ที่มา ประชาไท
Sat, 2012-07-07 23:32
นักวิชาการด้านยาวอนนายกฯ ปู เซ็นร่างแก้ พ.ร.บ.ยา
เข้าสภาเพื่อขจัดการส่งเสริมการขายยาที่ขาดคุณธรรม
ชวนองค์กรวิชาชีพลงสัตยาบรรณเกณฑ์จริยธรรมควบคุม
7 ก.ค.55 - จากการที่บริษัทยา GSK
ยอมที่จะจ่ายค่าปรับปรับเกือบแสนล้านบาทหลังทำความตกลงกับกระทรวงยุติธรรม
สหรัฐฯ ในความผิดทั้งอาญาและแพ่งในหลายข้อหา อาทิ
การทำการตลาดยาทั้งที่ไม่ตรงกับข้อบ่งใช้ที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและ
ยา สหรัฐฯ (FDA), ปิดบังความไม่ปลอดภัยของยา, ปั้นงานวิจัยว่า ยาปลอดภัย,
ให้อามิสสินจ้างบุคลากรทางการแพทย์เพื่อสั่งจ่ายยา,
ขายยาเกินราคาให้กับระบบหลักประกันสุขภาพ ฯลฯ กรณีดังกล่าวไม่ใช่คดีแรก
เคยมีการปรับบริษัทยาอื่น ๆ มานับแล้วมากกว่า 10 คดี
แต่คดีนี้นับว่ามีมูลค่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์
สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่า
แม้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีรายละเอียดของคดีที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน
ถึงพฤติกรรมของบริษัทยาและบุคลากรทางการแพทย์ที่สมคบกันหาประโยชน์บนชีวิต
ผู้ป่วยอย่างไร้จริยธรรม
แต่ผลของการกระทำไปทั้งที่รู้ว่าผิดกฎหมายก็นำไปสู่ค่าปรับและการประนี
ประนอมทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ไม่มีการลงโทษผู้กระทำความผิดอาญาใดๆเลย
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยาที่ทำผิดกฎหมายหรือแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาที่ความปลอดภัย
ไม่ความชัดเจนเพราะได้รับอามิสสินจ้าง หรือแม้แต่ปกปิดงานวิจัยของบริษัทถึง
3 ชิ้นที่ไม่สนับสนุนประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา
ตลอดจนเกี่ยวข้องกับการตีพิมพ์งานวิจัยอันเป็นเท็จ
“ถึงแม้บริษัทยาจะถูกปรับราว 3,000 ล้านเหรียญ หรือเกือบแสนล้านบาท
แต่เมื่อเทียบกับยอดขายของ GSK ปีที่แล้วปีเดียว 44,000 ล้านเหรียญ
เป็นกำไรสุทธิ 9,000 ล้านเหรียญ
ยาต่างๆที่มีปัญหาในคดีนี้ทำการตลาดในลักษณะที่ว่ามาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
ฉะนั้น หากยังไม่มีกลไกที่ดีกว่านี้ เชื่อว่า
บริษัทยายักษ์ใหญ่เหล่านี้ก็จะยังคงมีพฤติกรรมเช่นเดิม แต่จะทำให้เนียนขึ้น
เพื่อยากต่อการเอาผิด”
ทางด้าน ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี
ผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา กล่าวว่า จากคดีดังกล่าว
เมื่อหันกลับมามองในประเทศไทยพบว่า
สถานการณ์ส่งเสริมการขายยาอย่างขาดจริยธรรมนั้นไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
แต่ยิ่งน่าวิตกกังวลมากกว่า เพราะกลไกกฎหมายเดิมยังล้าหลัง จนถึงขณะนี้
พรบ.ยา พ.ศ. 2510
และกฎระเบียบต่างๆในบ้านเรายังไม่สามารถเข้าไปเอาผิดกับการส่งเสริมการขายยา
ที่ขาดจริยธรรมเหล่านี้ได้เลย เช่น มีผู้ให้ข้อมูลว่า เมื่อราว 2
ปีที่แล้วมีอาจารย์แพทย์ในโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นผู้ที่จ่ายยาเบาหวานที่อยู่ในกรณีนี้นั้นในปริมาณสูงสุดถูกให้ออก
เพราะพฤติกรรมไม่เหมาะสม ผิดจริยธรรม แม้จะถูกตักเตือนมาเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตามระบบการควบคุมกันเองนี้ก็ยังไม่เข้มข้นมากพอ จึงต้องเร่งแก้ไข
พรบ.ยา และออกเกณฑ์จริยธรรมควบคุมการส่งเสริมการขายยาที่ขาดคุณธรรม
“อยากให้ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตรลงนามในร่างแก้ไข
พ.ร.บ.ยาที่ภาคประชาชนนำเสนอเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาและขอให้กระทรวงสาธารณ
สุขเร่งนำร่าง พ.ร.บ.ยาที่ผ่านการพิจารณาของกฤษฎีกาเข้าสู่สภาเช่นกัน
เพราะทั้ง 2 ฉบับมีเนื้อหาควบคุมการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม
จัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพและตัวแทนขายยาอย่างเหมาะสม
ไม่เช่นนั้นปัญหาเปล่านี้จะยิ่งทวีความรุนแรง
ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งชีวิตประชาชนและงบประมาณของประเทศอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกันก็ขอเชิญชวนทุกสภาวิชาชีพต่างๆ
โรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลมาร่วมลงสัตยาบรรณรับรองเกณฑ์จริยธรรมควบคุมการ
ส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรมที่กำหนดกลไกการกำกับกันเองให้มีประสิทธิภาพ
ที่สุด
รวมทั้งเปิดให้กลไกการเฝ้าระวังและตรวจสอบที่เป็นทางการเพิ่มเติมขึ้น”
ภก.ภาณุโชติ ทองยัง
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย
สภาเภสัชกรรม กล่าวเสริมว่าพระราชบัญญัติยาพ.ศ.2510
มีการควบคุมการโฆษณาแต่ไม่ได้มีการพูดถึงการส่งเสริมการขาย
จึงเป็นช่องโหว่ที่อาจทำให้บริษัทยาทำการส่งเสริมการขายอย่างไร้จริยธรรมได้
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับแก้ระบบยาให้โปร่งใสรวมทั้งให้บริษํทยา
เปิดเผยโครงสร้างราคายาของตน เพื่อให้สังคมสามารถติดตามตรวจสอบได้
“ในนามของสถาบันฯซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมเพื่อให้ผู้ประกอบ
วิชาชีพเภสัชกรรมมีจริยธรรม ความรู้
และความเชี่ยวชาญในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ ขอเรียกร้องเภสัชกร
ตลอดจนผู้บริโภค
เข้ามาร่วมกันเป็นเครือข่ายในการตรวจสอบและเฝ้าระวังพฤติกรรมการขายยาที่ไม่
ถูกต้องตามหลักจริยธรรมด้วย
หากพบการกระทำที่ไม่เหมาะสมขอให้แจ้งยังสภาเภสัชกรรม
ซึ่งเป็นองค์กรที่ควบคุมจรรยาบรรณของวิชาชีพ
และหากพบผู้ประกอบวิชาชีพอื่นๆเกี่ยวข้องด้วยก็ขอให้แจ้งยังสภาวิชาชีพนั้นๆ
เช่นกัน”
ทางด้านนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
กล่าวว่า จากคดี GSK ยังพบว่า
มีการขายยาเกินราคาให้กับโครงการประกันสุขภาพของรัฐที่ให้การรักษาคนชราใน
สหรัฐฯ จนถูกสั่งปรับ 300 ล้านเหรียญ หรือเกือบพันล้านบาทนั้น
ถือเป็นบทเรียนที่ดีกับระบบหลักประกันสุขภาพบ้านเราทั้งสามระบบ
โดยเฉพาะระบบสวัสดิการข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณ 5 ล้านคน
ที่ใช้งบประมาณจากภาษีอากร ปี 53 ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดูแล 47 ล้านคน ใช้งบประมาณประมาณ 1
แสนล้านบาท ซึ่งสัดส่วนงบประมาณที่ใหญ่ที่สุดคือ ค่ายา
ดังนั้นกรมบัญชีกลางและคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้ 3
ระบบหลักประกันมีความเท่าเทียมนั้น ต้องมีการตรวจสอบราคายา ควบคุมราคายา
ให้มีความเหมาะสม อย่าปล่อยให้บริษัทยาหลอกได้