WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, June 5, 2012

วรพล พรหมิกบุตร:การถ่วงดุลอำนาจศาลรัฐธรรมนูญด้วยหลักนิติธรรมและสันติวิธีของประชาชน

ที่มา Thai E-News





โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วรพล พรหมิกบุตร
นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธิ
อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษวิทยามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
                   การยื่นคำร้องของนักการเมืองฝ่ายค้านให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับการลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ร่วมกันประชุมพิจารณารับเป็นคดีแล้วมี หนังสือคำสั่งให้ประธานรัฐสภารอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไปในเดือน กรกฎาคมนั้น  เป็นข้อเท็จจริงปรากฏที่ทำให้เกิดการโต้แย้งวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้น  และยังอาจเป็นชนวนสาเหตุสำคัญข้อหนึ่งให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายส่งแรงกระทบ ต่อเสถียรภาพความมั่นคงทางการเมืองของไทยในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีนาง สาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี

                   เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ความรู้และการทำงานทางวิชาการเข้าช่วย ป้องกันการลุกลามบานปลายของชนวนความขัดแย้งรุนแรงอันจะกระทบความมั่นคงดัง กล่าว  ผู้เขียนได้พิจารณาเหตุการณ์  บริบททางสังคมการเมือง  และข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประชุมและคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ข้างต้นรวมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว มีข้อสรุปดังนี้ ;

1.      นักการ เมืองฝ่ายค้านมีสิทธิตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 68 ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งระงับการกระทำที่อาจก่อให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือการกระทำที่เป็นการมุ่งให้ได้มาซึ่ง อำนาจโดยมิใช่วิธีการตามรัฐธรรมนูญ  แต่ผู้ยื่นคำร้องต้องรับผิดชอบการกระทำของตนต่อไปหากพิสูจน์ได้ในที่สุดว่า ไม่มีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและผู้ร้องควรรู้โดยข้อเท็จจริงมาแต่ต้น  แต่กลับจงใจเจตนาใส่ร้ายหรือทำให้เกิดการกระทบต่อความมั่นคงภายในราช อาณาจักร

2.      ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตราเดียวกัน (มาตรา 68) ในการรับคำร้องข้างต้นไว้เพื่อพิจารณาต่อไปภายในขอบเขตของกฎหมาย  ซึ่งมีระเบียบปฏิบัติให้ผู้ยื่นคำร้องไปยื่นคำร้องต่อสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ

3.      คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะนั่งบัลลังก์ประชุมพิจารณาและมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้เกี่ยวข้อง (โดยเฉพาะผู้ถูกกล่าวหา) ก่อนที่จะมี การตรวจสอบข้อเท็จจริง จากอัยการสูงสุด แจ้งมาให้ทราบเพื่อประกอบการประชุมพิจารณาว่าจะรับให้เป็นคดีในศาลรัฐ ธรรมนูญหรือไม่  ทั้งนี้เป็นไปตาม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตราเดียวกัน (มาตรา 68) ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่าให้ผู้ยื่นคำร้องต่อ อัยการสูงสุดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาเรื่องที่ร้องเรียน  เจตนารมณ์ทางกฎหมายของมาตราดังกล่าวปรากฏชัดเจนว่าในกรณีที่มีผู้ร้องเรียน ตามมาตรา 68 นี้ รัฐธรรมนูญมิได้ให้อำนาจสิทธิขาดเป็นเอกเทศแก่ศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณา วินิจฉัยทางคดีได้โดยปราศจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุด

4.      ข้อ เท็จจริงที่ปรากฏว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเข้าร่วมนั่งบัลลังก์ประชุม พิจารณาแล้วมีคำสั่งทางราชการเกี่ยวข้องกับกรณีร้องเรียนดังกล่าวจึงเป็นข้อ เท็จจริงที่แสดงว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดดังกล่าวใช้อำนาจเหนือกว่าบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ที่ระบุขอบเขตการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีเช่นนี้ไว้ชัดเจนว่าเป็น อำนาจที่สามารถใช้ได้เมื่อมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุดประกอบ ด้วย [1]

5.      เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวข้องประกอบกันทำให้เกิดภาวะทางกฎหมายเพิ่มเติม  กล่าวคือ  ประชาชนทั้งประเทศที่เป็นผู้เสียหายทางอ้อมสามารถใช้สิทธิของตนแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) ให้ใช้อำนาจหน้าที่ของตนตามกระบวนการยุติธรรมในการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดดังกล่าว ซึ่งกระทำการอุกอาจโดยใช้อำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญ  และฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ  อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ [2]
ภาคผนวก
                  
เพื่อการรักษาสิทธิของตนเองและการมีส่วนร่วมในการขจัดหรือลดปัญหาการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมอันก่อให้เกิดภาวะ ความยุติธรรมสองมาตรฐาน เป็นภัยทางการเมืองที่มีความร้ายแรงบั่นทอนชีวิต  ขวัญกำลังใจ และจิตใจของประชาชนผู้ด้อยโอกาสจำนวนมากในประเทศมาเป็นเวลายาวนาน  ผู้เขียนได้เดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เพื่อให้ดำเนินคดีอาญาต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดดังกล่าว โดยมีข้อความในการแจ้งความร้องทุก๘กล่าวโทษ  ดังนี้ ;
                        ข้าฯ มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับประธานตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญกับพวก ซึ่งได้ร่วมกันประชุมพิจารณาเรื่องคำร้องขอให้ระงับการประชุมรัฐสภาที่จะลง มติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 แล้วมีคำสั่งให้ประธานรัฐสภารอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป  ข้าฯเห็นว่าการประชุมศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวอาจเป็นการละเมิดบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 68 ที่ระบุว่า ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยอัยการสูงสุดด้วย  แต่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจประชุมพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยไม่รอการตรวจสอบของ อัยการสูงสุด  ซึ่งข้าฯเห็นว่าการกระทำของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นการปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


[1] หากจะกล่าวอย่างถึงที่สุดว่า   แม้แต่พระมหากษัตริย์ในการเมืองไทยปัจจุบันยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ  โดยทรงมีพระราชอำนาจอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายและรัฐธรรมนูญเท่านั้น  พสกนิกรไทยอาจกล่าวต่อไปได้ว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนั้นวางสถานะของตนเองสูงสุดบนบัลลังก์อย่างไร
[2] ดูตัวอย่างข้อความสำหรับการแจ้งความร้องทุกข์ในภาคผนวกท้ายบทความ

วันที่  5  มิถุนายน  พ.ศ.  2555