ที่มา Thai E-News
จากกรณีที่ นาย กรณ์ จาติกวนิช ตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊คเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2554 ไว้ดังนี้
Korn Chatikavanij
ทักษิณพูดว่า ไม่เคยเห็นใครลอกข้อสอบแล้วสอบตก เพิ่งเห็นรัฐบาลนี้
ขอตอบว่าใครลอกใครและสอบตกหรือไม่ตกประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
แต่ที่แน่ๆสองปีมานี้เราทำงานเต็มที่ ส่วนทักษิณและพรรคเพื่อไทยทำอะไรบ้าง
นอกจากปลุกปั่นให้บ้านเมืองเสียหายและคนไทยต้องมาทะเลาะกันเอง
ข้อความนี้ฟังผ่านๆ โดยคนที่ไม่ทันได้คิดและความจำสั้นคงจะพาลคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศได้เพราะประชาชน ตัดสินให้พรรคนี้ชนะเลือกตั้งมาแน่ๆ และคิดว่าพรรคนี้เข้ามาเป็นรัฐบาลอย่างสง่างาม ไม่เคยยุยงปลุกปั่นทำให้บ้านเมืองเสียหายเลย แต่ถ้าใครมีความจำยาวสักหน่อยและมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล โดยไม่ได้มองที่ชาติตระกูลหน้าตาคนพูด จะเห็นได้ว่านี่เป็นวิธีการพูด ที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ซึ่งเป็นวิธีการและเป็นสันดานร่วมประจำพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมไม่ทราบว่าพรรคนี้ไปแสวงหาหรือคัดเลือกคนที่มีสันดานแบบนี้เข้าไปร่วม พรรคหรือคนปกติธรรมดาที่มีสันดานดีๆเมื่อเข้าไปร่วมทำงานกับพรรคการเมืองนี้ แล้ว ได้ถูกอบรมบ่มเพาะซึมซับสันดานแบบนี้จากผู้ที่อยู่มาก่อนในพรรค เลยกลับกลายแปรเปลี่ยนไปเป็นคนที่มีสันดานแบบประชาธิปัตย์ไปได้
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนาย กรณ์ จาติกวนิชและพรรคประชาธิปัตย์จะกล้าพูดถึงการตัดสินของประชาชน และที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคือ ไม่น่าเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเคารพคำตัดสินของประชาชน
หลายท่านอาจจะไม่รู้หรือไม่ทันได้สังเกตุว่า พรรคประชาธิปัตย์คือพรรคการเมืองที่ไม่เคยชนะการเลือกตั้งมาเกือบ 20 ปีแล้ว นั้น หมายความว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ไม่ได้ไว้วางใจให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารบ้านเมืองเกือบ 20 ปีแล้ว เกือบ 20 ปี ที่ประชาชนส่วนใหญ่ในแผ่นดินนี้ได้ตัดสินแล้วว่าไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ บริหารบ้านเมือง หลายท่านอาจจะสงสัย อ้าว แล้วพรรคนี้มาเป็นรัฐบาลได้ยังไง คำตอบคือมาด้วยวิธีพิเศษ ฉ้อฉล ตลบแตลง ครับ
พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุด ก็เมื่อปี พศ. 2535 นั่นแหละครับ เป็นการเลือกตั้งเมื่อเดือนกันยายน ภายหลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และที่ชนะเลือกตั้งมาได้ในครั้งนั้นก็ด้วยนโยบายวิธีการหาเสียงแบบ “แทงข้างหลังเพื่อน”
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ขบวนการประชาชนที่ร่วมกันขับไล่นายกรัฐมนตรีสุจินดา คราประยูร ผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรคและประชาชนจำนวนมากซึ่งก็มีพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมด้วย โดยมีแกนนำหลักที่โดดเด่นคือ จำลอง ศรีเมือง และพรรคพลังธรรม
ภายหลังฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกประสบชัยชนะ แต่ก็มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนหนึ่ง เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ ดูเหมือนว่า จำลอง ศรีเมืองและพรรคพลังธรรมจะได้รับความนิยมจากประชาชนเพราะเห็นว่ากล้าหาญเด็ด เดี่ยวในการนำเพื่อเรียกร้องและต่อสู้ให้ได้มาในระบอบประชาธิปไตยที่นายก ต้องมาจากการเลือกตั้ง
เมื่อเห็นดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ผู้กลัวแพ้เลือกตั้งจึงใช้วิธีป้ายสีว่า จำลอง ศรีเมือง “พาคนไปตาย” ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทั้งๆที่พรรคตัวเองก็เข้าร่วมเรียกร้องด้วยในเหตุการณ์นั้น พรรคประชาธิปัตย์จงใจใช้วิธีการนี้เพื่อหลอกล่อชนชั้นกลางในเมืองที่มีความ จำสั้นป้ายความผิดให้พรรคการเมืองที่เป็นเพื่อนร่วมรบ เพื่อถีบหัวเพื่อนให้ตัวเองชนะเลือกตั้ง นี่คือวิธีการของพรรคประชาธิปัตย์ที่ชนะเลือกตั้งเมื่อครั้งล่าสุดเมื่อ เกือบ 20 ปีที่แล้ว ในครั้งนั้นนายชวน หลีกภัยได้เป็นนายก และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็น สส.สมัยที่สอง แต่หลังจากเป็นรัฐบาลได้ประมาณ 3 ปี ไม่ทราบด้วยความอดอยากหิวโหยตะกระกรามหรืออย่างไร รัฐบาลนี้ก็พังลงเพราะกรณี สปก 4-01 สมัยนั้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้เอาที่ดินที่เขาเจตนาแจกให้เกษตรกรไปแจกให้พรรคพวกตัวเอง กรณีนี้ นายชวน หลีกภัย ถึงกับลงทุนผลิตวาทกรรมตอแหลเปรียบเทียบการแจกที่ดินทำกินให้เกษตรกรว่า “คนรวยคนจนมีสิทธิสอบชิงทุนเท่ากัน” และแทนที่เมื่อโดนเปิดโปงกรณีนี้แล้ว จะยอมรับสารภาพขอโทษประชาชน พรรคประชาธิปัตย์กลับปลุกม็อบชาวใต้ขึ้นป้ายต่อต้านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่ ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมนี้้ ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อปกป้องพฤติกรรมทุจริตของตัวเอง
ขณะนั้น เวลานั้น นายชวน หลีกภัย ยืนยันหนักแน่นว่ากรณีนี้ไม่ทุจริต แต่ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2550 ศาลฎีกาจังหวัดภูเก็ตมีคำพิพากษา ให้นายทศพร เทพบุตร สามีนางอัญชลี เทพบุตร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ คืนที่ดินที่ได้รับมาจากกรณี สปก. 4-01
กรณีนี้คนปากแข็งอย่างนายชวน หลีกภัยและ สส.พรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลายก็ยังไม่ยอมออกมาขอโทษประชาชน และถึงกลับหน้าด้าน ส่งนายทศพร เทพบุตร ลงเลือกตั้งในจังหวัดภูเก็ตอีก ส่วนประชาชนในจังหวัดเมื่อเห็นพรรคนี้หน้าด้านส่งลงมา ก็พร้อมใจกันเลือกนายทศพร เป็น สส.แม้ว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาแบบนั้นแล้วก็ตาม ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางการส่งเสียด่าทอของพันธมิตร ประชาชนเพื่อความไม่เป็นประชาธิปไตยจังหวัดภูเก็ตที่กำลังด่า ทักษิณ ชินวัตร ว่าขี้โกง แต่ทั้งหมดกลับพร้อมใจกันเลือกนายทศพร เทพบุตร ทั้งๆที่ศาลฏีกาพึ่งตัดสินให้คืนที่ สปก. หยกๆ ?!?!
หลังจากนั้นปี 2540 พรรคประชาธิปัตย์โดยนายชวน หลีกภัยก็ได้เป็นนายกอีกสมัย เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองเป็นครั้งแรกในเมืองไทย ด้วย การใช้วิธีที่เรียกกันว่า “งูเห่า” ขอให้ท่านทั้งหลายจำคำศัพท์การเมืองคำนี้ให้ดีว่าพรรคที่เป็นต้นกำเนิดให้ เกิดพฤติกรรมแบบนี้คือพรรคประชาธิปัตย์ วิธีที่ว่านี้ก็คือ ไปหลอกล่อเอาสมาชิกพรรคฝ่ายค้านซึ่งคือพรรคประชากรไทยในสมัยนั้นมาโหวตยกมือ ให้ตัวเองเป็นรัฐบาลแม้ว่าพรรคการเมืองนั้นจะไม่มาร่วมเป็นรัฐบาลด้วยก็ตาม! ส่วนจะหลอกล่อมาด้วยวิธีไหน ใช้เงินใช้ทองซื้อมาหรือไม่ ก็ให้ท่านทั้งหลายคิดเอาเอง แต่บอกใบ้ให้ว่า เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์สมัยนั้นคือ สนั่น ขจรประศาสน์ นักการเมืองคนแรกที่ถูกศาลสั่งเว้นวรรคการเมือง 5 ปี เพราะแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ! และก็ต้องบันทึกไว้เช่นเดียวกันว่า สส.พรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่พร่ำบอกว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นพรรคการเมืองแรกในประเทศไทยที่มี สส. ถูกศาลตัดสินให้เว้นวรรคการเมือง และก็เป็นพรรคประชาธิปัตย์อีกนั่นแหละที่เป็นพรรคการเมืองแรก ที่สมาชิกในพรรคถูกศาลตัดสินว่าทุจริตซื้อเสียงในการเลือกตั้ง นั่นคือ นายบุญมาก ศิริเนาวกุล ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดราชบุรี เป็นไงครับ พฤติกรรมพรรคนี้ในอดีต!
หลังจากนั้นมาพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยชนะเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาลอีกเลย เพราะมีการเกิดพรรคการเมืองรุ่นใหม่ที่ใช้นโยบายหาเสียงแบบจับต้องได้และ ทำให้เห็นเป็นรูปธรรม นั่นคือพรรคไทยรักไทย โดยการนำของ ทักษิณ ชินวัตร และทีมงาน นี่คือฝันร้ายและเป็นสิ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เกิดอาการ อาฆาตริษยา จนไม่สนหลักการใดๆอีกต่อไป และไม่สนว่าวิธีการที่ตัวเองนำมาใช้นั้นจะนำพาให้ประเทศย่อยยับฉิบหาย อย่างไร วิธีการ ตอแหล เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ตลบแตลง ฉ้อฉล ถูกพรรคประชาธิปัตย์งัดออกมาใช้ทุกวิธี เพื่อล้มคู่แข่งทางการเมือง เพื่อให้ตัวเองได้เป็นรัฐบาล เพราะเล็งเห็นแล้วว่าขืนปล่อยให้ ทักษิณ ชินวัตรและพรรคการเมืองของเขาบริหารประเทศต่อไป พรรคประชาธิิปัตย์ก็คงไม่ต่างจากเห็บเห่าที่เกาะหลังหมาไม่มีค่าอะไรในสายตา ประชาชน
ปี พศ. 2548 สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ซึ่งผิดหวังไม่ได้ผลประโยชน์จากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย หลังจากลงทุนลงแรงเชียร์ไปมากมาย ก็เริ่มก่อหวอดปลุกม็อบโดยเอาสถาบันกษัตริย์และข้อหาทุจริตมาอ้างเพื่อล้ม รัฐบาลไทยรักไทยให้ได้ เห็นโอกาสดังนี้ พรรคการเมืองที่ตอแหล หน้าด้าน เอาแต่ได้ อย่างพรรคประชาธิปัตย์เลยฉวยโอกาสนี้ส่งหัวคะแนนและสาวกพรรคเข้าร่วมขบวนการ ทันที เพราะเล็งเห็นแล้วว่าขืนปล่อยให้พรรคไทยรักไทยบริหารประเทศไปตามปกติ ชาตินี้ทั้งชาติพรรคประชาธิปัตย์คงไม่มีทางกลับมาได้เป็นรัฐบาลอีกเป็น แน่แท้ หลักการที่นายชวน หลีกภัยเคยตอแหลสร้างภาพไว้ว่า “เราเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” เป็นอันถูกพับใส่ลิ้นชักความริษยาไว้ก่อน แล้ววิธีการเลือดเย็นหลอกใช้สนธิ ลิ้มทองกุลและพันธมิตรประชาชนเพื่อความไม่เป็นประชาธิปไตยก็ถูกนำมาใช้ แม้รู้อยู่เต็มอกว่าวิธีการนี้จำนำพาให้ประเทศวุ่นวายไร้หลักการ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะถึงขนาดลงทุนประกาศให้ในหลวงใช้มาตรา 7 เพื่อล้มรัฐบาลไทยรักไทย ฉายา มาร์ค ม.7 ถูกเรียกขานไปพักใหญ่แม้ว่าเจ้าตัวจะออกมาตอแหลบอกว่าไม่ได้หมายความว่าแบบ นั้นก็ตาม
หลายท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้พอจะฟื้นความจำบ้างหรือยังว่าพรรคที่ตอแหล เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ สร้างความเลวทรามต่ำช้าไว้ให้การเมืองไทยอย่างไร เรามาลองไล่กันดู
หลังจากพรรคไทยรักไทยทนเความรำคาญไม่ไหวประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเดือนเมษายน 2549 ทั้งๆที่พึ่งชนะเลือกตั้งมาเมื่อปลายปี 2548 ด้วยคะแนน 370 กว่าเสียง เป็นพรรคการเมืองแรกในประเทศไทยที่ได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งได้จัดตั้ง รัฐบาลพรรคเดียว ทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ที่มีบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้นที่ได้คะแนนไม่ถึง 100 เสียง
ด้วยหวังว่าการให้อำนาจกลับไปสู่มือประชาชน เพื่อให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่จะทำให้สถานะการณ์ภายในประเทศดีขึ้น แต่ก็เปล่าเมื่อเจอพรรคตอแหล เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้อย่างพรรคประชาธิปัตย์เล่นเกมส์ ด้วยการประกาศไม่ลงเลือกตั้ง โดยหวังว่าการกระทำครั้งนั้นจะทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง ทำให้ประเทศหยุดชะงักและทำให้พรรคไทยรักไทยไม่มีทางออก และในเวลานั้นพรรคนี้ก็ทำทุกอย่างทุกทาง เพื่อให้การเลือกตั้งไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งให้หัวคะแนนสาวกไปขัดขวางการเลือกตั้ง จัดจ้างคนไปสมัครรับเลือกตั้งแล้วป้ายสีว่าพรรคไทยรักไทยทำ จ้างพยานใส่ร้ายป้ายสีเพื่อให้ยุบพรรคไทยรักไทย แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจหยุดยั้งการเลือกตั้งได้ แต่แล้วก็ถึงช่วงสำคัญที่ทำให้ประชาชนทั้งหลายเห็นกันว่า ใครกันที่ให้ท้ายพรรคการเมืองนี้ ใครกันที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองนี้
25 เมษายน 2549
ในหลวง เสด็จออกปรึกษาคณะตุลาการศาลปกครองและศาลฏีกา ที่มีประธานศาลปกครองเข้าเฝ้าว่า มีการทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้หรือไม่ พร้อมทั้งตรัสประโยคที่ควรเป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่า “เลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย”?!
แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ขบวนการเบื้องหลังทั้งหลายที่เคยแอบซ่อนอยู่ก็ดาหน้าออกมาช่วยพรรค ประชาธิปัตย์ ศาลประชุมกันไม่กี่วัน ก็ออกมาประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ พร้อมควานหาเหตุผลเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ และคณะกรรมการเลือกตั้งชุดนั้นก็ตกเป็นเหยื่อถูกจับขังคุกเพื่อบีบให้ออกจาก กรรมการเลือกตั้ง
ระหว่างที่มีการประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนตุลาคมนั้นนั้น ทั้งองคมนตรีและศาล ผลัดกันบรรเลงเพลงลงมายุ่ง ลงมาจัดการกับการเมืองโดยพร้อมหน้า หวังว่าท่านคงยังจดจำกันได้กับคำพูดของเปรม ติณสูลานนท์ ที่ส่งสัญญาณให้ทหารทำการยึดอำนาจ ด้วยประโยคที่กล่าวว่า “ม้าไม่ต้องฟังจ๊อคกี้” นั่นหมายถึงให้ทหารไม่ต้องฟังนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร แล้วในที่สุดเมื่อเห็นว่าขืนปล่อยให้มีการเลือกตั้งต่อไปพรรคประชาธิปัตย์ ที่พวกตัวเองสนับสนุนอยากให้เป็นรัฐบาล คงไม่สามารถฝ่ากระแสเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทยไปได้
19 กันยายน 2549
ทหารทำการยึดอำนาจ โดยเหตุผลหลักๆที่อ้างก็คือ การทุจริต บ้านเมืองแตกแยก ถ้าใครยังจำได้ช่วงก่อนหน้านั้นมีการปลุกปั้นวลี “ทหารของพระเจ้าอยู่หัว” ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความชอบธรรมและบอกกับประชาชนกลายๆว่าไม่ให้ต่อต้านการรัฐประหาร นี้ รวมทั้งนายสุริยะใส กตะศิลาให้สัมภาษณ์หนังสือฉบับหนึ่งด้วยความย่ามใจยามนั้นว่า เปรม ติณสูลานนท์ เป็นหัวหน้ารัฐประหารเอง
หลังรัฐประหาร เราได้รัฐธรรมนูญฉบับอุ้งตีนทหารที่พยายามออกแบบมาเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาล มีการแบ่งเขตการเลือกตั้งที่พิสดารเพื่อรวบรวมพื้นที่ที่พรรคประชาธิปัตย์มี ฐานเสียงดี ให้ได้เปรียบคู่แข่ง แต่จนแล้วจนรอด เมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2550 พรรคประชาธิปัตย์ที่มีทั้งสถาบันกษัตริย์ องคมนตรี ศาล ทหาร ช่วยกันผลักดันเอาเปรียบคู่แข่งทุกวิธีทาง ก็ไม่สามารถเอาชนะพรรคพลังประชาชนไปได้ นี่ขนาดตุลาการรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งมาช่วยตัดสินยุบพรรค ไทยรักไทย พร้อมทั้งใช้กฏหมายพิสดารย้อนหลังไปตัดสิทธิ์ทางการเมืองสมาชิกที่มีคุณภาพ ของไทยรักไทยไปหลายคน คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็ยังไม่ไว้วางใจพรรคประชาธิปัตย์ให้บริหารประเทศ
ลงทุนเอาทุกสถาบันมาเล่นแบบนี้แล้วยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ทำไงต่อ ทำไงล่ะครับ ในเมื่อยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็ทำต่อไปไม่ว่าประเทศจะฉิบหายยังไงก็ตาม
แล้วพันธมิตรก็ก่อหวอดชุมนุม ยึดทำเนียบรัฐบาล และก็เป็นนายกรณ์ จาติกวนิช คนนี้นี่แหละครับที่เข้าไปให้กำลังใจพันธมิตรถึงในทำเนียบรัฐบาล
เป็นนายกรณ์ คนเดียวกับที่เคยโพสในเฟซบุ๊คตัวเองแล้วเล่าว่าเคยขึ้นแท๊กซี่ที่เป็นเสื้อ แดง แล้วเขาบอกกับแท๊กซี่ว่า ความเห็นต่างกันก็ไม่เป็นไรแต่อย่าใช้ความรุนแรง ไม่รู้นายกรณ์ความจำสั้นสมองแยกแยะไม่ออกหรืออย่างไร ถึงไม่ทราบว่าการบุกเข้าไปในทำเนียบเป็นการใช้ความรุนแรงหรือไม่
นี่ยังไม่นับพฤติกรรมเพื่อนรักของนายกรณ์ อย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เมื่อคราวเป็นฝ่ายค้านประดิษฐ์คำพูดสวยหรูว่าประชาชนหนึ่งหรือแสนคนที่ ออกมาเรียกร้องรัฐบาลต้องฟัง แต่เมื่อคราวมาเป็นรัฐบาลกับสั่งทหารไล่ยิงไล่ฆ่าประชาชนที่ออกมาประท้วง แล้วเมื่อพระราชินีแสดงตนเข้าข้างพันธมิตรฯด้วยการเสด็จไปงานศพน้องโบว์ พรรคประชาธิปัตย์อย่างนายอภิสิทธิ์ ก็ไม่รอช้าที่จะเสนอหน้าไปเลีย ด้วยคิดว่าวิธีการนี้นั่นแหละที่จะทำให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเร็ววัน แล้วความฝันของเขาก็เป็นจริง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญลรีบอ่านคำพิพากษายุบพรรคพลังประชาชนแบบเร่งด่วนเพื่อจะ รีบให้พันธมิตรที่ยึดสนามบินอยู่เลิกชุมนุม หลังจากนั้นก็มีกระบวนการพานักการเมืองเข้าไปในค่ายทหารเพื่อบังคับให้ยกมือ ให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ส่วนใครจะบังคับให้ยกมือนั้น ขอให้ท่านพิจารณาจากคำพูดของ สส พรรคภูมิใจไทยที่บอกว่า”เราสู้ท่านไม่ได้หรอก” แค่นี้ก็คงพอแล้วกระมังครับ ที่จะยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ คือพรรคการเมืองที่ตอแหล เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้
และยิ่งถ้าย้อนไปถึงต้นตอการก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยึดถือเอาวันจักรีเป็นวันตั้งพรรค ซึ่งเป็นพฤติกรรมเอาสถาบันกษัตริย์มาหากินเป็นพวกตั้งแต่วันแรกที่ตั้งพรรค หัวหน้าพรรคคนแรกนายควง อภัยวงศ์ ขึ้นมาเป็นนายกได้เพราะการรัฐประหาร รวมทั้งการใส่ร้ายป้ายสีท่านปรีดี การให้พี่เมีย เสนีย์ และคึกฤทธ์ ปราโมช พระพินิจชนคดีสร้างหลักฐานพยานเท็จ ป้ายสีจนทำให้ ซิต บุศย์ เฉลียว ต้องเป็นแพะถูกประหารชีวิตเพื่อปกปิดฆาตกรตัวจริงกรณีสวรรคต การสมรู้ร่วมคิดกับกษัตริย์สนับสนุนให้เกิดการรัฐประหารเมื่อ ปี 2500 ฯลฯ
http://thaipoliticsgovernment.org/wiki/รัฐประหาร_พ.ศ._2500
เอาเป็นว่าผมขอยอมแพ้ที่จะสาธยายความตอแหล เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ของพรรคการเมืองพรรคนี้ มันมากมายจนเกินกว่าที่จะบรรยายได้หมด คงไม่มีพรรคการเมืองไหนทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามได้เท่าพรรคการเมืองนี้อีก แล้วครับ
โดเฉพาะตลอดเวลาช่วง 5 ปีหลังมานี้ พรรคนี้ใช้วิธีทางฉ้อฉล ใช้และชักชวนทุกสถาบันมาทำลายคู่แข่งทางการเมือง หลอกล่อพันธมิตรและสนธิ ลิ้มทองกุล ให้เป็นบันไดเหยียบหัวส่งให้พรรคตัวเองได้เป็นรัฐบาล และถีบทิ้งเมื่อตัวเองสมหวังอย่างไม่ใยดี พรรคการเมืองนี้พร้อมที่จะเลียและหักหลังทุกคนทุกสถาบันได้ทุกเมื่อเพื่อให้ ตัวเองได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล เพราะรู้ดีว่าลำพังนโยบายความสามารถในการบริหารไม่สามารถทำให้ประชาชนไว้ เนื้อเชื่อใจได้ ดังที่ท่านเห็นแล้วว่าเกือบ 20 ปีที่ประชาชนในประเทศนี้ไม่ไว้วางใจ แต่พรรคการเมืองนี้ก็ไม่สนใจเสียงประชาชนเพราะพวกเขารู้ดีว่าเขามีทางลัด มีสถาบันกษัตริย์ที่เคยสนิทชิดเชื้อกันมาแต่ตั้งพรรค มีศาลคอยช่วยเหลือเกื้อหนุนดังที่พึ่งมีคลิปลับหลุดว่อนออกมา และที่สำคัญมีทหารที่มีอาวุธครบมือที่พรรคนี้คอยเลียและแบ่งผลประโยชน์ เลี้ยงดูให้อิ่มหนำคอยเป็นนักเลงคุมพรรคให้
ที่เล่ามานี้ท่าน คงพอเห็นภาพได้ว่า พรรคนี้มีสันดานอย่างไร สิ่งเหล่านี้ที่ผมสาธยายมา คงเป็นสิ่งที่นายกรณ์ จาติกวนิช หลงลืมหรือแกล้งโง่หรือไม่อยากจดจำ แล้ววันนี้ยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องเหล่านี้อย่างหน้าด้านๆอีก