ที่มา ประชาไท
ทีม เศรษฐกิจห้าพรรคการเมือง ย้ำต้องแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อุ้มเกษตรกร พร้อมรองรับมาตรการการเปิดค้าเสรีในอาเซียน กรณ์เน้น ปชป.พร้อมผลักดันพ.ร.บ.ภาษีและที่ดิน
ภาพประกอบโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ
27 พ.ค 54 – เวลา 13.00 น. ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจจัดเวทีสัมมนาเรื่อง “ท้าความคิด...ประชันนโยบายปากท้องกับ 5 พรรค การเมือง” โดยเชิญตัวแทนจากทีมเศรษฐกิจจากพรรคต่างๆมาเสนอนโยบาย ประกอบด้วย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย นาย กรพจน์ อัศวินวิจิตร จากพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล จากพรรคภูมิใจไทย และนายเกษมสันต์ วีระกุล จากพรรคชาติไทยพัฒนา
นาย พิชัย นริพทะพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าขณะนี้ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของโลกมิได้อยู่ในสหรัฐอเมริกาและแถบ ยุโรปอีกต่อไป แต่เคลื่อนย้ายมายังแถบเอเชียโดยเฉพาะจีน อินเดีย และอาเซียน ฉะนั้นจึงเห็นความสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ทั้งในแง่การผลิต การกระจายสินค้า และบริการ
โดยใน 90 วัน แรก หากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาล จะดำเนินโครงการรื้อสร้างปรับปรุงระบบขนส่ง โดยจะสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อเชื่อมตัวระหว่างภูมิภาค และขยายเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯออกไปอีก 10 สายโดยไม่ให้ค่าบริการเกิน 20 บาท และจะมีการสร้าง “เมืองใหม่” โดยให้เป็นศูนย์กลางการเงิน,ไอที และการบริการสุขภาพ สวนในแง่การศึกษา จะแจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต 800,000 เครื่องให้แก่เด็กประถมหนึ่งเครื่องต่อหนึ่งคน และทำให้อินเตอร์เน็ตไวไฟความเร็วสูงใช้ได้อย่างทั่วถึง
นอก จาก นี้ในส่วนของภาคเกษตรกรรม จะสร้างชลประทานระบบท่อในบริเวณลุ่มน้ำเพื่อให้ชาวนาปลูกข้าวได้มี ประสิทธิผลมากขึ้น และสร้างเขื่อนเพิ่มเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่สำคัญคือจะเปิดตัวโครงการ “เครดิตการ์ดชาวนา” หรือ “บัตรเพิ่มศักดิ์ศรีเกษตรกร” ที่ให้สินเชื่อแก่ชาวนา โดยนำเงินจากการจำนำข้าวมาปล่อยกู้ให้ก่อน นายพิชัยกล่าวว่าวิธีนี้จะทำให้ชาวนาประหยัดขึ้นถึง 40-50% โดยไม่จำเป็นต้องไปกู้หนี้นอกระบบ
ในส่วนของภาคธุรกิจ จะปรับลดภาษีนิติบุคคลเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันในการลงทุนในประเทศ โดยในปัจจุบัน ภาษีนิติบุคคลอยู่ที่ 30% จะปรับลงเป็น 23% ในปี 2555 และให้เหลือ 20% ในปี 2556 ในขณะเดียวกันจะเพิ่มค่าแรงให้กับแรงงานเป็น 300 บาท และเพิ่มเงินเดือนแรงงานที่จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท โดย หวังว่าในการเพิ่มรายได้ให้คนในประเทศ จะทำให้การบริโภคจับจ่ายใช้สอยสูงขึ้น และส่งผลให้ประเทศได้รายได้จากภาษีบุคคลมากขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ยังเสนอให้พักหนี้ครัวเรือน โดยหนี้ที่ต่ำกว่า 5 แสนบาท จะพักหนี้ให้ห้าปี และจัดโครงสร้างหนี้ใหม่เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ และเพิ่มกองทุนหมู่บ้าน จากแต่ก่อนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท จะเพิ่มเป็น 2 ล้านบาท รวมถึงตั้งธนาคารหมู่บ้าน ในส่วนของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เพิ่งจบใหม่ จะมีการตั้ง “กองทุนตั้งตัว” ซึ่งจัดให้มหาวิทยาลัยละ 1พัน ล้านบาท เพื่อปล่อยกู้ให้นักศึกษาที่จบแล้วนำไปทำธุรกิจเพื่อตั้งตัว และสานโครงการเก่าเช่น โครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP, โครงการผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SML, ส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระจายรายได้ให้ทั่วถึง, โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก
พรรค ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นายกรพจน์ อัศวินวิจิตรชี้ว่า จะแก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยการลดราคาวัตถุดิบและต้นทุนการผลิต และตรึงราคาน้ำมัน นอกจากนี้จะเพิ่มวงเงินเครดิตให้แก่ภาคการผลิตโดยไม่คิดดอกเบี้ย
สำหรับกลุ่มแรงงานและเกษตรกร ได้เสนอนโยบายการงดภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ที่เข้าตลาดแรงงานในช่วง 5 ปี แรก เพื่อเป็นการลดภาระแก่ผู้ที่เข้าทำงานใหม่ โดยไม่กระทบกับโครงสร้างการเก็บภาษีโดยรวม และงานที่ทำจะต้องมีความมั่นคงและรายได้สูง โดยเสนอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 350 บาทซึ่ง มากกว่าพรรคอื่นๆ สาเหตุที่มั่นใจว่าทำได้นั้น เนื่องจากจะมีโครงการ “สร้างเถ้าแก่เงินล้าน” ซึ่งเป็นโครงการสร้างธุรกิจขนาดย่อยโดยให้เงินกู้รายละ 1 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0% ใน สามปีแรก ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะทำให้เกิดการจ้างงานที่มากขึ้นและทำให้ค่าแรงสูงขึ้น ด้วยเป็นลำดับ และจะให้มีเงินกู้เพื่อให้แรงงานสามารถซื้อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังจะส่งเสริมการส่งแรงงานไปต่างประเทศโดยทางรัฐจะจัดให้มีสินเชื่อควบคู่ กัน
ใน แง่ ของสวัสดิการสังคม นายกรพจน์ยอมรับว่ากลไกของกองทุนหมู่บ้านเหมาะสมกับการปล่อยเงินกู้ดีอยู่ แล้ว มากกว่าโครงการธนาคารไปรษณีย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้หากพรรคชาติไทยพัฒนาได้เป็นรัฐบาล จะเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และผู้พิการให้มากขึ้น 2 เท่า และเพิ่มการรักษาพยาบาลให้เป็นทุกโรงพยาบาล ไม่จำกัดเฉพาะที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น โดยเงินที่จะนำมาอุดหนุนโครงการที่กล่าวมานั้นอาจมาจากหลายทาง เช่น รายได้มวลรวมประชาชาติที่เพิ่มขึ้น และการเก็บภาษีชนิดใหม่ๆเพิ่มเติม เช่น Land Development Tax ซึ่งในต่างประเทศเก็บจากที่ดินที่อยู่ใกล้การพัฒนาของรัฐ เป็นต้น
พรรค ภูมิใจไทย โดยมีนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล เป็นตัวแทนทีมเศรษฐกิจชี้ว่า ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายทั้งในประเทศและนอกประเทศอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางอาหาร การกีดกันการค้าเสรี และในประเทศยังประสบปัญหาการขนส่งที่ยังไม่พร้อม
นายสุรยุทธกล่าวว่า หากพรรคภูมิใจไทยได้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จะมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจผ่านทางโครงการหลักๆสี่ด้าน คือ การเกษตร, อุตสาหกรรมไฮเทค เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์, เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อม (eco-industry) โดย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการปรับมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาองค์ความรู้ที่จำเป็น เช่น พัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยให้มีทิศทางที่ชัดเจนและมีซัพพลายเชนที่เข้มแข็ง ควบคู่ไปกับการพัฒนาการคมนาคมขนส่ง เช่น รถไฟรางคู่ โครงการถนนปลอดฝุ่น รวมถึงการสร้างศูนย์กระจายสินค้าบริเวณชายแดนเพื่อส่งเสริมการลงทุนและ กระจายสินค้าได้มีประสิทธิภาพขึ้น
ทาง พรรค จะคำนึงถึงนโยบายทางเศรษฐกิจที่แก้ไขปัญหาการเหลื่อมล้ำ โดยในส่วนของผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าว จะใช้ระบบประกันข้าว ซึ่งสามารถจัดการได้อย่างเป็นระบบโดยให้มีการลงทะเบียน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ง่าย และประกันเฉพาะส่วนต่างเท่านั้นทำให้ไม่เกิดปัญหาต่างๆเช่นการเสื่อมราคาของ สินค้า การรั่วไหลทุจริต การแทรกแซงราคาตลาดที่เกิดขึ้นเมื่อใช้ระบบจำนำข้าว นอกจากนี้จะส่งเสริม การพัฒนาพันธุ์ข้าว และระบบชลประทานเพื่อให้สามารถขยายการเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตให้ได้มากขึ้น และจะส่งเสริมให้ปลูกยางในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกด้วย
ในการกระจายความเหลื่อมล้ำนี้ นายสุรยุทธกล่าวว่ายังมีนโยบายกระจายพื้นที่ทำกิน โดยจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุตามทางรถไฟให้กับประชาชนเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และทำมาค้าขาย และเพื่อเป็นการลดภาระแก่ประชาชน จะลดภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จาก 7% ให้เหลือ 5% และ ปรับลดภาษีนิติบุคคลเพื่อส่งเสริมการลงทุน นอกจากนี้ จะส่งเสริมเยาวชนไทยให้เป็นนักกีฬามืออาชีพ โดยโดยการสร้างศูนย์กีฬาอาชีพให้อีกด้วย
ใน ขณะ ที่ทางนายเกษมสันต์ ในฐานะตัวแทนทีมเศรษฐกิจพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า สิ่งที่จะทำทันทีเมื่อได้รับเลือกเข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล คือ ตั้งแผน งานว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้ต่อ และตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนายุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ให้คณะรัฐมนตรีหยุดการโกงกิน และเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในอาเซียน โดยย้ำถึงความสำคัญของประชาคมทางเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ว่า เนื่องจากในปี 2558 ประเทศ สมาชิกในภูมิภาคอาเซียน นอกจากจะสามารถเคลื่อนย้ายแรงงานและบริการได้อย่างอิสระแล้ว การค้าขายในหมู่ประเทศสมาชิกจะเป็นไปอย่างเสรี แต่เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยเก็บภาษีนิติบุคคลอยู่ที่ 30% ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านตั้งไว้ที่สูงสุด 20% เช่นเดียวกับภาษีรายได้บุคคลประเทศไทยเก็บอยู่ที่ 0-37% แต่ประเทศเพื่อนบ้านเก็บสูงสุด 20% ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การลงทุนอาจจะเคลื่อนย้ายไปยังประเทศอื่นๆมากกว่ามาในประเทศไทย
จึงเสนอนโยบายสองด้านหลักๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจดังกล่าว คือ ให้ มีการปรับลดภาษี เช่นภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการลงทุนและปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานให้ดีเท่ากับค่าเฉลี่ยที่กำหนดไว้โดยธนาคารโลก ทั้งหมดนี้เพื่อให้เศรษฐกิจในภาพรวมโตได้ถึง 8% จากปัจจุบันที่อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 4.4% นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการปรับโครงสร้างภาษีให้เป็นธรรมในระดับบุคคล และเก็บภาษีให้เข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทางด้านของพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ในฐานะทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ทางพรรคสามารถดำเนิน นโยบายที่ได้ริเริ่มไว้แล้วได้ทันทีหากได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายช่วยเหลือและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน เช่น นโยบายลดค่าครองชีพ ค่าไฟ ค่าโดยสาร และตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร นโยบายปรับหนี้นอกระบบ และหนี้บัตรเครดิตสำหรับชนชั้นกลาง รวมถึงตั้งกองทุนฟื้นฟู และกองทุนอื่นๆให้แก่เกษตรกร โดยจะปรับโครงสร้างหนี้ให้เหลือ 50% หาก สามารถชำระหนี้ได้ครึ่งแรก ทั้งนี้ จะให้มีการประกันรายได้ให้แก่เกษตรกร และอุดหนุนปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เช่น ปุ๋ย และให้มีประกันภายนาล่มที่เกิดจากภัยธรรมชาติ 2,000 บาทต่อ 1 ไร่ด้วย
ในส่วนของแรงงาน จะปรับค่าแรงขึ้นให้มากกว่า 25% ภายใน 2 ปี และดำเนินโครงการ”บ้านหลังแรก” โดยให้กู้เงินเพื่อซื้อบ้านโดยไม่คิดดอกเบี้ยต่อไปอีก 25,000 หลัง
นอกจากนี้ นายกรณ์ยังกล่าวถึงปัญหาการเข้าถึงทรัพยากร เช่น ที่ดินทำกิน ซึ่งในปัจจุบันรัฐบาลกำลังผลัก ดันโครงการโฉนดที่ดิน ธนาคารที่ดิน และย้ำว่าพระราชบัญญัติทรัพย์สินและที่ดินที่ปัจจุบันกำลังรอการพิจารณาใน สภานั้น จะเป็นสิ่งแรกๆที่พรรคประชาธิปัตย์จะนำมาผลักดันเมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาลต่อไป
และ ใน ระดับประเทศ จะส่งเสริมให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยการสร้างแหล่งน้ำให้เกษตรกรในการเพาะปลูก พัฒนาแหลมฉบังให้เป็นเมืองท่า และสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน ลาว และมาเลเซีย เพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการคมนาคมและการขนส่งสินค้า