ที่มา ประชาไท
Sun, 2012-07-01 22:17
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของกลุ่ม 40 ส.ว. นำโดยสมเจตน์ บุญถนอม
นายสมชาย แสวงการ
ส.ว.สรรหาจากกรณีรัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นการลบล้างระบอบการปกครอง
ประชาธิปไตย พร้อมกับออกคำสั่งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน
ชะลอการพิจารณาลงมติร่างรัฐธรรมนูญ
แก้ไขเพิ่มเติมในวาระ 3 ที่จะมีขึ้นวันที่ 5มิถุนายน 2555 เอาไว้ก่อนจนกว่า
จะมีคำวินิจฉัยออกมา
ศาลรัฐธรรมนูญออกแถลงการณ์ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ไว้ว่า
ผู้ทราบการกระทำว่า
มีบุคคลหรือพรรคการเมืองกระทำการเพื่อลบล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอัน
มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีสิทธิ์เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุด
และเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพื่อดำเนินการวินิจฉัยสั่งการให้เลิกกระทำ
การดังกล่าว
ทางฝ่ายพรรคเพื่อไทย
ซึ่งเป็นผู้ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาตอบโต้โดยเห็นว่า
ศาลรัฐธรรมนูญกำลังก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติ
ออกคำสั่งโดยปราศจากกฎหมายรองรับ รัฐสภาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม
ปรากฏการณ์ตุลาการภิวัตน์
ซึ่งกำลังกลายเป็นตุลาการวิบัติในครั้งนี้เป็นเพียงหนังม้วนเก่า
คนแสดงหน้าเดิม นำมาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนคนดูเอือมระอาในพฤติกรรมอัปยศอดสูของตุลาการเมืองไทย
ประการแรก เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ
ชินวัตร ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540ล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย
เป็นการกระทำแบบโจรกบฏที่ชัดเจนที่สุด
แต่บรรดาตุลาการผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย ไม่ทราบว่าไปมุดรูอยู่ตรงไหน ณ
เวลานั้น จึงไม่ได้ออกมาทำหน้าที่ออกคำสั่งให้หยุดกระทำการดังกล่าว
ในทางตรงกันข้ามหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กลับมีตุลาการบางคนยอมรับคำ
สั่งแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
เป็นประจักษ์พยานของความต่ำทรามในวงการตุลาการไทยเป็นอย่างยิ่ง
ประการที่สอง การใช้ข้ออ้างว่าเป็นการกระทำหน้าที่พลเมืองที่จะปกป้องรัฐ
ธรรมนูญ ราวกับว่าพวกเขาห่วงใยต่อชาติบ้านเมืองเป็นล้นพ้น
กลัวจะเป็นการพลิกฟ้า พลิกแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงการปกครอง
จะให้เป็นอำนาจอัยการสูงสุดอย่างเดียวไม่ได้
จึงต้องกุลีกุจอออกคำสั่งทันทีทันใด ให้หยุดกระทำการดังกล่าว
ข้ออ้างเช่นนี้เป็นการอ้างอันน่าสมเพศเวทนาเหลือเกิน
เพราะเมื่อคราวที่คณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทำการล้มล้างรัฐ
ธรรมนูญ 2540 ไม่มีใครหน้าไหนในกลุ่มที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญคราวนี้
และก็ไม่มีตุลาการหน้าไหนออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญ 2540 แต่กลับยินดีปรีดาไป
กับรัฐธรรมนูญ 2550 ที่คลอดมาจากมดลูกของคณะรัฐประหาร
และยัดเยียดให้กับสังคมไทยในเดือนสิงหาคม 2550
จึงเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย
นอกจากเป็นเพราะพวกเขาได้ประโยชน์แห่งความเป็นอำมาตย์ในนามของตุลาการที่มี
อำนาจชี้เป็นชี้ตายในชะตากรรมการเมืองไทย
พวกเขาทั้งหลายถึงกับยอมสูญเสียต้นทุนทางสังคมในฐานะผู้ที่ต้องวางตัวเป็น
กลาง และผดุงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ชนในสังคมอันมากล้นด้วย
เกียรติยศ และผลประโยชน์ส่วนตน
พวกเขาอ้าปากก็เห็นไส้เป็นขด ๆ
ของการแสดงตนออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญ 2550 จนเกินความงาม
ความพอดีในอำนาจตุลาการ
เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ไปให้ฝ่ายตุลาการซึ่งไม่ได้มีส่วนเชื่อมโยงกับภาค
ประชาชนมีอำนาจแต่งตั้งวุฒิสภาจำนวนกึ่งหนึ่ง (มาตรา 113)
และยังเป็นผู้แต่งตั้งองค์กรอิสระ (มาตรา 229, 243, 246ฯลฯ
)ไว้คอยกำกับควบคุมฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติ
โครงสร้างเช่นนี้เป็นการดึงอำนาจฝ่ายตุลาการให้มาก้าวก่ายการเมือง –
การปกครอง
จนสูญเสียหลักการแบ่งแยกและถ่วงดุลอำนาจในระบอบประชาธิปไตยไปหมดสิ้น
ทั้งๆ ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย
จะต้องเปิดกว้างให้มีสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นกันเต็มที่
ซึ่งอาจจะมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยกับระบอบการปกครองแบบเดิม
หรืออาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปได้
เพราะความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดในสังคมเช่นนี้
คือพลวัตรของการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าของสังคมไทย
การที่พรรคการเมืองเสียงข้างน้อยออกมาล็อคสเป็คกันล่วงหน้าด้วยการห้าม
ไม่ให้มีการแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์
โดยที่พรรคการเมืองเสียงข้างมากคล้อยตามการล็อคสเป็คของเสียงข้างน้อยกัน
อย่างง่ายดาย
นี่เป็นความบัดซบของสภาผู้แทนราษฎรที่มีแต่นักการเมืองขลาดเขลา
และสิ้นไร้ไม้ตอก เพราะในระบอบประชาธิปไตย
การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพกันอย่างเต็มที่ในการแสดง
ความคิดเห็นในทุกเรื่อง ทุกประเด็น โดยปราศจากข้อจำกัดใด ๆ มาปิดกั้น
สังคมประเทืองปัญญาย่อมยินดีที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง
มีความกระตือรือร้นต่อการแสดงความคิดเห็น วิพากษ์ วิจารณ์
มีการโต้แย้งวิวาทะ หลากหลายความคิด อันจะนำมาซึ่งความเข้าใจร่วมกัน
และนำมาสู่ความปรองดองในสังคมได้ในที่สุด
มีแต่สังคมมืดบอดทางปัญญาแบบไทยเราที่มีข้อกำหนดห้ามแก้ไข ห้ามแตะต้อง
ห้ามทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ห้ามทำโน้น ห้ามทำนี่
สังคมแบบนี้ต้องการให้ประชาชนโง่เขลาว่านอนสอนง่าย
เชื่อฟังและคล้อยตามระบอบการปกครองของพวกเขา
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนจำพวกต้มตุ๋น กะล่อน
และจอมโจรสารพัดความชั่วที่เกาะกินอยู่ในโครงสร้างการเมืองสาระยำอยู่ในทุก
วันนี้