ที่มา Thai E-News
ข้าพเจ้า เห็นความรักมากมายที่คนเสื้อแดงยุโรปมีให้กับ ทักษิณ และโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะส่งผ่านความรักนั้นมายังยิ่งลักษณ์ น้องสาวทักษิณเช่นกัน ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่าทั้งทักษิณ ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งว่าที่ สส. และแกนนำพรรคเพื่อไทยจะรักพวกเขาได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของความรักที่คนเสื้อ แดงไกลบ้านเหล่านี้ได้มอบให้กับพวกเขา
ความฝันอันยิ่งใหญ่ของทุกคน ที่นี่คือ ต้องการร่วมต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นไปจากอำนาจที่อยุติธรรมและสร้าง ประชาธิปไตยที่แท้จริง พร้อมกับนโยบายสวัสดิการสังคมที่ดีเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้รับในหลายประเทศ ในยุโรป
โดย จรรยา ยิ้มประเสริฐ
31 พฤษภาคม 2554
ที่มา Time Up Thailand
22 พฤษภาคม 2554 เครือข่ายนปช. ยุโรป นัดรวมตัวหน้าหอไอเฟล ฝรั่งเศส เพื่อร่วมรำลึกครบรอบเหตุการณ์สังหารโหดประชาชน ณ ศูนย์กลางย่านการค้า กลางเมืองหลวงกรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553
หลังจากกลับจาก ฝรั่งเศสข้าพเจ้าต้องช่วยเพื่อนทำนิทรรศการศิลปะที่เมือง Turku ที่ได้รับเลือกจากสหภาพยุโรปให้เป็นเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรมยุโรปประจำปี 2554 ที่มีกำหนดเปิดงานในวันที่ 28 พฤษภาคม จึงทำให้การเขียนถ่ายทอดเรื่องราวกิจกรรมรำลึกพฤษภาเลือด 2553 ของกลุ่ม นปช. ยุโรป ต้องล่าช้าไปด้วย ต้องขออภัยพี่ๆ น้องๆ นปช, ยุโรปและแดงยุโรป ทุกคนมา ณ ที่นี้ด้วย
ต่อไปนี้เป็นบันทึกประสบการณ์การเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม นปช. ยุโรประหว่างวันที่ 21-24 พฤษภาคม 2554
การเดินทางเพื่อมาทำความรู้จักกับ นปช. ยุโรป
นับ ตั้งแต่ออกเดินทางจากฟินแลนด์ในช่วงบ่ายของวันที่ 21 พฤษภาคม ข้าพเจ้าได้รับไมตรีจิตรและมิตรภาพจากคนแปลกหน้าและคนที่เพิ่งรู้จักกัน ครั้งแรกตลอดการเดินทางครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องลงเครื่องกลางดึก ณ มหานครปารีสที่กว้างใหญ่ พร้อมกับความหวาดวิตกว่าจะเดินทางไปบ้านพี่มนูญ มิ่งชัย ประธานกลุ่ม นปช. ยุโรป ที่พวกเราที่มาจากต่างแดนจะไปพักกันที่นั่นได้อย่างไร โชคดียิ่งนักที่คนหนุ่มสาวฝรั่งเศสที่มารับเพื่อนซึ่งเป็นนักเรียนแลก เปลี่ยนชาวอัฟริกาใต้ที่เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกัน ได้เผื่อแผ่น้ำใจมายังข้าพเจ้า และอาสาขับรถมาส่งข้าพเจ้าถึงบ้านพี่มนูญอย่างปลอดภัย
บ้านพี่มนูญคืน นั้นคึกคัก เต็มไปด้วยคนเสื้อแดงจากฝรั่งเศสที่มาให้การต้อนรับและนำอาหารมาเลี้ยงดูคณะ จากเยอรมัน ซึ่งเป็นทีมประสานงานหลักระหว่างคนเสื้อแดงยุโรป ที่ขับรถมาจากแฟรงเฟิร์ตกันตั้งแต่เช้า และเผื่อแผ่มายังข้าพเจ้าด้วย
“นี่ แหล่ะบรรยากาศการรวมตัวของพวกเราที่ยุโรป อยู่กันแบบราชประสงค์ กินนอนด้วยกันแบบนี้ ใครมีอะไรก็เอามาแบ่งปันกัน ไม่มีการพักโรงแรมหรูหรือกินอยู่อย่างหรูหราหรอก” เมย์ เยอรมันหรือแดงแจ๊ด บอกกับข้าพเจ้า
ใน แฟลตสวัสดิการของรัฐบาลฝรั่งเศสที่จัดสร้างให้ผู้มีรายได้น้อยได้เช่า พักอาศัยในเมืองปารีสที่ค่าเช่าบ้านแพงหูฉี่ ที่แม้จะไม่กว้างขวางมากนัก แต่ก็สามารถจัดสรรพื้นที่รองรับทั้งเพื่อนจากแดนไกล และเพื่อนฝูงจากปารีสที่มาต้อนรับรวมกันกว่าสิบคน หลายคนมาพร้อมอาหารเพื่อมาแบ่งปันและรับประทานร่วมกัน
