเหมือนกัน ก็ร่วมมือกันได้ ถึงบางท่านจะต่อต้านคณะราษฎร แต่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าจริง ก็ร่วมมือกันได้ เพราะนายกฯปรีดีเคารพในความซื่อสัตย์ พวกตัวร้ายคือพวกที่อ้างชาติบังหน้า แต่ความจริงทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว อิจฉาริษยา


-โดยสรุป นายกฯปรีดีปฏิเสธอนาธิปไตยและเผด็จการ ท่านเรียกร้องให้สร้าง "ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ"


(อ้างจาก ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517) (2517), หน้า 519 - 22)


ทว่ากระบวนการสร้าง "ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ" ที่นายกฯปรีดีคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย (9 พฤษภาคม พ.ศ.2489) อันท่านถือว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ เพราะพฤฒสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนเป็นผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้นมา อีกทั้งพฤฒสมาชิก, สมาชิกสภาผู้แทนและรัฐมนตรีต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ (มาตรา 24, 29, 66) นั้น ต้องประสบโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่และสะดุดหยุดชะงักไป เนื่องด้วยกรณีสวรรคตด้วยพระแสงปืนของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489


หลังจากนั้นบ้านเมืองก็ระส่ำระสาย มีผู้ฉวยโอกาสจากกรณีสวรรคตปั้นเรื่องมดเท็จกล่าวร้ายป้ายสีอาจารย์ปรีดีและ พวก ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกขยายตัวรุนแรงกว้างขวางออกไป ท่ามกลางภาวะวิกฤตเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง โจรผู้ร้ายชุกชุม นักการเมืองและข้าราชการทุจริตคอร์รัปชั่นและนายทหารถูกปลดประจำการถึงราว 1 ใน 5 ของทั้งหมด หลังสงครามโลกครั้งที่สอง


ระบบการเมืองไทยก็ย่างเข้าสู่สภาพการณ์วิกฤตที่ : -


1) ชนชั้นนำสูญเสียฉันทามติว่าอะไรคือเป้าหมายร่วมกันของบ้านเมือง (the loss of elite consensus)


2) ระบอบการเมืองต่างๆ ที่ผ่านมาล้วนขาดพร่องความชอบธรรมในสายตากลุ่มพลังการเมืองสำคัญไม่กลุ่มใด ก็กลุ่มหนึ่ง (the lack of political legitimacy)


3) ความรุนแรงและฆาตกรรมทางการเมืองกลายเป็นวิธีการที่ทุกกลุ่มฝ่ายใช้กันอย่าง แพร่หลายโดยไม่เคารพกฎกติกาทางการเมือง (political violence & murders)


19 พฤษภาคม 2489 พรรคประชาธิปัตย์เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายกฯถวัลย์ เจ็ดวันเจ็ดคืน โดยถ่ายทอดเสียงการประชุมทั่วประเทศ แม้รัฐบาลถวัลย์จะชนะเสียงไว้วางใจในสภา (86:55 งดออกเสียง 16 คน) และได้กลับมาบริหารประเทศต่อ แต่ความน่าเชื่อถือก็เสื่อมทรุดลงในสายตาสาธารณชนอย่างหนัก


เมื่อ ประกอบกับการปลุกม็อบเคลื่อนไหวโค่นรัฐบาลนอกสภา ของกลุ่มฝ่ายต่างๆ ก็ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะอนาธิปไตยไปทุกที (ดูบทวิเคราะห์โดยพิสดารใน KasianTejapira, Commodifying Marxism : The Formation of Modern Thai Radical Culture, 1927-1958 (2001), pp. 71-92)


ใน ที่สุดคณะรัฐประหารอันประกอบด้วยอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่นอกราชการ (เช่น พลโท ผิน ชุณหะวัณ, นาวาเอก กาจ เก่งระดมยิง, พันเอก เผ่า ศรียานนท์) กับนายทหาร กุมกำลังระดับนายพันในราชการ (เช่น พันเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์, พันโท ประภาส จารุเสถียร) ก็ยึดอำนาจในนาม "ทหารของชาติ" เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 โดยความร่วมมือเห็นพ้องและอธิบายแก้ต่างของนักการเมืองและแกนนำพรรคประชา ธิปัตย์ฝ่ายค้านสมัยนั้น (เช่น เลื่อน พงษ์โสภณ, ควง อภัยวงศ์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นต้น ดู สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, แผนชิงชาติไทย : ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ครั้งที่สอง (พ.ศ.2491-2500), 2550, หน้า 89, 103 - 05, 117, 131 - 32)


เป็น อันปิดฉากความพยายามสร้างความปรองดองผ่าน "ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ" และเปิดทางแก่ "ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" แทน

แกะรอยใครฆ่า 6 ศพวัดปทุมฯ

ที่มา มติชน

โดย ชฎา ไอยคุปต์

ผ่าน ไปกว่า 5 เดือนคดีการเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามวรวิหาร จำนวน 6 ศพของกลุ่มอาสาและคนเสื้อแดงที่หนีเข้าวัดซึ่งเป็นเขตอภัยทานเข้าไปหลบภัย กลายเป็นข่าวครึกโครมสะเทือนขวัญของคนทั่วไปหลังทราบข่าวคนถูกยิงตายคาวัด จนนำไปสู่การตรวจสอบหาวิถีกระสุนเจาะทะลุ-ฝังในร่างกายทั้ง 6 ศพ แต่ยังมีอีกกว่า 80 ศพที่เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันต่างแค่สถานที่ตายนอกวัดเรื่องจึงยังแน่นิ่ง สวนทางกับข่าวไฟไหม้ที่โหมกระพือลุกลามไปทั่ว


การ เสียชีวิตของ 6 ศพ ฝ่ายรัฐบาลโดยรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ออกมายืนยัน เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 31 พ.ค. ในรัฐสภาหลังจากที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพร้อมกับเปิด คลิปยืนยันว่ามีทหารยิงเข้าไปในวัดปทุมวนาราม นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า วันที่ 19 พ.ค. หลังเวลา 18 .30 น. ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่บนรางรถไฟบีทีเอสแน่นอน เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน( ศอฉ.)แถลงย้ำอีกครั้งโดยเดิมพันด้วยตำแหน่งยืนยันทหารไม่เกี่ยว 6 ศพวัดปทุมฯโดยยึดคำชี้แจงของพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่ออกมาระบุเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ว่า เจ้าหน้าที่เขายืนยันว่าในช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ตรงนั้น และตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครใช้อาวุธกับประชาชน


เมื่อ ถามว่า ผบ.หน่วยสามารถคุมกำลังพลที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ไม่ให้ใช้อาวุธยิง ประชาชนได้ใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถูกต้อง ขอ ยืนยันว่าได้ตรวจสอบและสอบถามว่าไม่ได้ดำเนินการเช่นนั้น เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่พรรคเพื่อไทยนำเรื่อง 6 ศพ ไปขยายทางการเมือง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ใครมีหน้าที่อย่างไร หรือใครจะดำเนินการก็ให้ดำเนินการไป


ล่า สุด ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีดีเอสไอนำทีมขนอุปกรณ์ไฮเทคขึ้นตรวจสถานีรถไฟฟ้าสยาม และวัดปทุมวนาราม ไขปริศนาคดีการเสียชีวิต 6 ศพในเขตอภัยทานวัดปทุมฯ พบหลักฐานสำคัญเป็นปลอกกระสุนปืน ′เอชเค′ กระจายตกอยู่ใต้ราง อีกทั้งเลเซอร์ตรวจวิถีกระสุนชี้ชัด มีการยิงกระสุนปืนจากตำแหน่งรางรถไฟ


เวลา 01.00 น. วันที่ 24 ก.ย. พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะรองหัวหน้าคณะทำงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตจากการชุมนุมของ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ประมาณ 20 นาย พร้อมอุปกรณ์การตรวจสอบที่เกิดเหตุ เดินทางมาเก็บหลักฐานบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สยาม และภายในวัดปทุมวนาราม


รายงานข่าวแจ้งว่า จาก การตรวจสอบหาหลักฐานบนสถานีรถไฟฟ้าบี ทีเอสชั้น 2 บริเวณด้านหน้าวัดปทุมฯ เจ้าหน้าที่ตรวจพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะเป็นกุญแจไขปริศนาว่าใครเป็นผู้ก่อ เหตุยิงประชาชนในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง-นปช. โดยพบปลอกกระสุนปืน "เอชเค" ใช้แล้ว ตกกระจายอยู่ใต้รางรถไฟฟ้าประมาณ 3-4 ปลอก เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์จึงเก็บไว้ตรวจสอบเปรียบเทียบกับหลักฐานหัว กระสุนปืนที่เก็บได้ก่อนหน้านี้ว่าตรงกันหรือไม่


ทั้ง นี้มีภาพและคลิปวิดีโอที่ยืนยันว่ามีชายแต่งชุดคล้ายเจ้าหน้าที่ ทหารขึ้นไปประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าในวันที่เกิดเหตุในวัดปทุมวนาราม เรื่องนี้นายกฯออกมายืนยัน เมื่อวันที่ 31 พ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้มี การพูดถึงการยิง เข้าวัดปทุมฯ จากบีทีเอสหรือสกายวอล์ค(ทางเดินเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้า) โดยมีคนอยู่บนรางรถไฟฟ้าสองชั้น ซึ่งถ้ามีคนเดินมาจะมาได้ ต้องมาจากทิศทางราชประสงค์ เพราะสถานีสยามถูกปิดล็อคประตู


นอกจากนี้นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค แถลงว่า เหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. เจ้า หน้าที่รัฐไม่สามารถเข้าไปในที่ชุมนุมได้ โดยตรึงพื้นที่รอบนอกพื้นที่ชุมนุมห่าง 1 ก.ม. ส่วนภาพถ่ายที่มีทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้า และด้านล่างเป็นภาพพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ยืนอยู่บนรถกระจายเสียงเชิญชวนคนเสื้อแดงกลับบ้าน ภาพเป็นกลางวัน น่าจะเป็นวันที่ 20-21 พ.ค. แต่เหตุการณ์ยิงเข้าไปในวัดเป็นตอนกลางคืน ภาพคงไม่ชัดอย่างที่นำเสนอ


ประเด็น นี้จึงนำไปสู่การถกเถียงเรื่อง "ควันไฟ" ซึ่งจะเป็นหลักฐานว่าใครพูดจริงเพราะวันที่ชาวบ้านถูกยิงเสียชีวิตตรงกับวัน ที่มีเหตุเพลิงไหม้ควันไฟจึงเป็นหลักฐานที่จะยืนยันวันเกิดเหตุ โดย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย นำคลิป มายืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้เคลื่อนขึ้นไปอยู่บนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.ในวันเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ยืนยันว่าในคลิปมีกลุ่มควันที่ถูกเผาเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่ทหาร บนรางรถไฟในวันที่ 19 พ.ค.ไม่ใช่วันที่ 20 พ.ค.


การ ถกเถียงกันทั้งหมดกลายเป็นเรื่อง ประเด็นที่ถกเถียงกันไม่รู้จบ แต่หลักฐานที่ปรากฎ คือ ปลอกกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่ามีการยิงลงไปจากราง รถไฟฟ้าบีทีเอสจริงตามคำบอกเล่าของชาวบ้านที่บอกว่าเห็น "ทหารยิง" ซึ่งน้ำหนักของชาวบ้านดังไม่พอที่จะทำให้เชื่อได้ว่าเป็นความจริงแม้บางคนจะ ออกมาประกาศยอมตายก็ตาม


หากนำภาพและคลิปวิดีโอรวมทั้งหลักฐานมาประมวลแล้วจะพบว่าผู้ร้ายที่ยิงประชาชนคือใครกันแน่ ระหว่างผู้ก่อการร้ายกับทหาร ? ถ้ากระบวนการพิสูจน์หลักฐานของไทยยังใช้ได้เชื่อว่ากระสุนที่ฝังในร่างของ ผู้เสียชีวิตจะถูกนำมาตรวจสอบตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ให้เกิดประโยชน์แก่คดี ได้บ้าง


หลัง จากที่พยายามค้นหาภาพผู้ก่อการร้ายที่ขึ้นไปยืนบนราง รถไฟกลับไม่ปรากฎในสื่อใด มีเพียงแค่ชายใส่ชุดลายพรางพร้อมอาวุธครบมือเท่านั้น ที่ไต่อยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส นี่อาจจะจุดเริ่มต้นของการสืบสาวหาความจริงจากศพสุดท้ายที่ตายในเหตุการณ์ เดือนเมษายนถึงเดือนพฤษาคมนำไปสู่อีก 80 กว่าศพที่รอคลี่คลายท่ามกลางความแคลงใจของสังคมที่ยังตั้งคำถาม ... ใครฆ่า?

คลิปวิดีโออาสาสมัครถูกยิงดิ้นทุรนทุรายก่อนเสียชีวิต





อีเมล : iyacoupt@hotmail.com

http://www.facebook.com/?ref=home#!/profile.php?id=100001242647508

3 จีในมือทีโอที

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




เป็นคำถามที่ภาคเอกชนเกือบทั้งประเทศไทย พร้อมใจกันยิงไปถึงรัฐบาล

เกี่ยวกับโครงการ Ɖ จี' ที่อนุมัติให้ 'ทีโอที' เดินหน้าพัฒนาโครงข่ายเพื่อรองรับการใช้งานของคนไทย จะประสบผลสำเร็จขนาดไหน

เพราะถ้าเลือกได้คงอยากให้เอกชนรายใหญ่ในเมืองไทย หรือเมืองนอกเข้ามาพัฒนามากกว่า

แต่ถึงตอนนี้คนไทยมีทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวคือใช้งานผ่าน 'ทีโอที'

เนื่องจากปัญหาด้านกฎหมายที่ทำให้กทช.หงายเก๋ง ไม่สามารถเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลได้ ตามที่ศาลปกครองมีคำสั่งออกมา

ครั้นจะรอ 'กสทช.' องค์กรตามรัฐธรรมนูญใหม่ปี཮ ดูตามเนื้อผ้าแล้วน่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-5 ปี

เอา เป็นว่าแค่สรรหากรรมการ กสทช. ก็น่าจะใช้เวลาเป็นปีๆ แล้ว เพราะไหนจะเรื่องคุณสมบัติ ความเหมาะสม และอาจจะถูกร้องเรียน เหมือนสมัยสรรหา กทช.

หากจะรอจริงๆ คงเหนียงยานกันทั้งประเทศ และเมื่อถึงเวลานั้นเทคโนโลยี Ɖ จี' คงล้าสมัยไปแล้ว

เนื่องจากเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทุกวันนี้ ไปเร็วยิ่งกว่าติดจรวด ตอนนี้หลายประเทศเริ่มใช้ระบบ Ɗ จี' กันแล้ว

แม้แต่เวียดนามที่มี Ɖ จี' ก่อนเราตั้งนาน ก็เริ่มทดสอบระบบ Ɗ จี' เชื่อว่าภายใน 1-2 ปีนี้น่าจะพัฒนาเต็มระบบ

จริงๆ ปัญหา Ɖ จี' คงไม่เกิด หากรัฐบาลที่ผ่านๆ มาจริงจังและใส่ใจมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะการสรรหากรรมการ กสทช. แต่ก็ปล่อยปละละเลยกระทั่งเกิดเหตุขึ้น

คงคล้ายๆ กับกรณี 'มาบตาพุด' นั่งยิ้มหวานกันมาหลายปี รอจนเกิดความเสียหายถึงขยับออกระเบียบ ออกมาตรการแก้ไข

แต่เศรษฐกิจบางส่วนเจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว

ย้อน กลับมาที่ปัญหา Ɖ จี' ที่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ทีโอที แม้เอกชนจะหวั่นใจอยู่ลึกๆว่าจะทำได้ดีขนาดไหน เพราะภาพเก่าๆ สมัย 20 กว่าปีก่อนยังตามหลอน ที่เวลาขอโทรศัพท์บ้านต้องรอกันเป็นปีๆ จ่ายเงินบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ กันยุ่บยั่บ

จริงๆ แล้วหากมองแบบนี้ออกจะไม่เป็นธรรมกับทีโอที สักเท่าไหร่ เพราะหากดูการบริหารงาน ณ ปัจจุบัน แม้จะไม่คล่องตัวเท่าเอกชน แต่ก็ถือว่าทำได้น่าพอใจ

ยิ่งตอนนี้ต้องถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ 'ทีโอที' จะสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ซึ่งเมื่อถึงตอนที่เมืองไทยมี กสทช.เปิดประมูลโครงการ Ɖ จี' หรือ Ɗ จี' ให้เอกชนเข้ามาแข่ง

หากทีโอที ใช้เวลานี้ทำให้ลูกค้าติดใจในบริการ ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าเอกชนจะมาแย่งฐานลูกค้าไปได้

ขออย่างเดียวอย่าติดนิสัยในอดีตสมัยที่ 'ทีโอที' ผูกขาดการให้บริการโทรศัพท์เพียงเจ้าเดียว ก็แล้วกัน

สื่อ...กับการเมืองวันนี้..มีใครเชียร์รัฐบาลบ้าง ?...

ที่มา thaifreenews

ประชาชนวิเคราะห์ข่าว
จากคุณ sao...เหลือ...noi ห้องราชดำเนินพันทิป


ผู้ไม่เคยผิดพลาดย่อมไม่ค้นพบอะไร ............

หลัก ธรรมาภิบาล หลักอาวุโส คุณงามความดีจะ ถูกเหยียบย่ำ จากการ ใช้อำนาจ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เน่าเฟะ ขนาดไหน แต่สารบบ โดยรวม ของ การบริหารราชการแผ่นดิน ตามขื่อแปของบ้านเมืองก็ต้อง ดำเนินไป และวันนี้ เป็น วันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ หลายหน่วยงานเปลี่ยนคนนั่งหัวโต๊ะใหม่ เก่าไปใหม่มา ว่างั้นเถอะ............

ตำแหน่งที่สะดุด เช่น ปลัดกระทรวงมหาดไทย ก็ต้องรอผลการสอบสวนเรื่องที่ เป็นปัญหา
แม้ รัฐมนตรีมหาดไทยยืนยัน กรอบอำนาจ แต่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องรับผิดชอบในสถานะ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งข้าราชการระดับนี้ สุ่มสี่สุ่มห้า นำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย เพื่อทรงลง พระปรมาภิไธย ไม่ได้............

ปู้ยี่ปู้ยำหลักธรรมาภิบาลในวงราชการ ใครไม่ยอมทำงานแบบเป็น เมืองขึ้น อย่าหวัง
ก้าวหน้า บวกกับ โคตรโกง โกงทั้งโคตร ทุจริตเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน
พฤติกรรม ดังกล่าวนี้ ผู้คนไม่น้อยปฏิเสธ "ทักษิณ" ผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จมาแล้ว............

ถึงวันนี้ แม้ นายกฯอภิสิทธิ์ เป็นหัวที่ ไม่ส่าย แต่ก็ปล่อยให้มีพฤติกรรม ไม่ต่าง
หรืออาจ ยิ่งกว่าบางเรื่อง ในยุคของ "ทักษิณ" กำลัง มีแรงกดดัน จากสังคม เข้าใส่
นายกฯอภิสิทธิ์ น่าหวาดเสียวมาก............

ใครบ้าง ก๊วนแก๊งไหน ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ชัดขึ้นๆ ถ้า นายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ทำ
อะไรกับ ส่วนผสมรัฐบาล ที่มีพฤติกรรมไม่ต่างจากยุค "ทักษิณ" ให้เห็นกันบ้าง เสถียรภาพรัฐบาลทางสังคม จะจบสิ้นในไม่ช้า............

"กระสุนทอง" ขอเตือนสติ ด้วยการตอกยํ้า พระบรมราโชวาท ซึ่งต่างก็คุ้นเคย
กันอยู่แล้ว แต่บกพร่อง ภาคปฏิบัติ นั่นคือ............

"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้
ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคน
เป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และ
ควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"............

นายกฯ อภิสิทธิ์ จำเป็นต้องมี เสียงข้างมาก ในสภา นั่นคือกติกาตามรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลผสมหลายพรรค จะให้ได้อย่างใจเหมือน รัฐบาลพรรคเดียว ไม่ได้ นั่นก็จริง
แต่อย่าลืม หลักคานอำนาจ ถ่วงดุลตรวจสอบ ซึ่ง นายกฯอภิสิทธิ์ สามารถ ปรับ
ส่วนผสม ภายในคณะรัฐมนตรีด้วยครรลองประชาธิปไตยนี้ได้............

รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาลประกาศเสียง
แข็งไปลงเลือกตั้งแบบ ไม่ทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ แต่เอาจริงๆ แค่ข้ามวัน กลับลำ
ยอมสละ ภาวะในพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างนี้ ประชาชี รู้สึกงุนงง แน่นอน............

หัวหน้า กับ แม่บ้านพรรค เป็น ภารกิจหนึ่ง ผู้จัดการรัฐบาล กับ หัวหน้ารัฐบาล ก็อีก
ภารกิจหนึ่ง คู่นี้มีความขมเฝื่อน ตรงภารกิจไหน หรือไม่ จับตาติดตามกันต่อไป............

ปรากฏการณ์ แอนนี่-ฟิล์ม บานไม่หุบ ลืมกันไปหรือเปล่าว่ามี ทารกไร้เดียงสา
ที่จะต้องเติบโตขึ้นมา ดำเนินชีวิต ในสังคมนี้ต่อไปในอนาคต สะใจ กันพอหรือยัง
ผู้ใหญ่ไร้ค่าทางใจ ก่อคดี เหมือนฆาตกรรมอำพรางทารกผู้ไร้เดียงสา...หือ............

