ที่มา ประชาไท ติ๊งต่างว่า คนเลี้ยงวัวปล่อยวัวในทุ่งให้ข้ามไปกินหญ้าของเพื่อนบ้านบ่อยๆ วันหนึ่ง เพื่อนบ้านมาอ้างว่า วัวเอ็งโตมาเพราะหญ้าของข้า ต้องริบวัวทั้งฝูง คุณว่ายุติธรรมไหม เอาใหม่ ติ๊งต่างว่า ไม่ใช่เพื่อนบ้านแต่เป็นรัฐ เป็นของหลวง ของส่วนรวม ริบวัวมาฆ่ากลางหมู่บ้านแจกทุกคนกิน คุณว่ายุติธรรมไหม ถ้าติ๊งต่างให้ใกล้เคียงที่สุด ต้องเปรียบเป็นสหกรณ์การเกษตร เอาที่ดินให้เช่าเลี้ยงวัว แล้วคนเช่ารายหนึ่งได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานสหกรณ์ เปลี่ยนชื่อให้ลูกเช่าแทน ไอ้ที่ดินนั้นก็มีปัญหา มีการแก้ไขสัญญา อ้างภัยแล้ง หรืออ้างคู่แข่ง ราคาตก ขอลดค่าเช่า เปลี่ยนวิธีจ่ายเงิน ฯลฯ เป็นที่ครหาว่ามันตุกติก แต่จับไม่ได้คาหนังคาเขาเพราะมันก็อ้างว่าทำถูกต้องตามกฎระเบียบ อย่ากระนั้นเลย ริบวัวแม่มให้หมดดีไหม นั่นคือทฤษฎีวัวกินหญ้า ของ’จารย์แก้ว ซึ่ง-ด้วยความจริงใจ ผมเนี่ยรัก’จารย์แก้วนะ รักน้ำใจ แบบว่าแกใจนักเลง แฟร์ในหลายๆ เรื่อง ใครที่บอกว่าตั้ง คตส.ล้วนศัตรูทักษิณ ผมเถียงอยู่เสมอว่า ‘จารย์แก้วไม่ใช่ สมัยเป็น สว. ‘จารย์แก้วไม่ใช่เจิมนะครับ แกมีเหตุผล แยกแยะถูกผิด ไม่ได้ด่าตะพึดตะพือ แม้แต่เป็น คตส. ผมก็ว่าแกเป็นคนมีเหตุผลที่สุดใน คตส. (เพียงแต่ผม hurt ไปพักใหญ่ตอนที่แกรับเป็น คตส.) คุยกันครั้งหลัง แกก็ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ 50 และความสุดขั้วสุดโต่งหลายประเด็น เพียงแต่’จารย์แก้วยังยืนยันทฤษฎีวัวกินหญ้า ซึ่งต้องขอแยกแยะว่าผมไม่เห็นด้วย เพราะรู้สึกมันออกจะนักเลงๆ ไงไม่รู้ เป็นตรรกแบบโก๋หลังวัง ที่คนฝ่ายตรงข้ามเขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ติ๊งต่างกลับไปอีกที ถ้าประธานสหกรณ์แอบเอาลูกวัวมาเลี้ยงในที่ของสหกรณ์ กินหญ้า ฉีดยา ใช้ทุกอย่างของสหกรณ์ จนวัวตัวอ้วนพี แบบนั้นไม่มีปัญหาครับ ยึดแม่มเลย ไม่ต้องชดใช้ค่าลูกวัว แบบที่’จารย์แก้วเปรียบว่าเหมือนคนเอาเงินซื้อยาเสพย์ติด แม้เป็นเงินหาได้โดยสุจริตก็ต้องยึดเพราะมันเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด แต่ในกรณีของทักกี้ มันเป็นอะไรที่แม้รู้สึกว่าไม่ใคร่โปร่งใส แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องก้ำกึ่ง แปรสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต เงินเข้ารัฐเท่าเดิม (ดีกว่าเดิมด้วย ไม่ถูกรัฐวิสาหกิจเบียดบัง) ว่ากีดกันคู่แข่งก็มองไม่เห็นเป็นรูปธรรม แก้ไขสัญญาหรือ ผู้รับสัมปทานกับรัฐล้วนมีการเจรจาต่อรองแก้ไขสัญญาอยู่บ่อยๆ เมื่อเงื่อนไขเปลี่ยนไป แม้แต่สร้างถนนก็มีการยืดเวลา ไอ้ที่น่าเกลียดกว่านี้ยังมี เช่น รัฐบาลขิงแก่ก็แก้สัญญาให้ดอนเมืองโทลเวย์ (จะยึดทรัพย์ใครไหม) ลดภาษีไอพีสตาร์ให้ชินแซท ก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกันกับที่รัฐบาลอื่นเคยลดให้ไทยคม 3 หรือที่ว่าแก้กฎหมายให้ตัวเองขายหุ้นสิงคโปร์โตก พลิกไปดูดีๆ นะครับ บริษัทที่ร้องขอให้แก้กฎหมายมี 3 รายคือ ดีแทค, ทรู แล้วก็ทีทีแอนด์ที ชินไม่ได้ร้องขอให้แก้ แต่แก้เสร็จทักกี้ขาย เสียค่าโง่ โกรธกันทั้งเมือง รวมทั้ง ปชป.