ที่มา Thai E-News
ณ กรุงเฮก วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2555 -ในอาทิตย์นี้คณะผู้แทนคนไทยได้เข้าประชุมเบื้องต้นกับอัยการศาลอาญาระหว่าง
ประเทศ (ไอซีซี) ณ กรุงเฮก
ประเทศเนเธอแลนด์เพื่อสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงโดย
กองทัพเมื่อปี 2553 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 90 ราย
ดร.ธงชัย วินิจกุล
ศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์ ณ
มหาวิทยาลัยวิสคอนซิลได้เป็นผู้นำคณะบุคคลซึ่งเป็นพยานและผู้รอดชีวิตจำนวน
หนึ่งเข้าประชุมร่วมกับไอซีซี
ดร.ธงชัยได้ย้ำถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในจดหมายซึ่งส่งไปยังอัยการก่อน
หน้าการเข้าประชุมว่าศาลได้สร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพซึ่งทำรัฐประหารและ
ใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์ไทย
“ผมศึกษาหลายวิชารวมถึงความรุนแรง
ในปี 2516, 2519 และ 2535
รวมถึงวัฒนธรรมการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษในประเทศไทย
ผมได้ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549
โดยเฉพาะเหตุการณ์นองเลือดในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553
และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น” ดร.ธงชัยเขียนในจดหมายของเขา
“ผมอยากร้องขอให้ไอซีซีช่วยยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษที่เกิดขึ้นครั้ง
แล้วครั้งเล่าที่ทำให้เกิดการสังหารพลเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเริ่มทำการ
สอบสวนกรณีการสังหารในปี 2553 และนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ”
การเดินทางไปกรุงเฮกเกิดขึ้นสองปี
หลังจากมีการรณรงค์กระตุ้นให้คนตื่นรู้เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะซึ่งถูกกล่าวว่ากระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
แม้ว่าประเทศไทยมิได้ให้สัตยาบัณต่อธรรมนูญกรุงโรม
แต่ทางทีมกฎหมายของเหยื่อเสื้อแดงมีหลักฐานยืนยันว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
คือพลเมืองอังกฤษ ดังนั้นจึงเขาจึงอยู่ภายใต้การพิจารณาคดีของศาล
“การประชุมกับไอซีซีเป็นประโยชน์
และเราต้องปฏิบัติตามระเบียบการปกติเพื่อผลักดันกระบวนการนี้อย่างต่อ
เนื่อง” นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
นักกฎหมายระหว่างเทศจากสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พาร์ทเนอส์ซึ่งเป็น
ทนายตัวแทนระหว่างประเทศของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.) หรือคนเสื้อแดงกล่าว
“การประชุมที่สำคัญนี้เกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่ตึงเครียด
เพราะคนกลุ่มน้อยที่พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะใช้กำลังถอดถอนพรรคการเมือง
ที่ชนะการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่กำลัง
จะมีขึ้น
โอกาสของความรุนแรงและความไร้เสถียรภาพรอบใหม่คือความกังวลอย่างมากของ
ประชาคมโลก และทำให้การร้องขอของเราต่อไอซีซีมีความสำคัญมากขึ้น”
*****************
จดหมายจากอดีตนักโทษการเมืองไทยถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2555
อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี)
กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์
เรื่อง: คำร้องขอต่อไอซีซีให้ช่วยเหลือนำความยุติธรรมมาให้เหยื่อผู้ถูกกระทำจากเหตุการณ์นองเลือดปี 2553 ในประเทศไทย
เรียน: อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ
ผม
เขียนถึงท่านในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่ง
ในฐานะอดีตนักโทษทางการเมืองซึ่งรอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในกรุงเทพฯ
ปี 2519 และในฐานะผู้เชียวชาญเกี่ยวกับประเทศไทย
ขณะนี้ผมเป็นศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผมศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศไทยและกระบวนการการสร้างประชาธิปไตย
เป็นเวลา 30ปี ผมศึกษาหลายวิชารวมถึงความรุนแรงในปี 2516, 2519 และ 2535
รวมถึงวัฒนธรรมการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษในประเทศไทย
ผมได้ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549
โดยเฉพาะเหตุการณ์นองเลือดในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553
และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เหมือนกันการสังหารครั้งก่อน
มีความเป็นไปได้ที่กองทัพและกลุ่มคนที่สั่งฆ่าจะได้รับการยกเว้นโทษอีกครั้ง
และเหยื่อจะไม่ได้รับความยุติธรรมอีกครั้ง
ผมร้องขอไอซีซีให้ช่วยยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษที่เกิดขึ้นครั้งแล้ว
ครั้งเล่าซึ่งนำไปสู่การสังหารพลเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยให้เริ่มทำการสอบสวนกรณีการสังหารในปี 2553
และนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ
ได้โปรดให้ผมอธิบายประวัติศาสตร์ของการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษอย่างเป็นระบบในประเทศไทย
ใน
เดือนตุลาคม ปี 2516
การชุมนุมครั้งใหญ่ได้ยุติเผด็จการทหารซึ่งปกครองประเทศไทยเป็นเวลาสาม
ทศวรรษ มีผู้เสียชีวิต 72 ราย และมีผู้บาดเจ็บหลายพันราย
ท่ามกลางความตื่นเต้นแห่งรุ่งอรุณแห่งประชาธิปไตย
รัฐบาลใหม่ประกาศนิรโทษกรรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทั้งหมดเพื่อความ
สมานฉันท์ทางสังคมและการเมืองในประเทศ
นิรโทษกรรมยังหมายถึงว่าจะไม่มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ประชาธิปไตย
อันอ่อนเยาว์คงอยู่เพียงสามปีเมื่อกองทัพกลับมามีอำนาจอีกครั้งในเดือน
ตุลาคม ปี 2519
รัฐประหารเกิดขึ้นในวันเดียวกับการสังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมใน
มหาวิทยาลัยเพื่อต่อต้านอุบายของกองทัพในการนำเผด็จการกลับมา ประชาชนราว 40
คนเสียชีวิตและหลายร้อยคนบาดเจ็บ
แต่วิธีการที่พวกเขาถูกสังหารนั้นเลวร้ายเกินบรรยาย
นอกจากจะถูกสังหารโดยอาวุธหนักแล้ว บางคนถูกเผาทั้งเป็น
ถูกข่มขืนและถูกแขวนคอ
หลังจากนั้นศพของพวกเขายังถูกประชาทัณฑ์หรือลากไปทั่วสนามฟุตบอล
ทุกอย่างเหล่านี้เกิดขึ้นในที่สาธารณะมีคนมุงดูหลายร้อยคน
ผู้รอดชีวิตกว่าสามพันรายถูกคุมขังตั้งแต่หลายวันไปจนถึงห้าเดือน
และนักศึกษา 19 ราย (รวมถึงผม) ถูกคุมขังสองปี ในปี 2521
เนื่องด้วยเหตุผลของการปรองดองสมานฉันท์
มีการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อยกเว้นการกระทำผิดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ
การสังหารหมู่ นักศึกษาที่ถูกคุมขังได้รับการปล่อยตัว
ผู้กระทำผิดได้รับการยกเว้นโทษราวกับว่าการสังหารหมู่ไม่เคยเกิดขึ้น
ไม่มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้อเท็จจริงคือ
เพื่อการปรองดองสมานฉันท์
มีการส่งเสริมให้ประชาชนลืมเหตุการณ์และปล่อยให้ความทรงจำนั้นเลือนลางไป
เหตุการณ์นั้นไม่ถูกกล่าวถึงในที่สาธารณะเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น
และไม่เคยถูกบันทึกไว้ในหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่ควบคุมโดยรัฐจึง
ถึงทุกวันนี้ ในขณะเดียวกับ
ต้องขอบคุณระบบการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษเพราะผู้มีอำนาจหลายคนที่มีส่วน
เกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ยังคงเสวยสุขกับเอกสิทธิ์ของพวกเขาหลายปีหลังจาก
นั้น บางคนมีส่วนร่วมในการสังหารหมู่ทางการเมืองอีกครั้งในปี 2535
เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกนำตัวมาลงโทษ
กระบวนการสร้าง
ประชาธิปไตยในประเทศไทยอยู่ในสภาวะขึ้นๆลงๆตลอดเวลาในช่วงยุค 80
ช่วงเวลาที่มีการเปิดกว้างและเป็นประชาธิปไตยกลับมามีมากขึ้นในปี 2531
แต่ก็ไม่ต่างจากในอดีต ช่วงเวลานั้นมีระยะสั้นๆ ในปี 2534
เผด็จการทหารกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้อยู่ไม่นาน
เพราะมีการชุมนุมครั้งใหญ่ในปี 2535 อีกครั้ง มีประชาชนมากกว่า 70
เสียชีวิตในระหว่างการต่อสู้หลายวันกับทหารบนท้องถนนที่ยิงประชาชนผู้ต่อ
ต้านรัฐบาล ในที่สุด รัฐบาลทหารก็ยอมแพ้และลาออก
แต่พวกเขาทำเช่นนั้นหลังจากล้างความผิดการกระทำอาชญากรรมให้กับพวกเขาโดยการ
ออกกฎหมายนิรโทษกรรม ประชาชนเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าจะไม่มีอำนาจแม้แต่จะบังคับให้เหล่าผู้บังคับบัญชาการกองทัพให้การ
ก็ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะเอาคนผิดมาลงโทษเลย หลังจากนั้น
เหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตาย
รายงานการสอบสวนที่ได้ตีพิมพ์หลายปีหลังจากนั้นแสดงให้เห็นถึงการสอบสวนที่
ไม่สะเพร่าและขาดความพยายามที่แม้แต่จะค้นหาข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐาน
และที่แย่ที่สุดคือ มีการเซ็นเซ่อร์รายงานที่ตีพิมพ์ต่อสาธารณะชนอย่างหนัก
โดยมีการขีดฆ่าชื่อทั้งหมดและข้อมูลสำคัญถึงขนาดที่ว่าทำให้ไม่สามารถเข้าใจ
รายงานได้
การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษคือการเพาะพันธุ์ความไม่แยแสต่อประชาชนอย่างสิ้น
เชิง
ตลอด
เหตุการณ์โศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
บทบาทของระบบความยุติธรรมไทยไม่เคยมีความเป็นอิสระในการค้ำจุนความยุติธรรม
ระบบตุลาการไทยยึดถือว่าหากรัฐประหารใดที่ทำสำเร็จถือว่ามีความชอบด้วย
กฎหมาย
ระบบรับใช้ผู้มีอำนาจไม่ว่าพวกเขาจะขึ้นสู่อำนาจอย่างชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ก็ตาม
ดังนั้นตุลาการจึงยอมรับว่าคำสั่งและกฎหมายทั้งหมดที่บังคับใช้โดยคนที่มี
อำนาจกลุ่มเล็กนั้นชอบด้วยกฎหมาย
รวมถึงการนิรโทษกรรมให้กับตนเองของผู้นำทางการทหารจากการกระทำผิดทุกอย่าง
เช่นการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญที่มีความเป็น
ประชาธิปไตยทิ้ง
นอกจากนี้ตุลาการไทยยังถือว่าคำสั่งประหารชีวิตโดยไม่มีการพิจารณาคดีในศาล
การจับกุมและคุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อหา
และปฏิบัติการสังหารฝ่ายตรงข้ามโดยมิชอบด้วยกฎหมายของกองทัพเป็นสิ่งที่ถูก
กฎหมาย เช่นเดียวกันกับกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำผิดในปี 2516, 2519
และ 2535
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำตัวผู้ที่ต้องรับผิดขอบต่อความป่าเถื่อนมาลง
โทษในประเทศไทยได้เพราะการสมรู้ร่วมคิดของตุลาการ
การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษสำหรับผู้นำที่มีอำนาจเป็นวัฒนธรรม
เป็นระบบและชอบด้วยกฎหมาย
ไม่มีความยุติธรรมให้กับเหยื่อผู้ถูกกระทำจากโศกนาถกรรมเหล่านั้น
เมื่อไม่มีความยุติธรรม ประชาธิปไตยจึงไม่ต่างจากละครเวทีตลก
การ
ทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษคือปัจจัยที่ชัดเจนว่าทำไมการสังหารหมู่ในเดือน
เมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 เกิดขึ้นอีกครั้ง
ผู้นำทางการเมืองและกองทัพในเหตุการณ์นั้นไม่ความกังวลเลยว่าพวกเขาจะถูกลง
โทษหลังจากนั้น
พวกเขาผลิตข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จและสร้างหลักฐานเพื่อเป็นข้ออ้างในการ
สังหารประชาชน
เพิกเฉยต่อข้อปฎิบัติสากลในเรื่องของหลักการควบคุมฝูงชนอย่างสิ้นเชิงโดยการ
ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุอย่างมหาศาลและวิธีการที่โหดร้ายสังหารพลเรือน
มีการใช้อาวุธหนัก กระสุนจริง พลซุ่มยิงและวัตถุระเบิด พวกเขาให้ข้อมูลเท็จ
โกหก
และชี้นำประชาชนในทางที่ผิดอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างบรรยากาศของความกลัวและ
สร้างความชอบธรรมให้กับการสังหาร แม้แต่อาสาพยาบาลก็ถูกขัดขัดขวางการทำงาน
ถูกยิงและถูกสังหารด้วยเช่นกัน ประชาชนกว่า 90 รายเสียชีวิต
และบาดเจ็บอีกหลายพันราย
และมีอีกหลายคนถูกจับกุมและได้รับการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม
หลักฐานของกระทำอันไร้มนุษยธรรมมีมากมายถูกเเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยนักข่าวใน
ประเทศและต่างประเทศ
และยังมีการแบ่งปันข้อมูลกันระหว่างประชาชนกันเองในโซเชียลมีเดีย
แต่ผู้นำทางการเมืองและกองทัพมักเมินเฉยต่อหลักฐานและการวิพากษ์วิจารณ์
เหล่านั้น และบ่อยครั้งแทนที่จะตอบโต้ด้วยเหตุผล ความเห็นใจหรือคำอธิบาย
แต่กลับตอบโต้ด้วยมุขตลกหรือคำพูดเสียดสี
พวกเขาย่อมรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแน่นอน
นั้นคือการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษคือประเพณีปฏิบัติทั่วไป
เป็นวัฒนธรรมของอำนาจ ซึ่งบ่มเพาะความหยาบโลนอันป่าเถื่อน
อย่าง
ไรก็ตามในครั้งนี้ เหยื่อและประชาชนเปลี่ยนไป
ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากความป่าเถื่อนครั้งก่อนหน้านี้
พวกเขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างรอบคอบและปฏิเสธการนิรโทษกรรมที่จะล้าง
ผิดให้ผู้กระทำความผิด พวกเขาประกาศว่า
พวกเขาไม่ต้องการการปรองดองสมานฉันท์โดยปราศจากความจริงและความยุติธรรม
แต่โชคร้ายคือ ระบบตุลาาร
ตั้งแต่ตำรวจไปจนถึงอัยการและตุลาการคืออุปสรรคนการค้นหาความจริงและสร้าง
ความยุติธรรม
ผู้นำทางการเมืองถ้าไม่มีส่วนร่วมในความป่าเถื่อนก็มักจะขาดความกล้าหาญที่
จะสนับสนุนความยติธรรมเพื่อยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษอย่างเป็นวัฒนธรรม
และเป็นระบบ พวกเขาพยายามที่จะปกปิดอาชญกรรมอีกครั้งในนามของความสามัคคี
ปรองดองสมานฉันท์ และความจำเป็นที่ประเทศต้องเดินไปข้างหน้า
หาก
การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษเกิดขึ้นอีกครั้ง
จะมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นอีกกี่ครั้งก่อนที่จะมีการยอมรับว่าหนึ่งชีวิต
ต้องได้รับการเคารพ?
จะมีความป่าเถื่อนเกิดขึ้นต่อประชาชนอีกกี่ครั้งก่อนที่ประชาชนทุกคนจะได้
รับความเท่าเทียมบนผืนแผ่นดินเดียวกัน?
จะต้องมีการบูชายัญความจริงหรือความยุติรรมอีกมากเท่าไรจนกว่าจนมีความ
ยุติธรรมและความจริงจะถูกเปิดเผยโดยปราศจากความกลัว?
ไอ
ซีซีสามารถช่วยยุติวัฒนธรรมการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษได้
ผมเข้าใจว่ามีการยื่นคำร้องขอให้อัยการไอซีซีพิจารณาการสังหารหมู่เดือน
เมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 ในประเทศไทยแล้ว
ผมหวังว่าท่านจะพิจารณาคำร้องนี้อย่างจริงจัง
ผมเชื่อว่าไอซีซีจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อนำความยุติธรรมมาให้เหยื่อและ
ประชาชนในประเทศที่ระบบความยุติธรรมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ อย่างน้อยที่สุด
การดำเนินการของไอซีซีสามารถสนับสนุนก้าวต่อไปข้างหน้าก้าวใหญ่ในการยุติการ
ทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษในอนาคต
ใน
ต้นยุค 90 หลังจากการสังหารหมู่ปี 2553 แต่ก่อนที่จะมีการจัดตั้งศาลไอซีซี
ผมพยายามหาทางที่จะนำคดีปี 2519 ขึ้นสู่องกรค์ระหว่างประเทศ
ผมเรียนรู้ด้วยความผิดหวังอย่างใหญ่หลวงว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผลสอง
ประการ ประการแรก ในทางกฎหมาย
ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีองค์กรระหว่างประเทศที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีที่จะ
พิจารณาคดี ประการที่สอง ในเชิงทางการทูต
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศสำคัญที่นานาชาติรู้สึกกังวลใจ
แน่นอนว่าประเทศเสวยสุขกับการมีชื่อเสียงในทางที่ดี
ดังนั้นประเทศอื่นจึงเต็มใจปล่อยให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาตนเอง นอกจากนี้
จำนวนผู้เสียชีวิตในการสังหารหมู่ค่อนข้างน้อย
ผมเชื่อว่าสำหรับศาลไอซีซีแล้ว
ความยุติธรรมไม่ได้สำคัญน้อยลงตามความเจริญเติบโตของประเทศหรือจำนวนผู้บาด
เจ็บเสียชีวิต
การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษอาจจะเหนียวแน่นมากกว่าในประเทศ อย่างประเทศไทยเพราะนานาชาติไม่ใส่ใจเนื่องจากไม่ใช่ประเทศนานาชาติรู้สึก กังกล ดังนั้นนานาชาติจึงเต็มใจที่จะมองข้าม การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษถูกเก็บซ่อนดีกว่าในประเทศอย่างประเทศไทยเพราะอา ญชากรรมมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือความรุนแรง ขนาดใหญ่ ดังนั้น มันจึงกลายเป็นระบบ ดังนั้นอาชญากรรมจึงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและจำนวนคนตายก็พอกพูนขึ้น ความเงียบ ความกลัว และการลืมเลือนยังคงดำเนินต่อไป
การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษอาจจะเหนียวแน่นมากกว่าในประเทศ อย่างประเทศไทยเพราะนานาชาติไม่ใส่ใจเนื่องจากไม่ใช่ประเทศนานาชาติรู้สึก กังกล ดังนั้นนานาชาติจึงเต็มใจที่จะมองข้าม การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษถูกเก็บซ่อนดีกว่าในประเทศอย่างประเทศไทยเพราะอา ญชากรรมมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือความรุนแรง ขนาดใหญ่ ดังนั้น มันจึงกลายเป็นระบบ ดังนั้นอาชญากรรมจึงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและจำนวนคนตายก็พอกพูนขึ้น ความเงียบ ความกลัว และการลืมเลือนยังคงดำเนินต่อไป
ผมขอร้องไอซีซีว่าได้โปรดใช้ความพยายามเท่าที่จะทำได้ช่วยยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษในประเทศไทย
ด้วยความเคารพ
ธงฉัย วินัจกุล ศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์
ธงฉัย วินัจกุล ศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์