ที่มา Thai E-News
event-อีเวร!-งานมหกรรมประชาชนภาคอีสานที่ขอนแก่นเมื่อ27ม.ค.ซึ่งมีNGOsอีสานเป็นออแกไนเซอร์ เนื้อหางานสอดคล้องกับแนวคิดของผู้นำเอ็นจีโอที่ปฏิเสธระบบเศรษฐกิจการตลาด และเน้นแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนแนวโรม้านซ์พาฝัน ข่าวว่าใช้งบจัดงานไปทั้งสิ้น2.7ล้านบาท(อ่านรายละเอียด)
โดย คุณรักเอ็นโตดี ห่วงประชาชน
30 มกราคม 2553
ซีรีส์ชุดนี้ก็ปาเข้าไปหกตอนแล้ว...ไม่เห็นวี่แววว่า บรรดา “เอ็นโตดี” ทั้งหลายทั้งปวง...แมร่งออกมาโวยวายแก้ข่าวเลยอะนะ...ก็มันจะกล้าออกมาได้งายสาดดด...ก็เรื่องแมร่งจริงทั้งน้าน...นะ... น้านะ...ว่าม่ะ!!!
ก็ไม่ว่าจะเป็นเพือก “NGOs โลก” ...หรือ เพือก “แหล่งทุนหน้าโง่” (ไม่ว่าไทยหรือเทศอะนะ...)...หรือ เพือก “องค์กรประชาชน” (กรูเรียกรวม ๆ ว่า “องค์กรประชาชน” ซึ่งความจริงสิ่งที่จะเรียกว่า “องค์กรประชาชน” ได้นั้นมันมีที่มา, องค์ประกอบเยอะอะนะ...อย่างน้อยก็ควรจะมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เรียกว่า “กลุ่ม” / “องค์กรชาวบ้าน” / “องค์กรชุมชน” / “เครือข่าย” อะไรเทือก ๆ นี้แหละนะ...ในที่นี้ไม่ใช่ประเด็นของกรู...ขอยกการถกเถียงไปให้ อุเชนทร์ กะ โฉด...เค้าดีกว่า!!! เพราะเพือกนี้เค้าเถียงกัลล์มันส์ดีว่ะ..)
ทั้งหลายทั้งปวงดังข้างต้น มันล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัลล์...หรือเรียกว่า “พันกัลล์ลุ่มอุ้ม” ครือแมร่งมั่วไปหมดอะนะ...มั่วยังงัยก็อย่างที่กรูว่าไปแล้วนั่นแหละ...แคร่กรู “ปล่อยของ” ไปไม่กี่แหล่งทุน เช่น SIF / พอช. / สสส. เนี่ยะนะ ก็สุดจะฮือฮากัลล์แว๊ววว...ต่อไปนี้จะเป็น “หนังชีวิตเรื่องยาว” ประเภท “ตำนานรักดอกเหมย” อะนะ...
..และต่อจากนี้ไปขอสาธุชนที่รักทั้งหลาย จงได้สดับรับฟังอย่างมี “สติ”...แต่ไม่จำเป็นต้องเก็บ “สตังค์” อะนะ...ไอ้เหี้ยม NGOs หน้าหมานทั้งหลาย ควักกระตังค์จ่าย “ค่าเหล้า ค่าเบียร์” บ้างซิโว้ยย์...แมร่งหาแดกฟรียันเต...ไอ้ส้นตีง...สาดดดด !!!
เอ้า...กรูขอเริ่มที่นี่เลยอะนะ...หลังปี 2523 เกิดวิกฤติศรัทธา “ป่าแตก” ของ พคท. บางส่วนก็หันหลัง 180 องศา บอกเลิกศาลากะ “มาร์กซิสต์” อะนะ...บางส่วนก็หันไปนิยมชมชื่นทฤษฎีใหม่ ๆ เช่น เคออส (ดู ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์), ระบบโลก(ดู เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ), โพสต์โมเดิร์น (ดู ไชยันต์ ไชยพร), นิวโซเชียลมู๊พเม้นต์ (ดู ไชรัตน์ เจริญศิลป์โอฬาร), ประชาสังคม (ดู ประเวศ วะสี) อะไรเทือกเนี๊ยะแหละ...บางส่วนก็หันไปปลูกต้นไม้ ดูแลใบหญ้า อยู่กลางป่ากลางเขา...เอ๊ะ ๆ หน้าคุ้น ๆ เหมียลล์ เสี่ยวีระศักดิ์ ระบำยอดหญ้าอะไรเทือกนี้แหละ...
บางส่วนยังต้องการทำงานเพื่อสังคมก็เข้าไปแสวงหาแนวทางการพัฒนาสังคมแบบใหม่ เช่น ไปเป็น “อาสาสมัคร” ของ “มอส.” ที่พูดถึงไปแล้ว...แน่ละ, บางส่วนก็เข้าไปทำงานสังกัด NGOs ก่อรูปองค์กรใหญ่โตกันหลายคน เช่น หมอพรหมมินทร์ เลิศสุริยเดช ก่อนจะลาออกจากหมอมาทำธุรกิจกับทักษิณ ก็ทำงานร่วมกับ NGOs โลก อยู่แถว ๆ เมืองพล จ.ขอนแก่นอะนะ, หมอพลเดช ปิ่นประทีป-กรูเคยว่าไปแว๊ววว!!!, เสี่ยภูมิธรรม เวชยชัย กรูก็สาธยายไปบ้างแว๊ววว!!!
แล้วก็ ทวีเกรียติ ประเสริฐเจริญสุข เอ้อ ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “เธียรธรรม เธียรสิริไชย” ทำมาหารับประทานอยู่ที่ม.รังสิต หมอนี่มีชื่อเป็น “นักวิชาการ” ประจำ “โครงการ 126 ล้านบาท” ที่เอ็นจีโอสายพันธมิตรฯเสนอ สสส. นั่นงัยสาดดด, ส.ประวัติ-สมภพ บุนนาค แมร่งช่วงหลังขอเปลี่ยนชื่อแล้วโว้ย...เค้าชื่อ “นายประวัติ บุนนาค” (เอาชื่อ “จัดตั้ง” มาเป็นชื่อใหม่ กลัวคนไม่รู้หรืองัยว่า เคยเป็นอดีต “สโหย” สาดดด...
พวกเมริงดูใน “โครงการ 126 ล้านบาท” ที่เอ็นจีโอสายพันธมิตรเสนอขอทุน สสส. ละกัลล์ ก็มีเค้านี่แหละเป็น “ผู้ประสานงานนักวิจัยภาคสนาม” ในคณะทำงาน “เครือข่ายผู้ตื่นตัวทางการเมือง” -ตื่นตัวพ่อตื่นตัวแมร่งเมริงนะซิ ขี้เหลืองอ๋อยทั้งน้านนน...เฮ้อ !!!), เสี่ยสุวิทย์ วัดหนู แห่ง “มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย” (มพศ.)-นี่ก็รับหมากกะตังค์จากหลายแหล่งทุน เช่น แตเดซอม / NOVIB ฯลฯ, เสี่ยโป๊ะ-วัชพันธ์ จันทร์ขจร นี่ก็อยู่แหล่งทุนเมืองนอกอะนะ “แตเดซอม”
เสี่ยอี๊ด YT.-ทรรศิน สุขโต เนี๊ยะก็ของจริงผู้ก่อตั้ง “โครงการฝึกอบรมเยาวชนเพื่อการพัฒนา” (YT.) สานุศิษย์รุ่นแรก ๆ ส่วนใหญ่ก็พวกที่มีส่วนร่วมการก่อตั้ง “สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย”(สนนท.) อะนะ เช่น “บ้า” อภิชาติ ขำเดช, “ไท” อุทัย อัตถาพร, “กร” นิกร จันพรม, “น้อย” ประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี, “หมู” ชูศักดิ์ , ส่วนรุ่นหลัง ๆ ก็เช่น “ไผ่” นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์, “อ้วน YT.” , “หมี” สุริยันต์ ทองหนูเอียด เป็นอาทิ...
กระนั้นก็ดี...ยังมีอีกบางส่วนที่ยังมีความเชื่อมั่นและศรัทธากะ “ศาสดาเคราดก” คนนั้นอยู่...แต่เมื่อ “บ้านใหญ่” แพแตกเสียแล้ว...ไม่มีหลังคาบ้านคอยคุ้มกะลาหัวอีกแล้ว...อย่ากระนั้นเลย...อย่ามัวฟูมฟายอยู่เลยสโหย เอ้ย สหายเอ๋ย...เพือกเรามาร่วมกัลล์สร้าง “บ้านใหม่” ให้ใหญ่กว่าเดิมกัลล์ดีกว่า ว่าแล้วบรรดา “ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” บางส่วนก็รวมตัวกันเข้า...ก่อรูป “องค์กร” ขึ้นมาใหม่...นัยว่า งานนี้เพื่อแบกรับภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่ยังค้างคาให้บรรลุเป้าหมาย “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ” กัลล์ให้ได้ในชาตินี้อะนะ...