ทั้งนี้พี่มนู ญและพี่ดาว เป็นพี่ที่แสนใจดีของทุกคนไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม นปช. ยุโรป หรือคนไทยที่เดือดร้อนในฝรั่งเศสและมาขอความช่วยเหลือ
คอมพิวเตอร์ หลายตัวเปิดออนไลน์เพื่อติดตามข่าวสารของคนเสื้อแดงจาก ประเทศไทย หรือใช้คุยออนไลน์ระหว่างคนเสื้อแดงยุโรป บ้างครั้งดีเจทอมมี่ของเราที่นั่งเฝ้าหน้าจอคอมฯ เพื่อฟังคำปราศรัยต่างๆ ก็จะสลับเปิดเพลงคนเสื้อแดง ให้หลายคนได้ร้องประสานเสียงร่วมไปกับเพลงเป็นระยะๆ พร้อมกับปรมมือโห่ฮิ้วเมื่อฟังคำปราศรัยถูกใจ
บรรยากาศยามเที่ยงคืนที่ฝรั่งเศสของแฟลตกลางเมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นช่วงเวลาค่ำคืนแห่งการต่อสู้บนท้องถนนกรุงเทพฯ ไปได้เช่นกัน
นอกจากนี้บนโต๊ะก็ยังเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิดที่เสิร์ฟกันตลอดคืน ทั้งข้าวปั้นญี่ปุ่นหน้าต่างๆ ปลาดิบ เป็ดอบ และปลาทอด เป็นต้น ฯลฯ
จาก การบอกเล่าของแดงแจ๊ด สภาพเหล่านี้คือบรรยากาศของการรวมตัวของชาวเสื้อแดงที่ยุโรป เมื่อจัดประชุมที่ไหน พวกเขาจะไปพักกันตามบ้านแกนนำหรือที่วัดไทย นอนเรียงกันเป็นตับ มีอะไรก็ทำกินกัน แบ่งกันกิน ไม่มีการนอนโรงแรมหรู ทุกคนเสียสละค่าจ้าง เวลาพักผ่อนวันหยุด มาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเพื่อร่วมต่อสู้และติดตามประชาธิปไตยเมืองไทย ด้วยความคิดว่า “เราสู้เพื่อลูกหลานและเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทย"
พวก เราสาวๆ จากแดนไกล นอนเรียงรายกันในห้องนอนเจ้าบ้านที่ยกให้แขกนอน และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ห้องนอนนี้ถูกยกให้กับผู้มาเยือน มันเกือบจะกลายเป็นห้องนอนของผู้มาเยือนที่มีมาต่อเนื่องนับตั้งแต่การรวม กลุ่มคนเสื้อแดงในฝรั่งเศสเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ที่รู้สึกสุดทนกับภาพการสังหารประชาชนอย่างโหดร้ายที่ราชประสงค์
พี่มนูญ ในฐานะประธาน นปช. ได้ดำเนินการจดทะเบียน นปช. ยุโรปที่ประเทศฝรั่งเศส และได้รับใบทะเบียนเรียบร้อยแล้วเมื่อเร็วๆ นี้
22 พฤษภาคม - วันอาทิตย์สีแดงหน้าหอไอเฟล
รุ่ง เช้า ข้าพเจ้าตื่นมาพบแดงแจ๊ดนั่งหน้าคอมพิวเตอร์คุยสไกด์ออนไลน์กับแกนนำนปช. ยุโรปในหลายประเทศ และคุยกับอาจารย์ธิดา แกนนำนปช. ซึ่งเป็นการพูดคุยสื่อสารระหว่างแกนนำประเทศต่างๆ ในยุโรปและกับแกนนำ นปช. และแกนนำที่ลี้ภัยหลายคน เป็นไปแทบจะเรียกได้ว่ากิจวัตรประจำวัน หรือเป็นการพูดคุยรายวันกันเลยทีเดียว
นอกจากนี้พวกเขาจะเช็คข่าวจาก สื่อข่าวอิสระออนไลน์ทั้งหลาย โดยเฉพาะไทยอีนิวส์ ซึ่งถือเป็นสื่อกลางแห่งการติดตามความเคลื่อนไหวทางเมืองไทยของแกนนำ นปช. ยุโรป
เนื่องจากทุกคนทำงานกันวันละกว่า 10 หรือ 12 ชั่วโมง โดยเฉพาะกุ๊กนี้ทำงานตั้งแต่ 10 โมงเช้ากว่าจะเลิกก็ดึกดื่นเที่ยงคืน หลายคนจึงไม่มีเวลามากนัก กลับมาถึงที่พักก็เหน็ดเหนื่อยกันมากแล้ว ส่วนใหญ่จึงเลือกเสพสื่อเสียง หรือดูคลิปวีดีโอและอ่านข่าวสั้นๆ มากกว่าการอ่านบทวิเคราะห์ยาวๆ และหลายคนมีปัญหาทางสายตา ทำให้การอ่านจากจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่สะดวกนัก
ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวเท็จและข่าวจริงมากมายจากเมืองไทยจึงถูกถ่ายทอดสู่คนไทยในยุโรปอย่าง ฉับไว ด้วยระบบการสื่อสารทางอินเทอร์เนตเช่นนี้
เนื่องจากแกนนำ นปช.ยุโรป โดยเฉพาะแดงแจ๊ด เพิ่งถูกโจมตีจากนักพูดไซเบอร์อย่างหนักว่าไม่ใช่แกนนำคนเสื้อแดงที่ยุโรป หรือ นปช. ยุโรป อย่างแท้จริง อันเกี่ยวเนื่องผูกพันมากับกระแสกดดันต่างๆ จากความขัดแย้งระหว่างเสื้อแดงหลายขั้วแนวคิดและแนวทาง ที่แผ่วงกว้างมาถึงยุโรปด้วยเช่นกัน จนเกิดการวิจารณ์พาดพิงกันไปมาในโลกไซเบอร์ ที่ไม่รู้ว่าต้นตอมาจากไหน จริงหรือไม่จริง และที่ยุโรปเริ่มกระแสแรงมากขึ้นของการแบ่งขั้ว “แดงวิชาการ” กับ “แดงรากหญ้า” ซึ่งส่งผลให้ “แดงรากหญ้า” ที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากแกนนำหลายคน ทั้งหญิงและชาย ที่มาได้ดิบได้ดีจากการทำงานอย่างหนักในหลายประเทศในยุโรป ที่ต่างก็ลงแรง ลงกำลังทรัพย์ และกำลังใจไปไม่น้อยตลอดสองปีที่ผ่านมา รู้สึกเจ็บปวดกับการวิจารณ์เหล่านี้ และพวกเขาไม่พอใจและก็รู้สึกอ่อนไหวไปกับบรรยากาศแห่งการถูกแบ่งชนชั้นมาก พอดู
การพูดคุยในเช้าวันที่ 22 พฤษภาคมที่แฟลตชานเมืองปารีส จึงเต็มไปด้วยการแสดงความไม่พอใจต่อการพูดโจมตีกลุ่ม นปช. แดงยุโรป ที่พวกเขาบอกว่าไม่เป็นความจริงและได้ข้อมูลไปผิดๆ
เมื่อได้พูดคุยกับ หลายคนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบถึงความอึดอัดและไม่พอใจนิดๆ ของแกนนำยุโรปบางคน ต่อการเสนอตัวของแกนนำผลัดถิ่นเพื่อเข้ามาเป็นแกนนำในหมู่คนเสื้อแดงยุโรป ซึ่งขัดแย้งกับสภาพการจัดตั้งในรูปแบบของพวกเขาซึ่งมีแกนนำในแต่ละประเทศ อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้ประกาศตัวชัดเจนว่าเป็น นปช. ยุโรป เป็นคนรากหญ้า และจัดระบบการประสานงานระหว่างกัน โดยมีลักษณะการทำงานแบบ ไม่มีใครนำใคร กิจกรรมขึ้นอยู่กับความสามารถและความสะดวกในการจัดของแต่ละประเทศ
ด้วย ประการฉะนี้ แกนนำและแนวร่วมหลายคน จึงรู้สึกอ่อนไหว และไม่ค่อยวางใจนักกับนักวิชาการ และคนแปลกหน้า และกลายเป็นหวาดระแวงกันไปจนถึงขั้นที่ว่า คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนปช. ต้องเป็นคนที่ขายตัวให้กับอำมาตย์แล้วแน่ๆ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นอดีตแกนนำ นปช. ก็ตามที
วิถีการตีขลุมเหมารวมว่า “ถ้าไม่เห็นด้วยกับพวกเรา นปช. ก็ต้องขายตัวให้กับอำมาตย์” หรือ “เราไม่รู้ว่านายเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่าเขาแปรพักตร์ไปเข้ากับอำมาตย์หรือเปล่า” จึงเป็นคอมเมนต์ที่ข้าพเจ้าได้ยินหลายครั้งจากชาว นปช.ยุโรป
“นปช. และแกนนำแดงยุโรปก็ถูกกล่าวหาว่ารับเงินทักษิณ ซึ่งทุกคนก็ยืนยันว่าไม่จริง พวกเราจึงไม่ควรไปเหมารวมว่าคนที่คิดต่างจะต้องเป็นพวกรับเงินอำมาตย์ เท่านั้น เพราะนี่เป็นประเด็นที่ นปช. เองก็ถูกโจมตีไม่ใช่เหรอ?” ข้าพเจ้าท้วงติงไปบ้างเช่นกัน
กระนั้น ก็ตาม น้ำใจไมตรีและมิตรภาพของคนไทยในยุโรปก็ยังคงเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย ต่างก็ต้อนรับขับสู้และดูแลเพื่อนมิตรจากแดนไกลโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
รำลึกหนึ่งปีการสังหารหมู่ประชาชน พฤษภาคม 2553
เวลา เที่ยงของวันที่ 22 พฤษภาคม พวกเราก็ทยอยออกเดินทางไปเตรียมงานที่หน้าหอไอเฟล บางคนไปกับรถขนของ หลายคนก็เดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน โดยมีอติเทพหรือโอ หนุ่มลำปางอารมณ์ดี ที่มาตำส้มตำ และทำต้มยำกุ้งรสแซ่บให้พวกเราทาน และเป็นผู้นำทางพวกเราไปยังหอไอเฟล
หลาย คนคงยังจำข่าวคู่รักไทย-เขมรที่จัดงานหมั้นเพื่อส่งเสริมสันติภาพไทยเขมร ท่ามกลางการพยายามยุยงของกลุ่มพันธมิตรให้ทั้งสองประเทศทำสงคราม ชายหนุ่มคนนั้นก็คือโอนี่แหล่ะค่ะ
โอเป็นอดีตครูหนุ่มจากลำปาง ตัดสินใจเดินทางมาเสี่ยงโชคที่ฝรั่งเศสตั้งแต่ประมาณปี 2530 จนตอนนี้เกือบทั้งครอบครัวของโอต่างก็เดินทางมาทำงานทีฝรั่งเศสกับเกือบหมด แล้ว ตัวโอเองก็ได้พบรักกับดาวี สาวเขมรขวัญใจชาวเสื้อแดงยุโรป และได้จัดงานหมั้น “Make Love Not War” ท่ามกลางบรรยากาศสงครามชายแดนไทยเขมร อันลือลั่นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554 งานแต่งงานของโอและดาวีจะจัดขึ้นวันที่ 29 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเจ้าสาวบอกว่าได้สั่งตัดชุดแต่งงานสีแดงที่ส่งตรงมาจากเขมรกันเลยที เดียว
โอ เป็นกำลังหลักคนหนึ่งที่ขยันขันแข็งในการช่วยงาน นปช. แดงยุโรปและสมาคมรวมใจไทยในฝรั่งเศส ส่วนดาวีคู่หมั้นโอที่พูดไทยได้อย่างฉะฉาน แม้จะเป็นคนเขมรเธอก็ลงมาร่วมสู้กับคนเสื้อแดงอย่างแข็งขันจนกลายเป็นที่ ขวัญใจคนเสื้อแดงยุโรปไปด้วย เธอบอกว่า "พี่โอบอกหนูว่าเราสู้เพื่อลูกหลาน หนูก็ว่าถ้าสู้เพื่อลูกหลาน หนูสู้ด้วย"
เรา มาถึงลานกว้างหน้าหอไอเฟลก่อนบ่ายสองโมงเล็กน้อย มีตำรวจสองคนที่ทำหน้าที่ดูความเรียบร้อยมายืนรอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว และถามหาใบอนุญาตจัดงานทันที
“วันนี้คนอาจจะไม่มากนักเพราะมี คอนเสิร์ต ไผ่ พงศธร ที่ปารีสในเวลาเดียวกันกับงานของเรา ซึ่งเตรียมงานและขายบัตรไว้ล่วงหน้าก่อนที่พวกเราจะวางแผนจัดงานนี้ มันเลยซ้อนกัน และพวกเราหลายคนก็ซื้อตั๋วคอนเสิร์ตเอาไว้แล้ว” โอ และเพื่อนชาวเสื้อแดงฝรั่งเศสบอกพวกเราให้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะไม่มีคนมากนักวันนี้
พวกเราเองก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ไปด้วยเช่นกันว่าจะมีคนมาร่วมงานรำลึกกันมากน้อยแค่ไหน
หลัง บ่ายสองไม่นาน คนไทยใส่เสื้อแดงทยอยเดินทางมาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ ป้ายต่างๆ ที่เตรียมไปจากเยอรมันและทำในฝรั่งเศสทยอยนำออกมาแจกจ่ายให้กับทุกคนไปถือ ยืนเกาะกลุ่มกันตรงจุดที่เห็นหอไอเฟลเด่นตระหง่าน
การเปิดงานก็เริ่ม ขึ้นแล้ว โดยผู้อาวุโสชาวไทยที่อยู่ฝรั่งเศสมานานทั้งที่ปรึกษาสมาคม และประธานสมาคมทยอยกล่าวปราศรัย ส่วนใหญ่เป็นการปราศรัยเป็นภาษาไทย และมีนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นแวะเวียนเข้ามาถ่ายรูปเป็นระยะๆ บางคนข้าพเจ้าก็เข้าไปอธิบายให้ฟังว่าพวกเรามาทำอะไรกัน เธอคนหนึ่งบอกว่าไม่เห็นข่าวคนเสื้อแดงในหน้าหนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศสเลย และคิดว่าน่าจะมีการประชาสัมพันธ์กับนักข่าวกันมากกว่านี้
พอ ถึงช่วงเวลาประมาณบ่ายสามกลุ่มพวกเราก็ไม่ใช่กลุ่มเรียกร้อง ประชาธิปไตยให้กับประเทศบ้านเกิดเพียงกลุ่มเดียวที่มาใช้หอไอเฟลเป็น สัญลักษณ์ส่งเสียงเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประเทศบ้านเกิดเมืองนอน ชาวโมรอคโคกว่า 30 คนพร้อมป้ายภาษาอาหรับกับภาษาฝรั่งเศสก็มาใช้พื้นที่ตรงกลางลาน เพื่อประท้วงระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในโมรอคโค และเรียกร้องประชาธิปไตยเช่นกัน
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทักทายแกนนำชาวโม รอคโค และสอบถามสาเหตุที่มาประท้วงวันนี้ จึงได้ทราบว่าพวกเขาก็มาต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แกนนำชาวโมรอคโคบอกว่า “เราต้องการการเปลี่ยนแปลง”
เราจับมือประสานและให้กำลังใจกันและกัน และรู้ว่าในขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราจำเป็นจะต้องสมานฉันท์ระหว่างกัน
ประมาณ หนึ่งชั่วโมงหลังจากตะโกนคำขวัญเรียกร้องประชาธิปไตย กลุ่มโมรอคโคได้เคลื่อนขบวนออกเดินไปตามท้องถนน หลังจากนั้นก็มีกลุ่มจากเอเชียใต้มาใช้พื้นที่บริเวณหอไอเฟลประท้วงอีกกลุ่ม หนึ่งเช่นกัน แต่ไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย เท่าที่อ่านป้ายประท้วงน่าจะเป็นเรื่องเสรีภาพทางศาสนา
กลับมาที่ กลุ่มคนเสื้อแดง พอประมาณบ่ายสี่ พวกเราก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในที่นั่น คาดว่าจะมีประมาณ 150 คนได้ แดงแจ๊ดเริ่มนำตะโกนเรียกร้อง "เราต้องการประชาธิปไตย อภิสิทธิ์ออกไป และเพื่อไทยเบอร์หนึ่ง ฯลฯ"
ทอม มี่กับเพื่อนชาวเสื้อแดงฝรั่งเศส ใส่ชุดนักโทษจำลอง ที่ถูกล่ามโซ่ตรวน เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีนักโทษการเมืองและนักโทษคดีหมิ่นฯ
ตะโกน กันพอสมควรก็ได้เวลาถ่ายรูปหมู่และเต้นรำกันนิดหน่อยก่อนจะต้องยุติการ ประท้วงในเวลา 5 โมงเย็นตรงเปะตามเวลาที่ขอไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เคร่งครัดมากและมายืน กำกับเวลาพวกเราให้ยุติตรงเวลากันทีเดียว แต่ตำรวจก็ไม่มีท่าทีคุกคามอะไร
หลัง จากยุติการชุมนุม หลายคนก็ควักข้าวเหนียว ไก่อบ และกุ้งเต้นมาแจกจ่ายแบ่งปันกันทาน เป็นบรรยากาศการประท้วงของคนไทยจริงๆ ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนท้องก็ไม่เคยหิว และมีการพกพาอาหารมาแบ่งปันกันทาน
พวก เราพากันเดินทางกลับไปบ้านพี่มนูญเพื่อไปพูดคุยกันต่อ และทานอาหารค่ำรวมกันก่อนที่ทีมเยอรมันจะต้องขับรถกว่า 6 ชั่วโมงกลับไปยังแฟรงเฟิร์ต
อาหารค่ำนี้ปรุงด้วยแม่ครัวและพ่อครัวมือ หนึ่งหลายคน จึงเอร็ดอร่อย แซบหลายถูกใจหลายคน และบรรยากาศการพูดคุยก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาแห่งการร่ำลากับกลุ่มแดงแจ๊ด พี่น้ำปิง พี่แห้งและทอมมี่
หลัง จากทีมจากเยอรมันเดินทางกลับไปแล้ว พวกเรายังคงพูดคุยกันต่อจนดึก ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ปัญหาแรงงานไทยในฝรั่งเศสเยอะมากจากการพูดคุยกับพี่ๆ เหล่านี้ ที่มีทั้งอดีตแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวจากลำปางที่เจ๊งจากวิกฤติการเมืองรัฐประหารปี 2549 จนตัดสินใจมาฝรั่งเศสพร้อมกับสามี หมอนวดแผนโบราณมือทองขวัญใจทุกคนที่คิวจองตัวยาวเหยียด โอและดาวีที่เป็นที่รักของทุกคน และก็พี่ที่มาทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าและงานบ้านที่ฝรั่งเศส รวมทั้งคนไทยลาวที่มาเป็นตำรวจอยู่ที่ฝรั่งเศสกว่ายี่สิบปี
เราจำเป็นต้องสร้างวุฒิภาวะในขบวนการคนเสื้อแดง
เวลา สี่วันแห่งการทำความรู้จักกับ นปช. ยุโรปและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในฝรั่งเศส ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับชีวิตคนไทยในยุโรป และได้เข้าใจความมุ่งมั่นของพวกเขาที่ต้องการมีส่วนร่วมหรือช่วยอะไรได้บ้าง จากแดนไกล เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นความมุ่งมั่นที่ไม่ได้ผูกโยงประโยชน์ส่วนตัว และทุกคนได้เสียสละกันมากตลอดสองปีที่ผ่านมา ทั้งรวบรวมเงินทองส่งไปช่วยเหลือการต่อสู้ในเมืองไทย และออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจัดกิจกรรมที่ยุโรป รวมทั้งดูแลนักสู้จากเมืองไทยที่แวะเวียนมากันอย่างไม่ขาดสาย
ในสภาวะ ที่พวกเขาจำนวนไม่น้อยคือคนที่อยู่ฐานล่างสุดของค่าแรงขั้นต่ำที่ ยุโรป แต่โชคดีที่มีสวัสดิการหลายตัวคุ้มครองทำให้สภาพความเป็นอยู่ที่นี่ไม่ได้ ลำบากมากนัก
ประเด็นปัญหาจึงเป็นเรื่องของการไม่สามารถแยกแยะข้อมูล และสามารถใช้วิจารณญาณและสติปัญญาอย่างรอบด้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในสภาพการเมืองไทยที่วุ่นวายมาหลายปีนับตั้งแต่ปลายปี 2548 เอาเข้าจริงแม้แต่คนที่อยู่ในเมืองไทยที่แม้จะอยู่ใกล้กับแหล่งข้อมูลตรงก็ ไม่สามารถแยกแยะได้แล้วว่าอะไรจริง อะไรเท็จ และมันก็ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เกิดเฉพาะจากคนรากหญ้าเท่านั้น แต่เป็นการขาดวุฒิภาวะมาตั้งแต่ชนชั้นสูง พวกอำมาตย์และขั้วอำนาจนำในสังคไทย ที่นำพาบ้านเมืองบอบช้ำกันมาหลายปี
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาว “แดงรากหญ้า” เองก็ประสบปัญหาเรื่องการไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ รวมทั้งไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และมักจะเหมารวมว่า “ถ้าไม่ใช่พวกเรา ก็ต้องเป็นพวกอำมาตย์” ซึ่งเป็นโรคติดแห่งความหวาดระแวงที่แผ่ซ่านมาจากเมืองไทยมาสู่พวกเขาด้วยเช่นกัน
ข้าพเจ้า ไม่ได้รู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้ี่เป็นปัญหากับเฉพาะ นปช. ยุโรป เพราะทุกขบวนการก็มีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าแกนนำแต่ละกลุ่มจะหนักแน่น และพยายามขับเคลื่อนมวลชนและแนวนโยบายอย่างมีสติและเหตุผลเพื่อบรรลุเป้า หมายได้อย่างไร ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องที่ว่ามัน “มีความขัดแย้ง หรือแตกแนวคิดเป็นหลายกลุ่ม หลายขั้ว” แต่ปัญหาคือแนวคิดที่ว่า “ทุกกลุ่มต้องสลายแนวคิดแล้วมาเดินร่วมกันในจุดยืนของ นปช, ซึ่งประกาศชัดว่าหนุนและปฏิบัติตามแนวนโยบายจองพรรคเพื่อไทยเท่านั้น”
บางคนพยายามบอกทำนองว่า “สื่อต้องมีสติมากที่สุด จะมาให้เราเป็นฝ่ายใช้วิจารณญาณไม่ได้”
ข้าพเจ้าแย้งว่า “ทุกคนต้องมีวิจาณญาณให้มากที่สุด ในการแยกแยะระหว่างปัจเจกกับอุดมการณ์รวม ให้ได้ ให้สื่อทำอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสื่อนี่แหล่ะที่หลายครั้งเป็นตัวต้องการเห็นประเด็นความขัดแย้งเพื่อไป สร้างสีสันข่าว”
มันเป็นสภาวะแห่ง “การไร้วุฒิภาวะและความสำนึกร่วม” ซึ่งเป็นปัญหาไปทั่วทั้งสังคมไทยในยามนี้ และเป็นหนึ่งในต้นตอปัญหาของทุกขบวนการทางสังคม ที่มักติดกับการจ้องจับผิดตัวบุคคลมากกว่า “การแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” และการมุ่งหน้าแก้ปัญหาการเมืองและภาวะไร้ซึ่งจุดยืนและวุฒิภาวะเหล่านี้ไปให้หมดไปจากสังคมไทยเสียที
ข้าพเจ้า เห็นความรักมากมายที่คนเสื้อแดงยุโรปมีให้กับทักษิณ และโดยไม่รังเลแม้แต่น้อยที่จะส่งผ่านความรักนั้นมายังยิ่งลักษณ์ น้องสาวทักษิณเช่นกัน ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่าทั้งทักษิณ ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งว่าที่ สส. และแกนนำพรรคเพื่อไทยจะรักพวกเขาได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของความรักที่คนเสื้อ แดงไกลบ้านเหล่านี้ได้มอบให้กับพวกเขา
ความฝันอันยิ่งใหญ่ของทุก คน ที่นี่คือ ต้องการร่วมต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นไปจากอำนาจที่อยุติธรรมและสร้าง ประชาธิปไตยที่แท้จริง พร้อมกับนโยบายสวัสดิการสังคมที่ดีเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้รับในหลายประเทศ ในยุโรป
คนอีสานและคนเหนือที่ฝรั่งเศส
ข้าพเจ้า อยู่ฝรั่งเศสต่ออีกสองวันเพื่อทำความรู้จักกับคนไทยที ฝรั่งเศส และพบเจอกับเพื่อนฝูง จากการพูดคุยกับพี่มนูญและพี่น้องคนไทยหลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เรื่องปัญหาคนไทยในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น และก็เป็นข้อมูลที่น่าตกใจมากเช่นกันว่ามีคนไทยที่อยู่อย่างถูกกฎหมายที่ฝรั่งเศสเพียงประมาณแปดพันคน แต่ที่อยู่เกินวีซ่า (บางคนกว่ายี่สิบปี) มีร่วมสี่หมื่นคน
หลังจากการลุกขึ้นสู้ของคนเสื้อแดง พี่มนูญจึงเริ่มหันมาสนใจการเมืองไทย และตั้งสมาคมรวมใจไทยที่ฝรั่งเศษเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2553
“พวก เรารวมตัวกันจัดตั้งสมาคมรวมใจไทยที่ฝรั่งเศส เพื่อเป็นที่รวมของคนเสื้อแดงและช่วยเหลือคนเสื้อแดงและคนไทยที่มีปัญหาที่ ฝรั่งเศส” พี่มนูญเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการรวมตัว และจดทะเบียนสมาคม “รวมใจไทยในฝรั่งเศส” เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว
“ตอน นี้เรามีสมาชิกประมาณสองร้อยกว่าคน และก็ดำเนินการช่วยเหลือสมาชิกที่ต้องทำเรื่องขอสถานภาพที่ถูกกฎหมายที ฝรั่งเศส รวมทั้งหาครูอาสาสมัครมาสอนภาษาฝรั่งเศสให้กับสมาชิกและผู้สนใจ”
มี คนไทยที่ฝรั่งเศสประมาณ 50,000 คน ร่วมสี่หมื่นคนเดินทางเข้ามาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวแล้วหนีวีซ่า ส่วนใหญ่คือคนอีสาน และคนเหนือ เป็นคนรากหญ้า ขาวไร่ชาวนาที่เดินทางมาตายเอาดาบหน้าที่ฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงปี 2526 และหลังเหตุการณ์จากความวุ่นวายการเมืองในปี 2548-2549 พวกเขามาเป็นแรงงานเย็บผ้า แม่บ้านและดูแลเด็ก ก่อสร้าง พ่อครัวและพนักงานร้านอาหารไทย จีน ญี่ปุ่นที่ปารีส พวกเขาที่ไม่มีวีซ่าทำงานอย่างถูกต้องต้องอยู่อย่างหลบซ่อน ถูกโกงค่าแรง หรือไม่ได้รับค่าแรงตามกฎหมาย
พี่มนูญเป็นกุ๊กในร้านอาหารจีนที่มี ชื่อกลางย่านชอง เอลิเซ่ และเป็นคนที่อยู่มานาน จึงเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทย และเป็นพี่เลี้ยงคนสำคัญในการให้คำแนะนำและช่วยเหลือเพื่อนฝูงในกระบวนการ ดำเนินเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตอยู่อาศัยในฝรั่งเศส และได้รับเลือกเป็นประธานสมาคมรวมใจใทยฝรั่งเศส และประธาน นปช. ยุโรป
คน ไทยจำนวนไม่น้อยที่อยู่เกินวีซ่า นี่เกินกันยาวนานโดยไม่ได้กลับบ้าน เป็นสิบปี ยี่สิบปี ที่ไม่เคยกลับเมืองไทยเพราะกลัวว่าเมื่อออกไปแล้ว จะเดินทางเข้าฝรั่งเศสอีกไม่ได้ พ่อตาย แม่ตายก็ไม่ได้กลับไปเผาศพ
พี่ มนูญเดินทางเข้าฝรั่งเศสในปี 2528 กว่าจะทำเรื่องขอสถานภาพผู้พักอาศัยได้สำเร็จ ซึ่งสามารถทำเรื่องขอได้หลังจากอยู่ในประเทศฝรั่งเศสมากกว่าสิบปีขึ้นไป ก็ทำให้ได้เดินทางกลับเมืองไทยครั้งแรกในปี 2550 เป็นเวลาถึง 21 ปี
พี่ มนูญ ชายวัยกลางคน ที่ผ่านความเจ็บปวด และความยากลำบากมายาวนานหลายปี ในยามที่ข้าพเจ้าได้พบและทำความรู้จักจึงเป็นพี่ชายที่อ่อนน้อมถ่อมตน สุขุม และมีใจที่ต้องการจะช่วยเหลือคนไทยที่เผชิญปัญหาเช่นเดียวกับพี่มนูญและพี่ ดาว ภรรยาพี่มนูญ ที่เป็นอีกหนึ่งกำลังที่สำคัญในหมู่คนเสื้อแดงที่ฝรั่งเศส
พี่ น้อย ที่มาฝรั่งเศสในช่วงปี 2526 หรือ 2527 เพื่อมาทำงานเย็บผ้า เล่าว่าในช่วงแรกๆ นี่สุดโหด นั่งเย็บผ้ากันในห้องใต้ดิน ไม่ได้ออกไปไหน เพราะนายจ้างและพวกเรากลัวถูกตำรวจจับ ต้องฉี่ในขวดใส่น้ำดื่ม ตอนนี้พี่น้อยทำงานเป็นกุ๊ก และมีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น และเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของคนเสื้อแดงฝรั่งเศส
เรื่องของพี่มณี (นามสมมุติ) ทำให้ข้าพเจ้าเศร้าลึกในหัวใจ พี่มณีเดินทางมาฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2545 โดยจ่ายค่าหัวคิว 250,000 บาท เพื่อมาทำงานแม่บ้านและเลี้ยงเด็ก เนื่องจากต้องอยู่อย่างไร้วีซ่าทำงาน พี่มณีโดยกดค่าแรง บางครั้งก็ถูกโกงค่าแรง ทำให้พี่มณีต้องใช้เวลาสามปีแรกไปกับการหาเงินเพื่อส่งไปไถ่ถอนโฉนดที่ดิน ของแม่ ที่เอาไปค้ำประกันเงินกู้ออกมาจ่ายค่านายหน้า
พี่มณีได้รับ เงินเดือนเพียงเดือนละ 350 ยูโร ซึ่งพี่ก็ออกมาหานายจ้างใหม่ที่ให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นบ้าง เป็น 500 ยูโร และปัจจุบันตกงานอีกครั้งหนึ่งและร่อนเร่ไปทำงานบ้านชั่วคราวให้กับบ้านโน้น บ้านนี้ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ของที่มีเพียงน้อยนิดก็ฝากไว้กับบ้านเพื่อน
หลังจากไถ่ถอนที่นาให้แม่ แล้ว เงินทองพี่มณีก็ถูกใช้ซื้อรถปิ๊กอัพให้น้องชายวิ่งขายของ และก็ส่งเสียลูกเรียน พี่มณีไม่รู้ว่าทางบ้างจะตระหนักถึงความยากลำบากของชีวิตที่ฝรั่งเศสหรือไม่ และเมื่อกลับไทยแล้วน้องชายหรือลูกที่พี่มณีส่งเสียเลี้ยงดูจะเลี้ยงดูพี่ มณีหรือไม่?
พี่มณีคืออีกหนึ่งหญิงไทยใจกล้าหาญแห่งดินแดนอีสานที่ แห้งแล้งและห่างไกล งบประมาณ ที่เดินทางไปขายแรงงานยังต่างแดนเพื่อชีวิตครอบครัว เป็นต่อเนื่องมานานหลายศตวรรษ เป็นผู้หญิงที่นักรบไซเบอร์ปากเปราะเอาไปด่าเล่นสนุกปากว่าพวก "กะหรี่" ก็ไม่ใช่เพราะ "จิ๋มและแรงกาย" ของผู้หญิงไทยจำนวนมากหรอกหรือที่นำพาประเทศไทยรอดวิกฤติเศรษฐกิจมาครั้ง แล้ว ครั้งเล่า นับตั้งแต่สงครามเย็น
นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนไทยที่ ต่างแดนจึงออกมาร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะพวกเขาก็ไม่อยากใช้ชีวิตที่อดสู อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในต่างแดน ทุกคนรักบ้านเกิดและก็อยากกลับบ้านเกิดที่มีนโยบายดูแลสวัสดิการประชาชนเช่น ที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปมีให้กับประชาชนของพวกเขา และนี่ก็คือความหวังของพวกเขาในการเลือกพรรคเพื่อไทยว่าจะ "สร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง"
แม้ในขณะที่เขียนบันทึกนี้ นัยน์ตาเศร้าและใบหน้าที่หม่นหมองของพี่มณียังตรึงตราอยู่ในความรู้สึกของข้าพเจ้า
หมายเหตุ
ก่อน เดินทางออกจากฝรั่งเศส ข้าพเจ้าแนะนำผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์เพื่อคนงานในอุตสาหกรรมตัดเย็บ เสื้อผ้า (Clean Clothes Campaign) ที่รู้จักกันมาหลายปีให้รู้จักกับพี่มนูญ เพื่อที่จะได้ช่วยประสานความช่วยเหลือคนงานไทยในฟรั่งเศสได้บ้าง
ตอนต่อไป สัมภาษณ์ “แกนนำ นปช. ยุโรป และ Thai Red EU"
********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:แดงสหภาพยุโรปรวมพลหอไอเฟลสานเจตนารมณ์วีรชน ขานรับกระแสฟีเวอร์ไพร่อินเตอร์กาเบอร์1