ที่มา บางกอกทูเดย์
ความเหมือนที่แตกต่าง
ของ 2 ผู้บัญชาการทหารบก
แม้ปรัชญาเมธีทั้งหลายจะพยายามบอกว่า “ตำแหน่ง”เป็นเพียงหัวโขน ที่อย่าได้ไปยึดติดอะไรมากนัก
แต่ในโลกของความเป็นจริง คนจำนวนมากล้วนปรารถนาและไขว่คว้าแสวงหาตำแหน่ง มาสวมไว้บนหัว... เพราะตำแหน่งนั้น มักจะตามมาด้วย “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์” เสมอ
หลายคนทำได้ดีเมื่อมีตำแหน่ง ในขณะที่อีกไม่น้อยถูกตำแหน่งครอบงำ จนหลงทางสะเปะสะปะล่องลอยไปไกลจนกู่ไม่กลับ
แม้แต่หมวกใบเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกันแท้ๆ เมื่อคนเปลี่ยน เวลาเปลี่ยน อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
อย่างตำแหน่งที่กุมอำนาจกองทัพ เช่น ตำแหน่ง “ผู้บัญชาการทหารบก” แค่ในช่วงหลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในยุคของ บิ๊กป๊อก – พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กับ บิ๊กตู่ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นผู้บัญชาการทหารบกเหมือนกัน แต่ต่างกันไปคนละฟิวส์เลยก็ว่าได้!!
ในช่วงของการเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง ในช่วงของการแตกต่างทางความคิดของคนที่ใส่เสื้อต่างสีกัน จนกระทั่งนำไปสู่การปราบปรามประชาชน ภายใต้ถ้อยคำสำนวนของศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ว่าเป็น
“การกระชับพื้นที่” และ “ขอคืนพื้นที่”
และตามมาด้วยการสูญเสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บระนาวกว่า 2,000 คน... กลายเป็นประเด็นที่ทั้งรัฐบาล และกองทัพยังปวดหัวในการที่จะตอบคำถาม มาจนถึงขณะนี้
ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ เมื่อถูกตั้งคำถามอยู่เรื่อยๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก จะออกอาการฟิวส์ขาดขึ้นมาดื้อๆ
โดยระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังชี้แจงถึงการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ศอฉ.จะประชุมเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจภายหลัง ครม.ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นประธานฯ
ส่วนการตั้งศูนย์อำนวยการติดตามสถานการณ์ (ศตส.)นั้น เพื่อเป็นการติดตามสถานการณ์ของ กอ.รมน.ซึ่งมีอยู่ในหน่วยต่างๆ เพียงแต่จัดตั้งให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้น เพราะเดิม ศตส.จะดูแลเรื่องภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ แต่ไม่รวมเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย
จึงมีความจำเป็นต้องทำให้สมบูรณ์ และครอบคลุมการทำงาน และบูรณาการหน่วยงานด้านการข่าว รวบรวมการปฏิบัติงานทั้งหมด เชื่อมต่อกับทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง
พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า ศตส. จะมีลักษณะคล้ายกับ ศอ.รส.เพียงแต่ลดระดับลงมาและใช้กฎหมายปกติโดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก ในส่วนของทหารก็จะตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ศตส.ไม่มีอำนาจอะไรพิเศษ
ส่วนผู้ที่จะมาควบคุมดูแล ศตส.ยังไม่มีการหารือกันแต่โดยปกติ กอ.รมน.มีนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.รมน. ซึ่งในส่วนของกองทัพบกจะมี ผบ.ทบ.และ เสธ.ทบ.เกี่ยวข้องด้วย
แต่เมื่อถูกถามว่า การใช้งบประมาณของ ศอฉ.ที่ผ่านมามีจำนวนเท่าใด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า งบประมาณที่ไปพูดกัน เป็นหมื่นเป็นแสนล้านนั้น ไปเอาตัวเลขที่ไหนมาพูด มีเฉพาะค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ทำงานเท่าไหร่ ก็ได้เท่านั้น กี่คนก็เอาตัวเลขคูณเข้าไป
ซึ่งก็มีตัวเลขอยู่เท่านั้น จะไปเอาเงินจากไหนมา ไปเอาตัวเลขกันมาจากไหนว่าเ ป็นแสนล้าน ขอไปถามคนพูดว่า แสนล้านหรือหมื่นล้าน ซึ่งเป็นคนแถวนี้ที่พูด
เมื่อยังมีการถามต่อไปว่า สรุปแล้ว ใช้งบประมาณไปเท่าไหร่ พล.อ.ประยุทธ์ สวนทันทีว่า
“ไม่รู้ ไม่ทราบไปหาตัวเลขกันเอาเอง ผมไม่รู้ เพราะผมไม่ได้สนใจตัวเลขอยู่แล้ว เมื่อได้งบประมาณมา ก็แจกจ่ายให้กับหน่วยไปปฏิบัติงาน แต่ไม่ใช่เป็นหมื่นล้าน แสนล้าน รัฐบาลไม่มีเงินให้ขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันไหน”
แถมยังกระแทกบรรดาสื่อมวลชนที่รุมสัมภาษณ์ ว่า ถ้าอยากให้เจ้าหน้าทำงาน อยากให้บ้านเมืองสงบ เลิกเสียทีกับเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว การเขียนเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
เล่นเอาวงแตก เงียบกริบกันหมด อาจจะเพราะไม่ได้คิดไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนว่า จะเจอสวนแรงขนาดนี้
ทำให้หลายๆคน อดคิดถึง นักข่าวสายทหารอย่าง วาสนา นาน่วม เจ้าของสูตร “ลับ ลวง พราง” หรืออดคิดถึง เจ๊ยุ - ยุวดี ธัญญสิริ แห่ง”บางกอกโพสต์” ไม่ได้ว่า หากอยู่ตรงนั้น คงจะช่วยสวนกลับ ให้กับนักข่าวรุ่นน้องได้ เพราะระดับ พล.อ. อย่างเสธ.ยักษ์ พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ยังต้องเกรงใจเจ๊ยุเลย
ที่สำคัญตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ดูเหมือนว่านักข่าวจะแหยงในบารมี และบุคคลิกภาพของบิ๊กตู่กันไปหมด!!!
ผิดกับ บรรดา ผบ.ทบ. คนอื่นๆที่ผ่านมา มักจะถูกตั้งคำถามต้อน จนแทบยืนไม่ติดไปตามๆกัน
วันนี้เลยต้องมาโดนสวนกลับแบบจังๆเข้าให้บ้างแล้ว!!
แต่ตรงนี้คงต้องถือว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของบุคลิกเฉพาะตัว กับอีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นที่เพาะบ่มมาในเส้นทางเติบโต
เพราะก่อนหน้านี้ ท่าทีของบิ๊กตู่ ทำให้มีคนไม่น้อยที่พยายามจะเอาไปเทียบเคียงกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เจ้าของวลีโด่งดัง “ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”โน่นเลย
เมื่อมีมุมมองเช่นนี้เกิดขึ้น จะไม่ให้บิ๊กตู่ กล้าพูด กล้าสวน กล้าแสดงอารมณ์ได้อย่างไร??
ดังนั้นนักข่าวและสังคม คงต้องประเมินให้ดี สำหรับ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ว่าคงไม่ใช่ประเภทที่ “ยอมใครง่าย”
ซึ่งอาจจะต่างกันลิบกับอดีต ผบ.ทบ.หมาดๆ อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งรายนี้จะนิ่งเงียบ ยิ้มเย็นๆ ขนาดเป็น ผบ.ทบ.อยู่ เป็นหัวหน้าผู้รักษาสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่แท้ๆ ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม บริเวณสี่แยกคอกวัว กระทั่งมีคนตายหลายคน ทั้งในส่วนของคนเสื้อแดง และในส่วนของทหาร
โดยที่มีระดับนายทหารอย่าง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. ค่ายจักรพงษ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี จากกองกำลังบูรพา ที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ปะทะครั้งนั้นด้วย
จนกลายเป็นปริศนามาจนขณะนี้ ว่าจริงๆแล้วกระสุนปลิดชีพนั้น มาจากฝ่ายไหนกันแน่?!?
แม้จะเป็นเหตุการณ์ครึกโครม แต่ พล.อ.อนุพงษ์ กลับนิ่งเงียบ ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เสียอีกที่ตอนนั้นไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.ด้วยซ้ำ ยังกล้าประกาศชัดเจนว่า
งานนี้จะต้องไม่ตายฟรี จะต้องมีการเอาคืนแน่!!!
ถือเป็น 2 บุคลิกที่แตกต่างกันโดยชัดเจน
บิ๊กป๊อก – พล.อ.อนุพงษ์ นั้น เย็นเยือก ประดุจภูเขาน้ำแข็ง
ในขณะที่ บิ๊กตู่ – พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ร้อนสุดๆ ประดุจน้ำเดือด
เป็น ผบ.ทบ.ที่อยู่ในห้วงสถานการณ์ต่อเนื่องกันแท้ๆ แต่กลับเป็น “ความเหมือนที่แตกต่าง”กันโดยสิ้นเชิง!!
ปัญหาคือสังคมไทย จะชอบแบบไหน... น้ำเดือด หรือ น้ำแข็ง?
ซึ่งจะว่าไปบางครั้ง น้ำเดือดแบบบิ๊กตู่ ยังดูอ่านง่ายกว่า น้ำแข็ง อย่างบิ๊กป๊อก!!
เพราะต้องไม่ลืมว่า เหตุการณ์ตาย 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คนนั้น เป็นเหตุการณ์พฤษภาอำมะหิต ซึ่งอยู่ในช่วงที่ พล.อ.อนุพงษ์ นั่งเป็น ผบ.ทบ. อยู่
พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ที่ถูกตั้งคำถาม ถูกทวงคำตอบ ถูกเรียกร้องให้ชี้แจงข้อเท็จจริง ทั้งกรณีการตาย 91 ศพ กรณีเสียชีวิต 6 ศพ ในวัดปทุมวนารามฯ และกรณีการผลาญงบประมาณจำนวนมากของ ศอฉ.นั้น เพิ่งจะขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. เมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมานี้เอง
เพียงแต่บุคคลิกน้ำเดือดของบิ๊กตู่ ที่กล้าพูดกล้าสวนนั้น อาจจะออกมาพูดเร็วตั้งแต่เดือนกันยายน พูดก่อนที่จะรับตำแหน่ง คนก็เลยคิดว่า บิ๊กตู่เป็น ผบ.ทบ.ไปแล้วตอนนั้น
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว จนถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งเป็น ผบ.ทบ.ยังไม่เต็ม 3 เดือนดีเลยด้วยซ้ำ!!!
ดังนั้นคนที่ยังคงควรจะต้องเป็นคนตอบสำหรับปริศนาการตาย 91 ศพ ปริศนาว่าทหารเป็นคนยิงกระหน่ำฆ่า 6 ศพ ในวัดปทุมวนารามฯนั้น ควรจะต้องเป็น พล.อ.อนุพงษ์มากกว่า
แม้ว่าวันนี้ พล.อ.อนุพงษ์จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ในความรับผิดชอบและความเกี่ยวข้องโดยตรงในขณะนั้น การพ้นจากตำแหน่งไม่น่าจะทำให้การที่จะต้องตอบความจริงเป็นอันสิ้นสุดไปพร้อมกับตำแหน่ง
เพราะคดีการเสียชีวิต 91 ศพนั้น อายุความอายุคดี ไม่ได้จบสิ้นลงด้วยการเกษียณอายุของใคร แต่จะลากยาวต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าความจริงจะปรากฏ
ฉะนั้นระหว่างนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ควรจะใช้เวลาในการเตรียมคำตอบเกี่ยวกับการตายในเหตุการณ์พฤษภาอำมะหิตเอาไว้ให้ดี
การใช้บุคลิกเย็นเยือก เลือกที่จะเงียบ อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ดีเสมอไป โดยเฉพาะกับคดีที่ครึกโครมไปทั่วโลกเช่นนี้
รวมทั้งในหลักทางพุทธศาสนา จิตสำนึกของคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตายของผู้บริสุทธิ์ ของคนมือเปล่านั้น คงจะคอยปลุกให้ตื่นขึ้นมากลางดึกกลางดื่นเป็นประจำอย่างแน่นอน
ดังนั้น 2 ผบ.ทบ.ที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ. เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม การกระชับพื้นที่ การทวงคืนพื้นที่ แม้ว่าจะแตกต่างบุคลิกกันก็ตาม แต่แน่นอนว่าคงหนีจากการไขปริศนาคดีนี้ไปไม่พ้นแน่
ก็คงจะได้รู้ว่า ระหว่าง “น้ำเดือด” กับ “ภูเขาน้ำแข็ง” อะไรจะระเหย หรืออะไรจะละลาย ก่อนกัน!!!