...ว้าว ๆ ๆ
มันจึงเป็นที่มาของ “โครงการพัฒนาการศึกษาเพื่อชุมชน” (พ.ศ.ช.)ยังงัยหละสาดดด...อ้าว ๆ ๆ...แมร่งทำหน้า “งง ๆ”...จะไม่ให้เพือกเมริง “งง” กัลล์ได้งายยยย...ก็เรื่องมันนานมาตั้งแต่ปีมะโว้แว๊ววว...แต่กรูขอบอกกะเพือกเมริงว่า โปรดติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและอย่ากระพริบตา ก็ไอ้ตัวละครแต่ละตัวใน “พ.ศ.ช.” เนี๊ยะอะนะ...ก่อตั้งราว ๆ เดือนกันยายน พ.ศ. 2525 ก็หลังป่าแตกอะนะ เป็นความพยายามร่วมของบุคคลหลายฝ่าย เช่น ครู นักวิชาการ นักการศึกษา NGOs และผู้นำชาวบ้าน...ซึ่งแต่ละคนนั้น ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน “อ่างชูวิทย์” เอ้ยไม่ใช่ใน “อ่างทองคำ” ของขบวนองค์กรประชาชนอยู่
ทุกวันนี้...ยังไม่มีใครล้างมือในอ่างทองคำเลยซักคนอะนะ...และที่สำมะคัญ...แมร่งแต่ละคนก็ล้วนเกี่ยวข้องกะอภิมหากาพย์รามายณะสยาม ตอน “เหลือง-แดง” ในปัจจุบันทั้งน้าน...ที่นี้เริ่มจะ “เก็ต” กัลล์หรือยังหละสาดดด... “เก็ต” OK!!!
“ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” ใน พ.ศ.ช. อย่างที่กรูว่าไปน้านนน...โดยส่วนใหญ่เป็นเพือก “ครูบาอาจารย์” ทั้งหลายอะนะ...อาทิ ส.เพิก ชุมแพ (ครูสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์), ส.วา (ครูสน รูปสูง), ครูเกิด ขันทอง, ครูวีระ รูปคม, ครูคณิต ธัญญะภูมิ, ครูประเสริฐ กิติรัตน์ตระการ (เนี๊ยะก็จบดอกเตอร์คนแรกของคณะคุรุศาสตร์จุฬาฯอะนะ และมีชื่อเป็น “ผู้จัดการบริหารงานฝ่ายสังคม” ของอภิมหาโปรเจค “โครงการ 126 ล้านบาท” ที่พันธมิตรเอ็นจีโอเสนอขอทุน สสส. อันสุดแสนจะฮือฮาอะนะ...ก็อยู่ใน “แก๊งค์รังสิต” ของเสี่ยปากแดงนั่นแหละ)
ครูอำนวย พลหล้า, เสี่ยพนัส สวัสดิ์สกุลพงษ์ เป็นอาทิ...(ส่วนในภูมิภาคอื่น ๆ ก็มี นี่เลย...ภาคกลาง เช่น ครูสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์, ภาคเหนือ เช่น เสี่ยจักร พัชรพัฒนชัย-อดีตประธาน กป.อพช.ภาคเหนือ...) กลุ่มนี้ได้รับเงินจาก “แหล่งทุนหน้าโง่” เมืองนอกหลายประเทศ...เช่น กองทุนพัฒนาท้องถิ่นไทย-แคนาดา-LDAP (แคนนาดา), CCA (ออสเตรเลีย), FREUNDESKRIES (เยอรมันตะวันตก) TERE DE’S HOMMES (เนเธอแลนด์) ...โหย แมร่ง ฝรั่งสุด ๆ สาดดดด....กลุ่มนี้ดำเนินงานมาสัก 6-7 ปี ก็เลิกรากัลล์ไป แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคนยังลึกซึ้ง อ้าวก็เป็นเพื่อน สโหย เอ้ย สหาย กัลล์มายาวนานงัยสาดด...อย่างงงมากนัก...เดี๋ยวมรึงโดง ๆ...เดี๋ยวปั๊ดเนี๋ยวว์เยยย์ย์...(อันนี้ของส.อ่าง ฟ้าใสใจชื่นบาน!!! ฮา ๆ ๆ)…
ในช่วงปลาย ๆ โครงการ พ.ศ.ช. มี “ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” หรือ “ครู” บางส่วนก็แยกตัวมาทำโครงการต่างหาก โดยได้เงินสนับสนุนจากแหล่งทุนเมืองนอกคือ NOVIB (เนเธอแลนด์) ในนามโครงการที่เรียกกันภายในว่า “ธิดา” เช่น ครูคณิต ธัญญะภูมิ, ครูสน รูปสูง และครูพนัส สวัสดิ์สกุลพงษ์ ก่อนจะเลิกราโครงการไปกัลล์แบบเงียบ ๆ....กระนั้นก็ดี มีงานรูปธรรมด้าน “เศรษฐกิจ” ที่ประสบผลสำเร็จ และยังคงเหลือให้ศึกษาเป็น “บทเรียน” ก็คือ “โรงงานแป้งขนมจีน” ของ “เสี่ยพนัส” ที่จังหวัดศรีสะเกษ ว่ากัลล์ว่า ปัจจุบันนี้มีราคาเป็นพันล้านบาทอะนะ และได้เข้าสู่ตลาดหุ้นแว๊ววว์ เอาเป็นว่ารวยเละตุ้มเป๊ะอะนะ...และที่บ้านโนนแดง ตำบลโนนแดง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ของลูกศิษย์ครูคณิต ธัญญะภูมิ “ไอ้เสี่ยเบย์” เนี๊ยะก็ไม่เบาโรงงานแป้งขนมจีน สนนราคาก็เป็นร้อยล้านบาทอะนะ บลา บลา บลา !!!
และในช่วงใกล้เคียงกัลล์นั้น ราว ๆ ปี 2531-32 ทาง “มูลนิธิดวงประทีป” ของ ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ก็ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก “แหล่งทุนหน้าโง่” คือ MDM จาก ประเทศฝรั่งเศส มาดำเนิน “โครงการทุนการศึกษานอกพื้นที่” (นอกสลัมคลองเตย) ประมาณปีละ 18 ล้านบาท โครงการนี้แหละเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวอันคึกคักในภาคอีสาน จนก่อ “ตำนาน” ของ “สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน” (สกย.อ.) อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรในยุคสมัยหนึ่งของประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน เนื่องเพราะโครงการ MDM ดังกล่าวนั้น ก็มีนี่เลย...ส.ใหม่ (ครูนคร ศรีวิพัฒน์) เป็นหัวหน้าโครงการฯ ยังงัยหละสาดดด...เพือกเมริงใกล้จะเข้าใจกัลล์หรือยังสาดดด!!!
เมื่อ ครูนคร ศรีวิพัฒน์ มีงบประมาณอยู่ในมือ ก็เปรียบเสมือน “พยัคฆ์ติดปีก” อะนะ...ที่นี้แหละเมริง “ราชสีห์” ก็ราชสีห์เหอะ เจอเสือติดปีกยั่งกรูรับรองกลายเป็น “แมวเหมียว” เรียบโร้ยโรงเรียนเจ๊ตุ๊ก...เอ้ย...โรงเรียนจีนแหง๋แซะ...ว่าแล้วครูนครที่คนในแวดวงนักเคลื่อนไหวทั้งบนดิน ทั้งใต้ดิน ทั้งในรู ต่างนิยมเรียกว่า “เฒ่าขี้ดื้อ” ก็เร่งระดมขุนพลทั่วสารทิศมาช่วยกัลล์ทำงาน...ว่ากัลล์ว่า งานนี้กะ “พลิกฟ้าค่ำแผ่นดิน” กัลล์อีกสักคราว่างั้นเหอะ...
อ้าวมีใครบ้างหว่า มองเห็นแว๊ป ๆ ก็นี่เลย “ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง” เจ้าของ “สมญานาม” ที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยอย่างแน่นอนมันส์ครือ “บ้า” อภิชาติ ขำเดช และมิตรสหาย “แอ๊คติวิสต์” จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น“พฤกษ์” พฤกษ์ เถาถวิล, “ทัก” พิทักษ์ เกิดหอม, “โป๊ะ” เจษฎา โชติกิจภิวาทย์, “ติ๋ง” อภิชาติ ศิริสุนทร, “ปุ๋ย” นันทโชติ ชัยรัตน์(เสียชีวิตแล้ว), “จืด จางนิรันด์” สถิต ยอดอาจ, “เล็ก” สุภาวดี บุญเจือ โดยมีมือขับรถตีนผีแต่ใจเสาะแห่งเมืองหลวงคอมมิวนิสต์อีสานใต้ “แพงพวย” ในนาม“ส.สองคม พ่อประชา”(อันนี้ไม่ได้ดูหมิ่นประชาชนนะกร๊าบ แต่แมร่งหมายความถึง-ประชา ธรรมดา อะนะ..ฮา ๆ ๆ)เป็นอาทิ...โดยใช้ “สลัมคลองเตย” เป็นเสมือนศูนย์บัญชาการ
มีทีมงานใน “เมือง” เช่น “นก” พิษณุ ไชยมงคล, “นู” ธนู จำปาทอง, “ต้อยคอตก” วิรัตน์ โรจน์วิชัย, “เบิ้ม” พิชิต พิทักษ์, “ติ” สันติ ยำสัน(เสียชีวิตแล้ว),“หน่อย” รัชนี นิลจันทร์, “กุ้ย” ศรายุธ ตั้งประเสริฐ, “ยอด” วรดุลย์ ตุลารักษ์, “อึ่ง” วิรัตน์ บุญชาย เป็นหน่วยสนับสนุนทั้งที่พัก “วังอสูร” และเสบียงกรังเพรียบพร้อม...เมื่อจัดทัพปรับขบวนแถวกัลล์เรียบโร้ย...ก็กดไฟเขียว...แมร่งลุยโลดดด!!!
ว่าแล้ว “ขบวนแถวดวงประทีป” ก็สยายปีกสู่แผ่นดินที่ราบสูง พลัน!!! แน่หละ...การทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ “แหล่งทุนหน้าโง่” จากเมืองนอกเมืองนา แมร่งก็ต้องมีลูกล่อลูกชนหน่อยซิมรึง!!! อย่ากระนั้นเลย...เพือกเราต้องใช้เงิน “ทุนการศึกษา” เป็นเครื่องมือ พรรคเพือกเป็น “ครู” เยอะแยะ ต้องไปงัดออกมาช่วยกัลล์ทำมาหากิน เอ้ย ช่วยกัลล์ทำงานอะนะ...เพือกเราต้องให้เค้าจัดตั้ง “กลุ่มครู” ขึ้นมาในพื้นที่ แล้วก็ให้เงินเป็นทุนการศึกษาเด็ก ๆ ที่นี้เพือกเราก็ได้ทั้งงานจัดตั้ง “กลุ่มองค์กรชาวบ้าน” และจัดตั้ง “กลุ่มเยาวชน” ไปพร้อม ๆ กัลล์เลย...ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว วูปี้ ๆ ๆ ...ว่าแล้ว “เฒ่าขี้ดื้อ” ก็ยก “ชามยาดอก” สาดลงลำคอ โฮ๊ก ๆ เอื๊อก ๆ พร้อมแหงนหน้าหัวเราะเหมียลล์จะเย้ยฟ้าท้าดิน ฮา ๆ ๆ....
จะว่าไปแล้วงาน “กลุ่มครู” ก็ไปได้แบบสวยหรูอะนะ...กลุ่มผู้นำครู/ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่าในภาคอีสาน นับตั้งแต่จบสิ้นโครงการ พศช. ก็พากัลล์พาเหรดเข้าร่วมขบวนแถวอย่างยาวเหยียด!!!...นับตั้งแต่สระบุรีเลี้ยวขวาเป็นต้นไป...เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ประสพพบพระพักตร์ นี่เลย...ส.เพิก ชุมแพ-ครูสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, ครูสุชาติ ชอบพิมาย...เลยไปบุรีรัมย์ ก็เจอกับ ครูจ่อย-สุรศักดิ์ ชัยรัมย์, ครูพิง-ทนง บุญอิ้ง...เข้าถึงสุรินทร์ก็เห็น ครูสังคม เจริญทรัพย์ แว๊ป ๆ ...ที่ศรีสะเกษก็ใครเสียอีกหละ ครูอรุณศักดิ์ โอชารส, ครูอุดม บัวเกษ...อ้าวมาถึงอุบลราชธานี ก็นี่เลย ครูเกิด ขันทอง, ครูวีระ รูปคม, ครูสำเริง รูปสวย...บุกขึ้นไปถึงอำนาจเจริญเจอ ครูพิทักษ์ สุขกุล...แวะขึ้นภูสะดอกบัวเข้ามุกดาหารนี่งัย ครูพินิจศักดิ์ คำวัน, ครูรัฐสภา นามเหลา...เลาะลงมาแถวยโสธรพบกับ ครูปรีชา ศรีอุบล, ครูสานิตย์ มาสขาว...
หลบลงเขตขาวเก่าเมืองร้อยเอ็ดอ้าวเจอพี่เค้าเลย ครูนิรมิต สุจารี...ใส่เกียร์หมา ดับไฟหน้า แล้วแซงซ้ายแมร่งเลย ทะลุมหาสารคาม อ้าว ไอ้เหี้ยมยังอยู่สบายดีนี่หว่า นี่เลย ครูควยชัย เอ้ย อวยชัย วะทา, ครูสุพจน์ อัครพรหมณ์, ครูเรืองยศ จันทรสามารถ...
แวะมาเมืองหลวงภาคอีสานดินแดนดอกคูณเสียงแคนขอนแก่นเค้ายืนรออยู่แว๊ววว จะใครเสียอีกหละ ครูเสียว ลูบต่ำ เอ้ย ครูสน รูปสูง-ขาใหญ่ของเราเนี๊ยะถ่างขารอนานแว๊ววว และนี่งายยย “กลุ่มครุภูเวียง” เช่น ครูอำนวย พลหล้า, ครูพิทยพันธ์ แวะศรีภา, ครูวรวิทย์ สุดตาสอน, ครูกุศล ขันขวา...
แวะไปชัยภูมิกัลล์หน่อยอ้าวยังอยู่ครบทั้ง ครูคณิต ธัญญะภูมิ, ครูองอาจ นาเพีย...ลุยขึ้นอีสานเหนือโลดก็ยังเห็นหน้าเสมอสำหรับ ครูประเวียน บุญหนัก(เสียชีวิตแล้ว), ครูไพฑูรณ์ ป้องนารา...
ช่วงหลัง ๆ ยังขยายงานกลุ่มครูไปทางหนองคายเห็น ครูหงส์สุนีย์ ที่เอาการเอางานสม่ำเสมออะนะ....(ขอให้เพือกเมริงจดจำไอ้ชื่อ “ปัญญาชน” เหล่านี้ให้ดี ๆ ...เพราะ มันมี “นัย” ที่เกี่ยวข้องกับ “องค์กรประชาชนภาคอีสาน-จากอดีต ถึง ปัจจุบัน” และขบวนการ “ขี้เหลืองอ๋อย” อย่างจ๊ำบ๊ะกัลล์เลยที่เดียว!!!...ปะเดี๋ยวกรูจะกลับมาเหลาให้ฟัง!!!)
ขอรวบรัดตัดตอนอะนะ...มานี่เลย พอ ครูนคร ศรีวิพัฒน์ เคลื่อนไหวกลุ่มครูภาคอีสานมาได้สักระยะหนึ่ง...ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ “พฤษาภาทมิฬ 2535” ไม่นานนัก ก็มีการออกแบบ “องค์กรครูพันธ์ใหม่” ขึ้นมาร่วมกัลล์ ภายใต้ชื่อ “สภาองค์การครูเพื่อสังคม” (สคส.)โดยมี ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ เป็นประธาน, ครูสน รูปสูง เป็น รองประธาน, ครูสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็น เลขาธิการ และอย่างที่กรูบอกเพือกเมริงไปแล้วว่าให้จำชื่อกลุ่มครูปัญญาชนเหล่านี้ไว้ให้ดี ๆ ...เห็นมั๊ยว่า โผล่หาง เอ้ย โผล่หัว ขึ้นมาแว๊วววหนึ่งองค์กรกร๊าบบจ้าวววนายยย....ก็รายชื่อครูข้างบนตั้งแต่สมัย พศช. / ธิดา / MDM เนี๊ยะอะนะ...ก็เป็น “คณะกรรมการ” และ สมาชิกสำคัญ ๆ ของ สคส. แทบทั้งสิ้นงัยสาดดด....
องค์กรครูพันธ์ใหม่-สคส. เนี๊ยะนะมีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนไหวสนับสนุนทางด้านความคิดต่อขบวนองค์กรประชาชนในภาคอีสานมาอย่างต่อเนื่อง...ยิ่งในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” ภายหลังที่แกนนำประกาศ “พักยก” แล้วมีการช่วงชิง “การนำ” จาก “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย” (ครป.) และ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)...(กล่าวสำหรับ ไอ้คอรอปวย...เอ้ย ครป. เนี๊ยะนะ ว๊อยยย... แมร่งเป็นองค์กร ใจเสาะ ตั้งแต่พฤษภาทมิฬ 2535 แล้ว สมัยนั้น ดร.โคทวย เป็นประธานอะนะ มีคราหนึ่ง ครั้งประชุมกำหนดท่าทีต่อการเคลื่อนไหว โคทวย ก็พยายามเสนอให้ใช้ “สันติวิธี” แมร่งแบบตะบี้ตะบัน แบบว่า กะให้ผู้ชุมนุมนุ่งขาวห่มขาว หรือ แมร่งโกนหัวห่มผ้าเหลืองแมร่งให้มันส์รู้แล้วรู้แร่ดอะนะ..แมร่งเลยถูก “ครูประทีป” ชี้หน้าด่ากลางห้องประชุมว่า “หากใจปลาซิวนัก ก็ให้ไปหาผ้าถุงใส่ซะไป๋!!!” ฮา ๆๆ...แมร่งกรูไม่รู้ว่าสานุศิษย์พวกมันสส์จำได้มั๊ย หือ อือ...)
การปฏิบัติการครั้งกระโน้น เกิดขึ้นจาก “กลุ่มปีกซ้ายพฤษภา” ได้ช่วงชิงระหว่างพักยก ประกาศจัดตั้ง “สมาพันธ์ประชาธิปไตย” ขึ้นนั้น ปรากฏว่า ถึงเวลาการเลือก “ผู้แทน” ใน “คณะกรรมการ 7 คน” ของสมาพันธ์ฯ ต้องมี “องค์กรสังกัด”
...ครือมันส์ต้องมีที่มาที่ไปอะนะ...เช่น ไอ้เหี้ยมจำลอง มาจากสายพรรคการเมือง คือ “พรรคพลังธรรม”...หมอเหวง มาจากสาย “กลุ่มคนเดือนตุลา”...หมอสันต์ มาจากสาย “กลุ่มนักวิชาการ”...เอกขี้เหลืองอ๋อย-ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล มาจากสาย “สนนท.” (ไอ้ความจริงเค้ากะไม่เอาไอ้เอกแมร่งแล้ว เพราะแมร่งใจปลาซิว อะนะ...เค้ากะจะเอาไอ้สิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ เป็นกรรมการสมาพันธ์ฯอยู่แล้ว แต่กลัวเสีย “ภาพพจน์” เดี๋ยวแมร่ง รสช. เอาไปโจมตีว่า สมาพันธ์ฯ แตกกัลล์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งยังงัยหละสาดดด...
...ไอ้เอก...แมร่ง ยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่า “ผู้ชายเดือนพฤษภา” ถุยส์ ไอ้สัปปะรังครวยเอ้ย!!!...ส่วนลูกสาวฉลาด วรฉัตร มาจากสายตัวแทน “กลุ่มคนอดข้าว” ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติคุณฉลาดเค้าที่เป็นคนจุดประกายไฟ อะนะ!!!...
ส่วนนี่เลย ครูประทีป มาจาก “สคส.” ผู้แทนองค์กรครูกร๊าบเจ้านาย...นับว่า “กลุ่มผู้นำครู” ออกแบบจัดตั้ง สคส. ได้สอดคล้องสถานการณ์จริง ๆ อันนี้ต้องขอปรบมือให้ ส.เพิก ชุมแพ ผู้ออกแบบคนสำคัญ ซึ่งพี่เค้าก็หวังจะได้เป็น “คณะกรรมการ” สมาพันธ์ฯ กะเค้ามั่ง แต่ก็ “กินแห้ว” ไม่ได้เป็นกรรมการกะเค้าครานั้น...แมร่ง ถึง “กระสัน” อยากมีตำแหน่งแห่งที่ในขบวนประชาชนเหลือคณานับ จนมาสำเร็จเป็น “คณะกรรมการ 5 คน” ของพันธมารฯ นี่งัยหละสัด!!!...
และอยากขอให้ “ตรา” ไว้ใน“ประวัติศาสตร์ขบวนการประชาชนไทย” ด้วยว่า “ครูประทีป” ไม่ได้เป็นกรรมการสมาพันธ์ฯ ในฐานะผู้แทนสาย “องค์กรสลัม” แต่มาจากสาย “กลุ่มครู-สคส.” นะฮะ กรุณาอย่าบิดเบือน!!!...ส่วนองค์กรสลัมนั้นในช่วงการเคลื่อนไหวพฤษภาทมิฬ 2535 ก็มีการจัดตั้งองค์กรประสานงานชั่วคราว ชื่อ “องค์กรสลัมเพื่อประชาธิปไตย” มี คุณสุวิทย์ วัดหนู เป็นผู้ประสานงานหลัก แต่ไม่มี “ตำแหน่ง” ว่างพอ พี่เค้าก็เลยได้เป็นแค่ “โฆษก” (คู่กะ ไอ้เหี้ยมตู่-จตุพร พรหมพันธ์ ยังงัยหละสาดดด)...และพี่เค้าก็มาเป็น “โฆษก” ให้กะพันธมารฯ คู่กะเหี้ยมสำราญ รอดเพชร, เหี้ยมอมร อมรรัตนานนท์ เมื่อตายก็ตายในตำแหน่ง “โฆษก” ของพันธมารฯ เนี๊ยะแหละสาดดดด!!!...เฮ้อ เรื่องแมร่งยาว...ยิ่งกว่า ตำนานรักดอกเหมย กรูว่าแล้ว เมริงว่ามั๊ย สาดดด...)
ขอรวบรัดตัดตอนอีกครั้ง!!!...ก็มาถึงนี่อีกเลยกร๊าบจ้าวววนายยย...เมื่อเคลียร์ “ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” ได้เรียบร้อยเสร็จสรรพ.... แมร่งมันส์ต้องจัดตั้ง “กองกำลัง” เพื่อการเคลื่อนไหวให้จ๊ำบ๊ะไปเลย...เมื่อคิดได้ดังนั้น เฒ่าขี้ดื้อ ก็นัดประชุมระดมความคิดจากทีมทำงานอย่างเร่งด่วน!!! …อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องจัดตั้ง “องค์กรชาวบ้าน” ขึ้นมาอย่างเร่งด่วน...เอ้...จะเอาชื่ออะไรดีหนอ ? ...ในอดีตมันส์ก็มี “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย” นี่ก่อตั้งเมื่อปี 2517 และในอีสานก็มี “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน” ที่ก่อตั้งใกล้ ๆ กัน และหมดบทบาทไปพร้อมกับ “6 ตุลา 19” เช่นเดียวกัลล์...เฮ้ย...แมร่ง มีชื่อนี้ว่ะเพราะดี ๆ ถูกใจตูโลด... “สมัชชาเกษตรกรรายย่อย” (สกย.) ...เมื่อถึงบางอ้อ เฒ่าขี้ดื้อ ถึงกะกำมือ ตีอกชกลม กระทืบเท้าไปด้วย...ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก อิ อิ อิ ก๊าก ก๊าก ก๊าก...ตูจะไปช่วงชิงเอา สกย. มาเป็นของตูให้จงด้ายยย ฟ้าดินเป็นพยาน...ว่าแล้วก็สาดเหล้ายาดองบีเหม้นลงสูคอ เอื๊อก ๆ ๆ ฮา ๆๆๆ
จะว่าไปแล้ว ก่อนที่จะมีการจัดตั้ง “สมัชชาเกษตรกรรายย่อย” (สกย.) นั้น...ขบวนองค์กรชาวบ้าน ได้มีการ “ก่อรูป” “เคลื่อนไหว” และ “ จัดตั้ง” กัลล์มานานพอสมควรแล้ว...ถ้านับจากหลัง “ป่าแตก” ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่เดียว...นอกเหนือจากการ “ลุกขึ้นสู้” โดยตัวชาวบ้านเองและพัฒนายกระดับนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรชาวบ้านเพื่อเคลื่อนไหวต่อสู้แก้ไขปัญหาพื้นฐานโดยตัวของชาวบ้านเองแล้ว (ซี่งมีน้อยมาก หรือ แทบจะไม่มีเอาซะเลย!!!)... “องค์กรชาวบ้าน” หรือ “องค์กรประชาชน” ในภาคอีสาน ล้วนแล้วแต่ถูก“ออกแบบ” โดย “ปัญญาชนท้องถิ่น” โดยเฉพาะ “กลุ่มครูหัวก้าวหน้า” และพวก “NGOs โลก ล้าหลัง”
ทั้งนั้น (คำว่า “ปัญญาชนท้องถิ่น” นั้นมันส์คนละความหมายกะพวก “ปราชญ์ชาวบ้าน หรือ ปราชญ์ท้องถิ่น” ของ หมออภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร ที่ได้เงิน สสส. กว่า 100 บาท มาทำโครงการปราชญ์เป็นสุข/หนึ่งไร่แก้จน อะไรเทือกนั้นอะนะ ฮา ๆๆๆ)...และแน่นอน “ปัจจัย” สำคัญที่ผลักดันให้เกิดองค์กรชาวบ้านมากมายนั้นก็ครือ “มันนี่” กร๊าบบบจ้าวววนายยย....
อาจกล่าวได้ว่า ขบวนการชาวนาชาวไร่ภาคอีสานยุคใหม่ ได้เริ่มก่อหวอดราว ๆ ปลายปี 2533 เมื่อเกิดการชุมนุมประท้วง “ราคาข้าว” ของชาวนาจากอำเภอเมือง และอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์...จนต่อมา ตัวแทนชาวนาจาก 7 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น สุรินทร์ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด อุดรธานี และยโสธรได้ร่วมกันสัมมนาเรื่อง “ปัญหาราคาข้าวเปลือก” เมื่อวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2534 ณ “สถาบันวิจัยและพัฒนา” (RDI) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผลการสัมมนาสรุปว่า ทางออกของชาวนาคือการรวมตัวกันจัดตั้งองค์กรของชาวนาเอง จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งองค์กรประสานความร่วมมือของชาวนา ภายใต้ชื่อว่า “คณะกรรมการสนับสนุนการรวมตัวชาวนาอีสาน” (กสน.อีสาน) และที่ประชุมได้เลือกเอา...เสี่ยโย-บำรุง คะโยธาจาก “กลุ่มเกษตรกรทำนาสายนาวัง” / “กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรกาฬสินธุ์” เป็น ประธาน และมี นี่เลย...เสี่ยมานะ นาคำ จาก RDI. ม.ขอนแก่น เป็น เลขานุการ...ครานี้เพือกเมริงเริ่มเห็นถึงเค้าลางของหายนะของขบวนการประชาชนอีสานในอนาคตกัลล์หรือยังหละสาดดด!!!...
ความเป็นจริง...ในชั่วโมงนั้น “กลุ่มชาวนาจังหวัดบุรีรัมย์” ภายใต้ “โครงการพัฒนาสหกรณ์ชาวนา” คือ องค์กรชาวนาชาวไร่ที่เข้มแข็งที่สุดในภาคอีสานอะนะ และโครงการนี้มีนี่เลย...เสี่ยสัง-วีรพล โสภา เป็นผู้ประสานงาน คณะผู้ปฎิบัติงานในพื้นที่ก็นี่เลย...เสี่ยรอด ทองโพธิ์, เสี่ยคำตา แคนบุญจันทร์, เสี่ยเขื่อนเพชร โพนรัมย์, เสี่ยธีระชาติ เสยกระโทก เป็นอาทิ...
ยัง ๆ สาดดด ยังไม่หมด...ก็มีนี่เลย...บ้า-อภิชาติ ขำเดช (ช่วงนั้นแฟนของบ้าเค้าเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิครูทิมบุญอิ้งอะนะ...)มี โป๊ะ-เจษฎา โชติกิจภิวาทย์ สายตรงของ เฒ่าขี้ดื้อ จาก มูลนิธิดวงประทีป ไปช่วยเสริมงานในพื้นที่ในช่วงต่อสู้ คจก. อะนะ....เฒ่าบ้า เนี๊ยะแหละ เป็นคนออกแบบจัดตั้ง “กลุ่มนักศึกษาอีสาน” และ “กลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน” ก่อรูปเป็นองค์กรประสานงานกลุ่มเยาวชนระดับภาคอีสาน ในนาม “สมาพันธ์เยาวชนอีสาน” ที่มี “จืด”-สถิต ยอดอาจ (วค.บุรีรัมย์) เป็น ประธาน, มี “ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ”-บุญยิ่ง บุญประธาน (ม.รามคำแหง) เป็น เหรัญญิก (อ่านว่า เหรัญญิก แมร่งมันส์ไม่ยอมเป็นตำแหน่งอื่นเลยอะนะสาดดด...ฮา ๆๆ)...
ส่วนสมาชิกระดับเต้ย ๆ ก็เช่น “เอ็นจีโล้น”-เกื้อ ยวงทอง (วค.โคราช),“อ๊อดบ้านดิน”(วค.โคราช), “รินบ้านดิน” (วค.บุรีรัมย์) สองคนหลังเนี๊ยะนะ พอจบ ป.ตรี ก็ไปทำ “บ้านดิน” อยู่ที่ “อาศรมวงศ์สนิท” หาเงินหาทอง “เลี้ยงดู” ป๋าส.ศิวลึงค์ อยู่ทุกวี่ทุกวันนี่งัยไอ้สัด...
เอ้อ กรูเกือบลืมเสียสนิทสมาชิกสำมะคัญ ๆ คนอื่น ๆ เช่น “หนุ่ยสารคาม”-บวร มณีพันธ์ (วค.มหาสารคาม), “ไอ้ฮวก-ไอ้ซวก ร้านสุดสะแนน เชียงใหม่” (วค.อุบลราชธานี)...ทั้งสองคนเนี๊ยะก็เอาการเอางาน และเอา “สายเขียว” ด้วย...ฮา ๆๆๆ...โอ่ยยโย่ววว...ก็ขุมกำลังขนาดนี้เนี๊ยะแหละจึงสามารถเคลื่อนไหว สั่นสะเทือนภาคอีสาน ชนิดที่ว่าในช่วงแรก ๆ “สันติบาล” ก็ยังคลำทางไม่ถูก...เพือกแมร่งกำลังงงเป็นไก่ตาแตก ว่า ชาวนาอีสานในนาม สกย. แมร่ง...เพือกมันส์ไปกิน ดีหมี หรือ หำหมา มาจากใหน ? แมร่ง...ถึงได้ทรหดอดทนในการ “ม๊อบ” เดินทัพทางไกลเสียละเกิน...หามิได้ เพือกมันส์ ขโมยเหล้ายาดองดีเม่นในโถทองคำของ เฒ่าขี้ดื้อ กินทุกวันต่างหากเล่าสาดดด...และนี่แหละถึงเป็นที่มาของ “นิยาม” ของความเป็น “สกย.” ว่า แมร่ง...คือ องค์กรของ“เด็กน้อยหน้ามึนกับผู้เฒ่าขี้ดื้อ”...ยังงัยเล่าสาดดดด!!!
ขอย้อนกลับไปอีกนิดหนึ่ง...นอกจากช่วงนั้นที่มี กสน.อีสาน ของ เสี่ยโย-บำรุง คะโยธา อะนะ...ยังปรากฏว่ามีการจัดตั้ง “คณะกรรมการชาวบ้านแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินภาคอีสาน” มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์...กลุ่มนี้เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่อง “สวนป่ายูคาลิปตัส” ในภาคอีสาน โดยมี “ตุ้ม นามโคตร” จากท่าตูม จ.สุรินทร์ เป็น ประธาน ส่วน เลขานุการ ที่ทำหน้าที่ประสานงานตัวจริง ก็นี่เลยกร๊าบท่าน...“จอมยุทธจอมYED” เหี้ยมนก-ภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ งัยสาดดด...
ส่วนองค์กรชาวบ้านที่เคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานของตนเอง ก็มีกระจัดกระจายเป็นย่อม ๆ (เหมียลล์ “กรมอุตุฯ” แมร่งชอบว่า ฝนตกเป็นย่อม ๆ...ทีนี้เมร่งเพือกมรึงนึกภาพออกกัลล์แล้วใช่มั๊ยสาดดด...) เช่น สายงานพัฒนาแบบแนว “เย็นยะเยือกถึงจุดเยือกแข็ง” ในช่วงดังกล่าวก็มี ที่ จังหวัดสุรินทร์ อีกเช่นกันคือ “คณะกรรมการสนับสนุนชาวนาค้าข้าว” อันมีหลวงพ่อนาน สุทธสีโล เป็น ประธาน...ส่วนที่ จังหวัดร้อยเอ็ด คือ “กลุ่มเกษตรกรทำนาโพนทราย” อันมี “พ่อเรียง เคียข่าย”-บุญเรื่อง จริยา, ปราโมทย์ นางาม เป็น ผู้นำ และที่จังหวัดร้อยเอ็ดเช่นกัน ก็มีองค์กรจัดตั้งของชาวนา คือ “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ร้อยเอ็ด” ที่มี “นงค์ แน่นอุดร” และ “คารวะ น้อยโสภา” เป็นแกนนำในพื้นที่...
ส่วนที่ จังหวัดขอนแก่น ก็มีการจัดตั้ง “องค์กรชาวบ้านเพื่อการพัฒนา” โดยมี “สุพัฒน์ ดีศรี” จากอำเภอหนองเรือเป็น ผู้นำ (ความจริงองค์กรนี้เกิดมาจาก NGOs โลกขาใหญ่ จาก “แก๊งค์” RDI ม.ขอนแก่น นำโดย“บัญฑร อ่อนดำ และคณะ” เป็นคนไปจัดตั้ง ต่อมาพัฒนาถึงขั้นจดทะเบียนไปเป็น “มูลนิธิ” อะนะ...การถือกำเนิดองค์กรประเภทนี้ล้วนใช้เงินจาก “แหล่งทุนหน้าโง่” โดยมีขาใหญ่เอ็นโตดีเป็นคนหาหมากกระตังค์มาให้...เช่น การเกิดของ “มูลนิธิกริด” “มูลนิธิเนท” เป็นต้น...เฮ้อ...)...
อ้าว แล้วอย่างเนี๊ยะ “สกย.” มันคลานออกมาจาก “ช่อง..” ของใครเค้าหล่ะ ? ...เพือกเมริงอยากจะรู้มั๊ยหล่ะ...กรูจะฝอยให้ฟังบัดเดี๋ยวนี้...
ขอรวบรัดตัดตอนอีกสักครั้ง!!!...เรื่องของเรื่องแมร่งเป็นอย่างเงี๊ยะกร๊าบบบจ้าวววนายยย...
กล่าวอย่างสั้น... “สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน” (สกย.-โปรดสังเกต “ตัวย่อ” ของสมัชชาฯครั้งแรก ไม่มีตัวอักษร “อ.” ต่อท้ายอะนะ...มันมีที่มาที่ไปเดี๋ยวก็รู้อะนะ) ถูกออกแบบจัดตั้งโดย “กลุ่ม NGO โลก” 2 “กลุ่มนักวิชาการ” / “กลุ่มครู” / “กลุ่มผู้นำองค์กรชาวนาชาวไร่” อันมีจุดเป้าหมายร่วมเพื่อคัดค้าน “ร่าง พรบ.สภาการเกษตรแห่งชาติ” ที่นำเสนอโดย รัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่กำลังอยู่ในขั้นแปรญัตติวาระที่ 2
แต่รัฐบาลและรัฐสภาสมัยชาติชาย ก็ถูกพวกกุ๊ยส์ “รสช.” ยึดอำนาจไปซะก่อนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 อะนะ...ต่อมาเมื่อมีรัฐบาลส์ “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” อานันท์ ปันยารชุน ก็มอบหมายให้ “อาชว์ เตาลานนท์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โควตา CP. ในสมัยนั้นพิจารณายกร่างกฎหมายนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และผ่านคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองทางเศรษฐกิจในวันที่ 31 กรกฎาคม 2534
ทำให้หลังจากนั้นเกิดการก่อตัวคัดค้านกฎหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง...มีการจัดสัมมนาวิพากษ์ พรบ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ เป็นระยะ ๆ ...จนในที่สุดขบวนชาวนาชาวไร่จากภาคอีสานกว่า 500 คน ได้เดินขบวนเข้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อร่วมงาน “มหกรรมเสียงจากผู้ไร้สิทธิ” (Voice of Voiceless)ระหว่างวันที่ 6-16 ตุลาคม 2534 ณ ท้องสนามหลวง และหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (...กรูเคยบอกเพือกเมริงแล้วว่า พวก NGOs โลก แมร่งชอบเหลือเกินการจัด “มหกรรม” เนี๊ยะนะ...และงานนี้ก็นำโดย เอ็นโตดีขาใหญ่“เปี๊ยก แมวเหมียว”-บำรุง บุญปัญญา น่าแหละ ฮัดเช้ย!!!)...
