ที่มา ประชาไท
Wed, 2012-07-04 04:01
3 ก.ค.55 ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา รัชดา มีการไต่สวนการเสียชีวิตของนาย
พัน คำกอง คนขับแท็กซี่ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตบริเวณถนนราชปรารภ
ใกล้แอร์พอร์ตลิงก์ซึ่งเป็นจุดประจำการของทหาร เมื่อวันที่ 15 พ.ค.53
โดยมีทหารจากกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ จังหวัดลพบุรี
ซึ่งประจำการบริเวณดังกล่าวขึ้นเบิกความ 4 นาย
คลิปข่าวเนชั่นทีวีรายงานจากที่เกิดเหตุ ระบุชัดทหารยิงสกัดรถตู้
ทั้งนี้ เหตุการณ์ในวันดังกล่าวมีการรายงานโดยสื่อหลายสำนัก โดยเนชั่นทีวี
ผู้สื่อข่าวภาคสนามได้รายงานว่ามีรถตู้สีขาววิ่งเข้ามาในบริเวณดังกล่าว
ทหารจึงมีการแจ้งเตือน แต่รถตู้ยังขับต่อทำให้ทหารต้องยิงสกัด
หลังเหตุการณ์พบว่าคนขับรถตู้ได้รับบาดเจ็บ และมีเด็กชายวัย 14
ปีถูกลูกหลงเสียชีวิต (ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือ อิซา) รวมทั้งนายพัน
คำพอง คนขับแท็กซี่ที่ไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวและเป็นผู้ตายในคดีนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่านายโชคชัย อ่างแก้ว
ทนายฝ่ายผู้เสียชีวิตแจ้งว่า นายสมร ไหมทอง
คนขับรถตู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้มาเบิกความไปแล้ว โดยระบุว่า
มีอาชีพขับรถตู้รับจ้างรับส่งชาวต่างชาติ
วันเกิดเหตุพยายามหาทางกลับบ้านและต้องผ่านเส้นทางดังกล่าวซึ่งไม่ได้มีด่าน
หรือการแจ้งว่าปิดถนน
เมื่อถึงที่เกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศจึงขับต่อไปจนกระทั่ง
ถูกยิง ส่วนนายพัน คำกอง ทราบว่าเป็นคนขับแท็กซี่
ช่วงเกิดเหตุกลับบ้านไม่ได้เพราะไม่มีรถ
จึงเข้าไปพักอยู่ในสำนักงานของคอนโดที่ยังสร้างไม่เสร็จใกล้กับจุดที่เกิด
เหตุ
ผู้บังคับกองพันจากลพบุรี ยัน M79 ลงก่อนช่วงค่ำ -ได้รับรายงานแต่ไม่ได้ลงมาดูที่เกิดเหตุ
พ.ท.วรการ ฮุ่นตระกูล ผู้บังคับกองพันที่ 31 ทหารปืนใหญ่ รักษาพระองค์ (
ผบ.ป.พัน.31 รอ.) เบิกความว่า ผู้บังคับกองพันประจำการอยู่บนแอร์พอร์ตลิงก์
ชั้น 3 โดยหน่วยของตนย้ายจากทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 14
พ.ค.มาประจำการบริเวณนี้ในช่วงเย็น
ตั้งแต่หัวค่ำก็มีเสียงระเบิดทยอยเกิดขึ้นทางฝั่งซ้ายของตึก ห่างไปไม่เกิน
500 เมตร คาดว่าเป็น M79
กระทั่งมาตกที่ถนนราชปรารภและบนหลังคาสะพานลอยซึ่งมีทหารประจำการอยู่
จึงสั่งให้มีการถอนกำลัง เมื่อเงียบไปพักหนึ่งจึงให้กลับไปประจำการใหม่
