สำนักข่าวอิสรภาพ
ข่าวลับเฉพาะเพื่อประชาชน
วันศุกร์ ที่ 7 ธันวาคม 2550
การดิ้นรนครั้งสุดท้ายของระบอบ 'อมาตยาธิปไตย'
Posted by กรมหมื่นข่าว
โดย คุณเรืองยศ จันทรคีรี
ที่มา นสพ.โลกวันนี้
6 ธันวาคม 2550
เข้าใจกันว่าเบื้องหลังการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ได้ถูกปอกเปลือกออกมาเรื่อย ๆ ประชาชนรับรู้ข้อเท็จจริงสูงกว่าการคาดหมาย รู้ความจริงของคณะบุคคลที่เข้าร่วมก่อการครั้งนั้น
ข้ออ้าง 4 ประการ ทั้งกรณีก่อให้เกิดความแตกสามัคคีของคนในชาติ การแทรกแซงองค์กรอิสระ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 3 ข้อนี้ถูกตีตกเวทีไปเรียบร้อยหมดสิ้น เหลือข้อสุดท้ายในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน คอร์รัปชันโกงกิน ก็ดูท่าทางว่าชักลำบากที่จะพิสูจน์ความผิดตามกระบวนการยุติธรรม ล้วนแต่มีแนวโน้มเป็นสมมุติฐานกล่าวหาเท่านั้น คือตั้งข้อกล่าวหาเอาไว้ก่อน จากนั้นออกข่าวโจมตีไปทางสื่อต่าง ๆ แม้กระทั่งสร้างสื่อของตัวเองขึ้นมารับใช้ภารกิจ ...
เพราะการก้มหน้า กระทำหน้าที่เกินความเป็นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ แต่ลึกถลำเข้าสู่สภาพการเป็นเครื่องมือกำจัด และกวาดล้างอำนาจเก่าเท่านั้นเอง สภาพความเป็นกลาง และวุฒิภาวะของกระบวนการยุติธรรมที่แทบไม่มีอยู่ มันย้อนศรเปลี่ยนมาเป็นเรื่องลดและทำลายความน่าเชื่อถือของ คตส. เสียเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ คตส.คงไม่เคยคาดถึงมาก่อน!
โดยภาพรวม ๆ ของ คตส.ที่ถูกมองเบี่ยงเบนไป ทำให้ประชาชนชักจะแยกแยะไม่ออกว่า อะไรบ้างเป็นของจริง? หรือ อะไรบ้างที่เป็นเรื่องกล่าวหาลอย ๆ ปราศจากหลักฐาน? พอนาน ๆ ไปก็กลายเป็นความเคยชิน โดยเฉพาะภาพของ คตส.แทบกลายเป็นทัพหน้าของ คมช.ตามความรู้สึกของสาธารณชนในอีกด้านหนึ่ง
ภาพพจน์เช่นนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เป็นผลผลิตสะท้อนมาจากความไม่เข้าใจในกระบวนการใช้อำนาจ เพราะอารมณ์ความรู้สึกเชิงอัตวิสัยที่เห็นอำนาจเป็นธรรม เป็นความถูกต้อง
สภาวะเช่นนี้ได้เป็นธรรมชาติของการกัดกร่อนทำลายตัวเอง คล้าย ๆ การฝังความรู้สึกแบบเด็กเลี้ยงแกะให้เกิดขึ้น จนกระทั่งอาจตะโกนบอกความจริงก็ไม่มีใครเชื่อถือแม้แต่น้อย!
ถ้าเรื่องราวสิ้นสุดเพียงนิทานเด็กเลี้ยงแกะ คงนับว่าดีไม่น้อย แต่การขยายความรู้สึกของสาธารณชนได้ถูกแรงเหวี่ยงผลักไปข้างหน้า จนเกิดความเชื่อเป็นนิทานเรื่องใหม่คือ “หมาป่ากับลูกแกะ” ผสมกับเรื่องราวของศรีธนญชัย หรือเซียงเมี่ยงตามภาษาอีสาน
ภาพพจน์เช่นนี้ กลายเป็นสิ่งหลอกหลอนประชาชน ลอยวนเหนือองค์กรและข้อมูลข่าวสาร ที่ปลิ้นหลุดมาจาก คตส. อยู่เป็นนิจศีล กระทั่งสรุปลงท้ายภาพของ คตส.ก็ถูกเนรมิตไปโดยอัตโนมัติ ให้ถูกมองไปเหมือนองค์กรอัลคาโปนหลุดโลก แล้วยิ่งพยายามจี้ข่าวสารออกมาในช่วงใกล้เลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 มันจึงช่วยอะไรได้ยากที่ คตส.ต้องถูกมองว่า เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักที่คอยกระทำหน้าที่เรียงหน้าดิสเครดิต สกัดคะแนนนิยมของพรรคพลังประชาชน?
แผลจาก คตส.นี้ ยังขยายฉีกออกไปกว้างคล้ายผิวเปลือกโลกใต้ทะเลเกาะสุมาตรา มันกระทบไปเป็นส่วนเดียวกับ คมช. และองคาพยพทุก ๆ เครือข่ายเท่าที่มีอยู่มาก่อนหน้า หรือจัดตั้งขึ้นมาใหม่ในภายหลัง ปรากฏการณ์ทั้งหมดทั้งสิ้นได้ถูกสาธารณชนสรุปออกมาว่า “คมช.และเครือข่ายทุกองคาพยพนั้นเอง กลายเป็นต้นตอแห่งความแตกแยกขัดแย้งในสังคมไทย”
ฉะนั้นข้ออ้างและอรรถาธิบายใด ๆ ที่พลเอกสมเจตน์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ คมช. ได้ทำหนังสือชี้แจงไปหา กกต. ชี้ให้เห็นเหตุผลว่า “คมช.มีภารกิจที่สืบเนื่องมาจากการปฏิรูปการปกครองเพื่อให้เกิดความมั่นคง” เอกสารลับ คมช.คือผลผลิตสืบเนื่องจากต้นตอนี้ มันจึงเป็นเพียงข้ออ้าง หรือการแก้ต่าง ที่ฟังแล้วชอบกล?
การชี้แจงและแก้ต่างที่ฟังไม่ขึ้นของ คมช. จากทรรศนะและมุมมองของผมเองนั้น เห็นว่ามันยังสัมพันธ์กับพื้นฐานใหม่ทางการรับรู้ในกลุ่มประชาชน ซึ่งถูกยกระดับพัฒนาขึ้นสู่อีกคุณภาพ และเนื้อหาที่ไม่เหมือนเมื่อ 15 เดือนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง!!
สภาวะความจริงที่เคลื่อนไหวมาถึงจุดนี้เป็นสิ่งที่ฝ่าย “อำนาจใหม่” หลงเหลิง และไม่ได้ประเมินสำรวจตรวจสอบนับจากการขึ้นเถลิงอำนาจของฝ่ายตนเอง ... เพราะการรับรู้ของสาธารณชนในขณะนี้ ไม่มีความเชื่อนิยามการแก้ไขปัญหาความมั่นคงแห่งรัฐที่ คมช.เคยหยิบยก เป็นเหตุผลให้ตัวเองมีความชอบธรรมต่อการยึดอำนาจรัฐครั้งที่ผ่านมา สาธารณชนล่วงรู้ว่าเหตุผล 4 ข้อที่ได้แถลงออกมานั้น เป็นเพียงเหตุผลอำพราง อำพรางความขัดแย้งที่แท้จริง ซึ่งเป็นขั้วเกลียวระหว่างอำนาจอาญาสิทธิ์ของมหาอมาตย์ ที่อ้างอิงวาทกรรมอุดมการณ์พระมหากษัตริย์ กับขั้วของอำนาจอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับอำนาจอมาตยาธิปไตยที่มีข้อกังขาเรื่องความจงรักภักดี?
พูดง่าย ๆ อีกความก็คือ ประชาชนทั้งในเมืองลึกลงไปจนสู่รากหญ้า เริ่มจับกระแสของความจริงที่อยู่เบื้องหลังได้ กระแสนี้ต่างหากที่ฝ่าย คมช.และเครือข่ายอำนาจใหม่ ไม่เข้าใจว่ามันเป็นพลังพื้นฐานที่สั่นคลอนตัวเอง
ประชาชนเริ่มจับโกหกของวาทกรรมต่างๆได้ แม้กระทั่งการมองไปเห็นว่า กลุ่มก้อนที่ชอบย้ำและโฆษณาสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตัวเอง อ้างอิงอุดมการณ์ความจงรักภักดี อ้างอิงพระราชอำนาจ ... แต่แท้จริงนั้นมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่? มีความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงต่อเบื้องสูงหรือไม่?
ภาวะวิสัยที่เปลี่ยนแปลงในกลุ่มประชาชนส่วนใหญ่ ได้กำหนดการรับรู้ทางข้อมูลใหม่ มันสร้างทัศนคติให้เจตนารมณ์แห่งการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ถูกตั้งคำถามพลิกกลับด้าน แล้ว
เจตนารมณ์ดั้งเดิมที่ถูกแถลงออกมาของ คมช. ก็กลายเป็นเรื่องท้าทายความเป็นจริง กับความถูกต้องทั้งมวลที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมการรัฐประหาร!
เมื่อสังคมได้ปรับเปลี่ยนสภาวะแห่งการรับรู้ใหม่ อำนาจของ คมช. ที่กล่าวกันว่า มีความจำเป็นจะต้องใช้อำนาจในการป้องปรามมิให้มีการทำลายความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศ ...
อำนาจตรงนั้นจึงถูกตรวจสอบโดยสามัญสำนึกของสาธารณะ ดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ แบบปากต่อปาก แต่ทรงพลัง และมีผลอย่างรวดเร็วเหลือเกิน? ปรากฏการณ์นี้เองที่ คมช.ไม่เข้าใจ พิศวงงงงวย
จนลงท้ายพลเอกสมเจตน์ บุญถนอม ในฐานะผู้ขันอาสา ได้ออกมาตีโพยตีพายว่า พรรคการเมืองจะรังแก คมช. จะยกเลิก คตส. เมื่อมีโอกาสเข้ามาเป็นรัฐบาล ... แล้วเข้ามาเช็กบิล คิดบัญชีสิ่งต่าง ๆ ล้างแค้น คมช. ซึ่งจะสร้างให้เกิดความแตกสามัคคีของคนในชาติ แม้จะเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว แต่บ้านเมืองก็ยังไม่สงบ!
ภายใต้สภาวการณ์ปัจจุบัน เข้าใจได้ว่าจะเป็นการดิ้นรนครั้งใหญ่ และเป็นครั้งสุดท้ายของเครือข่ายอำนาจใหม่ที่เป็นระบอบอมาตยาธิปไตย เราคงเห็นปฏิกิริยากันได้ทั่วไป!
ถือเป็นรายการดิ้นของฝูงนกในแร้ว ดิ้นเรื่อยๆจนกว่าจะขาดใจตายทั้งฝูง!
จาก http://www.ptv.co.th/