WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, October 8, 2010

ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

ที่มา มติชน


พรทิวา นาคาสัย

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

ชัดเจนแล้วว่า บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด ได้รับการคัดเลือกให้ชนะการประกวดราคาเพื่อทำสัญญาซื้อข้าวสารในสต็อกของ รัฐบาลเกือบ 2 ล้านตัน มูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นข้าวในโกดังขององค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อ.ต.ก.) จำนวน 1,024,403 ตัน ข้าวในโกดังขององค์การคลังสินค้า(อคส.)จำนวน 845,873 ตัน


ตัวเลขดังกล่าวมาจากการแถลงของนายจุ้งเชียง เฉิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2553(ขณะที่คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร นางพรทิวา นาคาสัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจต่างปกปิดข้อมูลตัวเลขกันสุดฤทธิ์โดยอ้างว่า จะกระทบกับราคาข้าวในตลาด) หลังจากที่ถูกเปิดโปงว่า น.ส.ภาวินี จารุมนต์ หนึ่งในกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับครอบครัว"เทพสุทิน"ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม พรรคภูมิใจไทย ต้นสังกัดของนางพรทิวา นาคาสัย


กล่าว คือ น.ส.ภาวินี และครอบครัว"จารุมนต์"เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทของครอบครัว"เทพสุ ทิน" อย่างน้อย 2 แห่ง คือ บริษัท ดี แลนด์ เพอร์เฟค และบริษัท เมก้า แลนด์


ดังนั้น บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ซึ่งเป็นบริษัทโนเนม จึงถูกมองจากวงการค้าข้าวว่า น่าจะเป็น"ร่างทรง"ของนักการเมือง ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน(conflict of interest)และอาจมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองทำให้บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรดกวาดข้าวสารในสต็อกของรัฐไปถึง 35% (จากที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 5.6 ล้านตัน)

คาด กันว่า ถ้าปฏิบัติการปิดประตูตีแมวของกระทรวงพาณิชย์สำเร็จ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด(และเครือข่าย)จะฟาดกำไรไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท


ขณะ ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการส่งออกข้าว 3 บริษัทได้รับการคัดเลือกจากคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารที่มีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเพียง 4-5 แสนตันเท่านั้น


ความจริงเหตุการณ์ที่มีการปล่อยให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียวคือ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ผูกขาดการซื้อข้าวสารของรัฐเคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนสร้างความปั่นป่วนให้แก่วงการค้าข้าวอย่างหนัก และยังมีการใช้อำนาจทางการเมืองเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทดังกล่าวอย่างมากมาย


แต่ ในที่สุด บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯก็ถึงกาลอวสาน ต้องล้มละลาย และถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงธนาคารพาณิชย์กว่า 12,000 ล้านบาทและยังพัวพันการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรอีกด้วย


คำถามคือ เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดซ้ำรอยกับกรณีบริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรดหรือไม่


ตาม เงื่อนไขการขายข้าวสารในสต็อกของรัฐ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ต้องวางเงินค้ำประกัน 5% หรือกว่า 1,000 ล้านบาท ขนข้าวออกจากโกดังและส่งไปจำหน่ายต่างประเทศภายใน 5 เดือน


แต่ เมื่อถึงเวล าทางบริษัทยังไม่ยอมวางเงินค้ำประกันในการทำสัญญาตามเงื่อนไขโดยอ้างว่า ข้าวสารที่ประมูลได้มีปริมาณมากไม่สามารถดำเนินการได้ทันและทำหนังสือขอขยาย ระเวลาออกไปเป็น 18 เดือน


การไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขการประมูลดังกล่าว ทั้งๆที่กำหนดไว้ก่อนการประมูลแล้ว ส่อพิรุธอย่างชัดเจน จึงต้องจับตาดูว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวที่มีนางพรทิวา นาคาสัย เป็นประธานและคณะกรรมการนโยบายข้าว(กขช.)ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะยอมตามข้อต่อรองอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท หรือไม่


เพราะ ถ้ายอมเท่ากับเป็นการเอาเปรียบบริษัทผู้ส่งออกรายอื่นที่เข้า ร่วมประมูลที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไปอยู่แล้ว


แม้ จะมีผลประโยชน์ทับซ้อนและข้อพิรุธในการประมูลข้าวสารครั้งนี้ อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่า ทั้งกระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลทำเป็นไขสือเหมือนต้องการปล่อยมีการทำหากินกัน อย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อไป


อย่างไรก็ตามมีข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป. ช.)มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวและสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมข้อเท็จจริง ขึ้นมาว่า มีการกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือมีการใช้ อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนโดยด่วนแล้ว


ขณะเดียวกันในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมจิตสำนึกด้านจริยธรรม ของผู้ตรวจการแผ่นดิน มีการหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเห็นว่า เข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งขัดต่อจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการ เมือง ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงรับที่จะตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็วเช่นกัน


จริงอยู่ บรรดานักการเมืองอาจไม่เห็นการตรวจสอบของทั้งสององค์กรอิสระอยู่ในสายตา


แต่อย่าลืมว่า นักการเมืองที่เคยคิดแบบเดียวกันนี้จำนวนมาก(ไม่ว่าหญิงหรือชาย) ต้องพบจุดจบที่น่าอเนจอนาถมาแล้ว