งานเข้า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อีกงาน...การสอบ ตำรวจชั้น ประทวน
ขึ้นเป็น สัญญาบัตร ทั่วประเทศ 10 สนามสอบ เกือบ 4 หมื่นอัตรา มีข่าว แก๊งทุจริต
เรียกหัวละ 3-5 แสนบาท จ่ายหลังประกาศผล............

สนามสอบขอนแก่น พบรถส่งสัญญาณพร้อม โพยตำรวจซื้อคำตอบ 11 คน ตรวจค้น
ผู้มีชื่อทั้ง 11 คนนั้น พบ อุปกรณ์สัญญาณแผ่นเล็กๆ และ ตัวสะกิดสัญญาณ ซ่อนไว้
ใน กางเกงใน สะกิดสัญญาณเข้ากับ ลูกอัณฑะ มีการดำเนินคดีไปแล้ว............

น่าเชื่อว่า "แก๊งสะกิดไข่" นี้มีหลายแก๊ง หากินมานานและหลายสนามสอบมาก
ผบ.ตร.วิเชียร สมควรสั่งสอบขยายผล กวาดล้างให้หมด พบ เกลือเป็นหนอน อย่า
เลี้ยงไว้ ส่วนมี ผู้สอบ ได้คะแนน เต็ม 100 ถึงกว่า 600 คน นั้น ถ้าเป็นข่าวจริง
จับมา สอบใหม่อีกรอบ จะเห็นชัดเอง............

กระสุนทอง
http://www.thairath.co.th/column/life/people/115229

**********************************************************************

เดิมพันวิกฤติการเมือง

สถานการณ์บ้านเมืองที่ต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท อุบัติเหตุ ทาง
การเมือง มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนสิ้นปี เชื่อกันว่า การเลือกตั้งใน
ประเทศไทยจะมีขึ้นประมาณเดือน ม.ค.หรือไม่ก็ ก.พ. ปีหน้า ถ้า
ไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นซะก่อน

การจะแก้ไขวิกฤติการเมืองเฉพาะหน้าโดยการยุบสภาก็ดี หรือเกิด
ความรุนแรงจนถึงขนาดกองทัพต้องเข้ามายึดอำนาจก็ดี มีการตั้ง
คำถามว่าแล้วจะเอาเหตุผลอะไรมายุบสภาหรือเข้ามายึดอำนาจ

ของอย่างนี้ประมาทไม่ได้ ดูอย่างการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
การชุมนุมของพันธมิตรฯไม่ได้รุนแรง หรือมีคนเข้ามาชุมนุมจำนวนมากเหมือนเสื้อแดง
ชุมนุมด้วยซ้ำ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. ยังอ้างเหตุยึดอำนาจซะเลย

หรือการชุมนุมของคนเสื้อแดง 2 ครั้งใหญ่ ที่ต้องมีการสลายการชุมนุมจนมี
ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะยกประวัติศาสตร์การเมืองครั้งไหน
มาเปรียบเทียบ ถือว่าไม่รุนแรงเท่ายุคนี้

น่า จะเป็นเหตุให้ กองทัพเข้ามายึดอำนาจ มากที่สุด กลับไม่มีการยึดอำนาจเกิดขึ้น และทำท่าว่ารัฐบาลที่สั่งสลายการชุมนุมจะไม่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้น และยังจะสามารถบริหารราชการแผ่นดินไปโดยไร้ความรับผิดชอบ ระเบิดการเมืองรายวันมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับความรุนแรงทางการเมืองไปจนถึงการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต จะมากจะน้อยเท่านั้น

มีข้อน่า สังเกตก็คือ ฝ่ายค้านเปลี่ยนยุทธวิธีเล่นไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยเดินเกมแรง ตอนนี้มุ่งไปที่การต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง ตามข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามาในที่ประชุม พรรคเพื่อไทย ขอให้เตรียมพร้อมที่จะเลือกตั้ง ให้นำนโยบายเอาใจรากหญ้าออกสู่สาธารณชนในลักษณะต่อเนื่อง เช่น เรื่องของค่าแรงขั้นต่ำที่ 300 บาท เป็นต้น เห็นว่ายังมีนโยบายทีเด็ดอีกร้อยแปดพันเก้า ซึ่งรัฐบาลชุดนี้คงจะตามไม่ทันอยู่แล้ว เฉพาะแก้ปัญหาที่ยังค้างคาก็ทำท่าว่าจะไปไม่รอด กลายเป็นเชือกพันคอตัวเอง

ถ้ารัฐบาลประชาธิปัตย์ยังเดินเกมการเมือง ชนิดขุดรากถอนโคน อนาคตคงลำบาก ระเบิด ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ชาวบ้านไม่ได้สงสัยเสื้อแดง แต่สงสัยว่ารัฐบาลสร้างสถานการณ์ เองหรือเปล่า มองว่ารัฐบาลไม่มีน้ำยาที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยไปฉิบ

พฤติกรรม บางอย่างควรจะทบทวน เพราะกระทบความน่าเชื่อถือของผู้นำประเทศอย่างมาก อาทิ กรณีที่สื่อกัมพูชารายงานว่านายกฯกัมพูชาและนายกฯไทยได้พบปะพูดคุยนอกรอบใน ที่ประชุมผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ มีประเด็นที่จะให้ส่งตัวคนเสื้อแดงกลับประเทศไทย โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาพูดเองว่า หัวข้อการส่งคนเสื้อแดงกลับไทยไม่อยู่ในประเด็นการหารือเลยและถ้ามีผู้ก่อ การร้ายมาหลบหนีอยู่ในกัมพูชาก็จะส่งตัวกลับเองโดยไม่ต้องร้องขอ เฮ้อ คงไม่ต้องไปอธิบายอะไรกันยืดยาวซ้ำซากอีกแล้ว.

หมัดเหล็ก

http://www.thairath.co.th/column/pol/kaablook/115196
***************************************************************


มันจำเป็น

แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่
"สุเทพ เทือกสุบรรณ" ตัดสินใจลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส. สุราษฎร์ธานี...

ไม่ใช่เป็นแผนวางตัว "สุเทพ" เป็นนายกฯสำรอง

ยิ่งปฏิเสธ ยิ่งทำให้ "แม่ลูกจันทร์" มั่นใจ

มั่นใจ ว่าเหตุผลจริงๆที่ "สุเทพ" ต้องทิ้งเก้าอี้รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง
ไปลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ก็เพื่อให้ตัวเองมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ

ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์และให้คณะกรรมการบริหาร
พรรคต้องเว้นวรรคการเมือง 5 ปี??

"สุเทพ" ก็พร้อมเสียบเป็นนายกฯสำรองได้ทันทีทันควัน ทันอกทันใจ

เป็นไฟต์บังคับที่เลี่ยงไม่ได้ เสี่ยงไม่ได้ รอไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง!!

ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ "สุเทพ" ไม่มีทางยอมสละเก้าอี้รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง
ไปลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ให้ปวดเมื่อยต่อมลูกหมากแน่นอน

เพราะการลาออกของ "สุเทพ" จะมีผลกระทบถึงผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี

แถมยังกระทบถึงตำแหน่งผู้อำนวยการ ศอฉ. ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตาม
พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยตรง

แต่ถ้ามองในแง่ดี การลาออกจากรองนายกฯตั้งแต่วันสมัครเลือกตั้งไปจนถึง
วันเลือกตั้ง และ กกต.ออกหนังสือรับรองผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

บวกลบคูณหารแล้วไม่น่าจะนาน เกินหนึ่งเดือน!!

"แม่ลูกจันทร์" มั่นใจว่าเวลาแค่หนึ่งเดือนที่ไม่มี "สุเทพ" นั่งอยู่ใน
ครม. ไม่มีอะไรให้ต้องตื่นเต้นเป็นกระต่ายตื่นตูม

รัฐบาลยังกุมสภาพการเมืองได้อย่างสบายๆ

นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรับงานด้านความมั่นคงมาดูแลเอง

ถ้า "อภิสิทธิ์" ต้องไปราชการต่างประเทศ ก็ยังมีรองนายกฯคนอื่นรักษาการแทน

ส่วนตำแหน่ง ผอ.ศอฉ.ก็ผ่องถ่ายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รมว.กห. รับผิดชอบไปพลางๆ

ส่วนตำแหน่งผู้จัดการรัฐบาล ถึงไม่มีตำแหน่งรองนายกฯ "สุเทพ"
ก็ยังเป็นผู้จัดการรัฐบาลเหมือนเดิม

เพราะผู้กุมอำนาจสูงสุดในพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่มีใครมีตำแหน่งในรัฐบาล
(โดนแช่แข็ง 5 ปีทุกคน)

อย่างไรก็ตาม การที่ "สุเทพ" ต้องเปลี่ยนใจยอมลาออกจากรองนายกฯ
ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาบานปลาย

เพราะถึงแม้รัฐธรรมนูญจะไม่ห้าม "รัฐมนตรี" สมัคร ส.ส.ก็จริง

แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 102 เขียนห้าม "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" ไม่ให้
สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ตำแหน่ง "รองนายกรัฐมนตรี" ก็อาจเข้าข่ายเป็น "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ "สุเทพ" จึงต้องยอมทิ้งเก้าอี้ รองนายกฯ เพื่อตัดเงื่อนไขไม่ให้ถูกยื่นตีความ

"แม่ลูกจันทร์" เห็นว่าถึง "สุเทพ" จะลาออกจากรองนายกฯแล้ว
ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์

เพราะมีคนคอยจ้องจับผิดตลอดเวลา

ถ้าเข้าง่ามความผิด พ.ร.บ.เลือกตั้ง เมื่อไหร่ก็เสร็จทันที!!

โดยเฉพาะกรณีที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐ ช่วยเหลือผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.
ทั้งทางอ้อมและทางตรง

ถ้าการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งมีข้า-ราชการไปรอต้อนรับก็เข้าข่ายผิด
พ.ร.บ.เลือกตั้งแล้วโยม

การใช้รถราชการ หรือใช้สถานที่ราชการ ก็ผิด ก.ม.เลือกตั้งเหมือนกัน

หรือถ้าปราศรัยเข้าข่ายให้สัญญา หรือเสนอประโยชน์ล่วงหน้าเพื่อหวังคะแนน
เสียงประชาชน ก็ผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งเต็มเปา

ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย "สุเทพ" ต้องเก็บเนื้อเก็บตัว เก็บปากเก็บคำ

ไม่ต้องตั้งเวทีปราศรัย ไม่ต้องเดินสายพบประชาชน

นอนอยู่บ้านเฉยๆ ก็ชนะลอยลำ.

