ที่มา Thai E-News
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ที่มา Vattavan.com
30 ตุลาคม 2553
ระยะ นี้มีเรื่องไม่งาม ที่ข้องเกี่ยวกับผู้มีอาชีพตุลาการหลายเรื่องเช่น เมือ วันที่ 14 ตุลาคม 2553 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ข้าราชการตุลาการนายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกลงโทษให้ออกจากราชการ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
นอกจากจะมีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาว กับหญิงที่มีสามีแล้ว อันเป็นที่น่ารังเกียจแล้ว ผู้ถูกกล่าวโทษรายนี้ยังใช้ชู้ของตัว ในการเรียกรับสินบน ในการตัดสินพิพากษาคดีต่างๆหลายคดี
มติชนระบุว่า ผู้ร้องเรียนเปิดเผยถึงวิธีการยอกย้อน ในการเรียกสินบนของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกกล่าวโทษนั้น ค่อนข้างสลับซับซ้อนทั้งนี้ ผู้ถูกกล่าวโทษกระทำโดยใช้อาศัยหญิงที่มีความสัมพันธ์กันเป็นตัวกลาง เพื่อป้องกันการตรวจสอบ
รายละเอียดที่เขานำมาเปิดเผย มีอยู่ว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวให้ใช้ หญิงที่มีความสัมพันธ์กัน(หญิงผู้ใกล้ชิด)ไปติดต่อเรียกรับเงินสิบบน 70,000,000.00 บาท (เจ็ดสิบล้านบาทถ้วน) จากจำเลยที่มีคดีความมาถึงศาลอุทธรณ์ .. เห็นจำนวนเงิน ที่เรียกแล้ว...ต้องตกใจ!
แม้คดีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก เป็นแค่คดีที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อนเงิน แต่คดีไปเข้ามือผู้ถูกร้อง จึงสบช่องที่จะ “รีด” เงินเอาจากฝ่ายจำเลย (ซึ่งข่าวเขาบอกว่า ผู้บริหารบริษัทเป็นคนในตระกูลนักการเมือง) เพียงเพื่อแลกกับการตัดสินให้ยกฟ้องคดีนี้ ให้สอดคล้องที่ศาลชั้นต้น ได้พิจารณายกฟ้องไปแล้ว
“มติชน” รายยังงานต่อไปว่า... ในชั้นแรกฝ่ายจำเลยก็ไม่ยังเชื่อ จึงไม่กล้าจ่ายเงินผ่านหญิงผู้ใกล้ชิดสนิทเนื้อกับผู้พิพากษาผู้ถูกกล่าวโทษ แต่ผู้พิพากษาคนดังกล่าวได้กระทำการที่เหลือเชื่อ คือ มอบสำนวนคดีตัวจริงนี้ให้หญิงที่มีความสัมพันธ์นำไปให้ดู จนฝ่ายจำเลยเชื่อสนิทใจว่า
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าว เป็นผู้พิจารณาตัดสินสำนวนคดีนี้จริง!
