ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
หมาย เหตุ : พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำหนังสือ 3 ฉบับ ส่งถึงรมว.ยุติธรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายทะเบียนพรรคการเมือง ชี้แจงกรณีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ พยานฝ่ายผู้ถูกร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์) ให้ข้อมูลไม่ถูกต้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ตาม ที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยื่นคำให้การในคดีไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะพยานผู้ถูกร้องคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมือง ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์
พบว่ามีข้อความไม่เป็นความจริงและข้อมูลบางส่วนไม่ได้ถูกนำเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ
เนื่อง จากเป็นคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ร้อง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องส่งคำร้องของนายธาริต ให้นายทะเบียนมีความเห็น เพื่อให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงครบถ้วน เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
กรณีที่มีข้อมูลพาดพิงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าที่เกี่ยวข้องคดีนี้ ขอชี้แจงดังนี้
1.มี การกล่าวอ้างใส่ความว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกลุ่มหนึ่งสร้างเรื่อง และสร้างพยานหลักฐานเท็จเกี่ยวกับการเสนอยุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นข้อความที่เป็นเท็จ และมีการอ้างข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่คลาดเคลื่อนกับแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1.1 ประเด็นกล่าวอ้างเกี่ยวกับอำนาจในการรับคำร้องทุกข์และดำเนินการได้กระทำโดย ไม่ชอบ ข้อเท็จจริงก่อนเกิดคดีไม่เคยรู้จัก ส.ต.อ. ทชภณ พรหมจันทร์ (ผู้ทำหนังสือร้องทุกข์ต่ออธิบดีดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีกับพรรคประชาธิปัตย์ กรณีรับเงินจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์) มาก่อน
เมื่อได้รับเรื่อง ร้องทุกข์ตามหนังสือร้องทุกข์ วันที่ 26 พ.ค.2551 มีประเด็นร้องทุกข์กล่าวโทษหลายฐานความผิด เช่น พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ การหลบหนีภาษีสรรพากร อันเป็นความผิดที่อยู่ท้ายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ และกำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ อยู่แล้ว
ผู้ร้องยังกล่าวหาพรรค ประชาธิปัตย์กระทำการทุจริต รับและจ่ายเงินบริจาคโดยผิดกฎหมายด้วย ข้าฯ เห็นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ลักษณะความผิดมีหลายฐาน ไม่มีสำนักคดีใดรับผิดชอบครอบคลุมทุกลักษณะความผิด จำเป็นตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
จึงสั่ง การให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดี ดีเอสไอ ตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เรื่อง หลักทรัพย์และวิธีการร้องขอและเสนอ กคพ. มีมติให้คดีความผิดทางอาญาใดเป็นคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ข้อ 8 วรรค 2
ที่ มีการกล่าวอ้าง อธิบดีสั่งการเจาะจงให้พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้บัญชาการสำนักกิจการต่างประเทศ (ผบ.สตท.) เป็นผู้รับเรื่องทั้งที่ไม่อยู่ในขอบเขตใดๆ ของสตท. นั้น
ในกรณีนี้ ถือว่าได้มอบหมายให้นายธาริต รองอธิบดีดีเอสไอ (รองสพ.1) ขณะนั้น เป็นผู้รับผิดชอบด้วย และการมอบหมายให้พนักงานสอบสวนผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นอำนาจของอธิบดีที่สามารถมอบหมายได้ตามกฎหมาย
โดยเฉพาะเรื่องคดี ยุ่งยากสลับซับซ้อน อธิบดีต้องพิจารณาผู้เหมาะสมก่อนมอบหมายผู้รับผิดชอบตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้เชิญนายธาริต หารือก่อน เพราะมีการกล่าวหาความผิดอาญาหลายฐานความผิด
และ เห็นว่า พ.ต.อ.สุชาติ มีความรู้ความสามารถเหมาะสม ข้าฯ จึงสั่งการต่อท้ายบันทึกร้องทุกข์ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2551 ว่า "เรียนรองสพ.1 มอบ พ.ต.อ.สุชาติ ผบ.สตท. เป็นหัวหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริง" โดยมอบหมายให้นายธาริต และพ.ต.อ.สุชาติ พิจารณาข้าราชการดีเอสไอ ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมจากหลายสำนัก หรือหน่วยงาน ร่วมเป็นคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง
หลังจากสั่งการประมาณ 10 วัน ในวันที่ 4 มิ.ย.2551 นายธาริต เสนอคำสั่งแต่งตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อท้ายบันทึกของพ.ต.อ. สุชาติ ที่ ยธ.(สตท.) 0802/26 ลงวันที่ 2 มิ.ย. 2551 ระบุว่า "เรียน อธิบดีเพื่อโปรดพิจารณาลงนาม"
บันทึกดังกล่าว แนบคำสั่งแต่งตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง รายละเอียดตามคำสั่งที่ 217/2551 ลงวันที่ 4 มิ.ย.2551 ให้นายธาริต เป็นผู้กำกับดูแล พ.ต.อ.สุชาติ เป็นหัวหน้าคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง
โดยมีคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง ประมาณ 16 คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มาจากสำนักต่างๆ ตามที่เสนอมา ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการดำเนินการที่ให้นายธาริต เข้าไปดูแล เพื่อให้ดำเนินการตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
กล่าวโดย สรุป การดำเนินการรับร้องทุกข์และสั่งการมอบผู้รับผิดชอบในคดีนี้ ปฏิบัติตามกฎหมายและอนุบัญญัติทุกประการ เพราะความผิดที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษอยู่ในอำนาจหน้าที่ที่ดีเอสไอต้อง ดำเนินการ และเป็นความผิดท้ายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547
ได้แก่ ลำดับ (22) ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ ลำดับ (1) คดีความผิดตามประมวลรัษฎากร เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงภาษีสรรพากรและการใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่ ชอบด้วยกฎหมาย และยังเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทด้วย
อนึ่ง การที่สื่อมวลชนระบุว่าเรื่องนี้อธิบดีดีเอสไอ จะต้องไม่รับดำเนินการนั้น เห็นว่าไม่สามารถทำได้ ถ้าไม่รับเรื่องถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะในกรณีการรับคำร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือได้รับคำร้องให้เป็นคดีพิเศษ จะต้องเป็นไปตามประกาศ กคพ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการร้องขอและเสนอ กคพ. มีมติให้คดีความผิดทางอาญาใดเป็นคดีพิเศษ พ.ศ.2547
ซึ่งกคพ. มีมติเป็นแนวทางว่าจะต้องเสนอเข้ากคพ. ว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษก่อน เนื่องจากเป็นอำนาจของกคพ. ไม่ใช่อำนาจของอธิบดีดีเอสไอ หรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษคนหนึ่งคนใด
1.2 ประเด็นเสนอข่าวว่าหลอกให้กคพ. สำคัญผิดจนมีมติเห็นชอบให้เป็นคดีพิเศษนั้น ไม่เป็นความจริง ข้าฯ ได้มอบหมายให้นายธาริต เป็นผู้ช่วยเลขานุการ กคพ. และเป็นผู้รับผิดชอบงานเลขานุการ กคพ. ทั้งหมด
มีหน้าที่เกี่ยวกับ การจัดการประชุม จัดทำเอกสารทุกชนิดส่งให้กับผู้ร่วมการประชุม และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในการประชุมตรวจกลั่นกรองเอกสารจากอนุกรรมการ รวมทั้งเสนอพิจารณาวาระการประชุมเสนอและปรึกษาอธิบดีดีเอสไอ ทราบก่อนการประชุม
กคพ.มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 3 ชุด ทำหน้าที่พิจารณาทำความเห็นว่าสมควรที่ กคพ. จะมีมติให้คดีความผิดอาญาใดเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามประกาศของ กคพ. ว่าด้วยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการร้องขอให้เป็นคดีพิเศษ
และ เมื่อคณะอนุกรรมการ ทั้ง 3 ชุด พิจารณาเสร็จแล้วจะต้องเสนอเรื่องผ่านนายธาริต เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุม กคพ.ต่อไปด้วย จึงไม่น่าเชื่อตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่าจะเสนอเรื่องหลอกลวง กคพ. เพราะเป็นงานในความรับผิดชอบของนายธาริต
คดีนี้นำเข้าที่ประชุม กคพ. ครั้งที่ 3/2551 วันที่ 29 ส.ค.2551 จากการตรวจสอบคดีเกี่ยวกับบริษัท ทีพีไอ (โพลีน) จำกัด (มหาชน) พบว่าเป็นเรื่องที่เสนอผ่านอนุกรรมการคดีพิเศษ และอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่าสมควรที่กคพ. จะมีมติให้เป็นคดีพิเศษ
และยังพบว่า พ.ต.อ.สุชาติ นำเสนอขออนุมัติเป็นคดีพิเศษเสนอไปยังนายธาริต รองสพ.1 เพื่อให้เสนอต่อไปยังอธิบดี ตามบันทึกที่ ยธ(สตท.) 0802/805 ลงวันที่ 20 ส.ค.2551