แม่ลูกจันทร์

http://www.thairath.co.th/column/pol/greenhead/115205
**********************************************************************

จับ น้ำเสียงของ 2 แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีต่อท่าทีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล แล้ว ชวนให้คิดว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างแกนนำพรรคที่เป็นคีย์แมนของรัฐบาล


คนแรก ชวน หลีกภัย พูดเมื่อวันที่ 27 กันยายน

ตอบ คำถามนักข่าวเรื่องที่มีกระแสว่า สุเทพ ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.ก็เพื่อปูทางเป็นนายกฯ สำรอง ว่าเพิ่งรู้เมื่อวันที่ 26 กันยายน ว่า สุเทพ จะลงเลือกตั้งซ่อม

"เรื่องนี้คงไม่ใช่ที่จะให้นายสุเทพเป็น นายกฯ สำรองแน่นอน แต่ถ้าไข้หวัดนก
ลงในพรรคแล้วตายกันหมดก็ค่อยว่ากัน"

ประโยคหลังนี่คนภายนอกอาจจะสงสัยว่า อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ที่บารมียังคงล้นพรรค สื่อความหมายว่าอย่างไร

แต่เชื่อว่า สุเทพ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ย่อมจะเข้าใจดีว่า ชวน หลีกภัย สื่ออะไรถึงตน

ถัด มาเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามนักข่าวที่พยายามขอคำยืนยันว่า หลังจากเลือกตั้งซ่อมแล้วจะแต่งตั้ง สุเทพ กลับมาเป็นรองนายกฯ ดังเดิมหรือไม่

"ตอบยาก ยังไม่ได้คุยถึงตรงนี้"

ถึงแม้ว่าใน การประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันก่อน จะมีการตกปากรับคำว่า หาก สุเทพ ที่ตัดสินใจจะลงเลือกตั้งซ่อมแล้ว จะกั๊กเก้าอี้รองนายกฯ ไว้ให้ แต่เมื่อฟังจากการตอบคำถามของ อภิสิทธิ์ แล้วทุกอย่างที่พูดคุยกลับดูเลือนราง บางเบา จะไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้ว สุเทพ อาจเหลือเพียงแค่ตำแหน่ง "ผู้จัดการรัฐบาล" เลยหรือไม่

เพราะ ระหว่าง สุเทพ กับ ชวน-อภิสิทธิ์ แล้ว หลังจากเหตุการณ์ขอพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมานั้น เริ่มมี "ดาวคนละดวง" กันแล้ว

การพยายามสะสมอำนาจ-บารมี และการผนึกแน่นกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย และความมั่นใจว่า เอาทหารอยู่หมัด ทำให้สัมพันธภาพระหว่าง แกนนำพรรคประชาธิปัตย์กับสุเทพ ไม่เป็นเหมือนดังเก่า

ยิ่งเมื่อเกิดความไม่โปร่งใส ความเคลือบแคลงเรื่องการทุจริตจากที่นั่นที่นี่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรีโดยตรง แต่การแก้ปัญหากลับต้องผ่าน "การประสานงาน" ก็ยิ่งทำให้ "ของเน่า" สะสมอยู่บนอกของ อภิสิทธิ์ มากขึ้น

แล้ว สิ่งที่ระเบิดขึ้นก็คือ การตัดสินใจจัดการปัญหาด้วยตนเองของอภิสิทธิ์ ในกรณีตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่แม้จะรู้ว่า กระทบกับความสัมพันธ์ทั้งในพรรคและนอกพรรคก็ตาม

บางทีการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.ด้วยการลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯ ของสุเทพ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

เป็นจุดเปลี่ยนก่อนที่จะไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ที่ฤดูกาลซักฟอกรัฐบาลจะมาถึง

ศรายุทธ สายคำมี sarayut@nationgroup.com

http://www.komchadluek.net/detail/20101001/74957/จุดเปลี่ยน.html
****************************************************************************

การเมืองวันนี้...หาที่สื่อเชียร์รัฐฐาล หรือชื่นชมรัฐบาลยากมาก...เพื่อน ๆ ที่ชื่นชมไม่เสื่อมคลาย ช่วยหา มาให้อ่านกันหน่อย

ดิฉันกพยายามทำตัวให้เป็นกลาง หาข่าวแบบ 2 มุมมองมาให้อ่านกัน
ดูในไทยรัฐ...แม่ลูกจันทร์ ......ที่ค่อนข้างเป็นกลาง แต่ใครอ่านประจำก็จะรู้ว่า ไม่ได้เชียร์เสื้อแดง
สักเท่าไหร่ แต่ก็อยู่ในมุมที่หนักไปทางเชียร์รัฐบาล เป็นส่วนใหญ่
สำหรับ หมัดเหล็ก... เชียร์เสื้่อแดง และ อดีตนายก ฯ ทักษิณ แบบออกนอกหน้า เป็นที่ค่อนขอดของ
เพื่อนสมาชิก ต้องเยาะเย้ยถากถาง คนเอามาแปะ หาว่าเอียงกะเร่...หึ หึ ของธรรมดา ไม่เคยบอกว่า
ตัวเองเป็นกลางสักหน่อย ......ดูกระสุนทอง อีกคน คนนี้ เชียร์ปชป. เกลียดเสื้อแดง ไปต้นดูได้
....แต่วันนี้ทั้ง 3 คน ติติง รัฐบาลทั้งหมด..มันหายความว่ายังไง
กลับมาดูคมชัดลึก...กองเชียร์รัฐบาลตัวจริง...ไปอ่านดูใน webมองหามีใคร
เชียร์รัฐบาลบ้าง...ไม่มีจริง ๆ ค่ะ...

หันกลับมาดูในบอร์ดนี้...โอ้โฮ...กองเชียร์ในนี้ ยิ่งกว่าสื่อมวลชนอีก
เขาเชียร์กันแบบ รัฐบาลไร้ที่ติ สุดเลิศ ประเสริฐศรี หาข้อบกพร่องไม่ได้เลย
เกิดความผิดพลาดในการทำงานเมื่อไหร่ ก็ ต้นเหตุมากจากเสื้อแดง หรือปชช.ไม่มีการศึกษา...ค่ะ

เชื่อไหม ? รัฐบาล เขามีทีมงานเข้ามาโพสต์ในพันทิบด้วย ทำไมเวลาเขามองรัฐบาล
เขามาพิมเดียวกันหมด

กระบวนการ "ข่าว" กับ เหตุผล ความจำเป็น คง "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน"

ที่มา ข่าวสด

หากไม่มีการวางแผนจะชุมนุมใหญ่วันที่ 19 กันยายน
เนื่องในวาระ 4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนการสังหารประชาชน

คงไม่มีการปูดข่าว "ชายชุดดำ"

เป็นการปูดโดยเริ่มจากข่าวกรองของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขยายผล
โดยนักพูดทั้งหลายในพรรคประชาธิปัตย์
และตอกย้ำอย่างหนักแน่นโดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล

เรื่องนี้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ลงมาเล่นเอง

เช่นเดียวกับ ยิ่งใกล้วาระที่จะต้องทบทวนและต่ออายุประกาศ
และบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกมากเท่าใด

ข่าวปล่อยในเรื่องระเบิดยิ่งมากด้วยสีสัน เพริศแพร้วด้วยความวิลิศมาหรา

อย่าได้แปลกใจหากจะมีความรุนแรงหวาดเสียวถึงระดับที่มี
"ชายลึกลับ" โทรศัพท์ขู่เรื่องการวางระเบิดที่โรงพยาบาลศิริราช

แล้วก็กลายเป็น "โคมลอย" เหมือนกับข่าว "ชายชุดดำ"

ขอให้ศึกษากระบวนการปรากฏขึ้นของข่าว กลุ่มบุคคล 5-6 คนที่อยู่ในแวดวงการเมือง
ซึ่งเกี่ยวพันกับกระบวน การวางระเบิดป่วนเมือง-ดูเถิด

พลันที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี นำมาเปิดเผย ก็ต้องยอมรับว่าไม่ธรรมดา

ไม่ธรรมดาเพราะว่ามิได้เป็นการข่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อันมีกองบัญชาการตำรวจสันติบาลเป็นฐานข่าวโดดๆ

ตรงกันข้าม การันตีโดย สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ

ตรงกันข้าม หน่วยงานด้านการข่าว
ไม่ว่าจะเป็นทหาร ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ล้วนเห็นร่วมกัน

แต่จับกระแสและวิถีดำเนินของข่าวดู ก็จะเห็นว่าในที่สุดก็ทำอะไรไม่ได้

แม้จะยืนยันในเรื่องของดีเอ็นเอ แต่ก็น่าสงสัยว่าเป็นดีเอ็นเอของนักการเมืองฝ่ายค้าน
หรือว่าเป็นดีเอ็นเอของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล

และก็ลงเอยด้วยการข่าวที่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้อย่างเป็นจริง

ต้องยอมรับว่าการคงอยู่ของพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
มีบทบาทและความหมายต่อรัฐบาลอย่างแท้จริง

อาจทยอยเลิกจุดอื่นๆ ได้ แต่ในกทม.คงต้องต่อไปอีกยาว

ความจำเป็นนี้อาจเป็นบทสรุปร่วมระหว่างฝ่ายความมั่นคงกับรัฐบาลอย่างเป็นเอกภาพ
ในฐานะที่พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือ เครื่องมือ

เป็นเครื่องมือในการค้ำยันสถานะของรัฐบาล

เป็นเครื่องมือและเป็นอาวุธในการกำราบปราบปรามฝ่ายตรงกันข้ามอันถือว่าเป็นปรปักษ์ของตน

ยิ่งมีกัมปนาทแห่งระเบิด ยิ่งมีความจำเป็นต้องคงพ.ร.ก. ฉุกเฉินเอาไว้

ขณะเดียวกัน นับแต่บังเกิดกัมปนาทแห่งระเบิดขึ้นในหลายๆ จุด
โดยเฉพาะในพื้นที่ของกทม.ก็มีน้อยครั้งอย่างยิ่งที่จะสามารถจับกุมแหล่งและต้นตอของระเบิดได้

กระทั่งเกิดความสงสัยว่าใครกันแน่เป็นคนลอบวางระเบิด

การข่าวเพื่อสร้างความจำเป็นในการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงเป็นกระบวนการหนึ่งในทางการเมือง

เพียงแต่กระบวนการนี้เริ่มเป็นที่จับตาของประชาชน
เพียงแต่กระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างซ้ำซาก
โดยไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นเรื่องที่ทำขึ้นหรือนิมิตขึ้น

ทำขึ้นนิมิตขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เปิดปกขาว'สังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ'

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ รายงานพิเศษ



สํานักกฎหมาย อัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ ซึ่งรับว่าจ้างเป็นทนายความให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ออกสมุดปกขาว การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : ข้อเรียกร้องต่อการแสดงความรับผิดชอบ ภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศ
ที่ประเทศไทยมีภาระหน้าที่ในการนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม ความหนา 1,857 หน้า 9 หมวด

มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้

บทนำ ระบุวัตถุประสงค์การทำหนังสือ

1.เพื่อเน้นถึงพันธกรณีของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วย
สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights- ICCPR)
ที่ต้องสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง

ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาในการก่ออาชญากรรมการสังหารพลเรือนกว่า 80 ราย
ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.

ที่ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนมีการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยการใช้กองกำลังทหารอย่างเกินความจำเป็น
มีการกักขังอย่างพลการโดยต่อเนื่องเป็นเวลานาน การทำให้ประชาชนบางส่วนหายสาบสูญ และยังมีการไล่ล่า
ประหัตประหารทางการเมือง

มีหลักฐานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เพียงพอที่จะดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงด้วย
หน่วยงานที่เป็นกลาง และเป็นอิสระ เพื่อให้มีการรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศ

2.หลังการรัฐประหารระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลที่มีทหารหนุนหลัง
พยายามผนึกอำนาจของตน โดย การกดขี่ ปราบปรามการคัดค้านทาง การเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง

มาตรการประการหนึ่งคือ การปราบปรามการเคลื่อนไหวโดยการประทุษร้ายประชาชนที่ไร้อาวุธอย่างเป็นระบบ
และกว้างขวาง อาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามธรรม นูญกรุงโรม
ซึ่งกำหนดให้จัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก

การกระทำผิดต่อคนเสื้อแดงอย่างร้ายแรงอาจเป็นเหตุเพียงพอให้ได้รับการพิจารณา
ให้เข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศได้

3.เพื่อยืนยันถึงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศของสมาชิกนปช. หลายร้อยคนที่กำลังเผชิญข้อกล่าวหาทางอาญา
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง รับรองสิทธิในการต่อสู้อย่างยุติธรรม
สิทธิที่จะเลือกทนายสิทธิในการเตรียมการต่อสู้โดยมีเวลาและเครื่องไม้เครื่องมือ สิทธิในการเข้าถึงหลักฐานอย่างเท่าเทียม



หมวดที่ 2-5 เป็นการเล่าถึงประวัติการปกครองของไทย การขึ้นสู่อำนาจของพรรคไทยรักไทย จนถึงการขึ้นดำรง
ตำแหน่งของนายอภิสิทธิ์
ที่ระบุเป็นการผลักดันจากฝ่ายอำมาตย์และทหาร อันเป็นการฟื้นคืนชีพของระบอบอำมาตยาธิปไตย

หมวด 6 ฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย : การสังหารหมู่คนเสื้อแดง

เป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือน มี.ค.2553 กระทั่งวันที่ 19 พ.ค. ที่มีการสลายการชุมนุม
โดยระบุ หลังการลอบสังหารเสธ.แดง มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นทางทิศเหนือและใต้ของพื้นที่การชุมนุมที่ราชประสงค์
ในพื้นที่ดินแดง และสวนลุมพินี

ทหารประกาศให้พื้นที่บางแห่ง เช่น ซอยรางน้ำ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และถนนพระราม 4 ซึ่งอยู่ทิศใต้ เป็นเขตใช้กระสุนจริง
และอนุญาตให้ยิงผู้ชุมนุมทุกคนที่พบ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีอาวุธ ตามที่มีการบันทึกปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด

เช่น บันทึกของ นิก นอสติตซ์ ช่างภาพนักข่าว แห่งเว็บไซต์ New Mandala ระบุผู้สัญจรไปมาจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ
หรือถูกทหารยิงเสียชีวิต หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 10 ขวบ ถูกยิงที่ท้องใกล้สถานีแอร์พอร์ตลิงก์ มักกะสัน เสียชีวิต
ที่โรงพยาบาล ผู้สื่อข่าวก็ตกเป็นเป้าด้วย

พยานผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งที่อยู่หลังแนวทหารที่ถนนพระราม 4 ได้ยินทหารถามผู้บังคับบัญชาว่า
"ยิงชาวต่างชาติกับนักข่าวได้ไหม"

ที่น่าละอายที่สุดคือการปิด "พื้นที่สีแดง" ไม่ให้อาสาสมัครหน่วยแพทย์พยาบาลฉุกเฉินเข้าไปในพื้นที่
ระดมยิงหน่วยอาสาฯ ขณะช่วยเหลือผู้ชุมนุม

และหลังการสลายการชุมนุมหลายชั่วโมง มีประชาชน 6 ราย เสียชีวิตจากการโจมตีที่วัดปทุมวนาราม
ซึ่งเป็นเขตหลบภัย

ผู้สื่อข่าวต่างชาติคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บอยู่บริเวณวัด เห็นทหารสไนเปอร์ยิงลงมาจากบนรางรถไฟฟ้า
เข้าใส่กลุ่มพลเรือนที่ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งมีพยาบาลอาสาในเครื่องแบบอยู่คนหนึ่งด้วย

ปกขาว ระบุการปฏิบัติการในเดือนเม.ย.-พ.ค. รัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพไทย ควบคุมฝูงชน
โดยขัดหลักมาตรฐานสากล ในทุกกรณี

หมวดที่ 7 ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร ระบุ กองทัพกลับมามีอำนาจควบคุมประเทศอีกครั้ง
ซึ่งต่างจากช่วงหลังรัฐประหารปี 2549 คราวนี้ทหารปกครองโดยอำพรางใต้กฎหมาย
ใช้กฎหมายกดทับสิทธิเสรีภาพที่ทำให้เผด็จการทหารใหม่อยู่เหนือการตรวจสอบ

มีการใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ซึ่งเป็นการละเมิด ICCPR มาตรา 4 การระงับสิทธิจะทำได้เท่าที่จำเป็น
เร่งด่วนของสถานการณ์เท่านั้น รวมถึงการควบคุมข้อมูลข่าวสาร ที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ

ขณะที่ ศอฉ.เพิ่มมาตรการยับยั้งการเผยแพร่ข้อเท็จจริงและข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นคุณต่อรัฐบาล
ด้วยการออกข้อกำหนดภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดกั้นเว็บไซต์มากมาย

เวลาเดียวกัน รัฐบาลปิดพีทีวี นิตยสารอีก 5 ฉบับ และสถานีวิทยุชุมชนจำนวนมากซึ่งดำเนินการโดยคนเสื้อแดง

ข้อกล่าวหาเสื้อแดงว่ามีวัตถุประสงค์ในการสร้าง "รัฐไทยใหม่" และถูกขยับขยายให้หนักหน่วงขึ้นด้วย
การปรากฏของผู้ที่เรียกว่า "ผู้ก่อการร้าย" ในหมู่คนเสื้อแดง แต่แทบไม่มีหลักฐานใดเชื่อมโยงนปช. และแกนนำ
หลักเข้าไปยุ่งกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่ถูกกล่าวหา

ประการแรก รัฐบาลล้มเหลวในการแสดงข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่จะโยงแกนนำคนเสื้อแดงเข้ากับเหตุระเบิดหลายสิบครั้ง

ประการที่สอง "ชายชุดดำ" ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้สังหารเจ้าหน้าที่ทหารระหว่างการปะทะเมื่อ 10 เม.ย. ไม่เคยมีการระบุ
ตัวตนว่าเป็นใคร
นักรบกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดี ไม่ว่าจะยังประจำการหรือปลดประจำการแล้วก็ตาม

ประการที่สาม รัฐบาลโทษว่าเป็นฝีมือนปช. โดยทันทีหลังมีการโจมตีด้วยระเบิดเอ็ม 79 ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส
สถานีศาลาแดง เมื่อ 22 เม.ย. ประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมฝั่งสนับสนุนรัฐบาลอ้างระเบิดมาจากตึกแห่งหนึ่ง
ซึ่งขัดกับข้อสรุปของศอฉ. ที่ว่าถูกยิงมาจากพื้นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง

ประการที่สี่ รัฐบาลเตือนประชาชนหลายครั้งว่า กลุ่มคนเสื้อแดงมีอาวุธร้ายแรง มีคลังอาวุธขนาดใหญ่
ต่อมาศอฉ.จัดแสดงอาวุธอ้างถูกพบที่ราชประสงค์หลังเคลียร์พื้นที่
ซึ่งน้อยนิดกว่าที่คาดเมื่อเทียบตัวเลขความสูญเสียที่ไม่ได้ดุลกันเลยระหว่าง 2 ฝ่าย

จะเห็นว่ากลุ่มติดอาวุธร้ายแรงในหมู่เสื้อแดงมีเล็กน้อยมาก ขณะที่มีรายงานข่าวมากมายว่า
คนเสื้อแดงตอบโต้ทหารด้วยอาวุธที่ทำขึ้นเอง หรืออาวุธโบราณ

รัฐบาลยืนยันเหตุเพลิงไหม้ทั่วกรุง 39 แห่ง วันที่ 19 พ.ค. มีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ
แต่ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีการสมรู้ร่วมคิดได้ เพราะแกนนำส่วนใหญ่ถูกควบคุมตัวแล้วในช่วงที่มีการวางพลิง

คำถามสำคัญเป็นเรื่องเวลาที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์
และความรวดเร็วในการเข้าไปยังพื้นที่เกิดเหตุของทหาร และการดับไฟของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง

อย่างแย่ที่สุดคือมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเพลิงนี้ถูกจุดด้วยความคับแค้นของผู้สนับสนุนฝ่ายเสื้อแดง
แต่การทำลายอาคารพาณิชย์ที่มีประกันไว้แล้วก็ยังฟังไม่ขึ้น

8.ข้อเรียกร้องหาการรับผิดชอบ ระบุ ไทยมีพันธกรณีหลายระดับ
ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะต้องนำผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ต้องสืบสวนและดำเนินคดีในทุกกรณีที่มีเหตุเชื่อว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงเกิดขึ้น

เช่น การสังหารพลเรือนอย่างรวบรัดตัดตอน หรือโดยพลการ โดยเฉพาะกรณีที่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

การสืบสวนต้องเป็นธรรม ครบถ้วน และดำเนินการโดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง

การปกปิดของรัฐบาลเท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
และความล้มเหลวของรัฐภาคีในการนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็เป็นการละเมิดสนธิสัญญาด้วย

นอกจากการละเมิด ICCPR และกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้ว
การสังหารอย่างกว้างขวางและเป็นระบบโดยกองกำลังฝ่ายความมั่นคงในกรุงเทพฯ ในช่วงเม.ย.-พ.ค.2553

และการไล่ล่าประหัตประหารทางการเมืองต่อคนเสื้อแดง ชัดเจนเพียงพอที่จะเรียกว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ภายใต้ธรรมนูญกรุงโรมฯ

พาไปเที่ยว otop กับกิ๊ปเก๋คนสวยเลย...วันนี้ใส่กระโปรงด้วย...

ที่มา thaifreenews

โดย jomyut

ไปกันเลย



นี่แค่วันแรกนะ...วันนี้และพรุ่งนี้รับรองไม่ต้องเดินไหลไปแน่...