จากนั้นฝ่ายจำเลยจึงค่อยๆทยอยมอบเงินให้ โดยผ่านหญิงผู้ใกล้ชิด เป็นเงิน 20,000,000.00 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) แต่ยังไม่สามารถหาเงินอีก 50,000,000.00 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ตามข้อตกลงได้ จึงต่อรองจะให้เป็นหุ้นของบริษัทผลิตอาหารกระป๋องแห่งหนึ่ง ที่มีเงินค้ำประกันเรื่องการส่งออกลำไย อยู่กับองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) เป็นจำนวนเงิน 50,000,000.00 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้ อ.ต.ก. คืนเงินจำนวน 50,000,000.00 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 บาทต่อปี ให้แก่บริษัทดังกล่าวแล้ว แต่ขณะนี้คดีค้างอยู่ที่ศาลอุทธรณ์
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันการตรวจสอบ ที่อาจมาถึงตนได้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกร้อง จึงได้ให้หญิงผู้ใกล้ชิด เข้าถือหุ้นบริษัทนี้แทนผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งเป็น "นอมินี" ของสมาชิกตระกูลนักการเมือง
ฉะนั้น เมื่อใดก็ตาม ที่ อ.ต.ก. คืนเงิน 50,000,000.00 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ให้แก่บริษัทนี้แล้ว หญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษาผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าว แต่มีข้อแม้จากผู้พิพากษาว่า
ปรากฏว่า แผนกลับไม่สำเร็จ เหตุเพราะชายผู้เป็นสามีของหญิงผู้ใกล้ชิด ไม่ยอมหย่า ตามแผนการอันสลับซับซ้อนนี้ ผู้พิพากษาผู้ถูกร้อง จึงดึงสำนวนคดีนี้เก็บไว้ก่อน โดยยังไม่พิจารณาตัดสินคดีนี้ ทั้งๆที่ได้รับสำนวนคดีนี้มาพิจารณานานแล้ว
ใช่แต่แค่นั้นนะครับ
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกร้องรายเดียวกันนี้ ยังถูกกล่าวโทษ กรณีมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวชาวต่างประเทศรายหนึ่ง เพราะทนายความหญิงของชาวต่างประเทศ ได่ตกลงเรื่องสินบนกับหญิงคนสนิทชิดใกล้ เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาท (สามล้านห้าแสนบาทถ้วน) โดยมีการทำเป็นสัญญา (ไม่มีมูลหนี้) ระหว่างญาติของหญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษา กับทนายความของจำเลยชาวต่างประเทศ โดยทนายความหญิงกับญาติของหญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษา ได้นำเงินตามข้อตกลงดังกล่าว ไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขา เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกัน (โดยคำร้องมีการระบุหมายเลขบัญชี ไว้ชัดเจน) เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาท (สามล้านห้าแสนบาทถ้วน)
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ผมอยากจะเรียน กับท่านผู้อ่าน ว่า การกระทำของผู้พิพากษาซึ่งถูกกล่าวโทษ ที่เล่ามาข้างต้นนั้นเป็นเพียง การกระทำส่วนบุคคล แต่อาจมีผลที่ทำให้ผู้พิพากษาทั้งมวล พลอยเสียหายไปด้วย แต่อย่างไรเสีย ผู้คนที่แยกแยะออก ก็คงตัดสินได้ว่า
นี่เป็นเรื่องของ “บุคคลคนเดียว” เท่านั้น
“ตุลาภิวัฒน์”
สถาบันหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า เป็นเครื่องมือของคณะรัฐประหารไป คือ “กระบวนการยุติธรรม” โดยเฉพาะศาล ที่คณะผู้พิพากษาลดตัวมาทำหน้าที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ ตามคำสั่งของ “ไอ้บัง กบฎ” และภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชนนั้น น่าอับอายยิ่งนัก คือ
การนั่งพิจารณาของผู้พิพากษาที่มีเกียรติยศ พิพากษาภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์เจ้าชาวไทย สวมชุดสากล โดยไม่สวมเสื้อครุยแสดงวิทยะฐานะ และพร้อมใจกันตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ของอดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ที่ถูกทำรัฐประหาร โดย “ไอ้บัง สามจิ๋ม” กับพวกนั่นเอง
