ที่มา thaifreenews
โดย PKT
ถ้าได้ฟังอาจารย์วรเจตน์มาตั้งแต่ต้น อาจารย์ท่านแสดงเจตน์จำนงค์จะนำเสนอแนวทางการเคลื่อนไหวของนิติราษฏร์ในทาง วิชาการ ไม่ใช่การเมือง ในทางวิชาการแล้ว จำนวนคนไม่สำคัญเท่าประเด็นเนื้อหาที่กำลังเสนอ และในทางวิชาการจะปฏิเสธแนวคิดที่แตกต่างหรือข้อถกเถียง ข้อโต้แย้ง ด้วยเหตุผลจากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
ข้อเสนอของนิติราษฏร์ ไม่ใช่คัมภีร์ ที่ห้ามโต้แย้ง หรือ ตั้งคำถาม
แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ฝ่ายที่คิดเห็นตรงข้ามกับนิติราษฏร์กลับใช้วิธีเยี่ยงอันธพาล ข่มขู่ คุกคามแทน
ประ เทศใหนที่มีการคุกคามนักวิชาการ ก็จบเห่ ครับ คือคุณข่มขู่คุกคามนักการเมืองก็ยังพอทำเนาเพราะนักการเมืองเป็นบุคคล สาธารณะ จำเป็นต้องยอมรับ และอดทนต่อการคุกคามอยู่แล้ว แต่นักวิชาการนั้นไม่ใช่
นักวิชาการนั้นต้องมีเสรีภาพในการคิดและ นำเสนอความคิด การข่มขู่นักวิชาการไม่ว่าจากฝ่ายใหน จะเป็นการแสดงความอับปัญญาและด้อยพัฒนาของของประเทศนั้น
ใน ทางกลับกัน การพยายามดึงเอานักวิชาการ ลากเอานักวิชาการ ประเด็นทางวิชาการ เข้ามาสนับสนุนประเด็นทางการเมือง ต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยไม่ทำลายความเป็นกลางทางวิชาการลงไป
เราต้องไม่ดราม่า แต่นำมาพิจารณาถกเถียงกันด้วยเหตุผล กระบวนการแก้ไขมาตรา112 จึงจะสามารถดำเนินการไปได้ ถ้าเขาดราม่ามา เราดราม่ากลับ กระบวนการนี้ก็จบเห่ เข้าทางเขา และจะไปไม่ถึงใหน (มองกันออกเนอะ)
การ บริหารความขัดแย้งนั้น ไม่ใช่เราจะเอาชนะเขาลูกเดียว ทำตามแต่ใจเรา โดยไม่คำนึงถึงใจเขา เราต้องลดความขัดแย้งลง ยิ่งบอกว่าตัวเองตาสว่าง มีความเข้าใจในเรื่องต่างๆดี เรายิ่งต้องเมตตาบรรดาผู้ยังมืดบอดให้มาก เหมือนครูผู้รู้ แม้นักเรียนจะดื้อสักเพียงใด เราก็ต้องหาวิธีบอกกล่าวเล่าคุยกัน ไม่ใช่สอนไม่ฟัง พูดไม่ฟัง ไล่ออกจากโรงเรียนโลด อย่างนี้ไปเจอกันนอกโรงเรียนก็ตัวใครตัวมัน
นิ ติราษฏร์ตอนเริ่มต้นดีแล้ว ระวังอย่าให้ใครเอาสีใดๆไปป้ายให้อาจารย์ทั้งหลาย นิติราษฏร์ต้อง สีใส มองเห็นได้ว่าไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ นอกจากความหวังดีต่อชาติ ประเด็นที่นิติราษฏร์นำเสนอ จึงจะสามารถส่งไปถึงทุกคนในประเทศนี้ได้
พึงเอาชนะความโกรธด้วยเมตตา