ผมฟันธง คนวางระเบิดบึ้มกรุงคือ "อำมาตย์/Here" ผมมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซนต์

ที่มา thaifreenews

โดย ลูกชาวนาไทย





วิธีที่จะคิดว่าใครเป็นคนทำ ก็ต้องดูแรงจูงใจครับ ผมไม่เชื่อว่าจะมีมนุษย์คนใด หรือใครที่ทำอะไรโดยไม่มีแรงจูงใจ

ซึ่งแรงจูงใจ บางกลุ่มอาจซ่อนอยู่ แต่เราก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าใครได้ประโยชน์ ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์นั่นแหละคือคนที่ทำ

หาก วิเคราะห์การวางระเบิด เราก็จะเห็นได้ว่า ไม่มีคนเจ็บ ไม่มีคนตาย ดังนั้นจึงวิเคราะห์ได้สถานเดียวคือ คนวาง แค่ต้องการสร้างสถานการณ์เท่านั้น ไม่ได้มุ่งหมายทำลายล้างใคร

การสร้างสถานการณ์ ก็ต้องมีแรงจูงใจทางการเมือง ว่าต้องการสร้างสถานการณ์ไปทำไม


- คนเสื้อแดง
ผมไม่คิดว่าคนเสื้อแดงจะได้ประโยชน์อะไรจากการวางระเบิดที่ไม่มีคนไม่ตาย นี้ จะว่าสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายรัฐบาลนี้ ผมเชื่อว่าคนเสื้อแดงรู้ว่า "เรากำลังสู้กับใคร"เรากำลังสู้กับคนที่อุ้มรัฐบาล เขาไม่ได้ห่วงภาพพจน์อะไร ขนาด "ฆ่าคนกลางเมืองท่ามกลางสายตาชาวโลก" ก็ไม่เห็นแคร์อะไร การวางระเบิดที่ไม่มีคนเจ็บหรือคนตาย จะมีความหมายอะไร ไม่ได้ทำให้พวกที่สนับสนุนรัฐบาลเห็นว่ารัฐบาลนี้ชั่วจนไม่เลือก
ขนาดฆ่าคนเป็นร้อย เขายังไม่แคร์เลย

ผลเสีย

ผมคิดว่าการวางระเบิดเป็นผลเสียต่อคนเสื้อแดงมากกว่าผลดี เพราะรัฐบาลก็ใส่ร้ายว่าเสื้อแดงทำ เพื่อสร้างภาพให้เป็นผู้ก่อการร้าย เพิ่มเติมเข้าไปอีก
ผมไม่คิดว่าจะมีใครโง่ทำอะไร โดยที่ทำให้ตัวเองแย่ลง ทำแล้วตัวเองไม่ได้อะไรเลย แถมทำให้ศัตรูได้ประโยชน์จากกระทำนั้นๆ ด้วย

หากมีการวางระเบิด เพื่อมุ่ง "สังหาร" ผู้นำฝ่ายอำมาตย์อย่างแท้จริง (ไม่ใช่ประชาชน) ไม่ใช่วางหลอก แต่ไม่มีใครเป็นอะไร แบบที่นางอินทิราคานธี โดน อันนั้นยังมีน้ำหนักว่าเสื้อแดงเป็นคนทำ




-รัฐบาล /อำมาตย์/Here

สำหรับคนกลุ่มนี้ ผมคิดว่าได้ประโยชน์เต็มๆ จากการวางระเบิดสร้างสถานการณ์ เช่น
* ได้ต่อ พรก. เพื่อใช้อำนาจไล่ล่าคนเสื้อแดงต่อไป และทำลายศัตรูทางการเมืองของพวกเขา
* ได้ใส่ร้ายคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ขยายต่อเนื่องจากช่วงเดือนพฤษภาคม

เราต้องมองว่า รัฐบาล กับคนหนุนรัฐบาล ไม่ใช่เป็นหน่วยเดียวกัน แต่ รัฐบาลเป็นเพียงเครื่องมือของ "อำมาตย์/Here "เท่านั้น หากเกิดผลเสีย "อำมาตย์/Here " ก็โยนให้ รัฐบาลรับผิดชอบไป แต่อำมาตย์/Here ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ตีหน้าเป็นผู้บริสุทธิ์หลอกคนโง่ต่อไปอีก

สรุป คือ "อำมาตย์/Here " ได้ประโยชน์เต็มๆ จากการวางระเบิด จึงเป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุด และ "อำมาตย์/Here " เป็นคนที่คุมทหาร คุมคลังระเบิด ควบคุมผู้เขี่ยวชาญด้านระเบิด คุมหน่วยงานต่างๆ ที่จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้

ฟันธง

"อำมาตย์/Here " เป็นคนวางระเบิดแน่นอน (ไม่ใช่รัฐบานี้สั่ง) แต่เวลาด่า พวก "อำมาตย์/Here " หลบอยู่หลังรัฐบาล

ข่าวธุรกิจ: ทักษิณซื้อหุ้นบริษัทสำรวจเหมืองแร่ในแอฟริกาใต้

ที่มา Thai E-News

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
2 ตุลาคม 2553

รายงานจากเว็บไซต์ไมน์นิ่งวีคลี่ เว็บข่าวอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวานนี้ (1 ต.ค) แจ้งว่า บริษัท Miranda Minerals ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในกรุงโจฮันเนสเบิรค์ ได้รับการลงทุนเป็นเม็ดเงินกว่า 420 ล้านบาท (98.2ล้านแรนด์แอฟริกาใต้) จากบริษัทลงทุนของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีฐานที่ตั้งอยู่ที่เมืองดูไบ


การลงทุนดังกล่าว ทำให้บริษัท Global PS Telecom Investment Company ของคุณทักษิณถือหุ้นบริษัท Miranda กว่า 34.99% การลงทุนครั้งนี้จะรวมแผนการผลิตและส่งออกถ่านหินชั้นพิเศษไปยังตลาดต่าง ประเทศอีกด้วย

ผู้บริหารบริษัทมิรันด้ากล่าวว่า "การระดมทุนครั้งนี้จากบริษัทโกลบอลพีเอสเป็นการชี้ให้เห็นว่ากลุ่มบริษัท ของเรามีความน่าลงทุน และเผยให้เห็นถึงปริมาณเม็ดเงินที่ต้องการใช้ในการสำรวจและพัฒนาธุรกิจ เหมืองแร่พลังงานในระยะสั้นและระยะกลาง"

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ กล่าวว่า บริษัทโกลบอลพีเอสได้เลือกบริษัทมิรันด้าเป็นบริษัทการลงทุนเพื่อที่จะทำการ สำรวจแร่และผลิตแร่กึ่งสำเร็จในพื้นที่ภูมิภาคแอฟริกาใต้

"โปรเจ็ค ของมิรันด้าเน้นไปที่ถ่านหิน ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการในตลาดต่างประเทศ เช่นเดียวกับแร่อื่นๆที่ทำให้บริษัทโกลบอลพีเอสรู้สึกตื่นเต้น" ทักษิณกล่าว

เพื่อนเอ๋ย..อย่าร้องไห้ เข้มแข็งไว้จนสุดทาง

มา Thai E-News


ณัฐ วุฒิ ใสยเกื้อ:พี่น้อง..อย่าร้องไห้ อยู่ในนี้สภาพจิตใจผมไม่มีปัญหา อยู่ในนี้จิตใจยังเข้มแข็งตลอดเวลา ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตย และจะเป็นคนหนึ่งในกระบวนการนี้จน สุดทาง...



ที่มา รายงานพิเศษประชาชาติธุรกิจ

เสียงก้อง-ดอกไม้-น้ำตาในเรือนจำ "ณัฐวุฒิ" ปราศรัยปลุกขวัญสาวกแดง "พี่น้อง...อย่าร้องไห้ ผมใจเข้มแข็ง เราไม่ทิ้งกัน"

โลกภายนอกเรือนจำ เคลื่อนไป ข้างหน้ารวดเร็ว-ซับซ้อนเกินกว่า 7 แกนนำ นปช.จะรับรู้

อดีตแกนกลางการเคลื่อนไหว "แดง" ทั้งแผ่นดิน กลายเป็นแกนที่รอวันหมุนตาม

เมื่อ จู่ ๆ ชื่อ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เคยออกมาประกาศว่าจะเดินหน้า-ลงมือเจรจา เพื่อความปรองดอง บุกไปประชิดตัวถึงในตารางสี่เหลี่ยม

วรรคทอง-วาระ สำคัญ ที่คีย์แมนการเมือง สื่อสาร-ส่งข่าว อธิบายเบื้องหลัง-เบื้องหน้าของการเจรจาใน คุกแดง มีความหมายครอบคลุมทั้งเรื่องการอภัยโทษ-ปล่อยตัว และสิทธิของคนเสื้อแดง และ "รัฐบาลต้องพิจารณา"

72 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น...แคมเปญของคนเสื้อแดงถูกจัดขึ้นหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

คน เสื้อแดงประมาณ 500 คน มารวมตัวกันวางดอกกุหลาบสีแดงหน้าประตู เรือนจำ พร้อมส่งเสียงตะโกนด่าทอ รัฐบาลและเสียงตะโกนให้กำลังใจแกนนำ ที่อยู่ในคุก บางครั้งเลยเถิดถึงขั้นดันแถวเข้ามาโยนดอกไม้ ทำเอาประตูรั้วเรือนจำสั่นไหว

เสียงขานชื่อ "นักโทษ" สลับกับเสียงปลุกปลอบขวัญผู้มาให้กำลังใจ

ทูตเสื้อแดง-ภรรยาของ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ทำหน้าที่เจรจากับสาวกเสื้อแดงข้างนอกก่อนเข้าเยี่ยมสามี

ด้วยข้อจำกัดของเรือนจำ จำนวนคนเข้าเยี่ยม-เห็นหน้า-เห็นตัวเป็น ๆ ของ "ณัฐวุฒิ" จึงเต็มจำนวน เต็มพิกัด เท่าที่ถูกกำหนด

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" เป็น 1 ในจำนวนจำกัด

จึง เห็นภาพ-เสียงที่ทุลักทุเลของบรรดาสาวก-แม่ยกโผเข้าหากันและกัน และส่งเสียงสนทนาที่ต่างฝ่ายต่างพูดแทบฟัง ไม่ได้สรรพผ่านรูเล็ก ๆ บนแถบแผ่นโลหะ

คำแม่ยกมีทั้งข่าวสารสด ๆ ร้อน ๆ แจ้งจำนวนมวลชนที่ร่วมใจไปวางดอกไม้หน้าเรือนจำ

"ณัฐวุฒิ" และแกนนำทุกคนรูปร่างผอมลงอย่างเห็นได้ชัด

"น้ำหนักลดลงไป 6 กิโล เพราะออกกำลังกายทุกวัน ชกมวยทุกวัน" ณัฐวุฒิอธิบายรูปกายที่เปลี่ยนไป ทำให้เหล่าสาวกตื้นตันน้ำตาคลอเบ้า

ณัฐวุฒิ-ปลอบคนเข้าเยี่ยมว่า "อย่าร้องไห้ สภาพจิตใจผมไม่มีปัญหา อยู่ในนี้จิตใจยังเข้มแข็งตลอดเวลา"


คน ข่าว-ถามทุกข์-สุข และเรื่องราวประเด็นข่าวนอกคุก ทั้งเรื่องแผนปรองดอง-แผนเพื่อไทย "ณัฐวุฒิ" ตอบได้แต่เพียงว่า "ไม่รู้เรื่องมากนัก" พร้อมออกตัวว่า "ไม่อยากแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพราะเกรงว่าจะทำให้ทางเรือนจำเดือดร้อน"

"เวลามีคนมา เยี่ยม มาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้รับฟัง และให้กำลังใจ...ฝากความคิดไปบ้างเท่าที่จะทำได้ พยายามบอกพี่น้องให้เข้มแข็ง ยืนหยัดหลักการ สันติวิธีให้เกิดประชาธิปไตย"


ส่วนข้อถกเถียงในโลกภายนอกคุกที่ว่า นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กับพรรคเพื่อไทย ใครจะนำใครกันแน่ ?

"ณัฐ วุฒิ" บอกว่า "ประชาธิปไตยนำ ทั้ง 2 องค์กรนี้ไปด้วยกัน ทั้งเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครเดินตามใคร แต่ทั้ง 2 ส่วนเดินตามหลักการประชาธิปไตย และสังคมไทยก็ควรจะได้เดินไปในแนวทางนี้เช่นกัน"

ส่วนคำถามถึงแผน ปรองดองและ ความหวังที่จะได้ประกันตัว "ณัฐวุฒิ" ปฏิเสธว่าไม่ทราบรายละเอียด รวมทั้งยังไม่ทราบว่าจะได้รับการประกันตัวหรือเกือบได้ประกันตัวจากแผน ปรองดอง นอกคุกหรือไม่

นักข่าวชวนสนทนาประเด็นร้อนว่า การนอนคุกของเขาสะท้อนผลแพ้หรือชนะ ของม็อบแดง เขาตอบว่า "เราไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดผลแพ้หรือชนะ แต่ทำเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ความแพ้หรือชนะ ของใคร"

เขาอธิบายสถานการณ์ส่วนตัวของเขา และผลที่เกิดกับแกนนำทั้ง 7 คนที่ยังยืน อยู่ในคุกว่า "เป็นเพราะประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย"

คำถามเชิงปรารภ ชวนปะทะทางความคิด ที่ว่า "ณัฐวุฒิ" อยู่จุดไหนของกระบวนการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายของคนเสื้อแดง เขาตอบแต่เพียงว่า

"ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตย และจะเป็นคนหนึ่งในกระบวนการนี้จน สุดทาง.."


แม้ การไร้อิสรภาพยาวนานกว่า 100 วัน โดยไม่รู้อนาคตว่าจะได้รับการปล่อยตัว เมื่อไร และมีกระบวนการอย่างไร เพื่อให้พ้นคุก แต่แกนนำ "นปช.-ณัฐวุฒิ" ไม่เคยหมดพลัง-หมดกำลังใจ

"สิ่งที่จะลดลงไปก็คือ วัน เวลาที่จะได้ทำภารกิจร่วมกับข้างนอก แต่ขวัญและกำลังใจของพวกเราไม่ลด เราต้องเข้มแข็งเพื่อพี่น้องทุกคน แกนนำข้างในคุกดูแลกันและกัน ความเข้มแข็งของเราจะเป็นกำลังใจให้คนข้างนอกตลอดเวลา"


ยามว่างเว้นจากห้วงคำนึงถึงครอบครัว "ณัฐวุฒิ" ลงมือใช้ความรู้-ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในฐานะ "นักกลอน" แต่งเพลงเพื่ออนาคต

"วันนี้ ผมตั้งใจจะเขียนเพลงเพื่อบันทึกความรู้สึกในวันนี้ วันที่พี่น้องเสื้อแดงเอาดอกไม้มามอบให้ ผมหวังว่าดอกไม้ที่เอามาวันนี้จะได้ส่งความรู้สึกผูกพันของคนเสื้อแดงไปถึง ทุกชีวิตที่จากไป"


"ถ้าวันนี้พี่น้อง เสื้อแดงทำกิจกรรม มอบดอกไม้ให้ผมและแกนนำข้างใน เรือนจำ... ผมก็ขอเป็นตัวแทนจาก คนเสื้อแดงในเรือนจำ...ส่งมอบต่อไปให้ แก่ผู้เสียชีวิต รวมทั้งครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บทุกคนพร้อมครอบครัว ผมอยากบอกว่า ผมรักพวกเขา เราไม่ทิ้งกัน..."


เสียงผู้คุมประกาศ "หมดเวลาเยี่ยม" ทั้งแกนนำ-สาวก-แม่ยก และภรรยาคู่ชีวิตของ "ณัฐวุฒิ" และภรรยา 7 แกนนำ นปช.ต่างทยอยกลับ

ภาพหน้าคุกมีการนำดอกกุหลาบสีแดง พร้อมกระดาษข้อความ จดหมาย เสียบไว้ตลอดแนวรั้วคุก

72 ชั่วโมงก่อนถึงวันครบรอบ 4 ปี 19 กันยา วาระ 4 เดือน จากราชประสงค์ มีทั้งดอกไม้และน้ำตา

กรณีเงินบริจาคที่ได้รับจากการเทศน์ที่ยุวพุทธฯ

ที่มา Dhammada.net


อ้างอิง คมชัดลึก : http://www.komchadluek.net/detail/20100930/74924/กก.มส.ชี้สอบคำสอนพระปราโมทย์ต้องใช้เวลา.html

มติชน : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1285857417&grpid=&catid=02

บางส่วนจากข่าว

นาย เทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ติดตามข่าวเกี่ยวกับสวนสันติธรรม เปิดเผยต่อ “คม ชัด ลึก” ว่าหลังจากที่ได้รับเอกสารจากนายอภิชาติ อัศวเรืองชัย อดีตประธานกรรมการบริหารสวนสันติธรรมที่ถอนตัวออกมา โดยได้ตรวจสอบเอกสารทั้งหมดกับบัญชีรายรับ-รายจ่ายของสวนสันติธรรม พบว่ามีเม็ดเงินหายไปจำนวนหนึ่ง โดยไม่มีรายได้ระบุไว้ในบัญชีทั้ง 7 บัญชีที่ทนายความได้ส่งให้ดีเอสไอ

“ผมได้ตรวจสอบเอกสารรายรับรายจ่าย ของสวนสันติธรรมตั้งแต่ปี 2551 ถึงเดือนกันยายน 2552 นั้น ไม่พบว่ามีบัญชีรายรับซึ่งได้มาจากการเดินสายแสดงธรรมในสถานที่ต่างๆ 65 แห่ง ซึ่งเชื่อว่าแต่ละแห่งที่ไปนั้น ทางผู้ศรัทธาจะบริจาคหรือทำบุญให้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนตุลาคม 2552 มีการแสดงธรรมยุวพุทธ มีการเรี่ยไรเงินทำบุญถึง 1.2 ล้าน แต่ก็ไม่มีปรากฏอยู่ในบัญชี เราคำนวณคร่าวๆ การแสดงธรรม 65 ครั้งน่าจะมีรายรับ 15-20 ล้านเลยทีเดียว” นายเทิดศักดิ์ กล่าว

.

ประเด็นที่แท้จริง

จากที่ สื่อบางแห่งได้ลงข่าวในเวปไซด์ตน เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 53 ถึง กรณีเงินบริจาคจากการที่หลวงพ่อปราโมทย์ไปเทศน์

ที่ยุวพุทธิกสมาคม เมื่อเดือน ตุลาคม 2552 โดยมีความเข้าใจผิดว่าเป็นยอดเงินประมาณ หนึ่งล้านสองแสนบาทนั้น

ทางทีมงานเวปธรรมดาฯได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่า ความเป็นจริงแล้ว ปัจจัยที่ผู้มาฟังธรรมมอบให้กับ

หลวงพ่อปราโมทย์นั้นเป็นจำนวนทั้งสิ้น 201,021.00 บาท (หักค่าโอนผ่านธนาคารแล้ว) และหลวงพ่อฯ

ก็ได้อนุโมทนากับทางยุวพุทธด้วยแล้วครับ”

.

โดยเวปไซด์ของสื่อรายหนึ่งได้นำข้อความเรื่องจำนวนเงิน หนึ่งล้านสองแสนกว่าบาทออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทางทีมงานเวปธรรมดาจึงขอขอบคุณในการแก้ไขข่าวของสื่อรายนั้นพร้อมกับขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลที่

คาดเคลื่อนมาได้โปรดทำความเข้าใจในสิ่งที่ทีมงานเรียนชี้แจงมาในโอกาสนี้ด้วยครับ

จากสมุดปกขาวถึงเสื้อสีชมพู แม้วจะเอาไงแน่!..แค่ต่อรอง หรือปรองดอง?

ที่มา Thai E=News


ทักษิณกำลังใส่เสื้อสีชมพู-ภาพ นี้ผมถ่ายมาจากหน้าหนึ่งของนิตยสาร "มหาประชาชน" (วีระ มุสิกพงศ์ ที่ปรึกษา)ตอนแรกที่เห็นผ่านๆผมก็ยังไม่ทันคิดอะไร จนกระทั่งมีคนชี้ให้เห็นว่า ในรูปทักษิณกำลังใส่เสื้อสีชมพู (จดหมายทักษิณ ลงวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา) ผมไม่ต้องการตีความอะไรมากมาย นอกจากคิดว่า การเลือกสีเสื้อคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และคงเป็นการพยายาม "ส่งซิก" เรื่องปรองดอง (สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:กระดานสนทนาคนเหมือนกัน)


ที่มา เวบไซต์ siamintelligence

ต่อรองหรือปรองดอง จดหมายจากมอนเตฯ ถึง สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพ โดย สนง.กฎหมายอัมสเตอร์ดัม

รัฐบาล ไทยตั้งแต่ชุดของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จนมาถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีหน้าที่หนึ่งที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆที่ยังไม่สามารถปิดงาน รัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 49 ลงได้นั่นคือ การนำตัว พตท.ทักษิณ ชินวัตร มารับโทษในประเทศให้ได้

แต่ทว่ากลับไม่สามารถทำได้อย่างสะดวกนัก การเคลื่อนไหวเพื่อหลบหลีกการตามล่าของเจ้าหน้าที่ไทยนั้นของพตท.ทักษิณตลอด 4ปีที่ผ่านมาต้องถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางรอบโลกเลยทีเดียว

การเดินทางรอบโลกของ พตท.ทักษิณนั้น กลับไม่ได้เพียงแค่หลบหลีกการตามล้างตามเช็ดของผู้กุมอำนาจจากรัฐไทยเท่า นั้น กลับเดินเกมส์โลกล้อมประเทศไทย ด้วยเครือข่ายระดับผู้นำประเทศและนักธุรกิจใหญ่ที่กระจายออยู่ทั่วโลกทำการ กดดันประเทศไทยเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในหลายๆครั้ง

