WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, September 17, 2010

สี่ปีได้กี่ก้าว โดย กาหลิบ

ที่มา thaifreenews

โดย Porsche

เรียบเรียงโดย Nangfa


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สี่ปีได้กี่ก้าว?

โดย กาหลิบ


เขา ประมาณกันไว้ว่าต้องสิบปีขึ้นไปกว่าจะถือว่าอะไรเป็นประวัติศาสตร์ได้
เหตุการณ์บางอย่างเร้าอารมณ์ความรู้สึกของผู้มีส่วนร่วมอย่างรุนแรง
จนคิดว่าสำคัญและเป็นประวัติศาสตร์ไปหมดในขณะที่เกิด
จนเวลาผ่านไปนานพอจึงเกิดระลึกรู้ได้ว่า
อะไรสำคัญมากน้อย
อะไรอยู่นานพอที่จะช่วยกำกับสติของเราไปชั่วชีวิต (อันสั้น) ได้ และ
อะไรจะเลือนหายไป

แต่ สี่ปีหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
น่าจะเริ่มนับหนึ่งในความเป็นประวัติศาสตร์ได้
เวลาเพียงสี่ปีย่อมไม่ใช่สิบปี
แต่ความครบวงจรครั้งแล้วครั้งเล่าของเหตุการณ์การเมืองในเมืองไทย
ทำให้เราย่นย่อประวัติศาสตร์ที่ควรต้องยาวนานกว่านั้นมาพิจารณากันในเวลาอัน สั้นได้

เรา เห็นการรัฐประหารโค่นล้มทำลายระบบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
และการก่อรูปใหม่ของสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลที่เกิดจากสภานั้นถึงสองรัฐบาล
ก่อนจะเห็นประชาธิปไตยถูกบิดเจตนารมณ์ไปอีกครั้งในรัฐบาลที่สามของสภาเดียว กัน

เรา ได้เห็นการกำเนิดของมวลชนธรรมชาติ ผสมผสานกับกิจกรรมของนักการเมือง
และนักเลือกตั้งในระดับที่ไม่เคยเห็นกันมา ก่อน
จนกลายเป็นต้นทุนใหม่ของระบอบประชาชน
และเราก็ได้เห็นการล้อมฆ่าประชาชนเหล่านั้นอย่างเลือดเย็น
และไม่แสดงความ รู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆ

เรา ได้เห็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ
กลุ่มที่เห็นว่าระบอบประชาชนเกิดขึ้นแล้วจริงและพร้อมทำงานใหญ่
ในการ เปลี่ยนแปลงประเทศไทยร่วมกับมวลชนเหล่านั้น กับกลุ่มที่ไม่เชื่อว่า
เมืองไทยจะสามารถพัฒนาการเมืองไปได้มากกว่าที่เป็น อยู่
และพร้อมกระโดดกลับไปร่วมเตียงกับมหาอำมาตย์และบริษัทบริวาร
ที่ประชาชนลุก ขึ้นสู้
และถูกเขาฆ่าตายไปเป็นร้อยๆ เพื่อความอยู่รอดและความรุ่งเรืองของตน

นี่คือตัวอย่างของความครบวงจรและการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย
ในเวลาอันสั้นจากรัฐประหารครั้งที่ ๑๐ ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย

แล้วเราเดินสู่ถนนสายประชาธิปไตยได้เพิ่มอีกกี่ก้าวในสี่ปีนี้?

๑. การกำเนิดขึ้นของระบอบประชาชน/มวลชนที่ไม่ต้องคอยรับน้ำเลี้ยง
และวิ่งหาพ่อแม่ทางการเมืองจากหน้าไหน

๒. การเปิดเผยปัญหาของระบอบการเมืองไทยจนถึงที่สุดและมีความกล้าหาญ
ในการ แสดงออกเพิ่มขึ้นทุกวันโดยไม่หวั่นเกรงอิทธิพลและบารมีใดๆ เหมือนก่อน

๓. การคัดกรองนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในใจประชาชน
โดยแบ่งออกเป็นพวกที่สู้ถึงที่สุดและไม่ถึงที่สุด (บางคนใช้คำว่า “บางซื่อ/หัวลำโพง”)

๔. มวลชนผู้มีความรู้และทักษะต่างระดับถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพในขบวนประชาธิปไตย

๕. ความสนใจและการมีส่วนร่วมทางการเมืองแผ่กว้างและลงลึกในสังคมไทย
โดยไม่แบ่งชนบทและเมือง ไม่แบ่งอายุ เพศ ภูมิหลังของชีวิต ศาสนา
และแม้กระทั่งระดับการศึกษา อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในสังคมของเรา

ก้าว เดินเหล่านี้เดิมเป็นเพียงฝันของบรรพบุรุษประชาธิปไตยอย่างคณะเปลี่ยนแปลง
การปกครองเมื่อ รศ. ๑๓๐ และคณะราษฎร์ใน พ.ศ.๒๔๗๕
แต่บัดนี้กำลังเกิดขึ้นและเข้มแข็งขึ้นด้วยสถานการณ์
จนแทบจะบอกไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

แน่ นอนว่ายังอีกหลายก้าวนักกว่าจะถึงหลักชัยอันสมบูรณ์
แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าก้าวเดินเหล่านั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง
เพราะเส้นทางสว่างขึ้นจากก้าวที่เราเดินร่วมกันมาแล้ว
และจุดคบมาเรื่อยๆ ตามรายทาง

ความใส่ใจและมีส่วนร่วมของประชาชนต้องกลายเป็นความมั่นใจและกล้าหาญพอ
ที่จะลุกขึ้นสู้

นักการ เมือง/นักเลือกตั้งที่ไม่ยอมพัฒนา
เอาประโยชน์เฉพาะหน้าของตนและเครือข่ายเป็นหลัก
จนเสียระบอบประชาธิปไตยครั้ง แล้วครั้งเล่า ต้องออกไปจากการเมือง


ต้อง ประกาศศัตรูตัวจริงของระบอบประชาธิปไตยไทยอย่างไม่คลุมเครือ
อธิบายทักษะทางการเมือง
และวิถีอำนาจของเขาจนเป็นที่แจ่มแจ้งโดยทั่วกัน
เพื่อ เป็นฐานการต่อสู้ของฝ่ายประชาชน

และอื่นๆ อีกมาก

รัฐ ประหารเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ คือ
ความมืดมิดของบ้านเมืองจริง แต่เป็นเพียงการดับเทียนดวงเล็กๆ
ที่ทำให้มืดลงชั่วคราว
ก่อนที่ประชาชนจะช่วยกันหล่อเทียนพรรษาขึ้นทั่วประเทศและจุดจนสว่างไสวเท่า นั้น.

http://democracy100percent.blogspot.com/2010/09/blog-post_17.html