ที่มา Thai E-Newsตึงเครียด-ผู้ชุมนุมเสื้อแดงบางส่วนบุกเข้าไปในสำนักงานกกต. แต่ไม่มีเหตุปะทะรุนแรง โดยนั่งเผชิญหน้ากับตำรวจ และพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ได้เป็นตัวกลางโทรคุยกับนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. ซึ่งรับปากว่าจะพิจารณาสำนวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เสร็จภายในวันที่ 20 เม.ย. ผู้ชุมนุมพอใจและยุติการชุมนุมกลับไปแยกราชประสงค์ โดยประกาศว่าในว้นที่ 20 จะกลับมาชุมนุมที่กกต.เพื่อขอคำตอบและลุ้นให้ชี้ขาดยุบพรรคประชาธิปัตย์(ภาพข่าว:REUTERS)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
5 เมษายน 2553
เสื้อแดงไม่เคลื่อนบุกสีลม ขอตรึงราชประสงค์-จี้กกต.คดีปชป.258ล้าน สุดท้ายได้คำตอบยุบ-ไม่ยุบภายใน20เมษายนนี้
เมื่อเวลา 10.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นพ.เหวง โตจิราการ ร่วมกันแถลงข่าว โดย นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดง มีสิทธิ์ที่จะชุมนุม ปักหลักอยู่ที่แยกราชประสงค์ต่อไปโดยจะไม่มีการรื้อถอน และเคลื่อนย้ายการชุมนุม ถึงแม้ว่า รัฐบาลจะออกคำเตือน รวมทั้ง จะดำเนินการฟ้องศาลก็ตาม ซึ่งในขณะนี้ ทาง นชป. ได้ให้ฝ่ายกฎหมายไปเตรียมตัวรออยู่ที่ศาลแล้ว เพื่อเตรียมยื่นคำร้องขอคัดค้านการยื่นของรัฐบาล ที่จะมีการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม นปช. มีความเคารพในดุพินิจและคำวินิจฉัยของศาลที่จะออกมาซึ่งศาลหากศาลมีความเห็นว่า ให้คนเสื้อแดงเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แยกราชประสงค์ ฝ่ายกฎหมายของนปช. ก็พร้อมที่จะขอยื่นอุทธรณ์คำสั่งในทันที
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงข่าวที่รัฐบาลเตรียมที่จะออกหมายจับแกนนำ นปช. ทั้ง 4 คนนั้น ว่า ตนได้รับทราบข่าวมาว่า ในวันพรุ่งนี้ (6 เม.ย.) ทางรัฐบาลได้เตรียมตำรวจหน่วยอรินทราช ไว้คอยรวบตัว แกนนำนปช. ซึ่งตนขอฝากบอกไปยังรัฐบาลได้เลยว่า ถ้าอยากจะจับพวกเราก็ขอให้จับเลยในวันนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ถ้ามีหมายจับออกมาพวกเราจะไม่หนีไปไหนจะให้จับอยูที่นี่
"หากแกนนำนปช.ทั้ง 4 คน ถูกจับ เราได้เตรียม แกนนำรุ่น 2 แต่ถ้าหาก แกนนำรุ่นที่ 2 ถูกจับ เราก็มีแกนนำรุ่น 3 เอาไว้และถ้าหากแกนนำรุ่นที่ 3 ถูกจับอีกคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินก็ให้แปรตัวเป็นกองทัพเสรีชนที่จะลุกขึ้นต่อสู้ในทันที ส่วน คนเสื้อแดงที่อยู่ในต่างหากเป็นไปได้ ถ้าสะดวกก็ขอให้เดินทางมาชุมนุมในกรุงเทพ ฯ แต่ถ้าไม่สามารถมาได้ ก็ให้ปักหลักต่อสู้ในพื้นที่ และ คอยรอดูสถานการณ์"
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า สำหรับในวันนี้ เวลา 12.00 น.นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนรักอุดร จะนำขบวนรถจากสะพานผ่านฟ้าฯ เพื่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง เพื่อติดทวงถามพิจารณาคดี เงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเราเห็นว่า คดีดังกล่าวมีความยืดเยื้อมาเป็นเวลานานและกกต.มีท่าทีที่จะช่วยยื้อเวลาให้กับพรรคประชาธิปัตย์
บุกกกต.ขอเคลียร์อภิชาตหากไม่ยอมพบขู่ลุย
เวลาราว 11.30 น.นายขวัญชัยนำผู้ชุมนุมถึงกกต.แจ้งวัฒนะ และเรียกร้องขอพบนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.เพื่อขอคำตอบว่าเมื่อไหร่จะมีมติดำเนินการกับพรรคประชาธิปัตย์คดี258ล้านบาท ทั้งที่หลักฐานชัด ขณะที่พรรคการเมืองอื่นมีการจ้างพยานเท็จ แต่กลับมีการยุบพรรค
นายขวัญชัยปราศรัยว่าหากนายสุชาติไม่ยอมมาพบเพื่อให้คำตอบก็อาจทำให้ผู้ชุมนุมหมดความอดทน และหากตำรวจจะสลายการชุมนุมก็พร้อมที่จะให้สลาย แต่ต้องระวังเหตุการณ์น้ำผึ้งหยดเดียวด้วย
ทั้งนี้นายขวัญชัยบอกว่าหากประธานกกต.ไม่ออกมาพบในเวลาเที่ยงจะฝ่าด่านตำรวจบุกเข้าไปพบนายอภิชาติ ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด ซึ่งในเวลาเที่ยงตรงได้มีตัวแทนกกต.ลงมาพบชี้แจงกับผู้ชุมนุม
ต่อมาผู้ชุมนุมบอกว่าคุยกับตัวแทนกกต.ไม่ได้คำตอบ ขอให้นายอภิชาตมาพบชี้แจงด้วยตนเอง โดยขีดเส้นไว้ในเวลา14.00หากไม่มาพบจะบุกเข้าไปในกกต. ต่อมาเวลา14.00นายอภิชาตไม่มาพบ และมีรายงานว่านายอภิชาติและคณะกรรมการกกต.ไม่มีใครอยู่ในสำนักงานกกต. ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเข้าไปในกกต. แต่แกนนำการชุมนุมได้สั่งให้ออกมา
ผู้การแต้มเป็นตัวกลางต่อรอง อภิชาตบอกจะพิจารณาสำนวนยุบปชป.แล้วเสร็จ20เม.ย.หวังสลายม็อบ
ในเวลา15.00น. นายสุภรณ์ หรือแรมโบ้อีสาน ปราศรัยว่า นายอภิชาตรับปากตามข้อเรียกร้องแล้ว แต่ขอให้นายอภิชาตแถลงต่อสื่อมวลชนเอง
ขณะที่นายอริสมันต์ปราศรัยว่า นายอภิชาตต้องแถลงให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่าพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ เป็นตัวกลางในการเจรจา
ในเวลา15.10น. พล.ต.ต.วิชัยขึ้นกล่าวบนเวทีเสื้อแดงที่สำนักงานกกต.ว่า ได้คุยกับผู้ใหญ่ทางกกต.ทางผู้ใหญ่บอกว่าจะพิจารณาสำนวนเสร็จวันที่ 30 เม.ย.เลยขอว่าให้ร่นเวลาลงมาหน่อย ท่านเลยว่าจะเสร็จภายในวันที่ 20 เม.ย.
จากนั้นนายสุภรณ์กล่าวปราศรัยว่า ในวันที่20เม.ย.จะกลับมาชุมนุมที่กกต.เพื่อลุ้นว่าปชป.จะโดนชี้ขาดให้ยุบพรรคหรือไม่ จากนั้นก็ประกาศถอนการชุมนุมกลับไปที่ราชประสงค์
เสื้อแดงตั้งทีมงานให้ศูนย์การค้าเปิดได้ตามปกติ เสื้อแดงยึดไม่เท่าไหร่-ผู้ชุมนุมพักเอาแรงใกล้กับป้ายโฆษณาสินค้าแบรนด์เนมในห้างสรรพสินค้าย่านราชประสงค์ ส่วนภาพล่างนักท่องเที่ยวถือโอกาสใส่เสื้อแดงทัวร์ม็อบ เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก(ภาพข่าว:AP)
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงเมื่อค่ำวานนี้ว่า แกนนำนปช. มีมติจะชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ต่อเนื่องไม่มีกำหนด จนว่านายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาเท่านั้น ในวันที่ 5 เม.ย.จะมีการเคลื่อนขบวนคนเสื้อแดงไปในพื้นที่ กทม. เพื่อยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นขึ้น โดยจะเคลื่อนพลด้วยรถยนต์เป็นหลัก ส่วนรูปแบบจะแถลงให้ทราบอีกครั้งในเวลา 10.00 น.วันที่ 5 เม.ย. ซึ่งจะคาบเกี่ยวกับประกาศของศอ.รส. ฉบับที่ 6 ที่ห้ามคนเสื้อแดงใช้เส้นทาง11 เส้นทาง
สำหรับความเดือดร้อนของกลุ่มนักธุรกิจในย่านนี้นั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทางนปช.ได้ตั้งทีมงานขึ้นมาเพื่อประสานงานกับนักธุรกิจที่ไม่สามารถเปิดกิจการได้ในขณะนี้ว่า ทางกลุ่มเสื้อแดงพร้อมจะให้ความร่วมมือและเปิดห้างได้ตามปกติ โดยถือว่า กลุ่มเสื้อแดงเป็นผู้ซื้อที่สำคัญ ที่นำลูกค้ามาถึงที่หน้าห้างนับแสนคน ดังนั้น นักธุรกิจที่เดือดร้อนสามารถส่งคนกับหารือกับทีมงานได้
"ที่ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มนปช.ที่สี่แยกราชประสงค์นั้น จะมีการเชิญผู้ประกอบการมาหารือ เพื่ออำนวยความสะดวกว่าหากผู้ประกอบการรายใดต้องการเปิดเพื่อค้าขาย ทางกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยินดีให้ความร่วมมือ"นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการในย่านธุรกิจนี้ อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ร่วมกับตำรวจ ก่อนตัดสินใจเปิดให้บริการหรือไม่ รวมถึงการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจสำหรับการชุมนุมครั้งนี้ด้วย "เบื้องต้นมีความเห็นร่วมกันว่าจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือกดดันรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างแน่นอน" นายชายกล่าว
รถไฟฟ้าเฮคนใช้บริการเพิ่มอื้อ
นายอาณัติ อาภาภิรม ที่ปรึกษาคณะกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กล่าวว่า รถไฟฟ้าบีทีเอสยังคงเปิดให้บริการประชาชนใช้บริการตามปกติ ซึ่งทางบีทีเอสได้เตรียมมาตรการรองรับความปลอดภัย ด้วยการสั่งให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ ด้วยการเพิ่มเวรยาม พร้อมทั้งประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐในการสอดส่องระวังวินาศภัย และเหตุระเบิด รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ในการปิดถนนบริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ประมาณ 300,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดิม 30,000-40,000 คน
AOCระบุชุมนุมเสื้อแดงไม่กระทบการธุรกจการบินระหว่างประเทศ แต่หากประกาศฉุกเฉินหนักแน่
นายคงศักดิ์ หิรัญพฤกษ์ ประธานคณะดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน (AOC) เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่า ปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติของไทย จำนวนผู้เดินทางยังอยู่ในระดับปกติ เฉลี่ยวันละ 80,000 - 90,000 คน ซึ่งปัญหาการเมืองดังกล่าว หากเป็นการใช้สิทธิ์ทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ก็เชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้าใจ โดยก่อนหน้านี้ นักท่องเที่ยวที่มีความวิตกกังวล และระงับการเดินทางมาไทย ก็จะเป็นนักท่องเที่ยวจากจีน หรือจากเอเซียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ได้ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวในประเทศตัวเอง ส่วนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ยังเดินทางเข้าประเทศไทย เป็นปกติ
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์นั้น ซึ่งถือเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญจุดหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เห็นว่าทำให้นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง และขาดแหล่งจับจ่ายใช้สอยไปจุดหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่จุดสำคัญที่จะกระทบทำให้นักท่องเที่ยว ไม่เดินทางมาไทย หรือกรุงเทพมหานคร เพราะการเดินทางมาประเทศไทยของนักท่องเที่ยว ผ่านท่าอากาศยานนั้น ส่วนใหญ่ ก็จะเดินทางไปท่องเที่ยวยังจังหวัดอื่นๆ ของแต่ละภูมิภาคทันที
นอกจากนี้ หากการควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของรัฐบาลยังใช้แค่ในระดับ พ.ร.บ.ความมั่นคง เท่านั้น ก็จะไม่กระทบกับความมั่นใจของนักเที่ยว แต่หากมีการประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์เมื่อใด ซึ่งเรื่องนี้จะมีปัญหาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ซึ่งก็จะสร้างความไม่มั่นใจแก่นักท่องเที่ยว และธุรกิจท่องเที่ยวได้ ซึ่งหากมีการประกาศใช้เมื่อใด คงต้องมีการประเมินผลกระทบที่เกี่ยวกับการเดินทางและการท่องเที่ยวใหม่อีก ครั้ง ที่สำคัญในส่วนของ AOC คาดหวังว่าสถานการณ์การชุมนุม จะคลี่คลายด้วยการเจรจา และไม่เกิดเหตุรุนแรงขึ้น
ทางด้านvoice tv อ้างรายงานข่าวจากสื่อมวลชนต่างประเทศว่า เห็นต่างจากรัฐบาล เชื่อการชุมนุมยังสันติ ไม่กระทบกับเศรษฐกิจ หรือการท่องเที่ยวมากนัก
นักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง0.7%ที่กลัวปัญหาการเมืองไม่กล้าแนะนำเพื่อนมาเที่ยวกรุงเทพฯฝรั่งบ่ยั่นม็อบ-นักท่องเที่ยวต่างชาติแลกเปลี่ยนเงินในใจกลางกรุงเทพฯ แม้กลุ่มเสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ในเมืองหลวง แต่ก็ไม่อาจหยุดนักลงทุนต่างประเทศให้นำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ รวมทั้งการลงทุนในหุ้นและพันธบัตร ค่าเงินบาททะยานแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 22 เดือน ส่วนหุ้นไทยขึ้นสูงสุดในรอบ2 ปี(ภาพข่าว:สำนักข่าวรอยเตอร์)
เมื่อสัปดาห์ก่อน ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่อการมาท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ในช่วงการชุมนุมทางการเมือง พบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ระบุว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นส่งผลต่อการตัดสินใจมาท่องเที่ยว กรุงเทพฯ มากถึงร้อยละ 41.4 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากการ สำรวจเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม — 1 พฤศจิกายน 2552 ที่ร้อยละ 19.3
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวร้อยละ 75.5 มีความต้องการจะกลับมาเที่ยวกรุงเทพฯ อีกครั้ง ร้อยละ 2.7 จะไม่กลับ และร้อยละ 21.8 ยังไม่แน่ใจ
ร้อยละ 82.8 ยินดีที่จะแนะนำและบอกต่อให้ผู้อื่นมาเที่ยวกรุงเทพฯ ร้อยละ 0.7 จะไม่แนะนำ (โดยให้เหตุผลว่า มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เสียงดัง และทางเดินเท้าไม่สะอาด) และ ร้อยละ 16.5 ไม่แน่ใจ
และเมื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเมืองหลวงที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด 5 อันดับแรกในความเห็นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวกรุงเทพฯ (เปรียบเทียบเฉพาะ 11 เมืองในกลุ่มเครือข่ายเมืองใหญ่แห่งเอเชีย 21 (The Asian Network of Major Cities 21 หรือ ANMC21) ได้แก่ กรุงเดลี กรุงฮานอย กรุงจาการ์ตา กรุงกัวลาลัมเปอร์ กรุงมะนิลา กรุงโซล กรุงโตเกียว กรุงไทเป กรุงย่างกุ้ง สิงคโปร์ และกรุงเทพมหานคร) พบว่า อันดับ 1 กรุงเทพฯ ประเทศไทย ยังเป้นเมืองหลวงที่น่าท่องเที่ยว ร้อยละ 31.9 อันดับ 2 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ร้อยละ 19.0 อันดับ 3 สิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ ร้อยละ 12.6 อันดับ 4 กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ร้อยละ 8.8 อันดับ 5 กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ร้อยละ 7.6
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ได้สำรวจโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป บริเวณแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาตินิยมไป 8 แห่งของกรุงเทพฯ ได้แก่ 1) ถนนข้าวสาร 2) ถนนสีลม 3) ประตูน้ำ - พระพรหม — แยกราชดำริ 4) ตลาดนัดจตุจักร - สวนจตุจักร 5) วัดพระแก้ว — วัดโพธิ์ 6) สถานีรถไฟหัวลำโพง - ถนนเยาวราช
7) ถนนสุขุมวิท - แยกอโศก 8) สวนลุมไนท์บาซาร์ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 449 คน เป็นเพศชายร้อยละ 55.5 และ เพศหญิงร้อยละ 44.5