กระทั่งเวลาประมาณ 24.00 น.มีการวิทยุแจ้งว่ามีรถตู้วิ่งเข้ามา
มีการประกาศเตือนให้หยุดรถ ไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น แต่ไม่ทราบทิศทาง
ดังต่อเนื่องหลายนัดประมาณ 1 นาที ตนไม่ได้ออกมาดูเหตุการณ์
แต่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานว่ามีรถตู้วิ่งออกมาจากซอยวัฒนวงศ์ (ราชปรารภ 8)
มุ่งหน้าหาแอร์พอร์ตลิงก์ ไม่มีการรายงานว่ามีการระดมยิง
แต่ภายหลังเหตุการณ์สงบพบในรถมีผ้าพันคอและเสื้อสีแดง เขียนข้อความ
“แดงทั้งแผ่นดิน” และมีมีดดาบยาวประมาณ 2 ฟุต ไม่มีอาวุธอย่างอื่น
หลังจากนั้นพักใหญ่ก็ได้รับรายงานจากหน่วยพยาบาลอีกว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ
เป็นคนขับรถตู้ และเด็กอีก 1 คน จึงให้ติดต่อประสานรถพยาบาลในพื้นที่
จากนั้นก็มีการแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บอีกรายที่บริเวณคอนโด Ideao
ซึ่งกำลังก่อสร้าง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้ตนไม่ได้ลงไปดูที่เกิดเหตุแต่อย่างใด
ยันไม่มีการใช้ – ไม่มีการแจกกระสุนจริงให้กำลังพล
เมื่อถามถึงการวางกำลังและการใช้อาวุธของทหารที่ประจำการบริเวณดังกล่าว
พ.ท.วรการ ตอบว่า หน่วยของตนเป็นกองร้อยรักษาความสงบ อาวุธหลักคือ
โล่และกระบอง ซึ่งมีประจำกายทหารทั้ง 150 คน ส่วนปืนลูกซองนั้นมีประมาณ 30
กระบอก ปืน M16 มีประมาณ 20 กระบอก
ในวันเกิดเหตุได้แจกกระสุนแบงก์หรือกระสุนซ้อมรบสำหรับปืน M16 กับ
กระสุนยางสำหรับปืนลูกซอง ให้เจ้าหน้านำไปด้วยโดยไม่ได้บรรจุไว้ในปืน
กระสุนดังกล่าวไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
และยืนยันว่าไม่มีการแจกกระสุนจริงให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
นอกจากนี้จากการสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มีคนไหนใช้อาวุธยับยั้งไม่ให้
รถตู้เข้ามา ส่วนที่มีการเขียนป้ายในบริเวณใกล้เคียงว่า
“พื้นที่กระสุนจริง” ก็ไม่ทราบว่าหน่วยไหนเป็นคนเขียน
พ.ท.วรการตอบทนายซักถามว่า ในช่วงดังกล่าวมีการเบิกกระสุนจริงสำหรับปืน
M16 มาด้วย 400 นัด
ส่วนกระสุนซ้อมรบนั้นจำยอดแน่นอนไม่ได้เพราะใช้ที่เหลือจากการฝึก
ส่วนกระสุนจริงสำหรับใช้กับปืนลูกซองจำนวนที่แน่นอนไม่ได้
ส่วนปืนพกที่ผู้บังคับกองร้อย
และผู้บังคับกองพันเป็นผู้ใช้นั้นไม่มีกระสุน
โดยการเบิกจ่ายกระสุนจริงนั้นเบิกที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.)
ที่ทำเนียบรัฐบาล
มีบัญชีเบิกจ่ายชัดเจนและมีการนำกระสุนที่ไม่ได้ใช้ไปคืนด้วยในช่วงก่อนสิ้น
เดือนพ.ค.
