ที่มา thaifreenews
ตลอดสัปดาห์นี้คงจะไม่มีข่าวใดที่ตื่นเต้นและน่าติดตามเท่ากับข่าวการที่ “ศาลอาญาแผนกผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง” จะอ่านคำพิพากษาเพื่อที่จะตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของท่านนายกทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้...การตัดสินพิพากษาในคดีนี้จะเป็นเสมือน “ฟางเส้นสุดท้ายที่หล่นลงบนหลังอูฐ” หรือไม่ จะต้องติดตามดูกันอย่างใกล้ชิด...
“เงินของผม ผมสร้างของผมมาตลอดชีวิต”... กับทฤษฎี “วัวตัวอ้วน” สิ่งใดจะเป็นที่ยอมรับของศาลฯ มากกว่ากัน...โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกองกำลังให้การสนับสนุนด้วยกันทั้งสิ้น...
คงไม่จำเป็นต้องท้าวความถึงที่มาที่ไปของการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทในครั้งนี้อีก.. เพราะมีข่าวสารในด้านนี้ออกมาจากทุกสื่อให้ได้พิจารณากันอย่างมากมายแล้ว แต่สิ่งทีน่าจะนำมาพิจารณาก็คือ ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลังจากการตัดสินพิพากษาแล้วต่างหากว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง...
ที่แน่ ๆ ก็คือการตัดสินในคดียึดทรัพย์นี้จะมีผลออกมาได้เพียง 4 แนวทางเท่านั้นคือ
1. ท่านนายกทักษิณไม่มีความผิดตามฟ้อง “ยกคำร้องคืนทรัพย์ทั้งหมดให้กับท่านนายกทักษิณ พร้อมดอกเบี้ย”
2. ท่านนายกทักษิณมีความผิดฐานใช้อำนาจรัฐทำให้ได้ทรัพย์เพิ่มมาโดยมิชอบ “ตัดสินยึดทรัพย์ส่วนที่ได้เกินมาโดยมิชอบให้ตกเป็นสมบัติของแผ่นดิน..ส่วนที่เป็นทรัพย์เดิมให้คืนไป”
3. ท่านนายกทักษิณใช้อำนาจรัฐในการฉ้อโกงและบิดเบือนให้ได้มาซึ่งทรัพย์อันมิชอบซึ่งทรัพย์นั้นไม่สามารถแบ่งแยกได้ “ตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน”
4. ท่านนายกทักษิณใช้อำนาจรัฐในการฉ้อโกงและบิดเบือนให้ได้มาซึ่งทรัพย์อันมิชอบ และทำให้รัฐเกิดความเสียหาย “ตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน และให้ท่านนายกทักษิณต้องเสียค่าปรับในการก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น”
การตัดสินในคดีนี้จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องใหญ่และจะส่งผลกระทบมากกว่า การตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน ในอดีตเสียด้วยซ้ำ เพราะในขณะนั้นความขัดแย้งที่มีของคนในประเทศนั้นยังไม่ได้รับการพัฒนาไปจนถึงขั้นการเตรียมพร้อมด้านมวลชนมากขนาดนี้ ในขณะที่มีการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน แม้จะมีความขัดแย้งและแสดง
การต่อต้าน แต่ก็ยังไม่มีการรวมกลุ่มชนได้หนาแน่นและเป็นระบบได้เช่นปัจจุบันนี้...การตัดสินในคดียึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นเหมือนบันไดขั้นสุดท้ายในการปิดประตูเพื่อมิให้ ท่านนายกทักษิณจะสามารถกลับมามีพลังในการต่อสู้ทางการเมืองได้อีก เพราะอมาตย์มีความเชื่อว่า เมื่อท่านนายกทักษิณมีคดีความติดตัว..ไม่สามารถกลับเข้าประเทศได้..และถูกยึดทรัพย์...ก็จะหมดอำนาจบารมีและไม่สามารถกลับมาต่อสู้ทางการเมืองได้อีก...
ความคิดในรูปแบบนี้มิใช่ความคิดใหม่ เพราะกลุ่มอมาตย์ที่ถืออำนาจครอบครองประเทศนี้อยู่นั้นได้ใช้วิธีนี้ในการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองมาตลอดหลายสิบปี และก็เป็นผลสำเร็จเสียด้วย..
แต่ทว่าในครั้งนี้สถานการณ์ต่างไปโดยสิ้นเชิง เพราะข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ได้ถูกเปิดเผยมากขึ้นจนกระทั่งประชาชนชาวบ้านโดยทั่วไปต่างก็เข้าถึง และเห็นถึงความจริงที่ได้เกิดขึ้นว่า...การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา...การยุบพรรคไทยรักไทย, พลังประชาชน, การตั้งรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์, รวมถึงการจะตัดสินคดียึดทรัพย์ในครั้งนี้ ล้วนมาจากสาเหตุก็คือ การที่กลุ่มอมาตย์ที่ถืออำนาจครอบครองประเทศนี้อยู่ ต้องการจะทำลายความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิอำนาจของประชาชนในระดับล่างให้ต้องอยู่ภายใต้การปกครองตามระบอบ “อมาตยาธิปไตย” ไปจนชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง...
เวลานี้ทุกสายตาของประชาชนกำลังจับจ้องไปยังวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ เพราะไม่ว่าผู้พิพากษาจะตัดสินออกมาในรูปแบบใด ภาพที่สังคมได้ให้เครื่องหมายการค้าเอาไว้ว่าผู้พิพากษาคือ “เปาบุ้นจิ้น” นั้นจะต้องถูกทดสอบอย่างรุนแรง..... ซึ่งหมายความว่าวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ จริงแล้ว ๆ ผู้ที่จะเข้าสู่การพิพากษามิใช่คดีของท่านนายกทักษิณ แต่กลับเป็นผู้พิพากษาทั้ง 9 คนที่เป็นองค์คณะของการตัดสินในคดีนี้ต่างหาก...
1. เป็นไปไม่ได้ที่องค์คณะจะตัดสินว่าท่านนายกทักษิณไม่ได้กระทำผิดและ “ยกคำร้อง”เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า คตส. ปปช. และองค์กรอิสระอื่น ๆ ที่ คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นมาก็จะกลายเป็นจำเลยของสังคมทันที..รวมถึงอมาตย์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังก็จะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของคณะอมาตย์ที่ต้องการล้มล้างอำนาจของท่านนายกทักษิณ... เหตุนี้การตัดสินในกรณีที่ 1 จึงเลิกคิดไปได้เลย ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
2. การตัดสินในกรณีที่สองคือ “ยึดทรัพย์บางส่วน” กรณีนี้ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะในที่สุดแล้วก็จะเป็นเหมือนการ “ตีงูเพียงแค่หลังหัก” ทำให้ท่านนายกทักษิณยังคงมีกำลังที่จะกลับมาต่อสู้ทางการเมืองได้อีก...ซึ่งก็มิใช่เป้าหมายที่คณะอมาตย์ต้องการเช่นกัน
3. การตัดสินโดย “ยึดทรัพย์ทั้งหมด” มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นตามแนวทางนี้ เพราะเป็น “ธง” ที่ถูกคณะรัฐประหารและกลุ่มอมาตย์ได้วางธงเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว.. เพราะแนวทางนี้เป็นแนวทางที่เชื่อกันว่าจะทำให้ท่านนายกทักษิณหมดหนทางที่จะกลับมาต่อสู้เพื่อทวงอำนาจคืนได้อีก...
4. ตัดสินในกรณีสุดท้ายคือ “ยึดทรัพย์ทั้งหมด และยังให้ท่านนายกทักษิณต้องเสียค่าปรับเพื่อเป็นค่าเสียหายต่อประเทศชาติอีกด้วย” โอกาสที่องค์คณะผู้พิพากษาจะตัดสินออกมาทำนองก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน...เพราะเป็นเสมือนการ “ผูกมัด” ท่านนายกทักษิณเอาไว้ มิให้มีโอกาสกลับมาต่อสู้ได้อีก โดยเอาเรื่องทางคดีความปิดกั้นเอาไว้...
แต่ไม่ว่าองค์คณะจะตัดสินในคณะนี้เช่นไร ก็เสมือนกับว่า “เปาบุ้นจิ้นในคดีนี้ได้เข้าสู่การพิพากษาตัดสินประหารชีวิต” ไปเรียบร้อยแล้ว... เพราะถ้าผลการตัดสินออกมาในทางที่ 1 หรือ 2 กลุ่มอมาตย์ก็จะไม่พอใจและจะใช้อำนาจมืดในการเข้าข่มขู่, คุกคาม เพื่อจะให้เป็นไปตามธงที่ตนเองตั้งเอาไว้ให้ได้.... แต่ทำนองเดียวกันถ้าองค์คณะผู้พิพากษาตัดสินออกมาในทางที่ 3 หรือ 4 ก็จะยิ่งเหมือนกับการเติมเชื้อแห่งความไม่พอใจ และความอยุติธรรมให้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกำลังของประชาชนของผู้ที่รักประชาธิปไตยก็นับวันจะเติบโตแกร่งกล้ามากขึ้นทุกวัน... ความขัดแย้งก็จะยิ่งรุนแรงและส่อที่จะนำไปสู่การปะทะกันด้วยกำลัง.. ซึ่งเชื่อได้อย่างแน่นอนว่าในที่สุดแล้ว “ประชาชนก็จะต้องได้รับชัยชนะในบั้นปลายที่สุดอย่างแน่นอน” และเมื่อถึงเวลานั้น องค์คณะชุดนี้ก็จะถูกนำตัวเข้ามาดำเนินการอยู่ดี...
ด้วยเหตุนี้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ผู้ที่จะเข้าสู่การตัดสินพิพากษาจึงมิใช่ท่านนายกทักษิณ หรือทรัพย์สินของท่าน แต่กลับกลายเป็น องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนที่ต้องตัดสินในคดีนี้ต่างหาก... ในภาพยนตร์ “เปาบุ้นจิ้นเมืองจีน” กล้าหาญและสัตย์ซื่อ แม้กระทั่งยอมที่จะให้ตนเองต้องรับอันตราย ถ้าการตัดสินนั้นเป็นไปตามกฏหมายอย่างเที่ยงธรรม... แต่วันนี้ “เปาบุ้นจิ้นเมืองไทย” จะกล้าหาญพอที่จะเสี่ยงภัยอันตราย เพื่อการผดุงเอาไว้ถึงความเที่ยงธรรมตามกฏหมายหรือไม่ ? คงจะต้องดูกันในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
แน่นอนว่าคนที่ใจระทึกที่สุดมิใช่ท่านนายกทักษิณ แต่เป็นองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนต่างหาก... ขอให้ทุกท่านโชคดี....
ปูนนก
เพื่อไทย
Monday, February 22, 2010
เมื่อเปาบุ้นจิ้นถูกตัดสินประหารชีวิต
เปาบุ้นจิ้นเป็นภาพยนตร์ซีรี่ส์ที่น่าดูมากเรื่องหนึ่ง..ซึ่งเมื่อได้ดูแล้วก็จะพากันชื่นใจกับความเที่ยงธรรมในการตัดสินคดีความของเปาบุ้นจื้น จนถึงกับกลายเป็นเอกลักษณ์ไปแล้วว่า ถ้าพูดถึง เปาบุ้นจิ้น หมายถึงการตัดสินคดีความอย่างเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมา ไม่เอนเอียงเข้าข้างใด แม้ว่าตนเองจะต้องเสี่ยงภัย หรือได้รับโทษสถานใดก็ตาม.. แม้กระทั่งเคยตัดสินคดีพิพากษาลงโทษโบย ฮ่องเต้ ก็เคยทำมาแล้ว เช่นในคดี “สับเปลี่ยนรัชทายาท” (รายละเอียดเป็นอย่างไรลองไปหาซีดีมาดูกัน..รับรองสนุกครับ)....