ที่มา ประชาไท กรณ์ จาติกวณิช เขียนบทความลงเฟซบุค “วันนี้สิ่งที่ผมคิด คือ ถ้าไม่มีการปฏิวัติในปี ‘49 และไม่มี คตส. เราจะเห็นความยุติธรรมปรากฏในคดีนี้หรือไม่?” เมื่อเวลา 14.20 น. ของวันที่ 3 มี.ค. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยแพร่บทความ “มุมมองส่วนตัวคดียึดทรัพย์” ทางเว็บไซต์ facebook ของเขา โดยมีรายละเอียดดังนี้ กรณ์ จาติกวณิช แด่เพื่อน FB: เวลาผ่านไป 4 วันแล้วหลังจากคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พตท.ทักษิณ ผมยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อใดแม้แต่คำเดียวเกี่ยวกับผลของคดีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะผมมีความรู้สึกว่าคนพูดเรื่องนี้เยอะแล้ว แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องนี้ใกล้ตัวผมมากในฐานะเป็นคนหนึ่งที่ต่อสู้เรื่องนี้มายาวนาน จึงมีความรู้สึกอยากให้ความคิดและอารมณ์ตกผลึกก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นออกมา เขาไปเจรจากับสิงค์โปรโดยอ้างว่าไปเที่ยว เขารีบแก้กฎหมายสัดส่วนการถือหุ้นโดยต่างชาติในบริษัทโทรคมนาคมเพื่อเขาจะได้ขายหุ้นได้ และเขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว ช่วงนั้นผมทำสองอย่าง อย่างแรกคือผมได้วิเคราะห์ว่ามีหลักฐานที่ กลต. ที่ชี้ให้เห็นว่าเขาแอบถือหุ้น Shinอยู่ที่บัญชีสิงค์โปรในธนาคาร UBS และอย่างที่สองผมได้ไปร้องเรียนกับอธิบดีกรมสรรพากร ณ ขณะนั้นว่าการซื้อมาขายไปโดยลูกของทักษิณทั้งสองคนเป็นนิติกรรมที่ควรต้องมีภาระภาษีให้แผ่นดิน ผมจำได้ว่าความร่วมมือโดยหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้มาด้วยความยากเย็น ซ้ำแล้วยังมีความพยายามขุดคุ้ยว่าผมเคยมีพฤติกรรมอันใดในสมัยที่ผมยังอยู่ในวงการหุ้นที่จะเป็นจุดอ่อน ที่จะให้กับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่และเจ้าหน้าที่สรรพากรเองก็แอบปล่อยประวัติภาษีผม (ซึ่งเป็นความลับ ส่วนตัว) ให้กับ ส.ส.ไทยรักไทย ก็โชคดีที่ผมไม่เคยทำอะไรไว้ให้ตัวเองมีแผลแต่ญาติในตระกูลเกือบทุกคน โดนข่มขู่หมดในระยะนั้น วันนี้สิ่งที่ผมคิด คือ ถ้าไม่มีการปฏิวัติในปี ‘49 และไม่มี คตส. เราจะเห็นความยุติธรรมปรากฏในคดีนี้หรือไม่? พอมี คตส. ผมก็หอบข้อมูลทั้งหมดไปให้เขาและเข้าไปช่วยวิเคราะห์ ข้อมูลเหล่านั้น รวมทั้งอธิบายชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหุ้นและการซื้อขายหุ้นซึ้งค่อนข้างซับซ้อนและเข้าใจยาก ผมจำได้ว่าวันที่ผมเดินเข้าไปที่ คตส. ซึ่งยืมสำนักงานของ สตง. อยู่ชั่วคราวมีกลุ่มกองเชียร์ทักษิณ (สมัยนั้นยังไม่ใส่เสื้อแดง) มารออยู่กันเต็มและตะโกนด่าว่าผมหยาบคาย วันนั้นคุณแก้วสรร ซึ่งเป็นคน คตส. คนหนึ่งและเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่อง “ซุกหุ้น”โดยตรง เดินเข้าไปในเวลาไล่เลี่ยกันและโดนด่าทอรุนแรง ว่า “อ้ายหน้าหมา” วันนี้ หัวใจของคดีนี้ คือการพิสูจน์ว่า ทักษิณ ซุกหุ้นจริง หลังจากนั้นจึงเป็นการพิสูจน์ว่าเข้าเอื้อต่อหุ้นที่เขาซุกอยู่ด้วย คำพิพากษาของ ศาลฎีกา สรุป โดยเอกฉันท์ว่าซุกหุ้นจริง ผมนึกย้อนกลับไปช่วงปี ‘49 นั้นทักษิณ อ้อ โอ๊ค เอม ทุกคนออกมา โกหก ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ได้ซุกแต่สุดท้ายก็ต้องจำนนต่อหลักฐาน แต่ย้อนกลับมาที่ประเด็นสำคัญคือถ้าไม่ปฏิวัติจะได้เห็นคำพิพากษานี้ไหม และทำไม สังคมไทยจึงกลับไม่สามารถ มีความยุติธรรมได้โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจเผด็จการ แสดงว่าบางครั้งเผด็จการให้ความสำคัญกับความถูกต้องมากกว่า ระบอบประชาธิปไตยหรือ? ก็คงเป็นเพราะคนไทยจำนวนมาก จริงๆ แล้วไม่ให้ความสำคัญกับความถูกต้อง ขอให้ค้าขายได้ อยู่ดีกินดี ใครจะทำอะไรก็ช่าง แล้วความคิดเช่นนี้ผิดหรือ? ใครๆ ก็รู้ว่าความถูกต้องหรือความยุติธรรมเป็นสิ่งที่กินไม่ได้ จับต้องไม่ได้ หรือเป็นเพราะคนที่มีอันจะกินเท่านั้นที่มีเวลามาคิดเรื่องความยุติธรรม ในขณะที่คนจนเขาต้องปากกัดตีนถีบเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวและไม่มีเวล่ำเวลามาคิดมากับเรื่องราวเหล่านี้ และเมื่อคนส่วนใหญ่ยังยากจน และเสียงส่วนใหญ่เป็นเสียงสวรรค์ในระบอบประชาธิปไตย คำตอบสุดท้ายจึงเป็นเช่นนี้ ก็คือเป็นว่า “เราไม่แคร์” ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็อีกหล่ะครับ คนที่ “ไม่แคร์” มีตั้งเยอะที่เป็นพ่อค้าและคนร่ำรวย เอาเข้าจริงทุกคนก็จะพูดว่าต้องการเห็นความถูกต้อง แต่น้อยคนที่พร้อมจะเสียสละโอกาสของตนเอง เพื่อความถูกต้อง ถ้าทุกคนทำตามหน้าที่ ความยุติธรรมก็จะปรากฏเสมอโดยไม่ต้องมีคนมายัดเยียดให้กับเรา ด้วยการปฏิวัติหรืออื่นๆ เราทำเองได้ แต่เราไม่ทำ บทเรียนนี้ ผมว่าเป็นบทเรียนสำคัญจากคดีนี้ครับ สุดท้ายแล้ว สี่วันผ่านไป ผมมีความรู้สึกมากขึ้นทุกๆวัน ว่าศาลยุติธรรมจริง ถ้าเป็นผม ผมคงยึดหมดทั้ง 76,000 ล้านบาทแล้วครับ เพราะผมคิดง่ายๆ มาตลอดว่า ถ้าเพียงยึด “ส่วนเกิน” ก็หมายความว่า ทักษิณโกงแล้ว “เท่าทุน” แต่ข้อเท็จจริงก็คือหน่วยงานต่างๆ ที่เสียหายจากการทุจริตของทักษิณยังมีหน้าที่ ต้องฟ้องร้อง เรียกร้องความเสียหายอีกหลายหน่วยงาน ของคลังก็มีครับ คือ ธนาคาร EXIM ที่โดนบังคับให้ปล่อยกู้ราคาถูกให้รัฐบาลพม่าเอาเงินไปซื้อของจากบริษัทของทักษิณ และผมรู้ล่วงหน้าเลยครับ ว่าจะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งและน่าจะเป็นกลุ่มใหญ่ด้วย ที่จะต้องคิดและรู้สึกว่าทำไมยังไปจองล้างจองผลาญอีก พอแล้วได้ไหม สมานฉันท์กันได้หรือยัง เหมือนยังไม่ยอมรับถึง “หน้าที่” และยังเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ส่วนตัวผมทำหน้าที่ต่อไปแน่นอนครับ และ ผมยอมรับ เลยว่าเหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะทักษิณยังไม่สำนึกในความผิดที่ตนเองได้ทำไป ยังไม่ยอมรับถึงความเสียหายที่ได้ทำไว้กับประเทศชาติ และที่สำคัญยังไม่ยอมรับว่าทั้งหมดนั้นเขาทำตัวเขาเอง แต่ยังกลับคิดว่าตนเป็นผู้ถูกกระทำ และเมื่อเขายังขู่อยู่ว่าจะสู้ต่อไปจะเอาคืนกับทุกอย่าง ผมก็ต้องขอบอกครับว่าผมคนหนึ่งก็จะไม่ยอม และไม่ใช่เพราะผมไม่ชอบทักษิณอย่างเดียว แต่เป็นเพราะผมเป็น ส.ส. ผมเป็นรมต.คลังและผมมีหน้าที่ที่ต้องทำ และที่สำคัญประสบการณ์ 4-5 ปี ที่ผ่านมาที่ต่อสู้เรื่องนี้มาทำให้ผมรู้ด้วยครับว่า เราไม่มีสิทธิ และไม่สามารถ และไม่ควร ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของคนอื่น ผมเขียนมายาวมากแล้ว จริงๆ ก็คือเขียนให้กับตัวเองไปด้วยครับ และอยากจะบอกว่าสุดท้ายแล้วผมไม่ได้รู้สึกดีกับคำพิพากษาเลย ไม่ใช่เพราะผมไม่เห็นด้วย อย่างที่ว่าผมคิดว่าเป็นคำพิพากษาที่อมตะมากและผมเคารพและน้อมรับด้วยความรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าเคารพอย่างมาก แต่ผมเศร้าซึมเล็กๆ เพราะผมไม่แน่ใจว่าพวกเราชาวไทยได้เรียนรู้ในเชิงลึกจากเรื่องราวทั้งหมดนี้หรือไม่ จริงๆ แล้วเราให้ความสำคัญกับความยุติธรรมและความถูกต้องแค่ไหน และเราพร้อมจะเสียสละเพื่อช่วยกันรักษาความถูกต้องในสังคมหรือไม่ ผมคิดเองตอบเองได้ครับ แต่ไม่ค่อยชอบคำตอบเท่าไรนัก แต่ยังไงก็ไม่ท้อครับ