มีการเตือนระวัง “ชายชุดดำ” และรถตู้คาร์บอม
พ.ท.วรการ ระบุอีกว่า กำลังพลที่ตนดูแลมีทั้งหมด 500 คน โดยปฏิบัติการ 350
คน ที่เหลือก็มีการหมุนเวียนกัน สำหรับบริเวณแอร์พอร์ตลิงก์ มี 4 หน่วยจาก 4
กองพันที่ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้
ที่หน่วยของตนมีการเคลื่อนกำลังเข้าไปนั้นเพราะผู้บังคับบัญชา คือทาง
ศปก.พล.1 รอ.แจ้งว่าแอร์พอร์ตลิงก์ถูกยึดโดยผู้ชุมนุมและอาจถูกเผา
ในตอนแรกมีหนึ่งหน่วยซึ่งไม่ทราบหน่วยไหนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ดังนั้นอีก 3-4
หน่วยจึงต้องเข้าไปยึดคืน แต่เมื่อไปถึงราว 4 โมงเย็น
ก็เห็นมีทหารประจำการอยู่ก่อนแล้วเข้าใจว่าหน่วยที่มาก่อนยึดคืนได้แล้ว
และเห็นมีกองยาง รถน้ำทหารโดนเผาอยู่บริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม
ระหว่างเคลื่อนกำลังเข้าไปในพื้นที่ได้รับแจ้งให้ระมัดระวังชายชุดดำที่อยู่
บนปืนตึกสูง ซึ่งก็มีการใช้อาวุธปืนยิงลงมาจากตึกสูงด้วย
แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนี้ยังมีการแจ้งเตือนมาด้วยว่าให้ระวังรถตู้ที่อาจเข้ามาก่อเหตุคา
ร์บอม
เมื่อทนายถามว่าทั้ง 4 กองพันมีการประสานกันหรือไม่ พ.ท.วรการ ตอบว่า
ประสาน โดยผู้บังคับกองร้อยจะประสานกันเอง
ส่วนผู้บังคับกองพันทำหน้าที่รับนโยบายและควบคุมดูแล
ในการวางกำลังหน่วยของตนจะประจำฝั่งซ้ายของถนนราชปรารภ ประมาณ 80 นาย
ส่วนฝั่งขวาเป็นของ ร.1 พัน 3 ผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.พงศ์กร อาจสัญจร
(ขณะนี้ยศ พ.อ.) ซึ่งหน่วยนี้พักอยู่ที่ไหนไม่ทราบ ขณะนั้นมีการปิดถนน
แต่ก็ยังเห็นจักรยานยนต์
จักรยานของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นสัญจรอยู่บ้าง
เมื่อถามว่ามีการสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรในพื้นที่ที่อันตรายมี
การโจมตีด้วย M79 พ.ท.วรการ กล่าวว่า สั่งให้หลบหนีเข้าที่กำลังอย่างเดียว
ส่วนอาวุธที่แจกก็เป็นเหมือนเครื่องแบบ ส่วนจะใช้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
หากเจ้าหน้าที่ถูกข่มขู่คุกคาม
สามารถใช้กระสุนซ้อมรบยิงป้องกันได้เลยโดยไม่ต้องรอคำสั่ง
ไม่รู้ใครยิงรถตู้ ไม่มีการจับคนร้าย
เมื่อถามว่ามีการจับคนร้ายที่ยิงรถตู้ได้ไหม พ.ท.วรการตอบว่า ไม่ได้จับใคร
เมื่อถามว่า ใครเป็นผู้ยิงรถตู้ทราบหรือไม่ เขาตอบว่า ไม่ทราบ
และคืนนั้นก็ไม่ได้มีการประสานหรือประชุมกองอำนวยการใดๆ
เปิดคลิปนักข่าว กลางศาล 10 กว่านาที เสียงกระสุนยิงใส่รถตู้ราว 20 นัด
จากนั้นศาลได้สอบถามว่าจะให้เปิดวีซีดีคลิปวิดีโอของนักข่าวเนชั่นที่ถ่าย
เหตุการณ์ในที่เกิดเหตุ
[เป็นคลิปเต็มที่ยังไม่ได้ตัดต่อดังที่นำมารายงานข่าว-ประชาไท]
และมอบให้พนักงานสอบสวนและเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ดีหรือไม่
ทุกฝ่ายเห็นพ้องกัน จึงมีการเปิดวีซีดีดังกล่าว ซึ่งยาวประมาณ 10 กว่านาที
ถ่ายหลังทหารที่ยืนหลบอยู่ข้างเสาไฟฟ้า ห่างจากรถตู้ประมาณ 50-100 เมตร
มีเสียงปืนดังขึ้นเพื่อหยุดรถตู้ติดต่อกันเกือบ 20 นัด จนรถตู้หยุดสนิท
และมีทหารเข้าไปดู มีการนำคนเจ็บลงจากรถเพื่อปฐมพยาบาล
และมีภาพการลำเลียงคนเจ็บอื่นๆ จากรถพยาบาลทหารขึ้นรถหน่วยกู้ชีพ
จากนั้นทนายได้ซักถาม พ.ท.วรการต่อว่า
ในคลิปดังกล่าวมีลูกน้องปรากฏในคลิปไหม เขาตอบว่า มีสองคน
คนหนึ่งอยู่ใกล้กับกล้อง อีกคนหนึ่งเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ
ส่วนทหารที่เหลือมองไม่ชัดเจน ไม่ใจว่าเป็น ร.1พัน3 หรือไม่
เมื่อถามว่าหากได้รับมอบหมายให้ประจำการในพื้นที่นี้ทหารหน่วยอื่นจะเข้ามา
ในพื้นที่ไม่ได้ใช่หรือไม่ พ.ท.วรการตอบว่า เข้ามานอนหรือเข้าห้องน้ำได้
แต่จะมาปฏิบัติการตรงหน่วยที่ได้รับมอบหมายประจำการอยู่ไม่ได้
ผู้บังคับกองร้อยเบิกความเห็นชายชุดดำ ก่อนโดน M79
พยานปากที่สอง ได้แก่ ร.อ.เสริมศักดิ์ คำละมูล ผู้บังคับการกองร้อย
ผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ท.วรการ ซึ่งคุมกำลังพลอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ
เบิกความว่า เดินทางจากลพบุรีมาปฏิบัติการที่กรุงเทพ ตั้งแต่ 11 มี.ค.53 –
25 พ.ค.53 โดยหน่วยปืนใหญ่มากัน 2 กองร้อย
กองร้อยของตนเคลื่อนย้ายมาจากทำเนียบฯ ในวันที่ 14
พ.ค.เพื่อมาประจำการอยู่บริเวณแอร์พอร์ตลิงก์
โดยจัดกำลังส่วนหนึ่งริมถนนราชปรารภฝั่งซ้าย หันหน้าไปทางประตูน้ำ
แยกเป็นบนสะพานลอยบริเวณซอยราชปรารภ 6
และบริเวณฟุตบาทหน้าร้านอินเดียฟู้ดส์ อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่ถนนมักกะสัน
เรียบทางรถไฟ ขณะประจำการยังมีประชาชนสัญจรไปมา
รถยนต์ยังผ่านได้อยู่ในช่วงเย็น ไม่ได้มีประกาศห้ามผ่าน
จากนั้นได้รับการแจ้งเตือนว่าให้ระวังรถตู้สีขาวที่อาจเข้ามาก่อเหตุ
เวลาประมาณ 17.00-18.00 น. มีประชาชน
ผู้ชุมนุมเข้ามาด่าทอทหารบริเวณซอยราชปรารภ 6
สังเกตเห็นชายแต่งชุดดำอยู่ในนั้นด้วย จากนั้นทั้งหมดก็ออกไปจากพื้นที่
ไม่ถึงนาทีก็มีระเบิดปิงปอง 3 ลูก ตกมาบริเวณใกล้จุดที่ทหารประจำการ
แต่ไม่มีอำนาจทำลายล้างจึงไม่มีใครบาดเจ็บ จากนั้นโดนโจมตีด้วยระเบิด M79
โดยมีการยิงเป็นระยะประมาณ 10 นาที แต่กำลังพลไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ไม่ทราบแน่ชัดว่ายิงมาจากทางไหน แต่ระยะไม่น่าจะเกิน 750 เมตร เวลาประมาณ
22.00 น.ก็โดนโจมตีด้วย M79 อีกในลักษณะเดิม มีการยิงหัวน็อต ลูกแก้ว
โดยใช้หนังสติ๊กเข้ามาด้วย และได้ยินเสียงปืนสั้นประปราย
แต่ไม่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ
หมอบขณะเสียงปืนดัง ไม่เห็นเหตุการณ์
สำหรับซอยราชปรารภ 8 ซึ่งมีรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งเข้าออก
ก็ได้นำลวดหนามไปปิดไว้เพื่อป้องกันรถใหญ่
แต่ก็เป็นลวดหนามที่คนสามารถยกออกได้ ประมาณ 23.00 น.
ก็มีการจัดกำลังพลไปรักษาการใกล้ซอย 8
จากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนก็มีรถตู้สีขาว
ลักษณะคล้ายกับที่มีการแจ้งเตือนไว้วิ่งออกมาจากซอย 8 จอดที่ปากซอย
ตนจึงแจ้งกำลังพลบริเวณนั้นให้ใช้โทรโข่งประกาศให้รถตู้กลับออกไปทางเดิม
หรือเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางประตูน้ำ จากนั้นประมาณ 10 นาที
ก็สั่งให้รถทหารประกาศอีกที
ปรากฏว่ารถตู้หักเลี้ยวขวามุ่งมาทางแอร์พอร์ตลิงก์
ได้ยินเสียงประกาศอยู่ด้วยพร้อมๆ กับได้ยินเสียงกระสุนปืนเป็นระยะ
ตนและกำลังพลที่อยู่ด้วยกัน 5-6 นาย
บริเวณร้านอินเดียฟู้ดส์จึงหมอบลงกับพื้น จากนั้นก็ไม่เห็นเหตุการณ์อีก
หมอบประมาณ 1 นาทีจนเสียงปืนสงบลง
จากนั้นตนก็สั่งให้กำลังพลไปตรวจการบริเวณประตูน้ำ
โดยไม่ได้วิ่งไปดูที่รถตู้แต่อย่างใด
อัยการถามย้ำว่า มีการใช้ปืนยิงสกัดรถตู้ไหม ร.อ.เสริมศักดิ์ตอบว่า
ไม่มี เมื่อถามว่าทหารปฏิบัติการร่วมกันหลายหน่วย
มีการใช้สัญลักษณ์ในการจำแนกอย่างไร เขาตอบว่า ไม่ต่างกัน
ใช้วิธีจำหน้ากำลังพล
ทนายถามว่า ระหว่างที่เสียงปืนดังขึ้น ดังมาจากสองฟากถนนใช่หรือไม่
ร.อ.เสริมศักดิ์ ระบุว่า เสียงก้องมาก
เมื่อถามว่าเมื่อถูกยิงแล้วรถตู้มีอาการอย่างไร เขาตอบว่า
ตอนนั้นหมอบบริเวณฟุตบาทจึงไม่เห็นเหตุการณ์
เมื่อถามว่าพอจะทราบไหมว่าเสียงปืนที่ดังขึ้นนั้นเป็นปืนอะไร เขาตอบว่า
แยกไม่ออก
จากนั้นมีการเปิดคลิปอีกครั้ง โดยเปิดเฉพาะช่วงต้นที่มีเสียงปืนดัง
ทนายถามย้ำอีกว่า ทราบไหมว่าปืนอะไร ร.อ.เสริมศักดิ์ กล่าวว่า บอกไม่ได้
เมื่อถามว่าหลังเกิดเหตุมีการประสานหน่วยข้างเคียงเพื่อสอบถามหรือไม่ว่า
เกิดอะไรขึ้น เขาตอบว่า ไม่มีการประสาน
ทหารพยาบาลไม่เห็นแผลว่าเกิดจากอะไร ระบุไฟไม่สว่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงเย็นมีการเบิกความของ 2 ปาก สุดท้าย
ซึ่งเป็นทหารพยาบาลที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
โดยคนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือคนขับรถตู้และอีกคนหนึ่งเข้าช่วยเหลือ ด.ช.คุณากร
หลังได้รับแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม
โดยทหารที่เข้าไปช่วยคนขับรถตู้ตอบคำถามว่า
เมื่อเหตุการณ์สงบได้เข้าไปช่วยคนขับรถตู้เบื้องต้นด้วยการห้ามเลือดบริเวณ
ช่องท้อง โดยไม่ทันได้ดูบาดแผลชัดเจน
ไม่ทราบว่าได้รับบาดเจ็บจากอะไรเนื่องจากบริเวณที่ปฐมพยาบาลแสงไฟไม่สว่าง
แต่ยืนยันกับทนายว่าในช่วงเช้าเห็นรถตู้จอดอยู่ที่เดิมโดยมีร่องรอยกระสุน
รอบคัน เมื่อทนายนำผลการรักษาของแพทย์มาอ่านให้ฟังว่า
พบชิ้นส่วนหัวกระสุนปลายแหลมหุ้มทองเหลืองในบาดแผลของคนขับรถตู้
แล้วถามว่าใช่ลักษณะของกระสุน M16 หรือไม่ เขาตอบว่าไม่ทราบ
ชี้ ‘น้องอิซา’ ลำไส้ไหล ไม่ตอบสนอง
ส่วนทหารพยาบาลอีกนายหนึ่งที่ช่วยเหลือเด็ก ระบุว่า
พบว่าผู้บาดเจ็บมีบาดแผลที่ช่องท้องและลำไส้ไหลออกมา
แต่ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใด
มีการสอบถามจากเจ้าหน้าที่คนอื่นว่าพบเด็กคนนี้ได้อย่างไร
เจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบ ขณะนั้นสภาพของเด็กไม่ตอบสนอง ไม่รู้สึกตัว
ชีพจรเต้นช้า และมาทราบภายหลังว่าเด็กที่เสียชีวิตคือ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