และเมื่อจบสิ้นงานลงไปพวกเค้าก็ได้ก่อตั้ง (อีกแว๊ววว!!!) “คณะกรรมการประสานงานติดตามร่าง พรบ.สภาการเกษตรแห่งชาติ” ขึ้นมาหนึ่งชุดอะนะ โดยในเบื้องต้นก็ได้มอบหมายให้นี่เลย... “เหี้ยมป๋า”-สมภพ บุนนาค เป็น ผู้จัดการ และทำหน้าที่ ประสานงาน ด้วยอะนะ...แต่แมร่งก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอะนะ นอกจากการ “จัดสัมมนาระดมสมอง” ตามที่เพือกแมร่งถนัดกันนัก...โดยแบ่งเป็นเขตย่อย ๆ ในภาคอีสานเป็น 4 เขต ก่อนจะมีการเรียก ประชุมใหญ่ “สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน” ครั้งแรก ที่ คริสต์จักรขอนแก่น อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 4 - 6 มีนาคม 2535 มีตัวแทนชาวนาชาวไร่กว่า 500 คนเข้าร่วมอะนะ...
และที่ต้อง “ตรา” ไว้ก็คือ มี “ปัญญาชน” เข้าร่วมเยอะพอสมควร ที่สำมะคัญก็นี่เลย...เหลืองอ๋อย-ชัยอนันต์ สมุทวณิช, อภิชัย พันธเสน, บัณฑร อ่อนดำ, ทองใบ ทองเปาด์, “เปี๊ยก แมวเหมียว”-บำรุง บุญปัญญา, สน รูปสูง, บำรุง คะโยธา, ประสิทธิ์ มากวงศ์ เป็นอาทิ...
จากนั้นคณะกรรมการก่อตั้งสมัชชาฯ ก็ได้ประกาศแต่งตั้งให้ “คารวะ น้อยโสภา” ผู้นำชาวนาจาก สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ร้อยเอ็ด เป็น “เลขาธิการ สกย.” คนแรก อะนะ...(ไม่ใช่ เสี่ยโย-บำรุง คะโยธา อย่างที่หลายคนชอบแอบอ้าง บิดเบือน และอยากให้เป็นประวัติศาสตร์อะนะ...อันนี้ไม่ฮานะฮะ!!!)...อย่ามาถามว่า การจัดประชุมใหญ่ สกย. ขนาดคน 500 คน เค้าเอาเงินมาจากใหน ? อยากรู้ให้ไปถาม “ผู้ประสานงาน” ที่ชื่อ สมภพ บุนนาค กัลล์เอาเอง...
ก็แหม!!!...แค่เพือก กป.อพช.อีสาน เค้าเพิ่งจัดงาน “มหกรรมภาคประชาชน” ไปเมื่อวันที่ 25 – 27 มกราคม 2553 ที่ บึงแก่นนคร จ.ขอนแก่น มีคนมาร่วมแค่ 300 – 400 คน เค้าสวาปามเงินจัดงานไปกว่า 2,700,000 บาท อะนะ...โอ้ย..ภาคประชาชนเข้มแข็งเหลือเกิน เวลาเพือกแมร่ง กป.อพช.อีสาน ด่าคนอื่นก็ว่า เค้าเอาเงินเป็นตัวตั้ง แล้วเพือกเมริง “เอาครวยเป็นตัวตั้งเด่ !!” ไม่ใช่ “เอาเงินเป็นตัวตั้ง” หรือยังงัยว่ะสาดดดด!!!....
ขอย้อนกลับมาที่เรื่องการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อ “โค่นล้ม คจก.” อีกรอบ...เนื่องเพราะมันส์เกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างแยกกัลล์ไม่ออกกับการเคลื่อนไหวอันคึกโครมของ “สกย.” หลังเหตุการณ์ณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” อะนะ...
ภายหลังที่ “เฒ่าขี้ดื้อ”-นคร ศรีวิพัฒน์ ได้จัดทัพปรับขบวนแถว “ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” ในภาคอีสาน และเสริมทัพหน้าด้วย “กลุ่มแอ๊คติวิสต์” รุ่นใหม่เข้าไปเขย่างานในภาคอีสาน โดยวางจุดหนักไว้ที่อีสานใต้ (โคราช-บุรีรัมย์) โดยใช้ “มูลนิธิครูทิมบุญอิ้ง” อันมี “ตุ๋ย ลูกทุ่งสัจจธรรม”-ชวลิต ยอดพงษ์พิพัฒน์ ซึ่งเป็น ผู้จัดการมูลนิธิฯ ในขณะนั้น ผนวกเข้ากับ “โครงการพัฒนาสหกรณ์ชาวนา” ของ “สัง”-วีรพล โสภา...
ขณะที่ เฒ่าขี้ดื้อ กำลังออกแบบวางแผนจัดตั้งองค์กรประสานงานขบวนชาวนาชาวไร่ภาคอีสานยุคใหม่อยู่นั้น ก็เกิดกรณีความเดือดร้อนของชาวนาชาวไร่จาก “โครงการจัดสรรที่ทำกินให้กับราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม (คจก.) ขึ้น...อันที่จริง โครงการ คจก. เนี๊ยะนะถือกำเนิดขึ้นในราวเดือนเมษายน 2533 โน่นแหนะ สมัยนายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน อะนะ...ตะแกก็อาศัยอำนาจ “ทหาร” จากตำแหน่ง “ผู้อำนวยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” (ผอ.ปค.) ออกคำสั่งให้ “กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน” (กอ.รมน.) เป็นหน่วยงานหลักและประสานให้เกิดโครงการ คจก. โดยมีแผนงาน 5 ปี (เริ่มปี 2534 – 2538) ใช้งบประมาณ 12,000 ล้านบาท มีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง 64 หน่วยงาน ภายใต้การควบคุมของกองทัพภาคที่ 2 กระทรวงกลาโหม...
เอาละทีนี่ยังไม่ได้ลงมือทำงานเลยก็เจอกับ “คู่ปรับเก่า” ของจริงซะแล้ว!!!....
หลักการสำมะคัญของคจก. ก็คือ การย้ายคน “อพยพ” ชาวบ้านออกจากป่า ทั้งป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งป่าอนุรักษ์หรือเขตป่าสมบูรณ์ เพื่อให้ “นายทุน” มาสัมปทานปลูกสวนป่ายูคาฯ โดยอพยพชาวบ้านให้มารวมอยู่ในหมู่บ้านที่ทางการจัดให้ ซึ่งเกือบทั้งหมดเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านสันติสุข” ดู้ดูแมร่งทำอ้ายยยสาดดด....และเมื่อเพือกโจรใจทรามสันดานบาป เพือกขุนทหารชาติสถุลล์สกุลสัตว์ อย่าง “รสช.” ทำรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 แทนที่แมร่งจะยกเลิก โครงการ คจก. เพื่อเอาใจชาวบ้าน แต่ชาติสถุลล์สกุลสัตว์อย่างเพือกมันส์ยิ่งเห็นช่อง “ผลาญงบประมาณ” จึงสั่งการเร่งด่วยให้กองทัพภาคที่ 2 รีบจัดการตามแผนงานอย่างเร่งด่วนที่สุด!!!...
เอาหละกร๊าบบ ๆ ๆ งานเข้าแล้วกร๊าบบบ...พี่...กร๊าบบบ!!!....ด้วยเหตุดังนั้น...จึงเกิดการไล่รื้อยกแรกพร้อม ๆ กันทั่วภาคอีสาน 22 ป่าใน 11 จังหวัด...แต่จุดหนักอยู่ที่ “บ้านหนองใหญ่” อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา แน่หละ...มันส์คือ อดีตเขตงาน พคท.อีสานใต้ นั่นเอง...ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น “กลุ่มครู” นำโดย “ส.เพิก” , “ส.ไม้แดง”, “ส.พิง”, ครูสุชาติ ชอบพิมาย ที่ถือว่าเป็น “เจ้าถิ่น” ดั้งเดิม ก็ต้องไว้ลายอะนะ...งานนี้ต้องร่วมกัลล์ตะโกนเสียงดัง ๆ อะนะ... “เพือกกรูยอมไม่ได้ ๆ ๆ ตายเป็นตาย!!!...”
ก็ประสานเข้ากับ “กลุ่มนักศึกษา” ก็นี่เลยแกนนำหลัก ๆ มาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง “กลุ่มนักศึกษาราม 5 ค่าย” ตัวเจ๋ง ๆ ก็อย่าง “โป๊ะ”-เจษฎา โชติกิจภิวาทย์, “นู”-ธนู จำปาทอง, “ทัก”-พิทักษ์ เกิดหอม, “ปุ๋ย” นันทโชติ ชัยรัตน์, “ติ๋ง”-อภิชาติ ศิริสุนทร, “ต๋อม” จักรพงษ์ ธนวรพงษ์, “ไก่ดำ”, “ไก่ขาว”, “โรจน์ สืบนาคะเสถียร”, “ดิษ” ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์...
อ้าว แล้ว “บารมี” ไปหลบอยู่ไหนน๊า...อ้อ...โผล่มาแว๊ววกร๊าบบอยู่แถว ๆ “หลวงพ่อประจักษ์” นั่งกอดชายจีวรหลวงพ่อประจักษ์อยู่แถว ๆ “สำนักสงฆ์เขาน้ำผุด” อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ ใกล้ ๆ นี่เอง...เอ้า...ฮา ๆๆๆ!!!...อ้าว เอ้อ กรูเกือบลืมไป
การต่อสู้ครั้งกระโน้นหากไม่ได้ “นักข่าวหัวเห็ด” จาก “สำนักข่าวพิเศษ” นามอุโฆษชื่อ “ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์” นำเสนอทางข่าวพิเศษรายสัปดาห์ กระแสคนชั้นกลางและสื่อเหี้ย ๆ สำนักอื่น ๆ คงไม่ติดตามเสนอข่าวอย่างถูกต้องยุติธรรมเป็นแน่แท้!!!...งานนี้กรู ก็ขอควรวะสักพันจอกกร๊าบบบจ้าวววนายยย!!!...
ส่วน “ไอ้เหี้ยมเอก”-ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ซึ่งดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ “สนนท.” กลับ “ปฏิเสธ” ไม่ยอมเข้าร่วมการต่อสู้กับพี่น้อง “บ้านหนองใหญ่” อย่างสิ้นเยื่อใย...โหย กรูบอกเพือกเมริงนานแว๊ววว ว่าไอ้หมอนี่นะแมร่ง “ขี้ปร๊อด” แต่ไหนแต่ไร ฮา ๆๆ...ส่วน “กลุ่ม NGOs” ที่เข้าหนุนช่วยชาวบ้านหนองใหญ่อย่างแข็งขัน ก็นี่งัย “กลุ่ม YT” อันมี “น้อย” “ไท” “หมู” เป็นอาทิ และ “มูลนิธิดวงประทีป” นำโดย “ครูแอ๊ด” “เฒ่าขี้ดื้อ” “บ้า” “เบิ้ม” “นก” “ต้อย” “วสุรี” “ไอ้ติ่ง บางเตย” “อีแตน แดนสลัม” ฯลฯ....
เมื่อปลายฝนต้นหนาวปี 2534 ใกล้เข้ามาเยือน...ก็เดือนกันยายน 2534 นั่นแหละสัด ...ปฏิบัติการ “ไล่รื้อ” ของ “ทหาร” ก็เริ่มขึ้น เพือกมันส์ทำการไล่รื้อชาวบ้านจำนวน 450 ครอบครัว สำเร็จชั่วในพริบตาเดียว แล้ว “กวาดต้อน” ชาวบ้านเหมือน “เชลยศึก” ไป “ขัง” ไว้ยัง “บ้านสันติสุข”...โอ้ อนิจจา!!!
อย่าเพิ่งตกใจจนขี้แตกกร๊าบบบจ้าวววนายยย...มันก็เหมือนหนังไทยอะนะ แมร่งมีฝ่ายโจร ก็ต้องมีฝ่ายพระเอกกร๊าบบบ...ในจำนวน 450 ครอบครัว ก็มีหน่วยกล้าตาย 38 ครอบครัว ไม่ยอมอพยพไปตามที่ทหารบังคับ แต่กลับไปรวมตัวที่ “ศาลาวัดสระตะเคียน” แล้วยึดพำนักอยู่ต่อสู้แบบถาวร ตายเป็นตายและออกแบบจัดตั้งองค์กรสู้รบในนาม “ศูนย์อพยพคนไทยวัดสระตะเคียน” (...ที่ในชั้นหลัง “ไอ้สัปรังเคขี้เหลืองอ๋อย”-ประพาส โงกสูงเนิน นำไปเป็นต้นแบบจัดตั้ง “ศูนย์อพยพคนไทยไร้แผ่นดิน” ที่ อ.สูงเนิน โคราช ภายหลังที่ “อมเงินสินเชื่อ” กว่า 20 ล้านจาก “แหล่งทุนหน้าโง่” พอช.อีสาน มาซื้อที่ดินแบ่งปันทำกินกันตายงัยสัด!!! เข้าใจหรือยัง ??? หา...) ...
เมื่อประกาศต่อสู้ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด...การวางแผนยุทธศาสตร์ก็เริ่มขึ้น ทั้ง “กลุ่มครู” “กลุ่มนักศึกษา” “กลุ่ม NGOs” และ “กลุ่มแกนนำ 38 ครอบครัว” ได้ออกแบบสู้รบระยะยาว...กลุ่มนักศึกษาจากรามคำแหง เก็บเสื้อผ้ายัดใส่ถุงปุ๋ย เมื่อ “กราบพ่อขุนราม-แฮ่ม !!!” ก็เดินทางจาก “ประตูหน้าราม” มุ่งหน้าเข้าหามวลชน “ศูนย์อพยพคนไทยฯ” ทันที!!!...ด้าน “มูลนิธิดวงประทีป” ร่วมกับ “ศูนย์รวมเยาวชน 18 กลุ่มคลองเตย” “สหพันธ์เยาวชนคลองเตย” (สยต.) นำโดย“ต้อยคอตก” “ไฝ ล็อค 1-2-3” “หน่อย ร่มเกล้า” “ไอ้ติ่ง บางเตย” “ไอ้แขก 70ไร่” และ “อีแตน แดนสลัม” จัดทำ “กองผ้าป่า” รับบริจาคเงินได้หลายกำปั้น และเรียกระดมแกนนำเยาวชนด่วน ทำการเช่ารถบัส 2 คันมุ่งหน้าสู่ศูนย์อพยพฯ เช่นเดียวกัน...เพราะชาว สลัมคลองเตย ก็มีปัญหาทหารกำลังจะไล่รื้อสลัมคลองเตยเหมือนกัน ก็มีศัตรูตัวเดียวกันคือ “รสช.” ยังงัยหละสาดดด....
เอาหละครานี้จำเป็นต้อง “บุกกรุงเทพฯ” เป็นแม่นมั่น...ขืนอยู่แต่ที่ศูนย์อพยพนซึ่งไกรปืนเที่ยงซะเหลือเกิน...มีหวังสักวันแมร่งเพือก รสช. ส่งทหารมากระทืบชาวบ้านจมธรณีเป็นแน่แท้...เมื่อแกนนำประชุมมีมติเป็นแบบนั้น...ก็กำหนดระดมชาวบ้านเข้ากรุงเทพฯกว่า 300 คน...การเดินทางแบบทุลักทุเลก็เริ่มขึ้น
(ก็แมร่งชาวบ้านกลุ่มนี้ไม่มี “เงิน” เช่าเหมารถบัสเหมือนเพือก เอ็นโตดี ที่มาร่วมงาน “มหกรรมเสียงผู้ไร้สิทธิ” ยังงัยเล่าไอ้ห่าราก...) ชาวบ้านทยอยกันมา และเข้าซ่อนตัวใน “สลัม” กรุงเทพฯ...ก่อนจะเดินทางไปยัง “ทำมะสาด” ในวันคืนหมาหอน เอ้ย “14 ตุลาคม 2534” ...กะว่าจะไปร่วมชุมนุมแล้วโน้มน้าวแกนนำทั้งหลายให้ร่วมผลักดันการต่อสู้ของชาวบ้านศูนย์อพยพฯให้บรรลุเป้าหมายอะนะ...
แต่อย่างว่านั่นแหละพี่น้อง พอชาวบ้านกว่า 300 คน ไปร่วมงานมหกรรมฯ ที่หอใหญ่ ทำมะสาด...แมร่ง ชาวบ้านแทบน้ำตาไหล ก็แมร่งเพือก “ไอ้เปี๊ยก แมวเหมียว” กับ ทำพีธีกรรมทางไสยศาสตร์ “เผาพริกเผาเกลือ” ...แมร่ง ช่าง “วัฒนธรรมชุมชน” สุด ๆ เลยนะอ้ายยยสาดดด...
แถมตอนเดิน “ขบวน” เพื่อรำลึก 14 ตุลาคม 2516 ไปที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ยังถูก “เหี้ยมเอก” เลขาธิการ สนนท. หักหลัง สั่งยุติการชุมนุมดื้อ ๆ ปล่อยให้ชาวบ้านเคว้งคว้างไม่มีที่ไป...แมร่งแทนที่จะเดินทางไปกดดันรัฐบาลที่ทำเนียบ กลับไม่ยอมทำ สิ่งไม่ให้ทำเสือกทำ..สาดดด...
กรูเห็น “กลุ่มนักศึกษารามคำแหง” ยืนร้องเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่อนุสาวรีย์ฯ ตอนเที่ยงคืนแล้วอยากจะเตะปากหมาสักป๊าบว่ะ...อ้าวนั่น“ไอ้เหี้ยมดิษฐ์”-ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นี่หว่า เห็นเช็ดน้ำตามปาด ๆ สงสัยวินาทีนั้นแมร่งคง “อิน” กับปัญหาชาวนาชาวไร่สุด ๆ ...แต่แมร่ง “วินาที” นี้ แมร่ง คง “อิน” แต่กับเพือกอำมาตย์อะนะสาดดด!!!!....
