ที่มา uddred
กรุงเทพธุรกิจ 4 มิถุนายน 2555 >>>
คณะนิติราษฎร์ ออกแถลงการณ์ยันข้อเสนอแก้ ม.112 ของนิติราษฎร์ชอบด้วย รธน.
ค้านร่าง พรบ.ปรองดอง ที่ยกโทษทุกฝ่ายให้พ้นผิด เหมือนกรณี 4-9 ต.ค. 2519
คณะ
นิติราษฎร์ ออกแถลงการณ์ยันข้อเสนอแก้ ม.112 ของนิติราษฎร์ชอบด้วย รธน.
พร้อมค้านร่าง พรบ.ปรองดอง ที่ยกโทษทุกฝ่ายให้พ้นผิด เหมือนกรณี 4-9 ต.ค.
19 ระบุหากจะออก กม. นิรโทษต้องแยกความผิดของผู้กระทำ ห้ามเหมาเข่ง
โดยเฉพาะคนสั่งการและ จนท. สลายการชุมนุม ส่วน ปชช. ต้องให้ออก กม
.นิรโทษกรรมในทันที เตรียมจัดงานสัมมนารณรงค์ทางวิชาการในเดือนนี้
หลัง
จากที่คณะนิติราษฎร์ได้เสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เสนอแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ซึ่งต่อมาคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112
(ครก.112)ได้ดำเนินการรวบรวมรายชื่ออย่างน้อย 10,0000
รายชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา
กำหนดระยะเวลารณรงค์ 112 วัน และการรณรงค์ดังกล่าวจะครบกำหนดในวันที่ 5
พฤษภาคม ที่จะถึงนี้
มีผู้สอบถามมายังคณะนิติราษฎร์เกี่ยวกับกิจกรรมทางวิชาการและการเคลื่อนไหว
ทางความคิดที่จะดำเนินต่อไปในโอกาสครบรอบ 80 ปีของการอภิวัฒน์สยาม 2475
ตลอดจนแนวทางทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
คณะนิติราษฎร์เห็นสมควรที่จะได้แสดงจุดยืนและทัศนะต่อประเด็นปัญหาต่างๆ
ไว้โดยสังเขป ดังนี้
1. คณะนิติราษฎร์ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
112 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
เนื่องจากอัตราโทษที่กำหนดไว้ในปัจจุบันสูงเกินสมควรกว่าเหตุ
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆอีกหลายประการ
ดังที่ได้เคยแสดงให้เห็นไว้แล้วในประกาศนิติราษฎร์ฉบับที่ 16 (วันที่ 13
มีนาคม 2554) และในข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้หลายประการ
และจะบรรเทาปัญหาบางประการลง คณะนิติราษฎร์จึงยืนยันสนับสนุนกิจกรรมของ
ครก.112
ในการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 112 ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา
และให้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
2.
คณะนิติราษฎร์ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงต่อแนวทางการปรองดอง
หรือสมานฉันท์โดยวิธีการตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทุกฝ่ายดังเช่นการ
ตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมใน
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พ.ศ. 2521
(นิรโทษกรรมในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19)
หรือการตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกัน
ระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
(นิรโทษกรรมในเหตุการณ์พฤษภา 35)
เนื่องจากการนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวแม้จะทำให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม
พ้นจากความผิดและความรับผิด
แต่ก็จะมีผลให้บรรดาผู้ที่สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิด
ไปพร้อมกันด้วย
การนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อผู้ที่สูญเสียใน
เหตุการณ์สลายการชุมนุมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวัน
ที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
3.
คณะนิติราษฎร์เห็นว่าแนวทางการตรากฎหมายเพื่อการขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ในสังคมอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ภายหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่
19 กันยายน 2549
ควรจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบรรดาบุคคลที่เกี่ยวข้อง
และจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลัก คือ
ประการที่หนึ่ง
ต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง
ในเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วัน
ที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา การกระทำของบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐ
หรือบุคคลที่ถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็น
ผู้สั่งการ หรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใดๆ
หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น
บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมายและต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ประการ
ที่สอง
ให้มีการนิรโทษกรรมทันทีแก่ประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานฝ่าฝืน
บรรดากฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงที่ได้รับ
การประกาศใช้ในเหตุการณ์การเดินขบวนและการชุมนุมประท้วงทางการเมืองใน
พื้นที่ต่างๆตามที่จะได้กำหนดไว้ในประกาศที่ออกตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งและบรรดาการกระทำต่างๆของผู้เข้าร่วม
เดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆข้างต้น
หากเป็นความผิดลหุโทษ
หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญใน
หมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง
ก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
ประการที่สาม
บรรดาการกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการ
เมืองที่ไม่เข้าข่ายที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เช่น
การกระทำที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นและไม่ใช่ความผิด
ลหุโทษหรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐ
ธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง
ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุม
ประท้วงทางการเมือง
แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการ
เมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งซึ่งได้รับการจัดตั้ง
ขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง
ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง
จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้
ในกรณีที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล
ไม่ว่าจะเป็นศาลในลำดับชั้นใด ให้ศาลระงับการดำเนินกระบวนพิจารณา
และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาไปก่อน
ในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าการกระทำนั้นตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐ
ธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่
ให้คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นผู้วินิจฉัย
คำวินิจฉัยว่าการกระทำใดอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวด
ที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้มีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร
และไม่อาจเป็นวัตถุในการพิจารณาขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใดได้
ประการ
ที่สี่
ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่ตกอยู่ภายใต้
บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง
หรือวินิจฉัยว่าการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมต่างๆ
ตลอดจนการกระทำที่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความ
ขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
เป็นต้นมา ไม่เกี่ยวข้องกับมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมือง
ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อ
ไป
ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากมูล
เหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมืองหลังเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจรัฐ 19 กันยายน
2549
ก็ให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็น
ภาคีสมาชิก
ประการที่ห้า
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่คณะนิติราษฎร์เสนอไว้เบื้องต้นโดย
สังเขปนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง
เป็นอีกหมวดหนึ่ง
โดยนอกจากบทบัญญัติในหมวดนี้จะกล่าวถึงคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง
และกฎเกณฑ์ต่างๆตามแนวทางที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว
ยังต้องกล่าวถึงการเยียวยาความเสียหายต่างๆด้วย
การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้สามารถทำได้โดยไม่เกี่ยว
ข้องกับการดำเนินการจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสามารถกระทำได้ทันที
4.
สำหรับกรณีของการลบล้างผลพวงรัฐประหารนั้น
คณะนิติราษฎร์เสนอให้บัญญัติเป็นหมวดอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะได้
จัดทำขึ้นใหม่ตามที่ได้เคยแถลงต่อสาธารณะไปแล้ว
โดยคณะนิติราษฎร์ยืนยันหลักการของการประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหาร
หรือการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ
เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหารหรือแย่งชิงอำนาจรัฐ
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการเอง ผู้ใช้
ตลอดจนผู้สนับสนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
สำหรับบรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการ
กระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะผู้แย่งชิงอำนาจรัฐนั้น ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป
ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม
แต่ให้เริ่มกระบวนการใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมต่อไป
คณะนิติราษฎร์
ขอเรียนให้ผู้ที่ติดตามกิจกรรมทางวิชาการของคณะนิติราษฎร์ทราบว่าในเดือน
มิถุนายนที่จะถึงนี้
คณะนิติราษฎร์จะได้จัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวง
รัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย
และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ
นอกจากนี้เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐ
ดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น
คณะนิติราษฎร์จะได้จัดให้มีการเผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป
รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป