WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, July 4, 2012

ไต่สวนการตาย ‘ยิงรถตู้’ 53 ทหารจากลพบุรียันไม่ได้ยิง-ไม่มีแจกกระสุนจริง-ไม่รู้ใครยิง

ที่มา ประชาไท

 

3 ก.ค.55 ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา รัชดา มีการไต่สวนการเสียชีวิตของนาย พัน คำกอง คนขับแท็กซี่ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตบริเวณถนนราชปรารภ ใกล้แอร์พอร์ตลิงก์ซึ่งเป็นจุดประจำการของทหาร เมื่อวันที่ 15 พ.ค.53 โดยมีทหารจากกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งประจำการบริเวณดังกล่าวขึ้นเบิกความ 4 นาย

คลิปข่าวเนชั่นทีวีรายงานจากที่เกิดเหตุ ระบุชัดทหารยิงสกัดรถตู้

ทั้งนี้ เหตุการณ์ในวันดังกล่าวมีการรายงานโดยสื่อหลายสำนัก โดยเนชั่นทีวี ผู้สื่อข่าวภาคสนามได้รายงานว่ามีรถตู้สีขาววิ่งเข้ามาในบริเวณดังกล่าว ทหารจึงมีการแจ้งเตือน แต่รถตู้ยังขับต่อทำให้ทหารต้องยิงสกัด หลังเหตุการณ์พบว่าคนขับรถตู้ได้รับบาดเจ็บ และมีเด็กชายวัย 14 ปีถูกลูกหลงเสียชีวิต (ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือ อิซา) รวมทั้งนายพัน คำพอง คนขับแท็กซี่ที่ไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวและเป็นผู้ตายในคดีนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่านายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายฝ่ายผู้เสียชีวิตแจ้งว่า นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้มาเบิกความไปแล้ว โดยระบุว่า มีอาชีพขับรถตู้รับจ้างรับส่งชาวต่างชาติ วันเกิดเหตุพยายามหาทางกลับบ้านและต้องผ่านเส้นทางดังกล่าวซึ่งไม่ได้มีด่าน หรือการแจ้งว่าปิดถนน เมื่อถึงที่เกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศจึงขับต่อไปจนกระทั่ง ถูกยิง ส่วนนายพัน คำกอง ทราบว่าเป็นคนขับแท็กซี่ ช่วงเกิดเหตุกลับบ้านไม่ได้เพราะไม่มีรถ จึงเข้าไปพักอยู่ในสำนักงานของคอนโดที่ยังสร้างไม่เสร็จใกล้กับจุดที่เกิด เหตุ

ผู้บังคับกองพันจากลพบุรี ยัน M79 ลงก่อนช่วงค่ำ -ได้รับรายงานแต่ไม่ได้ลงมาดูที่เกิดเหตุ  
พ.ท.วรการ ฮุ่นตระกูล ผู้บังคับกองพันที่ 31 ทหารปืนใหญ่ รักษาพระองค์  ( ผบ.ป.พัน.31 รอ.) เบิกความว่า ผู้บังคับกองพันประจำการอยู่บนแอร์พอร์ตลิงก์ ชั้น 3 โดยหน่วยของตนย้ายจากทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 14 พ.ค.มาประจำการบริเวณนี้ในช่วงเย็น ตั้งแต่หัวค่ำก็มีเสียงระเบิดทยอยเกิดขึ้นทางฝั่งซ้ายของตึก ห่างไปไม่เกิน 500 เมตร คาดว่าเป็น M79 กระทั่งมาตกที่ถนนราชปรารภและบนหลังคาสะพานลอยซึ่งมีทหารประจำการอยู่ จึงสั่งให้มีการถอนกำลัง เมื่อเงียบไปพักหนึ่งจึงให้กลับไปประจำการใหม่  กระทั่งเวลาประมาณ 24.00 น.มีการวิทยุแจ้งว่ามีรถตู้วิ่งเข้ามา มีการประกาศเตือนให้หยุดรถ ไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น แต่ไม่ทราบทิศทาง ดังต่อเนื่องหลายนัดประมาณ 1 นาที  ตนไม่ได้ออกมาดูเหตุการณ์ แต่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานว่ามีรถตู้วิ่งออกมาจากซอยวัฒนวงศ์ (ราชปรารภ 8) มุ่งหน้าหาแอร์พอร์ตลิงก์  ไม่มีการรายงานว่ามีการระดมยิง แต่ภายหลังเหตุการณ์สงบพบในรถมีผ้าพันคอและเสื้อสีแดง เขียนข้อความ “แดงทั้งแผ่นดิน” และมีมีดดาบยาวประมาณ 2 ฟุต ไม่มีอาวุธอย่างอื่น หลังจากนั้นพักใหญ่ก็ได้รับรายงานจากหน่วยพยาบาลอีกว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นคนขับรถตู้ และเด็กอีก 1 คน จึงให้ติดต่อประสานรถพยาบาลในพื้นที่ จากนั้นก็มีการแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บอีกรายที่บริเวณคอนโด Ideao ซึ่งกำลังก่อสร้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้ตนไม่ได้ลงไปดูที่เกิดเหตุแต่อย่างใด
ยันไม่มีการใช้ – ไม่มีการแจกกระสุนจริงให้กำลังพล
เมื่อถามถึงการวางกำลังและการใช้อาวุธของทหารที่ประจำการบริเวณดังกล่าว พ.ท.วรการ ตอบว่า หน่วยของตนเป็นกองร้อยรักษาความสงบ อาวุธหลักคือ โล่และกระบอง ซึ่งมีประจำกายทหารทั้ง 150 คน ส่วนปืนลูกซองนั้นมีประมาณ 30 กระบอก ปืน M16 มีประมาณ 20 กระบอก ในวันเกิดเหตุได้แจกกระสุนแบงก์หรือกระสุนซ้อมรบสำหรับปืน M16 กับ กระสุนยางสำหรับปืนลูกซอง ให้เจ้าหน้านำไปด้วยโดยไม่ได้บรรจุไว้ในปืน กระสุนดังกล่าวไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต และยืนยันว่าไม่มีการแจกกระสุนจริงให้ผู้ใต้บังคับบัญชา นอกจากนี้จากการสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มีคนไหนใช้อาวุธยับยั้งไม่ให้ รถตู้เข้ามา ส่วนที่มีการเขียนป้ายในบริเวณใกล้เคียงว่า “พื้นที่กระสุนจริง” ก็ไม่ทราบว่าหน่วยไหนเป็นคนเขียน
พ.ท.วรการตอบทนายซักถามว่า ในช่วงดังกล่าวมีการเบิกกระสุนจริงสำหรับปืน M16 มาด้วย 400 นัด ส่วนกระสุนซ้อมรบนั้นจำยอดแน่นอนไม่ได้เพราะใช้ที่เหลือจากการฝึก ส่วนกระสุนจริงสำหรับใช้กับปืนลูกซองจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ ส่วนปืนพกที่ผู้บังคับกองร้อย และผู้บังคับกองพันเป็นผู้ใช้นั้นไม่มีกระสุน  โดยการเบิกจ่ายกระสุนจริงนั้นเบิกที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.) ที่ทำเนียบรัฐบาล มีบัญชีเบิกจ่ายชัดเจนและมีการนำกระสุนที่ไม่ได้ใช้ไปคืนด้วยในช่วงก่อนสิ้น เดือนพ.ค.

มีการเตือนระวัง “ชายชุดดำ” และรถตู้คาร์บอม

พ.ท.วรการ ระบุอีกว่า กำลังพลที่ตนดูแลมีทั้งหมด 500 คน โดยปฏิบัติการ 350 คน ที่เหลือก็มีการหมุนเวียนกัน สำหรับบริเวณแอร์พอร์ตลิงก์ มี 4 หน่วยจาก 4 กองพันที่ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้  ที่หน่วยของตนมีการเคลื่อนกำลังเข้าไปนั้นเพราะผู้บังคับบัญชา คือทาง ศปก.พล.1 รอ.แจ้งว่าแอร์พอร์ตลิงก์ถูกยึดโดยผู้ชุมนุมและอาจถูกเผา ในตอนแรกมีหนึ่งหน่วยซึ่งไม่ทราบหน่วยไหนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ดังนั้นอีก 3-4 หน่วยจึงต้องเข้าไปยึดคืน แต่เมื่อไปถึงราว 4 โมงเย็น ก็เห็นมีทหารประจำการอยู่ก่อนแล้วเข้าใจว่าหน่วยที่มาก่อนยึดคืนได้แล้ว  และเห็นมีกองยาง รถน้ำทหารโดนเผาอยู่บริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม ระหว่างเคลื่อนกำลังเข้าไปในพื้นที่ได้รับแจ้งให้ระมัดระวังชายชุดดำที่อยู่ บนปืนตึกสูง ซึ่งก็มีการใช้อาวุธปืนยิงลงมาจากตึกสูงด้วย แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังมีการแจ้งเตือนมาด้วยว่าให้ระวังรถตู้ที่อาจเข้ามาก่อเหตุคา ร์บอม
เมื่อทนายถามว่าทั้ง 4 กองพันมีการประสานกันหรือไม่ พ.ท.วรการ ตอบว่า ประสาน โดยผู้บังคับกองร้อยจะประสานกันเอง ส่วนผู้บังคับกองพันทำหน้าที่รับนโยบายและควบคุมดูแล ในการวางกำลังหน่วยของตนจะประจำฝั่งซ้ายของถนนราชปรารภ ประมาณ 80 นาย ส่วนฝั่งขวาเป็นของ ร.1 พัน 3 ผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.พงศ์กร อาจสัญจร (ขณะนี้ยศ พ.อ.)  ซึ่งหน่วยนี้พักอยู่ที่ไหนไม่ทราบ ขณะนั้นมีการปิดถนน แต่ก็ยังเห็นจักรยานยนต์ จักรยานของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นสัญจรอยู่บ้าง
เมื่อถามว่ามีการสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรในพื้นที่ที่อันตรายมี การโจมตีด้วย M79 พ.ท.วรการ กล่าวว่า สั่งให้หลบหนีเข้าที่กำลังอย่างเดียว ส่วนอาวุธที่แจกก็เป็นเหมือนเครื่องแบบ ส่วนจะใช้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง หากเจ้าหน้าที่ถูกข่มขู่คุกคาม สามารถใช้กระสุนซ้อมรบยิงป้องกันได้เลยโดยไม่ต้องรอคำสั่ง

ไม่รู้ใครยิงรถตู้
ไม่มีการจับคนร้าย
เมื่อถามว่ามีการจับคนร้ายที่ยิงรถตู้ได้ไหม พ.ท.วรการตอบว่า ไม่ได้จับใคร เมื่อถามว่า ใครเป็นผู้ยิงรถตู้ทราบหรือไม่ เขาตอบว่า ไม่ทราบ และคืนนั้นก็ไม่ได้มีการประสานหรือประชุมกองอำนวยการใดๆ
เปิดคลิปนักข่าว กลางศาล 10 กว่านาที เสียงกระสุนยิงใส่รถตู้ราว 20 นัด
จากนั้นศาลได้สอบถามว่าจะให้เปิดวีซีดีคลิปวิดีโอของนักข่าวเนชั่นที่ถ่าย เหตุการณ์ในที่เกิดเหตุ [เป็นคลิปเต็มที่ยังไม่ได้ตัดต่อดังที่นำมารายงานข่าว-ประชาไท] และมอบให้พนักงานสอบสวนและเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ดีหรือไม่ ทุกฝ่ายเห็นพ้องกัน จึงมีการเปิดวีซีดีดังกล่าว ซึ่งยาวประมาณ 10 กว่านาที ถ่ายหลังทหารที่ยืนหลบอยู่ข้างเสาไฟฟ้า ห่างจากรถตู้ประมาณ 50-100 เมตร มีเสียงปืนดังขึ้นเพื่อหยุดรถตู้ติดต่อกันเกือบ 20  นัด จนรถตู้หยุดสนิท และมีทหารเข้าไปดู มีการนำคนเจ็บลงจากรถเพื่อปฐมพยาบาล และมีภาพการลำเลียงคนเจ็บอื่นๆ จากรถพยาบาลทหารขึ้นรถหน่วยกู้ชีพ
จากนั้นทนายได้ซักถาม พ.ท.วรการต่อว่า ในคลิปดังกล่าวมีลูกน้องปรากฏในคลิปไหม เขาตอบว่า มีสองคน คนหนึ่งอยู่ใกล้กับกล้อง อีกคนหนึ่งเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ ส่วนทหารที่เหลือมองไม่ชัดเจน ไม่ใจว่าเป็น ร.1พัน3 หรือไม่  เมื่อถามว่าหากได้รับมอบหมายให้ประจำการในพื้นที่นี้ทหารหน่วยอื่นจะเข้ามา ในพื้นที่ไม่ได้ใช่หรือไม่ พ.ท.วรการตอบว่า เข้ามานอนหรือเข้าห้องน้ำได้ แต่จะมาปฏิบัติการตรงหน่วยที่ได้รับมอบหมายประจำการอยู่ไม่ได้
ผู้บังคับกองร้อยเบิกความเห็นชายชุดดำ ก่อนโดน M79
พยานปากที่สอง ได้แก่ ร.อ.เสริมศักดิ์ คำละมูล ผู้บังคับการกองร้อย ผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ท.วรการ ซึ่งคุมกำลังพลอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ เบิกความว่า เดินทางจากลพบุรีมาปฏิบัติการที่กรุงเทพ ตั้งแต่ 11 มี.ค.53 – 25 พ.ค.53 โดยหน่วยปืนใหญ่มากัน 2 กองร้อย กองร้อยของตนเคลื่อนย้ายมาจากทำเนียบฯ ในวันที่ 14 พ.ค.เพื่อมาประจำการอยู่บริเวณแอร์พอร์ตลิงก์ โดยจัดกำลังส่วนหนึ่งริมถนนราชปรารภฝั่งซ้าย หันหน้าไปทางประตูน้ำ แยกเป็นบนสะพานลอยบริเวณซอยราชปรารภ 6 และบริเวณฟุตบาทหน้าร้านอินเดียฟู้ดส์ อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่ถนนมักกะสัน เรียบทางรถไฟ ขณะประจำการยังมีประชาชนสัญจรไปมา รถยนต์ยังผ่านได้อยู่ในช่วงเย็น ไม่ได้มีประกาศห้ามผ่าน จากนั้นได้รับการแจ้งเตือนว่าให้ระวังรถตู้สีขาวที่อาจเข้ามาก่อเหตุ
เวลาประมาณ 17.00-18.00 น. มีประชาชน  ผู้ชุมนุมเข้ามาด่าทอทหารบริเวณซอยราชปรารภ 6 สังเกตเห็นชายแต่งชุดดำอยู่ในนั้นด้วย จากนั้นทั้งหมดก็ออกไปจากพื้นที่ ไม่ถึงนาทีก็มีระเบิดปิงปอง 3 ลูก ตกมาบริเวณใกล้จุดที่ทหารประจำการ แต่ไม่มีอำนาจทำลายล้างจึงไม่มีใครบาดเจ็บ จากนั้นโดนโจมตีด้วยระเบิด M79 โดยมีการยิงเป็นระยะประมาณ 10 นาที แต่กำลังพลไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ไม่ทราบแน่ชัดว่ายิงมาจากทางไหน แต่ระยะไม่น่าจะเกิน 750 เมตร เวลาประมาณ 22.00 น.ก็โดนโจมตีด้วย M79 อีกในลักษณะเดิม มีการยิงหัวน็อต ลูกแก้ว โดยใช้หนังสติ๊กเข้ามาด้วย และได้ยินเสียงปืนสั้นประปราย แต่ไม่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ

หมอบขณะเสียงปืนดัง ไม่เห็นเหตุการณ์

สำหรับซอยราชปรารภ 8 ซึ่งมีรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งเข้าออก ก็ได้นำลวดหนามไปปิดไว้เพื่อป้องกันรถใหญ่ แต่ก็เป็นลวดหนามที่คนสามารถยกออกได้ ประมาณ 23.00 น. ก็มีการจัดกำลังพลไปรักษาการใกล้ซอย 8 จากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนก็มีรถตู้สีขาว ลักษณะคล้ายกับที่มีการแจ้งเตือนไว้วิ่งออกมาจากซอย 8 จอดที่ปากซอย ตนจึงแจ้งกำลังพลบริเวณนั้นให้ใช้โทรโข่งประกาศให้รถตู้กลับออกไปทางเดิม หรือเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางประตูน้ำ จากนั้นประมาณ 10 นาที ก็สั่งให้รถทหารประกาศอีกที ปรากฏว่ารถตู้หักเลี้ยวขวามุ่งมาทางแอร์พอร์ตลิงก์ ได้ยินเสียงประกาศอยู่ด้วยพร้อมๆ กับได้ยินเสียงกระสุนปืนเป็นระยะ ตนและกำลังพลที่อยู่ด้วยกัน 5-6 นาย บริเวณร้านอินเดียฟู้ดส์จึงหมอบลงกับพื้น จากนั้นก็ไม่เห็นเหตุการณ์อีก หมอบประมาณ 1 นาทีจนเสียงปืนสงบลง จากนั้นตนก็สั่งให้กำลังพลไปตรวจการบริเวณประตูน้ำ โดยไม่ได้วิ่งไปดูที่รถตู้แต่อย่างใด
อัยการถามย้ำว่า มีการใช้ปืนยิงสกัดรถตู้ไหม ร.อ.เสริมศักดิ์ตอบว่า ไม่มี  เมื่อถามว่าทหารปฏิบัติการร่วมกันหลายหน่วย มีการใช้สัญลักษณ์ในการจำแนกอย่างไร เขาตอบว่า ไม่ต่างกัน ใช้วิธีจำหน้ากำลังพล
ทนายถามว่า ระหว่างที่เสียงปืนดังขึ้น ดังมาจากสองฟากถนนใช่หรือไม่ ร.อ.เสริมศักดิ์ ระบุว่า เสียงก้องมาก เมื่อถามว่าเมื่อถูกยิงแล้วรถตู้มีอาการอย่างไร เขาตอบว่า ตอนนั้นหมอบบริเวณฟุตบาทจึงไม่เห็นเหตุการณ์ เมื่อถามว่าพอจะทราบไหมว่าเสียงปืนที่ดังขึ้นนั้นเป็นปืนอะไร เขาตอบว่า แยกไม่ออก
จากนั้นมีการเปิดคลิปอีกครั้ง โดยเปิดเฉพาะช่วงต้นที่มีเสียงปืนดัง ทนายถามย้ำอีกว่า ทราบไหมว่าปืนอะไร ร.อ.เสริมศักดิ์ กล่าวว่า บอกไม่ได้ เมื่อถามว่าหลังเกิดเหตุมีการประสานหน่วยข้างเคียงเพื่อสอบถามหรือไม่ว่า เกิดอะไรขึ้น เขาตอบว่า ไม่มีการประสาน
ทหารพยาบาลไม่เห็นแผลว่าเกิดจากอะไร ระบุไฟไม่สว่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงเย็นมีการเบิกความของ 2 ปาก สุดท้าย ซึ่งเป็นทหารพยาบาลที่อยู่ในที่เกิดเหตุ โดยคนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือคนขับรถตู้และอีกคนหนึ่งเข้าช่วยเหลือ ด.ช.คุณากร หลังได้รับแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม โดยทหารที่เข้าไปช่วยคนขับรถตู้ตอบคำถามว่า เมื่อเหตุการณ์สงบได้เข้าไปช่วยคนขับรถตู้เบื้องต้นด้วยการห้ามเลือดบริเวณ ช่องท้อง โดยไม่ทันได้ดูบาดแผลชัดเจน ไม่ทราบว่าได้รับบาดเจ็บจากอะไรเนื่องจากบริเวณที่ปฐมพยาบาลแสงไฟไม่สว่าง  แต่ยืนยันกับทนายว่าในช่วงเช้าเห็นรถตู้จอดอยู่ที่เดิมโดยมีร่องรอยกระสุน รอบคัน  เมื่อทนายนำผลการรักษาของแพทย์มาอ่านให้ฟังว่า พบชิ้นส่วนหัวกระสุนปลายแหลมหุ้มทองเหลืองในบาดแผลของคนขับรถตู้ แล้วถามว่าใช่ลักษณะของกระสุน M16 หรือไม่ เขาตอบว่าไม่ทราบ
ชี้ ‘น้องอิซา’ ลำไส้ไหล ไม่ตอบสนอง
ส่วนทหารพยาบาลอีกนายหนึ่งที่ช่วยเหลือเด็ก ระบุว่า พบว่าผู้บาดเจ็บมีบาดแผลที่ช่องท้องและลำไส้ไหลออกมา แต่ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใด มีการสอบถามจากเจ้าหน้าที่คนอื่นว่าพบเด็กคนนี้ได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบ ขณะนั้นสภาพของเด็กไม่ตอบสนอง ไม่รู้สึกตัว ชีพจรเต้นช้า และมาทราบภายหลังว่าเด็กที่เสียชีวิตคือ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