ที่ยกมือให้แก้กันสลอน เรื่องแบบนี้มันเปรียบกันไม่ได้กับการเอาเงินไปซื้อยาเสพย์ติด หรือทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐ แต่มันเปรียบได้กับพ่อค้าเจ้าเล่ห์ ขายของตุกติก แล้วจิ๊กโก๋ปากซอยยัวะ ยึดร้านแม่มเลย คือผมไม่ได้บอกว่าทักกี้มันโปร่งใส ชอบธรรม ถูกทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันการจัดการกับทักกี้ก็ต้องเป็นธรรม ถ้าคุณคิดว่าต้องการสร้างความเป็นธรรมขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ ไม่ใช่แค่ต้องการเอาชนะทางการเมือง ทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐยังมีคำถามว่า แล้วเราจะใช้กับคนอื่นด้วยไหม ยกตัวอย่างหัวหน้าพรรคตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ ทุกคนก็รู้ว่าอีขายคลอรีน รับเหมาก่อสร้าง พร้อมกับเล่นการเมือง หัวหน้าพรรคเล็กอีกรายก็รับเหมาก่อสร้าง เล่นการเมืองมายี่สิบกว่าปี จากบริษัทเล็กกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ จะถือว่า “กินหญ้ารัฐ” ไหม หรือเอาง่ายๆ ไม่นานนี้เอง ตอนที่ กกต.มัวไล่จับสมชาย แสวงการ ถือหุ้น ปตท.ไม่กี่หุ้น บริษัทชิโนไทยก็ประมูลได้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ใครเป็นผู้ก่อตั้งชิโนไทย ก็ปู่จิ้น มท.1 ถึงจะบอกว่าไม่มีหุ้นแล้วยกให้ลูกหลานไป มันต่างตรงไหนกับทักษิณ แต่ถามกลับอีกว่า เอ้า ก็เขาทำมาหากินกับการก่อสร้าง คุณจะไม่ให้เขาประมูลงานเลยหรือ จะให้ปิดบริษัทเลยหรือ นี่ไง ที่เรียกว่าทับซ้อน ถ้าจะไม่ให้มีเลย ก็เท่ากับห้ามนักธุรกิจเล่นการเมือง ปล่อย “นักการเมืองอาชีพ” เขาเล่นไป แล้วกลุ่มธุรกิจคอยล็อบบี้ใต้โต๊ะ ถ้ายึดทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐ ก็อาจตั้งแง่ได้กระทั่งคุณหญิงกัลยากับแบงก์กรุงเทพฯ ที่ได้ทำเช็คช่วยชาติ (กำไรสูงสุดปีที่แล้ว 2.2 หมื่นล้าน) บางคนอาจเถียงว่าคุณหญิงไม่เกี่ยวกับกระทรวงการคลัง ให้กลับไปอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ในคดีวัฒนา อัศวเหม ตอนนั้นวัฒนาก็เถียงว่าเป็นแค่ รมช.มหาดไทย ไม่ได้มีอำนาจสั่งการ คือในบรรดาการปลุกระดมก่อนขึ้นบันไดศาล ที่โหมกระหน่ำข้างเดียวอยู่ตอนนี้ ถ้าเอาเฉพาะเนื้อหาไม่นับถ้อยคำสกปรก แบบกล่าวหาว่าจะมีการติดสินบนศาล 5 พันล้าน ในทางกฎหมายมีประเด็นน่าสนใจอยู่ 2-3 อย่าง อย่างแรกก็คือความพยายามตีแผ่ข้อมูลอันซับซ้อนว่าทักกี้ “ซุกหุ้น” อย่างที่สองคือความพยายามให้ข้อมูลด้านเดียวว่า ทักกี้ทำทุกอย่างเพื่อเอื้อประโยชน์ชินคอร์ปฯ อย่างที่สามก็คือ โน้มนำเข้ามาสู่ทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐ ผมอ่านข้อมูลตีแผ่การ “ซุกหุ้น” ทักกี้แล้วก็ขำ คือพยายามโยงใยให้เห็นความลี้ลับพิสดาร เช่น การโอนหุ้น 900 ล้านไปเมื่อปี 43 ไม่ใช่ไม่เชื่อนะครับ ผมเชื่อ แต่ถามว่าการ “ซุกหุ้น” เป็นความผิดฐานใด เป็นเหตุให้ยึดทรัพย์หรือไม่ เปล่าเลยนะครับ ถ้าจะเป็นก็เป็นความผิดฐานปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เหมือนที่ทักกี้เคยโดนร้องศาลรัฐธรรมนูญแต่รอดมาอย่างน่ากังขา ฉะนั้นไม่ว่ามันจะมีการโอนหุ้นพิสดารพันลึกเพียงไร (ในปี 43 คือก่อนเป็นนายกฯ) มันก็ไม่ใช่ความผิดที่ต้องยึดทรัพย์ ถ้าไม่มีองค์ประกอบของการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ปฯ โดยมิชอบ และไม่ใช่ความผิดฐานฟอกเงินด้วย เพราะต้องเป็นเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายหรือได้มาโดยมิชอบ จึงค่อยเอาไปซุกซ่อนเรียกว่าฟอกเงิน อันนี้เปรียบเทียบได้กับรัฐมนตรีคนหนึ่ง ที่เอาทรัพย์สินไปซุกเมียไว้ ก็ถูกถอดจากตำแหน่ง แต่ไม่ถูกยึดทรัพย์ หรือเปรียบได้กับเสธหนั่น ถูกห้ามเล่นการเมือง 5 ปี แต่ไม่ถูกยึดทรัพย์ แต่ คตส.พยายามจะอ้างว่าในเมื่อมันเป็นของทักกี้แล้วทักกี้ไปสั่งการให้ได้ประโยชน์ ถือเป็นความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ ก็ต้องตีความกันตรงนี้ว่า ไอ้การเอื้อประโยชน์นั้นเป็นไปโดยมิชอบหรือไม่ ขัดต่อกฎหมายจริงหรือ เลือกปฏิบัติให้เฉพาะบริษัทตัวเองหรือเปล่า ตรงนี้ต่างหากที่เราต้องรอฟังศาลวินิจฉัย (แล้วเอาไว้ค่อยว่ากัน) ที่ผมทักท้วงทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐ ก็เพราะตั้งข้อสังเกตสงกาว่า ในคดีความผิดที่เกี่ยวกับทักษิณและพวกพ้อง มักจะมี “ทฤษฎีใหม่” ที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน อย่างเช่น ไม่ทุจริต แต่ทำผิดจริยธรรม ต้องติดคุก หรือเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมสูง เป็นภริยาผู้บริหารประเทศ ควรดำรงตนเป็นเยี่ยงอย่าง หรือย้อนไปถึงการใช้กฎหมายย้อนหลังตัดสิทธิ 111 กรรมการบริหารพรรค ก็มีข้ออ้างว่า ไม่ใช่โทษอาญาแต่เป็นความรับผิดทางการเมือง มาจนมาตรา 237 ผิดคนเดียวเหมายกเข่ง ก็บอกว่านักการเมืองจะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนทั่วไป หรือคดีปราสาทพระวิหาร ก็มีคำวินิจฉัยว่าอาจจะเสียดินแดน ซึ่งแปลว่ายังไม่เสีย แต่ขยายมาตรฐานให้สูงกว่าที่กฎหมายเขียนไว้ แค่อาจจะก็ต้องมีความผิดด้วย ทำไมจึงต้องมี “มาตรฐานอันสูงส่ง” ออกมาทุกครั้ง ในขณะที่คดีไอ้ห้อย เป็นมาตรฐานปกติที่ประชาชนเข้าใจได้ คือพยานหลักฐานไม่ชัดเจน ยกประโยชน์ให้จำเลย จบ เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบครับ ขอส่งท้ายอีกนิดว่า การที่ศาลยกคำร้องของพานทองแท้ ไม่ห้าม คตส.