ที่มา Dhammada.net
อ้างอิง จาก นสพ. คมชัดลึก : http://www.komchadluek.net/detail/20101008/75632/วิปัสสนาบนหน้าข่าว-รบกับใคร.html
คมชัดลึก : เป็นเวลาเดือนกว่าๆ แล้วที่เรื่องราวของฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือ “เข็มทิศชีวิต” จนเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ออกมากล่าวหาความผิดพระปราโมทย์ ปาโมชโช เจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรมสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ในหลายๆ ประเด็น แต่เรื่องหลักๆ มีอยู่สองสามเรื่องที่ทำให้เป็นข่าวมาได้ยาวนานก็คือเรื่องสีกา (อดีตภรรยาพระ) กับเรื่องเงินๆ ทองๆ (เงินทำบุญในบัญชีที่ตกหล่นไปไหน) และเรื่องอวดอุตริมนุสสธรรมซึ่งเธอรู้สึกคับแค้นใจมากที่รู้สึกว่าถูกพระ หลอก จึงได้ของทวงเงินทำบุญคืนเป็นจำนวนหลายล้านบาท
รวมทั้งคณะ กรรมการเก่าของสวนสันติธรรม ๕ คนก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นที่คาบเกี่ยวกัน ในเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็แจ้งความเป็นคดีอาญาไปยังดีเอสไอให้ช่วยตรวจสอบ ส่วนเรื่องอวดอุตริมนุสสธรรมก็จี้ให้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ทำ การบ้านด้วย แล้วขบวนการเผยแพร่ผ่านสื่อก็ค่อยๆ ปล่อยข่าว เผยทีเด็ดคลิปเสียงเทศน์ที่หมิ่นเหม่ให้คนตีความได้หลากหลายเพื่อชูรสผู้เสพ ข่าวรายวันให้สนใจไปเรื่อยๆ แล้วยังมีเว็บไซต์ X!@#$%!?<&%#@ ที่แฉพระในกรณีต่างๆ ผ่านผู้ที่เคยไปปฏิบัติกับพระมาไม่น้อย
ขณะที่ฝ่ายพระปราโมทย์ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว แต่ก็มีการใช้เว็บไซต์ www.wimutti.net ของสวนสันติธรรมเป็นที่ประกาศชี้แจงแบบไม่ตอบโต้ และให้ทนายความออกมาพูดแทนพระโต้ข้อกล่าวหารายวันบ้างเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ฝั่งพระใช้วิธีการโต้ด้วยความเมตตา และพยายามไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งมาตลอด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องคำสอนที่มักจะกล่าวอ้างหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เสมอ ซึ่งเมื่อถูกติงมา ทางเว็บไซต์ วิมุตติ ก็ถอดการเผยแพร่คำสอนของท่านไปเป็นอันดับแรก
จากนั้นสวนสันติธรรม เปิดให้สื่อมวลชนทุกแขนงเข้าถ่ายรูปทุกจุดในสำนัก โชว์ตัวเลขในบัญชีทุกบัญชีที่มีอยู่ รวมทั้งยอมรับความจริงในบางเรื่อง เช่น เรื่องที่พระเขียนจดหมายถึงฐิตินาถจริง ที่อ้างถึงความเป็นพ่อลูกในอดีตชาติที่เคยฟังธรรมด้วยกัน และจะมาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ในชาตินี้ แล้วท่านก็ให้ข้ออ้างนิดหน่อยว่า ที่เขียนเพราะเป็นกุศโลบายให้ฐิตินาถมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น อีกทั้งฐิตินาถเคยขอให้รับเป็นลูกสาวบุญธรรม ซึ่งฝ่ายผู้ฟ้องร้องเองก็ไม่ยอมรับในประเด็นดังกล่าว ยังออกมาโต้พระว่าตนนั้นถูกหลอก กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปราว ๕ ปี แล้วเธอก็อ้างว่า ที่ออกมาเพราะถูกลูกศิษย์ทางฝั่งพระพูดกล่าวหาไปจนถึงหูของลูกในโรงเรียน จึงต้องออกมาขอความเป็นธรรมจากสังคมเพื่อปกป้องตนเองและลูก
โดย อาศัยสื่อประโคมข่าวอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งมีประเด็นเดียวคือทำให้พระเสียชื่อเสียง หากมองทางโลก ก็ทำให้พระเสียชื่อเสียงจริง แต่ถ้ามองทางธรรม บทเรียนนี้คือครูชั้นเลิศที่อาจจะทำให้พระเบื่อหน่าย และเห็นภัยในสังสารวัฏเร็วขึ้น โอกาสที่พระจะปลีกวิเวก และเร่งความเพียรปฏิบัติไปถึงสุดทางทุกข์จึงมีเร็วขึ้นตามไปด้วย ถ้าอาศัยปรากฏการณ์นี้เป็นบทเรียน แต่ โยมผู้กล่าวหาพระเล่า มองเห็นความทุกข์จากการออกมาตีฆ้องร้องป่าวไหม ขนาดคนเสพข่าวยังมองเห็นเลยว่า โลกนี้ช่างไร้สาระเสียจริง ขนาดผู้กล่าวหาบอกว่าตัวเองปฏิบัติธรรมมาก็มาก เขียนหนังสือธรรมะขายมาก็เยอะ รวยจากการขายหนังสือธรรมะไปไม่น้อย แต่ถึงเวลาไม่พอใจพระขึ้นมาก็มาทวงเงินทำบุญคืน
หาก ฝ่ายลูกศิษย์พระบางคนเกิดโมโหขึ้นมาบ้าง รวมตัวกันลุกขึ้นมาบอกว่า แล้วที่ซื้อหนังสือเข็มทิศชีวิตมาเล่า จะเอาไปคืนได้ที่ไหน ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านผู้ออกมาฟ้องร้องพระจะรู้สึกอย่างไร คงจะยิ่งโมโหหนักขึ้น รวมทั้งโมโหผู้เขียนคอลัมน์นี้ด้วย และคงจะทำให้เรื่องนี้บานปลาย เป้าหมายอาจไม่ใช่พระอย่างเดียวเสียแล้ว เพราะทำให้ทุกฝ่ายทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งด้วยเจตนาและไม่เจตนายิ่งคลุมเคลือ ทุกข์ และรู้สึกห่างไกลจากความสงบมากขึ้น
ความจริงนั้น ใครหลอกใคร ผู้ที่เกี่ยวข้องนั้นรู้ดีที่สุด แล้วการหลอกคนอื่นไม่เท่ากับการหลอกตัวเอง พระพุทธเจ้าจึงมุ่งให้เราเข้ามามองแต่ตนเอง ลึกเข้าไปในจิตใจตนเอง ค้นหาความผิดของตนเอง แล้วแก้ไขซักฟอกตัวเองให้ถึงที่สุด เพราะบ่อยครั้งที่เราไม่กล้ามองใบหน้าที่แท้จริงของเรา เมื่อตั้งใจปฏิบัติธรรม ขัดเกลาตนเอง ก็ต้องพยายามมองให้เต็มตา ซึ่งอาจจะอายมากในตอนแรก เพราะเห็นว่า ตัวเรานั้น จิตเรานั้น ความคิดเรานั้นช่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย น่าเกลียดน่ากลัวได้ขนาดนี้เลยหรือ แล้วเราอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการกระเทาะตัวตนของเราก็ต้องทำ แต่เมื่อเราค้นพบแล้ว แก้ไขตนเองได้แล้ว เราก็จะกลายเป็นคนใหม่ เป็นคนชนิดที่กล้าหาญเผชิญหน้ากับตนเองตามความเป็นจริง ภาษาธรรมเรียกว่า วิปัสสนา คือการรู้เห็นตามที่เป็นจริง เมื่อเรามองเห็นตนเองตามที่เป็นจริงแล้ว เราก็จะเข้าใจผู้อื่นตามความเป็นจริงด้วย เมื่อนั้น เราจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องเผชิญ หรือมากระทบด้วยสติ ปัญญา และความเมตตากันมากขึ้น เห็นความผิดของตนเองมากขึ้น กล่าวโทษผู้อื่นน้อยลง ทางออกของปัญหาทุกอย่าง จึงสามารถเปลี่ยนความเลวร้ายให้กลายเป็นดีได้
ไม่ มีคำว่าสายเกินไปกับการเรียนรู้ แม้ว่าหลายคนอาจจะทุกข์มากกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์ที่ตนเคารพ ศรัทธา หลายคนอาจจะขอบคุณที่มีคนกล้าหาญออกมาเสี่ยงภัยโจมตีพระเช่นนี้ด้วยเห็นว่า จะต้องปกป้องพระธรรมคำสอนมิให้ผู้สอนเฉไฉพาออกนอกลู่นอกทาง เพื่อป้องกันคนที่จะหลงทางในอนาคต บทเรียนนี้จะว่าไปแล้วได้เรีนกันทุกคน เช่นเดียวกับบทเรียนของฟิล์ม กับแอนนี่ ที่ต่างก็เห็นทุกข์ ส่วนหนทางในการออกจากทุกข์นั้น แต่ละคนก็มีทางเลือกเองว่าจะใช้วิธีไหน ที่จะทำให้ปลดทุกข์ได้จริง หรือ กลบทุกข์ไปวันๆ ก็แล้วแต่จะเลือก
สำหรับ ตัวเราผู้ทำข่าว เสพข่าว ก็ต้องกลับมาถามใจ และกลับมาดูที่จิตตัวเองทุกครั้งที่เราเอาจิตเข้าไปเกี่ยวข้องกับตัวละครที่ ปรากฏ ว่าเรากำลังเลือกข้างอยู่หรือไม่ เรากำลังเล่นเกมแพ้ชนะอยู่หรือเปล่า และเรากำลังเป็นหนึ่งที่เห็นผู้อื่นที่ปรากฏบนข่าวเป็นเหยื่อไหม
ถาม ใจตัวเองเยอะๆ บางทีเราอาจจะได้คำตอบว่า แท้จริงแล้ว ผู้ที่เลวที่สุดมิใช่ผู้ที่เรากำลังด่าทอ หรือตัดสินเขาอยู่ แต่คือตัวเราเองต่างหาก? เมื่อนั้น เราจะเห็นว่าผู้ที่เราจะต้องเรียนด้วยตลอด ๒๔ ชั่วโมง มิใช่ใครอื่น หากแต่คือตัวเรา และใจเรานี้เอง
“มนสิกุล โอวาทเภสัชช์”
*** ข่าวที่เกี่ยวข้อง แนะนำให้อ่าน ***
1. Dhammada News: ตอบข้อสงสัยทุกท่าน…เรื่องเงินติดกัณฑ์เทศน์นอกสถานที่
2. Dhammada News : เจาะประเด็น “วิมุตติปฎิปทา” หลักฐานสำคัญของผู้กล่าวอ้าง
4. Dhammada News: จดหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสวนสันติธรรม
5. Dhammada News: คือการให้กำลังใจในการภาวนา หรือ คือการหลอกลวง
7. Dhammada News: ประธานบ้านอารีย์อ้างลูกศิษย์หลวงพ่อฯลือว่าตนโดนปีศาจกิ้งก่าสมัยทวาราวดีเข้าสิง