WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, July 26, 2010

ธรรมะกับการเมือง

ที่มา โลกวันนี้


บทบรรณาธิการ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2848 ประจำวัน จันทร์ ที่ 26 กรกฏาคม 2010
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน


สถานการณ์บ้านเมืองในวันอาสาฬหบูชาปี 2553 กับปี 2519 แม้ระยะเวลาจะผ่านมาถึง 34 ปี แต่บรรยากาศทางการเมืองไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพราะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” กับ “6 ตุลา” ประชาชนและนักศึกษาถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม

ท่านพุทธทาสภิกขุได้บรรยายธรรมในหัวข้อ “ธรรมะกับการเมือง” ที่สวนโมกขพลาราม ซึ่งเป็นการบรรยายทุกวันเสาร์และตรงกับช่วงวันอาสาฬหบูชาวันที่ 3 กรกฎาคม ถึง 25 กันยายน 2519 รวม 11 ครั้ง โดยเน้นว่าการเมืองเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะประชาชนทุกคนเป็นนักการเมือง และทุกคนเป็นนักการเมืองโดยความรู้สึก ดังนั้น การเมืองจึงไม่อาจแยกจากธรรมะ ไม่อาจแยกจากศีลธรรม

“ธรรมกับการเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไรการเมืองก็กลายเป็นการทำลายโลกขึ้นมาทันที”

ท่านพุทธทาสภิกขุยังใช้คำว่า “อิสรภาพในการใช้สติปัญญาแก้ปัญหา” หรือ “อิสรภาพในการตัดสินใจ” ไม่ใช่ปล่อยให้เกิด “ภาวะจำเป็นต้องทิ้งธรรมะ” ที่เป็น “การตกอยู่ในห้วงของความกลัว”

“นักปราชญ์การเมืองแต่โบราณขอร้องให้ทุกคนเป็นสัตว์การเมือง (Political animal) คือมีหน้าที่สนใจการเมือง ร่วมกันจัดสังคมให้อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่คนสมัยนี้ทำได้มากเกินไป ขนาดที่เรียกว่าการเมืองขึ้นสมอง แล้วใช้การเมืองนั้นเองเป็นเครื่องมือกอบโกยหรือฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ดังนั้น แทนที่การเมืองจะตั้งอยู่ในฐานะเป็นเรื่องศีลธรรม ก็กลายเป็นเรื่องอุปัทวะจัญไรในโลกไปเสีย”

ท่านพุทธทาสภิกขุจึงเห็นว่า โดยปรัชญาทางศีลธรรมแล้วการเมืองก็คือหน้าที่ของมนุษย์ ที่จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกโดยไม่ต้องใช้อาชญา ถ้าไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรม การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรกสำหรับหลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวง

“มีแต่สัตว์การเมืองที่เป็นสัตว์เอาเสียจริงๆ กล่าวคือบูชาเรื่องกิน-กาม-เกียรติแทนสันติสุข”

การเมืองที่แท้จริงจึงต้องตั้งอยู่บนรากฐานทางศาสนาทุกศาสนา เพราะ “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”

นักการเมืองที่มีธรรมสัจจะย่อมเป็นนักการเมืองของพระเจ้า ซึ่งการเคลื่อนไหวทุกกระเบียดนิ้วจะมีแต่บุญกุศล จนกระทั่งกลายเป็นปูชนียบุคคลไป

ไม่ใช่ถูกประณามว่าเป็นทรราชหรือเผด็จการ “มือเปื้อนเลือด”