ที่มา ประชาไท
Sat, 2012-07-07 22:17
หลักการสำคัญอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยในทุกประเทศคือ
การปกครองโดยเสียงข้างมากในกรอบเวลาที่ชัดเจน
หมายถึงการที่พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งโดยได้เสียงในสภามากที่สุดจะได้
สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล และดำเนินนโยบายบริหารประเทศ แต่ในสังคมไทย
มักจะมีการผลิตวาทกรรมต่อต้านประชาธิปไตย โดยอ้างกันว่า
ประชาธิปไตยที่เป็นอยู่คือเสียงข้างมากลากไป
และที่มักจะใช้ยกตัวอย่างกันเสมอก็คือ การเลือกตั้งในเยอรมนี
ที่นำมาซึ่งการครองอำนาจของฮิตเลอร์
ในที่นี้จึงจะขออธิบายก่อนว่า ในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก
มีการเลือกตั้งกันมาแล้วมากมาย แต่ก็ไม่ได้นำมาซึ่งการครองอำนาจแบบฮิตเลอร์
หรืออธิบายให้ชัดเจนขึ้นก็คือ
การเกิดของระบอบแบบนาซีของฮิตเลอร์นั้นเป็นกรณีพิเศษที่ไม่ได้เกิดขึ้นทั่ว
ไป และสิ่งที่มักจะมองข้ามไป คือ
บริบทหรือสถานการณ์ที่นำมาซึ่งระบอบเช่นนั้น
อด็อฟ ฮิตเลอร์เกิดในออสเตรียเมื่อ ค.ศ.๑๘๘๙
เขาเป็นผู้ที่มีแนวคิดชาตินิยมเยอรมันแบบขวาจัด ในวัยหนุ่มของเขา
ได้เป็นทหารในกองทัพเยอรมนีไปรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
และได้รับเหรียญกล้าหาญ ต่อมา
ฮิตเลอร์เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ไม่พอใจที่เยอรมนียอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรใน
ค.ศ.๑๙๑๙ โดยเห็นว่าเยอรมนีไม่ได้พ่ายแพ้ในสมรภูมิรบ
แต่ถูกหักหลังจากฝ่ายพลเรือนและพวกสังคมนิยม ดังนั้น
ฮิตเลอร์ยิ่งยอมรับไม่ได้กับสัญญาแวร์ซาย
ที่ทำให้เยอรมนีต้องรับผิดชอบในสงครามแต่ผู้เดียว ต้องเสียดินแดน
เสียอาณานิคม เสียค่าปฏิกรรมสงคราม และต้องถูกกระทำจนสิ้นสภาพมหาอำนาจ
ใน ค.ศ.๑๙๒๑ เขาได้เป็นหัวหน้าพรรคสังคมชาตินิยม หรือ พรรคนาซี
ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวทางขวาจัดที่สุด ที่มุ่งจะพื้นอำนาจเยอรมนี
ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๒๓
เขาพยายามก่อรัฐประหารในเมืองมิวนิคที่รู้จักกันว่า กบฏโรงเบียร์
แต่ล้มเหลว ฮิตเลอร์ถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปี
ซึ่งในระหว่างนั้นเองที่เขาเขียนบันทึกความทรงจำเป็นหนังสือชื่อ
ไมน์คัมพฟ์(การต่อสู้ของข้าพเจ้า) หลังได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนธันวาคม
ค.ศ.๑๙๒๔
เขาได้รับเสียงสนับสนุนมากขึ้นจากความมั่นคงในการโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซาย
และต่อต้านคอมมิวนิสต์ และจากการที่เขาเป็นนักพูดที่มีวาทศิลป์และจูงใจคน
และหนังสือของเขาก็กลายเป็นหนังสือขายดี แต่กระนั้นในการเลือกตั้ง
พรรคของเขาก็ยังได้คะแนนนิยมไม่มากนัก เช่น การเลือกตั้ง ค.ศ.๑๙๒๔
พรรคนาซีได้เสียง ๓ % ต่อมา เลือกตั้งใน ค.ศ.๑๙๒๘ พรรคนาซีเหลือ ๒.๖ %
แต่พรรคนาซีมีลักษณะพิเศษคือ มีการจัดตั้งกองกำลังฝ่ายขวาของพรรคด้วย
ค.ศ.๑๙๒๙ เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
ทำให้พรรคนาซีได้รับคะแนนนิยมมากขึ้น
ฮิตเลอร์รับอิทธิพลของพรรคฟาสซิสม์อิตาลี
และหวังว่าแนวทางแบบฟัสซิสม์จะนำมาใช้แก้ปัญหาของเยอรมนีได้
ปรากฏว่าในการเลือกตั้ง ค.ศ.๑๙๓๐ พรรคนาซีได้คะแนนถึง ๑๘.๓ %
ทำให้ได้ที่นั่งในสภามากถึง ๑๐๗ เสียงจากจำนวน ๕๗๗ เสียง หลังจากนั้น
พรรคนาซีก็ยิ่งได้คะแนนเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่เคยได้ถึงครึ่ง ใน ค.ศ.๑๙๓๒
ฮิตเลอร์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานธิบดีกับนายพลฟอน ฮินเดนบูร์ก
วีรบุรุษสงคราม ฮิตเลอร์ก็ยังพ่ายแพ้ แต่พรรคนาซีของเขาได้เสียงเพิ่มเป็น
๓๗.๓ % คิดเป็นที่นั่งในสภา ๒๓๐ ที่นั่ง ซึ่งยังไม่ถึงครึ่ง
แต่เขาเริ่มได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนำ
ซึ่งหวาดวิตกในการเติบโตของฝ่ายสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้ยังเห็นว่า นโยบายชาตินิยมขวาจัดของพรรคนาซี
ตอบสนองต่อประชาชนจำนวนที่ขมขื่นกับสภาวะของสัญญาแวร์ซาย
ซึ่งจะทำให้เยอรมนีมีเสถียรภาพ และฟื้นเกียรติในสายตานานาชาติ
ดังนั้น กลุ่มชนชั้นนำเยอรมนี
จึงผลักดันให้ประธานธิบดีฮินเดนบูร์กตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรี
ตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคบริหารประเทศ โดยมีพรรคฝ่ายขวาอื่นเข้าร่วมด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮิตเลอร์เข้าสู่อำนาจ เมื่ออยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เขาขยายกองกำลังของพรรค และเริ่มใช้นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์รุนแรงมากขึ้น
จากความขัดแย้งในรัฐบาลผสม ฮิตเลอร์จึงเสนอให้ประธานาธิบดียุบสภา
และกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๓๓ แต่ปรากฏว่าในวันที่
๒๗ กุมภาพันธ์ อาคารรัฐสภาเยอรมนีถูกวางเพลิง
ฮิตเลอร์โจมตีว่าเป็นแผนการของฝ่ายคอมมิวนิสต์
และถือโอกาสออกกฤษฎีกาไฟไหม้สภา เพื่อควบคุมสิทธิพื้นฐานของประชาชน
และเปิดโอกาสในการกวาดล้างสมาชิกสหภาพแรงงาน
ยุบพรรคคอมมิวนิสต์และกวาดล้างสมาชิกพรรคและกลุ่มฝ่ายซ้าย
ทำให้ผู้ต้องสงสัยกว่า ๔,๐๐๐ คนถูกจับกุม
จากนั้นก็มีการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักในเรื่องชาตินิยมเยอรมนี
ที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์และฟื้นเกียรติยศแห่งชาติ
ทำให้พรรคนาซีชนะได้เสียงมากที่สุดในการเลือกตั้ง แต่ก็ยังได้เสียงเพียง
๔๓.๙ % ได้ที่นั่ง ๒๘๘ ที่นั่งจาก ๖๔๗ ที่นั่ง
และนี่เป็นการเลือกตั้งแบบหลายพรรคครั้งสุดท้ายในสมัยนาซี นั่นหมายความว่า
ตามความจริงพรรคนาซีไม่เคยได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนในการเลือกตั้งเสรีเลย
หลังจากการเลือกตั้ง รัฐบาลฮิตเลอร์ได้เสนอรัฐบัญญัติยึดอำนาจ
ให้รัฐสภาลงมติมอบอำนาจนิติบัญญัติให้รัฐบาลออกกฎหมาย
โดยไม่ต้องผ่านสภาผู้แทนได้ ๔ ปี
รัฐบาลใช้วิธีการคุกคามให้พรรคฝ่ายกลางสนับสนุน
และริดรอนสิทธิพรรคฝ่ายซ้ายที่จะคัดค้าน
ทำให้รัฐสภาต้องผ่านกฎหมายนี้ด้วยคะแนนเสียง ๔๔๔ ต่อ ๙๓ เสียง
เมื่อได้อำนาจตามกฎหมายมาแล้ว
รัฐบาลฮิตเลอร์ก็กลายเป็นเผด็จการเต็มรูปโดยการปราบคู่แข่ง
ยุบพรรคสังคมประชาธิปไตยและพรรคฝ่ายกลางอื่น
ยุบเลิกและทำลายสหภาพแรงงานทั่วประเทศ
และกวาดล้างคู่แข่งทางการเมืองทั้งหมด
ทำให้พรรคนาซีกลายเป็นพรรคการเมืองที่ถูกฎหมายเพียงพรรคเดียว จากนั้น
จึงได้จัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๓๓
โดยมีพรรคนาซีสมัครเพียงพรรคเดียว ทำให้ได้คะแนนเสียงทั้งหมด ๖๖๑ ที่นั่ง
และนี่เป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายภายใต้ระบบนาซี
เพราะสภาชุดนี้ได้รับการต่ออายุจนสิ้นอำนาจของนาซี
เดือนสิงหาคม ค.ศ.๑๙๓๔ ประธานาธิบดีฮินเดนแบร์กถึงแก่อสัญกรรม
รัฐบาลได้ออกกฎหมายรวมอำนาจของประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี
ฮิตเลอร์จึงกลายมาเป็นผู้นำสูงสุดอย่างเป็นทางการ เรียกว่า ฟือแรร์ หรือ
ท่านผู้นำ ซึ่งโดยตำแหน่ง ฮิตเลอร์เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
บัญชาการกองทัพเยอรมนีด้วย
การรวมตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรีได้รับการอนุมัติโดยการลงประชามติ
เมื่อ ค.ศ.๑๙๓๘ ซึ่งพรรคนาซีได้รับเสียงสนับสนุน ๙๐ % ของผู้ออกมาใช้สิทธิ
สรุปแล้วระบอบของฮิตเลอร์คือระบอบเผด็จการฝ่ายขวา
การได้อำนาจของพรรคนาซีต้องถือว่ามาจากการยึดอำนาจ
หรือการก่อรัฐประหารโดยการสนับสนุนของกลุ่มนายทุนและนักอุตสาหกรรม
ไม่ได้มาจากกระบวนการประชาธิปไตย
การรักษาอำนาจใช้การโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนัก
ให้ถืออุดมการณ์ชาตินิยมเยอรมันสุดขั้ว
แล้วสร้างให้ยิวกับคอมมิวนิสต์เป็นศัตรูร้าย
ความเสียหายเกิดขึ้นจากกการที่พรรคนาซีได้ใช้อำนาจในการขยายดินแดนในยุโรป
แล้วร่วมมือกับอิตาลี กับ ญี่ปุ่น
ก่อสงครามโลกครั้งที่สองที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลก
และการกีดกันเชื้อชาติโดยสังหารหมู่ชาวยิวอย่างเหี้ยมโหดผิดมนุษยธรรม
ตลอดเวลาที่พรรคนาซีอยู่ในอำนาจ
ก็ไม่เคยมีศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลไหนมาควบคุมหรือถ่วงดุลเลย
หรือกล่าวได้ว่าศาลทั้งหลายสมัยนาซีก็รับใช้พรรคนาซีทั้งสิ้น
ไม่ได้มีเกียรติประวัติหรือความกล้าหาญในการตรวจสอบรัฐบาลฮิตเลอร์
อำนาจพรรคนาซีสิ้นสุดลงเพราะเยอรมนีแพ้สงครามใน ค.ศ.๑๙๔๕
กระบวนการของฮิตเลอร์จึงไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่าเป็น”เผด็จการเสียง
ข้างมาก” หรือ “เผด็จการรัฐสภา”
เพราะพรรคนาซีไม่ได้เผด็จการโดยอาศัยรัฐสภาแต่อย่างใด และความจริง
พรรคที่บริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นพรรคที่ได้เสียงข้างมาก
แต่ถ้าพรรคนั้นบริหารผิดพลาด
คราวต่อไปก็จะเป็นสิทธิของพรรคอื่นที่จะต้องมาด้วยเสียงข้างมากเช่นกัน
นี่เป็นกติกาประชาธิปไตย
ดังนั้นวาทกรรมเรื่องเผด็จการเสียงข้างมากก็เป็นวาทกรรมลวง
และอ้างกันว่า
ระบอบประชาธิปไตยนำมาซึ่งนักการเมืองฮิตเลอร์แล้วต้องเอาศาลมาปกป้องก็เป็น
เรื่องอ้างผิด สะท้อนถึงความโง่ในการอ้างเหตุผลของพวกฝ่ายขวาไทยนั่นเอง