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับที่นายธาริต ได้รับคำสั่งให้กำกับดูแลคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ 217/2551 มาแต่ต้น จึงต้องรู้รายละเอียดและพฤติการณ์ที่นำเสนอ
ในหนังสือดังกล่าวจะพบ ว่ามีรายละเอียดเกี่ยวกับความผิดโดยสรุป คือ (1) ความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (2) ความผิดเกี่ยวกับภาษีสรรพากร การใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และ (3) ความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ กรณีของพรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคและรายงานถึงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเทคนิควิธีการสืบสวนสอบสวนรวมอยู่ด้วย
สรุป การที่อ้างว่าได้นำเสนอที่ประชุมกคพ. "...เป็นการบิดเบือนรูปคดีให้กลายเป็นเรื่องความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เป็นการลวงให้คณะกรรมการคดีพิเศษ สำคัญผิดจนที่ประชุมมีมติเห็นชอบ..." จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริง
ที่สำคัญคือนายธาริต ก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงในการประชุม และเป็นผู้จัดทำเอกสารการประชุมทั้งหมดด้วย
1.3 ตามรายงานการประชุมกคพ. ครั้งที่ 3/2551 วันที่ 29 ส.ค.2551 ที่ปรากฏบันทึกในรายงานก่อนเข้าถึงวาระเป็นการแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสของ กรรมการ
เพราะก่อนเข้าถึงวาระในคดีนี้ว่าจะพิจารณาเป็นคดีพิเศษหรือ ไม่ นายสมัคร สุนทรเวช ประธาน กคพ. และนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองประธาน กคพ. ได้ขอออกจากห้องประชุม มอบให้นายสวัสดิ์ โชติพานิช เป็นประธานที่ประชุมแทน ประธานและรองประธานได้กลับเข้าห้องประชุมภายหลังจากการลงมติในกรณีเสร็จสิ้น แล้ว
ประเด็นที่นายธาริต กล่าวอ้างว่า ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับพรรคการเมือง หรือพรรคประชาธิปัตย์ปรากฏในรายงานการประชุมครั้งที่ 3/2551 เนื่องจากกคพ. มีการพิจารณา ซักถามข้อเท็จจริงและรายละเอียดตามที่เสนอ
มีการขอให้ แก้ไขข้อความที่นำเสนอหลายถ้อยคำเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยากต่อการรักษาความลับ เช่น กคพ.ได้ขอให้เปลี่ยนคำที่ระบุว่า ..."พรรคประชาธิปัตย์" เป็นคำว่าบุคคลใกล้ชิดจำนวนหลายคนเพื่อประโยชน์ต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยมิ ชอบแทน
จนกระทั่งที่ประชุมมีมติให้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งนายธาริต เข้าร่วมประชุมโดยตลอด ต้องทราบบรรยากาศและข้อเท็จจริงเป็นอย่างดี ดังที่ได้ชี้แจงข้างต้น หลังจากนั้นมีเหตุการณ์ที่ไม่สามารถประชุมกคพ.ได้
มติ การประชุมครั้งที่ 3/2551 วันที่ 29 ส.ค.2551 ได้นำเข้ารับรองการประชุมครั้งที่ 2/2552 ลงวันที่ 18 ก.พ.2552 หลังจากเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาลในสมัยรัฐบาล ปัจจุบัน มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นประธาน
1.4 กรณีกล่าวอ้างว่าหลังจากที่เป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2551 ข้าฯ ได้มอบหมายคดีมีพิรุธนั้น ไม่เป็นความจริง เป็นการสั่งการตามอำนาจหน้าที่ เป็นช่วงเวลาที่คณะรัฐมนตรี มีมติแต่งตั้งนายธาริต เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อยู่ในระหว่างรอพระราชโองการโปรดเกล้าฯ
ได้เสนอเรื่องที่ มีมติเป็นคดีพิเศษว่าจะมอบเรื่องให้ผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2551 คดีนี้เป็นเรื่องลำดับที่ 6 นายธาริต เสนอว่า "6.กรณีบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มีพฤติการณ์กระทำผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2538 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง"
การที่นายธาริต ให้ดำเนินการสอบสวนความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ข้าฯ เห็นว่ามีอำนาจตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ม.21 วรรค 2 ข้าฯ ได้สั่งการให้รองสพ.1 (นายธาริต) มอบพ.ต.อ.สุชาติ เป็นผู้รับผิดชอบตามที่ได้สั่งการไว้เดิม
และต่อมาได้เสนอคำสั่ง แต่งตั้งพนักงานสอบสวน ตามคำสั่งที่ 371/2551 ลงวันที่ 3 ก.ย. 2551 มีพ.ต.อ.สุชาติ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพราะนายธาริต ได้ย้ายไปเป็นเลขาธิการป.ป.ท.
