ที่มา Dhammada.net
อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000145828&#Opinion
“สวน สันติธรรม” ออกแถลงแจงยิบ หลัง “ฐิตินาถ” ออก “เจาะใจ” อ้างดีเอสไอพบบัญชีธนาคารส่วนตัวพระปราโมทย์และอดีตภรรยาอีก 15 บัญชี มีเงินหมุนเวียนราว 30 ล้านบาท พร้อมพันธบัตรกว่า 10 ล้านบาท ยันสวนสันติธรรมมอบข้อมูลให้เจ้าพนักงานเองไม่ใช่ถูกตรวจพบ เผยมีเพียง 4 บัญชี พร้อมย้ำมีระบบแยกชัดเจนเงินส่วนของ“พระ”หรือของ“วัด” ไม่ได้มั่วยักยอกเงินวัด อีกทั้งยังมีเงินเก็บส่วนตัวตั้งแต่เมื่อเป็นฆราวาส ก่อนพระปราโมทย์บวชทำงานมีเงินเดือนสูงระดับอธิบดี เผยเตรียมจดทะเบียนอย่าอดีตภรรยา ลดข้อกังขา
ภายหลัง น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง ไฮไซนักเขียนชื่อดัง ไปออกรายการทีวี “เจาะใจ” อีกทั้งให้สัมภาษณ์ตอนไปอัดเทปรายงานเมื่อวันอังคาร(12)ที่ผ่านมาว่า ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ทราบว่ามีการตรวจพบบัญชีธนาคารอีก 15 บัญชี เป็นชื่อของนางอรนุช สันตยากร อดีตภรรยาของพระปราโมทย์ ปาโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยมีเงินหมุนเวียนราว 30 ล้านบาท พร้อมพันธบัตรมูลค่าอีกกว่า 10 ล้านบาท
สวนสันติธรรมได้ออกประกาศลงวันที่ 15 ต.ค. ชี้แจงว่า ข้อเท็จจริงคือมีผู้ร้องเรียนต่อดีเอสไอรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเรื่องบัญชีของสวนสันติธรรมและการถือครองที่ดิน แต่ไม่มีเรื่องบัญชีส่วนตัว ทางสวนฯก็ได้ส่งมอบเอกสารหลักฐานให้ทั้งหมด ต่อมาเมื่อมีการร้องเรียนในเรื่องบัญชีส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระกัน สวนสันติธรรมก็ให้ความร่วมมือส่งมอบข้อมูลแก่เจ้าพนักงานไปด้วยความยินดี ไม่ใช่เรื่องดีเอสไอมาตรวจพบบัญชีที่ปกปิดไว้แต่อย่างใด
สำหรับ ข้อกล่าวหาที่ว่าพระปราโมทย์ ยักยอกปัจจัยบูชาธรรมจากสวนสันติธรรมนั้น ประกาศชี้แจงระบุว่า พระปราโมทย์ได้เคยกล่าวต่ออดีตกรรมการสวนฯและสาธุชนที่เข้าไปฟังธรรมอยู่ เสมอว่า มีปัจจัยที่ญาติโยมถวายเป็นส่วนตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปใช้เพื่อทำประโยชน์ทางศาสนาในอนาคต โดยในขณะที่ยังไม่มีแนวความคิดที่จะตั้งสวนสันติธรรมเป็นวัดนั้น ได้คิดที่นำมาใช้สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม หรือใช้สร้างเจดีย์และพิพิธภัณฑ์ในสวนสันติธรรม ครั้นเมื่อมีแนวความคิดจะตั้งวัดแล้วตั้งแต่มกราคม 2553 ก็คิดจะนำมาใช้สร้างอุโบสถและเจดีย์ แต่แล้วกลับมีการบิดเบือนว่า พระปราโมทย์เก็บปัจจัยไว้เพื่อจะลาสิกขาออกไปครองเรือนในอนาคต
ประกาศ ชี้แจงของสวนสันติธรรม ยังปฏิเสธเรื่องมีบัญชีส่วนตัว 15 บัญชี โดยบอกว่ามีเพียง 4 บัญชี เป็นชื่อของนางอรนุช 3 บัญชี และชื่อของพระปราโมทย์ 1 บัญชี โดยบัญชีแรก จำนวนเงินประมาณ 4 แสนบาท เก็บไว้ใช้เป็นเงินรายจ่ายฉุกเฉินของพระปราโมทย์ หรือสวนสันติธรรม แต่หากยังไม่มีการใช้จ่ายในช่วงนั้น ก็จะตัดเงินไปเข้าเงินฝากประจำ บัญชีที่ 2 ประมาณ 3.6 แสนบาท ใช้ชื่อพระปราโมทย์ เพื่อรับเงินบริจาคในรูปของเช็คขีดคร่อม ซึ่งสั่งจ่ายในนามของพระปราโมทย์ โดยตรง บัญชีที่ 3 เป็นเงินฝากประจำ 3 เดือน ประมาณ 5.5 ล้านบาท และบัญชีฝากประจำ 12 เดือน ประมาณ 2 แสนบาท นอกจากนี้ยังมีสลากออมสินจำนวน 9 ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 17 ล้านบาท เพื่อกระจายความเสี่ยงของเงินฝากที่ต้องดูแลรักษาเพื่อใช้ทำประโยชน์เของพระ ศาสนาในอนาคต ทั้งนี้สวนสันติธรรมยืนยันว่า ปัจจัยทั้งของสวนฯและของพระปราโมทย์ มีที่มาและแยกกันชัดเจนระหว่างเงินบริจาคของสวนฯและของพระปราโมทย์ แต่กรณีนี้ก็มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง ว่าเงินดังกล่าวเป็นของวัดไม่ใช่เป็นของพระ
ในประกาศชี้แจงระบุด้วย ว่า นอกจากปัจจัยของพระปราโมทย์แล้ว นางอรนุชยังมีเงินเก็บส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่ง เพราะสมัยที่ยังเป็นฆราวาส ทั้งนายปราโมทย์และนางอรนุช สันตยากร ต่างก็ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหารขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เฉพาะนายปราโมทย์เองก็มีรายได้ในระดับอธิบดีของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ไม่ได้อดอยากยากแค้นดังที่มีผู้พยายามกล่าวหา
ขณะเดียวกัน ประกาศชี้แจงเผยว่า ทรัพย์สินทั้งหมดของสวนสันติธรรมยังมีที่ดินเนื้อที่ 20 ไร่เศษอีกแปลงหนึ่งที่หน้าสวนสันติธรรม ซึ่งได้แจ้งเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดชลบุรีไว้แล้วว่า เมื่อได้รับอนุมัติการตั้งวัด นางอรนุชก็จะยกที่ดินดังกล่าวให้วัดด้วย แต่ ที่ยังไม่ได้ทำสัญญายกที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายอำเภอศรีราชา พร้อมที่ดินแปลงหลักของสวนฯ เนื่องจากเป็นที่ดินซึ่งมีชื่อร่วมของหลายเจ้าของ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ น.ส.ฐิตินาถ และยังไม่สามารถแบ่งแยกเอกสารสิทธิ์ได้
นอกจาก นั้น ประกาศชี้แจงบอกว่า พระปราโมทย์ยังเตรียมดำเนินการจดทะเบียนหย่ากับนางอรนุช เพื่อลดความกังขาและนำไปเป็นประเด็นบิดเบือน ถึงแม้ในทางพระธรรมวินัยและทางกฎหมาย ไม่ได้กำหนดว่าฝ่ายชายจะต้องหย่าขาดจากภรรยาก่อนบวช และพระภิกษุจำนวนมากที่มีครอบครัวก่อนอุปสมบท ก็ไม่ได้หย่าขาดตามกฎหมายจากภรรยาเช่นกัน แต่เป็นการหย่าขาดตามจารีตประเพณี
ประกาศ ชี้แจงกล่าวในตอนท้ายว่า ตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา พระปราโมทย์ถูกใส่ร้ายโจมตีตลอดเวลา ด้วยเรื่องที่ขาดเหตุผลทั้งด้านข้อเท็จจริง พระธรรมวินัย และกฎหมาย และเรื่องใดที่ข้อเท็จจริงปรากฏออกมาแล้ว ก็จะพบว่าเป็นการสร้างเรื่องใส่ร้ายทั้งสิ้น การที่พระปราโมทย์สงบนิ่ง ทั้งที่มีนักกฎหมายแนะนำว่าสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ และทนรับการดูหมิ่นเหยียดหยามจากสังคมมาโดยตลอดนั้น ไม่ใช่เพราะไม่สามารถอธิบายความจริงได้ แต่เป็นเพราะไม่ต้องการสร้างความร้าวฉานในวงการของชาวพุทธ และไม่อยากเปิดเผยเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวโจมตีพระปราโมทย์อย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม สิ่งที่พระปราโมทย์กระทำให้กับบุคคลเหล่านี้ ก็คือการให้อโหสิกรรมกับทุกคนเท่านั้น
***ข่าวที่เกี่ยวข้อง***
1. ประกาศสวนสันติธรรมเรื่องบัญชีเงินฝากของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช