ที่มา Thai E-News
โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
จาก “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2555
การปิดสมัยประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 คือความพ่ายแพ้ของแกนนำพรรคเพื่อไทย เบื้องหน้าการข่มขู่ของพวกเผด็จการผ่านองค์กรตุลากร
พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มมวลชนนอกสภา
การไม่สามารถระดมจำนวนคะแนนเสียงในรัฐสภาให้มากพอที่จะผลักดันญัตติไม่ยอมรับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ
เป็นความรับผิดชอบของแกนนำพรรคเพื่อไทยโดยตรง
การ
“ชะลอ” วาระสามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไป แม้จะมีความพยายามแก้ตัวว่า
เป็นการถอยเพื่อรุกบ้าง ลับ ลวง พรางบ้าง หลีกเลี่ยงความรุนแรงและการนองเลือดบ้าง แต่ความเป็นจริงก็คือ
แกนนำพรรคเพื่อไทยได้ยอมจำนนกับการคุกคามของเผด็จการ โดยหวังว่า จะได้รับ
“ความเมตตา” ให้เป็นรัฐบาลต่อไปเรื่อย ๆ
ข้อแก้ตัวที่
“แย่” ที่สุดคือ อ้างว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างเงื่อนไขรัฐประหาร
และนี่เป็นข้ออ้างเพียงข้อเดียวที่ยกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปิดปากผู้คนที่วิจารณ์ยุทธศาสตร์
“ปรองดอง” ของพรรคเพื่อไทย ทาสีให้ผู้วิจารณ์กลายเป็นพวก “ฮาร์ดคอร์” “แดงเทียม”
หรือ “แดงเสี้ยม” ไปทุกครั้ง
ยุทธศาสตร์แต่เพียงประการเดียวของแกนนำพรรคเพื่อไทยคือ
อยู่เป็นรัฐบาลให้นานที่สุดไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไร
แม้จะต้องแลกด้วยการยกเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมดก็ตาม
ทั้งที่ประการหลังนี้ คือภารกิจสำคัญที่สุดของพรรคเพื่อไทยที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้ฝากความหวังไว้
แกนนำพรรคเพื่อไทยย่อมรู้ดีว่า
กระบวนการโค่นล้มรัฐบาลได้เริ่มขึ้นอีกแล้ว
เหมือนที่ได้เผชิญมาแล้วสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
แต่พวกเขาก็ไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนสองครั้งแรก ยังคงหลอกตัวเอง ฝันหวานไปว่า
การยอมถอยในทุกแนวรบและยอมสยบต่อการคุกคาม หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในทุกกรณี
เป็นหนทางเดียวที่จะต่อสู้รับมือและ “ยืดอายุ” รัฐบาลออกไปได้เรื่อย ๆ
จนครบวาระสี่ปี เพื่อหวังไปชนะเลือกตั้งอีกรอบ
แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนอ้างว่า
ถึงแม้จะผ่านวาระสามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้ไปได้ ก็จะต้องเผชิญกับ
“ด่านแห่งความตาย” ในขั้นตอนต่อไปอยู่ดี ฉะนั้น ควรรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน
ตราบใดที่วาระสามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงค้างอยู่ รัฐบาลก็ยังมีเวลาอีกหลายปี จะยกขึ้นมาพิจารณาเมื่อไรก็ได้
แกนนำพรรคเพื่อไทยทำเป็นนอนหลับไม่รู้
นอนคู้ไม่เห็นว่า ถึงพวกท่านจะหลีกเลี่ยง “ด่านแห่งความตาย” ด้วยการไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญวาระสามในวันนี้
แต่ฝ่ายเผด็จการก็ยังมีด่านอื่น ๆ รอท่านอยู่ในทันที พวกท่านยังมองไม่เห็นอีกหรือว่า
ในขณะนี้ ใบมีดบั่นคอของตุลาการได้ง้างขึ้นจนสุดในเบื้องหน้าแล้ว
และรัฐบาลอาจจะอยู่รอดได้อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนี้!
ความ
เป็นจริงก็คือ
ไม่ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะประจบเอาใจและถอยให้กับฝ่ายเผด็จการสักเท่าใด
ในที่สุด การโค่นล้มรัฐบาลในขั้นสุดท้ายก็จะมาถึงอย่างแน่นอน
และจะมาถึงในเวลาอันรวดเร็วจนตั้งรับไม่ทันอีกด้วย
ทั้งด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเดือนกรกฎาคมนี้
และขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่น
ๆ ที่กำลังตามมาอย่างเป็นขบวน ทั้งที่มุ่ง “บั่นคอ”
รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ไปจนถึงบรรดาสส.ในสภา
จบลงด้วยการแทรกแซงของฝ่ายทหาร
ดังที่เกิดมาแล้วสองครั้ง การยอมจำนนไม่ต่อสู้ใด ๆ ไม่ใช่
“การยืดอายุรัฐบาลให้นานที่สุด” แต่เป็นการนั่งเฉย เหมือน
“ไก่ในสุ่มรอถูกเชือด”
ปล่อยให้กระบวนการทั้งหมดนี้อยู่ในมือของฝ่ายเผด็จการอย่างสิ้นเชิง
ให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้กำหนด “กดปุ่ม” แต่ฝ่ายเดียวว่า จะให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย
“ล่มสลาย” ลงวันไหน
การยอมตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญและการปิดสมัยประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่
19 มิถุนายนคือเครื่องหมายว่า
กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ล้มเหลวลงแล้ว ฝ่ายเผด็จการได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า
จะไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แล้วยังจะฉวยใช้โอกาสนี้
ขยายไปเป็นการโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เพื่อฟื้นอำนาจเผด็จการแบบเปิดเผยของพวกเขาขึ้นมาอีกครั้ง ความหวังของพรรคเพื่อไทยและประชาชนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพื่อเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจทางการเมืองภายในกรอบรัฐธรรมนูญ 2550 และยุติวิกฤตการเมืองปัจจุบันอย่างสันติ ได้หมดสิ้นไปแล้ว สิ่งที่จ้องตาเราอยู่เบื้องหน้าคือ
การปะทะครั้งใหญ่และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างพลังเผด็จการกับพลังประชาธิปไตย!
การยกเลิกรัฐธรรมนูญ
2550
และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย
จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อภายหลังชัยชนะขั้นเด็ดขาดและการเปลี่ยนมืออำนาจรัฐที่แท้จริงมายังฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น
จาก
ประสบการณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทั่วโลก
ชัยชนะขั้นเด็ดขาดดังว่าชี้ขาดด้วยการต่อสู้ของประชาชนนอกรัฐสภา
การต่อสู้นี้จะสันติหรือหลั่งเลือดมากน้อยเพียงใด
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายประชาชน
หากแต่ฝ่ายเผด็จการที่กุมอำนาจรัฐและกองทัพคือผู้กำหนด
นับแต่นี้
สนามการต่อสู้หลักจะไม่ใช่ภายในรัฐสภา
แกนนำพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะไม่ใช่กำลังหลักของฝ่ายประชาธิปไตยอีกต่อไป ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยคือ
ทัพหลวง ในการต่อกรกับฝ่ายเผด็จการในสนามรบนอกสภา
ผ่านการต่อสู้ยืดเยื้อมาหกปี
เห็นได้ชัดว่า การเคลื่อนไหวของฝ่ายเผด็จการผ่านองค์กรตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์
และมวลชนนอกสภาในครั้งนี้ มีลักษณะโดดเดี่ยว อ่อนพลัง และขาดความชอบธรรมมากยิ่งกว่าในอดีต
พลังครอบงำทางความคิดและอุดมการณ์เสื่อมถอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในขณะที่พลังฝ่ายประชาธิปไตยเข้มแข็งเติบใหญ่ ขยายตัวทั้งจำนวนคน อุดมการณ์และความรับรู้ประสบการณ์
การรวมกลุ่มองค์กร กิจกรรม และท่วงทำนองหลากหลาย แม้จะผ่านการบาดเจ็บล้มตายมาแล้ว
แต่จิตใจกลับยิ่งเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่มีท้อถอย
สิ่ง
ที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องเตรียมการในเบื้องหน้าคือ
การสามัคคีรวมพลัง เร่งขยายเครือข่ายของมวลชนคนเสื้อแดงกลุ่มย่อยต่าง ๆ
ทั่วประเทศ
เชื่อมโยงเข้ากันให้ทั่วถึง
รวมตัวเคลื่อนไหวแสดงพลังในเงื่อนไขและโอกาสที่เหมาะสม
หนุนช่วยสส.พรรคเพื่อไทยปีกที่ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
สนับสนุนแกนนำระดับชาติ
พร้อมไปกับการตระเตรียมแกนนำหลักและแกนนำรองของตนเองในระดับท้องถิ่น
จัดวางเครือข่ายสื่อสารหลักและเครือข่ายสื่อสารสำรองฉุกเฉินไว้หลาย
ๆ ชั้น ตระเตรียมทรัพยากรต่าง ๆ ให้พร้อมสรรพ
พร้อมรับการรุกครั้งใหม่ของพวกเผด็จการ
เผด็จการไทยก็เหมือนเผด็จการอื่นในโลก
คือประเมินกำลังของตนเองสูงเกินไป และประเมินประชาชนต่ำเกินไป
พวกเขาได้ทำความผิดพลาดเบื้องต้นแล้วด้วยการเคลื่อนไหวรุกไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในเงื่อนไขปัจจุบันที่ยังเป็นคุณกับฝ่ายประชาธิปไตย
พวกเขาจะทำความผิดพลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
และในที่สุด
โอกาสที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะตอบโต้และช่วงชิงให้ได้ชัยชนะในขั้นสุดท้าย ก็จะมาถึง