ออกมาให้ข่าว ในหลักการแล้วผมเห็นด้วยนะครับ เพราะการตีความเรื่องละเมิดอำนาจศาลควรตีความอย่างจำกัด เฉพาะการออกมาชี้นำศาลอย่างชัดแจ้ง คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสาธารณะ เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเรื่องผลประโยชน์สาธารณะ จึงไม่ควรห้ามการโต้แย้งในประเด็นที่เป็นเนื้อหาทางสาธารณะ เพียงแต่ประเด็นสำคัญคือต้องเปิดให้มีการโต้แย้งให้ข้อมูลให้ความเห็นทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายเดียว และไม่ใช่สื่อกระแสหลักแสดงจุดวางตีนเอียงกะเท่เร่อย่างนี้ แล้วก็ต้องไม่ก้าวล่วงถึงขนาดไปกล่าวหาโดยไม่มีมูล ว่าทักษิณติดสินบนผู้พิพากษา เพราะพูดเช่นนี้เป็นการสร้างกระแสกดดันศาลล่วงหน้า สมมติมีผู้พิพากษา 1-2-3-4 คน เห็นว่าทักษิณไม่ผิด ก็จะถูกตั้งข้อครหาว่ารับเงินทักษิณมาหรือเปล่า ทั้งที่ความเห็นทางกฎหมายสามารถแตกต่างกันได้ ผู้พิพากษามีอิสระที่จะวินิจฉัย ไม่ใช่ต้องลงมติตามความต้องการของพรรคการเมืองใหม่ ถึงจะเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ตอนคดีที่ดินรัชดาฯ ก็เหมือนกัน ผู้พิพากษา 4 ท่านที่ตัดสินว่าไม่ผิดก็ถูกครหา ทั้งที่คำวินิจฉัยของศาลฏีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ผู้พิพากษาแต่ละท่านจะต้องเขียนคำวินิจฉัยอธิบายเหตุผล ซึ่งความเห็นของผู้พิพากษาเสียงข้างมาก กับเสียงข้างน้อยที่นำโดยอาจารย์ประพันธ์ ทรัพย์แสง จะคงอยู่ให้นักกฎหมายรุ่นหลังได้อ่านอีกเป็นร้อยๆ ปี ใครมีเหตุผลกว่า มันเห็นชัดเจน บิดเบือนไม่ได้หรอกครับ ใครไม่มีเหตุผล ก็จะประจานตัวเองไปชั่วลูกหลานเหลน ในส่วนของสื่อ ผมเห็นด้วยว่าศาลไม่ควรห้ามสื่อ เพียงแต่เป็นปัญหาจรรยาบรรณของสื่อ ที่ทำตัวเป็นกระดาษเปื้อนหมึก ยอมตนเป็นเครื่องมือให้ข้อมูลด้านเดียว จนภาพออกมาเอียงกะเท่เร่ แต่อีกด้านหนึ่งก็ฝากเตือนไว้ว่า การที่พวกคุณทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง โหมกระแสก่อนศาลวินิจฉัยว่า ทักษิณต้องผิด คตส.ต้องถูก มันจะเกิดผลกระทบต่อศาลนะครับ ไม่ว่าศาลตัดสินอย่างไรก็ตาม ยิ่งถ้าศาลตัดสินว่าผิด ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม (ที่เหลืออยู่น้อยแล้ว) เพราะแม้ตุลาการทั้ง 9 อาจวินิจฉัยโดยไม่หวั่นไหวไปกับกระแสเลยก็ตาม แต่ก็จะเข้าทางความเชื่อที่ว่า มิน่า! มันถึงได้โหมปูพรมกันเต็มเหนี่ยว อย่าคิดว่าชาวบ้านโง่หรือไม่มีความรู้สึกนะครับ โอ้โห รุมยำกันน่าเกลียดยิ่งกว่าแฟนบอลท่าเรือรุมเสื้อแดง (เมืองทอง) รัฐบาล พันธมิตร สื่อ นักวิชาเกิน คนละตุ้บคนละตั้บ ปลุกอารมณ์คนไว้ก่อนแล้ว ทั้งที่ยังไม่ถึงวันตัดสิน แม้แต่คนไม่เข้าข้างฝ่ายไหนที่มีใจเป็นธรรมหน่อยก็ยังเห็น ไม่ต้องพูดถึงพวกเสื้อแดงที่ดูช่อง 11 เห็นชัยนันต์ เจิม ลอยหน้าลอยตา คงเผลอโครม! ทีวีไปหลายราย แหม ช่วยบิวท์กันดีจริ๊ง ใบตองแห้ง
25 ก.พ.53