“กลุ่มนักศึกษารามคำแหง” จึงได้นำชาวบ้านกว่า 300 คน เดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยประชาชนย่านบางกะปิ (ไม่นง ไม่นอน แมร่งแล้ว เชี้ยทำมะสาด สัด...) บุกเข้า งัดตึกเรียน/ตึกกิจกรรมในมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อหาที่พักกาย พักใจ ของชาวนาชาวไร่ยากจนเป็นการชั่วคราว...ขอปรบมือให้กับกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวทั้งผู้ที่มีชีวิตอยู่และเสียสละไปบ้างแล้ว...(เอ้า...เพือกเมริงยืนกำครวยอยู่ทำไม ปรบมือเร็ว!!!)
ลุเข้าปี 2535 สถานการณ์การต่อสู้เพื่อล้มโครงการ คจก. ยังไม่มาไม่ไป...แต่สถานการณ์ทางการเมืองกลับกำลังแหลมคม...กลุ่มแกนนำทุกกลุ่มที่สนับสนุนการต่อสู้ คจก. ประชุมวิเคราะห์สถานการณ์ที่ศูนย์อพยพคนไทยวัดสระตะคียน และในที่เร้นลับอีกหลายแห่ง...มีข้อสรุปว่า ต้องจัดชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ปิดลำตะคลอง ภายใต้การออกแบบ “ยุทธการลำตะคลอง” ก็ถูกกำหนดขึ้นว่าจะดำเนินการราว ๆ เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2535 นั่นแหละ....
แต่เนื่องจากสถานการณ์ในกรุงเทพฯเริ่มสุกงอม ทำให้แผนยุทธการลำตะคลองต้องถูกเก็บพับไว้ก่อน...กลุ่มแกนนำทั้งหมดสรุปร่วมกันว่า อันอำนาจล้นฟ้าเวลานี้คือ รสช. หากนำพาพี่น้องเข้าร่วมต่อสู้ ขับไล่เผด็จการ รสช. ออกไปแล้ว...การผลักดันให้รัฐบาลชุดใหม่ให้ ยกเลิก คจก. แก้ไม่ใช่เรื่องยากนัก...
ดังนั้น ภายหลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” ไม่นานนัก... “เปี๊ยก แมวเหมียว” ก็มา “ชุบมือเปิบ” (...ก็อย่างที่กรูได้บอกแล้วงัยว่า เมื่อล้ม รสช. ได้แล้ว ปัญหาพิ้นฐานที่สู้กันในระดับพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดิน น้ำ ป่า แร่ธาตุ ก็ต้องได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลชุดใหม่ที่ต้องเอาใจประชาชน เพราะกระแสประชาธิปไตยมันส์พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด...พูดแบบไม่เกรงใจ คือ วินาทีนั้นใช้ “หมา” นำ “ม๊อบ” ใหน ๆ ในประเทศไทยก็ชนะว่ะ...แต่ประเด็นกรูคือ ชาวบ้านหนองใหญ่ กับ กลุ่มครู / กลุ่มนักศึกษาราม / กลุ่ม NGOs และแกนนำชาวบ้านที่ศูนย์อพยพคนไทยฯ เค้าสู้เป็นสู้ตายมาเป็นที่แรก และมีการวางแผนจะชุมนุมใหญ่ “ยุทธการลำตะคลอง” ก่อนพฤษภาทมิฬ 2535 แล้ว และเมื่อหลังพฤษภาทมิฬ 2535 เพือกเค้าก็เตรียมจะทำตามแผนยุทธการฯ อยู่แล้ว...และจู่ ๆ แมร่งโผล่มาจากไหนกันว่ะเนี๊ย...แต่ชาวบ้านหนองใหญ่และภาคีก็เข้าร่วมการชุมนุมแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะเพือกเค้าถือว่า ใคร “นำ” ก็ได้ แต่ขอให้ชนะก็แล้วกัลลล์...งานนี้จึงเป็นที่มาของการช่วงชิง “สกย.” มาจากสาย กป.อพช.อีสาน ในเวลาต่อมา...ซึ่งกรูจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไป...แมร่งโคตรมันส์สุด ๆ ขอบอก!!!...)
และเค้าก็สั่งระดมไพร่พลในสายอุปถัมภ์ของ กป.อพช.อีสาน เปิด “ยุทธการปากช่อง” โดยมี “เสี่ยโย”-บำรุง คะโยธา ผู้นำชาวนากลุ่มผู้เลี้ยงสุกรภาคอีสาน เป็นแกนนำสำคัญในการควบคุม “ม๊อบ” เรียกว่างานนี้ “เสี่ยโย” ได้แจ้งเกิดใน “วงการ” อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกอะนะ และคณะกรรมการจัดชุมนุมมีมติกลางดึกวันที่ 24 มิถุนายน 2535 ให้ “เดินทางไกล” สู่ประตูอีสาน (เขาน้อยปากช่อง) และเริ่มเดินทางไกลก็เริ่มขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน 2535 และต่อมาในวันที่ 5 กรกฎาคม 2535 รัฐบาล “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” ก็ส่งตัวแทนมาเจรจา ผลก็คือ รัฐบาลยกเลิกโครงการ คจก. ให้ชาวบ้านกลับคืนที่ทำกินเดิม และให้ถอนฟ้องผู้ต้องหาในคดี คจก. ทั้งหมด...
และผลพวงของการชุบมือเปิบครั้งกระโน้น ก็ได้มาซึ่งการจัดตั้ง “สมัชชาชาวนาชาวไร่ภาคอีสานเพื่อรับรองสิทธิที่ดินทำกินและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ” (สดท.) อันมี “เปี๊ยก แมวเหมียว” เป็น ประธานตลอดกาล และในปัจจุบันมีไม่แน่ใจว่าใช่ “หนูเกณฑ์ จันทาสี” เป็น เลขาธิการ หรือไม่???....เพราะองค์กรนี้ไม่มีกิจกรรมเคลื่อนไหวมานานแล้ว...เหลือแต่ “ชื่อ” และซากความทรงจำที่เลือน ๆ ไปแล้วในจิตใจของชาวนาชาวไร่อีสาน...
แต่เอ๊ะคลับคล้ายคลับคลาว่า เมื่อครบรอบ 15 ปี ของการต่อสู้ คจก. ทาง “เปี๊ยก แมวเหมียว” จัดงานรำลึก 15 ปี คจก. เห็นว่าจัดที่บึงแก่นนคร ทำคล้าย ๆ งาน “อีเวร-event” หรือ “มหกรรมภาคประชาชน” อะไรเทือกนั้นแหละ...มีการปลูก “กระท่อมน้อย” หลายหลังอะนะ...แต่มีหลังหนึ่งเมื่องานเสร็จงานแล้วไม่ยอมรื้อถอน....นัยว่าขาใหญ่เค้าเอาไว้ซ่องสุมสานุศิษย์รุ่นใหม่ ๆ เอ้อ ก็แปลกดีนะ...อ้าว จะมีใครไปช่วยพี่แกเค้ารื้อหรือเปล่าหนอ!!!
หลังจากจบกรณี คจก. ดังกล่าว ขบวนการประชาชนอีสาน ก็เข้าสู่ยุคใหม่ คือ ยุคของ “สมัชชากรรายย่อยภาคอีสาน” (สกย.อ.) ซึ่งการขับเคี่ยวระหว่างวิธีคิดของ “สำนักวัฒนธรรมชุมชน” กับ “สำนักเศรษฐศาสตร์การเมือง” ก็เป็นการต่อสู้ การช่วงชิงนิยามกันผ่านกระบวนการต่อสู้ของพี่น้องชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน ซึ่งก็ผลัดกันเป็นฝ่ายรุก ผัดกันเป็นฝ่ายรับ...ยังไม่มีใครสามารถทำทั้ง “รุก” ทั้ง “รับ” แบบ “เสี่ยสุรเกียรติ์” ได้อะนะ ...ว้าย ๆ ๆ มายังงัยเนี๊ยสาดดด....สาธุชนคงต้องติดตามกันยาว ๆ พอ ๆ กับการต่อสู้ระหว่าง “เหลือง” กับ “แดง” นั่นแล.....
ไอ้เรื่อง “คุณูปการ” ด้านดีของ “ปัญญาชน” ทั้งหลายทั้งปวงที่มีชื่อข้างต้นเหล่านี้ก็ควรค่าแก่การคารวะ และควรค่าแก่การ “เก็บไว้กลางใจชน”
แต่ไอ้เรื่อง “เหี้ยมๆ” ที่แมร่งเพือกมันไปเป็นสมุนรับใช้ “ศักดินามหาอำมาตย์” เลือดเย็นที่ไม่เคยยิ้มเงี้ยะ...ไปตอกดาก ไอ้เหี้ยมกระเทยเฒ่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาเงี๊ยะ...ไปเลียกระโปกไอ้เหี้ยมแป๊ะลิ้ม เงี๊ยะ...ซ้ำมิหนำยังเสือกไปเปิดประตูบ้านให้ ขุนทหาร อัปปรีย์จัญไรมาย่ำยีบีฑาพี่น้องประชาชนไทยนี่ซิ...แมร่งกรูต้องบอกว่า อย่างเงี๊ยะมันต้องเก็บไว้ “กลางส้นตีนของมวลมหาประชาชน”...
และกระทืบแมร่งให้จมธรณีไปเลย
****************
บทความตอนที่ผ่านมา:NGOsที่รัก(6):กป.พอช.กับประชาสวามิภักดิ์ศักดินานิยม