ที่มา thaifreenews ค่ำคืนแห่งการปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 ของคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ใน ความทรงจำของ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ขณะนั้นเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายแต่กระนั้นก็เป็นความทรงจำเพียง 11 วัน ในฐานะผู้ร่วมปฏิวัติ
เมื่อถึงกำหนดเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายน หลังจากนั้น พล.อ.เรืองโรจน์ ก็ไม่ตกเป็นข่าวอีกเลยทิ้งไว้แต่เพียงข่าวลือ ถึงความขัดแย้งกัน ในเหล่าทัพ ที่ไม่เคยได้แพร่งพรายออกจากปากของผู้ที่อยู่ใน "ที่เกิดเหตุ" สักครั้งเดียวและต้องเป็นเรื่องฮือฮาไม่น้อย ที่การเปิดตัว ต่อมาของ พล.อ.เรืองโรจน์ คือตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองภายใต้การต่อท่อน้ำเลี้ยงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกล้มอำนาจ
พล.อ.เรืองโรจน์เปิดใจว่า การปฏิวัติใน ค่ำคืนอันยาวนานนั้น มองเป็นเรื่องที่ต้องทำ เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และความสงบเรียบร้อย บ้านเมืองจะได้นิ่ง เพราะปัจจัยแรก ของการปฏิวัติคือ ความสงบสุขของประชาชน
"เรื่องปฏิวัตินั้น เคยนั่งคุยกันเล่นๆ ผมก็บอกไปว่าต้องอ่านประวัติศาสตร์เยอะๆ เพราะการปฏิวัตินั้นไม่เป็นผลดีต่อประเทศ เศรษฐกิจถดถอย บ้านเมืองเจ๊ง ผมก็ไม่ได้ห้าม แต่นั่งคุยกันว่าถ้าจะปฏิวัติต้องอ่านประวัติศาสตร์ ว่าถ้าปฏิวัติแล้วดีไหม ผลบวกหรือผลลบที่จะ เกิดต่อประเทศ"
แม้จะไม่เห็นด้วย แต่อดีต ผบ.สส.กล่าวว่า ทุกวันนี้เมื่อเจอเพื่อนๆ ก๊วนตีกอล์ฟ อย่าง พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ก็จะไม่คุยเรื่อง ความหลังกัน
"ผมไม่ได้โกรธกับใคร เจอกันก็คุยกัน อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เจอกันก็ไหว้ทักทายกัน แต่เขาไม่ค่อยมีเวลา"
เมื่อย้อนไปถึงคืนนั้น พล.อ.เรืองโรจน์ ในฐานะ ผบ.สส. ยอมรับว่า เป็นนายทหาร ระดับสูงเพียงคนเดียวที่ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ใจ มากที่สุด ประกอบกับตำแหน่งทำให้ได้รับการ แต่งตั้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณที่อยู่ต่างประเทศ ให้เป็นผู้ดูแลกองทัพ หลังจากมีคำสั่งปลดฟ้าผ่า พล.อ.สนธิ เมื่อตรวจสอบแน่นอนแล้วว่า มีการรัฐประหารแน่นอน
"ผบ.ทบ.มีกำลังอยู่ในมือ การปฏิวัตินั้น ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นสิ่งล้าสมัย และ พ.ต.ท.ทักษิณเอง ก็ชัวร์ว่าไม่มีอะไร ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ การปฏิวัติจะไม่สำเร็จ คืนนั้นถ้าสู้กัน ตายเละเทะ ผมไม่อยากเห็นลูกน้องตายเป็นเบือ เลยไม่อยากทำ ผมยอม ไม่อยากให้เข้าใจว่ายอมแพ้ แต่ยอมที่จะไม่ให้มีการนองเลือดในประเทศไทย ไม่ใช่ยอมแพ้
กำลังในมือผมสู้กันได้ และมั่นใจ ว่าผมชนะ แต่ทุกคนจะไม่มีที่อยู่ จับได้ เนรเทศอย่างเดียว แต่ผมใช้เวลาคิดแป๊บเดียว ว่ายอม"
นับเป็นการแบ่งคนละขั้วอย่างชัดเจน ที่อดีต ผบ.สส.กล่าวว่า นั่งกันคนละที่ และหาก จะสู้ก็สู้เลย แต่เมื่อการแต่งตั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง พล.อ.เรืองโรจน์ไม่ทำตาม ทุกอย่างจึงจบ ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการเห็นทหารกับทหาร ทหารกับตำรวจ "ฟาดกันตาย"
หลังจากนั่งอยู่ใน คปค. 11 วัน เมื่อเกษียณอายุราชการ พล.อ.เรืองโรจน์ บอกว่า กลับไปอยู่บ้าน เลี้ยงหลาน ปลูกต้นไม้ อยู่ช่วงหนึ่ง
"ผมกลับมามองว่าบ้านเราแตกแยก ต้องออกมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อจะช่วยปรับความถี่เข้าหากันได้ ก็เห็นว่าควรเล่นการเมืองดีที่สุดตามระบอบประชาธิปไตย ถามว่าทำไมถึงเลือกพรรคพลังประชาชน ผมไม่ได้เลือก แต่มีการนั่งคุยกันไป ผมมีเพื่อนอยู่ในพรรคพลังประชาชนเยอะ การที่เราจะทำงานด้วยกันต้องมีอุดมการณ์ตรงกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ มีพวกก่อนแล้วจึงจะมีพรรค"
อุดมการณ์ของ พล.อ.เรืองโรจน์ จึงถูกถอดรหัสออกมาว่า คือการต่อต้านเผด็จการ ซึ่งแม้จะไม่ตอบโดยตรง แต่ พล.อ.เรืองโรจน์ ก็กล่าวว่า
"หรือคุณชอบเผด็จการ ไปถามใครก็ได้ ไม่มีใครชอบเผด็จการ ไม่ว่าพรรคการเมืองไหน การที่จะสร้างความสมานฉันท์คืออุดมการณ์ ที่ผมคิด ทุกคนที่เจอก็มีความคิดอย่างนี้ เรามีแนวคิดเดียวกัน คือ สร้างความสามัคคี พรรคพลังประชาชน เราไม่อาฆาตมาดร้าย ว่าใครทำอะไรต่ออะไร ถ้าเราได้เป็นรัฐบาล เราจะไม่รื้อฟื้น เรื่องบ้าๆ บอๆ แต่จะมุ่งหน้าทำอนาคตให้ดี ฝากไปบอกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ด้วยว่า เราคงไม่ไล่กระทืบ"
อดีต ผบ.สส.กล่าวและว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องดวง คนเราอยู่ที่กรรม หากบ้านเมืองจะกลับมาได้ อยากให้เป็นไป ตามครรลอง หลังผลการเลือกตั้งใครได้เสียง ข้างมากก็จัดตั้งรัฐบาลไป มีรัฐบาลดำเนินการปกครอง ทุกอย่างก็จบ แต่ต้องไม่มีการ ตัดขากัน
"ผมเป็นทหารมาทั้งชีวิต และจะเป็น นักการเมืองแบบทหาร คือ ทหารมีความมั่นคง ซื่อตรง ตรงนี้เปลี่ยนไม่ได้ เราถูกอบรมสั่งสอน กันมาอย่างนี้ ปากกับใจตรงกัน ทำอะไรซื่อสัตย์ นักการเมืองต้องเป็นแบบนี้ เรื่องที่ว่าจะเปลืองตัวนั้น นั่งนิ่งๆ อย่าไปโกหก หากมองนักการเมือง ว่าปลิ้นปล้อนโกหก ภาพนักการเมืองก็จะไม่ดี อย่าไปมองนักการเมืองเลวหมด ต้องปรับความถี่ ถ้าผมทำไม่ดีมาด่าผมเลย แต่ถ้าผมทำดีแล้วมา ด่าผมจะฟาดกลับ"
ทั้งนี้ พล.อ.เรืองโรจน์กล่าวว่า การตัดสินใจ ลงเล่นการเมืองครั้งนี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะ เป็นตำแหน่งอะไร และไม่กลัวถูกหลอก ให้เสียคน
"อายุกันขนาดนี้แล้วถ้าโง่ให้หลอกก็ช่วยไม่ได้ เราอย่าตั้งความฝันทะเยอทะยาน ถ้าไม่อย่างนั้นจะถูกหลอกอย่าไปตั้งทะเยอทะยานอยากมี อำนาจ ผมมีความมุ่งมั่นช่วยเหลือประเทศ ความตั้งใจหนึ่งของผมคือ อยู่กับพรรคการเมืองถึงจะช่วยได้"
คืออุดมการณ์ทางการเมือง ที่ พล.อ.เรืองโรจน์หวังที่จะพาพรรคพลังประชาชนกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในตำแหน่ง "รองหัวหน้าพรรค" และอดีต ผบ.สส.