ต่อมาได้มีการเปิดโปงกัน ในเรื่องที่เกี่ยวกับการไปปรากฏกายของคนระดับประมุขตุลาการ ทั้งประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครอง ในการเลี้ยงที่บ้านนักธุรกิจกบาลเกลี้ยง คือไอ้นายปีย์ มาลากุล ที่สื่อสารมวลชนลงข่าวกันอื้ออึง ซึ่งผมก็ได้เขียนถึงเรื่องนี้ในคอลัมน์ตัวเองชื่อ
ที่เขียนอย่างนั้น เพราะผมพิจารณาจากสถานการณ์แวดล้อม และข้อมูลต่างๆประกอบ ก็เห็นว่า เป็นความพยายามที่จะทำการรัฐประหาร ซึ่งต่อมาก็เป็นความจริงในภายหลัง เพราะมีการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 นั่นเอง
เมื่อประธานศาลสูงทั้งสองศาล ไปมีพฤติกรรมอันไม่เหมาะควรอย่างยิ่ง ประชาชนจึงรับไม่ได้ ทำให้ฝ่ายตุลาการตกเป็น “ขี้ปาก” ของชาวบ้านในที่สุด ทั้งยังทำให้ผู้คนจำนวนมากเห็นว่า
ถ้อยคำหรูหราอย่าง “ตุลาภิวัฒน์” ตามที่กล่าวอ้างกันหลังจากการรับประทานอาหารที่ห้องอาหารอิตาเลี่ยน ที่ซอยหลังสวน นั้น
ได้ถูกผู้คนที่รักความยุติธรรม และมีสติปัญญาทั้งหลาย วิพากษ์วิจารณ์กลับว่า แท้ที่จริงแล้ว เป็นการก้าวย่างเข้าสู่ยุค “ตุลาวิบัติ” นั่นเอง
สำหรับการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังการรัฐประหาร ได้มีการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมา เพื่อสอบสวนจัดการกับอดีตนายกฯ ซึ่งเป็นการออกกฏหมายมา “ขยี้” คนเพียงคนเดียว ทั้งๆที่ประมวลกฏหมายวิธิพิจารณาความอาญา ยังใช้บังคับอยู่ และศาลไทย ได้ยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร ไว้ในคำพิพากษา แต่ก็ยังมีผู้พิพากษาอย่างท่าน กีรติ กาญจนรินทร์ ที่มีความหาญกล้า ไม่ยอมรับอำนาจดังกล่าว
บทความของผมชื่อ “จดหมายฟ้องโลก” ที่มีทั้งเวอร์ชั่นภาษาไทยและเวอร์ชั่นฝรั่ง ได้บรรยายเหตุผลเอาไว้ชัดเจน (มีคนเข้ามาอ่านเกือบหนึ่งหมื่นห้าพันราย) และจดหมายฉบับนี้ ได้ถูกแจกจ่ายไปทัวโลก จึงอยากให้ทุกท่าน ได้อ่านทั่วกันใน (ลิงก์)
ที่น่าดีใจอย่างมากก็คือ นายประพันธ์ นัยโกวิท ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ปัจจุบันเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างบรรยายพิเศษเรื่อง “จัดการเลือกตั้งอย่างไรให้สุจริตและเที่ยงธรรม” ให้กับนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูงเมื่อ 1 ต.ค.2553 ว่า
“ระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นระบอบเหมาะสมที่สุดของประเทศไทย และมองว่าอนาคตจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารอีก เพราะกระแสโลกเปลี่ยนแปลงและไม่สนับสนุน ส่วนที่ผ่านมาการปฏิวัติรัฐประหารยังคงสามารถทำได้ ก็เพราะอำนาจตุลาการให้การยอมรับ รับรองว่าถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อใดที่อำนาจตุลาการไม่ยอมรับขึ้นมา อาจมีกฎหมายให้โทษย้อนหลังได้”
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมมีความเชื่อโดยสุจริตว่า วันหนึ่งวงการตุลาการบ้านเรา จะเกิดความกล้าหาญ ไม่ยอมลงให้กับอำนาจปากกระบอกปืน แล้วหันมาพิจารณาคดี ให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เฉกเช่นนานาอารยะประเทศ นั่นคือ
ไม่ให้การยอมรับ การปฏิวัติรัฐประหารว่า ถูกต้องตามกฎหมาย!
...เรื่อง "คลิป" ยังไม่จบ เพราะ "ผู้พิพากษาหนุ่ม" เห็นคลิปแล้ว เริ่มตั้งคำถามกับพฤติกรรมของ “ผู้ใหญ่” ที่เจตนากดดัน อภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ให้มาเป็น “พยาน” คนเป็น “ผู้พิพากษา” ด้วยกัน ทำไมจะอ่านเกมไม่ออก หวังว่าคงไม่เกิด “วิกฤตตุลาการ” รอบสอง
นี่ไงครับ!
ส่วนจะเป็น “ตุลาการวิบัติ” ระดับธรรมดาๆ หรือถึงขั้น “ตุลาการวิบัติ-ฉิบหาย” นั้น
พิจารณากันเอาเอง เถอะครับ!!!
***หมายเหตุ เพื่อความเข้าใจให้ชัดเจนเพิ่มขึ้น ขอให้ท่านผู้กรุณาอ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม คือ
- “ศาลไทย... ไม่ใช่ศาลทาส (นะโว้ย) !!!”