ขณะนั้นดีเอสไอ เป็นช่วงว่าง ไม่มีรองอธิบดีเหลืออยู่เพราะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น 2 คนคือ นายธาริต และนายภิญโญ ทองชัย เลื่อนขึ้นเป็นผู้ตรวจกระทรวงยุติธรรม นายพรชัย อัศววัฒนาพร ย้ายไปสำนักกิจการยุติธรรม เป็นการมอบหมายตามปกติที่พิจารณาจากผู้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วต้องเป็นผู้รับ ผิดชอบเป็นพนักงานสอบสวนต่อ
2.ต่อมา พ.ต.อ.สุชาติ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ จึงออกคำสั่งที่ 528/2551 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวนและเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ลงวันที่ 27 ต.ค. 2551 ให้ยกเลิกคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ 371/2551 ลงวันที่ 3 ก.ย.2551
ในคำสั่งให้พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน และให้พ.ต.อ.สุชาติ เป็นผู้กำกับดูแล ตามความเห็นที่พ.ต.อ.สุชาติ เสนอมา ซึ่งเป็นการมอบหมายงานตามปกติ ที่มอบพ.ต.อ.สุชาติ เพราะได้ดำเนินการมาแต่ต้น เพียงแต่ถูกเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นรองอธิบดี
3.ประเด็นที่เสนอข่าวว่าพนักงานสอบสวนมุ่งทำแต่คดีพรรคการ เมือง ไม่ทำคดีพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์นั้น ไม่เป็นความจริง
พนักงาน สอบสวนไม่ได้ทำสำนวนเกี่ยวกับพรรคการเมือง เพียงแต่ส่งเรื่องที่เป็นกรณีพรรคการเมืองฝ่าฝืนบทบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองประมาณเดือน มี.ค.2552 หลังจาก กคพ.ได้รับรองการประชุม (18 ก.พ.2552)
ส่วนคดีพ.ร.บ.หลัก ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 จำได้ว่าประมาณปลายเดือน ก.ย. 2552 พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่อเนื่องโดยตลอด แต่เป็นกรณีที่การกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงดูเสมือนว่ามุ่งทำคดีพรรคการเมือง
และขณะนั้น มติครม.มีคำสั่งย้ายข้าฯ จากอธิบดีดีเอสไอ ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม พนักงานสอบสวนรายงานความคืบหน้าและระบุมูลความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีผู้เกี่ยวข้องหลายคน ทั้งนิติบุคคลที่เป็นบริษัท พรรคประชาธิปัตย์ (ในฐานะนิติบุคคล) และอดีตผู้บริหารพรรคบางท่าน
แต่ข้าฯ เห็นว่าได้มีคำสั่งย้ายแล้วอยู่ระหว่างรอคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานในตำแหน่ง ใหม่ จึงรับทราบและบันทึกสั่งให้หารืออัยการที่ร่วมสอบสวนและอธิบดีดีเอสไอคนใหม่ (นายธาริต) ก่อน
4.การสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานในคดีคณะพนักงานสอบสวนได้ทำตามข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ส่วนจะใช้เทคนิควิธีการค้นหาความจริงหรือรวบรวมพยานหลักฐานอย่างใด เป็นความรู้ความสามารถของพนักงานสอบสวน
ตั้งแต่ย้ายไปเป็นรองปลัด ประมาณ 1 ปี ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว ในช่วงที่นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ข้าฯ ได้ย้ายจากการสอบสวนคดีพิเศษไปแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด โดยส่วนตัวถือว่าหมดหน้าที่ความรับผิดชอบ
5.การนำเสนอข่าวโดยอ้างคำให้การของนายธาริต ดูเสมือนข้าฯ และพ.ต.อ.สุชาติ กับพวก มีอคติกับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ไม่มีมูลความจริง
ใน ความเป็นจริงโดยส่วนตัวข้าฯ มีความเคารพนับถือและศรัทธาในผู้บริหารสมาชิกในพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมาก ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ใดในพรรค
การปฏิบัติหน้าที่จะยึดมั่น ในการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยึดรัฐธรรมนูญ กฎหมาย อนุบัญญัติ และการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล แต่ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้ความเป็นธรรมจะต้องยึดข้อเท็จจริงและพยาน หลักฐาน คำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพบนมาตรฐานคุณธรรมและจริยธรรมของผู้บังคับใช้กฎหมาย
และ การที่มีข้อความปรากฏในสื่อมวลชนที่หมิ่นประมาทข้าฯ และพ.ต.อ.สุชาติ กับพวก เป็นเรื่องการใส่ร้ายให้เกิดความเสียหายนั้น จะได้ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนและใช้สิทธิตามกฎหมายในฐานะส่วนตัวต่อไป
อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า การไต่สวนของฝ่ายผู้ถูกร้องได้พยายามทำลายน้ำหนักพยานที่ไม่เกี่ยวข้องกับใน คดีที่กำลังไต่สวน ข้าฯ เข้าใจและเคารพในเทคนิคและแนวทางการต่อสู้คดี
ถึง แม้ว่าหลักกฎหมายจะบัญญัติเพียงว่า เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใช้เงินที่ได้รับการสนับสนุน ไม่จ่ายตามวัตถุประสงค์ และจัดทำรายงานไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงที่ได้ยื่นต่อกกต. เป็นเหตุให้นายทะเบียนยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค