ที่มา Voice TV
“ไม่มีใครเปลี่ยนเราได้ นอกจากตัวเราเอง เปิดประตูใจเพื่อก้าวข้ามความเกลียดชัง ใช้สติยุติความรุนแรง”เป็นคำขวัญประจำขบวนธรรมยาตราเพื่อสันติปัตตานี ดร.โคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี นำคณะเดินเท้าจากอ.ศาลายา จังหวัดนครปฐม ใช้เวลา 53 วันจึงเดินทาง ถึงจังหวัดปัตตานี ระยะทาง 1,100 กม.
อาจารย์โคทม ประเมินว่า ในปี 2547 ซึ่งไฟใต้รอบใหม่ปะทุขึ้น ภาครัฐทำตัวเป็นแนวร่วมมุมกลับใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง เกิดกรณี การหายตัวไปของคุณสมชาย นีละไพจิตร เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ เหตุการณ์สลายการชุมนุมอำเภอตากใบ เป็นการโหมกระพือไฟใต้
เหตุการณ์เหล่านี้ควรจะเป็น “บทเรียน”ให้รัฐ ตั้งมั่นคงแน่วแน่ในแนวทางสันติวิธี ไม่ละเมิดกฎหมาย และควรจะต้องเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยผ่านการ “เจรจา”
อาจารย์โคทม สนับสนุนการจัดเวทีสานเสวนา ให้ชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม ชาวไทยเสื้อสายจีน ได้มีกิจกรรมร่วมกันเหมือนที่เคยจัดขึ้นที่มัสยิดกรือเซะ และศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเพื่อให้คนไทยที่มีประเพณีแตกต่างกัน มีความเข้าใจและภาคภูมิใจในความเป็นมาของตนเอง
อีกมุมมองหนึ่งจากคุณอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของทนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ที่หายตัวไปเมื่อต้นปี 2547 ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาการต่อสู้คดีการหายตัวไปของทนายสมชาย มาถึงชั้นศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เพิ่งมีคำสั่งยกคำร้องไม่ให้ ภรรยาและบุตรของทนายเป็นโจทก์ร่วม และพิพากษาให้ยกประโยชน์ให้จำเลยที่ 1 คือ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก เนื่องจากพยานบุคคล ไม่กล้าให้การยืนยัน เนื่องจากไม่มีการคุ้มครองพยาน ส่วนหลักฐานการใช้โทรศัพท์ ศาลไม่เชื่อว่าเป็นเอกสารจริงเพราะไม่มีตำรวจระดับสูงมาให้การเป็นพยาน
คุณอังคณา แสดงความประสงค์จะต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกา แต่ต้องให้อัยการเป็นผู้ดำเนินการ เธอประเมินว่า ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัญหาเรื่องความเป็นธรรม กระบวนการยุติธรรมม่ามารถเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ โดยเฉพาะในคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐตกเป็นผู้ต้องหา