การต่อรองของ พตท.ทักษิณที่ผ่านมาต้องถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง อย่างน้อยช่วงหนึ่งสามารถกลับมายังประเทศไทยเมื่อต้นปี 2551 ก่อนที่ออกนอกประเทศไปอีกครั้งหลังจากศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองพิพากษาว่า พตท.ทักษิณมีความผิดในเรื่องทุจริตซื้อที่ดินรัชดามีโทษจำคุก 2 ปี แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา การเดินเกมส์เพื่อต่อรองผู้มีอิทธิพลตัวจริงของไทยกลับไม่สามารถทำได้สำเร็จ อย่างที่คิด

แม้ว่าการเจรจาเพื่อนำไปสู่การปรองดองในหลายๆครั้ง เพื่อ ไม่ให้เกิดการปะทะกันก่อนการกระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมนั้นต้องถือว่าอำนาจต่อรองในเวลานั้นของทักษิณถือไผ่เหนือกว่ามาก ด้วยจำนวนมวลชนเรือนแสน สอดรับกับท่าทีของทักษิณผ่านทวิตเตอร์และการโฟนอินในหลายๆครั้งที่ออกมา ในแต่ละครั้งมีเป้าหมายเพื่อการเจรจาต่อรองกับผู้มีอำนาจสูงสุดโดยอาศัยมวล ชนจำนวนมหาศาลในเวลานั้นเป็นเครื่องต่อรอง แต่สุดท้ายการต่อรองกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกลายเป็นความพ่ายแพ้ในที่สุด

ใน ความเป็นจริงตามที่ปรากฏให้เห็นต้องถือว่าการเจรจาต่อรองโดยอาศัยคำว่า ปรองดองนั้นมีมาโดยตลอด การช่วงชิงจังหวะเพื่อสร้างอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอีกฝ่ายนั้น ตลอดจนการประนีประนอมในหลายๆครั้งดังกรณีล่าสุดที่พตท.ทักษิณไม่ได้ ทวิตเตอร์หรือโฟนอินใดๆเลย เป็นเดือน แม้แต่การลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในรัฐบาลฮุนเซน ก็ถือว่าเป็นการถอยอย่างประนีประนอมเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับถูกปล่อยข่าวออกมาว่าป่วยหนักมากเข้าขั้นโคม่าเลยทีเดียว จนต้องออกมาเขียนทวิตเตอร์อีกครั้งพร้อมกับข้อเสนอแนะในการปรองดองอีกครั้ง โดยการออกมาทวิตเตอร์ในครั้งนี้มองได้ว่าเป็นข้อเสนอโดยตรงไปถึงผู้มีอำนาจ สูงสุดว่าตัวเองเสนอทางถอยถึงที่สุแล้ว แต่สุดท้ายข้อเสนอเหล่านั้นก็หายไปกับสายลมในที่สุด ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากข้อความที่ส่งไปแม้แต่น้อย


แม้ ว่าการต่อรองโดยอาศัยเชิงสัญลักษณ์อย่างการใส่เสื้อสีชมพู ซึ่งตามปกติจะไม่ได้พบเห็นการใส่เสื้อสีนี้นัก ซึ่งตามปกติจะใส่เสื้อสีแดงเวลาโฟนอินหรือถ่ายทอดภาพหรือถ้าไปสถานที่ต่างๆ ก็จะใส่เสื้อสีพื้นๆขาวๆ ซึ่งล่าสุดกลับใส่เสื้อสีขมพูว่าเป็นภาพถ่ายที่มอนเตเนโกรพร้อมกับจดหมายที่ มีข้อความในเรื่องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมพร้อมกับการออกตัวในเรื่องการ พบนักการเมืองจากหลายประเทศ เพื่อแสดงออกถึงอิทธิพลของตัวเองว่ายังพอมีอยู่ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกแต่อย่าง ใด ซึ่งสารที่ต้องสื่อไปนั้นอาจบ่งบอกได้อย่างหนึ่งว่าพตท.ทักษิณยังไม่ยอมแพ้ อย่างแน่นอนเพียงรอจังหวะเท่านั้น และยังบอกเป็นนัยว่า ตัวเองยังแข็งแรงพร้อมกับให้ความเคารพในสถาบันที่ตนเองเคารพอยู่



ล่า สุดทีมทนายของทักษิณหรือก็คือสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ ได้ออก สมุดปกขาว “การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ: ข้อเรียกร้องต่อการแสดงความรับผิดชอบภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศ ไทยมีภาระหน้าที่ในการนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” โดยการออกสมุดปกขาวนี้ที่ได้รับการแปลเป็นไทยเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งราคาไว้ 100 บาท มีเลข ISBN กำกับด้วยคือ 978-974-225-912-9โดยพิมพ์ครั้งแรกในเดือนกันยายนจำนวน 5,000 เล่ม เพื่อรับกับการรำลึกถึงการรัฐประหารที่ครบรอบมา 4 ปีแล้วในเดือนเดียวกันนี้

หนังสือ เล่มนี้ได้แบ่งออกเป็น 9 บทด้วยกัน ตั้งแต่ (1) บทนำ (2) เส้นทางสู่ระบบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย (3) การขึ้นสู่อำนาจของพรรคไทยรักไทย (4) หนทางสู่การรัฐประหาร2549 (5) การฟื้นคืนชีพของระบบอำมาตยาธิปไตย (6) ฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย (7) ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร (8) ข้อเรียกร้องหาการรับผิด (9) บทสรุป

โดย ภายในหนังสือนั้นมีการเขียนคำนิยมโดย พตท.ทักษิณ ชินวัตรซึ่งกล่าวว่า ในปี 2549 การรัฐประหารได้พรากสิทธิในการเลือกตั้งของเราไป อันทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่พอใจ และทำให้หลายคนลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่แทนที่จะมีใครฟังเสียงกลุ่มที่ล้มล้างรัฐบาลกลับพยายามที่จะกำจัดพวกเขา ความทะยานอยากของคนกลุ่มนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง และถือเป็นการละเมิดจิตวิญาณความเป็นมนุษย์

และยังกล่าวอีกว่า ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่างไรก็ตามหากการเลือกตั้งหมายถึงว่าจะมีการปรองดองก็จะต้องตอบโจทย์ข้อ กังวลพื้นฐานที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างอำนาจประชาชนและการฟื้นฟูประเทศไทย ให้เป็นรัฐประชาธิปไตยแบบที่ไม่กีดกันกลุ่มใด ในขณะเดียวกัน เราต้องปฏิเสธการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง การไม่กีดกันผู้ใดนั้นโดยนิยามแล้วก็คือภาวะที่เป็นสันติสุขนั้นเอง


ขณะ เดียวกันยังได้กล่าวถึงว่าการที่ต้องล้มรัฐบาลไทยรักไทยในเวลานั้นเพราะว่า ต้องฟื้นฟูกลุ่มอำนาจเก่าให้กลับขึ้นมาหลังจากที่รัฐบาลไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตรเวลานั้นได้กลายเป็นสิ่งท้าทายอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่าด้วยเป็นรัฐบาล พรรคเดียวจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนไม่ต้องพึ่งพากลุ่ม อำนาจเดิมอีกต่อไป

นอกจากนั้นได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการทำหนังสือ เล่มนี้ออกมาโดยประการแรกเพื่อเน้นถึงพันธกรณีของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่าง ประเทศซึ่งรวมถึงพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ ทางการเมือง (International Convenant on Civil and Political Right – ICCPR) ที่ต้องสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม ของคนเสื้อแดงสำหรับอาชญากรรมการสังหารพลเรือนกว่า 80 ราย ด้วยหน่วยงานที่เป็นกลางและเป็นอิสระเพื่อผู้รับผิดชอบจะต้องรับผิดตามที่กำ นหดโดยกฎหมายระหว่างประเทศ

ประการที่สอง เกี่ยว ข้องกับพันะกรณีของประเทศไทยในการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิด ขึ้นในด้านสิทธิทางการเมืองหลังจากการรัฐประหารในปี 2549 และระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการประทุษร้ายประชาชนพลเรือนที่ไร้อาวุธอย่างเป็นระบบซึ่งอาจเข้าข่าย อาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามธรรมนูญกรุงโรมซึ่งกำหนดจัดตั้งศาลอาญาระหว่าง ประเทศในกรุงเฮก แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ให้สัตยาบรรณไว้ก็ตาม แต่การกระทำอย่างร้ายแรงอาจเป็นเหตุผลที่เพียงพอในการเข้าสู่กระบวนการ พิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศได้

ประการที่สามคือ เพื่อ ยืนยันถึงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศของสมาชิก นปช.หลายร้อยคนที่เผชิญข้อกล่าวหาทางอาญาจากการเข้าร่วมชุมนุมของคนเสื้อแดง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองรับรองสิทธิในการ ต่อสู้คดีอย่างยุติธรรม ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิในการตรวจสอบหลักฐานอย่างอิสระผ่านทางผู้เชี่ยวชาญหรือ ทนายของตนเองภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับรัฐบาลและมีสิทธิการรวบรวมพยานหลัก ฐานเพื่อแก้ต่างให้ตนเองได้

โดยหนังสือนี้ได้อ้างถึงเอกสารและหลัก ฐานต่างๆจำนวนมากเพื่อชี้ให้เห็นว่าระบบของทักษิณได้ไปขัดขวางผลประโยชน์ของ กลุ่มอำนาจเก่าและเครือข่ายในระดับสูงซึ่งอาศัยระบบอุปถัมภ์ที่ได้บ่มเพาะมา อย่างยาวนานจนมีอิทธิพลและอำนาจที่เข้าไปมีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดินใน หลายๆด้าน และชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทักษิณได้ก้าวล่วงกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นทางการในหลายๆข้อ ที่กลุ่มอำนาจเก่าได้วางไว้จนสุดท้ายจำเป็นต้องตัดสินใจลงเพื่อทำลายล้าง พรรคไทยรักไทยและกลุ่มที่ท้าทายอำนาจเก่าให้ราบคาบในที่สุด

การออก หนังสือในครั้งนี้เป็นการรุกหนักอีกครั้งหนึ่งของทางด้าน พตท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อที่จะสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลให้ได้ โดยหนังสือถ้าได้วางแผงคงจะมีการตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายรอบ แต่ถ้าไม่ถูกวางแผงและถูกสั่งเก็บซึ่งมีแนวโน้มสูงที่เป็นไปได้ก็ยิ่งกลาย เป็นประชาสัมพันธ์ให้ดังอีกครั้งดังเช่นหนังสือหลายๆเล่มในช่วงที่ผ่านมา

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทยไปแล้ว

**************
ความเห็นหลากหลายของคนเสื้อแดงกรณีทักษิณใส่เสื้อสีชมพู คลิ้กอ่านที่นี่