ที่มา thaifreenews
โดย bozo
เรียบเรียงโดย Nangfa
เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง โอกาสรัฐประหาร
โดย กาหลิบ
มีผู้คนที่วิตกกังวลถามเสมอว่าจะเกิดการยึดอำนาจในเมืองไทย แบบที่เรียกว่า
รัฐประหารกันอีกหรือไม่ในเร็ววันนี้
สังเกตจากสีหน้าท่าทางของผู้ถาม ยากที่จะบอกว่า
ถามเพราะอยากให้เกิดหรือกลัวว่าจะเกิดขึ้นกันแน่
เอาเป็นว่ามวลชนจำนวนไม่น้อยยังคงคิดว่าการรัฐประหารโดยฝ่ายเขา
(ฝ่ายประชาธิปไตยขาดเครื่องมืออันจำเป็นที่จะทำในขณะนี้)
จะทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง
และอย่างน่ากังวลห่วงใย
จนอาจทำให้เกิดสภาพที่คาดเดาไม่ได้อีกต่อไปว่าอะไรจะตามมาในฐานะผลกระทบ
มาลองวิเคราะห์กันสักหน่อยเป็นไร
อำนาจด้านกายภาพของการรัฐประหาร
อยู่ในมือของผู้บัญชาการทหารบกเป็นส่วนใหญ่
เพราะองค์ประกอบอันจำเป็นต่อการรัฐประหารจนกระทั่งทุกวันนี้ คือ
กำลังทหารราบและยุทโธปกรณ์ทางบกมากกว่าอย่างอื่น
ศักยภาพในการยึดเมืองของกองทัพบกจึงสูงกว่า
กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ตำรวจ
และแม้กระทั่งหน่วยทหารพิเศษ อย่างเทียบกันมิได้
ยิ่งทหารในหน่วยสงครามพิเศษของไทยขึ้นอยู่กับกองทัพบกอย่างนี้ด้วยแล้ว
ก็ไม่ต้องสงสัยว่าหน่วยงานอื่นๆ จะยึดอำนาจรัฐได้ด้วยกำลัง
แต่ปัญหาคือความอยู่รอดหลังการรัฐประหารนั่นเอง
โดยเฉพาะเมื่อเอา “ชนะ” ได้ด้วยกำลัง
จนสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้สำเร็จสมดังเจตนา
ผู้บัญชาการทหารบกคนที่เข้ายึดอำนาจจะอยู่รอดเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้หรือไม่
โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว
อย่างกรณี พลเอกสุจินดา คราประยูร
ที่ยึดอำนาจได้อย่างราบคาบด้วยอำนาจของผู้บัญชาการทหารบก
แต่ร่วงจากอำนาจเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อมีอำนาจที่เหนือกว่า สูงกว่า มากระชากพรมใต้เท้าออกอย่างฉับพลันทันที
จนพ่ายแพ้อย่างชนิดเอาตัวแทบไม่รอด
หรืออย่าง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่ยึดอำนาจแล้วก็รีบโกยเงินสร้างความมั่งคั่ง
แล้วหาบันไดลงด้วยการตั้งพรรคการเมืองมารองรับ
และสร้างอำนาจต่อรองน้อยๆ ของตนขึ้นมา
ทั้งที่เคยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จเอาไว้แล้วทั้งเมือง
ไม่น่าจะจำเป็นต้องอยู่ในสภาพดิ้นรนเอาตัวรอดเลย
เรื่องเหล่านี้ย้ำความเข้าใจว่า
อำนาจในการรัฐประหารเมืองไทยไม่ได้อยู่ในมือผู้บัญชาการทหารบกอย่างที่รับเชื่อกันต่อมาเลย
ผู้บัญชาการทหารเป็นเพียงหัวหน้าชุดปฏิบัติการเท่านั้น
อำนาจล้นฟ้าที่สามารถบิดผันเจตนาของมวลชนประชาธิปไตย
ได้ทั้งประเทศเป็นอำนาจที่เหนือกว่าผู้บัญชาการทหารบก
ซึ่งเป็นอำนาจเหนือระบบ และเป็นอำนาจในระดับระบอบ
คำถามต่อโอกาสในการรัฐประหารจึงต้องตั้งกับคนบางคนที่มีอำนาจในระดับนั้น
ซึ่งเราพอคาดเดาคำตอบกันได้ว่า ขึ้นอยู่กับความคิดและความเชื่อของเขาคนนั้น
ข้อพิจารณาคือ เขาและครอบครัวจะอยู่รอดปลอดภัย
จากการรุกคืบเข้ามาของฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่
ถ้ารู้สึกว่า ไม่ได้ หรือ ไม่พร้อมเสี่ยง เขาก็จะกดปุ่มรัฐประหารในทันทีโดยไม่รั้งรอ
เพราะฉะนั้น บวกความล่มสลายของการปรองดองสมานฉันท์
ปฏิกิริยาของมวลชนส่วนใหญ่ขึ้นทุกทีต่อคณะบุคคล
ที่เคยเป็นที่สถิตของความดีและความงาม
เข้ากับความอมตะ (ไม่ตาย) ของขบวนประชาธิปไตย
ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาว่า
สถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับชนชั้นนำในเมืองไทย
ล้วนชี้ไปสู่การตัดสินใจสั่งรัฐประหารทั้งนั้น
ใครถามตื้นๆ ง่ายๆ ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ เป็นของเขา
เหตุใดเขาจึงจะสั่งทำลายลงเสียเล่า
น่าจะถนอมรักษาไว้เป็นข้าช่วงใช้ทางการเมืองมิใช่หรือ?
ก็ตอบได้ทันทีว่า
การรัฐประหารแต่ละครั้งมิได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายรัฐบาลเพียงชุดเดียวหรือคณะเดียว
แต่เป็นการล้างไพ่ทั้งระบบแล้วสอดใส่ระบบใหม่เข้าไป
เพื่อรักษาระบอบใหญ่ไว้ต่างหาก คนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นพวกตนนั้น
ก็ค่อยหาตำแหน่งหน้าที่ที่เป็นบำเหน็จรางวัลตอบแทนกันไป
เหมือนนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐
วันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่ประมาทและระลึกอยู่เสมอว่า
เกิดรัฐประหารแล้วเราต้องทำสิ่งใดบ้าง
ซึ่งอาจเป็นการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดของขบวนประชาธิปไตยไทย.
http://democracy100percent.blogspot.com/2010/12/blog-post_28.html
เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง โอกาสรัฐประหาร
โดย กาหลิบ
มีผู้คนที่วิตกกังวลถามเสมอว่าจะเกิดการยึดอำนาจในเมืองไทย แบบที่เรียกว่า
รัฐประหารกันอีกหรือไม่ในเร็ววันนี้
สังเกตจากสีหน้าท่าทางของผู้ถาม ยากที่จะบอกว่า
ถามเพราะอยากให้เกิดหรือกลัวว่าจะเกิดขึ้นกันแน่
เอาเป็นว่ามวลชนจำนวนไม่น้อยยังคงคิดว่าการรัฐประหารโดยฝ่ายเขา
(ฝ่ายประชาธิปไตยขาดเครื่องมืออันจำเป็นที่จะทำในขณะนี้)
จะทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง
และอย่างน่ากังวลห่วงใย
จนอาจทำให้เกิดสภาพที่คาดเดาไม่ได้อีกต่อไปว่าอะไรจะตามมาในฐานะผลกระทบ
มาลองวิเคราะห์กันสักหน่อยเป็นไร
อำนาจด้านกายภาพของการรัฐประหาร
อยู่ในมือของผู้บัญชาการทหารบกเป็นส่วนใหญ่
เพราะองค์ประกอบอันจำเป็นต่อการรัฐประหารจนกระทั่งทุกวันนี้ คือ
กำลังทหารราบและยุทโธปกรณ์ทางบกมากกว่าอย่างอื่น
ศักยภาพในการยึดเมืองของกองทัพบกจึงสูงกว่า
กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ตำรวจ
และแม้กระทั่งหน่วยทหารพิเศษ อย่างเทียบกันมิได้
ยิ่งทหารในหน่วยสงครามพิเศษของไทยขึ้นอยู่กับกองทัพบกอย่างนี้ด้วยแล้ว
ก็ไม่ต้องสงสัยว่าหน่วยงานอื่นๆ จะยึดอำนาจรัฐได้ด้วยกำลัง
แต่ปัญหาคือความอยู่รอดหลังการรัฐประหารนั่นเอง
โดยเฉพาะเมื่อเอา “ชนะ” ได้ด้วยกำลัง
จนสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้สำเร็จสมดังเจตนา
ผู้บัญชาการทหารบกคนที่เข้ายึดอำนาจจะอยู่รอดเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้หรือไม่
โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว
อย่างกรณี พลเอกสุจินดา คราประยูร
ที่ยึดอำนาจได้อย่างราบคาบด้วยอำนาจของผู้บัญชาการทหารบก
แต่ร่วงจากอำนาจเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อมีอำนาจที่เหนือกว่า สูงกว่า มากระชากพรมใต้เท้าออกอย่างฉับพลันทันที
จนพ่ายแพ้อย่างชนิดเอาตัวแทบไม่รอด
หรืออย่าง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่ยึดอำนาจแล้วก็รีบโกยเงินสร้างความมั่งคั่ง
แล้วหาบันไดลงด้วยการตั้งพรรคการเมืองมารองรับ
และสร้างอำนาจต่อรองน้อยๆ ของตนขึ้นมา
ทั้งที่เคยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จเอาไว้แล้วทั้งเมือง
ไม่น่าจะจำเป็นต้องอยู่ในสภาพดิ้นรนเอาตัวรอดเลย
เรื่องเหล่านี้ย้ำความเข้าใจว่า
อำนาจในการรัฐประหารเมืองไทยไม่ได้อยู่ในมือผู้บัญชาการทหารบกอย่างที่รับเชื่อกันต่อมาเลย
ผู้บัญชาการทหารเป็นเพียงหัวหน้าชุดปฏิบัติการเท่านั้น
อำนาจล้นฟ้าที่สามารถบิดผันเจตนาของมวลชนประชาธิปไตย
ได้ทั้งประเทศเป็นอำนาจที่เหนือกว่าผู้บัญชาการทหารบก
ซึ่งเป็นอำนาจเหนือระบบ และเป็นอำนาจในระดับระบอบ
คำถามต่อโอกาสในการรัฐประหารจึงต้องตั้งกับคนบางคนที่มีอำนาจในระดับนั้น
ซึ่งเราพอคาดเดาคำตอบกันได้ว่า ขึ้นอยู่กับความคิดและความเชื่อของเขาคนนั้น
ข้อพิจารณาคือ เขาและครอบครัวจะอยู่รอดปลอดภัย
จากการรุกคืบเข้ามาของฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่
ถ้ารู้สึกว่า ไม่ได้ หรือ ไม่พร้อมเสี่ยง เขาก็จะกดปุ่มรัฐประหารในทันทีโดยไม่รั้งรอ
เพราะฉะนั้น บวกความล่มสลายของการปรองดองสมานฉันท์
ปฏิกิริยาของมวลชนส่วนใหญ่ขึ้นทุกทีต่อคณะบุคคล
ที่เคยเป็นที่สถิตของความดีและความงาม
เข้ากับความอมตะ (ไม่ตาย) ของขบวนประชาธิปไตย
ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาว่า
สถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับชนชั้นนำในเมืองไทย
ล้วนชี้ไปสู่การตัดสินใจสั่งรัฐประหารทั้งนั้น
ใครถามตื้นๆ ง่ายๆ ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ เป็นของเขา
เหตุใดเขาจึงจะสั่งทำลายลงเสียเล่า
น่าจะถนอมรักษาไว้เป็นข้าช่วงใช้ทางการเมืองมิใช่หรือ?
ก็ตอบได้ทันทีว่า
การรัฐประหารแต่ละครั้งมิได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายรัฐบาลเพียงชุดเดียวหรือคณะเดียว
แต่เป็นการล้างไพ่ทั้งระบบแล้วสอดใส่ระบบใหม่เข้าไป
เพื่อรักษาระบอบใหญ่ไว้ต่างหาก คนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นพวกตนนั้น
ก็ค่อยหาตำแหน่งหน้าที่ที่เป็นบำเหน็จรางวัลตอบแทนกันไป
เหมือนนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐
วันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่ประมาทและระลึกอยู่เสมอว่า
เกิดรัฐประหารแล้วเราต้องทำสิ่งใดบ้าง
ซึ่งอาจเป็นการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดของขบวนประชาธิปไตยไทย.
http://democracy100percent.blogspot.com/2010/12/blog-post_28.html